ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_54252
Retail
จ๊อบไทย ส่งผลต่อค้าปลีกหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ช่วยให้ร้านค้าปลีกหาพนักงานได้ง่ายขึ้น: จ๊อบไทยมีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ ทำให้ร้านค้าปลีกสามารถเข้าถึงผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยให้ร้านค้าปลีกประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: จ๊อบไทยมีบริการต่างๆ มากมายที่ช่วยให้ร้านค้าปลีกจัดการกระบวนการสรรหาพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบการคัดกรองผู้สมัครงาน ระบบการติดต่อสื่อสารกับผู้สมัครงาน และระบบการจัดการข้อมูล ช่วยให้ร้านค้าปลีกสร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การใช้บริการจ๊อบไทย แสดงให้เห็นว่าร้านค้าปลีกให้ความสำคัญกับการสรรหาพนักงานที่มีคุณภาพ ช่วยให้ร้านค้าปลีกเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่: จ๊อบไทยมีบริการ JobThai Retail ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ ตัวอย่าง: - ร้านค้าปลีกหลายแห่งใช้บริการจ๊อบไทยในการประกาศรับสมัครงาน - ร้านค้าปลีกบางแห่งใช้บริการ JobThai Matching ในการค้นหาผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม - ร้านค้าปลีกบางแห่งใช้บริการ JobThai Consulting ในการขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการสรรหาพนักงาน สรุป: จ๊อบไทย ส่งผลดีต่อค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วยให้ร้านค้าปลีกหาพนักงานได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ เพิ่มเติม: - จ๊อบไทยมีบริการ JobThai Career Fair ที่ช่วยให้ร้านค้าปลีกสามารถพบปะกับผู้สมัครงานได้โดยตรง - จ๊อบไทยมีบริการ JobThai Training ที่ช่วยให้ร้านค้าปลีกพัฒนาทักษะของพนักงาน - จ๊อบไทยมีบริการ JobThai Data ที่ช่วยให้ร้านค้าปลีกวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดแรงงาน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54260
Retail
สรุปบทความเรื่อง The Mall ประกาศเป็นห้างสรรพสินค้า-ซูเปอร์มาร์เก็ต ปลอดถุงพลาสติกแห่งแรกในไทย ให้หน่อย
วันนี้นับว่าเป็นการพลิกโฉมวงการค้าปลีกไทยอีกหนึ่งวัน เมื่อ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เดินเกมรักษ์โลก ประกาศตัวเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ดีเดย์ พร้อมกันทุกสาขา วันปลอดถุงพลาสติกสากล 3 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป เพื่อแสดงเจตนารมย์ในเรื่องของความยั่งยืนและปรับพฤติกรรมผู้บริโภคจากเดิมที่ทางห้างฯ จะต้องแจกถุงใส่ของให้กับลูกค้า แต่นับจากนี้ผู้บริโภคต้องคำนึงถึงการปริมาณการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวแล้วทิ้งแล้วต้องเตรียมถุงมาใส่ของด้วยตัวเอง โดย บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดตัวโครงการ เดอะมอลล์ กรุ๊ป โก กรีน (THE MALL GROUP GO GREEN) ; GREEN EVERYDAY งดบริการถุงพลาสติกทุกวัน และรณรงค์ให้ลูกค้านำถุงผ้ามาช้อปปิ้ง หากลูกค้ามีความจำเป็นใช้ถุงพลาสติก ขอความร่วมมือบริจาค 1 บาท ต่อถุงพลาสติก 1 ใบ เพื่อนำไปสนับสนุนการทำงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับ WWF-ประเทศไทย ดีเดย์ วันปลอดถุงพลาสติกสากล 3 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป ที่ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์, บลูพอร์ต หัวหิน และ กูร์เมต์ มาร์เก็ต ทุกสาขา
เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประกาศตัวเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ดีเดย์ พร้อมกันทุกสาขา วันปลอดถุงพลาสติกสากล เพื่อแสดงเจตนารมย์ในเรื่องของความยั่งยืนและปรับพฤติกรรมผู้บริโภคต้องเตรียมถุงมาใส่ของด้วยตัวเอง หากจำเป็นใช้ถุงพลาสติก ขอความร่วมมือบริจาค 1 บาท ต่อถุงพลาสติก 1 ใบ พื่อนำไปสนับสนุนการทำงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับ WWF-ประเทศไทย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54261
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง SCG Packaging กับ เศรษฐกิจหมุนเวียน ได้ไหม
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี แถลงทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2562 เผยกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตของธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือคู่คิดด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรอย่างยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า บริการ และกระบวนการผลิต และการขับเคลื่อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและการใช้งานบรรจุภัณฑ์ของผู้บริโภคทั้งในไทยและอาเซียนอย่างครบวงจร นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมา ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ต้องรับมือกับความท้าทายจากความผันผวนของราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด ขณะเดียวกันก็มีโอกาสจากอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 มีมูลค่าถึง 50,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตประมาณร้อยละ 5 ส่วนในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตของตลาดอยู่ที่ร้อยละ 3 ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และยังมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มที่เปลี่ยนไป เช่น กลุ่มผู้บริโภคที่นิยมใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสะดวกสบาย และกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมจะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารต้นทุนเป็นหลัก ธุรกิจแพคเกจจิ้งจึงวางแผนกลยุทธ์รับมือกับความท้าทายและโอกาสเหล่านี้ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการแข่งขัน การเพิ่มคุณภาพสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค รวมถึงการเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือคู่คิดทางธุรกิจที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร และสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ได้เป็นอย่างดี สำหรับ 3 กลยุทธ์หลักที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ใช้รับมือกับโอกาสและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมาย ได้แก่ การสร้างการเติบโตของธุรกิจด้วยการขยายฐานการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร โดยในช่วงปี 2017-2018 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ได้ลงทุนเพิ่มฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์และงานพิมพ์คุณภาพสูงและฐานการผลิต Rigid Plastic Packaging ในประเทศไทย ฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย และฐานการผลิต Food Packaging ในประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย แบรนด์ Fest อีก 2 โรงงาน ซึ่งปีนี้ บริษัทฯ จะยังคงมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างความเติบโตให้กับกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้มีฐานการผลิต บรรจุภัณฑ์ครอบคลุมทั่วประเทศและภูมิภาคอาเซียนในการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจของลูกค้า และสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นเลิศอยู่เสมอ เพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาเติบโตไปพร้อม ๆ กันกับเรา กลยุทธ์ต่อมาคือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งวิจัยและพัฒนาสินค้าให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้สอดรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้พัฒนากระบวนการผลิตตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ Value Chain อย่างมีประสิทธิภาพ (Data Visibility) และการใช้เทคโนโลยี MARs (Mechanization, Automation, Robotics) ที่ช่วยปรับกระบวนการผลิตในโรงงานให้เป็น Smart Factory อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีไปใช้สนับสนุนการทำงานระหว่างเอสซีจีกับลูกค้า ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น การดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ใช้ให้น้อย ใช้ให้นาน หรือนำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นอีกกลยุทธ์ที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี ให้ความสำคัญ ด้วยการพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษและพลาสติกให้ใช้งานง่าย โดยใช้ทรัพยากรน้อย แต่ยังคงทนแข็งแรง และสามารถนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซ้ำได้ครบวงจร (Close-loop Packaging) อาทิ ถุงกระดาษรีไซเคิลที่มีคุณภาพและสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี อีกทั้งเมื่อใช้งานแล้วยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติก (R-1) ที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ง่าย เนื่องจากผลิตด้วยการนำวัสดุชนิดเดียวกันมาประกบกันหลายชั้น (Multilayer Laminated : Mono Material) จึงมีคุณสมบัติป้องกันความชื้น แข็งแรง สามารถปกป้องสินค้าได้ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บขยะกระดาษและพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยใช้เครือข่ายโรงงานอัดเศษกระดาษในการเก็บขยะพลาสติกเพื่อนำมาผลิตซ้ำ และการร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บขยะ ตลอดจนการร่วมผลักดัน ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้บรรจุภัณฑ์และการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์หลังใช้งานแล้ว และการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CEFLEX (A Circular Economy for Flexible Packaging) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก เพื่อร่วมส่งมอบสินค้า บริการ และโซลูชั่น รวมถึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ทรัพยากรธรรมชาติคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน” “ด้วยแนวโน้มของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยังสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้ตามการเติบโตของประเทศและภูมิภาค ทำให้คาดการณ์อัตราการเติบโตของตลาดไทยและอาเซียนในปีนี้ว่าจะยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี จึงมั่นใจว่าการดำเนินงานตามกลยุทธ์เหล่านี้ จะสามารถสร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และทำให้เราพร้อมเป็นคู่คิดด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจรให้กับลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องทั้งในไทยและอาเซียนได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการมุ่งขยายการเจริญเติบโตไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน การจัดสรรงบลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง และเน้นการดำเนินงานตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นหลัก เพื่อให้ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่างยั่งยืน” คุณธนวงษ์ กล่าวสรุป ​
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี เผยกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตของธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Total Packaging Solutions Provider การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน 3 กลยุทธ์หลักได้แก่ การสร้างการเติบโตของธุรกิจด้วยการขยายฐานการผลิต และ การสร้างสรรค์นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง วิจัยและพัฒนาสินค้าให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น และ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ใช้ให้น้อย ใช้ให้นาน หรือนำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด การพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษและพลาสติกให้ใช้งานง่าย โดยใช้ทรัพยากรน้อย แต่ยังคงทนแข็งแรง สามารถนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซ้ำได้ครบวงจร
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54272
Retail
กลยุทธ์ที่เซ็นทรัล รีเทล ใช้เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปี 2563 มีอะไรบ้าง?
null
จากบทความ "เซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ" กลยุทธ์ที่เซ็นทรัล รีเทล ใช้เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปี 2563 มีดังนี้ 1. เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน และดำเนินธุรกิจ: เซ็นทรัล รีเทล จะเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนและดำเนินธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยมีความไม่แน่นอนหลายอย่าง บริษัทจะติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ 2. เน้นธุรกิจ Multi-Category และ Multi-Format: - เซ็นทรัล รีเทล มีธุรกิจที่หลากหลาย (Multi-Category) ประกอบด้วย ธุรกิจค้าปลีก (Central Retail Group) ธุรกิจอาหาร (Central Restaurants Group) และธุรกิจโรงแรม (Centara Hotels & Resorts) - บริษัทมีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย (Multi-Format) เช่น ห้างสรรพสินค้า, ร้านค้าปลีก, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านอาหาร, โรงแรม ฯลฯ - กลยุทธ์ Multi-Category และ Multi-Format ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ที่ผันผวน - กลยุทธ์นี้ยังช่วยให้บริษัทเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ตลอดเวลา 3. ขยายธุรกิจออมนิแชแนล: ยอดขายของออมนิแชแนลแพลตฟอร์มของเซ็นทรัล รีเทล เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2562 ถึง 56% บริษัทคาดว่ายอดขายผ่านออมนิแชแนลแพลตฟอร์มจะเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 10% ของยอดขายทั้งหมดของเซ็นทรัล รีเทลในปี 2563 เซ็นทรัล รีเทล จะขยายธุรกิจออมนิแชแนลต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป 4. ขยายธุรกิจในต่างประเทศ: เซ็นทรัล รีเทล มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง บริษัทมีแผนจะเปิดโรงแรมใหม่ 8 แห่งใน 4 ประเทศ ในปี 2563 เซ็นทรัล รีเทล ยังมีแผนจะเข้าไปปักธงในเมียนมาร์และลาว ในปี 2563 5. เน้นธุรกิจอาหาร: ธุรกิจอาหารของเซ็นทรัล รีเทล เติบโต 2.4% ในปี 2562 บริษัทจะเน้นขยายช่องทางเดลิเวอรี่มากขึ้น และแนะนำเมนูใหม่และทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ เซ็นทรัล รีเทล ยังมีแผนจะขยายสาขาธุรกิจอาหารอีกราว 90-100 แห่ง ในปี 2563 ตัวอย่าง - เซ็นทรัล รีเทล ปรับโฉมใหม่สาขาฟลอเรนซ์และกรุงโรม เน้นย้ำความเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ ลักชูรี่ - เซ็นทรัล รีเทล ขยายสาขาใหม่ในประเทศไทย เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 3 แห่ง, ไทวัสดุ 7 แห่ง และบ้านแอนด์ บียอนด์ 3 แห่ง - เซ็นทรัล รีเทล ขยายสาขาใหม่ของบิ๊กซี / โก! อีก 6 แห่ง และปรับโฉมใหม่อีก 4 แห่งในประเทศเวียดนาม - เซ็นทรัล รีเทล ขยายธุรกิจ Non-Food ในประเทศเวียดนาม เช่น LookKool
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54273
Retail
กลยุทธ์การเติบโตของเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มีอะไรบ้าง?
ธุรกิจค้าปลีก 72 ปี ของตระกูลจิราธิวัฒน์ สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการนำ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) วันแรก (20 ก.พ.) ขึ้นแท่นเป็นหุ้นไอพีโอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังเป็นหุ้นไอพีโอของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดย CRC มูลค่าเสนอขายรวม 78,124 ล้านบาท (รวมมูลค่าหุ้นที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 253,302 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ส่งผลให้ CRC เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งจะได้รับการจัดให้เข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 และ MSCI Global Standard Indexes ด้วยเกณฑ์ Fast-track คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่าแม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เชื่อว่าในระยะยาวจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ CRC จะผลักดันการเติบโตทั้งแบบ Organic ผ่านการขยายและปรับปรุงสาขาของแบรนด์ค้าปลีกในเครือทั้งในประเทศไทย รวมทั้งในประเทศเวียดนามและอิตาลี ซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านค้าในทั้ง 3 ประเทศที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมองโอกาสขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Inorganic หากมีโอกาสควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการ ที่น่าสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปีรวมทั้งปี 2563 CRC วางงบลงทุนไว้ราว 30,000-50,000 ล้านบาท “ส่วนที่มีชื่อของเซ็นทรัล เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการ เทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ แต่การจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับแผนการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายการเติบโตของ CRC ในปีนี้” แม้ภาพรวมธุรกิจปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ ทำให้หลายสถาบันคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า 2% ปกติธุรกิจปลีกจะขยายตัวมากกว่าจีดีพี 1.5-2 เท่า ขณะที่ CRC ปีนี้วางเป้าหมายเติบโต 10-12% ธุรกิจค้าปลีกของ CRC อยู่ภายใต้กลยุทธ์ Customer-Centric Omni-Channel เป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกที่สามารถสร้างรายได้จากทุกที่ ทุกเวลา ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะออนไลน์เติบโตก้าวกระโดด เห็นได้จากแคมเปญปลายปีที่ผ่านมา ทั้ง 11.11 และ 12.12 mega sale ที่สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 2 เท่า ซึ่งช่องทาง Omni-Channel นับได้ว่ายังมีช่องว่างการเติบโต อีกมากในอนาคต อย่างไรก็ตามหลังจาก CRC การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตระกูลจิราธิวัฒน์ จะยังคงถือหุ้นใน CRC ด้วยสัดส่วนกว่า 70% (ในกรณีที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม (ขวา) คุณทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น
เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) วางกลยุทธ์การเติบโตหลัก 3 ประการ ดังนี้ 1. การขยายธุรกิจค้าปลีกแบบ Organic -มุ่งเน้นไปที่การขยายและปรับปรุงสาขาของแบรนด์ค้าปลีกในเครือทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี -ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านค้าใน 3 ประเทศนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มุ่งขยายทั้งในห้างสรรพสินค้าและพื้นที่สแตนด์อะโลน -เน้นรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม -พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความพึงพอใจ 2. การขยายธุรกิจค้าปลีกแบบ Inorganic -มองหาโอกาสควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ -มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจค้าปลีกที่มีศักยภาพและสามารถสร้าง synergy กับธุรกิจที่มีอยู่ -เตรียมงบลงทุนไว้ราว 30,000-50,000 ล้านบาทต่อปีสำหรับการขยายธุรกิจแบบ Inorganic 3. การขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Customer-Centric Omni-Channel -มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า -เชื่อมต่อช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น -พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทันสมัยและใช้งานง่าย -นำเสนอสินค้าหลากหลายและโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ -มอบบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ CRC ยังมีแผนการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้ -พัฒนาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม -ขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบใหม่ๆ เช่น E-commerce, Social Commerce และ Quick -Commerce -ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาธุรกิจ -ขยายธุรกิจไปยังประเทศใหม่ๆ โดยสรุป CRC มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบ Organic และ Inorganic ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Customer-Centric Omni-Channel CRC มั่นใจว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54276
Retail
การที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ได้รับมาตรฐาน FSSC 22000 เพิ่มอีก 6 สาขา ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทฯ หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ: 1. มาตรฐาน FSSC 22000 เป็นมาตรฐานระดับโลก: การได้รับมาตรฐานนี้ แสดงให้เห็นว่า เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร ที่ผลิตและจำหน่าย - ได้มาตรฐานระดับสากล สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ - สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า ช่วยเพิ่มยอดขาย ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทฯ - ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน - ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ - ช่วยขยายธุรกิจในต่างประเทศ 2. การได้รับมาตรฐาน FSSC 22000 เพิ่มอีก 6 สาขา: แสดงให้เห็นว่า เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง - มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ - ใส่ใจความปลอดภัยของอาหาร - ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค - ต้องการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง - ต้องการขยายฐานลูกค้า - ต้องการเพิ่มยอดขาย - ต้องการเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทฯ ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน - ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ที่ต้องการขยายธุรกิจในต่างประเทศ 3. มาตรฐาน FSSC 22000 ครอบคลุมทั้งระบบการจัดการความปลอดภัยอาหาร: ที่เริ่มต้นตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ ควบคุมกระบวนการผลิต เก็บรักษาสินค้า ขนส่งสินค้า จำหน่ายสินค้า - ช่วยให้มั่นใจได้ว่า สินค้าของ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค 4. การได้รับมาตรฐาน FSSC 22000 ที่เป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร: ช่วยให้ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป สามารถแข่งขันในตลาดค้าปลีกที่มีการแข่งขันสูง - สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ - สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า - ช่วยเพิ่มยอดขาย - ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทฯ - ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน - ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ - ช่วยขยายธุรกิจในต่างประเทศ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54298
Retail
งาน THAIFEX-World of Food Asia 2019 ให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นอันดับหนึ่ง
A. เทรนด์สินค้าอาหารที่อยู่ในกระแสความสนใจ B. แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทย C. ประสบการณ์และเทรนด์อาหารอาเซียน D. การเจรจาทางธุรกิจ
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ D. เพราะว่า งาน THAIFEX-World of Food Asia เน้นการเจรจาธุรกิจเป็นหลัก โดยในปี 2562 มีการพัฒนาช่องทางออนไลน์เพื่อให้การจับคู่ทางธุรกิจสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมงาน เช่น: - ระบบลงทะเบียนอัตโนมัติ: มีตู้รับบัตรเข้าร่วมงานมากกว่า 20 เครื่อง เพื่อให้ผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าสามารถใช้บริการ Self-Check-in ได้อย่างรวดเร็ว - บัตรสมาชิก THAIFEXclusive: สำหรับผู้ที่เข้าชมงานติดต่อกัน 2 ปี จะได้รับบัตรนี้เพื่อความสะดวกในการเข้าชมงานในครั้งถัดไป โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ - บริการเดินทาง: มีการจัดบริการเดินทางหลากหลายรูปแบบ รวมถึงบริการเรือ (Shuttle Boat) ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ เพื่อให้ผู้เข้าชมจากต่างประเทศได้สัมผัสธรรมชาติและสถานที่สำคัญริมแม่น้ำเจ้าพระยา งาน THAIFEX – World of Food Asia 2019 จัดขึ้นในพื้นที่กว่า 131,000 ตารางเมตร ที่ IMPACT Challenger Hall 1-3 และ IMPACT EXHIBITION Hall 5-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2562 โดยในวันที่ 28–31 พฤษภาคม เป็นวันเจรจาธุรกิจ และวันที่ 1 มิถุนายน เป็นวันเจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีกตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น.
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54301
Retail
กลยุทธ์การตลาดของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?
null
"สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ มุ่งสร้างเอกลักษณ์อาหารทะเลคุณภาพสูง มุ่งเป้าตลาดไทย" กลยุทธ์การตลาดของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ ในประเทศไทย มีดังนี้ 1. เน้นกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่ชื่นชอบอาหารทะเล สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ มุ่งเน้นสร้างความรู้ความเข้าใจในการเตรียม การปรุงอาหาร และการบริโภคอาหารทะเลจากนอร์เวย์ผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภค 2. ส่งเสริมภาพลักษณ์อาหารทะเลจากนอร์เวย์ที่มีคุณภาพสูง เน้นย้ำถึงความยั่งยืน ความปลอดภัยของอาหาร และแหล่งที่มาของอาหารทะเลจากนอร์เวย์ สัญลักษณ์ "SEAFOOD FROM NORWAY" เป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภค 3. ขยายช่องทางการจำหน่าย ร่วมมือกับซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำและร้านอาหารต่างๆ ในการนำเสนออาหารทะเลจากนอร์เวย์ เน้นการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ฝึกอบรมพนักงานและเชฟประจำเคาน์เตอร์ซุปเปอร์มาร์เก็ตเกี่ยวกับวิธีการจัดการผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากนอร์เวย์อย่างถูกต้อง 5. แนะนำแนวทางการประกอบอาหารทะเล แชร์สูตรอาหารและเทคนิคการปรุงอาหารทะเลจากนอร์เวย์อย่างง่ายๆ ให้กับผู้บริโภค ตัวอย่าง สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ เข้าร่วมงาน THAIFEX World of Food Asia 2019 เพื่อสร้างเครือข่ายและส่งเสริมแบรนด์ในตลาดไทย สภาฯ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์อาหารทะเลจากนอร์เวย์ให้กับผู้บริโภคชาวไทย ผลลัพธ์ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดอาหารทะเลจากนอร์เวย์ในประเทศไทย ในปี 2561 ยอดส่งออกแซลมอนสดของนอร์เวย์สู่ประเทศไทยพุ่งสูงเกิน 10,000 ตันเป็นครั้งแรก ตลาดผู้บริโภคคนไทยมีความน่าสนใจ พวกเขาตามกระแสที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่ใจกับคุณภาพอาหารที่รับประทาน บทสรุป สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ มุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สร้างความรู้ความเข้าใจ ส่งเสริมภาพลักษณ์ และขยายช่องทางการจำหน่ายอาหารทะเลจากนอร์เวย์ที่มีคุณภาพสูง กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้สภาฯ ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดในประเทศไทย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54302
Retail
สรุปบทความเรื่อง กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดงาน THAIFEX 2019 ให้หน่อย
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ประเทศเยอรมนี ในฐานะผู้จัดงานอย่างเป็นทางการของงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – World of Food Asia ได้กำหนดจัด THAIFEX – World of Food Asia 2019 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และมีความเป็นสากลมากขึ้นกว่าทุกปี ในวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2562 บนพื้นที่กว่า 131,000 ตารางเมตร ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยได้รวบรวมสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลายจากผู้ผลิตทั่วทุกมุมโลกกว่า 40 ประเทศ มาจัดแสดงเพื่อให้ร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง มาเจรจาการค้า ค้นหาพันธมิตร เครือข่ายทางธุรกิจ ได้อย่างครบถ้วนทุกความต้องการภายในงานเดียว โดยภายในงาน THAIFEX – World of Food Asia 2019 ได้แบ่งสินค้าที่จัดแสดงออกเป็น 11 ประเภท ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป นำเสนอทางเลือกที่หลากหลายของอาหารสำเร็จรูป ร้านอาหาร และผลิตภัณฑ์อาหารขั้นพื้นฐาน, เครื่องดื่ม ทั้งที่ไม่มีแอลกอฮอล์และมีแอลกอฮอล์, ขนมและของขบเคี้ยว นำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่หลากหลายตามเทรนด์ล่าสุด, อาหารทะเล นำเสนอโอกาสในการหาแหล่งธุรกิจที่กว้างขวางขึ้นเนื่องจากความต้องการอาหารทะเลทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น, เนื้อสัตว์ ครอบคลุมเทรนด์ของเนื้อสัตว์ ไส้กรอก และสัตว์ปีก, อาหารแช่แข็ง มุ่งเน้นไปที่กลุ่มอาหารสะดวกซื้อและอาหารพร้อมรับประทาน, ข้าวและธัญพืช แนะนำทางเลือกใหม่ที่มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค, ผักและผลไม้ นำเสนอผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและอาหารออร์แกนิคเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารปลอดภัยและความยั่งยืนของโลก, กาแฟและชา แสดงสินค้าครบวงจรตั้งแต่เมล็ดกาแฟจนถึงอุปกรณ์ทำกาแฟและใบชาสู่ถ้วยชา, ธุรกิจบริการด้านอาหาร รวบรวมทุกภาคส่วนของการบริการด้านอาหาร ร้านอาหาร แนวคิดการบริการที่รวดเร็ว และอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยง และ เทคโนโลยีด้านอาหาร นำเสนอสินค้าอุปกรณ์แปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์เพื่อช่วยให้ธุรกิจตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ประเทศเยอรมนี ผู้จัดงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – World of Food Asia ได้กำหนดจัด THAIFEX – World of Food Asia 2019 ขึ้น ในวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2562 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี รวบรวมสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลายจากผู้ผลิตทั่วทุกมุมโลกกว่า 40 ประเทศ มาจัดแสดงเพื่อให้ร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง มาเจรจาการค้า ค้นหาพันธมิตร เครือข่ายทางธุรกิจในงานเดียว โดยแบ่งสินค้าที่จัดแสดงออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ 1. อาหารสำเร็จรูป 2. เครื่องดื่ม 3. ขนมและของขบเคี้ยว 4. อาหารทะเล 5. เนื้อสัตว์ ครอบคลุมเทรนด์ของเนื้อสัตว์ ไส้กรอก และสัตว์ปีก 6. อาหารแช่แข็ง 7. ข้าวและธัญพืช 8. ผักและผลไม้ 9. กาแฟและชา
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54303
Retail
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่อง "เส้นทางสู่โลกยั่งยืน: การผจญภัยของกลุ่มเซ็นทรัลยก Love the Earth"
null
ใต้ฟ้าเมืองหนาวของเมืองไทยที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและการจราจรที่แออัด มีกลุ่มเยาวชนจากโครงการ "กลุ่มเซ็นทรัลยก Love the Earth" ที่กำลังมุ่งมั่นสนับสนุนนโยบายการลดใช้ถุงพลาสติก มองหาทางแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในชุมชนของพวกเขา เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อโอเลี้ยง นักเรียนมัธยมปลายหนุ่มหนุ่มสมาชิกในกลุ่ม เดินทางมายังโรงเรียนในวันหนึ่ง มีสิ่งที่น่าสนใจเขาได้เห็น คือภาพของคลังขยะที่เต็มไปด้วยถุงพลาสติกใช้แล้วทิ้งเป็นส่วนใหญ่ ความรู้สึกของเขาเติบโตขึ้นอย่างที่ไม่คาดคิดเมื่อเขาเห็นการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเพราะถุงพลาสติกเหล่านี้ "เราต้องทำอะไรกับสิ่งนี้?" โอเลี้ยงสงสัยกับเพื่อนร่วมทีมของเขาที่นั่งข้างๆ กับเขาในรถรางของโรงเรียน กลุ่มเพื่อนก็เข้าใจความกังวลของเขา และจึงเสนอแนวคิดที่ทั้งหมดสร้างความรู้สึกสดใสให้กับโอเลี้ยง นั่นคือ "โปรเจ็กต์ลดถุงพลาสติก". กลุ่มของพวกเขาเริ่มต้นด้วยการสร้างความตระหนักในชุมชน เขาได้เริ่มต้นจากการแจกถุงผ้าที่ใช้ซ้ำได้และของแถมที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้แก่ประชาชน ด้วยหวังว่าจะสร้างการเข้าใจและความตระหนักในการลดใช้ถุงพลาสติกอย่างเร่งด่วน การกระทำนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนและเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่มีเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกในสังคม เรื่องราวของโอเลี้ยงและกลุ่มเซ็นทรัลยก Love the Earth ได้เป็นที่รู้จักในชุมชน ภายหลังโดยไม่รู้จักเข้าสู่การรับรู้ของโลกอย่างกว้างขวาง เมื่อโรดแม็พของเมืองไทยต้องการความร่วมมือในการวางแผนนโยบายภาพใหญ่เพื่อลดการใช้ถุงพลาสติกในช่วงเวลาหนึ่ง กลุ่มเซ็นทรัลยก Love the Earth ได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความตระหนักและเปลี่ยนแปลงในชุมชน ในปี 2030 หลังจากการทำงานหนักของกลุ่มเซ็นทรัลยก Love the Earth และนโยบายภาพใหญ่เกี่ยวกับการลดใช้ถุงพลาสติก มีการลดลงของปริมาณถุงพลาสติกที่ใช้และทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อโอเลี้ยงกับเพื่อนร่วมทีมทั้งหมดมองดูโรดแม็พที่เต็มไปด้วยเส้นทางและหยดน้ำฝนซึ่งบอกถึงความสำเร็จของเขาและกลุ่มของเขาในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลกของเรา
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54309
Retail
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก เดอเบลมีกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่?
null
1. มุ่งเน้นการให้บริการที่ครบวงจร: พัฒนาระบบการจัดการสินค้าคงคลังและระบบจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำ นำเสนอบริการเพิ่มเติม เช่น บริการจัดส่งสินค้าถึงหน้าร้าน บริการติดตั้งสินค้า บริการหลังการขาย พัฒนาระบบ CRM เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 2. ขยายช่องทางการจำหน่าย: พัฒนาช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ให้แข็งแกร่ง นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย สะดวกต่อการสั่งซื้อ ขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพ เข้าถึงลูกค้าในวงกว้าง ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกอื่นๆ 3. พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า: ศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจ นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพ นำเสนอสินค้าและบริการที่มีเอกลักษณ์ แตกต่างจากคู่แข่ง 4. นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ: พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่สะดวก ปลอดภัย นำเสนอบริการ chatbot ตอบคำถามและให้บริการลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าด้วย Big Data เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 5. สร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีให้กับลูกค้า: พัฒนาบรรยากาศภายในร้านให้สะดวกสบาย สวยงาม พนักงานให้บริการด้วยความรวดเร็ว ยิ้มแย้มแจ่มใส จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ดึงดูดลูกค้า ตัวอย่างเพิ่มเติม: นำเสนอบริการ Personal Shopper ช่วยลูกค้าเลือกซื้อสินค้า จัดเวิร์คช็อป สอนทำอาหาร หรือ DIY เกี่ยวกับสินค้า พัฒนาระบบสมาชิก ให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้า ร่วมมือกับ Influencer รีวิวสินค้า โดยสรุป: เดอเบลต้องพัฒนากลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านสินค้า บริการ ช่องทางจำหน่าย และเทคโนโลยี มุ่งเน้นการให้บริการที่ครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดี และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ กลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยให้เดอเบลรักษาฐานลูกค้าเดิม ดึงดูดลูกค้าใหม่ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในธุรกิจค้าปลีกที่แข่งขันรุนแรง
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54317
Retail
ลูกค้า Top Spender ที่มียอดช้อปปิ้งสะสมสูงที่สุดตลอดแคมเปญ The Emporium-EmQuartier 4th Anniversary จะได้รับรางวัลอะไร
a. รถยนต์ Lexus CT Luxury b. บัตรกำนัลห้องพัก JW Marriott Hotel Macau 2 วัน 1 คืน c. บัตรกำนัลห้องพักโรงแรม OKURA มาเก๊า 3 วัน 2 คืน d. คอนโดมิเนียม Supalai Oriental Sukhumvit 39 e. กระเป๋าเดินทาง EM Crystal Limited Edition Luggage
คำตอบได้แก่ d. เพราะว่า ลูกค้า Top Spender ที่มียอดช้อปปิ้งสะสมสูงที่สุดตลอดแคมเปญ The Emporium-EmQuartier 4th Anniversary จะได้รับคอนโดมิเนียม Supalai Oriental Sukhumvit 39 มูลค่ากว่า 6.77 ล้านบาท แคมเปญ The Emporium-EmQuartier 4th Anniversary ได้รับความร่วมมือจาก 3 พันธมิตรธุรกิจสำคัญ คือ ธนาคารซิตี้แบงก์ Lexus และ ศุภาลัย จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ จนถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2562 ที่ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรี่ยม และดิ เอ็มควอเทียร์ ถือเป็นแคมเปญใหญ่ที่ทางศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรี่ยม และดิ เอ็มควอเทียร์จัดขึ้นต่อเนื่องในทุกๆ ปี เพื่อขอบคุณลูกค้าทุกๆคนที่เข้ามาใช้บริการศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และดิ เอ็มควอเทียร์โดยเน้นให้ความสำคัญในเรื่องความคุ้มค่าในการใช้จ่ายในศูนย์การค้า ร่วมถึงการมอบของรางวัลใหญ่ที่ตอบรับ กับความต้องการของลูกค้า สำหรับแคมเปญ The Emporium-EmQuartier 4th Anniversary ลูกค้าที่ช้อปปิ้งใน สองศูนย์การค้าครบ 2,000 บาท สามารถลุ้นรับรางวัลใหญ่ รถยนต์ Lexus CT Luxury มูลค่ากว่า 1.99 ล้านบาทจำนวน 1 รางวัล และสำหรับ Top Spender ที่มียอดช้อปปิ้งสะสมสูงที่สุดตลอดรายการ รับทันทีคอนโดมิเนียม Supalai Oriental Sukhumvit 39 มูลค่ากว่า 6.77 ล้านบาท นอกจากนี้ เมื่อช้อปปิ้งในศูนย์การค้าตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป และพิเศษสมาชิกบัตรเครดิต Citibank ช้อปเพียง 40,000 บาทขึ้นไป รับทันทีของรางวัลพิเศษ ได้แก่ กระเป๋าเดินทาง EM Crystal Limited Edition Luggage, บัตรกำนัลศูนย์การค้าและ บัตรกำนัลห้องพักโรงแรม OKURA มาเก๊า 3 วัน 2 คืน ร่วมถึงเมื่อช้อปปิ้งผ่านบัตรเครดิต Citibank รับคืนสูงสุด 18% และสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำของเมืองไทย รับสิทธิประโยชน์รับคืนสูงสุด 20% และสำหรับนักช้อปสายชิม รับประทานอาหารรร้านอาหารชั้นนำในศูนย์การค้าที่ร่วมรายการ ครบ 1,000 บาท รับทันทีบัตรกำนัลรับประทานอาหารมูลค่า 100 บาท และ สำหรับ 5 Top Spender นักชิมที่สะสมยอดการรับประทานอาหารสูงที่สุด 5 ท่านรับทันทีบัตรกำนัลห้องพัก JW Marriott Hotel Macau 2 วัน 1 คืน พร้อมทานอาหารเมนู Michelin Star ที่ ภัตตาคาร Fook Lam Moon
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54318
Retail
ภารกิจต่อไปของทีเส็บ สายงานธุรกิจหลังได้รับการตอบรับจากนักเดินทางกลุ่มไมซ์ ในกิจกรรมโรดโชว์ CLMV ปี 2562 คืออะไร
a. สร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่สมาชิกขององค์กรผ่านงานแสดงสินค้า b. การขับเคลื่อนความสนใจให้เป็นยอดจอง เพื่อการเดินทางที่แท้จริง c. สิทธิประโยชน์ของแคมเปญครอบคลุมไปถึงการสนับสนุนด้านงบประมาณ บริการช่องทางพิเศษ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ d. มอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย และคุ้มค่าอย่างเหนือระดับ
ข้อที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า ภารกิจต่อไปของทีเส็บ สายงานธุรกิจ หลังได้รับการตอบรับจากนักเดินทางกลุ่มไมซ์ ในกิจกรรมโรดโชว์ CLMV ปี 2562 ทั้งในภาคการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และงานแสดงสินค้านานาชาติ คือ ขับเคลื่อนความสนใจให้เป็นยอดจองเพื่อการเดินทางที่แท้จริง เน้นการสนับสนุน ผลักดัน ด้วยข้อเสนอพิเศษและสิทธิประโยชน์ ภายใต้แคมเปญสนับสนุน Fly and Meet Double Bonus – Redefined สำหรับกลุ่มการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลและ ASEAN+6 Visitor Privilege สำหรับกลุ่มงานแสดงสินค้านานาชาติ ยอดความสนใจของกลุ่มการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลมาจากประเทศกัมพูชาจำนวน 13 กลุ่ม รวม 1,681 คน ในธุรกิจประเภทเครื่องดื่ม เภสัชกรรม ประกันภัย และขายตรง คาดการณ์รายได้รวมโดยประมาณอยู่ที่ 122 ล้านบาท จากประเทศเมียนมาจำนวน 6 กลุ่ม รวม 580 คน ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และการเกษตร คาดการณ์รายได้รวมกว่า 42 ล้านบาท ส่วนจากเมืองฮานอยและโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม มีจำนวน 28 กลุ่ม รวม 2,810 คน ในอุตสาหกรรมประเภทเภสัชกรรม การแพทย์ ธนาคาร และสื่อสารมวลชน คาดการณ์รายได้อยู่ที่ 203 ล้านบาท สำหรับนักเดินทางกลุ่มการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล ทีเส็บ สายงานธุรกิจ ร่วมมือกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จัดแคมเปญสนับสนุน Fly and Meet Double Bonus – Redefined มอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย และคุ้มค่าอย่างเหนือระดับ สิทธิประโยชน์ของแคมเปญครอบคลุมไปถึงการสนับสนุนด้านงบประมาณ บริการช่องทางพิเศษ (MICE LANE) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริการจัดการต้อนรับ การแสดงด้านวัฒนธรรม อภินันทนาการที่นั่งบนเครื่องบิน 1 ที่นั่งต่อการจอง 30 ที่นั่ง การอำนวยความสะดวกให้น้ำหนักสัมภาระเพิ่มเติม และสิทธิพิเศษในการขึ้นเครื่องเป็นลำดับแรกแบบหมู่คณะ สิทธิพิเศษในแคมเปญนี้มอบให้กับคณะนักเดินทางกลุ่มไมซ์ที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จำนวนขั้นต่ำ 30 ท่าน ระยะพำนักในไทยอย่างน้อย 2 คืน หรือเข้าร่วมงานไมซ์หรือพำนัก ณ โรงแรมที่ได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์มาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย (Thailand MICE Venue Standard) กำหนดการเดินทางภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 สามารถสมัครเข้ารับสิทธิพิเศษได้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2562
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54319
Retail
ปัจจัยอันดับหนึ่งของการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์คืออะไร
ก. ความมีชื่อเสียงของแบรนด์ ข. ประโยชน์ของการใช้สอย ค. ราคา ง. ภาพลักษณ์ แบรนด์สินค้า ของสินค้าและบริการ
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ง. เพราะว่า จากรายงานของ theasianparent.com เว็บไซต์แม่และเด็กชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่ากลุ่มคุณแม่ในไทยใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์สูงถึง 91% และกว่า 61% ซื้อสินค้าออนไลน์อย่างน้อย 2 ครั้งต่อเดือน ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มคุณแม่กว่า 94.5% ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ แบรนด์สินค้า ของสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งของการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ และกว่า 98% เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อของเข้าบ้าน ปัจจุบันกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความน่าสนใจสำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างมาก เนื่องด้วยไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่ ที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และต้องการความสะดวกสบายในการบริโภคสินค้า ทั้งเพื่อตัวเองและครอบครัว จึงทำให้คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เพียงแต่การหันมาติดตามข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ แต่ยังรวมถึงการจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์กันอย่างมากขึ้นอีกด้วย
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54324
Retail
การร่วมมือของ VGI เเละ iClick เป็นการดึงจุดแข็งมาผนึกกำลังในการสร้างอะไร
ก. ศักยภาพในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดภายในภูมิภาค ข. ความสามารถในการนำเสนอโฆษณาที่สอดคล้องตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ค. โอกาสทางธุรกิจของแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เข้าถึงความต้องการของตลาดผู้บริโภคในประเทศจีน ง. ความต้องการของตลาดในประเทศจีน
คำตอบได้แก่ ค. เพราะว่า เพราะการร่วมมือของ VGI เเละ iClick เป็นการดึงจุดแข็งมาผนึกกำลังในการสร้างโอกาสทางธุรกิจของแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เข้าถึงความต้องการของตลาดผู้บริโภคในประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่และกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งสองบริษัทจะร่วมกันสร้างโอกาสทางการตลาดแบบข้ามพรมแดนที่ไร้ขีดจำกัด ด้วยเทคโนโลยีมือถือและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ดังต่อไปนี้ - Mobile Application – ด้วยพลังของเทคโนโลยี AI โมบายแอปพลิเคชัน ที่สามารถสร้างเนื้อหาทางการตลาดได้ตรงตามลักษณะส่วนบุคคลหรือความสนใจของผู้ใช้งานได้ จึงทำให้แบรนด์สามารถกำหนดและแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด - China Solutions – โซลูชั่นส์การตลาดดิจิทัลที่หลากหลาย ทั้งบนโลกโซเชียล และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลความสนใจเชิงลึกจากฐานข้อมูลผู้บริโภคในตลาดจีนของ iClick กว่า 780 ล้านผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ลูกค้า ในการได้รับข้อมูลของผู้บริโภคที่ตรงกลุ่มเป้าหมายจากหลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะข้อมูลตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีนัยสำคัญ - O2O Solutions – Mobile charging station หรือ เครื่องบริการชาร์จมือถือที่มีหน้าจอดิจิทัลสำหรับนำเสนอคอนเทนท์การตลาด ซึ่งจะถูกติดตั้งบนเครือข่ายของ VGI ทั้งหมด 10,000 จุด ทั่วประเทศไทย โดยมีจุดติดตั้งที่โดดเด่นและน่าสนใจ อาทิ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ผู้นำด้านการให้บริการระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ในประเทศไทย และศูนย์ขนส่งสินค้าของ Kerry Express ซึ่งเป็นผู้นำด้านการขนส่งพัสดุด่วนชั้นนำของประเทศไทย
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54332
Retail
กลยุทธ์การค้าปลีกที่น่าสนใจของ HMD Global ที่ทำให้ Nokia กลับมาขายดี 70 ล้านเครื่องภายในปีเดียว (2017) คืออะไร?
หากเอ่ยชื่อ Nokia ให้คนที่อายุ 35 ปีขึ้นไปฟัง เชื่อว่าหลายคนตระหนักดีถึงความยิ่งใหญ่ และความเป็นตำนานในการผลิตโทรศัพท์มือถือที่อึด ถึก ทน ต่อให้ตกกระจายแยกชิ้นส่วน หรือตกน้ำ ก็สามารถนำกลับมาประกอบใช้งานใหม่ได้ ในขณะเดียวกันก็เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่เชื่อมโยงชื่อนี้เข้ากับปรากฏการณ์ Digital Disruption ที่โหมกระหน่ำจนทำให้สินค้าของ Nokia ค่อย ๆ เสื่อมความนิยม และออกจากตลาดไปพักหนึ่ง จนกลายเป็นกรณีศึกษาของแวดวงการตลาดด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในปี 2016 เรื่องราวของแบรนด์ Nokia ได้ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ ภายใต้บริษัท HMD Global สตาร์ทอัพสัญชาติฟินแลนด์ ที่พนักงานจำนวนหนึ่งคืออดีตลูกหม้อของ Nokia และมีความผูกพันกับแบรนด์มายาวนาน ปัจจุบัน HMD Global ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์แบรนด์สมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟน Nokia (รวมถึงแท็บเล็ต) กำลังเริ่มต้นบอกเล่าชัยชนะครั้งใหม่ของพวกเขาที่สามารถกลับมาทำตลาดโทรศัพท์มือถือ Nokia จนขายได้ถึง 70 ล้านเครื่องภายในปีเดียว (2017) โดยสิ่งที่ Pekka Rantala รองประธานบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่สูงสุดฝ่ายการตลาด HMD Global มองว่าเป็นปัจจัยให้ Nokia กลับมามีพื้นที่บนโลกสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนอีกครั้งคือการเข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่ผู้บริโภคโหยหาบนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ Pekka Rantala รองประธานบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่สูงสุดฝ่ายการตลาด HMD Global “ทุกวันนี้ ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ต่างยอมรับกับตัวเองว่า เมื่อซื้อสมาร์ทโฟนไปใช้งาน ไม่นานนัก มันจะเริ่มประมวลผลช้าลง รวมถึงไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เปิดตัวออกมาได้ ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจซื้อเครื่องใหม่มาใช้งานแทน” “แต่เรามองตรงกันข้าม เราพยายามทำให้สมาร์ทโฟนที่ลูกค้าซื้อไปดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการอัปเดตระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเป็น Pure Android ซึ่งจะไม่มีการพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ มาครอบทับ ทำให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ผลก็คือ ผู้ใช้ Nokia แม้จะเป็นรุ่นกลาง หรือรุ่นราคาประหยัดก็สามารถเข้าถึงความสามารถใหม่ๆ ของแอนดรอยด์อย่างเช่น Google Assistant ได้ก่อนใคร รวมถึงมีอัปเดตระบบซีเคียวริตี้เป็นประจำทุกเดือน ขณะที่ค่ายอื่นอาจอัพเดทไม่บ่อยเท่า” มีตำนาน ต้องขาย “ตำนาน” Nokia ยังมีสิ่งที่แบรนด์อื่น ๆ ไม่มี นั่นคือ โมเดลในตำนาน เช่น รุ่นกล้วยหอม (8110) และรุ่น 3310 ที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในอดีต และบริษัทก็เลือกที่จะหยิบโมเดลเหล่านั้นกลับมาผลิตและขายใหม่ โดยปัจจุบัน กลุ่มผู้ครอบครองมีทั้งคนที่อยากย้อนอดีต (เพราะสนนราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับโทรศัพท์มือถือตัวอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน) กลุ่มที่ซื้อให้พ่อแม่ใช้ และกลุ่มเด็กที่พ่อแม่ซื้อให้ใช้งานเป็นโทรศัพท์เครื่องแรก nokia8110 การมีโมเดลในตำนานยังทำให้ HMD Global มีเรื่องพูดคุยกับแฟนคลับได้บ่อยๆ เช่น อาจเปิดโหวตถามว่าอยากให้นำรุ่นไหนกลับมารีเมคใหม่ รวมถึงมีคลังสำรองมือถือที่พร้อมจะหยิบออกมาปัดฝุ่นได้ทุกเมื่อด้วย สร้างเรื่องราวจาก Data HMD Global ไม่มีร้านค้าปลีกในทวีปแอนตาร์กติกา แต่พวกเขามี Data ที่บอกว่า มีการเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนของ Nokia ขึ้นที่นั่น แม้จะไม่ทราบว่ารุ่นที่ใช้เป็นรุ่นอะไร และใช้เพื่อการใด แต่เรื่องเล่าเรื่องนี้ก็ขายได้ว่าสมาร์ทโฟนของ Nokia น่าจะทนจริง จึงสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย พยายามเป็น Top3 ให้ได้สักตลาดก่อน จากข้อมูลของ IDC ระบุว่าโทรศัพท์มือถือของ Nokia ทั้งสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟน ติด Top3 ของโทรศัพท์ที่ขายดีที่สุดแล้วในสหภาพยุโรป และตะวันออกกลาง ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เป็นเวียดนามที่ Nokia ขายดีเบียดกับแบรนด์จีนจนติด 1 ใน 3 อยู่ในขณะนี้ ในมุมของผู้เขียน การมีอันดับโลกไว้บ้างก็เป็นการเพิ่มเรื่องเล่าให้แบรนด์อีกทางหนึ่ง (ส่วนอันดับในประเทศไทย Nokia ยังอยู่ใน Top10 ไม่ใช่ Top5 หรือ Top3 แต่อย่างใด) เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน HMD Global เผยว่า พยายามเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่เฉลี่ยเดือนละ 1 รุ่น หรือเท่ากับปีละ 12 รุ่น ซึ่งไม่แปลกเพราะในฐานะสตาร์ทอัพน้องใหม่ การเพิ่มพอร์ทโฟลิโอให้กับธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็น และ Pekka บอกว่า เกมนี้ พวกเขาหวังจะแข่งในระยะยาว เพื่อกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งให้ได้ ดังนั้น การเร่งเครื่องให้ไวจึงสำคัญไม่แพ้การรักษาคุณภาพของตัวสมาร์ทโฟนให้ดีให้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่จ้าง Celebrity เพราะลูกค้าคือ Influencer ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะมีงบการตลาดมากน้อยอย่างไร หากอยากเป็นที่รู้จัก การใช้บรรดาคนดัง ศิลปินดารามาช่วยโฆษณาก็มีส่วนในการสร้าง Awareness ได้ไม่น้อย แต่สำหรับ HMD Global แล้วอาจไม่ใช่ เพราะ Pekka บอกว่า หน้าที่ของบริษัทคือการผลิตสมาร์ทโฟนที่ดีออกมาให้ได้ จากนั้นถ้ามันดีจริง ลูกค้าจะทำหน้าที่เป็น Influencer ให้เอง และการแนะนำจากปากของคนใกล้ชิดนี่แหล่ะ ที่ Pekka บอกว่าสุดยอดกว่าบรรดา Celebrity เสียอีก จากเรื่องเล่าของ Pekka Rantala เกี่ยวกับการประคับประคองชื่อ Nokia ขึ้นมาใหม่นี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ที่น่าสนใจว่า แม้จะเป็นแบรนด์เก่าแก่ และเคยวางกลยุทธ์ผิดพลาดมาแล้วแค่ไหนก็ตาม หากผู้บริหารมีมุมมอง มีกลยุทธ์ และมีแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้องเหมาะสมกับยุคสมัย แบรนด์นั้น ๆ ก็สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องท้อแท้ หรือโทษกันไปมาเพื่อหาคนผิดแต่อย่างใดเลย ใครกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ ดู Nokia เป็นตัวอย่างก็ได้
กลยุทธ์การค้าปลีกที่น่าสนใจของ HMD Global แบ่งออกเป็น 4 ประการ ดังนี้ 1. มุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะกลุ่ม: แทนที่จะแข่งขันกับแบรนด์สมาร์ทโฟนยอดนิยมอย่าง Samsung และ Apple HMD Global เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะกลุ่ม กลยุทธ์นี้ช่วยให้ HMD Global สามารถเจาะตลาดที่คู่แข่งรายใหญ่ละเลย ตัวอย่างเช่น HMD Global มุ่งเน้นไปที่ตลาดโทรศัพท์มือถือราคาประหยัด ตลาดฟีเจอร์โฟน และตลาดผู้ใช้ที่ต้องการโทรศัพท์มือถือที่ทนทาน 2. นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง: HMD Global มุ่งเน้นไปที่การผลิตโทรศัพท์มือถือที่มีคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง กลยุทธ์นี้ดึงดูดผู้บริโภคที่มองหาโทรศัพท์มือถือที่เชื่อถือได้และใช้งานได้จริง ตัวอย่างเช่น Nokia 3310 รุ่นใหม่เป็นโทรศัพท์มือถือฟีเจอร์โฟนที่มีราคาไม่แพงและทนทาน โทรศัพท์รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคที่ต้องการโทรศัพท์มือถือสำรองหรือโทรศัพท์มือถือสำหรับใช้งานทั่วไป 3. สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง: HMD Global พยายามสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ Nokia ให้เป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นไปที่การเน้นย้ำถึงมรดกของ Nokia ในฐานะผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่ทนทานและเชื่อถือได้ HMD Global ยังใช้การตลาดแบบปากต่อปากและโซเชียลมีเดียเพื่อเชื่อมต่อกับผู้บริโภคและสร้างชุมชน Nokia 4. ใช้กลยุทธ์การค้าปลีกที่ชาญฉลาด: HMD Global ทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีกทั่วโลกเพื่อจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ Nokia บริษัทใช้กลยุทธ์การค้าปลีกที่หลากหลาย เช่น การขายออนไลน์ การขายปลีกแบบดั้งเดิม และการขายผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ HMD Global เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น กลยุทธ์การค้าปลีกเหล่านี้ช่วยให้ HMD Global ประสบความสำเร็จอย่างมากในการฟื้นฟูแบรนด์ Nokia กลับมาอีกครั้ง HMD Global แสดงให้เห็นว่า แม้แต่แบรนด์ที่เคยล้มเหลวก็สามารถกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง โดยใช้กลยุทธ์การค้าปลีกที่ถูกต้องและเหมาะสม
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54344
Retail
ผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2561 มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป สูงถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด คาดการณ์ว่าในปี 2574 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด 2. กำลังซื้อของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยยังมีรายได้และกำลังซื้อ จากการทำงาน เงินบำนาญ เงินออม 3. พฤติกรรมการช็อปปิ้งของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุมีเวลาว่างมากขึ้น ชอบไปช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ส่วนตัว ยารักษาโรค อาหาร 4. ความต้องการสินค้าและบริการเฉพาะกลุ่ม ผู้สูงอายุมีความต้องการสินค้าและบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม ยา อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อุปกรณ์ช่วยเดิน 5. โอกาสทางธุรกิจ ธุรกิจค้าปลีกสามารถจับโอกาสทางธุรกิจจากกลุ่มผู้สูงอายุ โดยพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ เช่น บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน บริการหลังการขาย ตัวอย่างคำถามเพิ่มเติม -ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์มีโอกาสเติบโตจากกลุ่มผู้สูงอายุหรือไม่? -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ? -สินค้าและบริการประเภทใดที่ผู้สูงอายุมีความต้องการมากที่สุด? -ธุรกิจค้าปลีกควรทำอย่างไรเพื่อสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีให้กับผู้สูงอายุ? -ธุรกิจค้าปลีกควรมีบทบาทอย่างไรในการช่วยเหลือผู้สูงอายุในสังคม? สรุป ผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ธุรกิจค้าปลีกควรให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุ พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54354
Retail
Tesco Lotus ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างไร เพื่อพัฒนาทักษะนักศึกษาให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน?
เพราะการทำธุรกิจวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งศึกภายนอกและศึกภายใน ที่ต้องรับมืออยู่ทุกวัน เพื่อให้การดำเนินธุรกิจอยู่รอดและมีกำไรได้ ดังนั้นภาคธุรกิจจึงไม่ใช่ห้องทดลองการเรียนรู้อีกต่อไป “ทรัพยากรบุคคล” หรือ พนักงานที่เข้ามาทำงานต้องเข้าใจโลกธุรกิจและทำงานได้ทันที เพื่อให้องค์กรเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จ Tesco Lotus หนึ่งในภาคธุรกิจที่ต้องรันด้วยพนักงานจำนวนมาก ทั้งหลังบ้านและหน้าบ้านในหลายสาขาทั่วประเทศ จึงให้ความสำคัญเรื่อง “คน” (People) เป็นอย่างมาก โดยวางองค์กรให้เป็น a place to get on ที่นอกจากโอกาสในการเติบโตในสายงานแล้ว ยังต้องสามารถตอบโจทย์พนักงานในแง่มุมอื่นได้ด้วย ล่าสุด Tesco Lotus จึงนำเอาความเชี่ยวชาญของภาคธุรกิจค้าปลีก มาผนึกกับสถาบันการศึกษาอย่าง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อผลักดันให้นักศึกษาได้เรียนรู้เคสจากธุรกิจจริงๆ หยิบยกปัญหาและสถานการณ์จริงมาแลกเปลี่ยน วิเคราะห์ ผ่านทีมงาน Tesco Lotus ที่มาร่วมเป็นพี่เลี้ยง ตลอดจนเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงาน ดูงาน และลงมือทำงานด้วยตนเอง เพื่อรับประสบการณ์โดยตรง รวมถึงการส่งเสริมการผลิตผลงานวิชาการในรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของธุรกิจ หรือที่เรียกว่า Experiential Learning อีกทั้งจบการศึกษาแล้วมีประสบการณ์พร้อมลุยงานทันที อรกานดา อรรถวิภัชน์ ประธานกรรมการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล Tesco Lotus “Tesco Lotus มุ่งมั่นในการใช้ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจในการยกระดับคุณภาพบุคลากรในอนาคตของประเทศให้มีความพร้อมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำองค์ความรู้และประสบการณ์ในภาคธุรกิจมาร่วมสร้างประโยชน์ให้กับสถาบันอุดมศึกษาในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญและเหมาะกับความต้องการแรงงานในยุคปัจจุบัน” อรกานดา อรรถวิภัชน์ ประธานกรรมการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล Tesco Lotus กล่าว ด้าน คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ รองศาสตราจารย์ ดร. พิภพ อุดร เสริมว่า “สิ่งที่นักศึกษาได้รับน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการเรียนรู้ในโลกธุรกิจของจริงและช่วยเสริมทักษะที่หลากหลายในการต่อยอดชีวิตการทำงานในอนาคต เรียกว่า จบออกมาก็พร้อมทำงานได้เลย” (ที่ 2 จากซ้าย) รองศาสตราจารย์ ดร. พิภพ อุดร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ การร่วมมือระหว่าง Tesco Lotus กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการปรับตัวในแง่ภาคธุรกิจและภาคการศึกษาที่เอื้อระหว่างกัน อีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาตลาดแรงงานยุคใหม่ ที่ขาดแคลนทรัพยากรบุคคลมีคุณภาพได้อย่างตรงจุด เพราะการผลิตบัณฑิตที่จบออกมาพร้อมประสบการณ์การทำงานจริง จะสามารถทำงานต่อได้ทันที ไม่ต้องเรียนรู้งานใหม่ให้เสียเวลาอีกต่อไป และคำว่า “เด็กจบใหม่” หางานยาก จะไม่มีอีกต่อไป
Tesco Lotus ร่วมมือกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านโครงการ Experiential Learning พัฒนาทักษะนักศึกษาให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ดังนี้ 1. นำเคสจากธุรกิจจริงมาเรียนรู้: -นักศึกษาได้เรียนรู้จากปัญหาและสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นใน Tesco Lotus -วิเคราะห์ปัญหาและหาทางออกร่วมกับทีมงาน Tesco Lotus -พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ 2. ฝึกงาน ดูงาน และลงมือทำงานจริง: -นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะที่เรียนรู้ในห้องเรียน ผ่านการฝึกงานและดูงานใน Tesco Lotus -เรียนรู้การทำงานจริงในธุรกิจค้าปลีก -พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และการบริการลูกค้า 3. พัฒนาผลงานวิชาการ: -นักศึกษาได้มีโอกาสพัฒนาผลงานวิชาการในรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของ Tesco Lotus -เรียนรู้การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จริง -พัฒนาทักษะการวิจัย การนำเสนอ และการเขียน 4. พัฒนาทักษะอื่นๆ: -นักศึกษาได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคปัจจุบัน เช่น ทักษะดิจิทัล -เรียนรู้การทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย -พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นผู้นำ ผลลัพธ์: -นักศึกษาจบการศึกษาพร้อมทำงานทันที -มีทักษะและความรู้ที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน -มีประสบการณ์การทำงานจริง -สามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานในโลกธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว -ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อทั้ง Tesco Lotus และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนี้: Tesco Lotus: -ได้รับนักศึกษาที่มีทักษะและความรู้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ -ลดต้นทุนในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ -สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: -นักศึกษาได้รับประสบการณ์การทำงานจริง -พัฒนหลักสูตรการเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ -สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคธุรกิจ บทสรุป: Tesco Lotus และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะนักศึกษาให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน โครงการ Experiential Learning เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและภาคการศึกษา ที่ช่วยพัฒนานักศึกษาให้พร้อมสำหรับการทำงานในโลกธุรกิจจริง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54360
Retail
กลยุทธ์การขยายช่องทางขายของ RS ในธุรกิจ MPC สอดคล้องกับแนวคิดค้าปลีกยุคใหม่หรือไม่?
null
สอดคล้อง กลยุทธ์การขยายช่องทางขายของ RS ในธุรกิจ MPC นั้น สอดคล้องกับแนวคิดค้าปลีกยุคใหม่หลายประการ ดังนี้ 1. มุ่งเน้นการใช้ช่องทางออนไลน์: RS ลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์, LINE@shop1781, LINE@COOLanything และแอปพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่และเพิ่มโอกาสในการขาย 2. นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น: RS พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเองให้ใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีบริการลูกค้าสัมพันธ์ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้า 3. มุ่งเน้นการใช้ข้อมูล: RS วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน 4. ขยายช่องทางจำหน่ายแบบออฟไลน์: RS ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขาย 5. นำเสนอสินค้าที่หลากหลาย: RS นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า 6. มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์: RS ลงทุนในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ 7. นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลด: RS นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า ตัวอย่างกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับแนวคิดค้าปลีกยุคใหม่ -การใช้ Influencer Marketing: RS ร่วมมือกับ Influencer บนโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทสินค้าและสร้างการรับรู้แบรนด์ -การใช้ Live Streaming: RS ขายสินค้าผ่าน Live Streaming บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook และ YouTube -การใช้ Chatbots: RS ใช้ Chatbots บน LINE Official Account เพื่อตอบคำถามลูกค้าและแนะนำสินค้า สรุป กลยุทธ์การขยายช่องทางขายของ RS ในธุรกิจ MPC นั้น สอดคล้องกับแนวคิดค้าปลีกยุคใหม่หลายประการ RS มุ่งเน้นการใช้ช่องทางออนไลน์ นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น นำเสนอสินค้าที่หลากหลาย และนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ ข้อจำกัด -กลยุทธ์เหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก -กลยุทธ์เหล่านี้อาจไม่ประสบความสำเร็จหากไม่ได้รับการดำเนินการอย่างถูกต้อง -กลยุทธ์เหล่านี้อาจถูกคัดลอกโดยคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การขยายช่องทางขายของ RS ในธุรกิจ MPC นั้น ถือว่ามีความน่าสนใจและมีโอกาสประสบความสำเร็จ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54363
Retail
กลยุทธ์การค้าปลีกที่บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ใช้เพื่อรับมือกับมาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านแบบใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีอะไรบ้าง?
นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี ส่งผลให้มีผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาลงทุนเพื่อรองรับดีมานด์ที่อยู่อาศัยในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้มาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านแบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ด้วยการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV) สำหรับผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาที่ 2 ขึ้นไป และผู้ซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยผู้กู้ต้องวางเงินดาวน์ 20-30% รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน สำหรับแนวทางรับมือกับผลกระทบดังกล่าวรวมถึงการดูแลลูกค้า ในเบื้องต้นบริษัทฯ ได้จัดมินิแคมเปญ (Mini Campaign) “รับทองคำแท่ง 2 บาท!! ก่อนมาตรการรัฐ” พร้อมราคาเริ่มต้นสุดพิเศษ ในระหว่างวันที่ 23 – 24 กุมภาพันธ์ 2562 โดยโครงการที่ร่วมแคมเปญดังกล่าว ประกอบด้วย โครงการดีทาวน์ โกรว์ สวนเสือ–ศรีราชา อาคารพาณิชย์แนวคิดใหม่ ฟังก์ชันอพาร์ทเม้นท์ ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการครบทุกด้าน 6 ห้องเช่า 6 ห้องน้ำในตัวทุกห้อง ชั้นล่างสามารถทำธุรกิจสำหรับเจ้าของกิจการหรือปล่อยเช่าหน้าร้าน ชั้นบนเป็นส่วนตัวด้วยทางเข้า–ออกแยกเป็นอิสระ ห้องพักแบ่งสัดส่วนลงตัว พร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ติดถนนใหญ่ ในทำเลศักยภาพใกล้ย่านธุรกิจที่เหมาะสำหรับการลงทุน ราคาเริ่มต้น 2.6 – 9 ล้านบาท พร้อมการันตีค่าเช่า 2 ปี โครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์(ศรีราชา–อัสสัมชัญ) ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อเมริกัน คอทเทจ ใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้สถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย 4 ห้องนอน 2ที่จอดรถ เพียง 400 เมตรจากวัดไร่กล้วย ใกล้โรงเรียนอัสสัมชัญ อิออนมอลล์ โรบินสันศรีราชา และเจ พาร์ค ศรีราชา ราคาเริ่มต้น 99 ล้านบาท รับทองคำแท่ง 2 บาททุกหลัง ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 5 ยูนิต โครงการบ้านดี เดอะวัลเล่ย์ ปลวกแดง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ทัสคานี สถาปัตยกรรมที่งามสง่าหรูหรา และมีระดับ ตามแบบฉบับอิตาลี เปิดเฟสใหม่ ใกล้สโมสรสวยเหนือระดับ 3 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ พร้อมเข้าอยู่ได้ทันที จำนวน 9 ยูนิต ราคาเริ่มต้นล้านต้นต้น รับเพิ่มทองคำแท่ง 2 บาท พร้อม โปรโมชั่นอีกมากมาย “นอกจากจัดรายการส่งเสริมการขายด้วยการนำโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของบริษัทฯ มาทำการรีเซล (Resale) แล้ว บริษัทฯ ได้มีการหารือกับทางธนาคารพาณิชย์เพื่อหาทางออกให้กับลูกค้าที่ซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน เช่น การคำนวณรายได้ที่จะสะท้อนรายได้ในอนาคต เพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างโอกาสในเรื่องการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เป็นต้น ซึ่งในปี 2562บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทาวน์เฮาส์ในทำเลย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ โครงการทาวน์เฮาส์ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และโครงการคอนโดมิเนียมที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยปี 2562 นี้ พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดขายรวม 1,350 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,200 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีก 150 ล้านบาท” นายศิริพงษ์ กล่าวในตอนท้าย สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1793 และ 088-243-8855 หรือคลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.dl.co.th และ facebook: Dlandclub
บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในภาคตะวันออก ใชกลยุทธ์การค้าปลีกที่หลากหลายเพื่อรับมือกับมาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านแบบใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนี้ 1. มินิแคมเปญ “รับทองคำแท่ง 2 บาท!! ก่อนมาตรการรัฐ” -แคมเปญนี้มอบทองคำแท่ง 2 บาท ให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านในโครงการดีทาวน์ โกรว์ สวนเสือ–ศรีราชา โครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์(ศรีราชา–อัสสัมชัญ) และโครงการบ้านดี เดอะวัลเล่ย์ ปลวกแดง -กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้าด้วยข้อเสนอพิเศษ -ทองคำแท่งเป็นของขวัญที่มีมูลค่าสูง -แคมเปญนี้กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านก่อนมาตรการคุมเข้มสินเชื่อบ้านแบบใหม่มีผลบังคับใช้ 2. รีเซล (Resale) โครงการที่อยู่อาศัย -บริษัทนำโครงการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่มาขายใหม่ -กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย -การรีเซล (Resale) ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ 3. หารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อหาทางออก -บริษัทหารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้าน -ตัวอย่างเช่น การคำนวณรายได้ที่จะสะท้อนรายได้ในอนาคต -กลยุทธ์นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น 4. เปิดตัวโครงการใหม่ -บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท -โครงการใหม่เหล่านี้ประกอบด้วย โครงการทาวน์เฮาส์ในย่านบางบัวทอง โครงการทาวน์เฮาส์ที่อำเภอปลวกแดง และโครงการคอนโดมิเนียมที่อำเภอศรีราชา -การเปิดตัวโครงการใหม่ช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้า -โครงการใหม่เหล่านี้ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ 5. ตั้งเป้ายอดขายรวม 1,350 ล้านบาท -บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 1,350 ล้านบาท -เป้าหมายนี้ประกอบด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,200 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีก 150 ล้านบาท -การตั้งเป้าหมายช่วยให้บริษัทสามารถวัดผลประสิทธิภาพการขาย -เป้าหมายนี้ช่วยกระตุ้นให้พนักงานทำงานหนักขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54370
Retail
กลยุทธ์ "Central on Demand" ของกลุ่มเซ็นทรัล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างไร?
null
กลยุทธ์ "Central on Demand" ของกลุ่มเซ็นทรัล มุ่งเน้นไปที่การผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน โดยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม Grab ในการจัดส่งสินค้าและบริการต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบออนดีมานด์ กลยุทธ์นี้มีศักยภาพที่จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: -ลูกค้าจะมีตัวเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แค่การเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้า -ลูกค้าจะคาดหวังการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและสะดวกสบายมากขึ้น -ลูกค้าจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ (Seamless) มากขึ้น 2. การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น: -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากทั้งผู้ค้าปลีกออนไลน์และแพลตฟอร์ม on-demand -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะต้องปรับกลยุทธ์และรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป 3. โอกาสใหม่สำหรับธุรกิจค้าปลีก: -กลยุทธ์ "Central on Demand" จะช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า -กลยุทธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า (Customer insights) ได้มากขึ้น -ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งของ-ลูกค้า ตัวอย่างผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม: -ห้างสรรพสินค้าอาจจำเป็นต้องปรับขนาดพื้นที่ขายลง เนื่องจากลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น -ห้างสรรพสินค้าอาจต้องปรับรูปแบบการจัดร้านค้า เน้นไปที่การนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากการช้อปปิ้งออนไลน์ เช่น การจัดกิจกรรมพิเศษ การให้บริการพิเศษ -ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กอาจต้องพึ่งพาแพลตฟอร์ม on-demand มากขึ้น เพื่อเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า โดยสรุป: กลยุทธ์ "Central on Demand" ของกลุ่มเซ็นทรัล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ประเด็นสำคัญเพิ่มเติม: -กลยุทธ์ "Central on Demand" เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่กลุ่มเซ็นทรัลใช้เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ยังมีกลยุทธ์อื่น ๆ อีกมากมายที่กลุ่มเซ็นทรัลจะใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจและสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า -กลยุทธ์ "Central on Demand" ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังมีรายละเอียดอีกหลายประการที่ยังไม่ชัดเจน เช่น โมเดลธุรกิจ รูปแบบการให้บริการ กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้า ฯลฯ -ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ "Central on Demand" ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขันในตลาด สภาพเศรษฐกิจ ฯลฯ -การติดตามผลลัพธ์ของกลยุทธ์ "Central on Demand" จะช่วยให้เราเข้าใจถึงทิศทางของธุรกิจค้าปลีกในอนาคตได้ดีขึ้น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54371
Retail
แคมเปญ "Gather of Luck Bundle of Joy" ของ JD Central สะท้อนกลยุทธ์การค้าปลีกแบบใด
null
แคมเปญ "Gather of Luck Bundle of Joy" ของ JD Central สะท้อนกลยุทธ์การค้าปลีกแบบ Omnichannel ดังนี้: 1. มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าที่ตรงใจผู้บริโภค: JD Central คัดสรรสินค้าคุณภาพดีและแบรนด์ดังมาไว้ในแคมเปญ JD Central นำเสนอสินค้าในหลากหลายหมวดหมู่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค JD Central เสนอสินค้าในราคาที่คุ้มค่า JD Central นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ 2. มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก: JD Central ช่วยให้นักช้อปสามารถเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ได้อย่างสะดวก JD Central นำเสนอระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและรวดเร็ว JD Central นำเสนอบริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว 3. มุ่งเน้นการสร้างความผูกพันกับลูกค้า: JD Central นำเสนอแคมเปญที่ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า JD Central นำเสนอโปรแกรมสะสมแต้ม JD Points JD Central นำเสนอกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้า ตัวอย่าง JD Central นำเสนอสินค้าในหมวดหมู่ "Lucky Gifts" ที่เป็นสินค้าใหม่ล่าสุดจากหลากหลายแบรนด์ดัง JD Central นำเสนอสินค้าในหมวดหมู่ "Lucky Deals" ในราคาพิเศษ JD Central นำเสนอสินค้าในหมวดหมู่ "Lucky Hours" ในราคาเริ่มต้นเพียง 8 บาท ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เพิ่มยอดขายสินค้า เพิ่มจำนวนลูกค้า เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด สร้างความพึงพอใจของลูกค้า สรุป แคมเปญ "Gather of Luck Bundle of Joy" ของ JD Central สะท้อนกลยุทธ์การค้าปลีกแบบ Omnichannel ที่มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าที่ตรงใจผู้บริโภค มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก และสร้างความผูกพันกับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54375
Retail
อะไรคือความท้าทายสำหรับร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Retail) ในการปรับตัวเข้าสู่อีคอมเมิร์ซ?
null
1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น สะดวก รวดเร็ว ง่ายต่อการเปรียบเทียบราคาสินค้า และตัวเลือกสินค้าที่มีความหลากหลาย 2. ต้นทุนการดำเนินงาน: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูง เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้าคงคลัง 3. การขาดแคลนทักษะ: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมอาจไม่มีทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 4. การแข่งขันที่รุนแรง: มีจำนวนผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น เกิดการแข่งขันสูง ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องหาวิธีดึงดูดลูกค้า 5. การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องหาวิธีสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่น่าสนใจ ดึงดูดลูกค้า 6. การจัดการระบบโลจิสติกส์: การจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ตรงเวลา เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 7. การรักษาความปลอดภัยข้อมูล: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้า 8. การวิเคราะห์ข้อมูล: การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการซื้อ ช่วยให้ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมเข้าใจลูกค้า และนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ 9. การพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์ต่างๆ 10. การผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์: การผสมผสานระหว่างช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel) ช่วยให้ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ตัวอย่างแนวทางการปรับตัว: - จับมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ - พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเอง - นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง - สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่น่าสนใจ - ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า - พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี - วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า - ลงทุนในระบบโลจิสติกส์ - รักษาความปลอดภัยข้อมูล บทสรุป: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย พัฒนาธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่น่าสนใจ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54385
Retail
สิงห์ คอมเพล็กซ์ ไม่เพียงแต่จะโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมภายนอกเท่านั้นแต่ยังโดดเด่นในด้านใดอีกบ้าง
a. สิ่งอำนวยความสะดวกและดีไซน์ที่ทันสมัย b. ความทันสมัยและดีไซน์ที่สวยงาม c. ดีไซน์ที่สวยงามและความแข็งแรงคงทน d. ความทันสมัยในด้านเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวก
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ d. เพราะว่า และคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามที่ว่า “ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ไม่เพียงแต่จะโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมภายนอกเท่านั้นแต่ยังโดดเด่นในด้านใดอีกบ้าง” นั่นก็คือ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ไม่เพียงแต่จะโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมภายนอกเท่านั้นแต่ยังแฝงไว้ซึ่งความทันสมัยในด้านเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวก เพียงไม่กี่ก้าวจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรี ใกล้ท่าเรือด่วนคลองแสนแสบ ท่าเรืออโศก แอร์พอร์ตเรลลิงค์สถานีมักกะสัน และทางพิเศษศรีรัช ตอบสนองทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) อาคารสำนักงานเกรดเอ (The Office at SINGHA COMPLEX) และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ตัวอาคารสูง 42 ชั้น ขนาดพื้นที่อาคารรวมประมาณ 120,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น พื้นที่ให้เช่าสุทธิของสำนักงานประมาณ 60,000 ตารางเมตร และพื้นที่ให้เช่าสุทธิของพื้นที่ค้าปลีก จำนวน 4 ชั้น ประมาณ 4,500 ตารางเมตร และพื้นที่จอดรถ รองรับรถได้ประมาณกว่า 880 คัน 2) อาคารคอนโดมิเนียม (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) อาคารสูง 39 ชั้น ร่วมสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอันสมบูรณ์แบบที่ สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี ที่รวบรวมทุกรายละเอียดเพื่อเติมเต็มทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ไว้อย่างลงตัว ได้แล้วตั้งแต่วันนี้
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54387
Retail
กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ของเวนดิ้งพลัส จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่: กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ช่วยให้เวนดิ้งพลัสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีรายได้น้อย ซึ่งปกติอาจจะไม่ซื้อสินค้าจาก Vending Machine เพราะคิดว่าราคาสินค้าแพง การดึงดูดลูกค้า: กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาถูกกว่าร้านสะดวกซื้อ การเพิ่มความน่าสนใจ: กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับ Vending Machine ดึงดูดให้ลูกค้าอยากลองใช้ การสร้างภาพลักษณ์: กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับเวนดิ้งพลัส ว่าเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากก็สามารถซื้อสินค้าได้ การเพิ่มโอกาสในการซื้อ: กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้า เพราะลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคา ตัวอย่างเพิ่มเติม: - จากผลสำรวจของเวนดิ้งพลัส พบว่า 70% ของลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าจาก Vending Machine เพราะราคาสินค้าถูกกว่าร้านสะดวกซื้อ - กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับเวนดิ้งพลัส 20% - กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ได้รับรางวัล Thailand Marketing Excellence Awards 2023 สรุป: กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" ของเวนดิ้งพลัส น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้ โดยการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ดึงดูดลูกค้า เพิ่มความน่าสนใจ สร้างภาพลักษณ์ และเพิ่มโอกาสในการซื้อ ข้อควรระวัง: - กลยุทธ์ "10 บาทก็สดชื่นได้" อาจจะไม่ได้ผลกับลูกค้าทุกกลุ่ม - กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการลงทุนและทรัพยากรที่มากขึ้น - คู่แข่งอาจจะลอกเลียนแบบกลยุทธ์นี้
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54395
Retail
กลยุทธ์ทางการตลาดที่ Häagen-Dazs ใช้ในการเปิดตัวไอศกรีมรสชาติใหม่ “ชีส” มีอะไรบ้าง?
null
Häagen-Dazs ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดหลายประการในการเปิดตัวไอศกรีมรสชาติใหม่ “ชีส” กลยุทธ์เหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้ 1. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์: เน้นความเป็น “ชีส”: Häagen-Dazs เน้นย้ำความโดดเด่นของไอศกรีมรสชีสผ่านทั้งชื่อรสชาติ, บรรจุภัณฑ์, กิจกรรมส่งเสริมการขาย และการสื่อสารต่างๆ ผสมผสานวัฒนธรรม: Häagen-Dazs ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยใช้ครีมชีสจากยุโรปผสมผสานกับโมจิจากเอเชีย สร้างประสบการณ์ใหม่: Häagen-Dazs มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคผ่านเนื้อสัมผัสที่มีเอกลักษณ์ของโมจิผสมผสานกับรสชาติชีส 2. กลยุทธ์ด้านราคา: ราคาพรีเมียม: Häagen-Dazs ตั้งราคาไอศกรีมรสชีสใหม่ในระดับพรีเมียม เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โปรโมชั่นและกิจกรรม: Häagen-Dazs จัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ดึงดูดลูกค้าให้ลองชิมรสชาติใหม่ 3. กลยุทธ์ด้านสถานที่: วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ: Häagen-Dazs วางจำหน่ายไอศกรีมรสชีสใหม่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ Haagen-Dazs café: Häagen-Dazs นำเสนอเมนูพิเศษ “Gondola Tiramisu” และ “Bistro Paris” ที่ใช้ไอศกรีมรสชีสใหม่ ดึงดูดลูกค้าให้มาลองชิมที่ร้าน 4. กลยุทธ์ด้านการสื่อสาร: สื่อออนไลน์: Häagen-Dazs ใช้สื่อออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, เว็บไซต์ เพื่อประชาสัมพันธ์ไอศกรีมรสชีสใหม่ KOL Marketing: Häagen-Dazs ร่วมมือกับ Influencer และ KOL ที่มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทรสชาติใหม่ กิจกรรมเวิร์คช็อป: Häagen-Dazs จัดกิจกรรมเวิร์คช็อป “SNOW GLOBE” ดึงดูดลูกค้า สร้างการมีส่วนร่วม ผลลัพธ์ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Häagen-Dazs ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวไอศกรีมรสชาติใหม่ “ชีส” ไอศกรีมรสชีสใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า บทวิเคราะห์ กลยุทธ์ของ Häagen-Dazs ประสบความสำเร็จเพราะเข้าใจความต้องการของลูกค้า Häagen-Dazs นำเสนอไอศกรีมรสชาติใหม่ ที่มีความแปลกใหม่ ผสมผสานวัฒนธรรม Häagen-Dazs ตั้งราคาสินค้าและจัดโปรโมชั่น กิจกรรม ดึงดูดลูกค้า Häagen-Dazs วางจำหน่ายสินค้าในสถานที่ที่สะดวก Häagen-Dazs สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ รสชาติใหม่ ดึงดูดลูกค้า สรุป Häagen-Dazs เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้กลยุทธ์ Retail ที่ประสบความสำเร็จ Häagen-Dazs เข้าใจความต้องการของลูกค้า นำเสนอสินค้า บริการ ตรงใจ สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ ดึงดูดลูกค้า กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Häagen-Dazs ประสบความสำเร็จ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54397
Retail
แกรนด์โฮมมีกลยุทธ์อย่างไรในการทรานส์ฟอร์มสู่การเป็นดิจิทัลรีเทล และกลยุทธ์เหล่านี้จะส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าอย่างไร?
null
แกรนด์โฮม ผู้นำธุรกิจกระเบื้องและวัสดุก่อสร้าง เผยกลยุทธ์ดิจิทัลรีเทล มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาผสานผสานกับกลยุทธ์ค้าปลีกแบบดั้งเดิม เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก ง่ายดาย ตรงใจลูกค้า ยกระดับธุรกิจสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล กลยุทธ์ดิจิทัลรีเทลของแกรนด์โฮม ประกอบด้วย 3 แกนหลัก: 1. พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน: พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย ค้นหาสินค้าสะดวก รวดเร็ว รองรับระบบการชำระเงินที่หลากหลาย มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น ระบบจัดการสินค้าคงคลัง: พัฒนาระบบจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อข้อมูลสินค้าทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ตรวจสอบสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์ ระบบการจัดส่งสินค้า: พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว ตรงเวลา มั่นคง รองรับการจัดส่งสินค้าทั่วประเทศ บริการหลังการขาย: พัฒนาระบบบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ ตอบคำถามลูกค้า แก้ไขปัญหาต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ 2. เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ O2O (Online to Offline): เชื่อมต่อหน้าร้านและออนไลน์: ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา ตรวจสอบสต็อกสินค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ และสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เลือกรับสินค้าที่หน้าร้าน หรือจัดส่งสินค้าถึงบ้าน โชว์รูมดิจิทัล: พัฒนาโชว์รูมดิจิทัลบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน จำลองบรรยากาศโชว์รูมจริง ลูกค้าสามารถชมสินค้า 360 องศา เปรียบเทียบสินค้า เลือกสินค้าที่ต้องการได้ง่ายดาย บริการปรึกษาออนไลน์: พัฒนาระบบบริการปรึกษาออนไลน์ ลูกค้าสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เลือกสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการ ผ่านช่องทางแชท วิดีโอคอล 3. นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการขาย: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการซื้อสินค้า นำข้อมูลมาพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์การตลาดที่ตรงใจลูกค้า การตลาดออนไลน์: ใช้เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ เช่น SEO, SEM, Social Media Marketing ดึงดูดลูกค้า เพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า ระบบ CRM: พัฒนาระบบ CRM เก็บข้อมูลลูกค้า ติดตามความสัมพันธ์ มอบบริการที่ตรงใจลูกค้า กลยุทธ์ดิจิทัลรีเทลเหล่านี้ จะส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า ดังนี้: สะดวก รวดเร็ว: ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อสินค้า ชำระเงิน ผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา หลากหลาย: ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าหลากหลายรายการ จากหลายแบรนด์ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่หน้าร้าน ข้อมูลครบถ้วน: ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้า รายละเอียดสินค้า รีวิวจากลูกค้า เปรียบเทียบสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54402
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของโครงการ “ไทยเด็ด” ในการส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station?
null
กลยุทธ์หลักของโครงการ “ไทยเด็ด” ในการส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ประกอบด้วย 4 ประการหลัก ดังนี้ 1. คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ: โครงการ “ไทยเด็ด” มุ่งเน้นคัดสรรผลิตภัณฑ์แปรรูปจากวิสาหกิจชุมชนที่มีความพร้อม ผลิตภัณฑ์ต้องมีมาตรฐานและคุณภาพ ผ่านการตรวจสอบและรับรอง สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค 2. พัฒนาระบบการผลิต: โครงการ “ไทยเด็ด” มุ่งพัฒนาระบบการผลิตของวิสาหกิจชุมชนให้มีมาตรฐาน ให้ความรู้ด้านการผลิต การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การตลาด ยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ 3. ขยายช่องทางการจำหน่าย: โครงการ “ไทยเด็ด” นำเสนอผลิตภัณฑ์ชุมชนผ่านมุม “ไทยเด็ด” ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station สถานีบริการน้ำมัน PTT Station มีมากถึง 1,700 แห่งทั่วประเทศ ช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม 4. สนับสนุนเงินทุน: ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยถูกพิเศษ วิสาหกิจชุมชนสามารถยื่นกู้ได้สะดวกทุกที่ทุกเวลาด้วยแอปพลิเคชัน SME D Bank ช่วยให้วิสาหกิจชุมชนมีเงินทุนใช้พัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์ เพิ่มเติม: โครงการ “ไทยเด็ด” เปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2561 เริ่มต้นมีผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เข้าร่วมโครงการ 14 แห่ง คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่ง ในปี 2562 ผลลัพธ์: โครงการ “ไทยเด็ด” ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สรุป: กลยุทธ์หลักของโครงการ “ไทยเด็ด” เน้นไปที่การคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พัฒนาระบบการผลิต ขยายช่องทางการจำหน่าย และสนับสนุนเงินทุน กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ Retail: โครงการ “ไทยเด็ด” เป็นตัวอย่างของการนำโมเดล Retail เข้ามาช่วยส่งเสริมสินค้าชุมชน สถานีบริการน้ำมัน PTT Station เปรียบเสมือนร้านค้าปลีกที่นำเสนอสินค้าชุมชนให้กับผู้บริโภค โครงการนี้ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กับสินค้าชุมชน ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าชุมชนได้ง่ายขึ้น ความท้าทาย: โครงการ “ไทยเด็ด” จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพและมาตรฐาน จำเป็นต้องขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคทราบถึงสินค้าชุมชน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54414
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจแบบดั้งเดิมสามารถอยู่รอดในยุคดิจิทัลได้ เพียงแค่ต้องปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่
null
ของขวัญจากอดีต สู่ปัจจุบัน ณ ตลาดเก่าแก่ใจกลางกรุงเทพฯ ร้านขายของเก่า "บ้านนวล" เต็มไปด้วยกลิ่นอายอดีต เต็มไปด้วยของสะสมมากมาย รอคอยผู้มีใจรักมาค้นหา เรื่องราวของ "นลิน" หญิงสาวทายาทรุ่นที่ 3 ของร้าน กำลังเผชิญกับคลื่นลูกใหม่ของธุรกิจ เมื่อการค้าออนไลน์เฟื่องฟู ผู้คนเริ่มมองหาของเก่าผ่านหน้าจอ มากกว่าการมาเยี่ยมเยียนร้านแบบดั้งเดิม นลินครุ่นคิดหาทางออก เธอไม่อยากให้ร้าน "บ้านนวล" สูญหายไปตามกาลเวลา หญิงสาวตัดสินใจผนึกกำลังกับ "วายุ" แฟนหนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ทั้งคู่ร่วมกันสร้างเว็บไซต์และเพจเฟสบุ๊ค นำเสนอของสะสมในร้าน พร้อมเรื่องราวน่าสนใจ ผ่านภาพถ่ายและวิดีโอ ในตอนแรก ยอดขายออนไลน์ยังไม่ดีนัก นลินเริ่มท้อแท้ แต่เธอไม่ยอมแพ้ หญิงสาวพัฒนาการถ่ายภาพ เรียนรู้เทคนิคการเล่าเรื่องผ่านวิดีโอ เธอลงทุนเรียนรู้การโฆษณาออนไลน์ ความพยายามของนลินไม่สูญเปล่า ยอดขายออนไลน์เริ่มมีสัญญาณดี สินค้าหลายชิ้นถูกส่งไปยังลูกค้าทั่วประเทศ วันหนึ่ง นลินได้รับข้อความจาก "คุณหญิงอรุณ" หญิงชราผู้รักของสะสม คุณหญิงอรุณประทับใจในสินค้าและเรื่องราวที่นลินนำเสนอ เธอติดต่อนลินเพื่อขอซื้อโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ การพบกันครั้งนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันดี คุณหญิงอรุณเล่าเรื่องราวของโบราณวัตถุแต่ละชิ้น สร้างความประทับใจให้นลิน นลินนำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดผ่านช่องทางออนไลน์ ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ร้าน "บ้านนวล" กลายเป็นตัวอย่างของธุรกิจค้าปลีกที่ผสมผสานอดีตและปัจจุบันได้อย่างลงตัว นลินพิสูจน์ให้เห็นว่า ของเก่าไม่ได้ล้าสมัย เพียงแค่ต้องนำเสนอในรูปแบบที่เข้ากับยุคสมัย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54419
Retail
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะสูญเสียความนิยมลงในอนาคตหรือไม่?
null
มีโอกาสสูญเสียความนิยมลง แต่ไม่ถึงกับสูญสิ้น 1. การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์: ผู้บริโภคมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์มีความสะดวก รวดเร็ว และมีตัวเลือกรายการสินค้าที่หลากหลาย ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า 2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคมีแนวโน้มเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคมีแนวโน้มมองหาสินค้าที่มีความเฉพาะตัวและไม่เหมือนใคร ผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้งมากกว่าราคา 3. การขยายตัวของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจค้าปลีก เทคโนโลยีจะช่วยธุรกิจค้าปลีกในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พัฒนาสินค้า และบริการ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมยังมีโอกาสอยู่รอดในอนาคต: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลได้ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่สามารถหาได้จากธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จ: ร้านค้าปลีกที่เน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น ร้านขายเครื่องดนตรี ร้านขายอุปกรณ์กีฬา ร้านค้าปลีกที่เน้นประสบการณ์การช้อปปิ้ง เช่น ร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านค้าปลีกที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน สรุป: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีโอกาสสูญเสียความนิยมลงในอนาคต แต่ไม่ถึงกับสูญสิ้น ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จจะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่สามารถหาได้จากธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54453
Retail
บริการด้านใดที่ ผู้ถือบัตร SCB M สามารถเข้าถึงได้ และมีบทบาทไม่ต่างจาก Banking Agent
ก. บริการการจ่ายบิลออนไลน์ ข. ส่วนลดการจองโรงแรมหรือที่พัก เป็นต้น ค. ส่วนลดสินค้า Delivery ง. บริการการทำประกัน
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ง. เนื่องจาก ผู้ถือบัตร SCB M สามารถใช้บริการจากเมนูต่างๆ ที่มีอยู่ในสองแอปพลิเคชั่นนี้ได้ ไม่ว่าจะเข้ามาจากแอป M CARD หรือ SCB EASY ซึ่งทางธนาคารไทยพาณิชย์เองก็กำลังผลักดันให้แอปพลิเคชั่นนี้เป็นมากกว่าแค่ Digital Banking แต่ขยับมาสู่การเป็น Digital Lifestyle Platform เพื่อให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค โดยที่ SCB EASY จะทำหน้าที่ไม่ต่างกับการเป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่คอยอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ถือบัตร ให้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือสิ่งที่บัตรเครดิตทั่วๆ ไปสามารถทำได้อยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บัตร SCB M สามารถเพิ่มฟังก์ชั่นให้เป็นได้มากกว่าแค่บัตรเครดิตโคแบรนด์ทั่วไป แต่สามารถเข้าถึง Financial Solution ได้มากขึ้น
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54458
Retail
ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการช้อปปิ้งมากมาย แคมเปญสะสมแสตมป์แบบดั้งเดิมของเซเว่น อีเลฟเว่น ยังมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายอยู่หรือไม่?
null
แคมเปญสะสมแสตมป์ของเซเว่น อีเลฟเว่น ยังคงมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลอยู่ แม้ว่าผู้บริโภคจะมีตัวเลือกในการช้อปปิ้งมากมาย แต่แคมเปญนี้ยังมีจุดแข็งที่ทำให้สามารถรักษาความนิยมไว้ได้ ดังนี้: 1. จิตวิทยาการสะสม: แคมเปญสะสมแสตมป์กระตุ้นจิตวิทยาของผู้บริโภคที่ต้องการสะสมแสตมป์ให้ครบเพื่อแลกของพรีเมี่ยม สร้างแรงจูงใจให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าที่เซเว่น อีเลฟเว่นซ้ำๆ 2. กลยุทธ์การสะสมแบบผสมผสาน: เซเว่น อีเลฟเว่น นำเสนอตัวเลือกในการสะสมแสตมป์แบบผสมผสาน ทั้งแบบดั้งเดิมด้วยการแปะแสตมป์ในสมุด และแบบดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน 7-App ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลาย 3. ของพรีเมี่ยมที่ดึงดูดใจ: เซเว่น อีเลฟเว่น เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ออกแบบของพรีเมี่ยมที่หลากหลาย น่าสนใจ และตรงกับกระแสความนิยม 4. การขยายขีดความสามารถของแสตมป์: แสตมป์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือแลกของพรีเมี่ยม แต่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดแทนเงินสด บริจาคให้กับองค์กรการกุศล หรือใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นๆ 5. การสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า: เซเว่น อีเลฟเว่น นำเทคโนโลยี AR มาใช้กับแสตมป์ มอบประสบการณ์การสะสมแสตมป์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม แคมเปญสะสมแสตมป์ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลอยู่เสมอ เซเว่น อีเลฟเว่น ควรพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้: 1. พัฒนาแอปพลิเคชัน 7-App: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญสะสมแสตมป์ เช่น เกม กิจกรรม หรือระบบแลกแสตมป์แบบออนไลน์ 2. มุ่งเน้นการนำเสนอของพรีเมี่ยมที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค: ศึกษาข้อมูลพฤติกรรมและความสนใจของผู้บริโภค ออกแบบของพรีเมี่ยมที่ตรงใจ 3. ร่วมมือกับ Influencer หรือ KOL: สร้างกระแสความนิยมในแคมเปญสะสมแสตมป์ 4. วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด: ใช้ข้อมูลการสะสมแสตมป์ พฤติกรรมการซื้อสินค้า และข้อมูลอื่นๆ เพื่อพัฒนาแคมเปญให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยสรุป แคมเปญสะสมแสตมป์ของเซเว่น อีเลฟเว่น ยังคงมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัล แต่จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ นำเสนอของพรีเมี่ยมที่น่าสนใจ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อรักษาความนิยมและความได้เปรียบในการแข่งขัน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54465
Retail
การเปลี่ยนชื่อตึกมหานครเป็น "คิง เพาเวอร์ มหานคร" จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในโครงการหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. การสร้างการรับรู้แบรนด์: - การเปลี่ยนชื่อเป็น "คิง เพาเวอร์ มหานคร" ช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ King Power ได้ง่ายขึ้น - เพิ่มการรับรู้ถึงความเกี่ยวข้องของ King Power กับโครงการมหานคร - ดึงดูดลูกค้าของ King Power ให้มาเที่ยวชมโครงการ - กระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากลองใช้บริการต่างๆ ในโครงการ 2. การขยายฐานลูกค้า: - King Power มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ - การเปลี่ยนชื่อเป็น "คิง เพาเวอร์ มหานคร" ช่วยให้โครงการเข้าถึงฐานลูกค้าของ King Power ได้ - เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่จากกลุ่มนักท่องเที่ยว - ขยายฐานลูกค้าของธุรกิจค้าปลีกในโครงการ 3. การสร้างภาพลักษณ์ใหม่: - การเปลี่ยนชื่อเป็น "คิง เพาเวอร์ มหานคร" ช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับโครงการ - ส่งเสริมภาพลักษณ์ของโครงการให้ดูหรูหรา น่าเชื่อถือ - ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง - เพิ่มความน่าสนใจให้กับธุรกิจค้าปลีกในโครงการ 4. กลยุทธ์ทางการตลาด: - King Power มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการตลาด - คาดว่าจะมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการในโครงการ - เพิ่มโอกาสในการโปรโมทธุรกิจค้าปลีกในโครงการ - กระตุ้นยอดขายของธุรกิจค้าปลีกในโครงการ 5. การผนวกรวมธุรกิจ: - King Power มีธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม - คาดว่าจะมีการผนวกรวมธุรกิจต่างๆ เข้ากับโครงการ - เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการในโครงการ - ดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการในโครงการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น: - สภาพเศรษฐกิจ - กำลังซื้อของผู้บริโภค - กลยุทธ์ของคู่แข่ง แต่โดยรวมแล้ว การเปลี่ยนชื่อตึกมหานครเป็น "คิง เพาเวอร์ มหานคร" มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในโครงการ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54466
Retail
101 The Third Place ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดีใช่หรือไม่
null
ใช่ เหตุผล คือ: 1. ผสมผสานพื้นที่สำหรับการทำงาน และพักผ่อน ครบครันในที่เดียว: - พื้นที่ Co-working Space รองรับทั้งการทำงาน เรียนรู้ และสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน - พื้นที่ Enterprise Space เหมาะสำหรับบริษัทข้ามชาติ และเหล่าสตาร์ทอัพ - พื้นที่ Innovation Space ให้บริการศูนย์นวัตกรรม และเครื่องมือเทคโนโลยีชั้นนำ - พื้นที่ Events and Business Services Space รองรับการประชุม สัมมนา ร้านอาหาร และพื้นที่กิจกรรมสันทนาการต่างๆ - พื้นที่ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Area) ประกอบด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกและร้านค้ามากกว่า 200 ร้าน 2. การออกแบบที่คำนึงถึงหลักการ “Sustainovation” ของ MQDC: - พื้นที่ส่วนกลางที่เชื่อมต่อกันระหว่างชั้น - การออกแบบพื้นที่ที่เอื้อต่อวิถีการทำงานรปแบบใหม่ - การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3. มีร้านค้าและบริการที่ช่วยเติมเต็มให้การ “ช้อป-ชิม-ชิลล์-แชร์”: - ร้านอาหาร ร้านค้าไลฟ์สไตล์ สุขภาพ และอื่นๆ คัดสรรโดย “101 The Third Place” - สะดวกครบครันและทันสมัย 4. ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก: - ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีปุณณวิถี - มีบริการรถรับส่ง 5. เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก (Global Destination) สำหรับคนยุคดิจิทัล: - รวบรวมบริษัทชั้นนำ สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการจากทั่วโลก - ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัล พื้นที่สำหรับการพบปะ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสร้างเครือข่าย สรุป: 101 The Third Place ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลได้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างเพิ่มเติม: - พื้นที่ Co-working Space รองรับการทำงานแบบ New Normal - มีบริการ Wi-Fi ความเร็วสูง - มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย - มีบริการอื่นๆ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พื้นที่สำหรับเด็กเล่น
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54469
Retail
แนวทางการสร้างแบรนด์ของชิค รีพับบลิคที่ให้ความสำคัญและทำมาโดยตลอด คืออะไร
ตลาดเฟอร์นิเจอร์เมืองไทย หากนับดูเฉพาะผู้เล่นรายหลักๆ ที่ทำตลาดผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด คงมีไม่เกิน 4-5 ราย ที่แข่งขันกันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตลาดที่แข่งขันกันรุนแรง คงหนีไม่พ้นตลาดระดับกลางและตลาดแมส เพราะมีขนาดตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีโอกาสที่จะสร้างยอดขายได้จำนวนมาก แต่การจะได้ยอดขายมาครอง ก็ต้องทำตลาดอย่างหนักเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะสงครามราคาและโปรโมชั่น ที่ดุเดือดและรุนแรง ชิงไหวชิงพริบ ชนิดที่เธอมีอะไรฉันก็มีให้ลูกค้าไม่แพ้กัน แม้จะมีบางแบรนด์จะพยายามเสริมจุดขายใหม่ๆ ที่แตกต่าง อาทิ การบริการออกแบบตกแต่ง การมีที่ปรึกษาด้านอินทิเรียดีไซน์ เป็นต้น แต่ทุกแบรนด์ก็มุ่งไปทางเดียวกันเสมอ สำหรับแบรนด์ชิค รีพับบลิค (CHIC REPUBLIC) ศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์และสินค้าของตกแต่งบ้าน หนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดเฟอร์นิเจอร์เมืองไทย ที่เลือกใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและอยู่ในตลาดพรีเมียม (Different & Premium Strategy) คุณกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการสร้างแบรนด์ของชิค รีพับบลิคที่ให้ความสำคัญและทำมาโดยตลอด คือ การสร้างความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของร้าน การออกแบบตกแต่ง และสินค้า จะเห็นได้จากจุดเริ่มต้นของการสร้างสาขาที่เป็นอาคารทรงโดมและสไตล์วินเทจ ที่ขณะนั้นไม่มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไหนเป็นแบบนี้ ขณะที่สินค้าก็แตกต่างจากแนววินเทจ อย่างเช่นโซฟาสีม่วงที่มีออกมาขาย ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นที่รู้จักและสร้างชื่อให้บริษัท เพราะแนววินเทจขณะนั้นไม่มีใครผลิตออกมาทำตลาดมากนัก ซึ่งในตลาดมีความต้องการสินค้าแนววินเทจอยู่แล้ว “ชิค รีพับบลิคถือว่าเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าชื่นชอบเพราะความแตกต่าง ซึ่งจากการสำรวจโดยทีมการตลาดของบริษัท จะพบว่า มี 3 เรื่องหลักที่ลูกค้าชื่นชอบเรา คือ ดีไซน์ของสินค้าที่แตกต่าง วัสดุที่ใช้ไม่เหมือนกับแบรนด์อื่น และราคาสินค้าที่ไม่สูงเท่ากับที่คาดคิด แม้ว่าภาพลักษณ์สินค้าจะเป็นพรีเมียมก็ตาม ซึ่งชิค รีพับบลิคก็เลือกที่จะวางตำแหน่งของตัวเอง ให้อยู่ในกลุ่มพรีเมียม มีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมาขาย โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสร้างแบรนด์และวางตำแหน่งตัวเองไว้ในระดับสูงก่อน ต่อไปการสร้างแบรนด์ราคาถูกจะง่ายกว่า” คุณกิจจา เล่าถึงแนวคิดในการสร้างแบรนด์ สำหรับการดำเนินธุรกิจในปีนี้ของ “ชิค รีพับบลิค” ถือว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะกำลังมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มุ่งหวังนำเงินทุนมาต่อเติมการเติบโตให้ไปได้ไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นแบรนด์ร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์อายุน้อยที่สุดในบรรดารุ่นพี่ที่ทำตลาดมากก่อนหน้าก็ตาม โดยหากนับอายุธุรกิจนับตั้งแต่วันเริ่มต้นธุรกิจในวันที่ 26 พฤษภาคม 2552 ถึงปัจจุบันก็มีอายุเพียง 9 ปีเท่านั้น แต่แม้จะเป็นน้องเล็ก แต่ก็มีความเผ็ดร้อนตามแบบฉบับของตนเอง ก่อนที่จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เราลองมาทำความรู้จักกับอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ของ “ชิค รีพับบลิค” กันก่อน 1.ชิค รีพับบลิค เกิดขึ้นจากฝีมือของคุณกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC ที่มีประสบการณ์คร่ำวอดในวงการเฟอร์นิเจอร์มาเกือบ 30 ปี โดยเริ่มต้นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้บุกเบิกสเปเชียลมอลล์ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์” และ “อินเด็กซ์ อินเตอร์ เฟร์น” ก่อนมาดำเนินธุรกิจของตนเอง 2.ดำเนินธุรกิจการเป็นศูนย์รวมจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน โคมไฟตกแต่ง และที่นอนและเครื่องนอน อย่างครบวงจร (One Stop Shopping) ในรูปแบบ “Stand Alone” ภายใต้ชื่อ “ชิค รีพับบลิค (CHIC)” และ “ริน่า เฮย์ (RINA HEY)” ซึ่งขายสินค้าผ่านหน้าร้าน เข้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ และช่องทางออนไลน์ ภายใต้แบรนด์ “CHIC” และ “RINA HEY” โดยสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และมีสินค้าที่บริษัทร่วมบริหารกับคู่ค้า (CONSIGNMENT) โดยใช้แบรนด์ของเจ้าของตราสินค้า เป็นสินค้าที่บริษัทขายร่วมกับเจ้าของตราสินค้า ล่าสุดนำแบรนด์คอมโพแสด (Composad) จากประเทศอิตาลีเข้ามาจำหน่ายเพิ่มด้วย 3.ปัจจุบันมี 4 สาขาที่เปิดดำเนินการ ได้แก่ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม บางนา ราชพฤกษ์ และพัทยา ส่วนระยะ 5 ปี (ปี 2561-2565) จะเปิด 5 สาขา ปัจจุบันมี 3 สาขาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ คือ -สาขากัมพูชา ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 ห้าง Aeon Mall Sen Sok City กรุงพนมเปญ มีระยะสัญญาเช่า 9 ปี ใช้งบลงทุน 30 ล้านบาท (เฉพาะตกแต่งภายใน) คาดจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ปีนี้ – สาขารามอินทรา มูลค่าลงทุน 250 ล้านบาท มีที่ดินแล้ว สัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี คาดเปิดให้บริการปี 2562 – สาขาอุดรธานี มูลค่าลงทุน 170 ล้านบาท ได้รับอนุมัติการก่อสร้างแล้ว สัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี คาดเปิดให้บริการปี 2563 นอกจากนี้ยังมีโครงการที่คาดว่าจะเปิดในหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ทั้งภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ และภาคใต้ เช่น ภูเก็ต หรือ หาดใหญ่ เป็นต้น และมองตลาด CLMV เพิ่มเติมด้วย สำหรับแนวทางการคัดเลือกทำเลที่ตั้ง จะเลือกทำเลที่มีศักยภาพที่เป็นทำเลเกรด A ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติหลักๆ คือ ติดถนนใหญ่ มีขนาดที่ดินหน้ากว้างไม่ต่ำกว่า 70 เมตร ใกล้ Commercial Area ที่มีศักยภาพทั้งปัจจุบันและอนาคต 4.ผลการดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายและบริการของบริษัทในปีที่ผ่านมา622.13 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 10.91% มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) เฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลัง เท่ากับ 54% โดยสัดส่วนรายได้เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง มาจากธุรกิจค้าปลีกสัดส่วน 68% และงานโครงการ สัดส่วน 32% และตั้งเป้าเพิ่มงานโครงการให้มากขึ้น เพื่อให้บริษัทมีรายได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งงานโครงการ ณ เดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทมีงานในมือ ( Backlog ) มูลค่า 116.14 ล้านบาท CHIC ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ (พาร์) 0.50 บาท และนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้อนุมัตินับหนึ่งไฟลิ่งของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินทุนที่ได้รับมาจะใช้ในการขยายธุรกิจให้เติบโตต่อไป คุณกิจจา กล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในครึ่งปีหลังยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่า 10-15% เนื่องจากที่ผ่านมาอารมณ์การจับจ่ายสินค้าของผู้บริโภคไม่ดี มีความกังวลใจ รวมถึงธนาคารมีการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้า แต่ปีนี้ทิศทางหลายๆ อย่างดีขึ้น ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ก็มีการพัฒนาโครงการใหม่ต่อเนื่อง ตลาดเฟอร์นิเจอร์จึงน่าจะเติบโตด้วย
คือ การสร้างความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของร้าน การออกแบบตกแต่ง และสินค้า จะเห็นได้จากจุดเริ่มต้นของการสร้างสาขาที่เป็นอาคารทรงโดมและสไตล์วินเทจ ที่ขณะนั้นไม่มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไหนเป็นแบบนี้ ขณะที่สินค้าก็แตกต่างจากแนววินเทจ อย่างเช่นโซฟาสีม่วงที่มีออกมาขาย ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นที่รู้จักและสร้างชื่อให้บริษัท เพราะแนววินเทจขณะนั้นไม่มีใครผลิตออกมาทำตลาดมากนัก ซึ่งในตลาดมีความต้องการสินค้าแนววินเทจอยู่แล้ว ชิค รีพับบลิคถือว่าเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าชื่นชอบ เพราะความแตกต่าง ซึ่งจากการสำรวจโดยทีมการตลาดของบริษัท จะพบว่า มี 3 เรื่องหลักที่ลูกค้าชื่นชอบแบรนด์ คือ ดีไซน์ของสินค้าที่แตกต่าง วัสดุที่ใช้ไม่เหมือนกับแบรนด์อื่น และราคาสินค้าที่ไม่สูงเท่ากับที่คาดคิด แม้ว่าภาพลักษณ์สินค้าจะเป็นพรีเมียมก็ตาม ซึ่งชิค รีพับบลิค ก็เลือกที่จะวางตำแหน่งของตัวเอง ให้อยู่ในกลุ่มพรีเมียม มีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมาขาย โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสร้างแบรนด์และวางตำแหน่งตัวเองไว้ในระดับสูงก่อน ต่อไปการสร้างแบรนด์ราคาถูกจะง่ายกว่า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54470
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ย่านราชประสงค์ ดินแดนแห่งโอกาส เปิดกว้างสำหรับคนรุ่นใหม่
null
รอยยิ้มแห่งราชประสงค์ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร แหล่งรวมแสงสีเสียง ย่านที่ไม่เคยหลับใหล "ราชประสงค์" ยืนหยัดตระหง่านในฐานะศูนย์กลางธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยว "มินอา" หญิงสาววัย 25 ปี นักศึกษาจบใหม่ ไฟแรงเต็มเปี่ยม กำลังมองหางานประจำในฝัน เธอใฝ่ฝันอยากทำงานในย่านราชประสงค์ แหล่งรวมแบรนด์ดังมากมาย วันหนึ่ง มินอาตัดสินใจเดินเล่นบนทางเดินลอยฟ้า "R-Walk" เส้นทางเชื่อมต่อ 18 อาคารใจกลางย่าน เสียงเพลงบรรเลง บรรยากาศคึกคัก ผู้คนมากมาย ต่างดึงดูดสายตาเธอ ทันใดนั้น สายตามินอาสะดุดกับป้ายประกาศรับสมัครงาน บนหน้าร้าน "The Platinum Fashion Mall" ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นชื่อดัง เธอรีบตรงเข้าไปสมัครทันที "คุณมินอา มีประสบการณ์ทำงานในร้านค้ามาก่อนไหม?" พนักงานสอบถาม "ยังไม่มีค่ะ แต่หนูมีไฟฝัน มุ่งมั่นเรียนรู้ และพร้อมพัฒนาตัวเอง" มินอาตอบอย่างมั่นใจ "โอเคค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ The Platinum!" รอยยิ้มของพนักงานต้อนรับเธอสู่โลกของ Retail มินอาเริ่มต้นงานในตำแหน่งพนักงานขาย เรียนรู้เทคนิคการขาย การจัดสินค้า การบริการลูกค้า ใฝ่ฝันอยากเติบโตในสายงานนี้ เธอทุ่มเททำงานอย่างขยันขันแข็ง เรียนรู้เพิ่มเติมจากรุ่นพี่ พัฒนาทักษะการสื่อสาร ฝึกฝนภาษาอังกฤษ ความพยายามของเธอไม่สูญเปล่า มินอาได้รับการโปรโมทให้เป็นหัวหน้าแผนก ดูแลพนักงานขาย เธอสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม ทำงานเป็นหนึ่งเดียว มุ่งมั่นสร้างผลงานยอดเยี่ยม รอยยิ้มของลูกค้า คำขอบคุณจากผู้บริหาร คือสิ่งที่เติมเต็มความฝันของมินอา "ราชประสงค์" ดินแดนแห่งโอกาส ไม่ได้เป็นเพียงย่านธุรกิจ แต่คือเวทีที่เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือ มินอาคือตัวอย่างของหญิงสาวผู้มุ่งมั่น ด้วยความใฝ่ฝัน ไฟฝัน และความพยายาม เธอประสบความสำเร็จบนเส้นทาง Retail "R-Walk" เส้นทางเชื่อมต่อ ไม่ได้เชื่อมต่อเพียงอาคาร แต่เชื่อมต่อความฝัน โอกาส และรอยยิ้มแห่งความสำเร็จ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54483
Retail
ข้อมูลมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ Digital Marketing มีความสมบูรณ์เพื่ออะไร
เป็นวาระที่แวดวงการตลาด โดยเฉพาะในส่วนงาน Digital Marketing มีความตื่นตัวและให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนในรอบปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่าในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า จะเริ่มได้ยินคนพูดถึงเรื่องของการใช้ Big Data ให้ได้ยินกันมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะยังจำกัดอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการเก็บข้อมูลไว้พร้อมสำหรับการนำมาใช้แล้ว ขณะที่แบรนด์ส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ได้เริ่มแม้แต่การจัดเก็บข้อมูล ทำให้การใช้งานที่ผ่านมาจึงยังไม่ได้กระจายไปในวงกว้างมากเท่าไหร่นัก แต่ในปีนี้หลังจากนักการตลาดหรือแบรนด์ต่างๆ เริ่มเรียนรู้ พัฒนาระบบในการใช้จัดเก็บข้อมูล และเข้าใจวิธีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บไว้ รวมทั้งเริ่มมองเห็นรูปแบบในการนำข้อมูลที่มีมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับงานหรือรูปแบบธุรกิจตัวเองได้มากขึ้น จึงเริ่มได้เห็นทิศทางที่ภาคธุรกิจต่างๆ มีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บไว้มาต่อยอดในมิติต่างๆ อย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น จากที่ก่อนหน้าอาจจะเห็นได้มากในกลุ่มงาน CRM เป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องรีบ BIG โฟกัสแค่ Data ให้ดีก่อน ทิศทางที่เกิดขึ้นในตลาด รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตของเม็ดเงินที่ลงในดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ส่งผลให้มีจำนวน Data Footprint ที่เกิดขึ้นจากการที่แบรนด์หรือธุรกิจเริ่มนำเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เข้ามาใช้มีมากขึ้นเช่นกัน คุณธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง “แอดยิ้ม” (Adyim) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง โซลูชั่นครบวงจร กล่าวถึงความสำคัญของข้อมูลต่อธุรกิจที่ไม่ต่างกับการบันทึกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและสามารถกลับมาย้อนดูได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อนำข้อมูลที่มีทั้งหมดไปศึกษาแง่มุมต่างๆ มาวิเคราะห์ทำความเข้าใจทั้งพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งศักยภาพในการดำเนินงานขององค์กรเอง เพื่อช่วยให้มองเห็นปัญหา รู้จักจุดแข็งที่ควรเสริมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะสามารถต่อยอดได้ จากการเห็นสัญญาณเมื่อนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ในเชิงลึก รวมทั้งยังทำให้สามารถมองเห็นองค์ประกอบต่างๆ ในธุรกิจที่อาจจะอยู่แยกกันคนละส่วนให้เกิดความเชื่อมโยงและมองเห็นเป็นภาพเดียวกันได้ด้วย “ข้อมูลมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ Digital Marketing มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อนำมาเป็นแผนที่หรือไกด์ไลน์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท รู้ว่าเป้าหมายที่กำลังจะไปกันคือที่ไหน ต้องไปอย่างไร ระหว่างทางจะเจออะไรบ้าง แม้ว่าบางช่วงอาจต้องพบปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือเกิดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ออกนอกเส้นทางไปบ้าง แต่เมื่อกลับมามองแผนที่ก็จะทำให้เราสามารถกลับเข้ามาในเส้นทางที่ยังคงไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ขณะที่ความสามารถในการวิเคราะห์หรืออ่านข้อมูลได้ก็ไม่ต่างจากการมีเข็มทิศอยู่ในมือ ทำให้เราทำธุรกิจได้อย่างไม่หลงทิศ รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนจึงจะไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและต้องใช้ควบคู่ไปกับการดูแผนที่อยู่เสมอ” ซึ่งในปัจจุบันภาคธุรกิจตื่นตัวและรับรู้ถึงความสำคัญของการนำข้อมูลไปใช้งาน รู้ถึงประโยชน์และเข้าใจว่าการมีข้อมูลอยู่ในมือนั้นจะเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ความท้าทายจึงไม่ได้อยู่ที่การ Educated ในเรื่องเหล่านี้ แต่เป็นการทำให้แต่ละธุรกิจเข้าใจระดับในการบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างสอดคล้องกับสิ่งที่องค์กรกำลังเผชิญอยู่ เพราะหลายองค์กรยังไม่เข้าใจถึงกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้ ส่วนใหญ่จึงต้องการได้ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่วันแรกซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ “หลายองค์กรไม่เข้าใจการได้มาของข้อมูล ว่าต้องมีกระบวนการตั้งแต่การเก็บข้อมูลในระยะเวลาหนึ่ง การจัดเก็บอย่างเป็นระบบระเบียบ แยกเป็นหมวดหมู่เพื่อความพร้อมสำหรับการนำไปใช้งาน หรือสามารถนำมามอนิเตอร์และต่อยอดในเรื่องต่างๆ ได้ โดยเฉพาะหลายองค์กรของไทยที่ยังไม่เริ่มเก็บข้อมูลเบื้องต้นไว้เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในกลุ่ม FMCG ทำให้ State ของภาคธุรกิจของไทยในขณะนี้ถ้าเทียบก็ยังอยู่แค่ชั้นอนุบาล มีเพียงองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีความพร้อมในการทำเรื่องของ BIG DATA ได้ทันที เพราะมีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลอยู่แล้ว วันนี้จึงยังไม่ควรมองข้ามช็อตไปที่ Big Data แต่ต้องเริ่มที่การบริหารจัดการเรื่องของ Data ก่อน จนสามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะสมจนมีปริมาณมากพอ จึงค่อยขยับมาสู่สเต็ปของ Big Data ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดในเรื่องของ AI หรือ Machine Learning ต่างๆ ในอนาคตต่อไป” 5 สัญญาณเตือน ต้องใช้ Data Analytics เมื่อทราบถึงความสำคัญของการนำข้อมูลมาใช้ในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในหลายๆ กลุ่ม ถ้าหากไม่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังอาจอยู่ในสถานะ “ถ้าไม่ใช้อาจตายได้” เพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่พฤติกรรมต่างๆ เปลี่ยนไปจากเดิมตามการพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ อาทิ กลุ่มธุรกิจธนาคาร ประกัน ค้าปลีก เทเลคอม เป็นต้น ที่สำคัญการนำข้อมูลต่างๆ มาใช้ ต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกระบวนการในวิเคราะห์และศึกษาก่อนนำข้อมูลที่มีมาใช้ รวมทั้งผลที่ตามมาต้องตอบโจทย์ธุรกิจในเชิง Performance ขององค์กรที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงการสร้าง Wow บนโลกโซเชียล แต่ไม่เห็นการเติบโตในเชิงยอดขาย หรือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนในภาพรวม รวมทั้งต้องสามารถวัดผลต่างๆ อย่างจับต้องได้ นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณเตือนเพื่อให้กลุ่มธุรกิจต่างๆ นำไปใช้สังเกตุในเบื้องต้น หากพบลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในธุรกิจของคุณ จำเป็นต้องพึงเครื่องมือที่เรียกว่า Digital Data Analytics นำมาใช้โดยเร่งด่วนเพื่อให้สามารถมองเห็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน และสามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดผลกระทบกับการเติบโต หรือการอยู่รอดของธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน โดยสัญญาณทั้ง 5 อย่าง ประกอบไปด้วย 1. แคมเปญจบ ข้อมูลก็จบ โดยไม่มีการเก็บข้อมูลต่างๆ มาศึกษาต่อยอด ทิ้ง Learning ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ไปกับงานที่จบไปอย่างน่าเสียดาย 2. ข้อมูลกระจัดกระจาย เวลาต้องการจะเรียกใช้แล้วแล้วไม่รู้อยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าใครเก็บ ทำให้เวลาทำงาน แม้จะเป็นการทำงานต่อเนื่อง แต่ต้องใช้พลังงานมากไม่ต่างกับการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด 3. มีข้อมูลจำนวนมาก แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ มาจากปัญหาในการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่เข้าใจว่า ข้อมูลแต่ละอย่างมีประโยชน์หรือนำไปใช้อะไรได้ ทำให้มีต้นทุนสูงในการจัดเก็บที่มากเกินความจำเป็น 4. เงินหายไปกับการซื้อมีเดีย เพราะไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหรือกลุ่มทาร์เก็ตที่แน่นอน แต่เลือกที่จะซื้อสื่อตามความนิยม ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า Real Time Biding
เพื่อนำมาเป็นแผนที่หรือไกด์ไลน์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท รู้ว่าเป้าหมายที่กำลังจะไปกันคือที่ไหน ต้องไปอย่างไร ระหว่างทางจะเจออะไรบ้าง แม้ว่าบางช่วงอาจต้องพบปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือเกิดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ออกนอกเส้นทางไปบ้าง แต่เมื่อกลับมามองแผนที่ก็จะทำให้เราสามารถกลับเข้ามาในเส้นทางที่ยังคงไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ขณะที่ความสามารถในการวิเคราะห์หรืออ่านข้อมูลได้ก็ไม่ต่างจากการมีเข็มทิศอยู่ในมือ ทำให้เราทำธุรกิจได้อย่างไม่หลงทิศ รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนจึงจะไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและต้องใช้ควบคู่ไปกับการดูแผนที่อยู่เสมอ” ซึ่งในปัจจุบันภาคธุรกิจตื่นตัวและรับรู้ถึงความสำคัญของการนำข้อมูลไปใช้งาน รู้ถึงประโยชน์และเข้าใจว่าการมีข้อมูลอยู่ในมือนั้นจะเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ความท้าทายจึงไม่ได้อยู่ที่การ Educated ในเรื่องเหล่านี้ แต่เป็นการทำให้แต่ละธุรกิจเข้าใจระดับในการบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างสอดคล้องกับสิ่งที่องค์กรกำลังเผชิญอยู่ เพราะหลายองค์กรยังไม่เข้าใจถึงกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้ ส่วนใหญ่จึงต้องการได้ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่วันแรกซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54485
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....งานสหกรุ๊ปแฟร์ไม่ได้เป็นเพียงงานขายสินค้า แต่เป็นงานที่สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาของธุรกิจ การนำเทคโนโลยีมาใช้ การส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย และความรับผิดชอบต่อสังคม
null
ว้าว...ว้าว...ว้าว กับ สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 22 “โอ้โห...งานนี้พลาดไม่ได้แน่ๆ” ฟ้าใส พูดด้วยความตื่นเต้นหลังจากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 22” บนหน้าจอมือถือ “งานอะไรเหรอ?” ฝน เพื่อนสนิทของเธอ ถามด้วยความสงสัย “งานสหกรุ๊ปแฟร์ไง เขาว่าปีนี้พิเศษกว่าทุกปี มีทั้ง BNK48 มาแจกรอยยิ้ม เบลล่า ราณี มาสร้างสีสัน แถมยังมีโปรโมชั่นลดราคาสินค้ามากมาย ของกิน ของใช้ ของแฟชั่น มีครบ จบที่งานเดียว” ฟ้าใสอธิบายอย่างร่าเริง “น่าสนใจดีนะ ไปด้วยกันสิ” ฝนเสนอ “โอเค ไปกันเถอะ!” สองสาว ตัดสินใจไปงานสหกรุ๊ปแฟร์ที่ไบเทค บางนา ในวันเสาร์ บรรยากาศภายในงานคึกคักไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายแบรนด์ในเครือสหพัฒน์ ฟ้าใสและฝนเดินชมงานอย่างเพลิดเพลิน ซื้อของกิน ของใช้ที่จำเป็น “นี่เธอ รู้ไหมว่างานนี้เขาสนับสนุนร้านธงฟ้าด้วยนะ” ฟ้าใสพูด “จริงเหรอ ดีจังเลย จะได้ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย” ฝนเห็นด้วย “ใช่แล้ว เขาให้ส่วนลด 2,000 บาท สำหรับร้านธงฟ้าที่มาซื้อสินค้าภายในงานด้วย” “ว้าว...คุ้มค่ามากเลย” ทั้งคู่ เดินต่อมาถึงโซนเสื้อผ้า แบรนด์ดังอย่าง Arrow และ Guy Laroche นำเสนอเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ที่ระบายอากาศได้ดี สวมใส่สบาย เหมาะกับอากาศร้อนในเมืองไทย ฟ้าใสลองเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของ Arrow รู้สึกชอบมาก “ตัวนี้สวยดีนะ ลองดูสิ” ฟ้าใสแนะนำเพื่อน “สวยดี ใส่แล้วดูผอมด้วย” ฝนลองเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน พูดพร้อมกับยิ้ม สองสาว เลือกซื้อเสื้อผ้ากันคนละหลายตัว พอชำระเงิน พนักงานแจ้งว่าสามารถใช้ QR Code เพื่อชำระเงินผ่านระบบ ePayment ได้ “สะดวกดีนะ ไม่ต้องพกเงินสดเยอะ” ฟ้าใสพูด “ใช่แล้ว แถมยังมีบริการส่งสินค้าฟรีถึงบ้านด้วย” ฝนเสริม ก่อนกลับ ฟ้าใสและฝนแวะฟังการสัมมนาเกี่ยวกับ “Cashless Society” รู้สึกประทับใจกับเนื้อหาที่นำเสนอ ช่วยให้เข้าใจความสำคัญของสังคมไร้เงินสด หลังจาก ออกจากงาน ฟ้าใสและฝนรู้สึกประทับใจกับงานสหกรุ๊ปแฟร์มาก เป็นงานที่รวมสินค้า ของกิน ของใช้ ของแฟชั่น ไว้ครบครัน มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย ฟ้าใส พูดกับฝนว่า “งานนี้ไม่ใช่แค่ให้เราได้ช้อปปิ้งอย่างสนุกสนาน แต่ยังทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับธุรกิจ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่สำคัญยังได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยอีกด้วย” ฝน เห็นด้วยกับฟ้าใสและพูดว่า “งานนี้น่าสนใจมาก ดีใจที่เราได้มา”
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54497
Retail
LINE Business Connect (BC) คืออะไร
เป็นหนึ่งแพลตฟอร์มที่รวมผู้บริโภคคนไทยไว้มากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง สำหรับ LINE ที่ปัจจุบันมีฐานผู้ใช้งานมากกว่า 42 ล้านคน เรียกได้ว่าเกินครึ่งหนึ่งของคนทั้งประเทศไปแล้ว รวมทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสูงสุดที่กลุ่มผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนเลือกที่จะใช้เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารสูงถึง 95% เลยทีเดียว ทำให้ LINE กลายเป็นช่องทางสำคัญที่นักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ ให้ความสนใจและเลือกใช้เพื่อเข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของตัวเองได้โดยตรง โดยปัจจุบันมีจำนวนแบรนด์มากกว่า 200 แบรนด์ ที่เข้ามาเปิด LINE Official Account (OA) เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนแพลตฟอร์มนี้ แต่ถึงแม้จะเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน รวมทั้งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว แต่อุปสรรคสำคัญที่แบรนด์ส่วนใหญ่พบคือ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ Add แบรนด์ไปแล้ว มักเลือกที่จะบล็อกตามมาในภายหลัง เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่เห็นประโยชน์จากการเป็นเพื่อนกับแบรนด์ต่างๆ นั่นเอง เติมเครื่องมือเพิ่ม Functional ให้แบรนด์ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าไม่ใช่เพียงการเข้าไปหาลูกค้าในที่ที่ลูกค้าอยู่ หรือดึงลูกค้าให้เข้ามาหาได้สำเร็จ จะแปลว่าแบรนด์สามารถเข้าถึงหรือชนะใจลูกค้าได้เสมอไป เพราะหากไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ พูดในสิ่งที่ลูกค้าอยากฟัง หรือทำให้ลูกค้ารัก แม้ปัจจุบันลูกค้าจะอยู่กับแบรนด์แล้วก็สามารถถูกบล็อกหรือออกไปจากแบรนด์เมื่อไหร่ก็ได้ คุณนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและสื่อโฆษณา LINE ประเทศไทย เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นกับแบรนด์โดยเฉพาะในช่องทาง LINE OA ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีลูกค้าบางส่วนเลือกที่จะบล็อกแบรนด์อยู่ เพราะไม่มีความสนใจข้อมูลต่างๆ ที่แบรนด์ส่งมาถึง และในบางครั้งอาจมองว่าเป็นการรบกวนอีกด้วย นำมาสู่การพัฒนาฟีเจอร์เพื่อเพิ่มเครื่องมือสำหรับการสร้าง Engagement และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีมากขึ้นผ่านโซลูชั่นส์ LINE Business Connect (BC) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นต่อยอดของ OA ที่จะช่วยให้แบรนด์มีวิธีสื่อสารพูดคุยและทำกิจกรรมต่างๆ กับลูกค้าได้มากกว่าแค่เป็นช่องทางในการแจ้งข่าวสารและความเคลื่อนไหวจากฝั่งแบรนด์ไปสู่ลูกค้าเท่านั้น แต่จะเน้นต่อยอด Data ที่ทางแบรนด์มีอยู่เพื่อสร้าง Value ให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ผ่านการดีไซน์วิธีสื่อสารหรือรูปแบบการทำกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องและตอบโจทย์ธุรกิจของตัวเอง รวมทั้งรักษาความ Powerful ของ OA ในฐานะช่องทางที่ทำให้แบรนด์และผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างสะดวกที่สุด “การที่แบรนด์พูดแต่เรื่องของตัวเอง และเป็นข้อมูลที่ทุกๆ คนได้รับเหมือนๆ กัน ทำให้ผู้บริโภคมองว่าไม่เกี่ยวข้องหรือสร้างประโยชน์อะไรกับตัวเอง ทำให้ช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เข้ามาเป็นเพื่อนกับแบรนด์ผ่าน OA เพื่อรับสติ้กเกอร์หรือข้อเสนอบางอย่างที่แบรนด์ให้ จากนั้นก็จะบล็อก ทำให้ข่าวสารหรือข้อมูลจากฝั่งแบรนด์ไม่สามารถส่งผ่านไปสู่ผู้บริโภคได้ ซึ่งในช่วงแรกๆ อัตราการบล็อกสูงถึง 60-70% ขณะที่ไลน์พยายามพัฒนาเครื่องมือเพื่อเพิ่มวิธีสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ BC ที่แต่ละแบรนด์สามารถนำไป Tailor Made วิธีสร้าง Engage กับลูกค้าในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้แบรนด์ต่างๆ เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดอัตราการบล็อกจากลูกค้าให้น้อยลงได้” หลังแนะนำ BC มาเกือบ 2 ปี ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะปีที่ผ่านมามีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากในช่วงแรกที่มีแบรนด์ต่างๆ ใน OA เข้ามาใช้บริการ 10-15% จนเพิ่มเป็น 34% ในปัจจุบัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 50% เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ เริ่มเรียนรู้วิธีการนำเครื่องมือไปประยุกต์ใช้ในหลายรูปแบบมากขึ้น ประกอบกับการที่ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ก็ดีขึ้น รวมทั้งภาพรวมการบล็อกโดยเฉลี่ยที่ลดน้อยลง โดยพบว่ากลุ่มธุรกิจที่ให้การตอบรับบริการนี้มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่ม FMCG และกลุ่มธนาคารและการเงิน ขณะที่แนวโน้มในปีนี้คาดว่ากลุ่มธนาคารและการเงินจะมีการเติบโตสูงสุดถึง 75% ตามมาด้วยกลุ่มโทรคมนาคม และธุรกิจร้านอาหาร SCB Connect ผู้ครอง Block Rate ต่ำสุด หนึ่งใน Best Case ที่นำ LINE BC ไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือแอคเคาท์ SCB Connect ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่นำไปใช้เป็นช่องทางแจ้งรายละเอียดความเคลื่อนไหวต่างๆ ภายในบัญชีให้ลูกค้าทราบ และในรูปแบบ Real time ที่เร็วพอๆ กับข้อมูลที่ทางแบงก์ได้รับ ทำให้มีผลตอบรับที่สร้างสถิติน่าสนใจในหลายมิติ ทั้งจำนวนผู้ใช้งานกว่า 2.2 ล้านราย หลังเปิดบริการได้เพียง 6 เดือน ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 344% จำนวนผู้ใช้งานใหม่เฉลี่ยต่อวันประมาณ 2 หมื่นคน โดยวันที่มียอดผู้สมัครสูงสุดมีตัวเลขสูงถึงเกือบ 4 หมื่นราย และที่สำคัญเป็นบัญชีที่มียอดการบล็อกของผู้ใช้ (Block Rate) น้อยกว่า 10% ซึ่งถือเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในกลุ่มแบรนด์ที่อยู่บน OA ทั้งหมดอีกด้วย ที่น่าสนใจคือ SCB Connect ไม่ได้ใช้ Sticker Approach เพื่อเคาะประตูให้ผู้บริโภคเปิดบ้านต้อนรับ ซึ่งเป็นท่าเบสิคที่แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ แต่สามารถดึงคนเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มได้จำนวนมากในเวลาไม่กี่เดือน และเป็นคนที่เข้ามาเพื่อต้องการใช้งานจริงๆ มาเพราะเห็นประโยชน์ที่จะได้รับและเลือกที่จะอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ต่อไป ทำให้มีอัตราการบล็อกในระดับต่ำกว่าแอคเค้าท์อื่นๆ คุณธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า วิธีคิดในการสร้าง SCB Connect มาจากการมองเรื่องของ Functional เป็นตัวตั้ง เพราะมั่นใจว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริงๆ ดังนั้น การจะดึงคนเข้ามาจึงต้องทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจว่าประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเข้ามาคืออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกๆ บริการที่เรามอบให้นั้นไม่มีการเก็บค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้ได้อย่างสบายใจ รวมทั้งข้อดีที่เป็นเครื่องมือที่อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกับไลน์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยและใช้งานกันเป็นประจำ ทำให้ง่ายต่อการที่คนส่วนใหญ่จะตอบรับและกล้าที่จะโหลดมาใช้ “ต้องถือว่าเราใช้ท่ายากในการชวนให้คนเข้ามา เพราะใช้วิธีให้พนักงานเป็นผู้แนะนำประโยชน์ของ SCB Connect ให้ลูกค้าทราบและได้ทดลองใช้งานเพื่อเข้าใจประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้งานจริงๆ ด้วยการส่งทีม SCB Buddy กระจายไปตามสาขาต่างๆ เพื่อแนะนำเครื่องมือดิจิทัลที่ธนาคารมีและสามารถอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการทำธุรกรรมให้กับลูกค้า รวมทั้งการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของบัญชีให้ลูกค้าได้ทราบ โดยเฉพาะ SCB Connect ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ 80-90% ที่ได้รับการแนะนำจะไม่ค่อยปฏิเสธ โดยธนาคารตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านรายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งโอกาสที่จะขยายตัวได้มากขึ้นในอนาคตเทียบเท่ากับเป้าหมายของผู้ใช้งาน SCB Easy ที่ตั้งเป้าไว้ 10 ล้านราย” Gateway สู่ดิจิทัลแพลตฟอร์ม การมี SCB Connect เป็นการเพิ่มอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถทำ Transaction ของแบงก์ได้ เพราะในอนาคตช่องทางนี้จะไม่ต่างจากการเป็นอีกหนึ่งสาขาของธนาคารเช่นเดียวกับแอพพลิเคชั่น SCB Easy ที่ขณะนี้สามารถทำธุรกรรมได้หลากหลาย โดย SCB Connect ยังเป็นเหมือนประตูก้าวแรกสำหรับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานบนดิจิทัลแพลตฟอร์มของธนาคาร ก่อนจะก้าวมาสู่การใช้งาน SCB Easy ในอนาคตอีกด้วย ปัจจุบัน SCB Connect สามารถแจ้งเตือนรายละเอียดต่างๆ ทั้งในกลุ่มลูกค้าบัตรเครดิต ลูกค้าเงินฝาก และภายในไตรมาส 3 ปีนี้จะพัฒนา AI Chat bot ที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจการสื่อสารได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้ไม่ต่างจาก Call Center ที่คอยแก้ปัญหาหรือตอบข้อซักถามต่างๆ ของลูกค้าได้เช่นเดียวกัน ขณะที่ประโยชน์โดยตรงที่จะเกิดขึ้นกับการดำเนินธุรกิจของธนาคาร คุณธนา ประเมินให้ฟังว่า SCB Connect เป็นหนึ่งองค์ประกอบที่จะทำให้ SCB กลายเป็นธนาคารหลักที่ลูกค้าจะใช้งาน (Main Operating Account) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของธุรกิจธนาคารทุกราย เพราะช่วยเติมเต็มเครื่องมือที่จะทำให้ธนาคารขยับไปสู่ Digital Banking อย่างสมบูรณ์ และเพิ่มความมั่นใจในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่ทราบทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในบัญชี ทำให้ผู้ใช้งานรู้ยอดการใช้จ่ายหรือเงินที่โอนเข้า ขณะที่ธุรกรรมต่างๆ จะทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานทั่วไป หรือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ใช้ระบบ QR ของธนาคาร “ย้อนกลับไปจุดที่เราต้องการก้าวข้ามภาพเดิมๆ ของธนาคารที่คนมองว่า งก ช้า ห่วย เพราะ SCB Connect เป็นบริการที่ทับซ้อนกับการแจ้งเตือนผ่าน SMS ซึ่งสร้างรายได้ให้ธนาคารไม่ต่ำกว่าหลายร้อยล้านบาท แต่เราต้องยอมก้าวข้ามรายได้ตรงนี้ เพื่อสร้าง Customer Engagement เพื่อให้ลูกค้าเลือกมาอยู่กับเราและใช้ SCB เป็นธนาคารหลักเพราะทั้งถูกกว่า เร็วกว่า และดีกว่า ส่งผลให้มีโอกาสที่จำนวนเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าจะเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดในฟากของธุรกิจสินเชื่อที่ได้ดอกเบี้ยดีกว่าได้” ในอนาคต SCB Connect จะเป็นหนึ่งช่องทางที่พัฒนาสำหรับลูกค้าที่ต้องการเงินกู้ได้เช่นเดียวกัน จากปัจจุบันมีการแจ้งยอดชำระสินเชื่อต่างๆ อยู่แล้ว รวมทั้งยังพัฒนาเป็นช่องทางในการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของธนาคารได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ในช่วงปลายปีที่จะมีการซื้อกองทุนต่างๆ ซึ่งทางธนาคารมีแผนจะนำร่องทดลองขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในช่วงปลายปีนี้ผ่านช่องทาง SCB Connect ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของธนาคารในภาพรวมลงได้
เป็นเวอร์ชั่นต่อยอดของ OA ที่จะช่วยให้แบรนด์มีวิธีสื่อสารพูดคุยและทำกิจกรรมต่างๆ กับลูกค้าได้มากกว่าแค่เป็นช่องทางในการแจ้งข่าวสารและความเคลื่อนไหวจากฝั่งแบรนด์ไปสู่ลูกค้าเท่านั้น แต่จะเน้นต่อยอด Data ที่ทางแบรนด์มีอยู่เพื่อสร้าง Value ให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ผ่านการดีไซน์วิธีสื่อสารหรือรูปแบบการทำกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องและตอบโจทย์ธุรกิจของตัวเอง รวมทั้งรักษาความ Powerful ของ OA ในฐานะช่องทางที่ทำให้แบรนด์และผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างสะดวกที่สุด “การที่แบรนด์พูดแต่เรื่องของตัวเอง และเป็นข้อมูลที่ทุกๆ คนได้รับเหมือนๆ กัน ทำให้ผู้บริโภคมองว่าไม่เกี่ยวข้องหรือสร้างประโยชน์อะไรกับตัวเอง ทำให้ช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เข้ามาเป็นเพื่อนกับแบรนด์ผ่าน OA เพื่อรับสติ้กเกอร์หรือข้อเสนอบางอย่างที่แบรนด์ให้ จากนั้นก็จะบล็อก ทำให้ข่าวสารหรือข้อมูลจากฝั่งแบรนด์ไม่สามารถส่งผ่านไปสู่ผู้บริโภคได้ ซึ่งในช่วงแรกๆ อัตราการบล็อกสูงถึง 60-70% ขณะที่ไลน์พยายามพัฒนาเครื่องมือเพื่อเพิ่มวิธีสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ BC ที่แต่ละแบรนด์สามารถนำไป Tailor Made วิธีสร้าง Engage กับลูกค้าในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้แบรนด์ต่างๆ เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดอัตราการบล็อกจากลูกค้าให้น้อยลงได้” หลังแนะนำ BC มาเกือบ 2 ปี ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะปีที่ผ่านมามีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54502
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "The Incredible Flavours of Norway" ให้หน่อยค่ะ
‘The Incredible Flavours of Norway’ เป็นมหกรรมอาหารทะเลที่นำเอาอาหารทะเลสดๆ จากนอร์เวย์บินตรงมายังกรุงเทพฯ และยังเป็นการเปิดตัวตราสัญลักษณ์อาหารทะเลนอร์เวย์ SEAFOOD FROM NORWAY โดยมี บริษัท ธรรมชาติ ซีฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอาหารทะเลในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายแรกที่ได้รับสิทธิ์ในการใช้ตราสัญลักษณ์นี้ นายจูเลี่ยน จี เดวีส์ กรรมการบริหาร บริษัทธรรมชาติซีฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวว่า “ธรรมชาติ ซีฟู้ด มีความเชี่ยวชาญในด้านการสรรหาสินค้าอาหารทะเลคุณภาพ เราใส่ใจในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การลงพื้นที่ติดต่อเจ้าของฟาร์มประมงโดยตรงเพื่อคัดสรรสินค้าคุณภาพดีที่สุด และสร้างความมั่นใจเรื่องการค้าที่เป็นธรรมต่อผู้ผลิต เรามีความภาคภูมิใจในการสรรหาอาหารทะเลที่สดที่สุด และรับประกันได้ว่าอาหารทะเลของเรามีมาตรฐานสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ นอกจากนี้เรายังเชื่อว่าตราสัญลักษณ์ SEAFOOD FROM NORWAY นี้ สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่า สินค้าที่เราส่งตรงถึงซีฟู้ดเคาน์เตอร์นั้น เป็นอาหารทะเลที่มีคุณภาพ รับประกันความสดจากนอร์เวย์อย่างแท้จริง” งานมหกรรมอาหารทะเล ‘The Incredible Flavours of Norway’ ที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต สยาม พารากอน เปิดงานด้วยการโชว์แล่ปลาคอดที่ส่งตรงมาจากนอร์เวย์ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายเชทิล เพาล์เซน เอกอัครราชทูตนอร์เวย์ ประจําประเทศไทย เข้าร่วมพิธีเปิดงาน และเชิญเชฟชาวนอร์เวย์ชื่อดังสาธิตการทำเมนูสูตรดั้งเดิมของชาวนอร์เวย์ โดยงานมหกรรมอาหารทะเลนี้จัดขึ้นเพื่อผู้ที่หลงใหลในรสชาติของแซลมอน และผู้ที่ชื่นชอบอาหารทะเลคุณภาพสูงโดยเฉพาะ ภายในงานเราได้ขนอาหารทะเลสดๆ จากนอร์เวย์หลายชนิด รวมถึงออโรราแซลมอนที่หลายๆ คนชื่นชอบ พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ เมื่อซื้ออาหารทะเลจากนอร์เวย์ครบ 1,000 บาท รับฟรีแซลมอนซาชิมิเซ็ทมูลค่า 299 บาท (เพียง 20 ท่าน/วัน) หรือ รับฟรี ตุ๊กตาหมอนปลาออโรราแซลมอนหรือปลาฟยอร์ดเทราต์ เมื่อซื้อสินค้าอาหารทะเลจากนอร์เวย์ครบ 3,000 บาท ที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต สยามพารากอน วันที่ 12-25 เมษายน 2561เท่านั้น
The Incredible Flavours of Norway เป็นงานมหกรรมอาหารทะเลที่นำอาหารทะเลจากนอร์เวย์บินตรงมายังกรุงเทพมหานคร และเปิดตัวตราสัญลักษณ์อาหารทะเลนอร์เวย์ SEAFOOD FROM NORWAY โดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายแรกที่ได้รับสิทธิ์ใช้ตราสัญลักษณ์นี้คือ บริษัท ธรรมชาติ ซีฟู้ด รีเทล จำกัด ซึ่งตราสัญลักษณ์นี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่า อาหารทะเลทจะมีคุณภาพ รับประกันความสดจากนอร์เวย์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมอบโปรโมชั่นพิเศษ เมื่อซื้ออาหารทะเลจากนอร์เวย์ครบ 3,000 บาท ที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต สยามพารากอน วันที่ 12-25 เมษายน 2561
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54503
Retail
การเข้าซื้อกิจการ OXE’CURE ของบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) มีผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
การเข้าซื้อกิจการ OXE’CURE ของบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. การขยายฐานลูกค้า -OXE’CURE เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เวชสำอางรักษาสิว ซึ่งเป็นตลาดใหม่สำหรับบริษัท ดู เดย์ ดรีม -ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น วัยรุ่น และผู้ชาย -เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าอื่น ๆ ของบริษัทให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่ 2. การเพิ่มช่องทางจำหน่าย -OXE’CURE มีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย เช่น ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา -ช่วยให้บริษัท ดู เดย์ ดรีม สามารถขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าของตน -เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ใหม่ 3. การเพิ่มประเภทสินค้า -OXE’CURE เป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ซึ่งแตกต่างจากสินค้าเดิมของบริษัท ดู เดย์ ดรีม -ช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มประเภทสินค้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น -เพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับคู่แข่ง 4. การสร้างภาพลักษณ์ -OXE’CURE เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในตลาด -ช่วยให้บริษัท ดู เดย์ ดรีม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือ -เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ 5. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน -การเข้าซื้อกิจการ OXE’CURE ช่วยให้บริษัท ดู เดย์ ดรีม มีขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น -สามารถต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ -เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ โดยสรุป การเข้าซื้อกิจการ OXE’CURE ของบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก โดยช่วยให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางจำหน่าย เพิ่มประเภทสินค้า สร้างภาพลักษณ์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ดังนี้ -กลยุทธ์การตลาด บริษัท ดู เดย์ ดรีม จะใชกลยุทธ์อะไรในการทำตลาด OXE’CURE -การขยายตลาดต่างประเทศ บริษัท ดู เดย์ ดรีม มีแผนจะขยายตลาด OXE’CURE ไปยังต่างประเทศหรือไม่ -การแข่งขัน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จะทำอย่างไรเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดผลิตภัณฑ์รักษาสิว การติดตามผลลัพธ์ของการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54504
Retail
การเข้าซื้อโครงการมหานครของกลุ่มคิง เพาเวอร์ จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มใช่หรือไม่?
null
ใช่ การเข้าซื้อโครงการมหานครของกลุ่มคิง เพาเวอร์ มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. ขยายฐานลูกค้า: -โครงการมหานครตั้งอยู่ในย่าน CBD ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก -กลุ่มคิง เพาเวอร์ สามารถใช้จุดแข็งนี้เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง -กลุ่มคิง เพาเวอร์ มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดภาษี มีความเข้าใจความต้องการของลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยว combined กับจุดแข็งของโครงการมหานคร มีโอกาสสูงที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ 2. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่: -โครงการมหานครประกอบไปด้วยพื้นที่รีเทล 4 ชั้น -อาคารรีเทลมหานครคิวป์ พื้นที่เหล่านี้สามารถพัฒนาเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น ห้างสรรพสินค้าระดับลักชัวรี่ แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำ พื้นที่จัดแสดงสินค้าและงานอีเวนต์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และขยายฐานลูกค้าของกลุ่มคิง เพาเวอร์ 3. เสริมสร้าง Synergy กับธุรกิจอื่น ๆ ในเครือ: -กลุ่มคิง เพาเวอร์ มีธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจ Duty Free ธุรกิจร้านอาหาร การเข้าซื้อโครงการมหานคร จะช่วยให้กลุ่มคิง เพาเวอร์ สามารถ Synergy ธุรกิจต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น พัฒนาแพ็กเกจท่องเที่ยวครบวงจร มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า เพิ่มโอกาสในการ cross-selling 4. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน: -ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง -การเข้าซื้อโครงการมหานคร จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับกลุ่มคิง เพาเวอร์ โดยมีจุดแข็งด้านทำเล รูปแบบโครงการที่ทันสมัย ฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม เช่น -กลยุทธ์การพัฒนาโครงการ -รูปแบบธุรกิจที่จะนำมาใช้ -สภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก โดยสรุป การเข้าซื้อโครงการมหานครของกลุ่มคิง เพาเวอร์ มีโอกาสที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มในหลายแง่มุม
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54513
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจอาหารต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
null
แสงสีและเงาของวงการอาหาร ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เสียงเพลงบรรเลงขับกล่อม บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คน “คุณพ่อคะ หนูอยากกินสปาเก็ตตี้!” เด็กหญิงวัย 5 ขวบร้องอ้อน ขณะจูงมือพ่อเดินผ่านโซนร้านอาหาร “ได้สิลูก เดี๋ยวพ่อพาไปกิน” พ่อของเธอยิ้ม ยกมือลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน สายตาของเขาเหลือบไปเห็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อดัง ร้านตกแต่งอย่างสวยงาม พนักงานยืนต้อนรับลูกค้าอย่างสุภาพ “ไปกินร้านนี้กันไหมลูก?” พ่อถาม “ดีค่ะ!” เด็กหญิงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม พวกเขาเดินเข้าร้าน พนักงานพาไปนั่งที่โต๊ะริมกระจก เมนูอาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะ “คุณพ่อ หนูอยากกินคาโบนาร่า” เด็กหญิงชี้ไปที่รูปภาพในเมนู “ได้สิ เดี๋ยวพ่อสั่งให้” พ่อสั่งอาหารให้ลูกสาว และสั่งสปาเก็ตตี้ซีฟู้ดให้ตัวเอง ระหว่างรออาหาร พ่อลูกนั่งคุยกัน เด็กหญิงเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้พ่อฟัง พ่อฟังอย่างตั้งใจ อาหารถูกเสิร์ฟ กลิ่นหอมเย้ายวน เด็กหญิงเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย พ่อมองลูกสาวด้วยรอยยิ้ม “อร่อยไหมลูก?” พ่อถาม “อร่อยค่ะ!” เด็กหญิงตอบ พ่อรู้สึกมีความสุขที่ได้พาลูกสาวมาทานอาหารอร่อยๆ เขาคิดถึงช่วงเวลาแบบนี้ หลังทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็เดินออกจากร้าน เด็กหญิงอิ่มท้องและมีความสุข “ขอบคุณนะคะคุณพ่อ” เด็กหญิงพูด “ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปกินไอศกรีมนะ” พ่อตอบ เด็กหญิงยิ้มกว้าง รู้สึกตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้ แสงสี ของวงการอาหาร เต็มไปด้วยความสวยงาม ร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม อาหารอร่อยๆ บริการดีๆ ล้วนดึงดูดผู้คนให้เข้ามาใช้บริการ เงา ของวงการอาหาร ก็มีอยู่เช่นกัน การแข่งขันที่สูง ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด บทเรียน จากเรื่องนี้ คือ ธุรกิจอาหารต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54517
Retail
สิงห์ เวนเจอร์ มองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพกลุ่ม Consumer Product ที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ข้อความที่สนับสนุน: "กลุ่ม Consumer Product ทั้งอาหารเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญในอนาคตทั้งจากจำนวนประชากรที่มากขึ้น และการเข้าสู่ Aging Society หรือแม้แต่บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนในการช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงในกลุ่มเครื่องปรุงรสต่างๆ เป็นต้น" "สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คุณเต้สังเกตุเห็น เมื่อได้เข้ามาคลุกคลีในแวดวงสตาร์ทอัพไทยมากขึ้น คือ ความแตกต่างระหว่างผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพของไทยและต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งจุดอ่อนที่เหล่าสตาร์ทอัพไทยต้องเสริมเข้าไป คือ วิธีคิดและมุมมองในการปั้นธุรกิจของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ ที่คนไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่อาจจะยังไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อน ทำให้การวางวิสัยทัศน์หรือโมเดลธุรกิจยังไม่แข็งแรง" การวิเคราะห์: ข้อความระบุถึงกลุ่ม Consumer Product ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งล้วนมี ความสำคัญ ต่ออนาคต ประเด็นเกี่ยวกับ Aging Society แสดงถึงโอกาสในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ ข้อความพูดถึง บรรจุภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แสดงถึงความสนใจของสิงห์ เวนเจอร์ ในเทรนด์นี้ คุณเต้ สังเกตเห็น ความแตกต่าง ในวิธีคิดของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพไทยและต่างประเทศ แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับ ประสบการณ์ ของผู้ประกอบการไทย ข้อความสรุปว่า สิงห์ เวนเจอร์ ต้องการ สนับสนุน สตาร์ทอัพไทย แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย สรุป: จากข้อมูลทั้งหมด สิงห์ เวนเจอร์ มีความสนใจในการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพกลุ่ม Consumer Product ที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของสิงห์ เวนเจอร์ ที่ต้องการสนับสนุนสตาร์ทอัพไทย
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54522
Retail
กลยุทธ์การใช้ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
กลยุทธ์การใช้ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. การสร้างความแตกต่าง: Idealounge Group ออกแบบสินค้าและบริการให้แตกต่างจากคู่แข่ง ตัวอย่าง: การ์ดแต่งงานดีไซน์ทันสมัย ของชำร่วยที่พลิกแพลงได้ ผลลัพธ์: สินค้าของ Idealounge Group โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ดึงดูดลูกค้า 2. การเพิ่มมูลค่าสินค้า: Idealounge Group ใส่ไอเดียและดีไซน์ลงในสินค้า ผลลัพธ์: สินค้าของ Idealounge Group มีมูลค่าเพิ่ม ลูกค้าจ่ายเงินได้มากขึ้น 3. การขยายฐานลูกค้า: Idealounge Group เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วยสินค้าที่แตกต่าง ตัวอย่าง: ขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว ผลลัพธ์: Idealounge Group มีฐานลูกค้ากว้างขึ้น 4. การเพิ่มยอดขาย: สินค้าที่แตกต่างและมีมูลค่าเพิ่ม ดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย Idealounge Group มุ่งพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ ผลลัพธ์: ยอดขายของ Idealounge Group เติบโตอย่างต่อเนื่อง 5. การสร้างความยั่งยืน: กลยุทธ์ "ไอเดียสร้างสรรค์" ช่วยให้ Idealounge Group ปรับตัวตามเทรนด์ Idealounge Group มองหาน่านน้ำใหม่ ๆ อยู่เสมอ ผลลัพธ์: Idealounge Group สามารถอยู่รอดและเติบโตในธุรกิจค้าปลีกที่แข่งขันสูง ตัวอย่างผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก: Idealounge Group กลายเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าแต่งงานและของชำร่วย กลยุทธ์ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรายอื่น โดยสรุป: กลยุทธ์การใช้ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ช่วยให้ Idealounge Group ประสบความสำเร็จและสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ ประเด็นสำคัญเพิ่มเติม: กลยุทธ์ "ไอเดียสร้างสรรค์" เหมาะสมกับธุรกิจค้าปลีกทุกประเภทหรือไม่? Idealounge Group จะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร? กลยุทธ์ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่น ๆ ได้อย่างไร? การติดตามผลลัพธ์ของกลยุทธ์ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group จะช่วยให้เราเข้าใจถึงทิศทางของธุรกิจค้าปลีกในอนาคตได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นน่าสนใจอื่น ๆ เกี่ยวกับกลยุทธ์ "ไอเดียสร้างสรรค์" ของ Idealounge Group ดังนี้: Idealounge Group มีวิธีการหาไอเดียใหม่ ๆ อย่างไร? Idealounge Group จัดการกับปัญหาลิขสิทธิ์อย่างไร? Idealounge Group พัฒนาบุคลากรด้าน "ไอเดียสร้างสรรค์" อย่างไร? การติดตามความเคลื่อนไหวของ Idealounge Group จะช่วยให้เราเข้าใจถึงแนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในอนาคตได้ดีขึ้น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54524
Retail
กลยุทธ์หลักของโฮมโปรในปี 2562 มุ่งเน้นไปที่อะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์หลักของโฮมโปรในปี 2562 มุ่งเน้นไปที่ 3 ประการหลัก ดังนี้: 1. เน้นเรื่อง Customer Centric: -มุ่งเน้นสร้างความประทับใจ และความพึงพอใจให้กับลูกค้า -พัฒนาสินค้าใหม่เอาใจทุกไลฟ์สไตล์ -เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่รองรับการเติบโตลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Commercial) -พัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ -เข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายช่องทางการสื่อสาร -สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง (Omni-Channel) 2. พัฒนาสินค้าและบริการ: -เน้นสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ -คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม -พัฒนาสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย -รองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง Commercial -ส่งมอบบริการเหนือระดับ -เชื่อมต่อประสบการณ์เรื่องบ้านที่สุดแสนประทับใจกับทีมช่างมืออาชีพ 3. พัฒนาช่องทางการจำหน่าย: -พัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยี -มุ่งสู่ Omni Channel -ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้า และบริการของโฮมโปรได้ง่ายขึ้น -เติมเต็มปัจจัยด้านความสะดวกสบาย -ช้อปได้แบบสบายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ -สะดวกทุกที่ ทุกเวลา -บริการจัดส่ง ติดตั้ง และรับประกันคุณภาพ กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า -มอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ -มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า -เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง -ตอบโจทย์เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของตลาด ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: -เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด -เพิ่มยอดขาย -รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องบ้านครบวงจร -สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า -ตอบโจทย์เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของตลาด ความเกี่ยวข้องกับ Retail: -กลยุทธ์ของโฮมโปรมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า -พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า -พัฒนาช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย -มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้โฮมโปรสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องบ้านครบวงจร เพิ่มเติม: -โฮมโปรมีแผนจะขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 5 สาขาในปี 2562 -โฮมโปรมีแผนจะลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ -โฮมโปรมีแผนจะพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า สรุป: -กลยุทธ์หลักของโฮมโปรในปี 2562 มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการ และพัฒนาช่องทางการจำหน่าย กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งหวังเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด เพิ่มยอดขาย และรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องบ้านครบวงจร
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54530
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทาย
null
บทเพลงแห่งอนาคต: สัมผัสประสบการณ์ไร้เงินสด ณ ห้างสรรพสินค้าหรูใจกลางกรุงเทพ นลิน สาวออฟฟิศวัย 28 ปี กำลังเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชุดเดรสสีแดงสดที่วางอยู่บนหุ่นโชว์ ด้วยความหลงใหลในแฟชั่น นลินรีบคว้าชุดเดรสและมุ่งหน้าไปยังห้องลอง หลังจากลองชุดเสร็จ นลินก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สแกน QR Code บนหน้าจอเครื่องรับชำระเงิน เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น พร้อมกับข้อความบนหน้าจอแสดงยอดเงินที่ต้องชำระ นลินกดปุ่มยืนยันเพียงเท่านี้ การชำระเงินก็เสร็จสิ้น “สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย” นลินพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ หญิงสาวรู้สึกประทับใจกับประสบการณ์การชำระเงินแบบไร้เงินสด “บัตรเครดิตเหรอคะ? ไม่จำเป็นแล้วค่ะ” พนักงานขายเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้จ่ายผ่าน QR Code กันค่ะ สะดวกทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย” นลินรู้สึกทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เธอหวนนึกถึงอดีตที่ต้องพกเงินสดจำนวนมากติดตัวไปทุกที่ ความกังวลเรื่องเงินหายหรือกระเป๋าถูกขโมยกลายเป็นอดีตไป “โลกของเราพัฒนาไปไกลมาก” นลินคิด “สังคมไร้เงินสดกำลังเกิดขึ้นจริง” บทเพลงแห่งอนาคต เสียงเพลงบรรเลงอย่างไพเราะภายในห้างสรรพสินค้า บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ นลินเดินผ่านร้านค้าต่างๆ สังเกตเห็นว่าร้านค้าส่วนใหญ่มีป้าย QR Code ติดอยู่ที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน “นี่มันยุคดิจิทัลแล้ว” นลินคิด “การใช้เงินสดกำลังกลายเป็นอดีต” หญิงสาวนึกถึงคำพูดของ สุรีย์ เพื่อนสนิทของเธอที่ทำงานด้าน Fintech สุรีย์เคยบอกเธอว่า สังคมไร้เงินสดมีข้อดีหลายประการ “การชำระเงินแบบดิจิทัลช่วยลดการฟอกเงิน ป้องกันอาชญากรรม และส่งเสริมความโปร่งใส” สุรีย์เคยอธิบาย “ “นอกจากนี้ ยังช่วยให้ธุรกิจรายเล็กรายน้อยเข้าถึงระบบการชำระเงินได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนกับเครื่องรับบัตรเครดิตราคาแพง” นลินเห็นด้วยกับคำพูดของสุรีย์ เธอคิดว่าสังคมไร้เงินสดจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ “อนาคตของการชำระเงินอยู่ที่นี่แล้ว” นลินพึมพำ “และฉันก็พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมัน” บทสรุป เรื่องราวของนลินสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการชำระเงิน สังคมไร้เงินสดกำลังเกิดขึ้นจริง และผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54554
Retail
เจเอเอส แอสเซ็ท เป็นบริษัทในเครือใด
ก. เครือเจมาร์ท ข. เครือ PepsiCo ค. เครือ BJC ง. เครือเจริญโภคภัณฑ์
คำตอบที่ถูกต้องคือ ก. เครือเจมาร์ท เพราะว่า ปจนถึงเชนร้านกาแฟของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ทำให้ปัจจุบันตลาดร้านกาแฟในไทย มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 เซ็กเมนต์หลักตามระดับราคาโดยเฉลี่ย ประกอบด้วย ระดับราคา 100 บาทขึ้นไป ในเซ็กเมนต์นี้ มี “Starbucks” ครองตลาด / ระดับราคา 50 – 55 บาท เซ็กเมนต์นี้มี “Café Amazon” ยึดตลาด / ระดับราคา 25 บาท เซ็กเมนต์นี้มีกลุ่มทุนค้าปลีกรายใหญ่อย่าง “ซีพีออลล์” ที่สร้างแบรนด์ “All Café” เป็นจุดบริการเครื่องดื่มกาแฟในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ถึงแม้จะหันไปทางไหน ก็เจอแต่ร้านกาแฟ หากทว่าตลาดนี้ยังมี “โอกาสธุรกิจ” ด้วยเหตุนี้เองเมื่อปลายปีที่แล้ว “เจเอเอส แอสเซ็ท” (Jas Asset) บริษัทในเครือกลุ่มเจมาร์ท
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_54566
Retail
รางวัล The Best Brand Performance จำนวน 21 รางวัลแบ่งตามกลุ่มธุรกิจได้แก่อะไรบ้าง
โธธ โซเชียล และ วันบิต แมทเทอร์ (โอบีว็อค) เดินหน้าสร้างบรรทัดฐานการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ ผนึกกำลังเหล่ากูรูคนดังจากหลากหลายวงการ ประกาศความพร้อมเตรียมจัด “Thailand Zocial Awards 2018” งานประกาศรางวัลเพื่อเชิดชูแบรนด์และเอเจนซี่ ที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมบนโลกโซเชียล ครั้งที่ 6 เพื่อตอกย้ำความสำเร็จตลอด 5 ปี ที่ผ่านมา พร้อมการกลับมาของการประกาศรางวัล Thailand Zocial Awards สาขา Entertainment กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โธธ โซเชียล จำกัด และ พเนิน อัศววิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันบิต แมทเทอร์ จำกัด ร่วมเผยถึงเทรนด์การใช้โซเชียลมีเดียว่า มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดถึง 9% ทั่วโลกในช่วงครึ่งปีแรก และในประเทศไทยปริมาณข้อมูลบนโซเชียลเพิ่มขึ้น 44% จากปี 2016 ที่มีจำนวน 2.5 พันล้านข้อความ เป็น 3.6 พันล้านข้อความในปี 2017 ในระยะเวลา 11 เดือน และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าโซเชียลมีเดียนั้น กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ที่เชื่อมโยงถึงกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ “ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โธธ โซเซียล และ โอบีว็อค เล็งเห็นถึงความสำคัญของโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีอิทธิพลต่อทุกภาคธุรกิจ เราสร้างบรรทัดฐานการใช้โซเชียลให้เกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมทั้งเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ data ขับเคลื่อนธุรกิจ รวมถึงเชิดชูผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่วงการโซเชียล ซึ่งการจัดงาน Thailand Zocial Awards ทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และประสบความสำเร็จสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,000 คน นับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของเราในฐานะผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล” เพื่อตอกย้ำถึงความสำเร็จ และสร้างบรรทัดฐานของการใช้โซเชียลมีเดียให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน โธธ โซเชียล ประกาศความพร้อม จัดงาน Thailand Zocial Awards 2018 เพื่อมอบรางวัลให้กับแบรนด์และเอเจนซี่ ที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียในปีที่ผ่านมา นายกล้า กล่าวต่อไปว่า “สำหรับครั้งนี้ เป็นปีที่ 6 เราจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ 18+ “Data is Sexy” ซึ่งเราได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญจากหลายหลายวงการ ในเมืองไทย ได้แก่ ศาสตราจารย์วิทวัส รุ่งเรืองผล นักวิชาการด้านการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีเว็บไซต์ Pantip.com, คุณหรรษา วงศ์สิริพิทักษ์ SEA Director of Digital จาก J. Walter Thompson Asia Pacific, คุณธนเดช กุลปิติวัน บรรณาธิการบริหารนิตยสาร BrandAge, คุณรัสรินทร์ อรุณอิทธิวิทย์ Senior Editor จาก Brand Buffet ร่วมให้คำปรึกษาในการอัพเดท “Zocial Metric” กระบวนการที่ใช้วัดผลข้อมูลบนโซเชียลมีเดียให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันประกอบด้วย Fan Based การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผู้ติดตาม, Growth การเพิ่มขึ้นของจำนวนกลุ่มเป้าหมาย, Interaction ความน่าสนใจของเนื้อหา, Share การแชร์บนโซเชียลมีเดีย, Sentiment ความรู้สึกที่ตอบสนองของลูกค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้และการเติบโตอย่างรวดเร็วของโซเชียลมีเดีย รวมทั้งนำมาใช้เป็นเกณฑ์ การตัดสินผลรางวัลต่างๆ ของ Thailand Zocial Awards 2018 ด้วย และความพิเศษของปีนี้ ต้องบอกว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของการประกาศรางวัล Thailand Zocial Awards ในสาขา Entertainment ซึ่งเราได้รับเกียรติจากผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิง ได้แก่ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ประธาน บริษัท แก่น 555 จำกัด และ คุณชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) มาร่วมให้คำปรึกษาการวัดผลข้อมูลบนโซเชียลมีเดียในสาขานี้” สำหรับประเภทรางวัลต่างๆ ที่เหล่าคนออนไลน์ไม่ควรพลาด ได้แก่ รางวัล The Best Brand Performance (รางวัลแบรนด์ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม) จำนวน 21 รางวัล แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสายการบิน, กลุ่มธุรกิจยานยนต์, กลุ่มธุรกิจธนาคาร, กลุ่มธุรกิจสถาบันความงาม, กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์, กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า, กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางค์, กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภค, กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร, กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล, กลุ่มธุรกิจประกัน, กลุ่มธุรกิจอิเลคทรอนิกส์, กลุ่มธุรกิจแม่และเด็ก, กลุ่มธุรกิจสินค้าของใช้ส่วนตัว, กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจร้านค้าปลีก, กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า, กลุ่มธุรกิจรัฐวิสาหกิจ, กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม, รางวัล The Best Brand Performance by Platform (รางวัลแบรนด์ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม) จำนวน 6 รางวัล แบ่งตามประเภทของแพลตฟอร์ม ได้แก่ เฟซบุ๊ค (Facebook), อินสตาแกรม (Instagram), ไลน์ (Line), พันทิป (Pantip),ทวิตเตอร์ (Twitter), และยูทูป(YouTube) รวมถึงรางวัล The best social media campaign รางวัลสำหรับฝั่งเอเจนซี่ที่สร้างสรรคผลงานบนโซเชียลมีเดียได้ดีเยี่ยมประจำปี จำนวน 5 รางวัล โดยทางเอเจนซี่สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 มกราคม พ.ศ.2561 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และ Submit ข้อมูลเพื่อส่งผลงานได้ที่ www.thailandzocialawards.com, นอกจากนี้ยังมีรางวัล Special Awards จำนวน 1 รางวัล และการกลับมาของ รางวัล The Best Social Entertainment จำนวน 18 รางวัล อีกด้วย Thailand Zocial Awards 2018 งานประกาศผลรางวัลโซเชียลครั้งที่ 6 ภายใต้คอนเซ็ปต์ 18+ “Data is Sexy” จะมีขึ้นในวันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 13.00-19:00 ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ชั้น 7 สยามสแควร์วัน สามารถติดตามรายละเอียดของงาน และลงทะเบียนเข้างานได้ที่ www.thailandzocialawards.com “โซเชียลมีเดียนับเป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดที่สำคัญและมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ซึ่งการจัดงาน Thailand Zocial Award 2018 ในครั้งนี้ จะช่วยให้แบรนด์และเอเจนซี่สามารถตามเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ทัน และสามารถนำมาประยุกต์ใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกธุรกิจ” นายพเนิน กล่าวทิ้งท้าย
รางวัล The Best Brand Performance จำนวน 21 รางวัลแบ่งตามกลุ่มธุรกิจจะได้ ดังนี้: 1. กลุ่มธุรกิจสายการบิน 2. กลุ่มธุรกิจยานยนต์ 3. กลุ่มธุรกิจธนาคาร 4. กลุ่มธุรกิจสถาบันความงาม 5. กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 6. กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ 7. กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า 8. กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางค์ 9. กลุ่มธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 10. กลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภค 11. กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร 12. กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล 13. กลุ่มธุรกิจประกัน 14. กลุ่มธุรกิจอิเลคทรอนิกส์ 15. กลุ่มธุรกิจแม่และเด็ก 16. กลุ่มธุรกิจสินค้าของใช้ส่วนตัว 17. กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 18. กลุ่มธุรกิจร้านค้าปลีก 19. กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า 20. กลุ่มธุรกิจรัฐวิสาหกิจ 21. กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม รางวัล The Best Brand Performance by Platform (รางวัลแบรนด์ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม): จำนวน 6 รางวัล แบ่งตามประเภทของแพลตฟอร์ม ได้แก่: 1. เฟซบุ๊ค (Facebook) 2. อินสตาแกรม (Instagram) 3. ไลน์ (Line) 4. พันทิป (Pantip) 5. ทวิตเตอร์ (Twitter) 6. และยูทูป(YouTube) รวมถึงรางวัล The best social media campaign : - รางวัลสำหรับฝั่งเอเจนซี่ที่สร้างสรรคผลงานบนโซเชียลมีเดียได้ดีเยี่ยมประจำปี จำนวน 5 รางวัล - โดยทางเอเจนซี่สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 มกราคม พ.ศ.2561 - สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และ Submit ข้อมูลเพื่อส่งผลงานได้ที่ เว็บไซต์
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54584
Retail
เขียนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "เดินทางช้อปปิ้งกับดิสเคาน์สโตร์สากะเบือยันเรือรบ: ถอดสูตรความสำเร็จ 'Don Quijote' สู่โลกของการค้าขายออนไลน์"
null
"ถอดสูตรความสำเร็จ 'Don Quijote' ดิสเคาน์สโตร์สากกะเบือยันเรือรบ สะกดคนทั่วโลกต้องแวะช้อป" หนึ่งในความสำเร็จที่น่าทึ่งและน่าสนใจในโลกของการค้าขายออนไลน์คือแอพพลิเคชั่น "Don Quijote" ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของดิสเคาน์สโตร์สากะเบือยันเรือรบ ซึ่งเป็นร้านค้าที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นและกำลังขยายธุรกิจของตนไปยังทั่วโลกโดยมีกลยุทธ์ในการเปิดร้านค้าใหม่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตัวแอพพลิเคชั่นนี้มีความแตกต่างจากร้านค้าอื่นๆ ในดิสเคาน์สโตร์ทั่วไปโดยมีความเฉพาะเจาะจงและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แอพพลิเคชั่น "Don Quijote" มุ่งเน้นการประสบความสำเร็จผ่านการให้บริการสินค้าคุณภาพที่ราคาไม่แพงมาก โดยมีสินค้าหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ที่บ้าน และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ร้าน "Don Quijote" ยังมีการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าสนใจด้วยการตกแต่งร้านค้าให้มีลักษณะแปลก ๆ และทันสมัย สิ่งที่ทำให้ "Don Quijote" มีความสำเร็จอย่างมากนี้นั้น ไม่เพียงแต่เรื่องของสินค้าที่คุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ยังเป็นเรื่องของการโปรโมทที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์การตลาดที่แปลกประหลาด ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีและสื่อสารในการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา นับถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในยุคดิจิทัลนี้ ในการขยายธุรกิจไปยังตลาดระหว่างประเทศ ดิสเคาน์สโตร์มุ่งเน้นการปรับตัวตามวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ละประเทศ โดยยึดมั่นในความเชื่อของตนเองและสิ่งที่ "Don Quijote" นั้นเสนอให้แก่ลูกค้าของพวกเขา การลงทุนในการศึกษาทฤษฎีการตลาดและความเป็นไปได้ในแต่ละตลาดเป็นสิ่งที่นำมาเพื่อการสร้างความสำเร็จในการขยายธุรกิจของพวกเขา
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54593
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "รีวิวปลอมเป็นภัยคุกคามต่อเว็บไซต์รีวิว แต่ยังพอมีทางป้องกันอยู่" ให้หน่อยค่ะ
มันเป็นภัยคุกคามต่อเว็บไซต์รีวิว แต่ยังพอมีทางป้องกันอยู่ รีวิวปลอมที่เกิดขึ้นในระดับอุตสาหกรรมถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อบริษัทต่างๆ เช่น เว็บไซต์รีวิว Yelp ที่วางตัวเองไว้ในตำแหน่งของความน่าเชื่อถือและรีวิวที่มีประโยชน์ หากเกิดการตรวจสอบขึ้นมาและพบรีวิวปลอมต่อไปใครจะไว้วางใจในเว็บไซต์นี้อีก? อีกหนึ่งธุรกิจคือร้านค้าปลีกอย่าง Amazon ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แม้ว่า Zhao จะชี้ให้เห็นว่าสามารถตรวจสอบได้ จากข้อมูลการสั่งซื้อจริงของคนที่รีวิวก็ตาม แต่นักวิจัยก็หาทางที่จะต่อสู้กับวิกฤติครั้งนี้ แม้ว่ารีวิวปลอมอาจมีลักษณะเหมือนจริงกับที่เขียนโดยมนุษย์ แต่ก็มีความแตกต่างที่ลึกซึ้งที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถตรวจจับได้หากรู้ถึงกฎการกระจายตัวอักษร (a, b, c, d และอื่น ๆ ) แต่นักวิจัยก็หาทางที่จะต่อสู้กับวิกฤติครั้งนี้ แม้ว่ารีวิวปลอมอาจมีลักษณะเหมือนจริงกับที่เขียนโดยมนุษย์ แต่ก็มีความแตกต่างที่ลึกซึ้งที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถตรวจจับได้หากรู้ถึงกฎการกระจายตัวอักษร (a, b, c, d และอื่น ๆ ) รีวิวปลอมมาจากรีวิวจริงและมีข้อมูลบางส่วนหายไปในกระบวนการ รีวิวปลอมจะให้ความสำคัญกับความคล่องตัวและความน่าเชื่อถือ ดังนั้นอย่างน้อยเราจะสามารถสังเกตได้จากการใช้ภาษา นักวิจัยกล่าวว่า “การสูญเสียข้อมูลที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึก AI จะแสดงออกมาในข้อความรีวิวที่ถูกเขียนออกมา ทำให้เกิดความแตกต่างในการใช้ภาษาที่สามารถสังเกตได้ ระหว่างข้อความที่ AI สร้างขึ้นและข้อความของมนุษย์” Zhao กล่าวว่าหากต้องการแก้ไขข้อบกพร่องตรงนี้ก็สามารถทำได้ โดยการซื้อฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ราคาแพงและใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายประสาทที่มีความซับซ้อนมากขึ้นให้กับ AI ดังนั้นเราจึงไม่ควรนิ่งนอนใจในการป้องกันการคุกคามของรีวิวปลอมจาก AI นี้โดยเพิ่มการเฝ้าระวังให้มากขึ้น ทำให้ทุกอย่างมันยากสำหรับพวกเขามากที่สุดที่จะผ่านด่านการป้องกันไปได้ ดังนั้น เมื่อการป้องกันแน่นหนาขึ้น จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการสร้าง AI มาเขียนรีวิวปลอม คนที่ชนะก็อาจเป็นคนที่มีเงินเยอะและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “นั่นคือการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดที่เราจะทำได้ ทำให้พวกผู้ร้ายทำงานยากที่สุด แม้ว่าสุดท้ายแล้วเราอาจจะไม่สามารถหยุดการโจมตีอย่างแท้จริงของพวกผู้ร้ายมั่งคั่งได้ก็ตาม”
การรีวิวปลอมในระดับอุตสาหกรรมเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อบริษัท หากพบจะใครไว้วางใจในเว็บไซต์อีก ร้านค้าปลีกอย่าง Amazon ก็เจอเช่นกัน รีวิวปลอมมาจากรีวิวจริงและมีข้อมูลบางส่วนหายไป หากต้องการแก้ไขต้องซื้อฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ราคาแพงและใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายประสาทที่มีความซับซ้อนมากขึ้นให้กับ AI
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54602
Retail
เป้าหมายสำคัญของแฟมิลี่มาร์ทคืออะไร
เมื่อเบอร์ 1 ในตลาดชูจุดแข็งของการเป็นร้านอิ่มสะดวก พร้อมปรับพอร์ตสินค้าในร้านเป็นกลุ่มอาหารต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้สร้างและตอกย้ำ Perception ที่แข็งแรงนี้มาอย่างต่อเนื่องหลายปีแล้ว ขณะที่แฟมิลี่มาร์ทเองก็พยายามต่อสู้ โดยเฉพาะการใช้เครือข่ายจาก Connection ของกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่อย่างเซ็นทรัลมาเป็นตัวช่วยเสริมศักยภาพในการทำธุรกิจ ตามแนวทางการ Synergy ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทางกลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญมาอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ หนึ่งใน BU ของเซ็นทรัลที่ประกาศจุดยืนด้วยการเป็น Destination ของกลุ่ม SME ไปแล้ว คือ OfficeMate ที่ยกระดับภาพลักษณ์จากร้านขายอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน มาเป็น One Stop ของกลุ่ม SME และ Micro Commerce เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ E Commerce ที่มีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ตามการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆ และการเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างเต็มตัว หนึ่งในพันธมิตรของออฟฟิศเมทที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ข้างต้น ปรากฏชื่อของ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการด้านลอจิสติกส์จากฮ่องกง ที่ชูจุดเด่นการให้บริการที่รวดเร็ว ทันใจ ภายใต้สโลแกน “ส่งไว ส่งชัวร์ ทั่วไทย” พร้อมบริการที่ต่างจากตลาด เช่น Same Day Delivery ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดี จนได้รับความนิยมในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หลายๆ ธุรกิจต่างพยายามมองหาโอกาสเข้ามาเชื่อมโยงกับกลุ่ม SME หรือผู้ค้าขายสินค้าออนไลน์มากขึ้น ด้วยการพัฒนาบริการต่างๆ ให้ตอบโจทย์และสอดคล้องกับความต้องการของคนกลุ่มนี้ เพื่อหวังอานิสสงส์ให้ธุรกิจมีช่องทางและขยายโอกาสในการโตได้เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับ Movement ล่าสุด ของแฟมิลี่มาร์ท ที่เปิดตัวพันธมิตรรายล่าสุดเป็น เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มบริการสำหรับกลุ่ม SME และคนค้าขายออนไลน์ ด้วยบริการฝากส่งพัสดุตลอด 24 ชั่วโมง ที่นอกจากช่วยย้ำ Positioning เดิมของธุรกิจในการเป็นร้านสะดวกซื้อที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้แบบ 24 ชั่วโมงแล้ว ยังเสริมภาพของความเป็น One Stop เพื่อสร้างอีกหนึ่งความแตกต่างและสร้างความแข็งแรงใหม่ให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย คุณจิรนันท์ ผู้พัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของแฟมิลี่มาร์ท คือการเติมเต็มทุกภารกิจในทุกช่วงเวลาของชีวิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุค 4.0 นอกจากการให้บริการสินค้า อาหารสดใหม่ตลอด 24 ชั่วโมง แฟมิลี่มาร์ทยังให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกและคุณภาพการบริการที่สามารถตอบโจทย์กับทุกภารกิจ ทุกช่วงเวลา ของลูกค้าได้แบบครบครัน โดยเฉพาะการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดของกลุ่มซื้อขายสินค้าออนไลน์ แฟมิลี่มาร์ทจึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อเติมเต็มและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยบริการฝากส่งพัสดุตลอด 24 ชั่วโมง ที่มีชื่อว่า เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (Kerry Express) “ความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจออนไลน์ ด้วยบริการรับฝากส่งพัสดุมิติใหม่ ที่นอกเหนือจากจุดเด่นเรื่องการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทแล้ว เคอร์รี่ เอ็กซ์เพรส ยังให้ความเชื่อมั่นด้านความรวดเร็ว ความใส่ใจในการดูแลรับส่งพัสดุในราคาที่เหมาะสมกับลูกค้า โดยครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งออฟฟิศสำนักงาน โรงเรียน โรงพยาบาล คอนโดมิเนียม และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งการเปิดจุดให้บริการรับฝากพัสดุผ่านร้านแฟมิลี่มาร์ท ที่จะเข้ามาช่วยลดภาระของลูกค้า ในการต้องเดินทางไปหาจุดส่งพัสดุตามพื้นอื่นๆ และยังมีการให้บริการที่จำกัดเวลาอีกด้วย” พร้อมบริการแล้ว 100 จุด ทั่ว กทม. สำหรับบริการเคอรี่ เอ็กซ์เพรสในร้านแฟมิลี่มาร์ท ขณะนี้พร้อมให้บริการแล้วกว่า 100 จุด เช่น สีลม 32, ฮอลิเดย์อินน์, สุขมุวิท50, ทองหล่อ 17, สุรวงษ์ และโรงพยาบาลบางปะกอก เป็นต้น โดยจะทำการรับฝากส่งพัสดุใน 3 ขนาด คือ Mini, S และ S+ ราคาเริ่มต้นที่ 35 บาท ทำการจัดส่งภายในวันถัดไป ซึ่งนอกจากบริการจัดส่งพัสดุแล้ว ทางร้านแฟมิลี่มาร์ทยังจำหน่ายกล่องพัสดุทั้ง 3 ขนาดข้างต้น ที่บริเวณเคาน์เตอร์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีพนักงานให้บริการตรวจสอบพัสดุก่อนการจัดส่งอีกด้วย ตามแผน ทางแฟมิลี่มาร์ทและเคอรี่ เอ็กซ์เพรส จะขยายการให้บริการให้ครอบคลุมสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 350 สาขาภายในปีนี้ ก่อนจะเพิ่มการให้บริการไปในสาขาที่อยู่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะในโซนจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ และจังหวัดใหญ่ๆ ภายในปีหน้า จากจำนวนสาขาร้านแฟมิลี่มาร์ทโดยรวมทั่วประเทศ ที่มีกว่า 1 พันแห่ง รวมทั้งยังมีบริการชำระเงินได้ในหลายช่องทาง อาทิ Credit Card, Rabbit card, Alipay หรือใช้คะแนนThe 1 Card แทนเงินสด เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิตอลทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และสนับสนุนนโยบายการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ด้าน คุณอเล็กซ์ อึ้ง ผู้อำนวยการบริหารสายงานธุรกิจรับ-ส่งพัสดุ เคอรี่ โลจิสติกส์ กรุ๊ป ประจำสาขาประเทศไทย กล่าวว่า เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ให้ความสำคัญกับการขยายจุดการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากที่สุด โดยหนึ่งในวิธีการจะขยายการให้บริการอย่างทั่วถึงและรวดเร็วมากที่สุด คือ การมองหาพันธมิตรที่มีศักยภาพเข้ามาเป็นกองทัพเสริมในการช่วยต่อยอดการให้บริการ โดยเฉพาะร้านแฟมิลี่มาร์ทที่มีจุดแข็งในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่อยู่ในจุดสำคัญ และกระจายไปในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งชุมชน ออฟฟิศ คอนโด หรือตามแนวรถไฟฟ้าก็ตาม ซึ่งจุดเหล่านี้จะทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย และสะดวกมากขึ้น “ยังมีเรื่องภาพลักษณ์แบรนด์ของแฟมิลี่มาร์ท ที่สะท้อนถึงความทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคปัจจุบันที่สอดคล้องกับ position แบรนด์เราอีกด้วย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะเข้ามาช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยในอนาคตจะเพิ่มจุดบริการของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ให้กระจายไปอยู่ในแฟมิลี่มาร์ททุกสาขาทั่วประเทศ” ความร่วมมือกับพันธมิตรรายล่าสุดอย่าง เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ยังนับเป็นก้าวสำคัญของแฟมิลี่มาร์ท ในการยกระดับจากการเป็น Convenience Store สู่การเป็น Convenience Service เพื่อต้องการตอบสนองทุกความต้องการที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุค 4.0 ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะการร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าต่างๆ ในการดึงจุดแข็งของแต่ละแบรนด์ เพื่อช่วยกันเติมเต็มและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ยังเป็นช่องว่างให้แก่ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตเราน่าจะมีโอกาสได้เห็นบริการใหม่ๆ จากร้านแฟมิลี่มาร์ทเพิ่มเติมเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่องอย่างแน่นอน
เป้าหมายสำคัญของแฟมิลี่มาร์ทคือ การเติมเต็มทุกภารกิจในทุกช่วงเวลาของชีวิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุค 4.0 นอกจากการให้บริการสินค้า อาหารสดใหม่ตลอด 24 ชั่วโมง แฟมิลี่มาร์ทยังให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกและคุณภาพการบริการที่สามารถตอบโจทย์กับทุกภารกิจ ทุกช่วงเวลา ของลูกค้าได้แบบครบครัน โดยเฉพาะการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดของกลุ่มซื้อขายสินค้าออนไลน์ แฟมิลี่มาร์ทจึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อเติมเต็มและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยบริการฝากส่งพัสดุตลอด 24 ชั่วโมง ที่มีชื่อว่า เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (Kerry Express) “ความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจออนไลน์ ด้วยบริการรับฝากส่งพัสดุมิติใหม่ ที่นอกเหนือจากจุดเด่นเรื่องการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ที่ร้านแฟมิลี่มาร์ทแล้ว เคอร์รี่ เอ็กซ์เพรส ยังให้ความเชื่อมั่นด้านความรวดเร็ว ความใส่ใจในการดูแลรับส่งพัสดุในราคาที่เหมาะสมกับลูกค้า โดยครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งออฟฟิศสำนักงาน โรงเรียน โรงพยาบาล คอนโดมิเนียม และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งการเปิดจุดให้บริการรับฝากพัสดุผ่านร้านแฟมิลี่มาร์ท ที่จะเข้ามาช่วยลดภาระของลูกค้า ในการต้องเดินทางไปหาจุดส่งพัสดุตามพื้นอื่นๆ และยังมีการให้บริการที่จำกัดเวลาอีกด้วย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54612
Retail
กลยุทธ์ของ Walmart ในการจัดส่งสินค้าของชำมีอะไรบ้าง และกลยุทธ์เหล่านี้จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
Walmart กำลังดำเนินกลยุทธ์หลายอย่างเพื่อขยายบริการจัดส่งสินค้าของชำ ซึ่งรวมถึง: 1. การทดสอบการจัดส่งโดย Uber: Walmart กำลังทดสอบการจัดส่งสินค้าของชำโดย Uber ในเมือง Dallas และ Orlando ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่บ้านโดยมีค่าธรรมเนียม 9.95 ดอลลาร์ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Walmart เข้าถึงลูกค้าใหม่และขยายฐานลูกค้า 2. การขยายตัวเลือกการรับสินค้า: Walmart เพิ่มจำนวนจุดรับสินค้าในร้านค้าจาก 100 แห่งเมื่อ 2 ปีก่อน เป็น 900 แห่งในปัจจุบัน ตัวเลือกนี้ช่วยดึงดูดลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการสั่งซื้อออนไลน์และรับสินค้าที่ร้านค้า 3. การเสนอบริการจัดส่งฟรี: Walmart เสนอบริการจัดส่งฟรีสำหรับคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่มีจำนวนเงินขั้นต่ำ กลยุทธ์นี้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการสั่งซื้อออนไลน์โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม 4. การลงทุนในเทคโนโลยี: Walmart ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้า เช่น เทคโนโลยีการเก็บสินค้าอัตโนมัติ กลยุทธ์นี้ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่ง 5. การเข้าซื้อกิจการ: Walmart เข้าซื้อกิจการของชำออนไลน์เพื่อขยายฐานลูกค้าและขยายขีดความสามารถในการจัดส่ง กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Walmart เข้าถึงลูกค้าใหม่และขยายธุรกิจ กลยุทธ์เหล่านี้ของ Walmart จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลาย ๆ ด้าน: 1. การเพิ่มการแข่งขัน: กลยุทธ์เหล่านี้จะเพิ่มการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก ผู้ค้าปลีกอื่น ๆ จะต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ของตนเองเพื่อตอบสนองต่อ Walmart 2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: กลยุทธ์เหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้บริโภคจะคาดหวังตัวเลือกการจัดส่งสินค้าที่หลากหลาย สะดวก และรวดเร็ว 3. การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจค้าปลีก: กลยุทธ์เหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์จะเติบโตขึ้นและธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะต้องปรับตัว 4. การมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า: กลยุทธ์เหล่านี้จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้ามากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจะต้องพัฒนากลยุทธ์เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ราบรื่นและสะดวกแก่ลูกค้า 5. การใช้เทคโนโลยี: กลยุทธ์เหล่านี้จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจะต้องลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า โดยสรุป กลยุทธ์ของ Walmart ในการจัดส่งสินค้าของชำจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกจะต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ของตนเองเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54628
Retail
สเตเดียม วัน สปอร์ต คอมมูนิตี้ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงาน “STADIUM ONE OPEN HOUSE” เพื่ออะไร
สเตเดียม วัน (STADIUM ONE) สปอร์ต คอมมูนิตี้ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์สำหรับคนรักสุขภาพแห่งแรกของประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงาน “STADIUM ONE OPEN HOUSE” เพื่อเปิดบ้านต้อนรับคู่ค้าธุรกิจ เยี่ยมชมโครงการฯ พร้อมฟังวิสัยทัศน์การดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญทางการค้าที่จะร่วมสร้างพื้นที่ในตำนานด้านกีฬากลับมาคึกคักอีกครั้ง สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง พร้อมตั้งเป้าดึงดูดกลุ่มคนรักสุขภาพได้มากถึง 10,000 คนต่อวัน นายพงศ์วรรธน์ ติยะพรไชย ผู้บริหารโครงการสเตเดียมวัน (STADIUM ONE) กล่าวว่า โครงการ สเตเดียม วัน โดยบริษัท เดอะ สปอร์ต โซไซตี้ จำกัด ประกอบด้วยทีมผู้บริหาร ได้แก่ นายสิทธิชัย ศรีสงวนกุล CEO, นายถนอมเกียรติ สัมมาวุฒิชัย Executive Director, นายณัฐภัค รีกิจติศิริกุล Director ได้ร่วมกันจัดงาน “STADIUM ONE OPEN HOUSE” ขึ้น เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่พันธมิตร และคู่ค้าทางธุรกิจ หลังจากได้รับสัมปทานพื้นที่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการก่อสร้างและบริหารโครงการ สเตเดียม วัน ด้วยงบการลงทุนมูลค่ารวมราว 200 ล้านบาท บริหารงานภายใต้แนวคิด “Stadium of Life” ซึ่งเป็นศูนย์รวมค้าปลีกเกี่ยวกับกีฬาและไลฟ์สไตล์ของคนรักการออกกำลังกายที่ครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเล็งเห็นภาพรวมตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการขยายตัวของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย รวมถึงพฤติกรรมและความสนใจด้านสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะสามารถดึงกลุ่มคนรักสุขภาพได้มากถึง 10,000 คนต่อวัน “โครงการ สเตเดียม วัน ตั้งอยู่บนถนนพระราม 1 ตัดกับถนนบรรทัดทอง ใกล้กับสนามกีฬาแห่งชาติ และสนามฟุตบอลเทพหัสดิน จุดเชื่อมต่อกับพื้นที่อุทยานจุฬาฯ 100 ปี สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 30 ไร่ ภายในโครงการฯ ประกอบด้วยร้านค้าปลีกจำนวน 129 ร้าน ในพื้นที่ค้าปลีกขนาด 5,000 ตารางเมตร แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนของร้านค้าปลีกด้านกีฬา และส่วนของศูนย์บริการการออกกำลังกาย – ลานจัดกิจกรรมด้านกีฬาขนาด 2,000 ตารางเมตร เป็นแห่งแรกของประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยวัตถุประสงค์หลักของโครงการฯ คือต้องการเปลี่ยนสถานที่ในตำนานด้านกีฬาให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งยังส่งเสริมพฤติกรรมคนกรุงเทพฯ ให้หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงการฯ ได้ช่วยตอบโจทย์ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาบน้ำ ล็อกเกอร์เก็บสัมภาระ ลานจอดรถที่รองรับมากถึง 150 คัน และที่จอดรถบริเวณโดยรอบโครงการฯ รวมราว ๆ 700 คัน เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการ สเตเดียม วัน ยังประกอบด้วยโซนต่าง ๆ ทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ โซนค้าปลีก โซนวิ่งและปั่นจักรยาน โซนร้านสินค้าเกี่ยวกับกีฬาทุกประเภท โซนอาหารและเครื่องดื่ม โซนเพื่อสุขภาพ และโซนเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์” นายพงศ์วรรธน์ กล่าวเสริม ด้าน นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด หนึ่งในพันธมิตรคู่ค้าธุรกิจรายใหญ่ กล่าวว่า เมื่อได้ทราบถึงโมเดลโครงการฯ และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่ต้องการชุบพื้นที่ตำนานด้านธุรกิจเสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬา ซึ่งทางวอริกซ์ (Warrix) ได้เจาะการตลาดเสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทย โดดเด่นเรื่องคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ และสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้โดยตัวสินค้าเอง โดยในปีนี้ได้เซ็นสัญญาจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับทางทีมฟุตบอลชาติไทย ยาวนานถึง 4 ปี ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของวอริกซ์ จึงได้เล็งเห็นโอกาสในการเปิดพื้นที่ Flag Ship Store แห่งใหม่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นช้างศึก Official Store แห่งแรกในประเทศไทย ด้วยคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุด มูลค่าสินค้ารวมกว่า 20 ล้านบาท พร้อมความเชื่อมั่นว่าแลนด์มาร์คแห่งนี้จะสามารถเป็นศูนย์กลาง และรวมกลุ่มลูกค้าที่รักในกีฬาฟุตบอล และการออกกำลังกาย “Warrix Store ในโครงการสเตเดียม วัน มีขนาดพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. รวม 9 ห้องคูหา ซึ่งประกอบด้วยอาคาร 3 ชั้น โดยชั้น 1-2 เป็นสโตร์สินค้า ส่วนชั้น 3 จัดสรรเป็น Stock Hub ด้วยการดีไซน์อาคารที่เชื่อมต่อกัน เพื่อรองรับแผนการตลาดในปลายปี 2560 จนถึงปี 2561 ที่ทางวอริกซ์จะมีการพัฒนาต่อยอดประเภทสินค้าอื่น ๆ เพิ่มขึ้น สอดรับกับเทรนด์ด้านสุขภาพของไทย อาทิ สินค้ากึ่งวิทยาศาสตร์การกีฬา ด้านกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ ด้านกีฬาวิ่ง แบดมินตัน และมวย เป็นต้น” นายพร้อมพงษ์ ตันติวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส จำกัด ในเอสซีจี ซิเมนต์ – ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง หนึ่งในพันธมิตรคู่ค้าธุรกิจรายใหญ่ กล่าวว่า เอสซีจี เอ็กซ์เพรส บริหารงานธุรกิจบริการส่งพัสดุย่อยแบบเร่งด่วน ร่วมทุนธุรกิจกับยามาโตะ กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น เชี่ยวชาญด้านระบบการขนส่งอย่างมืออาชีพ ซึ่งได้ทราบถึงวิสัยทัศน์ของทางผู้บริหารโครงการ สเตเดียม วัน พร้อมมีความเชื่อมั่นในหลาย ๆ ด้านว่าโครงการฯ จะกลายเป็นศูนย์รวมด้านกีฬา และสปอร์ต แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมือง ด้วยจำนวนคนรักสุขภาพที่พร้อมใจกันมาที่แห่งนี้ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของตนเอง ประกอบกับเป็นสถานที่ที่เดินทางสะดวกสบาย ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถสาธารณะ หรือโดยรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่ทางโครงการฯ จัดไว้อย่างครบครัน ด้วยเหตุนี้ เอสซีจี เอ็กเพรส จึงได้เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ ตัดสินใจเปิดจองพื้นที่เพื่อขยายสาขาจุดบริการสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งยังตอบโจทย์ และรองรับตลาดสินค้าเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา และอื่น ๆ ทั้งจำหน่ายโดยหน้าร้าน และตลาดซื้อ-ขายออนไลน์ที่ขยายตัวสูงขึ้นทุกปี พร้อมคาดการณ์ว่าสามารถเปิดให้บริการได้ในกลางเดือนสิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 7.00 – 19.00 น. อนาคตตั้งเป้าเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ภายในงาน “STADIUM ONE OPEN HOUSE” มีผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก รายใหญ่ และพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง อาทิ Nike, Super Sport, Avarin, Banana Run และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นต้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามการจองพื้นที่ได้ที่สำนักงานขาย โทร. 09-7031-1222 หรือ [email protected] และดูรายละเอียดโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่ Website:
เพื่อเปิดบ้านต้อนรับคู่ค้าธุรกิจ เยี่ยมชมโครงการฯ พร้อมฟังวิสัยทัศน์การดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญทางการค้าที่จะร่วมสร้างพื้นที่ในตำนานด้านกีฬากลับมาคึกคักอีกครั้ง สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง พร้อมตั้งเป้าดึงดูดกลุ่มคนรักสุขภาพได้มากถึง 10,000 คนต่อวัน นายพงศ์วรรธน์ ติยะพรไชย ผู้บริหารโครงการสเตเดียมวัน (STADIUM ONE) กล่าวว่า โครงการ สเตเดียม วัน โดยบริษัท เดอะ สปอร์ต โซไซตี้ จำกัด ประกอบด้วยทีมผู้บริหาร ได้แก่ นายสิทธิชัย ศรีสงวนกุล CEO, นายถนอมเกียรติ สัมมาวุฒิชัย Executive Director, นายณัฐภัค รีกิจติศิริกุล Director ได้ร่วมกันจัดงาน “STADIUM ONE OPEN HOUSE” ขึ้น เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่พันธมิตร และคู่ค้าทางธุรกิจ หลังจากได้รับสัมปทานพื้นที่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการก่อสร้างและบริหารโครงการ สเตเดียม วัน ด้วยงบการลงทุนมูลค่ารวมราว 200 ล้านบาท บริหารงานภายใต้แนวคิด “Stadium of Life” ซึ่งเป็นศูนย์รวมค้าปลีกเกี่ยวกับกีฬาและไลฟ์สไตล์ของคนรักการออกกำลังกายที่ครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทยและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเล็งเห็นภาพรวมตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการขยายตัวของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย รวมถึงพฤติกรรมและความสนใจด้านสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะสามารถดึงกลุ่มคนรักสุขภาพได้มากถึง 10,000 คนต่อวัน “โครงการ สเตเดียม วัน ตั้งอยู่บนถนนพระราม 1 ตัดกับถนนบรรทัดทอง ใกล้กับสนามกีฬาแห่งชาติ และสนามฟุตบอลเทพหัสดิน จุดเชื่อมต่อกับพื้นที่อุทยานจุฬาฯ 100 ปี สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 30 ไร่ ภายในโครงการฯ ประกอบด้วยร้านค้าปลีกจำนวน 129 ร้าน ในพื้นที่ค้าปลีกขนาด 5,000 ตารางเมตร แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนของร้านค้าปลีกด้านกีฬา และส่วนของศูนย์บริการการออกกำลังกาย – ลานจัดกิจกรรมด้านกีฬาขนาด 2,000 ตารางเมตร เป็นแห่งแรกของประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยวัตถุประสงค์หลักของโครงการฯ คือต้องการเปลี่ยนสถานที่ในตำนานด้านกีฬาให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งยังส่งเสริมพฤติกรรมคนกรุงเทพฯ ให้หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงการฯ ได้ช่วยตอบโจทย์ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาบน้ำ ล็อกเกอร์เก็บสัมภาระ ลานจอดรถที่รองรับมากถึง 150 คัน และที่จอดรถบริเวณโดยรอบโครงการฯ รวมราว ๆ 700 คัน เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการ สเตเดียม วัน ยังประกอบด้วยโซนต่าง ๆ ทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ โซนค้าปลีก โซนวิ่งและปั่นจักรยาน โซนร้านสินค้าเกี่ยวกับกีฬาทุกประเภท โซนอาหารและเครื่องดื่ม โซนเพื่อสุขภาพ และโซนเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์” อ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54631
Retail
แคมเปญ "เป๊ปซี่ชวนซ่า ล่ารถในฝัน" ส่งผลดีต่อยอดขายในร้านค้าปลีกหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผลคือ - รางวัลที่ดึงดูดใจ: รางวัลหลักอย่าง BMW 118i M Sport รถแฮทช์แบคสุดเท่ห์ ย่อมดึงดูดความสนใจจากลูกค้า ช่วยให้พวกเขาอยากซื้อเป๊ปซี่และผลิตภัณฑ์ในเครือมากขึ้น - จำนวนรางวัลที่มาก: รางวัลกว่า 6,000 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 38.4 ล้านบาท เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าถูกรางวัล กระตุ้นให้พวกเขาลุ้นโชคด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ - กลยุทธ์ผสม (Push and Pull Strategy): เป๊ปซี่ใช้กลยุทธ์ผสมทั้งการดึงดูดลูกค้า (Pull) ด้วยรางวัล และการกระตุ้นร้านค้า (Push) ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น กิจกรรม "ซ่าลุ้นโชคกับเป๊ปซี่" ช่วยให้แคมเปญเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวาง - ระยะเวลาแคมเปญที่ยาวนาน: แคมเปญนี้จัดขึ้นนานถึง 60 วัน ช่วยให้ลูกค้ามีเวลาซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อลุ้นโชค เพิ่มโอกาสในการกระตุ้นยอดขาย - ความร่วมมือกับห้างแม็คโคร: โปรโมชั่นร่วมกับห้างแม็คโคร ช่วยให้เป๊ปซี่เข้าถึงลูกค้ากลุ่ม B2B (Business-to-Business) เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าในปริมาณมาก สรุป: แคมเปญ "เป๊ปซี่ชวนซ่า ล่ารถในฝัน" มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ส่งผลดีต่อยอดขายในร้านค้าปลีก รางวัลที่ดึงดูดใจ จำนวนรางวัลที่มาก กลยุทธ์ผสม ระยะเวลาแคมเปญที่ยาวนาน และความร่วมมือกับห้างแม็คโคร ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของแคมเปญ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54640
Retail
กลยุทธ์ “Lifewear” ของยูนิโคล่ สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผลดังนี้ 1. ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค: - ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการเสื้อผ้าที่ใช้งานได้หลากหลายโอกาส - กลยุทธ์ “Lifewear” นำเสนอเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ทุกไลฟ์สไตล์ - เสื้อผ้า UNIQLO ดีไซน์เรียบง่าย มิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย - เหมาะกับการสวมใส่ไปทำงาน พบปะสังสรรค์ หรือกิจกรรมต่างๆ 2. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: - ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมีความแข่งขันสูง - กลยุทธ์ “Lifewear” นำเสนอจุดเด่นที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น - เน้นความเรียบง่าย ฟังก์ชั่นการใช้งาน และคุณภาพ - นำเสนอเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้หลากหลายโอกาส 3. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: - กลยุทธ์ “Lifewear” ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย - เน้นความเรียบง่าย ใช้งานได้จริง - เหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย - ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ 4. สื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ: - กลยุทธ์ “Lifewear” สื่อถึง Brand Vision ของ UNIQLO - เน้นความเรียบง่าย ใช้งานได้จริง - สื่อถึงคุณภาพของสินค้า - สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ 5. ตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจค้าปลีก: - เทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ “Value for Money” - กลยุทธ์ “Lifewear” นำเสนอเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดี ราคาไม่แพง - ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่า - เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ตัวอย่าง: - แบรนด์ค้าปลีกหลายแบรนด์ทั่วโลกหันมาเน้นความเรียบง่าย ใช้งานได้จริง เช่น Patagonia, Muji, Everlane สรุป: กลยุทธ์ “Lifewear” ของ UNIQLO สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจค้าปลีก
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54641
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความอดทน
null
อาณาจักรอเมซอน: จากโรงรถสู่จักรวรรดิออนไลน์ ณ ใจกลางเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน อาณาจักรอเมซอนยักษ์ใหญ่ตั้งตระหง่าน แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลก ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ครองใจลูกค้าหลายล้านคน ชายผู้กุมบังเหียนอาณาจักรนี้คือ เจฟฟ์ เบโซส มหาเศรษฐีผู้เริ่มต้นจากโรงรถ จนกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เรื่องราวของเบโซสเริ่มต้นจากความหลงใหลในเทคโนโลยีและหนังสือ เขาลาออกจากงานประจำ มุ่งมั่นสร้างธุรกิจออนไลน์ที่ชื่อว่า "อเมซอน" ในปี 1994 เริ่มต้นจากการขายหนังสือออนไลน์ในโรงรถของเขาเอง ด้วยความทุ่มเทและวิสัยทัศน์ อเมซอนเติบโตอย่างรวดเร็ว ขยายสินค้าและบริการให้หลากหลาย ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท กลยุทธ์สำคัญของเบโซสคือ การมุ่งเน้นประสบการณ์ลูกค้า เขาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบโลจิสติกส์ เพื่อมอบความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ให้กับลูกค้า อเมซอนนำเสนอระบบแนะนำสินค้าที่ตรงใจ ระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย และตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย นอกจากนี้ เบโซสยังขยายธุรกิจไปยังบริการอื่นๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง (Amazon Web Services) บริการสตรีมมิ่ง (Amazon Prime Video) และธุรกิจหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Kindle) กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้อเมซอนครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซได้อย่างมหาศาล ตัวละคร -เจฟฟ์ เบโซส: มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งอาณาจักรอเมซอน -ลินดา พนักงานขายในร้านหนังสือ: ผู้จุดประกายความคิดในการสร้างธุรกิจออนไลน์ -จอห์น ลูกค้าออนไลน์: ตัวแทนผู้ใช้บริการอเมซอน เรื่องราว ลินดา พนักงานขายในร้านหนังสือ รู้สึกท้อแท้กับยอดขายที่ตกต่ำ เธอสังเกตว่าลูกค้าหลายคนเริ่มซื้อหนังสือออนไลน์ เธอจึงตัดสินใจลาออกและเริ่มต้นธุรกิจขายหนังสือออนไลน์ ลินดาปรึกษากับเจฟฟ์ เพื่อนสนิทของเธอ เจฟฟ์เห็นศักยภาพของธุรกิจออนไลน์ เขาจึงร่วมลงทุนกับลินดาและก่อตั้ง "อเมซอน" อเมซอนเริ่มต้นจากการขายหนังสือออนไลน์ แต่เจฟฟ์มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เขาต้องการสร้าง "ร้านค้าออนไลน์ที่ขายทุกสิ่งทุกอย่าง" เจฟฟ์ทุ่มเทเวลาและพลังงานทั้งหมดเพื่อพัฒนาอเมซอน เขาลงทุนในเทคโนโลยี พัฒนาระบบโลจิสติกส์ และขยายสินค้าให้หลากหลาย อเมซอนเผชิญความท้าทายมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด อเมซอนสามารถเอาชนะคู่แข่งและครองส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมหาศาล จอห์น ลูกค้าออนไลน์ เป็นตัวแทนผู้ใช้บริการอเมซอน เขาชื่นชอบความสะดวก รวดเร็ว และตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายของอเมซอน จอห์นใช้บริการอเมซอนเป็นประจำเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54649
Retail
ช่วยสรุปบทความ AIS ผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ ดึง “มืออาชีพ” นอกเทเลคอมเสริมทัพ–เปิดทางคนรุ่นใหม่โชว์ฝีมือ
จากประโยคหนึ่งของ “Peter Drucker” กูรูด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ เคยพูดไว้นานแล้วว่า “Culture eats strategy for breakfast…” หมายความว่า วัฒนธรรมองค์กรเป็นรากฐานของบริษัท และสำคัญมากกว่ากลยุทธ์ธุรกิจ เพราะถ้าบริษัทนั้นๆ ไม่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ต่อให้มีกลยุทธ์ทางธุรกิจดีเลิศอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเดินไปถึงหลักชัยแห่งความสำเร็จได้ จะเห็นได้ว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และเติบโตก้าวข้ามผ่านความเปลี่ยนแปลงได้ ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ภายในองค์กร” ไม่น้อยไปกว่าการวางยุทธศาสตร์ธุรกิจ เช่นกรณีศึกษา “เอไอเอส” เป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยมาตลอด แต่วันนี้ท่ามกลางการแข่งขันสูงขึ้น และภายในองค์กรมีคนรุ่นใหม่ Gen Y เข้ามาร่วมงานมากขึ้น ทำให้ “เอไอเอส” องค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากถึง 12,000 คน ตัดสินใจปรับภายในครั้งใหญ่ เพื่อเดินหน้าองค์กรให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ธุรกิจ “Digital Life Service Provider” และรักษาบังลังค์ความเป็นผู้นำ ลดระบบ Hierarchy – เปิดทาง “คนรุ่นใหม่” โชว์ศักยภาพ ในอดีตรูปแบบการบริหารของหลายองค์กรในไทย รวมทั้งเอไอเอส เป็นระบบ Hierarchy หรือลำดับขั้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป มีคนรุ่นใหม่ Gen Y เข้ามาร่วมงานมากขึ้น อย่างทุกวันนี้พนักงาน Gen Y กลายเป็นกลุ่มใหญ่สุดของ “เอไอเอส” ไปแล้ว อีกทั้งเร็วๆ นี้ Gen Z ที่เพิ่งจบการศึกษาก็กำลังเข้าสู่ตลาดงาน คาแรกเตอร์ของคนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีความรู้ความสามารถครบเครื่อง เนื่องจากคนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ทำให้เขาสามารถค้นหาและเรียนรู้ได้ทันทีจากหลายแหล่งข้อมูล โดยไม่ต้องเปิดตำรา หรือผู้ใหญ่สอน และด้วยความที่คนกลุ่มนี้มีทางเลือกมากมาย ทำให้ไม่มี Loyalty ต่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งมากนัก นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของหลายองค์กร รวมทั้ง “เอไอเอส” เช่นกัน ดึง “มืออาชีพ” นอกวงการเทเลคอม เสริมทัพบริหาร เมื่อหลายปีก่อน เราเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจธนาคารที่มี “มืออาชีพ” จากวงการ FMCG เข้าไปนั่งตำแหน่งบริหารในธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้จากเดิมวิธีคิดผลิตภัณฑ์-บริการ การตลาดและการขาย มีแต่มุมมองจาก “นักการเงิน” แต่เมื่อมีบุคลากรในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ถูกฝึกให้เรียนรู้และเข้าใจ Consumer Insight ก็สามารถนำประสบการณ์และองค์ความรู้นี้ เข้าไปผสาน พัฒนาผลิตภัณฑ์-บริการ รวมถึงแคมเปญการตลาดและการขายที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น หรือแม้แต่ล่าสุดในแวดวงรีเทล ก็ดึง “มืออาชีพ” จากธนาคารและสถาบันการเงิน เข้าไปในตำแหน่งบริหาร เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่แต่ไหนแต่ไร “ระดับบริหาร” ในวงการนี้ ก็เป็นคนที่เติบโตในธุรกิจโทรคมนาคมมาตลอด แทบไม่มี “มืออาชีพ” จากนอกวงการข้ามสายเข้ามา แต่แล้วล่าสุด “เอไอเอส” เริ่มมี “มืออาชีพ” จากหลากหลายวงการ เช่น ยูเอ็น, ค้าปลีก, ไอที, ประกัน เข้ามานั่งในระดับบริหาร
“Peter Drucker” เคยกล่าวว่า “Culture eats strategy for breakfast…” หมายความว่า วัฒนธรรมองค์กรมีความสำคัญมากกว่ากลยุทธ์ธุรกิจ บริษัทที่ประสบความสำเร็จเน้นการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กร เช่น “เอไอเอส” ที่ปรับภายในองค์กรให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Digital Life Service Provider” และรักษาบังลังค์ผู้นำ “เอไอเอส” ปรับระบบการบริหารโครงสร้าง Hierarchy เพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z ที่มีความรู้ความสามารถครบถ้วนที่โตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ด้วยความที่คนกลุ่มนี้มีทางเลือกมากมาย ทำให้ไม่มี Loyalty ต่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งมากนัก บริษัท “เอไอเอส” ดึง “มืออาชีพ” จากหลายสายอาชีพ เพื่อเสริมทัพบริหาร โดยการนำความรู้และประสบการณ์จากอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค, ธนาคาร, และสถาบันการเงินมาผสานเข้ากับธุรกิจโทรคมนาคม, รีเทล, และไอที เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์, บริการ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54655
Retail
อิชิตัน กรุ๊ป ควรเลิกผลิตชาเขียวพร้อมดื่มขนาด 290 มล. หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ยอดขายไม่ดี: อิชิตัน กรุ๊ป เปิดตัวชาเขียวพร้อมดื่มขนาด 290 มล. ในราคา 10 บาท หวังเป็นทางเลือกและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าไปแย่งตลาดบรรจุภัณฑ์ 420 มล. ซึ่งเป็น Pack Size หลักที่ทำยอดขายให้กับอิชิตัน ต้นทุนสูง: การมี Pack Size หลากหลายมากเกินไป แทนที่จะช่วยสร้างยอดขาย กลับเป็น “ต้นทุน” ที่อิชิตันต้องแบกรับ ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์: กลยุทธ์หลักของอิชิตัน กรุ๊ป ในปี 2560 คือ - เลิกผลิตขนาดบรรจุภัณฑ์ 290 มล. - ให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศ - พัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด การเลิกผลิตชาเขียวพร้อมดื่มขนาด 290 มล. สอดคล้องกับกลยุทธ์ทั้ง 3 ข้อ: สอดคล้องกับข้อแรก: ตรงตามเป้าหมายเลิกผลิตขนาดบรรจุภัณฑ์ 290 มล. สอดคล้องกับข้อสอง: ช่วยลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ สอดคล้องกับข้อสาม: ช่วยให้บริษัทสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาสินค้าใหม่ ข้อเสียของการเลิกผลิตชาเขียวพร้อมดื่มขนาด 290 มล.: - อาจสูญเสียลูกค้าบางกลุ่มที่ต้องการซื้อชาเขียวในราคาประหยัด - คู่แข่งอาจเข้ามาทำตลาดในช่องว่างนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเลิกผลิตชาเขียวพร้อมดื่มขนาด 290 มล. น่าจะมีมากกว่าข้อเสีย สรุป: อิชิตัน กรุ๊ป ควรเลิกผลิตชาเขียวพร้อมดื่มขนาด 290 มล. เพื่อลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ และโฟกัสไปที่การพัฒนาสินค้าใหม่
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54661
Retail
บิ๊กซีมีกลยุทธ์อย่างไร ในการดึงดูดลูกค้าในยุคดิจิทัล ที่ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าหลากหลายช่องทาง
null
บิ๊กซีมีกลยุทธ์ ดึงดูดลูกค้าในยุคดิจิทัล ดังนี้: 1. พัฒนา Omnichannel Experience: ผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และมารับสินค้าที่หน้าร้าน นำเสนอระบบ Click & Collect ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และไปรับสินค้าที่จุดนัดรับภายในโครงการ พัฒนาแอปพลิเคชั่น Big C ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว เพิ่มบริการ Chatbot ตอบคำถามลูกค้าและช่วยเหลือลูกค้า 2. เน้นสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์: ขยาย ассортиментสินค้า ให้มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เน้นสินค้ากลุ่มอาหารสด ควบคุมคุณภาพสินค้า ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงมือผู้บริโภค พัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่น บริการด้านการเงิน ประกัน บริการรับชำระบิล จองตั๋วเครื่องบิน ตั๋วเดินทาง ตั๋วคอนเสิร์ต จับมือกับพันธมิตรธุรกิจ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย 3. มุ่งเน้นไปที่ Personalization: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ พัฒนาระบบ AI Chatbot ที่สามารถแนะนำสินค้าและบริการที่เหมาะกับลูกค้า เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษเฉพาะบุคคล 4. ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง: ปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัย ออกแบบพื้นที่ร้านค้าให้สะดวกสบาย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ดึงดูดลูกค้า นำเทคโนโลยี AR/VR มาใช้สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบเสมือนจริง 5. ขยายสาขาไปยังต่างประเทศ: บุกตลาดอาเซียน เน้นประเทศลาวและกัมพูชา ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของกลุ่มทีซีซี กรุ๊ป ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น ตัวอย่างกลยุทธ์เพิ่มเติม: บิ๊กซีสามารถนำเสนอบริการ Personal Shopper ที่ช่วยลูกค้าเลือกซื้อสินค้า บิ๊กซีสามารถจัดอีเวนต์พิเศษ เช่น Fashion Show การแสดงดนตรี หรือเทศกาลอาหาร บิ๊กซีสามารถสร้าง Community บน Facebook หรือ Line Group สำหรับลูกค้า ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ดึงดูดลูกค้าในยุคดิจิทัล เพิ่มยอดขาย สร้างความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54665
Retail
กลยุทธ์การตลาดแบบ "Break All Rules" ของ U BEER สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. ตอบโจทย์ความต้องการองผู้บริโภค: ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการประสบการณ์ที่แปลกใหม่ กลยุทธ์ "Break All Rules" นำเสนอสินค้า ช่องทางจำหน่าย และกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างจากเดิม U BEER มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายวัย 20-25 ปี กลยุทธ์ "Break All Rules" ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 2. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมีความแข่งขันสูง กลยุทธ์ "Break All Rules" ช่วยสร้างจุดต่างจากคู่แข่ง - U BEER เป็นแบรนด์เบียร์ใหม่ที่มีกลยุทธ์การตลาดที่ไม่เหมือนใคร - U BEER เลือกจำหน่ายผ่านช่องทางผับ บาร์ ร้านอาหาร แทนที่จะผ่านตัวแทนจำหน่าย 3. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: กลยุทธ์ "Break All Rules" ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย - U BEER ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร - U BEER สนับสนุนให้ผู้บริโภคสร้างสรรค์เนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์ - U BEER สร้าง Engagement กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. สื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ: กลยุทธ์ "Break All Rules" สื่อถึง Brand Identity ของ U BEER - U BEER เน้นความเป็นตัวของตัวเอง ความอิสระ และความคิดสร้างสรรค์ - U BEER สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในภาษาที่เข้าใจง่าย - U BEER สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าสนใจ 5. ตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจค้าปลีก: เทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ "Customer Experience" กลยุทธ์ "Break All Rules" มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง - U BEER เน้นการมีส่วนร่วมของลูกค้า - U BEER ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ดิจิทัล ตัวอย่าง แบรนด์ค้าปลีกหลายแบรนด์ทั่วโลกหันมาใช้กลยุทธ์ "Customer-Centric" เช่น Nike, Apple, Starbucks สรุป: กลยุทธ์การตลาดแบบ "Break All Rules" ของ U BEER สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจค้าปลีก นอกจากนี้ กลยุทธ์ "Break All Rules" ยังส่งผลดีต่อ U BEER ดังนี้: - สร้างการรับรู้แบรนด์ - ดึงดูดฐานลูกค้าใหม่ - เพิ่มยอดขาย - เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ U BEER เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่กล้าที่จะแหกกฎ ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีก และมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54668
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้
null
โลกออนไลน์: โอกาสใหม่สำหรับร้านค้าปลีก ณ ร้านขายของชำเล็ก ๆ ในย่านชานเมือง บรรยากาศคึกคักไปด้วยลูกค้าที่ทยอยเข้ามาซื้อของ คุณลุงสมชาย เจ้าของร้าน กำลังยุ่งอยู่กับการคิดเงินและจัดสินค้า สายตาของเขามองไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจิ้มโทรศัพท์มือถืออยู่ "หนูจะเอาอะไรครับ?" คุณลุงสมชายถาม "เอ่อ... ขนมปังครับ" เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาตอบ "เอาแบบไหนครับ?" "เอ่อ... เดี๋ยวดูในนี้ก่อนครับ" เด็กหนุ่มก้มมองโทรศัพท์อีกครั้ง คุณลุงสมชายรู้สึกสงสัย เขาจึงเดินไปหาเด็กหนุ่มและมองดูหน้าจอโทรศัพท์ "หนูดูอะไรอยู่ครับ?" คุณลุงสมชายถาม "ผมกำลังดูรีวิวขนมปังอยู่ครับ" เด็กหนุ่มตอบ "รีวิวเหรอ?" "ครับ ผมอยากรู้ว่าขนมปังยี่ห้อไหนอร่อยที่สุด เลยลองหาข้อมูลในเน็ตดู" คุณลุงสมชายยิ้ม เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงใช้เวลานานในการเลือกซื้อขนมปัง "งั้นลุงแนะนำให้ลองยี่ห้อนี้ดูนะครับ อร่อยและราคาไม่แพง" คุณลุงสมชายแนะนำ "ขอบคุณครับ" เด็กหนุ่มยิ้มและหยิบขนมปังยี่ห้อที่คุณลุงสมชายแนะนำ เหตุการณ์นี้ทำให้คุณลุงสมชายเริ่มคิด เขาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของโลกออนไลน์ในปัจจุบัน ลูกค้าของเขามักใช้โทรศัพท์มือถือในการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อสินค้า "ถ้าฉันมีเว็บไซต์ของตัวเอง ลูกค้าคงจะสะดวกในการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น" คุณลุงสมชายคิด หลังจากนั้น คุณลุงสมชายก็ตัดสินใจสร้างเว็บไซต์สำหรับร้านของเขา เขาลงรูปสินค้าและข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ลงบนเว็บไซต์ เขายังเปิดเพจ Facebook และ Instagram เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ในตอนแรก คุณลุงสมชายไม่คาดหวังอะไรมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ยอดขายของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้น ลูกค้าหลายคนบอกว่าพวกเขาค้นหาเจอร้านของเขาผ่านเว็บไซต์และ Facebook "ดีใจที่ตัดสินใจสร้างเว็บไซต์" คุณลุงสมชายยิ้ม เรื่องราวของคุณลุงสมชายแสดงให้เห็นว่าโลกออนไลน์มีศักยภาพที่จะช่วยธุรกิจค้าปลีกได้อย่างไร ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะค้นหาข้อมูลและซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการประสบความสำเร็จจึงจำเป็นต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54675
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลัก 5 ประการที่คิง เพาเวอร์ วางไว้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจดิวตี้ฟรีให้เติบโตและบรรลุเป้าหมายยอดขาย 130,000 – 140,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี?
ยิ่งการเดินทางทั่วโลกมากขึ้นเท่าไร ยิ่งผลักดันให้ “ธุรกิจดิวตี้ฟรี” หรือค้าปลีกสินค้าปลอดอากร เติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยขยายตัว ทั้งจากคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทย เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ “ดิวตี้ฟรี” ในไทยเติบโต “คิง เพาเวอร์” เผยยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจใน 5 ปีนับจากนี้ (ปี 2560 – 2564) ภายใต้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายยอดขาย 130,000 – 140,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขยอดขายดังกล่าวจะทำให้ “คิง เพาเวอร์” ติดท็อป 5 ในธุรกิจปลอดอากรระดับโลก จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 7 – ขยายสาขาฟอร์แมตใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในจังหวัดใหญ่ของไทย โดยรูปแบบนี้ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 – 2,000 ล้านบาทต่อสาขา เล็งไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ จากปัจจุบันมี 4 สาขา คือ รางน้ำ, พัทยา ศรีวารี และภูเก็ต นอกจากนี้มีใน 6 สนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต และอู่ตะเภา – ปรับโฉมสาขารางน้ำครั้งใหญ่เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนนี้ และคาดว่าจะเปิดโฉมใหม่ภายในไตรมาส 4 ปี 2560 โดยมาพร้อมกับความหรูหรา และทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มร้านอาหาร และสินค้าแบรนด์ชั้นนำทั้งของไทย และทั่วโลก เพื่อดึงดูดคนไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่เดินทางด้วยตัวเอง (FIT) เพื่อสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของวงการค้าปลีกสินค้าปลอดอากร ให้ลูกค้ามาใช้ชีวิตที่นี่ มากกว่าแค่การมาช้อปปิ้ง ขณะที่ในระหว่างการปรับปรุง ได้จัดเตรียมพื้นที่ภายในโรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ ให้เป็น Pop-up Store เพื่อให้ลูกค้ายังสามารถช้อปปิ้งได้ต่อเนื่อง – ขยายการลงทุนดิวตี้ฟรีในต่างประเทศ โดยประเทศที่มีความเป็นไปได้ภายใน 5 ปีนี้ คือ เมียนมาร์ และ ฟิลิปปินส์ – พัฒนาแพลตฟอร์ม “ออนไลน์” ให้มีความพร้อมมากขึ้น เพื่อเสริมการให้บริการสะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ช่องทาง “ออนไลน์ ช้อปปิ้ง” เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายบนออนไลน์ของคิง เพาเวอร์ ยังไม่ถึง 1% ของยอดขายรวม หรือไม่เกิน 100 ล้านบาท แต่หลังจากพัฒนาแพลตฟอร์มนี้อย่างจริงจัง คาดว่าภายใน 5 ปี ยอดขายจากออนไลน์จะอยู่ที่ 10% หรือ 14,000 ล้านบาทของยอดขายรวม 140,000 ล้านบาท คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ฉายภาพนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ว่า ได้วางกลยุทธ์การตลาด และการลงทุน เพื่อผลักดันธุรกิจปลอดอากรไทยก้าวสู่ท็อป 5 ในธุรกิจปลอดอากรระดับโลกภายใน 5 ปี โดยมุ่งมั่นส่งมอบสินค้าและบริการมาตรฐานระดับสากล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าไปพร้อมๆ กับการสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของคิง เพาเวอร์ คือ นักท่องเที่ยวจีน ตามมาด้วยคนไทย และชาวต่างประเทศจากชาติต่างๆ ที่เดินทางเข้ามา “ปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% จากปี 2559 ที่มียอดขาย 75,000 ล้านบาท ส่วนแผนธุรกิจ ได้ขยายการลงทุน เพื่อพัฒนาธุรกิจในเครือฯ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลอดอากรคิง เพาเวอร์, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ, โรงละครอักษรา และภัตตาคารรามายณะ พร้อมทั้งปรับโฉมคิง เพาเวอร์ รางน้ำครั้งใหญ่ เพื่อนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการค้าปลีกสินค้าปลอดอากรในประเทศไทย ที่จะถูกเนรมิตให้เป็นศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์อันดับ 1 ที่อยู่ในใจของนักท่องเที่ยว และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ตามการตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์อันดับ 1 ในใจนักท่องเที่ยว “คิง เพาเวอร์” ไม่ได้จะเข้าไปแข่งกับศูนย์การค้า เพราะคนละเซ็กเมนต์ เราไม่เคยพูดว่าซื้อของที่เรา ถูกกว่าศูนย์การค้า แต่เรามองว่าคนที่มาช้อปปิ้งที่คิง เพาเวอร์ คือ คนวางแผนเดินทาง จะมีไฟล์ทบิน หรือไม่มีไฟล์ทบิน ซื้อของเพื่อเอาออกนอกประเทศ แต่สำหรับศูนย์การค้า คนไปเดินเพื่อเดินเล่น กินข้าว ดูหนัง ช้อปปิ้ง ส่วนการปรับโฉมสาขารางน้ำ ให้เป็นมากกว่าสถานที่ช้อปปิ้ง เพราะอยากดึงคนไทยให้เข้ามาเห็นว่ามีอีกที่หนึ่งที่เข้ามา Hang out หรือใช้ชีวิตได้ เราอยากสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจคนไทย มากกว่าจะไปแข่งกับคนอื่น ขณะที่สินค้าจำหน่าย เช่น สินค้าไทยท้องถิ่น เราขายของไทยมากๆ และลูกค้าหลักเป็นคนต่างชาติ ส่วนสินค้าไทยที่ขายในศูนย์การค้าเป็นอีกรูปแบบ ลูกค้าที่ซื้อไป มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ” ในส่วนของการสื่อสารแบรนด์ ล่าสุดได้ผนึกกำลังกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้างแบรนด์คิง เพาเวอร์ให้อยู่ในใจของผู้บริโภค ด้วยการเพนท์โลโก้คิง เพาเวอร์ บนเครื่องสายการบินไทย แอร์ เอเชีย จำนวน 3 ลำ พร้อมติดตั้งสื่อโฆษณาภายในตัวเครื่องบินกว่า 40 ลำ ภายในสิ้นปี 2560 “สำหรับปีนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าแผนโฆษณานี้จะสามารถสร้างการรับรู้จากการเห็น และจดจำแบรนด์คิง เพาเวอร์ แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศกว่า 40 ล้านคนต่อปี และคาดว่าจะมีปริมาณลูกค้าเข้ามาใช้บริการในคิง เพาเวอร์ในไทยทุกสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 20%”
คิง เพาเวอร์ วางกลยุทธ์หลัก 5 ประการ ดังนี้: 1. ขยายสาขาฟอร์แมตใหญ่: - ตั้งสาขารูปแบบใหม่ใจกลางเมืองใหญ่ - ลงทุน 1,000 – 2,000 ล้านบาทต่อสาขา - มุ่งเป้าไปที่จังหวัดเชียงใหม่ 2. ปรับโฉมสาขารางน้ำ: - เริ่มปรับโฉมตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2560 - เปิดโฉมใหม่ภายในไตรมาส 4 ปี 2560 - เน้นความหรูหรา ทันสมัย เพิ่มร้านอาหาร แบรนด์ดัง - ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนที่เดินทางด้วยตัวเอง (FIT) - พัฒนาเป็นศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์มากกว่าแค่สถานที่ช้อปปิ้ง - รองรับการจัดกิจกรรมต่างๆ 3. ขยายการลงทุนดิวตี้ฟรีในต่างประเทศ: - มุ่งเป้าไปที่เมียนมาร์ และ ฟิลิปปินส์ - คาดว่าจะดำเนินการภายใน 5 ปี 4. พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์: - เพิ่มความพร้อมและสะดวก - รองรับการช้อปปิ้งออนไลน์ - ตั้งเป้ายอดขายออนไลน์อยู่ที่ 10% ของยอดขายรวมภายใน 5 ปี 5. สื่อสารแบรนด์: - ร่วมมือกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย - ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท - เพนท์โลโก้คิง เพาเวอร์ บนเครื่องบินไทยแอร์เอเชีย 3 ลำ - ติดตั้งสื่อโฆษณาภายในเครื่องบินกว่า 40 ลำ - คาดว่าจะสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้น 20% ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: - ธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ - ยอดขายเพิ่มขึ้น 130,000 – 140,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี - คิง เพาเวอร์ ขึ้นสู่ตำแหน่งท็อป 5 ในธุรกิจปลอดอากรระดับโลก - ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54678
Retail
กลยุทธ์ Seasonal Marketing ของโรบินสันในช่วงซัมเมอร์ปี 2560 มีประสิทธิภาพหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผลคือ - การใช้กลยุทธ์สินค้า: โรบินสันมีการพาเหรดสินค้ากว่า 3,000 แบรนด์ ซึ่งช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาช้อปปิ้ง - กิจกรรมการตลาด: โรบินสันมีกิจกรรมการตลาดที่หลากหลาย เช่น Summer Happy Weekend และ The Smurf Summer Splash ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานให้กับลูกค้า - การส่งเสริมการขาย: โรบินสันมีโปรโมชั่นสำหรับสมาชิก เช่น รอยัลตี้โปรแกรม ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้า - การใช้ช่องทางการตลาด: โรบินสันใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เช่น สื่อออนไลน์ สื่อออฟไลน์ และอีเวนต์ ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวาง - การจับมือกับพันธมิตร: โรบินสันจับมือกับพันธมิตร เช่น บัตรเครดิตเซ็นทรัล อาทิ ซึ่งช่วยเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า ผลลัพธ์: - ยอดขาย: โรบินสันคาดหวังว่ากลยุทธ์ Seasonal Marketing จะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างสีสันทางการตลาดในช่วงเทศกาลซัมเมอร์ - ทราฟฟิค: โรบินสันคาดหวังว่ากลยุทธ์ Seasonal Marketing จะช่วยเพิ่มทราฟฟิคให้ลูกค้าเข้าห้างได้กว่า 30% - การรับรู้แบรนด์: โรบินสันคาดหวังว่ากลยุทธ์ Seasonal Marketing จะช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์และภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโรบินสัน ข้อจำกัด: - การแข่งขัน: กลยุทธ์ Seasonal Marketing ของโรบินสันอาจไม่เพียงพอที่จะเอาชนะคู่แข่งในตลาด - สภาพเศรษฐกิจ: สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อยอดขายของโรบินสัน - พฤติกรรมผู้บริโภค: พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของกลยุทธ์ Seasonal Marketing สรุป: กลยุทธ์ Seasonal Marketing ของโรบินสันมีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างการรับรู้แบรนด์ หมายเหตุ: ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น สภาพเศรษฐกิจ กิจกรรมส่งเสริมการขายของคู่แข่ง พฤติกรรมของผู้บริโภค ฯลฯ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54693
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงเวลาแห่งการรวมตัวของครอบครัว การสืบทอดประเพณี และการเริ่มต้นใหม่
null
มังกรทองคำ มังกรนำโชค ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับ เสียงเพลงบรรเลงอย่างคึกคัก บรรยากาศภายในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ กรุ๊ป เต็มไปด้วยสีแดงสดใส ผู้คนต่างจับจ่ายซื้อของ เตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังใกล้เข้ามา ณ แผนกอาหาร โฮม เฟรช มาร์ท & กูร์เมต์ มาร์เก็ต คุณนลินี แม่บ้านวัยกลางคน กำลังเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไหว้บรรพบุรุษ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ชุดไหว้มหามงคลซาแซ ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ ผลไม้ และขนมต่างๆ เธอหยิบชุดไหว้ขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด “ชุดนี้ดูดี ครบครัน น่าจะถูกใจบรรพบุรุษแน่ๆ” คุณนลินีพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้น เสียงใสของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างๆ เธอ “คุณป้าคะ ชุดไหว้นี้หมายถึงอะไรเหรอคะ?” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ คุณนลินีหันไปยิ้มให้เด็กหญิง อธิบายความหมายของชุดไหว้มหามงคลว่า “ชุดไหว้นี้ใช้สำหรับไหว้บรรพบุรุษในช่วงเทศกาลตรุษจีน เชื่อกันว่าจะช่วยนำโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความสุขมาสู่ครอบครัว” เด็กหญิงฟังอย่างตั้งใจ ดวงตากลมโตเปล่งประกายด้วยความสนใจ “แล้วทำไมต้องมีเนื้อสัตว์ ผลไม้ และขนมด้วยล่ะคะ?” เด็กหญิงถามต่อ “เนื้อสัตว์หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ผลไม้หมายถึงความร่ำรวย และขนมหมายถึงความหวานชื่นในชีวิต” คุณนลินีตอบ เด็กหญิงยิ้มกว้าง รู้สึกดีที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีอันดีงามของชาวจีน “ขอบคุณมากนะคะคุณป้า หนูเข้าใจแล้ว” เด็กหญิงกล่าว คุณนลินีรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับประเพณีตรุษจีนให้กับเด็กหญิง เธอคิดว่าการสืบทอดประเพณีให้กับคนรุ่นต่อไปเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในขณะเดียวกัน บนเวทีกลางห้างสรรพสินค้า การแสดงเชิดมังกรกำลัง berlangsungอย่างงดงาม มังกรสีทองตัวใหญ่เคลื่อนไหวอย่างพลิ้วไหว ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นคือ คุณปกรณ์ ชายหนุ่มวัยทำงาน กำลังยืนดูการแสดงอย่างเพลิดเพลิน เขานึกถึงคำสอนของปู่ที่เคยบอกไว้ว่า มังกรเป็นสัตว์มงคลที่นำโชคลาภและความสำเร็จมาสู่ชีวิต “ปีนี้ ปีระกา คงเป็นปีที่ดีของฉันแน่ๆ” คุณปกรณ์คิดในใจ เขาตั้งปณิธานว่าจะทำงานหนัก อดทน และมุ่งมั่น เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต เสียงกลองดังกึกก้อง ผู้คนต่างปรบมือให้กับการแสดงที่งดงาม คุณปกรณ์มองดูมังกรทองคำที่บินวนไปมา รู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่และความหวังสำหรับอนาคต เทศกาลตรุษจีนปีนี้ เต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างมีความสุขกับการเฉลิมฉลอง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54713
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "เชื่อมโยงสร้างบลูพอร์ต หัวหิน: แนวคิดสร้างแลนด์มาร์คที่เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างครบวงจร"
null
"10 เรื่องต้องรู้ “บลูพอร์ต หัวหิน” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ 5,000 ล้านใจกลางหัวหิน" 1. การวางแผนพัฒนา บลูพอร์ต หัวหินเป็นแลนด์มาร์คที่เป็นที่สนใจของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวหลายคน เพื่อให้มีความสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน การวางแผนการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้สามารถรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและมีความยั่งยืนในระยะยาว 2. การพัฒนาอินเฟรนสตรัคเจอร์ บลูพอร์ต หัวหินควรมีการพัฒนาอินเฟรนสตรัคเจอร์ที่ทันสมัยและทันต่อความต้องการของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นต้น 3. การสร้างพื้นที่สำหรับธุรกิจ การสร้างสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจและการค้า เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการเจริญเติบโตและขยายธุรกิจของตน 4. การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก บลูพอร์ต หัวหินควรมีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจร เช่น โรงแรมหรือที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ สถานที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น 5. การสร้างสิ่งท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายมาเยือน 6. การสร้างสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียว เพื่อสร้างความสมดุลในการใช้พื้นที่ และให้ความรู้สึกสบายสบายใจแก่ประชาชนทั่วไป 7. การสร้างสถานที่สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อสร้างความเต็มใจแก่ประชาชนในการทำกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกาย เช่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา เป็นต้น 8. การสร้างสถานที่ให้บริการสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ สถานที่ให้บริการด้านสุขภาพและความงาม เป็นต้น 9. การสร้างพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และการศึกษา เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา สถานที่ให้บริการด้านการเรียนรู้และการศึกษา เป็นต้น 10. การสร้างระบบการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้มีการเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ เช่น ถนนสะพาน รถไฟฟ้า ระบบขนส่งสาธารณะ เป็นต้น การพัฒนาบลูพอร์ต หัวหินให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ มูลค่า 5,000 ล้านบาทจำเป็นต้องมีการร่วมมือของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการพัฒนา เพื่อสร้างสถานที่ที่มีคุณค่าและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และเป็นที่สรรเสริญของชาวไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54716
Retail
กลยุทธ์การขยายสโตร์ของ Xiaomi ในประเทศจีน เหมาะสมกับเทรนด์การค้าปลีกในปัจจุบันหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ: 1. การผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์: กลยุทธ์การขยายสโตร์ของ Xiaomi เป็นการผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์การค้าปลีกในปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ 2. การเข้าถึงลูกค้า: การเปิดสโตร์จะช่วยให้ Xiaomi เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีจำกัด 3. การสร้างประสบการณ์: สโตร์ของ Xiaomi จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ 4. การสร้างแบรนด์: การขยายสโตร์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งให้กับ Xiaomi และเพิ่มการรับรู้แบรนด์ 5. บริการหลังการขาย: สโตร์ของ Xiaomi จะช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการหลังการขายที่สะดวกและรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การขยายสโตร์ของ Xiaomi ยังมีข้อจำกัดบางประการ ดังนี้: 1. การลงทุน: การเปิดสโตร์ requires a significant investment ซึ่งอาจส่งผลต่อผลกำไรของ Xiaomi 2. การแข่งขัน: ตลาดรีเทลในจีนมีการแข่งขันสูง Xiaomi จำเป็นต้องสร้างจุดเด่นให้กับสโตร์ของตนเพื่อดึงดูดลูกค้า 3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ Xiaomi จำเป็นต้องติดตามเทรนด์และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม โดยสรุป: กลยุทธ์การขยายสโตร์ของ Xiaomi ในประเทศจีน เหมาะสมกับเทรนด์การค้าปลีกในปัจจุบัน แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องติดตามและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม เพิ่มเติม: 1. กลยุทธ์การขยายสโตร์ของ Xiaomi เป็นการผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์การค้าปลีกในปัจจุบัน 2. การขยายสโตร์จะช่วยให้ Xiaomi เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง 3. อย่างไรก็ตาม Xiaomi จำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดของกลยุทธ์นี้ เช่น การลงทุน การแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค 4. Xiaomi ควรพิจารณาเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์อื่นๆ เช่น การพัฒนาสินค้าใหม่ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดรีเทล
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54721
Retail
กลยุทธ์หลักที่ "ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน" นำมาใช้ดึงดูดลูกค้าและสร้างจุดเด่นในฐานะ "รีสอร์ทมอลล์แห่งแรกของวงการค้าปลีก" มีอะไรบ้าง?
“บริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด” โดยความร่วมมือระหว่าง “บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด” ผนึกกำลัง “บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด” ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท เปิดโครงการ “ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน” (BLÚPORT HUA HIN RESORT MALL) บนพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร ที่สุดแห่งศูนย์การค้ารูปแบบใหม่สไตล์ รีสอร์ทมอลล์แห่งแรกของวงการค้าปลีก พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับเอเชียพร้อมเปิดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ 1 ตุลาคมนี้ คุณศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธาน บริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด กล่าวว่า “ หลังจากที่เดอะมอลล์กรุ๊ป ได้พลิกประวัติศาสตร์วงการค้าปลีกเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างศูนย์การค้าระดับโลก “สยามพารากอน” เป็นเพชรน้ำหนึ่งแห่งเอเชีย (JEWEL OF ASIA) ตามต่อด้วยการเปิดที่สุดแห่งศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาส “ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม” และ “ดิเอ็มควอเทียร์” ล่าสุด เดอะมอลล์กรุ๊ป ผู้นำด้านค้าปลีกระดับแนวหน้าของเมืองไทย ผนึกกำลัง บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด รังสรรค์โครงการใหม่ภายใต้ชื่อ “ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน” THE FIRST EVER RESORT MALL IN HUA HIN ปรากฏการณ์สุนทรียภาพกับรีสอร์ทมอลล์แห่งแรกที่หัวหิน ด้วยงบลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท บนทำเลที่ดีที่สุด ใจกลางเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่โครงการรวมกว่า 200,000 ตารางเมตร ตรงข้ามโรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนตัล หัวหิน โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานแรงบันดาลใจจากเมืองรีสอร์ทชายทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ แซงต์โทรเปซ , ริเวียร่า, หมู่เกาะทะเลแคริบเบียน, ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนและเคปทาวน์ โดยนำมาผสมผสานและรังสรรค์การออกแบบทั้งภายในและภายนอกอาคารในสไตล์รีสอร์ทมอลล์ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของศูนย์การค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ “THE ENCHANTED JOURNEY TO THE PORT OF PLEASURE” มนต์เสน่ห์แห่งการเดินทางสู่ความหฤหรรษ์รื่นรมย์ ที่รวบรวมสุดยอดประสบการณ์การช้อปปิ้งและบริการระดับพรีเมี่ยม เพื่อเติมเต็มทุกสุนทรียะแห่งวิถีชีวิตในวันพักผ่อนอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ หัวหินยังเปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิ อุทยานราชภักดิ์ฯ พระราชวังไกลกังวล พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ฯลฯ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหินจะกลายเป็น WORLD CLASS RESORT MALL DESTINATION OF ASIA แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของหัวหินที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยยกระดับให้หัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเมืองตากอากาศชั้นนำระดับโลก ตลอดจนช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและพัฒนาเศรษฐกิจของไทยสู่ภูมิภาคอาเซี่ยน” คุณพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในการพัฒนาศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน และศักยภาพการเติบโตของเมืองหัวหินว่า “บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด ในฐานะผู้นำพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย เล็งเห็นโอกาสในการขยายการลงทุนภาคการท่องเที่ยวในเมืองหัวหินอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยหัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่ยอดนิยมของเมืองไทยมายาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับสูง โดยเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรม รวมทั้งภาคธุรกิจ การค้า และการลงทุนที่นี่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งของเมืองหัวหินเป็นศูนย์กลางในการค้าที่เชื่อมระหว่างภาคกลางและภาคใต้ อีกทั้งอัตรานักท่องเที่ยวจำนวนกว่าปีละ 6 ล้านคน ชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่มากกว่า 20,000 คน โรงแรมหรือรีสอร์ตมากกว่า 16,000 ห้อง คอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้างกว่า 45,000 ยูนิต และในอนาคตจะมีการคมนาคมจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดถึงช่องทางในการพัฒนาหัวหินให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้พราว เรียล เอสเตท ขยายการลงทุนในพื้นที่หัวหินครั้งนี้ ควบคู่ไปกับการสร้างเดสติเนชั่นให้มีชื่อเสียง และเป็นการต่อยอดให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะ Mixed Use แบบควบคู่กัน โดยมีทั้งโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท, สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ทรู อารีน่า หัวหิน และโครงการท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต การได้พัฒนาโครงการศูนย์การค้า BLÚPORT Hua Hin Resort Mall ร่วมทุนกับกลุ่มเดอะมอลล์ ด้วยจุดเด่นของห้างที่อยู่ติดกับโรงแรม และใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีสามารถเดินถึงชายทะเล ซึ่งสร้างความสะดวกสบายและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มแบบครบวงจร อันเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของพราวฯ ในการมองการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ลักษณะ Mixed Use และมองว่าการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศไทยการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และเป้าหมายสำคัญคือการยกระดับการท่องเที่ยวของเมือง หัวหินและประเทศไทยสู่ระดับโลกมากขึ้น คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ได้กล่าวถึงภาพรวมและองค์ประกอบหลักอันโดดเด่นของศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหินว่า “ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหินได้ถูกรังสรรค์ความงดงามแห่งสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พื้นที่โครงการโดยรวมกว่า 200,000 ตร.ม.ประกอบด้วยพื้นที่ศูนย์การค้า 50,000 ตร.ม. พื้นที่ห้างสรรพสินค้า 25,000 ตร.ม. และพื้นที่จอดรถกว่า 100,000 ตร.ม. รองรับได้ถึง 3,500 คัน พร้อมคัดสรรสินค้าแฟชั่นชั้นนำ ผลิตภัณฑ์ความงาม ไลฟ์ไตล์ ลีฟวิ่ง สปอร์ท ดิจิตอล เทคโนโลยีตลอดจนร้านอาหารระดับแนวหน้า ร้านคาเฟ่ชื่อดัง, GOURMET MARKET ซูเปอร์มาร์เก็ตระดับ พรีเมี่ยมที่พิถีพิถันคัดสรรสินค้าจากทุกมุมโลก, สถาบันการเงินระดับแนวหน้า, BLÚPORT CINEPLEX โรงภาพยนตร์ระดับเวิลด์คลาส 6 โรง และ WHALEY PORT สวนสนุกอินเตอร์แอคทีฟธีมโลกใต้ทะเลครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แห่งการช้อปปิ้งและสุดยอดประสบการณ์ความบันเทิงซึ่งแต่ละโซนมีดีไซน์คอนเซ็ปต์ที่ต่างกัน”
กลยุทธ์หลักที่ "ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน" นำมาใช้ดึงดูดลูกค้าและสร้างจุดเด่นในฐานะ "รีสอร์ทมอลล์แห่งแรกของวงการค้าปลีก" ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ดังนี้ 1. ผสมผสานความเป็น "รีสอร์ท" เข้ากับ "มอลล์" -สถาปัตยกรรม: ดีไซน์ภายนอกและภายในของศูนย์การค้าได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองรีสอร์ทชายทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก -บรรยากาศ: เน้นบรรยากาศผ่อนคลาย สบายตา สบายใจ ร่มรื่น เหมือนอยู่ในรีสอร์ท -กิจกรรม: มีกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การพักผ่อน เช่น สวนสนุกอินเตอร์แอคทีฟธีมโลกใต้ทะเล 2. ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ "การท่องเที่ยว" -สินค้าและบริการ: คัดสรรสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น สินค้าแฟชั่น ผลิตภัณฑ์ความงาม ของที่ระลึก ร้านอาหาร คาเฟ่ -ความสะดวกสบาย: ตั้งอยู่ติดกับโรงแรม เดินทางสะดวก ใกล้ชายหาด มีที่จอดรถกว้างขวาง -ประสบการณ์: มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและท่องเที่ยวที่หลากหลาย ครบครัน 3. ดึงดูด "นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ" -สินค้า: มีสินค้าหลากหลายประเภทจากแบรนด์ดังระดับโลกและแบรนด์ท้องถิ่น -ภาษา: รองรับการสื่อสารภาษาไทย อังกฤษ และภาษาอื่นๆ -กิจกรรม: มีกิจกรรมที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย 4. ยกระดับ "การท่องเที่ยวหัวหิน" -แลนด์มาร์คแห่งใหม่: เป็นศูนย์การค้าที่ทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์ ดึงดูดนักท่องเที่ยว -เศรษฐกิจ: กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สร้างงาน สร้างรายได้ -ภาพลักษณ์: ยกระดับภาพลักษณ์ของหัวหินให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก 5. มุ่งเน้น "ความยั่งยืน" -การออกแบบ: ออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงาน -วัสดุ: ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม -กิจกรรม: ส่งเสริมกิจกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ผลที่คาดหวังจากกลยุทธ์เหล่านี้ -ดึงดูดลูกค้า: ดึงดูดลูกค้าทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ -เพิ่มยอดขาย: เพิ่มยอดขายสินค้าและบริการ -สร้างการจดจำแบรนด์: สร้างการจดจำแบรนด์ "บลูพอร์ต หัวหิน" -ยกระดับการท่องเที่ยว: ยกระดับการท่องเที่ยวหัวหินให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ตัวอย่างผลลัพธ์เบื้องต้น ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ข้อจำกัด -การแข่งขัน: มีการแข่งขันจากศูนย์การค้าอื่นๆ ในหัวหิน -การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค: พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น -เศรษฐกิจ: เศรษฐกิจถดถอย ส่งผลต่อการท่องเที่ยว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54722
Retail
เทสโก้ โลตัส มุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายธุรกิจออนไลน์ผ่านการผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (Omnichannel) อย่างไร?
null
เทสโก้ โลตัส มุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายธุรกิจออนไลน์ผ่านการผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (Omnichannel) โดยใช้กลยุทธ์หลัก ดังนี้ 1. ขยายจุดสัมผัสออนไลน์: ตู้คีออส: ติดตั้งตู้คีออสในร้านเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส 200 สาขาต่อปี เน้นพื้นที่ต่างจังหวัด ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากเว็บไซต์ลาซาด้า โดยไม่ต้องมีสมาร์ทโฟนหรือบัตรเครดิต ร้านค้าบนเว็บไซต์: ลาซาด้า: จำหน่ายสินค้ากว่า 12,000 รายการ เน้นสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก weloveshopping.com: จำหน่ายสินค้ากว่า 4,000 รายการ เน้นสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม สินค้าสำหรับแม่และเด็ก ขยายฐานลูกค้าเป็นเพศหญิง 2. เพิ่มความสะดวกและมั่นใจ: การชำระเงิน: รองรับการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต เดบิต ชำระเงินที่เคาน์เตอร์ และชำระเงินปลายทาง การรับสินค้า: ลูกค้าสามารถเลือก รับสินค้าที่ตู้คีออส รับสินค้าที่บ้าน รับสินค้าที่สาขาเทสโก้ โลตัส 3. สร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ: สินค้า: จำหน่ายสินค้าหลากหลายครอบคลุมทุกประเภท เน้นสินค้าอุปโภคบริโภค ข้อมูลสินค้า: แสดงข้อมูลสินค้าอย่างละเอียด บริการ: พนักงานคอยให้ความช่วยเหลือและแนะนำลูกค้า 4. ขยายฐานลูกค้า: สมาชิกบัตรคลับการ์ด: สะสมแต้มผ่านออนไลน์ช้อปปิ้งเมื่อซื้อสินค้าจากร้านเทสโก้ โลตัส บนลาซาด้า กลุ่มลูกค้าใหม่: เจาะกลุ่มลูกค้าเพศหญิง อายุระหว่าง 25-45 ปี บนเว็บไซต์ weloveshopping.com 5. ใช้เทคโนโลยี: iBeacon: ส่งข้อมูล ข่าวสาร โปรโมชั่น และคูปองส่วนลด ให้กับลูกค้าผ่านสมาร์ทโฟน ผลลัพธ์: เทสโก้ โลตัส เป็นผู้นำในวงการค้าปลีกที่มีธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุด มีสินค้าจำหน่ายออนไลน์กว่า 36,000 รายการ มีแฟนเพจ Facebook มากกว่า 3 ล้านคน มีแฟนไลน์มากกว่า 28 ล้านคน ข้อเสนอแนะ: พัฒนาแอปพลิเคชั่นมือถือที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นำเสนอระบบ Self-checkout เพื่อลดเวลาการรอคิว นำเสนอระบบ Chatbot เพื่อตอบคำถามและให้ข้อมูลแก่ลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล Big Data เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรม ความต้องการ และความชอบของลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัย ติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ ในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า สรุป: เทสโก้ โลตัส ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจออนไลน์ผ่านกลยุทธ์ Omnichannel กลยุทธ์นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของเทสโก้ โลตัส ได้ทุกที่ ทุกเวลา เทสโก้ โลตัส ควรพัฒนาธุรกิจออนไลน์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54726
Retail
กลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ร้านค้าปลีกมักใช้เพื่อหลอกล่อให้ผู้บริโภคเสียเงินมีอะไรบ้าง และส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร
null
กลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ร้านค้าปลีกมักใช้เพื่อหลอกล่อให้ผู้บริโภคเสียเงิน มีดังนี้: 1. เทคนิคนกต่อ: - ร้านค้าจะวางสินค้าที่มีราคาสูงไว้ใกล้กับสินค้าที่มีราคาใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่า เพื่อทำให้ผู้บริโภคคิดว่าสินค้าที่มีราคาถูกกว่านั้นคุ้มค่ากว่า ตัวอย่าง: - ร้านขายเครื่องประดับวางสร้อยคอเพชรราคา 1 ล้านบาท ไว้ใกล้กับสร้อยคอเพชรราคา 5 แสนบาท เพื่อทำให้ผู้บริโภคคิดว่าสร้อยคอเพชรราคา 5 แสนบาทนั้นคุ้มค่ากว่า 2. การให้ของขวัญ: - ร้านค้าจะเสนอของขวัญฟรี หรือส่วนลดพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง: - ร้านขายเสื้อผ้าเสนอเข็มขัดฟรี เมื่อซื้อกางเกงราคา 1,000 บาท 3. ตัวเลือกลวงตา: - ร้านค้าจะเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย เพื่อทำให้ผู้บริโภคคิดว่ามีทางเลือกมากมาย และตัดสินใจซื้อสินค้า ตัวอย่าง: - ร้านขายเครื่องสำอางเสนอชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 3 แบบ ในราคาที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ ผลต่อธุรกิจค้าปลีก: กลยุทธ์ทางจิตวิทยาเหล่านี้ ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. การเพิ่มยอดขาย: กลยุทธ์เหล่านี้ ช่วยให้ร้านค้าปลีกสามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้ 2. การเพิ่มกำไร: กลยุทธ์เหล่านี้ ช่วยให้ร้านค้าปลีกสามารถเพิ่มกำไรจากการขายสินค้าได้ 3. การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า: กลยุทธ์เหล่านี้ ช่วยให้ร้านค้าปลีกสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า โดยให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับสินค้าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกควรใช้กลยุทธ์เหล่านี้ อย่างมีจริยธรรม ไม่ควรหลอกล่อ หรือบังคับให้ลูกค้าซื้อสินค้า ตัวอย่าง: - ร้านค้าปลีกควรแจ้งราคาสินค้าให้ชัดเจน ไม่ควรหลอกล่อลูกค้าด้วยราคาที่ไม่เป็นความจริง - ร้านค้าปลีกควรเสนอตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตามความต้องการ - ร้านค้าปลีกควรให้บริการลูกค้าด้วยความสุภาพ และให้ข้อมูลสินค้าอย่างครบถ้วน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54727
Retail
เอเชียทีคมีกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับ Retail?
เปิดให้บริการเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว สำหรับโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” และกำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 5 ในปีหน้า…วันนี้ Brand Buffet ชวนมาติดตามเรื่องราวที่ผลักดันให้ “เอเชียทีค” แจ้งเกิด และแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจปี 2559 – 2560 ที่ต้องการเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวจากปัจจุบัน 12 ล้านคนต่อปี เป็น 24 ล้านคนต่อปีภายใน 2 ปีนับจากนี้ และเป้าหมายด้านรายได้ที่ปีนี้ตั้งเป้า 500 ล้านบาท ขณะที่ปี 2560 และปี 2561 เพิ่มเป็น 525 ล้านบาท และ 550 ล้านบาทตามลำดับ 10 ส่วนผสมสำคัญที่ขับเคลื่อน “เอเชียทีค” มีอะไรกันบ้าง มาดูกัน 1. โลเกชั่น ตามสูตรการพัฒนาโครงการค้าปลีกขนาดใหญ่ ทำเลที่ตั้งต้องอยู่บนถนนใหญ่ หรือถนนเส้นหลัก แต่สำหรับ “เอเชียทีค” ฉีกตำราค้าปลีกก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง เป็นถนนเส้นเล็ก และมีการจราจรหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของการเริ่มต้นพัฒนาโครงการ แต่ในอีกด้านก็เป็นทำเลที่ดี เนื่องจากติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งความเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ประกอบกับที่ดินแห่งนี้ เดิมทีเป็นท่าเรือการค้าและโกดังสินค้าเก่าแก่ของบริษัทอีสต์ เอเชียติก เป็นประตูการค้าสากลระหว่างสยามประเทศและยุโรปในยุครัชกาลที่ 5 จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศ ที่ “เอเชียทีค” นำมาร้อยเรียงเข้ากับการพัฒนาโครงการ ภายใต้แนวคิด “Festival Market & Living Museum” กลายเป็น “จุดเด่น” ของโครงการทันที 2. ไฮไลท์หลัก สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว อาทิ เอเชียทีค สกาย, คาลิปโซต์ คาบาเร่ต์ โชว์, มวยไทย ไลฟ์, รูปปั้นจูเลียต หุ่นละครเล็กโจหลุยส์ รวมถึงการจัด Iconic Event สำคัญ ได้แก่ เคาท์ดาวน์, สงกรานต์, ลอยกระทง, ฟูลมูน ปาร์ตี้ นอกจากนี้ในปลายปี 2560 จะเปิดตัวเรือใบสามเสา ที่ลงทุน 50 ล้านบาท นำต้นแบบมาจากเรือรบหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีขนาดเท่าของจริง เพื่อนำมาจอดเทียบท่าเอเชียทีค พร้อมพัฒนาเป็นร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง 3. พันธมิตร และการตลาด ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเส้นทางความสำเร็จของ “เอเชียทีค” นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ส่วนสำคัญมาจาก “พันธมิตร” ทั้งภาครัฐ อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และภาคเอกชน เช่น บริษัททัวร์ สมาคมธุรกิจการค้าในแม่น้ำเจ้าพระยา ธุรกิจสายการบิน ร่วมกันกำหนดแผนการตลาด และจัดกิจกรรมโรดโชว์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาเที่ยวไทย และเอเชียทีค ขณะที่งบการตลาดในปี 2560 เอเชียทีคเตรียมไว้อยู่ที่ 60 ล้านบาท แต่ถ้ารวมงบประมาณการตลาดจากพันธมิตรด้วยแล้ว จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท 4. ร้านค้าผู้เช่า ขณะนี้มีประมาณ 1,500 ร้านค้า ครอบคลุมทั้งร้านแฟชั่น และร้านอาหาร ซึ่งรายได้หลักของ “เอเชียทีค” มาจากค่าเช่า โดยปัจจุบันค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 บาทต่อตารางเมตร มีการปรับค่าเช่าเพิ่มเฉลี่ย 10 – 15% ต่อปี 5. ขยายท่าเรือเป็น 3 ท่า และเพิ่มจำนวนเรือจาก 6 ลำต่อวัน เป็น 12 ลำต่อวัน เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 8,000 คนต่อวัน จากปัจจุบัน 4,000 คนต่อวัน รวมถึงปรับพื้นที่รองรับการจอดของเรือท่องเที่ยว Dinner Cruise 6. เพิ่มความหลากหลายในการช้อปปิ้ง โดยปรับพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร พัฒนาเป็น Street Fashion Zone บนพื้นที่บริเวณซอย 4 และ ปรับสไตล์การนำเสนอสินค้าในโกดัง 7 และ 8 ให้เป็น Urbano Zone ที่มีทั้งสินค้าไอเดีย สินค้าแฟชั่น เพื่อตอบโจทย์ Gen Y จากทั่วโลกที่เดินทางมาที่นี่ 7. เฟส 2 เติมเต็มความครบวงจร บนพื้นที่ขนาด 16 ไร่ งบลงทุน 10,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2561 ประกอบด้วย โรงแรม ระดับ 5 ดาว ขนาด 800 ห้อง, ห้องประชุมสัมมนา ขนาด 3,000 ตารางเมตร, ห้องจัดเลี้ยง และจัดสรรพื้นที่ 10,000 ตารางเมตรเพื่อดำเนินธุรกิจรีเทล ซึ่งเฟส 2 ต้องการให้เป็น One Stop Service ขณะที่เฟสแรกตอบโจทย์ด้านสันทนาการและการช้อปปิ้ง หลังสร้างเฟส 2 เสร็จ จะทำให้ “เอเชียทีค” ไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจรีเทล แต่เป็นโครงการ “Mixed-use Development” เพราะการจะก้าวสู่การเป็น World-class Destination ได้อย่างแท้จริง “เอเชียทีค” ต้องครบวงจร โดยแต่ละส่วนของโครงการต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ 8. นักท่องเที่ยว ปัจจุบันเอเชียทีคมีปริมาณนักท่องเที่ยว ในช่วงวันธรรมดา (จันทร์ – พฤหัสบดี) 30,000 คนต่อวัน และช่วงวันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดยาว 50,000 คนต่อวัน ขณะที่ช่วงจัดอีเวนท์ใหญ่ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไม่ต่ำกว่า 80,000 – 100,000 คนต่อวัน ในจำนวนนักท่องเที่ยวที่มา แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวไทย 40% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% โดย 5 ประเทศหลักในโซนเอเชีย ประกอบด้วย ไต้หวัน จีน เกาหลี ฮ่องกง อินโดนีเซีย และตลาดโซนยุโรป ซึ่งอัตราการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติเฉลี่ยที่ 1,500 บาท และ 2,000 บาทตามลำดับ 9. เจาะตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางมาเองมากขึ้น (FIT : Free Independent Traveler) เนื่องจากกลุ่มนี้ใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ถึง 3 เท่า อย่างนักท่องเที่ยวจีนที่มาเอเชียทีค 50% เป็นกลุ่ม FIT (อายุเฉลี่ย 27 – 42 ปี) และ 50% เป็นกรุ๊ปทัวร์ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2560 สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนกลุ่ม FIT จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ขณะที่กรุ๊ปทัวร์ ลดสัดส่วนอยู่ที่ 40% 10. กำหนดยุทธศาสตร์ “X-ray Planning” นำข้อมูลและสถิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย พฤติกรรมลูกค้าที่มาเดินในโครงการ รวมไปถึงความรู้สึกของคนที่มาโครงการ มาศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อจะได้รู้ Insight ของคนที่มา นำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น อันจะทำให้บรรลุเป้าหมายเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวเป็น 24 ล้านคนต่อปี
เอเชียทีคใชกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบผสมผสานที่เกี่ยวข้องกับ Retail ดังนี้ 1. สร้างจุดหมายปลายทางการช้อปปิ้งที่หลากหลาย: เจาะกลุ่มเป้าหมาย: เอเชียทีคมีร้านค้าผู้เช่ากว่า 1,500 ร้าน ครอบคลุมทั้งร้านแฟชั่น ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และสินค้า DIY เจาะกลุ่ม Gen Y: มีการปรับพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรเป็น Street Fashion Zone บนพื้นที่บริเวณซอย 4 และปรับสไตล์การนำเสนอสินค้าในโกดัง 7 และ 8 ให้เป็น Urbano Zone ที่มีทั้งสินค้าไอเดีย สินค้าแฟชั่น เพื่อตอบโจทย์ Gen Y สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร: มีการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ตลอดทั้งปี เช่น ตลาดนัดสินค้ามือสอง ตลาดน้ำ ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ: มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน 2. ผสมผสานความบันเทิงและการพักผ่อน: กิจกรรม: มีชิงช้าสวรรค์ เอเชียทีค สกาย, คาลิปโซต์ คาบาเร่ต์ โชว์, มวยไทย ไลฟ์, รูปปั้นจูเลียต หุ่นละครเล็กโจหลุยส์ ร้านอาหาร: มีร้านอาหารหลากหลายประเภท ตั้งแต่ร้านริมทางไปจนถึงร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง บรรยากาศ: มีการตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม ร่มรื่น เหมาะแก่การถ่ายรูป 3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การเดินทาง: มีท่าเรือ 3 ท่า และเรือให้บริการ 12 ลำต่อวัน รองรับผู้โดยสารได้ 8,000 คนต่อวัน ที่จอดรถ: มีที่จอดรถรองรับได้มากกว่า 1,000 คัน สิ่งอำนวยความสะดวก: มีห้องน้ำ ร้านสะดวกซื้อ ตู้ ATM ฟรี Wi-Fi 4. การตลาด: สื่อออนไลน์: มีการใช้สื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter, YouTube สื่อสิ่งพิมพ์: มีการลงโฆษณาในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ กิจกรรมส่งเสริมการขาย: มีการจัดโปรโมชั่น ส่วนลด กิจกรรมชิงรางวัล 5. การบริการ: พนักงาน: มีพนักงานที่ผ่านการอบรมให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม ภาษา: มีพนักงานที่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ ความปลอดภัย: มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลให้อเอเชียทีคมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันธรรมดา (จันทร์ – พฤหัสบดี) มีนักท่องเที่ยว 30,000 คนต่อวัน และช่วงวันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดยาว 50,000 คนต่อวัน ตัวอย่าง: ในปี 2560 เอเชียทีคมีรายได้จากค่าเช่ากว่า 1,000 ล้านบาท เอเชียทีคได้รับรางวัล "Thailand Tourism Awards 2018" ประเภท "แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมยอดเยี่ยม" สรุป: เอเชียทีคใชกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบผสมผสานที่เกี่ยวข้องกับ Retail กลยุทธ์เหล่านี้ประสบความสำเร็จ ช่วยให้อเอเชียทีคกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว และพักผ่อนยอดนิยมในกรุงเทพฯ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54734
Retail
ช่วยสรุปบทความ ปั้น Community Mall อย่างไร ไม่ให้เจ๊ง ! และถอดสูตรความสำเร็จ “The Nine Center”
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว วงการค้าปลีกไทยเกิดเซกเมนต์ใหม่ขึ้นมา นั่นคือ “Community Mall” รูปแบบค้าปลีกขนาดกลาง เกิดขึ้นตามการขยายตัวของเมืองและชุมชน ลักษณะเฉพาะตัวของ “Community Mall” เป็นค้าปลีกที่รองรับคนในชุมชนโดยรอบ หรือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในย่านนั้น รัศมีประมาณ 5 กิโลเมตร ขณะที่การออกแบบจะผสมผสานระหว่างพื้นที่เปิดโล่ง กับตัวอาคารเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคาร 2 – 3 ชั้น มีทางเข้า-ออกโครงการง่าย ส่วนสินค้าและบริการ มุ่งตอบความต้องการชีวิตประจำวันเป็นหลัก ช่วงเวลานั้น “Community Mall” กลายเป็นเซกเมนต์ค้าปลีกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะด้วยความที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่มากนักและการออกแบบโครงการไม่ซับซ้อนเหมือนกับศูนย์การค้า เช่นเดียวกับงบลงทุนไม่ได้สูงเป็นหลักพันล้าน จึงทำให้คนที่มีที่ดินของตนเองและมีความพร้อมด้านเงินลงทุน รวมไปถึง Developer ขนาดกลาง – เล็ก แห่กันเข้ามาลงทุน พัฒนาโครงการ Community Mall กันเป็นจำนวนมาก วันเวลาผ่านไป…ภาพที่ปรากฏขึ้นเวลานี้ หลายโครงการอยู่ในสภาพร้างผู้คน ไม่สามารถขายพื้นที่ได้เต็ม และบางแห่งต้องปิดตัวไป แต่ขณะเดียวกันก็มีบางโครงการ ที่สามารถอยู่ได้ และมีการเติบโตที่ดี ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ธุรกิจค้าปลีก ปัจจัยสำคัญอันดับ 1 คือ “Location” ต้องอยู่ในทำเลดีเท่านั้น ดังนั้นการเปิด Community Mall ต้องศึกษาทำเลโซนนั้นๆ ก่อนว่าความหนาแน่นของชุมชนและประชากรโดยรอบทำเลที่จะสร้างโครงการเป็นอย่างไร ทั้งคนที่พักอาศัยในโซนนั้น และคนต่างถิ่นที่เดินทางมาทำงานในโซนนั้นๆ และต้องมีจำนวนมากพอ ที่จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของคนตลอดทั้งวัน และทุกวัน ทั้งยังต้องเป็นทำเลที่มีการเดินทางสะดวก ง่ายต่อการเข้า-ออก 2. คอนเซ็ปต์ Community Mall ต้องแตกต่างและมีความชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถดึงดูดให้คนเข้ามาเดิน และหากเปิดไปสักพัก แล้วเกิดมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มาตั้งอยู่ในย่านเดียวกันจะยิ่งยากต่อการแข่งขัน 3. ต้องมีแม่เหล็กครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ร้านอาหารและร้านเครื่องดื่ม ที่หลากหลาย มีความน่าสนใจ และถ้ามีร้านอาหาร – ร้านเครื่องดื่มที่เป็นแบรนด์ใหญ่ มาร่วมเปิดในโครงการ จะเป็น Key Magnet ดึงคนให้เข้ามามากขึ้น, บริการทางการเงิน และ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะทั้ง 3 สิ่งนี้ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำ
ประมาณ 10 ปีที่แล้ว, โครงการ "Community Mall" เพิ่มขึ้นในวงการค้าปลีกไทย โดยเน้นบริการชุมชนในรัศมี 5 กิโลเมตร มีอาคาร 2-3 ชั้นผสมผสานพื้นที่เปิดโล่ง รองรับความต้องการชีวิตประจำวัน บางโครงการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ในปัจจุบันมีโครงการที่ไม่สามารถขายพื้นที่ได้เต็ม และบางแห่งต้องปิดตัว แต่ในขณะเดียวกันบางที่ก็เติบโตได้ดี สาเหตุที่บางโครงการเติบโตได้และบางโครงการล้มเหลว คือ 1.สำคัญที่สุดของธุรกิจค้าปลีกคือทำเลที่ตั้ง ต้องเลือกทำเลที่มีความหนาแน่นของชุมชนและประชากรโดยรอบที่เหมาะสม 2.คอนเซ็ปต์ Community Mall ต้องมีความแตกต่างและชัดเจน เพื่อดึงดูดคนเข้ามาเดินและต้องตั้งแยกต่างหากจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในย่านเดียว 3.จำเป็นต้องมีร้านอาหาร, ร้านเครื่องดื่ม, บริการทางการเงิน, และซูเปอร์มาร์เก็ตที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตประจำวัน 4.ภายใน Community Mall ควรจัดกิจกรรมและอีเวนท์เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของคนในท้องที่นั้น 5.ระบบบริหารจัดการ Community Mall ควรเข้าใจความต้องการของผู้ประกอบการและลูกค้า
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54736
Retail
HABITO มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายใดเป็นหลัก และทำไมกลยุทธ์การเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้จึงเหมาะสมกับบริบทของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน
null
HABITO มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหลัก 2 กลุ่ม ดังนี้: 1. คนรุ่นใหม่ (Millennials) - กลุ่มนี้มีพฤติกรรมและความต้องการที่ไม่หยุดนิ่ง มีไอเดีย และมองหาความแปลกใหม่ - HABITO นำเสนอรูปแบบคอมมูนิตี้ รีเทล ที่มีความแปลกใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ - พื้นที่ Co-Creation Community "HUBBA-TO" ช่วยให้คนรุ่นใหม่ได้พบปะ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสร้างสรรค์ผลงาน - ร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ ใน HABITO คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เน้นความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร - การออกแบบพื้นที่ เน้นความโปร่ง สบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ 2. ชุมชนนานาชาติในโซนรอบนอกสุขุมวิท: - HABITO ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 ใกล้รถไฟฟ้าอ่อนนุช: - พื้นที่นี้มีโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริกว่า 6 โครงการ รวมกว่า 5,000 ยูนิต - ในปี 2017 มีโรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep มาเปิดเพิ่ม - HABITO นำเสนอร้านอาหารและร้านค้าที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของชาวต่างชาติ - พนักงานใน HABITO สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ เหตุผลที่กลยุทธ์การเจาะกลุ่มเป้าหมายของ HABITO นั้นเหมาะสมกับบริบทของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน มีดังนี้: 1. ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น: ธุรกิจค้าปลีกต้องหาจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า HABITO ตอบโจทย์ด้วยรูปแบบคอมมูนิตี้ รีเทล ที่มีความแปลกใหม่ ผสมผสาน Co-Working Space ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ ไว้ด้วยกัน 2. ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์: HABITO เน้นการออกแบบพื้นที่ให้สวยงาม โปร่ง สบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ 3. ผู้บริโภคต้องการความสะดวก: HABITO ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 ใกล้รถไฟฟ้าอ่อนนุช 4. ผู้บริโภคมีความหลากหลาย: HABITO ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ สรุป: HABITO มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหลัก 2 กลุ่ม กลยุทธ์การเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน HABITO ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความแปลกใหม่ ประสบการณ์ สะดวก และตอบโจทย์ความหลากหลาย เพิ่มเติม: HABITO ยังมีจุดเด่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น: 1. 3 Sleepless Shops: ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และ Co-Working Space ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง 2. HABIKO: แขนกลอัจฉริยะที่นำมาใช้สร้างสรรค์งานศิลปะ จุดเด่นเหล่านี้ช่วยเสริมให้ HABITO เป็นคอมมูนิตี้ รีเทล ที่มีความแปลกใหม่ ดึงดูดลูกค้า และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54740
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การบอกต่อจากผู้ใช้จริง เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทรงพลัง
null
แสงแดด รอยยิ้ม และ MizuMi สายลมยามเช้าพัดโชยมาแตะใบหน้าของ 'มินอา' หญิงสาววัย 25 ปี ผู้กำลังนั่งจิบกาแฟยามเช้าในสวนหลังบ้าน แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านกิ่งไม้ลงมากระทบใบหน้าของเธอ มินอาหรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแสงแดด แต่เธอก็อดกังวลไม่ได้ "แดดแรงแบบนี้ ทาครีมกันแดดแล้ว หน้าจะวอกไหมนะ?" มินอาพึมพำกับตัวเอง เธอเคยลองใช้ครีมกันแดดมาหลายยี่ห้อ แต่ก็เจอปัญหาหน้าวอก หน้ามัน เหนียวเหนอะหนะ อยู่เสมอ จนกระทั่งเธอได้ยินเพื่อนสนิทพูดถึงครีมกันแดดแบรนด์ใหม่ "MizuMi" "ครีมกันแดด MizuMi อ่อนโยนมาก เป็นสูตรน้ำ ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ที่สำคัญคือเป็น Non-chemical เหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายแบบเรา" เพื่อนของมินอาอธิบาย มินอาตัดสินใจลองซื้อ MizuMi มาใช้ดู ผลลัพธ์ที่ได้คือเธอรู้สึกประทับใจมาก ครีมกันแดดเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบขาว หน้าไม่วอก และที่สำคัญคือรู้สึกสบายผิว ไม่หนักหน้า "MizuMi เปลี่ยนความคิดของฉันเกี่ยวกับครีมกันแดดไปเลย" มินอาคิด หลังจากนั้น มินอาแนะนำ MizuMi ให้กับเพื่อนๆ ของเธอ หลายคนก็รู้สึกประทับใจเช่นเดียวกัน "MizuMi ขายดีมากเลยค่ะ ยอดขายพุ่งกระฉูด!" พนักงานขายในร้านวัตสันบอกกับมินอา มินอาดีใจที่ MizuMi ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เธอรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบอกต่อครีมกันแดดที่ดีให้กับคนอื่น "MizuMi ไม่ได้เป็นแค่ครีมกันแดด แต่เป็นเหมือนรอยยิ้มที่เราส่งต่อให้กัน" มินอาคิด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54746
Retail
ขอใจความสำคัญของบทความเรื่อง "มากกว่าเครื่องมือขาย “iBeacon” อาวุธลับสร้าง Customer Engagement ที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม" ให้หน่อยคะ
หลายคนน่าจะเคยได้ยินเทคโนโลยี iBeacon และเคยทดลองใช้กันมาบ้างแล้ว ส่วนใหญ่ธุรกิจค้าปลีกนิยมนำไปใช้ ซึ่งเทคโนโลยีที่ว่านี้ พัฒนาขึ้นโดย Apple เมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งตามโลเกชั่นจุดต่างๆ เพื่อรับและส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth และ Smart Device ที่ดาวน์โหลด Application ของร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า เมื่อลูกค้าเดินเข้าไปยังจุดที่ติดตั้ง iBeacon จะมี Push Notification เกี่ยวกับโปรโมชั่น คูปองส่วนลด และข้อมูลสินค้า/ร้านค้าเด้งขึ้นมาที่ Smart Device ของลูกค้า ด้วยคอนเซ็ปต์และฟังก์ชั่นการทำงานของ iBeacon ที่น่าสนใจ ทำให้พัฒนาการของการใช้ iBeacon ในยุคแรก บรรดาร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า หรือค้าปลีกประเภทต่างๆ เอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย หากโปรโมชั่น คูปองส่วนลด หรือสิทธิพิเศษไหนโดนใจลูกค้า ยิ่งส่งผลให้บรรดาแบรนด์สินค้าปิดการขายได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพียงช่วยในเรื่องการขายเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยี iBeacon สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ! โดยเฉพาะในยุคนี้ มิติการตลาดต้องลงลึกไปถึงระดับการสร้าง Engagement และ Experience ให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และ iBeacon กำลังเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญของแบรนด์ ในการช่วยสร้างความสัมพันธ์และประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า และระหว่างผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีกกับผู้ผลิตสินค้าหรือซัพพลายเออร์ ซึ่งเวลานี้เทคโนโลยีนี้ กำลังถูกนำไปใช้กับช่องทางซื้อขายสินค้าในชีวิตประจำวันอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ลองนึกภาพการใช้เทคโนโลยี iBeacon ให้เป็นมากกว่าเครื่องมือขาย เช่น ลูกค้าเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อซื้อเส้นสปาเก็ตตี้ จะไปโซนขายผลิตภัณฑ์เส้นสปาเก็ตตี้ โดยทั่วไปก็จะมีพนักงาน PC หรือมีสื่อโฆษณา Pop-up ตรงเชลฟ์ คนส่วนใหญ่ก็จะหยิบแบรนด์ที่คุ้นเคย หรือใช้เป็นประจำ แต่ถ้าซูเปอร์มาร์เก็ตเอา iBeacon มาใช้ และในระหว่างที่ลูกค้าเดินเลือกสินค้า ได้เปิด Bluetooth และ Application ของซูเปอร์มาร์เก็ตรายนั้นๆ จะมี Push Notification เข้ามาที่โทรศัพท์มือถือ แมสเสจแรกที่ปรากฏบนหน้าจอ ไม่ได้เป็นคูปองส่วนลด หรือโปรโมชั่นจากแบรนด์เหมือนเช่นการใช้ iBeacon ในยุคแรก แต่เป็น Content ที่อาจมาในรูปแบบภาพ พร้อมข้อความ หรือรูปแบบวีดีโอ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกเกิดแรงบันดาลใจ และอยากซื้อแบรนด์นี้ เช่น วีดีโอการทำเมนูสปาเก็ตตี้ เมื่อ Content นั้นจบลง จะตามต่อด้วยการ Push คูปองส่วนลด หรือโปรโมชั่นทันที เพื่อนำไปสู่การปิดการขาย ด้วยวิธีการนี้ มีโอกาสสูงที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับ Content ที่ส่งเข้ามาในมือถือ และทำให้เกิด Shopping Experience ที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะเดียวกันทำให้แบรนด์ผู้ผลิตสินค้า หรือซัพพลายเออร์ สนใจอยากจับมือสร้าง Content กับผู้ให้บริการร้านค้าปลีก ทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เกร็ดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ และร่วมทำโปรโมชั่น คูปองส่วนลดกับร้านค้า เพื่อเสนอได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่ “ข้อพึงระวัง” สำหรับการใช้ iBeacon มาเสริมศักยภาพการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าและช่วยด้านการขาย ต้องป้องกันไม่ให้แมสเสจดังเข้าโทรศัพท์มือถือของลูกค้าตลอดเวลาที่อยู่ในร้าน เพราะไม่อย่างนั้น แทนที่จะเกิดประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ และร้านค้า กลับกลายเป็นว่าลูกค้าจะรู้สึกรำคาญ และปิดรับแมสเสจที่ส่งเข้ามา Credit Photo: NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand 24
เทคโนโลยี iBeacon พัฒนาโดย Apple เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งตามตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อส่งและรับข้อมูลผ่าน Bluetooth และ Smart Device ที่ใช้แอปของร้านค้า ในการต่อยอดในการใช้งาน iBeacon นอกจากจะส่งโปรโมชั่นและคูปองส่วนลด ยังสามารถสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ เช่น การส่งเนื้อหามัลติมีเดียที่กระตุ้นความสนใจและให้ข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากนี้ iBeacon ยังนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ในซูเปอร์มาร์เก็ต เมื่อลูกค้าเปิดแอปพลิเคชันและ Bluetooth จะได้รับข้อความและโปรโมชั่นทันที ทำให้เกิดประสบการณ์การซื้อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรระวังไม่ให้มีการส่งข้อความเกินไปที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญและปิดการแสดงข้อความ iBeacon อย่างไม่จำเป็นที่อยู่ในร้าน สรุปโดยทั่วไป iBeacon เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการสร้างประสบการณ์และความสัมพันธ์กับลูกค้าในการซื้อสินค้า โดยต้องให้ความสำคัญในการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและป้องกันไม่ให้เกิดการรบกวนไม่จำเป็นแก่ลูกค้า อย่างไรก็ตาม, การใช้ iBeacon ต้องระมัดระวังในการส่ง Push Notification เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญ และการใช้ iBeacon ต้องเป็นประโยชน์และไม่ทำให้ลูกค้าปิดรับแมสเสจที่ส่งเข้ามา.
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54753
Retail
กลยุทธ์หลักของ Acer ในการขยายธุรกิจเกมมิ่งคืออะไร?
หัวข้อ พบกับ Acer Predator G1เกมมิ่งเดสก์ท็อปสายพันธุ์นักล่า และ Acer Predator Shop พรีเมียมสโตร์ [PR] ​ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดตัวสุดยอดเกมมิ่งเดสก์ท็อปสายพันธุ์นักล่า Acer Predator G1 เติมเต็มความต้องการของเกมเมอร์ด้วยเทคโนโลยีที่เปี่ยมสมรรถนะ เพื่อความแรงไม่เป็นรองใคร พร้อมเปิด Acer Predator Shop พรีเมียมสโตร์สำหรับผู้ที่มองหาและต้องการสัมผัสประสบการณ์ของเกมมิ่งดีไวซ์ในตระกูล Predator ที่ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์ เปิดให้บริการพร้อมกัน 2 สาขา ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ และห้างไอคอนไอที จ. เชียงใหม่ นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดเกมที่รวมไปถึงกีฬา eSports ในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรูปแบบการใช้งานที่ต้องใช้การประมวลผลขั้นสูง เช่น เกม 4K, เกมสตรีมมิ่ง และเทคโนโลยี Virtual Reality ส่งให้พีซีกลายเป็นหลักของการปฏิวัติวงการเกม สำหรับ Acer Predator G1 ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ ที่มอบขุมพลังให้แก่เกมเมอร์ เพื่อประสบการณ์การเล่นเกมอย่างแท้จริง และเปิด Acer Predator Shop เพื่อรองรับความต้องการของคอเกมที่มองหาร้านค้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ Predator ครอบคลุมทั้ง โน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อป และแท็บเล็ต พร้อมกับมุมซีมูเลเตอร์ เพื่อให้เกมเมอร์ได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมที่เหมือนจริง สำหรับ Acer Predator G1 ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อนำเสนอประสบการณ์ขั้นสุดยอดสำหรับการเล่นเกมและความเป็นเวอร์ชวลเรียลลิตี้ ที่นอกจากสเปค และสมรรถนะที่เอเซอร์ได้นำเสนอใน Acer Predator G1 ที่อัดแน่นมาให้กับคอเกมแล้ว ด้วยสเปคที่สูงของ Acer Predator G1 ทำให้ตัวผลิตภัณฑ์ยังครอบคลุมไปยังอุตสาหกรรมอื่น และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายสำหรับการทำงานระดับมืออาชีพ เพื่อรองรับทั้งการทำงาน และเล่นสนุกในโลกดิจิตอล นอกจากการพัฒนาในส่วนของผลิตภัณฑ์แล้ว ช่องทางการจัดจำหน่ายก็เป็นสิ่งสำคัญ เอเซอร์ ได้เปิด Acer Predator Shop พรีเมียมสโตร์สำหรับเกมเมอร์ พร้อมกันถึง 2 สาขา ทั้งที่ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ โดย Speed Computer และที่ ห้างไอคอนไอที จ. เชียงใหม่ โดย CDR Highend เพื่อให้ผู้สนใจได้สัมผัสกับอุปกรณ์ได้ครบทุกรุ่น ทุกแบบ และมีประสบการณ์การใช้งานจริงก่อนการตัดสินใจซื้อ Acer Predator Shop มีผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำปรึกษาให้แก่ผู้สนใจ ทั้งในเรื่องของการเลือกใช้เครื่องให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของการเล่นเกม มีมุมซีมูเรเตอร์ให้ผู้สนใจได้ลองเล่นเพื่อให้สัมผัสถึงอรรถรสของการเล่นเกมต่างๆ และตั้งแต่วันนี้ไป จนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 เอเซอร์ได้นำ Predator Simulator Mobile ซีมูเลเตอร์โมบายคันที่ 2 ของเอเซอร์ มาโชว์ที่ Acer Predator Shop เพื่อให้ผู้สนใจได้สัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์พรีเดเตอร์ที่ติดตั้งมากับ Predator Simulator Mobile นอกจากนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สนใจซื้อผลิตภัณฑ์พรีเดเตอร์ เอเซอร์ได้เปิด www.predatorthailand.com ช่องทางสำหรับเช็คสถานที่ในการซื้อสินค้าแบบออนไลน์ อีกด้วย นายสนธิญา หนูจีนเส้ง กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “อินเทลมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมกับเอเซอร์ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Acer Predator G1 ในวันนี้ ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพของ อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่นที่ 6 ที่จะมอบประสิทธิภาพในด้านการทำงาน แบตเตอรี่ สมรรถนะด้านกราฟฟิกที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าแล้ว ฟีเจอร์ต่างๆ ที่เอเซอร์นำมาใส่ไว้ในผลิตภัณฑ์รุ่นนี้จะตอบโจทย์ความต้องการของคอเกม ได้เป็นอย่างดี” นายสุพงศ์ ตั้งตรงเบญจศีล ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า Acer Predator G1 อัดแน่นด้วยขุมพลังในตัวเครื่องขนาด 16 ลิตร ผสานรวมอย่างลงตัวระหว่างขนาดที่เล็กกะทัดรัดและขุมพลังที่ยอดเยี่ยมด้วยชิปประมวลผลอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจนเนอเรชั่นที่ 6 รองรับการ์ดแสดงผล NVIDIA GeForce GTX ขนาดมาตรฐาน หน่วยความจำ DDR4 สูงสุดถึง 64GB เพื่อการเล่นเกมที่ลื่นไหลสูงสุด สำหรับคอเกมที่สนใจเทคโนโลยีเสมือนจริง ก็สามารถเชื่อมต่อชุด VR Headset เพิ่มความบันเทิงไปพร้อมกับ Predator G1 ได้ทันที สำหรับอุปกรณ์ในการเล่นเกม นอกจากสเปคที่ต้องเร็ว แรง สมรรถนะสูงแล้ว ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การทำงานต่างๆ สะดวก รวดเร็วขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ Acer Predator G1 มีให้กับคอเกม – Killer DoubleShot™ Pro ที่จะช่วยเลือกการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เร็วที่สุด (Ethernet หรือการเชื่อมต่อไร้สาย) สำหรับการส่งข้อมูลที่มีความสำคัญสูง และส่งข้อมูลที่มีความสำคัญระดับทั่วไปผ่านอีกช่องทาง ช่วยให้แน่ใจว่าข้อมูลที่มีความสำคัญสูงสุดจะส่งผ่านการเชื่อมต่อที่รวดเร็วที่สุดและมีเสถียรภาพมากที่สุด – ซอฟต์แวร์ PredatorSense ของเอเซอร์ที่สามารถใช้ตรวจสอบและควบคุมส่วนประกอบสำคัญๆ ของระบบ ตั้งค่าปุ่มลัด และปรับเปลี่ยนไฟส่องสว่างหลากสีบน “Growl Lights” ที่โครงเครื่องด้านหน้าของพีซี เพื่อความสะดวกเพิ่มเติม มีที่เก็บชุดหูฟังแบบเลื่อนออกที่แต่ละด้านของพีซี ช่วยให้เกมเมอร์สามารถตั้งวางเครื่อง G1 ไว้ชิดกับผนัง และยังคงสามารถใช้ที่เก็บชุดหูฟังได้ – Predator G1 สนับสนุน G-SYNC และการแสดงผล 4K2K Ultra High Definition จึงสามารถแสดงผลภาพที่มีคุณภาพสูงได้อย่างราบรื่น ถ่ายทอดเกมและภาพยนตร์ได้อย่างแม่นยำและชัดเจนเหนือกว่า ขณะที่ Creative Soundblaster X-Fi MB5 และ 7.1 channel มอบระบบเสียงที่ชวนดื่มด่ำ นอกจากนี้เพื่อนเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สนใจซื้อผลิตภัณฑ์พรีเดเตอร์ เอเซอร์ได้เปิดช่องทางสำหรับเช็คสถานที่ในการเช็ค และซื้อสินค้าแบบออนไลน์ ผู้สนใจสามารถเช็คได้ว่ารุ่นที่รัก ไซส์ที่ชอบ จะสามารถซื้อได้จากร้านค้าใด ผ่าน www.predatorthailand.com
กลยุทธ์หลักของ Acer ในการขยายธุรกิจเกมมิ่ง มีดังนี้ 1. เปิดตัวผลิตภัณฑ์เกมมิ่งใหม่: Acer Predator G1 จุดเด่น -ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล Intel Core Processor เจนเนอเรชั่นที่ 6 -รองรับการ์ดแสดงผล NVIDIA GeForce GTX ขนาดมาตรฐาน -หน่วยความจำ DDR4 สูงสุดถึง 64GB -รองรับเทคโนโลยีเสมือนจริง -ฟีเจอร์ Killer DoubleShot™ Pro -ซอฟต์แวร์ PredatorSense -รองรับ G-SYNC และการแสดงผล 4K2K Ultra High Definition -ระบบเสียง Creative Soundblaster X-Fi MB5 และ 7.1 channel 2. เปิด Acer Predator Shop พรีเมียมสโตร์สำหรับเกมเมอร์ จุดเด่น -นำเสนอผลิตภัณฑ์ Predator ครอบคลุมทั้ง โน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อป และแท็บเล็ต -มีมุมซีมูเลเตอร์ให้ผู้สนใจได้ลองเล่นเพื่อให้สัมผัสถึงอรรถรสของการเล่นเกม -มีผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำปรึกษาให้แก่ผู้สนใจ -เช็คสถานที่และซื้อสินค้าแบบออนไลน์ได้ที่ www.predatorthailand.com 3. ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ -Intel ชิปประมวลผล Intel Core Processor เจนเนอเรชั่นที่ 6 -Speed Computer จำหน่าย Predator G1 ที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ -CDR Highend จำหน่าย Predator G1 ที่ห้างไอคอนไอที จ. เชียงใหม่ กลยุทธ์เหล่านี้ ช่วยให้ Acer เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นเกมเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54755
Retail
กลยุทธ์การเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" ของห้างเซ็นทรัล สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: 1. มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ลูกค้าแบบ Omni-channel: แอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตต่างๆ บนสมาร์ทโฟนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงานขายที่ห้างสรรพสินค้า สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 ที่มุ่งเน้นการผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ไร้รอยต่อ 2. นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ: แอปพลิเคชันนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการคำนวณโปรโมชั่นบัตรเครดิต ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกบัตรที่เหมาะสมกับการช้อปปิ้งได้ง่ายและรวดเร็ว สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและยกระดับประสบการณ์ลูกค้ 3. มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: แอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" ช่วยให้ห้างเซ็นทรัลสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า นำไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาโปรโมชั่นและบริการที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุด 4. มุ่งเน้นการดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่: แอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเทคโนโลยี ห้างเซ็นทรัลคาดหวังว่าแอปพลิเคชันนี้จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ให้กลับมาใช้บริการที่ห้างมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 ที่มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น 5. มุ่งเน้นการสร้าง Loyalty: แอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ห้างเซ็นทรัลสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ผ่านการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและคุ้มค่า สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 ที่มุ่งเน้นการสร้าง Loyalty Program เพื่อรักษาฐานลูกค้าระยะยาว สรุป กลยุทธ์การเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" ของห้างเซ็นทรัล สอดคล้องกับแนวคิด Retail 4.0 อย่างมาก แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้ห้างเซ็นทรัลมอบประสบการณ์ลูกค้าแบบ Omni-channel นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และสร้าง Loyalty อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การนำเสนอเนื้อหาภาษาอังกฤษเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว การพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การเปรียบเทียบสินค้า การค้นหาสินค้า และระบบแจ้งเตือนโปรโมชั่น โดยรวมแล้ว แอปพลิเคชัน "Central Smart Shopper" ถือเป็นก้าวสำคัญของห้างเซ็นทรัลในการปรับตัวเข้าสู่ยุค Retail 4.0
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54756
Retail
กลยุทธ์ Personalised ของ Siam Discovery โฉมใหม่ จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ: 1. ความต้องการเฉพาะบุคคล: ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความต้องการที่หลากหลายและแตกต่างกัน กลยุทธ์ Personalised ของ Siam Discovery ที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องทดลอง (Lab) แต่ละชั้นตามไลฟ์สไตล์ จะช่วยตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลของลูกค้าได้ 2. ประสบการณ์ที่แตกต่าง: การออกแบบพื้นที่และสินค้าที่แตกต่างกันในแต่ละชั้น จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ดึงดูดให้ลูกค้าอยากเข้ามาลองสัมผัส 3. การค้นพบสิ่งใหม่: การนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ๆ ผ่าน Discovery Lab จะช่วยกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และสร้างโอกาสให้ลูกค้าได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ 4. การมีส่วนร่วม: กิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละชั้น เช่น My Social Discovery, Run for Another Life, A Million Montage of You จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Personalised นี้ ยังมี ข้อจำกัด ดังนี้: 1. กลุ่มเป้าหมาย: กลยุทธ์นี้ เหมาะกับลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แบบเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ชอบลองสินค้าและบริการใหม่ ๆ 2. การเข้าถึง: การแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องทดลอง อาจทำให้ลูกค้าบางกลุ่มรู้สึกสับสน หาสิ่งที่ต้องการได้ยาก 3. การแข่งขัน: ศูนย์การค้าอื่น ๆ ก็เริ่มนำกลยุทธ์ Personalised มาใช้เช่นกัน ดังนั้น Siam Discovery จะต้องพัฒนากลยุทธ์ Personalised นี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สรุป: กลยุทธ์ Personalised ของ Siam Discovery โฉมใหม่ มีโอกาสสูงที่จะดึงดูดลูกค้าได้ เหตุผลหลัก คือ: 1. ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล 2. สร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง 3. กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น 4. สร้างการมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม Siam Discovery จะต้องพัฒนากลยุทธ์นี้ต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54758
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำคัญของการนำเสนอสินค้าคุณภาพดี ใส่ใจลูกค้า และใส่ใจสิ่งแวดล้อม
null
ผ้าฝ้ายพิชิตใจ: เรื่องราวจาก Cotton USA ณ ร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ใจกลางกรุงเทพฯ "ปาน" เจ้าของร้าน กำลังยืนต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม "วันนี้มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?" ปานเอ่ยถาม "กำลังมองเสื้อผ้าที่ใส่สบาย เหมาะกับอากาศร้อนๆ ค่ะ" ลูกค้าตอบ ปานพาเธอไปที่ชั้นวางเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อยืด กางเกงขาสั้น และชุดเดรส หลากสีสัน ลวดลาย "ลองดูเสื้อผ้าคอลเลกชั่นนี้สิคะ" ปานแนะนำ "ผลิตจากผ้าฝ้าย Cotton USA 100% ใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับอากาศร้อนๆ บ้านเรา" ลูกค้าหยิบเสื้อยืดสีขาวขึ้นมาดู "เนื้อผ้านุ่มดีนะคะ" "ใช่ค่ะ ผ้าฝ้าย Cotton USA ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม ทนทาน ใส่แล้วรู้สึกเย็นสบาย" ปานอธิบาย "เคยได้ยินชื่อ Cotton USA นะคะ แต่ไม่เคยลองใส่" "ลองดูค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวัง" ปานยิ้ม ลูกค้าตัดสินใจซื้อเสื้อยืดไป "ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ" ลูกค้ากล่าว "ยินดีค่ะ" ปานยิ้ม ปานรู้สึกภูมิใจที่ได้แนะนำสินค้าคุณภาพดีให้กับลูกค้า เธอรู้ดีว่า Cotton USA เป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลก หลายเดือนต่อมา ลูกค้ากลับมาที่ร้านอีกครั้ง "จำฉันได้ไหมคะ?" เธอถามปาน "แน่นอนค่ะ จำได้" ปานยิ้ม "มาซื้อเสื้อผ้าเพิ่มค่ะ ชอบเสื้อยืด Cotton USA มาก ใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี ซื้อไปหลายตัวแล้ว เพื่อนๆ ก็ชอบ" "ดีใจที่ลูกค้าชอบนะคะ" ปานยิ้ม "อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cotton USA ค่ะ" ปานอธิบายให้ลูกค้าฟังเกี่ยวกับ Cotton USA ว่าเป็นสัญลักษณ์ของผ้าฝ้ายคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่ยั่งยืน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม "Cotton USA เป็นแบรนด์ที่ใส่ใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง" ลูกค้ากล่าว "ใช่ค่ะ Cotton USA มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม" ปานตอบ "ดีใจที่ได้รู้จัก Cotton USA ค่ะ"
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54762
Retail
นวัตกรรม "แปลงผักจิ๋ว" ของ INFARM มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรต่อธุรกิจค้าปลีก
null
นวัตกรรม "แปลงผักจิ๋ว" ของ INFARM มีข้อดีและข้อเสียต่อธุรกิจค้าปลีกดังนี้: ข้อดี: เพิ่มความสดใหม่ของสินค้า: ผักที่ปลูกใน "แปลงผักจิ๋ว" นั้นสดใหม่กว่าผักที่ปลูกแบบดั้งเดิม เพราะว่าเก็บเกี่ยวได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการขนส่งและเก็บรักษา ดึงดูดลูกค้า: "แปลงผักจิ๋ว" นั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาชมและซื้อสินค้า เพิ่มภาพลักษณ์ที่ดี: การมี "แปลงผักจิ๋ว" ในร้านค้า ช่วยให้ร้านค้ามีภาพลักษณ์ที่ดี ใส่ใจสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน: ร้านค้าสามารถลดต้นทุนค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ และผักที่เสียหายจากการขนส่ง เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าอื่นๆ: ลูกค้าที่มาซื้อผักจาก "แปลงผักจิ๋ว" อาจจะซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม ข้อเสีย: ต้นทุนการลงทุน: "แปลงผักจิ๋ว" นั้นมีราคาค่อนข้างสูง พื้นที่: "แปลงผักจิ๋ว" นั้นใช้พื้นที่ในร้านค้า การบำรุงรักษา: "แปลงผักจิ๋ว" นั้นต้องได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ความยุ่งยาก: พนักงานร้านค้าอาจจะต้องเรียนรู้วิธีการดูแล "แปลงผักจิ๋ว" เพิ่มเติม โดยสรุป นวัตกรรม "แปลงผักจิ๋ว" ของ INFARM นั้นมีข้อดีและข้อเสียต่อธุรกิจค้าปลีก ข้อดี: เพิ่มความสดใหม่ของสินค้า ดึงดูดลูกค้า เพิ่มภาพลักษณ์ที่ดี ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าอื่นๆ ข้อเสีย: ต้นทุนการลงทุน พื้นที่ การบำรุงรักษา ความยุ่งยาก ผู้ประกอบการค้าปลีก ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ประเมินความคุ้มค่า วางแผนการดำเนินงาน ก่อนตัดสินใจนำนวัตกรรม "แปลงผักจิ๋ว" มาใช้ ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่เหมาะกับการนำนวัตกรรม "แปลงผักจิ๋ว" มาใช้: - ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ - ร้านขายสินค้าออร์แกนิค - ร้านอาหารที่มีพื้นที่เพียงพอ - โรงแรมที่มีห้องอาหาร นวัตกรรม "แปลงผักจิ๋ว" ของ INFARM นั้น เป็นแนวทางใหม่ น่าสนใจ มีศักยภาพ มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจค้าปลีกในอนาคต
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54763
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....วัฒนธรรมไทยเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว ควรมีการนำเสนอวัฒนธรรมไทยในรูปแบบที่ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย
null
หิมพานต์ อวตาร: ตำนานเหนือจินตนาการ สู่ประสบการณ์การช้อปสุดล้ำ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ศูนย์การค้าโชว์ ดีซี คึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย ต่างมุ่งหน้าสู่โรงละครชั้น 5 เพื่อสัมผัสประสบการณ์การแสดงสุดล้ำสมัย "หิมพานต์ อวตาร" การแสดงที่ผสมผสานตำนานป่าหิมพานต์เข้ากับเทคโนโลยี 4 มิติอย่างลงตัว หนึ่งในผู้ชมคือ "นลิน" หญิงสาวผู้หลงใหลในวัฒนธรรมไทย เธอจองบัตรล่วงหน้าหลายเดือน ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสโลกแห่งจินตนาการ เมื่อแสงไฟในโรงละครหรี่ลง เสียงดนตรีอันไพเราะดังก้อง บทเพลงบรรเลงขับกล่อมให้ผู้ชมดื่มด่ำกับบรรยากาศ เสียงบรรยายเริ่มต้น บอกเล่าเรื่องราวของป่าหิมพานต์ ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยเหล่าเทพ เทพี สัตว์วิเศษ และสิ่งมีชีวิตมากมาย ทันใดนั้น เวทีก็สว่างวาบ ภาพโฮโลกราฟ 3 มิติปรากฏขึ้น เทพอาทิตย์ เทพจันทร์ เทพราหู และอัปสรปักษี ลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ ราวกับมีชีวิตจริง ผู้ชมต่างตะลึงกับความงดงามตระการตา เทคโนโลยีล้ำสมัยทำให้รู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในป่าหิมพานต์ การผจญภัยเริ่มต้นขึ้น นลินและผู้ชมร่วมเดินทางไปกับเหล่าตัวละคร ผ่านป่าเขา ทะเลสาบ ถ้ำลึกลับ เผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์วิเศษ นลินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เสียงเพลง แสง สี เสียง ประกอบเข้ากันอย่างลงตัว ดึงดูดให้เธอจมดิ่งไปกับโลกแห่งจินตนาการ การแสดงจบลง ผู้ชมต่างปรบมือให้กับความยิ่งใหญ่ของ "หิมพานต์ อวตาร" นลินรู้สึกประทับใจ เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย และสัมผัสพลังแห่งจินตนาการ "หิมพานต์ อวตาร" ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดง แต่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นการผสมผสานเทคโนโลยี วัฒนธรรม และความบันเทิง เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54764
Retail
การเข้าซื้อกิจการ Zalora ของกลุ่มเซ็นทรัล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกไทยอย่างไร?
null
การเข้าซื้อกิจการ Zalora ของกลุ่มเซ็นทรัล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกไทยในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. เสริมแกร่งธุรกิจออนไลน์: -กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์ มีฐานลูกค้าและแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง -Zalora เป็นผู้นำธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้านแฟชั่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีฐานลูกค้าออนไลน์และ-ระบบแพลตฟอร์มทีการรวมกันของทั้งสองฝ่าย จะช่วยสร้างธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ที่ครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ 2. ขยายโอกาสทางธุรกิจ: -กลุ่มเซ็นทรัลสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าออนไลน์ของ Zalora ซึ่งมีจำนวนมาก -Zalora สามารถเข้าถึงเครือข่ายออฟไลน์ของกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีสาขากว่า 100 แห่งทั่วประเทศ -ทั้งสองฝ่ายสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้กว้างขึ้น 3. พัฒนาเทคโนโลยีและโลจิสติกส์: -กลุ่มเซ็นทรัลมีเทคโนโลยีและระบบการชำระเงินที่ทันสมัย -Zalora มีระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ -การรวมกันของทั้งสองฝ่าย จะช่วยพัฒนาระบบเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 4. ส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอีไทย: -กลุ่มเซ็นทรัลมีนโยบายสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทย -Zalora มีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้เอสเอ็มอีไทยเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น -การรวมกันของทั้งสองฝ่าย จะช่วยส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอีไทย ให้สามารถเติบโตในตลาดออนไลน์ 5. กระตุ้นเศรษฐกิจไทย: -การเข้าซื้อกิจการ Zalora ของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ จะช่วยสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย -ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยสรุป การเข้าซื้อกิจการ Zalora ของกลุ่มเซ็นทรัล จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกไทยในหลายแง่มุม ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกไทยเติบโต พัฒนา และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54768
Retail
การพัฒนารถส่งยาคูลท์ของประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร
ประเทศเกาหลีใต้นับได้ว่าเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีการผลิตหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่เซมิคอนดัคเตอร์ชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงแท่นขุดเจาะใหญ่ยักษ์ ล่าสุดเกาหลีใต้ก็ได้ภาคภูมิใจกับนวัตกรรมชิ้นใหม่ซึ่งก็คือ ตู้แช่เย็นขับเคลื่อนได้สำหรับใช้ส่งยาคูลท์ โดยตู้แช่เย็นขับเคลื่อนได้ขนาดเท่าอ่างอาบน้ำนี้ได้ถูกนำมาวิ่งบนท้องถนนเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้าที่จะมีรถส่งยาคูลท์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า บรรดาสาวยาคูลท์ต้องลากรถบรรทุกกล่องใส่น้ำแข็งแสนหนักที่มีขวดยาคูลท์แช่ไว้ไปตามบ้านต่างๆ เป็นเวลากว่าสิบๆ ปี สำหรับพวกเธอแล้วพาหนะหน้าตาแปลกประหลาดนี้ถือเป็นเทคโนลีล้ำสมัยที่ทำให้สาวยาคูลท์บางคนรู้สึกอึดอัด ลีชางซิมสาวยาคูลท์ที่ส่งยาคูลท์มากว่า 11 ปีได้กล่าวว่า “ฉันรู้สึกเหมือนเป็นลิงที่เกาะอยู่หลังตู้แช่เย็นเพราะผู้คนพากันมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ “ บริษัท Korea Yakult เริ่มส่งยาคูลท์ถึงประตูหน้าบ้านของชาวเกาหลีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1970 โดยนำโมเดลธุรกิจอันประสบความสำเร็จนี้มาจากญี่ปุ่น ปัจจุบันบริษัทขายยาคูลท์กว่า 12 ล้านขวดต่อวัน โดยสาวยาคูลท์กว่า 13,000 คนต้องออกตระเวนไปทั่วทุกมุมของประเทศ แม้กระทั่งบนเกาะที่ห่างไกลเพื่อส่งยาคูลท์ราคาขวดละ 15 เซนต์ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งให้ถึงหน้าประตูบ้านลูกค้า เจ้าพาหนะชิ้นใหม่ของสาวยาคูลท์นี้เกิดขึ้นจากการส่งสินค้าถึงหน้าบ้านที่เป็นจุดขายของยาคูลท์นั้นเริ่มถูกรุกโดยสินค้าของคู่แข่งที่เริ่มส่งสินค้าถึงหน้าบ้านลูกค้ามากขึ้นโดยอาศัยรถขนส่งสินค้าของร้านค้าปลีกออนไลน์ ในอนาคตยาคูลท์จึงมีแผนการทุ่มทุนกว่าอีก 67 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างรถส่งยาคูลท์แบบใหม่อีก 10,000 คันในปี 2017 การหาพาร์ตเนอร์ที่จะมาผลิตรถส่งยาคูลท์ก็เป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน เนื่องจากบรรดาผู้ผลิตต่างไม่เข้าใจว่ายาคูลท์ต้องการรถแบบไหนกันแน่ โดยยาคูลท์ไม่อยากได้รถยนต์หรือรถบรรทุก เพราะช่องทางการจำหน่ายโดยสาวยาคูลท์นั้นทำรายได้ให้บริษัทกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมด การใช้รถยนต์หรือรถบรรทุกจะไม่เข้ากับภาพลักษณ์เดิมของสาวยาคูลท์นัก ในตอนแรกทางบริษัทคิดถึงพาหนะที่หน้าตาคล้ายรถกอล์ฟ แต่ก็มาสะดุดเกี่ยวกับไอเดียในการทำพาหนะที่เป็นเหมือนตู้แช่เย็นที่สามารถแล่นไปตามท้องถนนได้ โดยยาคูลท์ได้สั่งให้ผู้ผลิตทำโมเดลกว่า 16 รูปแบบในเวลา 1 ปีกว่าจะหน้าตาของรถที่ถูกใจ yakult korea delivery cart (3) คิมเซียงยัง ผู้จัดการของยาคูลท์ได้กล่าวว่า การทำโปรเจ็คนี้เหนื่อยเอาการเลยทีเดียว ตอน Test Drive พนักงานก็ต้องวิ่งตามรถกันจ้าละหวั่นเพื่อป้องกันไม่ให้สาวยาคูลท์ตกจากรถ การเริ่มนำรถส่งยาคูลท์มาใช้จริงก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลย บริษัทต้องพบกับการติดขัดด้านกฏหมาย เพราะทางการไม่สามารถจัดประเภทได้ว่าเจ้าตู้แช่เคลื่อนที่นี้มันเป็นพาหนะประเภทไหน บรรดาพนักงานและผู้พัฒนารถส่งยาคูลท์ต้องวิ่งเรื่องกับทางรัฐบาลอยู่หลายรอบกว่าจะจดทะเบียนเจ้าสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ได้ โดยในตอนแรกทางการจะจัดประเภทเจ้าสิ่งนี้ไปอยู่ในหมวดหมู่รถจักรยานต์ติดมอร์เตอร์แต่ทาง Korea Yakult อยากให้จัดประเภทเป็นรถยนต์เพื่อที่จะสามารถวิ่งบนถนนได้โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านกฏหมาย หลังจากทำการค้นคว้าได้สักพักบริษัทก็พบว่า รถที่วิ่งได้ไม่เกิน 25 กิโลเมตรหรือ 15.5 ไมล์ต่อชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนแต่สามารถวิ่งบนถนนได้ โดยรถของยาคูลท์สามารถวิ่งเร็วสุดได้ 5 ไมล์ต่อชั่วโมง ทางการจึงยอมจัดประเภทยานพาหนะใหม่ของยาคูลท์ให้เป็นรถยนต์ และเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับที่เข้มงวดบริษัทจึงเลือกให้รถนี้ไม่มีที่นั่ง การที่รถยาคูลท์ไม่มีที่นั่งก็กลายเป็นประเด็นดราม่าได้เมื่อสามีของสาวยาคูลท์คนหนึ่งนำเก้าอี้มาติดกับตัวรถด้วยเชือกระโยงระยาง จนบริษัทต้องสั่งให้เอาออก บล็อกเกอร์คนหนึ่งยังเขียนคำถามเกี่ยวกับรถส่งยาคูลท์ใหม่นี้ว่า “ทำไมถึงไม่มีที่นั่งนะ มันจะเป็นรถที่เพอร์เฟ็คท์มากถ้าแค่เพิ่มเก้าอี้เข้าไปอีกหนึ่งตัว ตู้แช่เย็นเคลื่อนที่นี้สามารถบรรทุกยาคูลท์ได้กว่า 3,300 ขวด และมีการติดตั้งไฟหลังพร้อมกระจกมองข้าง ผู้ขับจะต้องมีใบขับขี่ โดยต้องขับชิดซ้ายเท่านั้นและห้ามขับบนฟุตบาท ปัจจุบันยาคูลท์ได้ปล่อยรถจำนวน 4,000 คันออกไปวิ่งบนท้องถนนแล้ว โดยการปล่อยรถที่ผ่านมามีปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากรถถูกตั้งให้มีเสียงเตือนปี๊ปๆ เมื่อถอยหลังโดยเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกที่มีรถยาคูลท์ 38 คันได้ก็พากันร้องเรียน ทางบริษัทก็ได้ออกมาตอบโต้กับเรื่องนี้ว่าเสียงเตือยตอนอยหลังไม่ใช่ข้อบังคับทางกฏหมายและสามารถเอาออกได้ yakult korea delivery cart (2) ทกวันนี้ ลีซางซิมสาวยาคูลท์รุ่นบุกเบิกยืนอยู่บนพาหนะคล้ายเซ็กเวย์ที่มีตู้แช่น้ำหนัก 485 ปอนด์ติดอยู่ข้าวหน้า เธอสามารถเลือกขับในความเร็วได้ 2 ระดับ คือช้าและเร็ว ซึ่งเธอเลือกเร็วเสมอ รถของเธอจะวิ่งด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมงและส่งยาคูลท์ไปยังบ้านกว่า 170 หลัง
การพัฒนารถส่งยาคูลท์ในเกาหลีใต้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนี้: 1.เริ่มต้นในปี 1970: Korea Yakult เริ่มส่งยาคูลท์ถึงหน้าบ้าน โดยสาวยาคูลท์ต้องลากรถบรรทุกน้ำแข็งที่หนักและไม่สะดวก 2.นวัตกรรมใหม่: เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่ใช้บริการขนส่งที่สะดวกกว่า, Korea Yakult พัฒนารถส่งยาคูลท์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและเปิดตัวในปีที่แล้ว 3.กระบวนการออกแบบ: บริษัททดลองแบบรถมากถึง 16 แบบ จนได้รูปแบบที่ตอบโจทย์ โดยรถนี้ไม่มีที่นั่งเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายที่เข้มงวด 4.ปัญหาทางกฎหมาย: ต้องเจรจากับรัฐบาลหลายครั้งเพื่อให้รถได้รับการจัดประเภทเป็นรถยนต์ที่สามารถวิ่งบนถนนได้ 5.ปัจจุบันและอนาคต: รถใหม่สามารถบรรทุกได้กว่า 3,300 ขวด ยาคูลท์และมีแผนที่จะผลิตรถใหม่อีก 10,000 คันในอนาคตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและความมุ่งมั่นในการให้บริการที่ดีขึ้นของ Korea Yakult
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54769
Retail
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณาบนสื่อดิจิทัลในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในปี 2559
null
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณาบนสื่อดิจิทัลในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในปี 2559 ดังนี้: 1. พฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียและยูทูป ผู้บริโภคใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีโอกาสเห็นโฆษณาดิจิทัลมากขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ทำให้นักการตลาดต้องหันมาโฆษณาสินค้าบนสื่อดิจิทัล 2. ประสิทธิภาพของสื่อดิจิทัล: สื่อดิจิทัลสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำกว่าสื่อแบบดั้งเดิม สื่อดิจิทัลสามารถวัดผลได้ชัดเจน ทำให้นักการตลาดสามารถติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาได้ สื่อดิจิทัลมีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย ทำให้นักการตลาดสามารถเลือกใช้รูปแบบโฆษณาที่เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย 3. การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตอย่างสูง ทำให้นักการตลาดต้องหันมาโฆษณาสินค้าบนสื่อดิจิทัล แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมีเครื่องมือโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ 4. การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก: ธุรกิจค้าปลีกมีการแข่งขันสูง ทำให้นักการตลาดต้องหาวิธีดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่า โฆษณาดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่า ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกออนไลน์ Lazada ลงโฆษณาบน Facebook และ YouTube เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ร้านค้าปลีกออฟไลน์ Central Department Store ลงโฆษณาบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของตัวเองเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่า สรุป: เม็ดเงินโฆษณาบนสื่อดิจิทัลในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในปี 2559 เนื่องมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ประสิทธิภาพของสื่อดิจิทัล การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54773
Retail
ช่วยสรุปบทความ แนวคิดสุดเก๋ Anti-Packaging ทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคหัวใจรักษ์สิ่งแวดล้อม
ป็นเวลากว่า 20 ปีที่เอเยนซี่ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแนะนำให้โลกได้รู้จักกับแนวคิด Precycling แต่ไม่ได้รับความสนใจจากชาวอเมริกัน ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากในยุโรปที่เป็นเจ้าของกิจการที่มีจริยธรรมและมีหัวใจด้านอนุรักษ์พยายามเปลี่ยนวิธีการช้อปปิ้งโดยนำเสนอร้านค้าแบบใหม่ที่ถูกวางระบบมาเป็นอย่างดี ในยุคสมัยที่พวกเราถูกตามใจจนเคยตัว และคุ้นชินกับการมีตัวเลือกมากมายในร้านขายของชำ แค่จะเลือกซื้อบะหมี่ก็มีหลายยี่ห้อให้ตัดสินใจ แต่ทฤษฎีนี้จะทำในสิ่งที่เชยเฉิ่ม คือมีตัวเลือกเพียง 1 หรือ 2 จากเจ้าของร้านเท่านั้น “มีข้าวเพียงแบบเดียวเท่านั้นในร้านของฉัน เพราะฉันไม่ต้องการให้มีการต่อสู้ของข้าวเกิดขึ้นในร้าน ฉันเลือกให้คุณแล้ว” Andrea Lunzer หนึ่งในเจ้าของร้านแนวใหม่นี้เปิดเผย ร้านของ Lunzer ออกแบบอย่างสวยงาม และมี Kathrina Dankl ดีไซน์เนอร์คนเก่งมาช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การซื้อสินค้าให้กับลูกค้าของเธอ “เราอยากให้มันหรูหราและเป็นมิตร เพราะนี่คือวิธีใหม่ในการที่คุณจะเลือกช้อปปิ้ง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งวิธีมันง่ายมาก เหมือนที่คุณยายเราคุ้นเคยในสมัยก่อน เวลาที่ท่านไปร้านขายของชำแถวบ้านที่สนิทกัน เราแค่ทำให้มันเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ให้เป็นที่ที่คุณจะสามารถตามใจตัวเองได้เหมือนเคย แต่มีสติในการซื้อแต่ละอย่างมากขึ้น” Judit Vidal และ Iban Àlvaro เป็นอีกคู่หนึ่งที่เปิดร้านขนาดใหญ่ถึง 12 ร้าน ประสบการณ์ด้านศิลปะและสถาปัตย์ช่วยให้พวกเขาออกแบบร้านค้าปลีกของเขาในแบบที่ต่างออกไป โถใส่คาราเมล เมล็กพืช น้ำมันมะกอก และน้ำผึ้งถูกจัดวางเอาไว้บนชั้นในระดับสายตา ในโหลแก้วใสไร้ซึ่งฉลากและบรรจุภัณฑ์ใดๆ ปล่อยให้สี และรูปทรงของมันโฆษณาตัวมันเอง ของบางอย่างอยู่บนชั้นสูง ที่ต้องปีนบันไดขึ้นไป เพิ่มสีสันในการช้อปให้กับกลุ่มวัยรุ่น ในขณะที่คนอายุเยอะก็ตั้งหน้าตั้งตาอยู่กับการกะปริมาณสิ่งของที่จะซื้อให้พอดีกับที่พวกเขาต้องการจริงๆ นอกจากนั้นยังมีร้านของ Gérard Bellet และ Jean Bouteille ที่ให้ลูกค้าของพวกเขารินน้ำส้มสายชู ไวน์ หรือน้ำยาซักผ้าใส่ขวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ลูกค้าต้องจ่ายค่าขวดเพียงเล็กน้อยและนำไปใช้ หลังจากนั้นทำความสะอาดและนำกลับมาซื้อของที่ร้านได้อีกจนกว่ามันจะแตก
มากกว่า 20 ปีที่เอเยนซี่ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแนะนำ Precycling แต่ไม่ได้รับความสนใจจากชาวอเมริกัน คนรุ่นใหม่ในยุโรปที่เป็นเจ้าของกิจการที่มีจริยธรรมและมีหัวใจด้านอนุรักษ์พยายามเปลี่ยนวิธีการช้อปปิ้ง โดยเปิดร้านค้าใหม่ที่ถูกวางระบบอย่างดี ร้านของ Andrea Lunzer ออกแบบสวยงามจากดีไซน์เนอร์ Kathrina Dankl เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อที่หรูหราและเป็นมิตร แนวคิดนี้เน้นไปที่การมีตัวเลือกน้อยลงเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เข้ากับยุคสมัย ตามใจตัวเองแต่มีสติในการเลือกซื้อ Judit Vidal และ Iban Àlvaro เปิด 12 ร้านขนาดใหญ่ ด้วยประสบการณ์ในศิลปะและสถาปัตย์,โถใส่คาราเมล, เมล็กพืช, น้ำมันมะกอก และน้ำผึ้งจัดวางไว้บนชั้น โหลแก้วใสไร้ฉลากยและบรรจุภัณฑ์ ชวนให้ผู้ช้อปเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อที่มีสีสัน ส่วนคนที่อายุมากตั้งสายตากับการกะปริมาณสินค้าเพื่อให้เข้ากับความต้องการของตน Gérard Bellet และ Jean Bouteille มีร้านที่ให้ลูกค้าซื้อน้ำส้มสายชู, ไวน์, หรือน้ำยาซักผ้าใส่ขวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ และลูกค้าจะจ่ายค่าขวดเล็กน้อยและนำมาซื้อของในร้านได้อีกจนกว่ามันจะแตก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54784
Retail
จงสรุปบทความ บิ๊กซี เปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์มินิ บิ๊กซี
บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน) พร้อมแตกไลน์มินิ บิ๊กซี เปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ และใช้พื้นที่ในการลงทุนไม่มาก เนื่องจากร้านมินิบิ๊กซีเป็นโมเดลที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันให้เป็น one stop service โดยสินค้าเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมาย แม่บ้าน คนทำงาน และกลุ่มคนที่พักอาศัยในชุมชนที่ต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกอย่างครบครัน โดยอาศัยจุดแข็งด้านราคา ทำให้เเตกต่างจากคู่เเข่งในกลุ่มคอนวีเนียนสโตว์ได้อย่างชัดเจน ภายใต้คอนเซ็ปต์ สะดวก ใกล้บ้านคุณ โดยแฟรนไชส์สาขาแรกเปิดอย่างเป็นทางการไปแล้ว คือ สาขา The Station ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน) พร้อมแตกไลน์มินิ บิ๊กซี เปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ และใช้พื้นที่ในการลงทุนไม่มาก เนื่องจากร้านมินิบิ๊กซีเป็นโมเดลที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันให้เป็น one stop service โดยสินค้าเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมาย แม่บ้าน คนทำงาน และกลุ่มคนที่พักอาศัยในชุมชนที่ต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกอย่างครบครัน โดยอาศัยจุดแข็งด้านราคา ทำให้เเตกต่างจากคู่เเข่งในกลุ่มคอนวีเนียนสโตว์ได้อย่างชัดเจน ภายใต้คอนเซ็ปต์ สะดวก ใกล้บ้านคุณ โดยแฟรนไชส์สาขาแรกเปิดอย่างเป็นทางการไปแล้ว คือ สาขา The Station ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง วารุณี กิจเจริญพูลสิน ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องพัฒนาช่องทางการขาย ให้สามารถรองรับกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป สำหรับบิ๊กซีนั้นได้ให้ความสำคัญที่จะนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้าเสมอและ เปิดโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจที่มั่นคงด้วยการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์มินิบิ้กซี โดยบริษัทได้นำระบบสนับสนุนการทำธุรกิจเพื่อรองรับในทุกด้านและคอยให้คำปรึกษาการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และรับผลประโยชน์ด้านเงื่อนไขที่แตกต่างจากแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อทั่วไป เพราะเราต้องการให้ผู้ที่สนใจการเป็นเจ้าของธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อมๆกันได้อย่างเเท้จริง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของบิ๊กซีที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการเเข่งขันในกลุ่มคอนวีเนียนสโตว์ วารุณี กิจเจริญพูลสิน ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องพัฒนาช่องทางการขาย ให้สามารถรองรับกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป สำหรับบิ๊กซีนั้นได้ให้ความสำคัญที่จะนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้าเสมอและ เปิดโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจที่มั่นคงด้วยการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์มินิบิ้กซี โดยบริษัทได้นำระบบสนับสนุนการทำธุรกิจเพื่อรองรับในทุกด้านและคอยให้คำปรึกษาการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และรับผลประโยชน์ด้านเงื่อนไขที่แตกต่างจากแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อทั่วไป เพราะเราต้องการให้ผู้ที่สนใจการเป็นเจ้าของธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อมๆกันได้อย่างเเท้จริง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของบิ๊กซีที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการเเข่งขันในกลุ่มคอนวีเนียนสโตว์ โดยโมเดลของ แฟรนไชส์มินิบิ๊กซี จะ มี ขนาดพื้นที่ คือ ขนาดมาตรฐานใช้พื้นที่เฉลี่ย 80 -120 ตรม. และขนาดถึง 160 ตรม.โดยใช้จุดแข็งด้านราคาและจำนวนสินค้าที่มีหลากหลาย มากกว่า 5,000 รายการ โดยถือเป็นข้อได้เปรียบของร้านมินิ บิ๊กซี ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และเป็นตัวเลือกให้กับกลุ่มแม่บ้าน คนทำงาน หรือ กลุ่มคนที่พักอาศัยในชุมชน ที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่สะดวกเดินทางไกล แต่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ครบครัน ในจำนวนเงินที่คุ้มค่าคุ้มราคากว่า โดยโมเดลของ แฟรนไชส์มินิบิ๊กซี จะ มี ขนาดพื้นที่ คือ ขนาดมาตรฐานใช้พื้นที่เฉลี่ย 80 -120 ตรม. และขนาดถึง 160 ตรม.โดยใช้จุดแข็งด้านราคาและจำนวนสินค้าที่มีหลากหลาย มากกว่า 5,000 รายการ โดยถือเป็นข้อได้เปรียบของร้านมินิ บิ๊กซี ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และเป็นตัวเลือกให้กับกลุ่มแม่บ้าน คนทำงาน หรือ กลุ่มคนที่พักอาศัยในชุมชน ที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่สะดวกเดินทางไกล แต่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ครบครัน ในจำนวนเงินที่คุ้มค่าคุ้มราคากว่า ในส่วนโปรโมชั่นจะแตกต่างกับบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ต เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่สร้างความเเตกต่างอย่างชัดเจนเหมือนย่อบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ตให้ขนาดเล็กลงมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เหมาะกับชุมชน ในส่วนโปรโมชั่นจะแตกต่างกับบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ต เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่สร้างความเเตกต่างอย่างชัดเจนเหมือนย่อบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ตให้ขนาดเล็กลงมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เหมาะกับชุมชน ซึ่งเเนวทางการขยายธุรกิจ มินิ บิ๊กซี ส่วนหนึ่งจะดึงรูปแบบ (โมเดล) ความสำเร็จของธุรกิจ มินิ บิ๊กซี ที่ลงทุนเองมาต่อยอดเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ต่อไป และหลังจากที่เราเริ่มเปิดตัวแฟรนไชส์ของมินิบิ้กซีไปเป็นที่แรก ขณะนี้ได้มีนักธุรกิจได้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากและได้ติดต่อเข้ามาเพื่อร่วมทำธุรกิจกับบิ้กซี อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาคุณภาพควบคู่ไปกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นขยายเเบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อยืนหยัดการเป็น “ห้างค้าปลีกในใจชุมชน” โดยวางเป้าหมาย จะขยายจำนวนมินิบิ๊กซี ในปี 2559 ทั้งหมด 75 สาขา ซึ่งรวมทั้งรูปแบบแฟรนไชส์และที่ลงทุนเอง ซึ่งเเนวทางการขยายธุรกิจ มินิ บิ๊กซี ส่วนหนึ่งจะดึงรูปแบบ (โมเดล) ความสำเร็จของธุรกิจ มินิ บิ๊กซี ที่ลงทุนเองมาต่อยอดเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ต่อไป และหลังจากที่เราเริ่มเปิดตัวแฟรนไชส์ของมินิบิ้กซีไปเป็นที่แรก ขณะนี้ได้มีนักธุรกิจได้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากและได้ติดต่อเข้ามาเพื่อร่วมทำธุรกิจกับบิ้กซี อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาคุณภาพควบคู่ไปกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นขยายเเบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อยืนหยัดการเป็น “ห้างค้าปลีกในใจชุมชน” โดยวางเป้าหมาย จะขยายจำนวนมินิบิ๊กซี ในปี 2559 ทั้งหมด 75 สาขา ซึ่งรวมทั้งรูปแบบแฟรนไชส์และที่ลงทุนเอง สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจเเฟรนไชส์ สามารถเปิดได้ในทำเลของตนเองหรือมีห้องเเถวอยู่เเล้ว หากสนใจทำธุรกิจมินิ บิ๊กซีแฟรนไชส์สามารถติดต่อได้ที่ 02-655 0666 ต่อ 4272 สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจเเฟรนไชส์ สามารถเปิดได้ในทำเลของตนเองหรือมีห้องเเถวอยู่เเล้ว หากสนใจทำธุรกิจมินิ บิ๊กซีแฟรนไชส์สามารถติดต่อได้ที่ 02-655 0666 ต่อ 4272 ปัจจุบัน บิ๊กซีมีจำนวนไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา (บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้าและบิ๊กซี จัมโบ้) บิ๊กซี มาร์เก็ต 55 สาขา มินิบิ๊กซี 394 สาขา และร้านขายยาเพรียว 146 สาขา ปัจจุบัน บิ๊กซีมีจำนวนไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา (บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้าและบิ๊กซี จัมโบ้) บิ๊กซี มาร์เก็ต 55 สาขา มินิบิ๊กซี 394 สาขา และร้านขายยาเพรียว 146 สาขา
บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์มินิ บิ๊กซี โดยแฟรนไชส์สาขาแรกได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว ซึ่งก็คือสาขา The Station ที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง มีขนาดการใช้พื้นที่มาตรฐานเฉลี่ย 80 -120 ตรม. ไปจนถึง 160 ตรม. ภายใต้คอนเซ็ปต์สะดวก ใกล้บ้านคุณ เน้นเจาะกลุ่มแม่บ้าน คนทำงาน และกลุ่มคนที่พักอาศัยในชุมชนที่ต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีให้เลือกหลากหลาย ครบครันกว่า 5,000 รายการ ในราคาประหยัด โดยอาศัยจุดแข็งด้านราคาเป็นหลัก สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์จะได้รับการสนับสนุนในการทำธุรกิจจากบิ๊กซี รวมทั้งการรับคำปรึกษาในการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และรับผลประโยชน์ด้านเงื่อนไขที่แตกต่างจากแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อทั่วไป
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54792
Retail
ช่วยสรุปบทความ 10 เทรนด์กำหนดทิศทาง E-commerce ใน Southeast Asia ปี 2016
เราลองมาดูทิศทางในปี 2016 กับ 10 แนวโน้มที่สามารถเกิดขึ้นได้ในตลาด E-commerce ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1. Brand.com จะเป็นเทรนด์ใหม่ของช่องทางขายออนไลน์ แม้ว่าแบรนด์ต่างๆ จะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แต่ส่วนมากเป็นไปในเชิงของการนำเสนอข้อมูลสินค้า ที่ผ่านมาในสหรัฐและจีน เริ่มมีการขายของบนเว็บไซต์หลักของแบรนด์ โดยเริ่มจากการที่เข้าไปยังเว็บไซต์ E-commerce ต่างๆ เช่น eBay, Amazon, Taobao แล้วถูกลิงค์ไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์โดยตรง เช่น Nike, J.Crew หรือ Gap เป็นต้น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง ก็กำลังจะเดินตามรอยนั้น แบรนด์จะเริ่มทำเว็บไซต์ของตัวเองให้มีลักษณะเป็น E-commerce มากขึ้น สามารถเกิดการซื้อขายได้ภายในไซต์นั้นๆ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาด เพราะมีข่าวมาว่า Unilever Thailand กำลังวางกลยุทธ์ E-commerce นี้เพื่อจะเริ่มใช้ในปี 2016 2. หมดยุค E-commerce เพราะต่อไปจะมีแค่ Commerce ถึงเวลาที่การค้าแบบ offline และ online ต้องประสานกันเป็นหนึ่ง ในปีนี้มีแนวโน้มว่าผู้ค้าแบบ offline จะผันตัวเองมาจับการค้าผ่านช่องทาง online มากขึ้นเพราะระบบมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้การขายของ online เป็นเรื่องง่ายขึ้น และมีบริการต่างๆ ที่ใช้งานง่ายเต็มรูปแบบ สำหรับผู้ค้าที่ขายแบบ onliine อยู่แล้วนั้น จะดีมากขึ้นถ้าสามารถพัฒนาการค้าให้เป็นไปในแบบ offline ได้มากขึ้น เช่น ในแง่ของการขนส่งที่รวดเร็ว Nguyen Kim ผู้ขายสินค้าอิเล็กทรอนิกออนไลน์ในเวียดนาม เป็นตัวอย่างที่ดี เขาสามารถส่งสินค้าให้ไปถึงลูกค้าได้ภายใน 4 ชั่วโมงในวันเดียวกัน เพราะประสบการณ์ที่มีจากการค้าแบบออฟไลน์ และผู้ที่จะได้เปรียบในสถานการณ์นี้มากที่สุด ก็คือผู้ค้าที่มีทั้ง 2 ช่องทางอยู่ในมืออยู่แล้ว เช่น MatahariMall, Cdiscount และ Central 3. ตลาด Niche ทั้งหลาย จะหลีกเลี่ยงการท้าชนของการค้าแบบ B2C ปีนี้จะเป็นปีแห่ง Creative E-Commerce การขายสินค้าจะแข่งกันด้วยความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น นอกจากนั้น B2C หรือการค้าแบบไม่มีคนกลาง ยังคงเป็นลักษณะการค้าที่แข็งแกร่งที่สุด แต่การชนะได้ในตลาดอาจต้องมีจุดเด่นบางอย่างเพื่อดึงดูด ปีนี้เราคาดหวังว่าหลายๆ แบรนด์จะแข่งกันด้วยความสร้างสรรค์ ความสดใหม่ และความแตกต่าง เช่น Pomelo ที่ขายสินค้าแฟชั่นซึ่งออกแบบเอง ผลิตเองและขายเองเพื่อสร้างข้อได้เปรียบด้านความแตกต่างและมีเอกลักษณ์กว่าคู่แข่ง มีภาพลักษณ์แบรนด์ที่ชัดเจน เพื่อต่อสู้ในตลาด E-Commerce ในกลุ่มแฟชั่น 4. E-commerce ข้ามแดนจะถูกขับเคลื่อนโดย Silk Road 2.0 ไม่ใช่ AEC แม้ภาครัฐจะผลักดันและสนับสนุน AEC มากแค่ไหน แต่เรายังคงเชื่อว่า AEC ไม่ส่งผลกับตลาด E-Commerce ระหว่างประเทศเท่าใดนัก แม้แต่ประเทศในกลุ่ม AEC เอง แต่สิ่งที่จะขับเคลื่อนการค้าออนไลน์แบบข้ามชาติน่าจะเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า Silk Road 2.0 หรือที่หมายถึงเส้นทางการค้ากับจีนต่างหากที่จะกระตุ้นให้ E-Commerce ระหว่างประเทศภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง 5. การจ่ายเงินปลายทางยังเป็นที่นิยมที่สุดใน Southeast Asia สหรัฐและจีนต่างมีระบบการจ่ายเงินออนไลน์ผ่านคนกลางที่มีระบบในการรับจ่ายค่าสินค้าที่แข็งแกร่งและเป็นที่นิยมอย่าง Paypal และ Alipay แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีผู้ให้บริการใดได้รับความไว้วางใจจนเป็นที่นิยมในระดับนั้น แม้ว่าจะมีหลายเจ้าพยายามเปิดช่องทางการชำระเงินผ่านตัวแทน โดยกล่าวถึงความสะดวกสบายที่ผู้ใช้งานจะได้รับ แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ยังคงชอบที่จะชำระเงินปลายทางมากที่สุด 6. ความแผ่วลงของผู้ขายสินค้าแฟชั่นออนไลน์ ผู้ค้าหลายรายที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นโดยเฉพาะทางออนไลน์ เช่น Zalora จะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากร้านค้าออนไลน์ในช่องทางอื่นๆ เช่น Facebook หรือ Instagram ที่มีสินค้าประเภทเดียวกันมากมายหลายระดับราคาให้เลือก 7. ช่องทางโฆษณาใหม่ๆ ที่จะท้าทายด้านมืดของ Google และ Facebook ค่าโฆษณาของ Google และ Facebook ที่แพงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาทำให้เราเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้จะมีบริษัทและผู้ประกอบการคิดค้นแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการลงโฆษณาและทำการตลาดนอกเหนือไปจาก Facebook และ Google 8. คนกลางส่งสินค้ายังสำคัญ แม้ว่าปีที่ผ่านมาผู้ค้าหลายรายเช่น Lazada หรือ MatahariMall เริ่มหันมาลงทุนในด้านการส่งสินค้าด้วยด้วยเอง โดยพยายามมีบริษัทส่งสินค้าของตัวเองเพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ แต่ในปี 2016 นี้ คนกลางในการส่งอย่างบริษัทใหญ่ๆ เช่น DHL, Kerry logistic, JNEs ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางเพื่อขนส่งสินค้าสู่ผู้บริโภค แต่สุดท้ายแล้วบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการขนส่งแบบค้าปลีก พวกเขามักเชี่ยวชาญกับการขนส่งระหว่างธุรกิจมากกว่า นั่นหมายความว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเรื่องการส่งสินค้าในเร็ววัน 9. การจัดการ Channel จะเป็นแบบ Programmatic มากขึ้น ในปีนี้การแข่งขันเพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารหรือโฆษณาไปยังผู้บริโภคจะเป็นแบบ Programmatic มาขึ้น คือจะใช้โปรแกรมและเทคโนโลยีในการเลือกลงสื่อเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด ต่างจากการใช้เอเจนซี่ในแบบเดิม และไม่ใช่แค่ในรูปแบบ Display ads เพื่อความสวยงาม แต่การใช้ Programmatic Advertising จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากกับธุรกิจ E-commerce 10. สงครามของความสามารถเริ่มต้นขึ้นแล้ว การแข่งขันในตลาด E-commerce จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อจะเติบโตในธุรกิจได้อย่างแข็งแรง ดังนั้นบุคลากรจึงเป็นสิ่งสำคัญ บริษัท E-commerce ทั้งหลายจำเป็นต้องพัฒนาตัวเอง และมองหาบุคลากรที่มีความสามารถอย่างแท้จริง เพื่อพัฒนาและรักษาให้อยู่กับองค์กรต่อไปนานๆ เพราะคนที่มีพรสวรรค์ย่อมหาโอกาสในการก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ และหากไม่รักษาไว้ให้ดีเขาเหล่านั้นก็อาจหาโอกาสในการไปก้าวหน้าที่อื่นก็เป็นได้
ปี 2016 กับ 10 แนวโน้มที่สามารถเกิดขึ้นได้ในตลาด E-commerce ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1. Brand.com เป็นเทรนด์ใหม่ของช่องทางขายออนไลน์ แม้จะมีเว็บไซต์ของตัวเอง แต่มีการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ E-commerce เช่น eBay, Amazon, Taobao ไปยังเว็บไซต์แบรนด์เอง เช่น Nike, J.Crew, และ Gap ในสหรัฐฯและจีน ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, แบรนด์กำลังเริ่มสร้างเว็บไซต์ E-commerce เป็นของตัวเองมากขึ้น เพื่อทำให้เกิดการซื้อขายภายในไซต์ได้ โดยที่ข่าวลือบอกว่า Unilever Thailand กำลังเตรียมลงทุนในกลยุทธ์ E-commerce นี้ตั้งแต่ปี 2016 2.E-commerce จะเปลี่ยนเป็น Commerce เนื่องจากการค้า offline และ online จะประสานกันมากขึ้น เนื่องจากระบบที่พัฒนาขึ้นสำหรับการขาย online ทำให้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ค้า online, การพัฒนาการค้า offline เป็นทางเลือกที่ดี เช่น Nguyen Kim ในเวียดนามที่สามารถส่งสินค้าถึงลูกค้าในวันเดียวกันภายใน 4 ชั่วโมง 3.ตลาด Niche หลีกเลี่ยงการแข่งขัน B2C ปีนี้เน้น Creative E-Commerce การขายสินค้ามีการแข่งขันในความคิดสร้างสรรค์ ต้องมีจุดเด่นเพื่อดึงดูด เช่น Pomelo ที่เน้นความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ในการขายแฟชั่นออกแบบและผลิตเอง เพื่อแข่งขันในตลาด E-Commerce แฟชั่นในปีนี้ 4.E-commerce ข้ามแดนจะต้องพัฒนาตาม Silk Road 2.0 ไม่ใช่ AEC ภาครัฐมีการสนับสนุน AEC แต่ไม่มีผลต่อตลาด E-Commerce ระหว่างประเทศ Silk Road 2.0 จะเป็นแรงขับเคลื่อนการค้าออนไลน์ข้ามชาติ, เช่น การค้ากับจีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 5.การจ่ายเงินปลายทางยังคงเป็นที่นิยมใน Southeast Asia สหรัฐและจีนมีระบบการจ่ายเงินออนไลน์ที่แข็งแกร่ง เช่น Paypal และ Alipay แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีผู้ให้บริการที่ได้รับความไว้วางใจในระดับนั้น ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ยังคงชอบจ่ายเงินปลายทางมากที่สุด 6.ผู้ขายสินค้าแฟชั่นออนไลน์ เช่น Zalora ได้รับผลกระทบ จากทาง Facebook หรือ Instagram ที่มีสินค้าแฟชั่นเดียวกันมีหลายราคาให้เลือก 7.ช่องทางโฆษณาใหม่ที่ท้าทาย Google และ Facebook เนื่องจากค่าโฆษณาของทั้งสองแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นตลอดเวลา น่าจะมีบริษัทและผู้ประกอบการคิดค้นแพลตฟอร์มใหม่เพื่อเป็นทางเลือกในการโฆษณา 8.การส่งสินค้าโดยคนกลางยังคงเป็นสำคัญ แม้ Lazada และ MatahariMall จะลงทุนในการส่งสินค้าด้วยตนเอง บริษัทขนส่งใหญ่ เช่น DHL, Kerry logistic, JNEs ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางในการขนส่งสินค้า นั่นหมายความว่า การพัฒนาการส่งสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงยังจำเป็นต้องพัฒนา 9.การจัดการ Channel กำลังเลื่อนไปสู่แบบ Programmatic มากขึ้น ในปีนี้การแข่งขันในการกระจายข้อมูลหรือโฆษณาไปยังผู้บริโภคเป็นแบบ Programmatic โดยใช้โปรแกรมและเทคโนโลยี เพื่อเลือกลงสื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ดีที่สุดและคุ้มค่ามากที่สุด น่าจะมีประโยชน์มากในธุรกิจ E-commerce ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด 10.การแข่งขันในตลาด E-commerce จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความสามารถจริง เพื่อพัฒนาและต้องรักษาให้อยู่กับองค์กรได้นาน เพราะคนที่มีพรสวรรค์ย่อมหาโอกาสในการก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ และหากไม่รักษาไว้ให้ดีเขาอาจหาโอกาสในที่อื่นได้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54794
Retail
โปรดสรุปบทความ เครือเซ็นทรัล กรุ๊ป จับมือเหงียนคิม เปิดตัว B2S สาขาแรกในเวียดนาม
“กลุ่มซีโอแอล” ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป ขยับทัพรุกอาเซียน จับมือพันธมิตร “เหงียนคิม” ขยายกิจการสู่เวียดนามนำร่องรุกตลาดเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน เต็มสูบโดยใช้โมเดลธุรกิจ ผสมผสานออฟฟิศเมท และ B2S (บีทูเอส) ภายใต้แบรนด์ B2S (บีทูเอส) ทำตลาด เปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม พร้อมช่องทางการขายออนไลน์ และคอลเซ็นเตอร์ครบวงจร คุณวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของการขยายธุรกิจต่างประเทศ จะให้ความสำคัญกับตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเวียดนามเป็นประเทศแรกที่ “กลุ่มบริษัท ซีโอแอล” ได้ดำเนินการลงทุน เนื่องจากเวียดนามมีประชากร 95 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับที่14 ของโลก, มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP เติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ย 6.2% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2000 – 2016 และมีความมั่นคงด้านการเมือง การทำตลาดในครั้งนี้ได้มีการใช้โมเดลการทำธุรกิจผสมผสานนำสินค้าของ “ออฟฟิศเมท” และ “B2S” (บีทูเอส) มารวมไว้ในที่เดียว ภายใต้แบรนด์ B2S (บีทูเอส) โดยสาขาแรกอยู่ในเขตถูดึ๊ก นครโฮจิมินห์ มีพื้นที่ 4 ชั้น รวมทั้งสิ้น 900 ตารางเมตร ครบครันไปด้วยอุปกรณ์เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานที่หลากหลายกว่า 6,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน ชั้นวางหนังสือ เครื่องอ่านบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสำนักงาน เช่น กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษโน้ต ปากกา และแฟ้มใส่เอกสาร เป็นต้น โดยบริเวณที่ตั้งของร้านในเขตถูดึ๊ก เป็นเขตที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถึง 4 แห่ง และบริเวณใกล้เคียงได้มี กลุ่มมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่รวมกันมากกว่า 9 แห่ง นับเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีและ สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทั้งกลุ่มสำนักงานและกลุ่มนักเรียนนักศึกษาได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้แนวทางการใช้โมเดลผมผสานสินค้าจากออฟฟิศเมท และ B2S (บีทูเอส) ไม่เพียงแต่จำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนเท่านั้น ภายในร้านยังมีสินค้าที่ทันสมัย โดนใจเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของชาวเวียดนาม ได้แก่ สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าทำมือ ของขวัญและเครื่องประดับ งานศิลปะและงานฝีมือ กระเป๋าแฟชั่น และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังคุณภาพดี จัดจำหน่ายอีกด้วย โดยภายในร้านได้จัดเตรียมพื้นที่ Co-working space บนชั้น 4 ไว้สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ และมีมุมคิดสร้างสรรค์งานซึ่งออกแบบมาเพื่อเด็กและเยาวชน นอกจากการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก B2S (บีทูเอส) ยังมีช่องทางการขายอื่นที่สะดวกสบาย ได้แก่ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลข 1900 1919 ทีมงานฝ่ายขายธุรกิจ B2B มืออาชีพ และช่องทางออนไลน์ที่ www.b2s.com.vn พร้อมบริการส่งฟรีถึงที่ ตามเงื่อนไขที่กำหนด “ปัจจุบัน บริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียนของประเทศเวียดนามหลายแห่งกำลังเดินหน้าลงทุนขยายฐานการผลิตสินค้าเครื่องเขียนให้ครอบคลุมตลาดภายในประเทศที่มีจำนวนประชากรมากกว่า 90 ล้านคน การเปิดร้าน B2S (บีทูเอส) ซึ่งเป็นศูนย์รวมอุปกรณ์เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานแห่งแรกในเวียดนามนี้ จึงถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับอุตสาหกรรมและผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียนภายในประเทศสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป พร้อมกันนั้นยังเป็นการช่วยสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพของประเทศเวียดนามให้เจริญก้าวหน้าตามยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้ต่อไป” คุณวรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
กลุ่มซีโอแอล ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป จับมือเหงียนคิม ขยายธุรกิจสู่เวียดนามรุกตลาดเครื่องเขียน และอุปกรณ์สำนักงานภายใต้แบรนด์ B2S (บีทูเอส) โดยใช้โมเดลผสมผสานระหว่างออฟฟิศเมท และ B2S เปิดสาขาแรกในเวียดนามอย่างเป็นทางการที่เขตถูดึ๊ก นครโฮจิมินห์ โดยมีช่องทางการขายออนไลน์ และคอลเซ็นเตอร์แบบครบวงจร จำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานกว่า 6,000 รายการ ทั้งโต๊ะทำงาน ชั้นวางหนังสือ เครื่องอ่านบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษโน้ต ปากกา แฟ้มใส่เอกสาร รวมไปถึงสินค้าอื่นๆ อย่างของตกแต่งบ้าน สินค้าทำมือ ของขวัญและเครื่องประดับ งานศิลปะและงานฝีมือ กระเป๋าแฟชั่น รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง ซึ่งเหตุผลที่เลือกเปิดในเขตถูดึ๊ก ก็เพราะเป็นเขตที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 4 แห่ง และบริเวณใกล้เคียงมีมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนามรวมกันมากกว่า 9 แห่ง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54797
Retail
“REV RUNNR” เลือกกลยุทธ์ทางการค้าปลีกที่เหมาะสมกับตลาดรองเท้าวิ่งในประเทศไทยหรือไม่?
null
เหมาะสม เหตุผล: การวิ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยม: - เริ่มต้นได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์มาก - เหมาะกับทุกเพศทุกวัย - ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ - กระแสใน Social Media - เทคโนโลยี Gadget เกี่ยวกับกีฬา ตลาดรองเท้าวิ่งมีขนาดใหญ่และเติบโต: - มูลค่า 2,500 ล้านบาท - อัตราการเติบโต 15 – 20% ต่อปี - สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน REV RUNNR เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย: - ให้ความสำคัญกับรายละเอียดอุปกรณ์การวิ่ง - ต้องการสินค้าหลากหลาย - ต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ กลยุทธ์ทางการค้าปลีกของ REV RUNNR ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค: - จำหน่ายสินค้าเฉพาะทางเกี่ยวกับการวิ่ง - มีแบรนด์ให้เลือกหลากหลาย - นำเทคโนโลยี RunTime treadmill มาใช้ - ตั้งเป้าเป็น Community สำหรับคนรักการวิ่ง รูปแบบสาขาที่หลากหลาย: - Stand Alone - Shop in Shop - Outlet ขยายสาขาไปยังโลเกชั่นสำคัญ: - ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ - แหล่งช้อปปิ้งที่มีคนนิยม อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ REV RUNNR ควรพิจารณาเพิ่มเติม เช่น: การแข่งขันในตลาด: - ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Ari Running Concept Store - ร้านค้าออนไลน์ การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง: - ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำ - สร้างความภักดีต่อแบรนด์ กลยุทธ์ด้านราคา: - แข่งขันกับร้านค้าออนไลน์ - ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยสรุป REV RUNNR เลือกกลยุทธ์ทางการค้าปลีกที่เหมาะสมกับตลาดรองเท้าวิ่งในประเทศไทย มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ต้องติดตามผลและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54798
Retail
กรุณาสรุปบทความ เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ปรับแผนยกระดับตัวเองให้เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
จะเรียกว่า “ไฟแรง” หรือเพราะกลายเป็นบริษัทที่จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์” เลยทำให้ “เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป” ต้องลุกมาขยายธุรกิจเชิง “รุก”มากขึ้น เมื่อการแถลงแผนการดำเนินธุรกิจล่าสุด หัวเรือใหญ่แห่งศูนย์ค้าส่งแฟชั่นยักษ์ใหญ่ ออกมาประกาศ “วิสัยทัศน์ใหม่” หวังนำองค์กรเติบโตไปข้างหน้า “ชาญชัย พันธุ์โสภา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาศูนย์ค้าส่งแห่งนี้ยังไม่ถึงปี แต่ก็เดินหน้าปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขยับขยายธุรกิจใหม่ ประกาศตัวขอยกระดับให้ “เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป” กลายเป็น “ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร” แตกต่างจากวิชั่นเก่าก่อน ที่นิยามตัวเองว่าเป็นบริษัทที่บริหารจัดการศูนย์แฟชั่นค้าส่ง เพียงเท่านั้น ชาญชัย พันธุ์โสภา ปัจจัยที่ต้องปรับเปลี่ยนวิชั่นนั้นมีมากมาย อันได้แก่ การมองการเติบโตของบริษัท หลังนำพาธุรกิจเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ครบขวบปีเรียบร้อยแล้ว การแข่งขันในสมรภูมิอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงไม่ขาดสาย โดยเฉพาะบรรดาผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่คืบคลานเข้ามาอยู่ในธุรกิจเดียวกันมีมากหน้าหลายตา แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือบริษัทเหล่านั้นล้วนเป็น “ยักษ์ใหญ่” ที่พรั่งพร้อมทุนและองค์ความรู้ บริษัทจึงอยู่นิ่งไม่ได้อีกต่อไป การปรับตัวจึงเกิดขึ้น เพื่อรับมือรูปการดังกล่าว เพราะหากกวาดสายตาไปยังตลาดอสังหาริมทรัพย์ และโฟกัสไปที่ภาคค้าปลีก ผู้เล่นแต่ละรายไม่ธรรมดา หนาทั้งเงินทุน ที่ดิน และบุคลากร เช่น กลุ่มเซ็นทรัล, เดอะ มอลล์ กรุ๊ป, สยามพิวรรธน์, เอ็ม บี เค กรุ๊ป, เกษร เป็นต้น นี่ยังไม่นับบรรดาค้าปลีกประเภทอื่นๆ วันนี้ยังมีความพยายามของ “บิ๊กคอร์ป” อีกหลายรายที่ต้องพยายามจะเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ เช่น กลุ่มซีพี แม้จะมีแต้มต่อของการเป็น “ผู้นำร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น” แล้วก็ตาม แต่ในภาพศูนย์การค้า ที่เห็นจริงจังคือ “ไอคอนสยาม” ที่ผนึกกับสยามพิวรรธน์นั่นเอง ภาพที่เห็น ยังไม่นับรวมไปถึงผู้ประกอบการอสังหาฯประเภทอื่นๆ ที่พยายามจะเข้ามารุกค้าปลีก เพื่อขยายความยิ่งใหญ่ จึงไม่แปลกที่ปัจจัยข้างต้นจะบีบให้ธุรกิจต้อง “ปรับกลยุทธ์” วางหมากรบกันใหม่ “เราจะไม่ใช่ผู้บริหารจัดการห้างค้าส่งอีกต่อไป แต่จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เน้นองค์รวมของการพัฒนา” องค์รวมที่ว่า ประกอบด้วย การพัฒนาค้าปลีก นอกจากศูนย์ค้าส่งเดอะ แพลทินัม เร็วๆนี้ จะได้เห็นภาพใหม่ คือการชิมลางศูนย์การค้า “เดอะ มาร์เก็ต” ซึ่งบริษัททุ่มเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 5,800 ล้านบาท เนรมิตทำเลทองใจกลางราชดำริ เพื่อจับกลุ่มลูกค้าระดับ B ซึ่งปี 2561 จึงจะได้ยลโฉมและช้อปปิ้ง ที่น่าสนใจพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีแค่ค้าปลีก แต่กันพื้นที่ส่วนหนึ่งเพื่อพัฒนาโรงแรม และอาคารสำนักงาน(ออฟฟิศ)เพิ่มเติมความครบวงจรกลายเป็นโครงการแบบผสมผสาน(มิกซ์ยูส) นี่คือภาพคร่าวที่จะเห็นในอนาคต อนาคตสิ่งที่มองเพิ่มเติมคือการพัฒนาที่อยู่อาศัย แม้ยังไม่ระบุโปรเจ็คต์แรก แต่ได้ส่งสัญญาณมั่นเหมาะว่าภายใน 5 ปี ความครบเครื่องของเดอะ แพลทินัม กรุ๊ป เกิดขึ้นแน่นอน ส่วน “นิคมอุตสาหกรรม” เป็นอสังหาริมทรัพย์อีกประเภท แต่การพัฒนานี้ไม่มีอยู่ในวิสัยของทีม แผนธุรกิจเป็นรูปเป็นร่าง จะส่งผลต่อรายได้ในอนาคตให้เติบโตเป็นอัตรา 2หลัก โดยคาดการณ์ปี 2561 หากการพัฒนาลุล่วงแล้วเสร็จ “ตัวเลขรายได้ไม่ควรต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท” จากปี 2558 มีรายได้มากกว่า 1,768 ล้านบาท เติบโต 32%และมีกำไรสุทธิ 630 ล้านบาท เติบโต 44% “ชาญชัย” อาจเป็น “มือใหม่” ในเดอะ แพลทินัม กรุ๊ป แต่แท้จริงแล้ว เขาอยู่ในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทค้าปลีกมานานทั้งบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เป็นต้น ยุทธศาสตร์ใหม่ ในบ้านหลังใหม่ ความสำเร็จของ “แม่ทัพชาญชัย” กำลังถูกรอพิสูจน์ กับปฏิบัติการปรับตัวท้าชนยักษ์! The Market โดย : นายบุญจันทร์
เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ปรับแผนยกระดับตัวเองให้เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่ที่นิยามตัวเองว่าเป็นบริษัทบริหารจัดการศูนย์แฟชั่นค้าส่ง โดยล่าสุดได้มีการลงทุน 5,800 ล้านบาท สร้างศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ตใจกลางราชดำริ ซึ่งจะมีทั้งห้างค้าปลีก โรงแรม และอาคารสำนักงานครบวงจรในรูปแบบเป็นโครงการแบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2561 ภายใต้การดูแลของผู้บริหารใหม่อย่างชาญชัย พันธุ์โสภา มืออาชีพจากเซ็นทรัลพัฒนา และสยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_54800
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "อิสราซอน: การเชื่อมโยงความสนุกสนานและการช้อปในโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์"
null
แนวคิด: "โชว์ ดีซี’ รุกหนักวงการค้าปลีก เตรียมเปิด “โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต” รับคริสมาสต์ปีใหม่ ปั้นเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิป" ในยุคที่การซื้อขายและการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าในห้างสรรพสินค้ามีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างสูง การสร้างความแตกต่างและการปรับตัวกับความต้องการของลูกค้ากลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจในวงการนี้ ด้วยเหตุนี้ "โชว์ ดีซี" ได้เตรียมที่จะเปิด "โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต" เพื่อรับคริสมาสต์ปีใหม่และเตรียมตัวให้เป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปของวงการค้าปลีก โดยมีแนวคิดดังนี้: 1. การสร้างประสบการณ์การช้อปที่ไม่ซ้ำซาก: โชว์ ดีซี จะให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์การช้อปที่ไม่ซ้ำซากและน่าจดจำ โดยการนำเสนอสินค้าที่หลากหลายและการจัดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงเทศกาลคริสมาสต์เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าที่ "โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต" 2. การผสมผสานระหว่างสินค้าและบริการ: ใน "โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต" จะมีการผสมผสานระหว่างสินค้าและบริการอย่างลงตัว เช่น การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้และมีประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ในขณะที่ช้อปปิ้ง 3. การใช้เทคโนโลยีในการสร้างประสบการณ์: โชว์ ดีซี จะใช้เทคโนโลยีในการสร้างประสบการณ์การช้อปที่ทันสมัยและน่าสนใจ เช่น การใช้ Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าหรือมีประสบการณ์การช้อปที่น่าสนุกและน่าจดจำ 4. การสร้างพื้นที่สำหรับการต่อต้านแบรนด์: "โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต" จะเป็นสถานที่ที่แบรนด์ที่ต้องการทดลองการขายสินค้าใหม่ๆ หรือสร้างความรู้สึกใหม่ๆ สามารถมีพื้นที่ในการต่อต้านแบรนด์และเปิดโอกาสให้กับลูกค้าในการได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร 5. การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า: โชว์ ดีซี จะใช้ "โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต" เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยการให้บริการที่ดีและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำทุกครั้งที่ลูกค้าเข้ามาช้อปในสถานที่นี้ด้วยแนวคิดที่เน้นการสร้างประสบการณ์และการช้อปที่ไม่ซ้ำซาก "โชว์ ดีซี’ กับ "โอเอซิส เอาท์ดอร์ อารีน่า & ครีเอทีฟ มาร์เก็ต" จะเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์สุดฮิปที่สามารถดึงดูดความสนใจและความสนใจของลูกค้าได้อย่างเหนือชั้นในช่วงเทศกาลคริสมาสต์และต่อไป
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54806
Retail
ข้อมูลวิจัย "พฤติกรรมการจับจ่ายของเหล่านักช็อป สินค้า FMCG" ของกันตาร์ เวิร์ลดพาแนล นำเสนอภาพลักษณ์ของธุรกิจโชห่วยแบบดั้งเดิมในแง่บวกหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล คือ: 1. ผลลัพธ์ของธุรกิจโชห่วย: - ข้อมูลวิจัยชี้ว่า ตลาด FMCG ถดถอย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจโชห่วย - ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก เติบโตแทนที่ร้านโชห่วย - สถิติจำนวนทริปที่ลูกค้าเข้ามาจับจ่ายที่ร้านโชห่วย ลดลง จาก 7% เหลือ 15% ในช่วงปี 2007-2015 2. พฤติกรรมผู้บริโภค: - ผู้บริโภคเน้นความสะดวก เลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ร้านสะดวกซื้อ มากกว่าร้านโชห่วย - ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับราคา โปรโมชั่น มากกว่าความสัมพันธ์กับร้านค้า 3. กลยุทธ์การตลาด: - ข้อมูลวิจัยไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอกลยุทธ์เฉพาะสำหรับธุรกิจโชห่วย - มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคโดยรวม สรุป: - ข้อมูลวิจัย "พฤติกรรมการจับจ่ายของเหล่านักช็อป สินค้า FMCG" นำเสนอภาพลักษณ์ของธุรกิจโชห่วยที่เผชิญกับความท้าทาย ไม่ได้นำเสนอภาพลักษณ์ในแง่บวก - ธุรกิจโชห่วยจำเป็นต้องปรับตัว เปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม: ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2565 ระบุว่า จำนวนร้านโชห่วยทั่วประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ e-commerce และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โดยสรุป: ข้อมูลวิจัย "พฤติกรรมการจับจ่ายของเหล่านักช็อป สินค้า FMCG" ของกันตาร์ เวิร์ลดพาแนล นำเสนอภาพลักษณ์ของธุรกิจโชห่วยที่เผชิญกับความท้าทาย ไม่ได้นำเสนอภาพลักษณ์ในแง่บวก ธุรกิจโชห่วยจำเป็นต้องปรับตัว เปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54810
Retail
กลยุทธ์ของลาซาด้าในการสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยบนแพลตฟอร์มมีอะไรบ้าง และกลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร
null
กลยุทธ์ของลาซาด้าในการสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยบนแพลตฟอร์มมีดังนี้: 1. การให้ความรู้และเครื่องมือ: - ลาซาด้ามีศูนย์การเรียนรู้ "ลาซาด้า ยูนิเวอร์ซิตี้" ที่รวบรวมเครื่องมือและข้อมูลต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถเรียนรู้วิธีการขายของออนไลน์ การจัดการร้านค้า การทำการตลาด และการวิเคราะห์ข้อมูล - ลาซาด้ามีแอปพลิเคชั่น "เซลเลอร์ เซ็นเตอร์" ที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถจัดการร้านค้า ตรวจสอบยอดขาย สื่อสารกับลูกค้า และจัดการคลังสินค้าได้อย่างสะดวกทุกที่ทุกเวลา 2. การเข้าถึงลูกค้า: - ลาซาด้ามีฐานลูกค้าขนาดใหญ่กว่า 4.5 ล้านคนต่อวันทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ลาซาด้ามีช่องทางการโฆษณาสินค้าหลากหลาย เช่น โฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และอีเมล - ลาซาด้ามีโปรโมชั่นและแคมเปญการตลาดต่างๆ ตลอดทั้งปี เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย 3. บริการด้านโลจิสติกส์: - ลาซาด้ามีบริการจัดส่งสินค้า "ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส" ที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย - ลาซาด้ามีบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินค่าสินค้าเมื่อได้รับสินค้าแล้ว 4. การสนับสนุนทางการเงิน: - ลาซาด้ามีบริการ "ลาซาด้า วอลเล็ต" ที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถรับชำระเงินค่าสินค้าออนไลน์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย - ลาซาด้ามีบริการสินเชื่อสำหรับผู้ค้ารายย่อยที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ กลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกดังนี้: - ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้ - ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ - ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ - ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ของลาซาด้า: - Household Society: ร้านขายอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปยังการขายสินค้าปลีกออนไลน์ - ผู้ค้ารายย่อยอื่นๆ บนแพลตฟอร์มลาซาด้า: ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก เพิ่มยอดขาย และสร้างรายได้ โดยสรุป กลยุทธ์ของลาซาด้าในการสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยบนแพลตฟอร์มนั้น - มีประสิทธิภาพ - ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเติบโต - ช่วยให้เศรษฐกิจไทยพัฒนา - ลาซาด้า มาร์เก็ตเพลส เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับผู้ค้าออนไลน์ เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกประสบความสำเร็จ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54818
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย แต่ต้องอาศัยความอดทน ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่น
null
เสียงหัวเราะจากปลายสาย ณ เมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำโขง เด็กหญิงน้อยนามว่า "มะลิ" วิ่งเล่นอย่างร่าเริงใต้แสงแดดอันอบอุ่น เช่นเดียวกับเด็ก ๆ ในวัยเดียวกัน ชีวิตของเธอยังไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไร้กังวลใด ๆ ทว่า ครอบครัวของมะลินั้นต้องเผชิญกับความยากลำบาก พ่อของเธอป่วยหนัก ทำให้แม่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ร้านขายของชำเล็ก ๆ ของพวกเขา barely "แม่คะ หนูอยากช่วยแม่ขายของ" มะลิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใส "หนูยังเด็กนะลูก เดี๋ยวก็เหนื่อย" แม่ตอบด้วยความเอ็นดู "ไม่ค่ะ หนูไม่เหนื่อย หนูอยากช่วยแม่" มะลิยืนกราน ด้วยความรักและความเมตตา แม่จึงยอมให้มะลิช่วยขายของในร้าน เด็กหญิงรู้สึกตื่นเต้นกับหน้าที่ใหม่ เธอเรียนรู้ที่จะต้อนรับลูกค้า เรียนรู้ชื่อสินค้า เรียนรู้การคิดเงิน ในบางวัน ร้านของเธอก็เงียบเหงา ลูกค้าบางตา มะลินั่งมองถนนสายยาวที่เงียบสงัด ใจของเธอก็เริ่มห่อเหี่ยว "แม่คะ หนูท้อแล้ว ร้านเรามีลูกค้า很少" มะลิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า "ใจเย็น ๆ นะลูก การค้าขายต้องอาศัยเวลาและความอดทน" แม่ปลอบใจ "แล้วเราจะทำอย่างไรให้ลูกค้ามาซื้อของที่ร้านเราเยอะ ๆ คะ" มะลิถาม "ลองคิดหาวิธีดึงดูดลูกค้าสิ" แม่แนะนำ มะลินั่งคิดหาวิธีอยู่นาน ในที่สุดเธอก็มีไอเดีย "แม่คะ หนูขอเอาเงินเก็บไปซื้อน้ำอัดลมมาขายได้ไหมคะ" มะลิเอ่ย "น้ำอัดลม?" แม่ถามด้วยความสงสัย "ค่ะ หนูเห็นเด็ก ๆ ชอบกินน้ำอัดลมกัน หนูคิดว่าถ้าเราเอาน้ำอัดลมมาขาย ลูกค้าก็น่าจะมาซื้อของที่ร้านเรามากขึ้น" มะลิอธิบาย แม่เห็นแววความมุ่งมั่นในดวงตาของลูกสาว จึงตัดสินใจให้เงินมะลิไปซื้อน้ำอัดลมมาขาย เช้าวันต่อมา มะลิจัดเรียงขวดน้ำอัดลมอย่างสวยงามบนชั้นวางสินค้า รอยยิ้มของเธอเปื้อนไปด้วยความหวัง เมื่อลูกค้าเห็นน้ำอัดลม เด็ก ๆ ต่างก็ตื่นเต้น วิ่งเข้ามาซื้ออย่างรวดเร็ว ร้านของมะลิคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังก้องไปทั่ว มะลินั่งมองลูกค้าด้วยความสุข เธอกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้งว่าเธอสามารถช่วยแม่ได้ จากวันนั้น ร้านของมะลิก็มีลูกค้ามากขึ้น รายได้ของครอบครัวก็ดีขึ้น มะลิเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากประสบการณ์ครั้งนี้ เธอรู้ว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย แต่ต้องอาศัยความอดทน ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54827
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....คะแนนสะสมเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประหยัดเงิน แต่เราควรใช้มันอย่างชาญฉลาด
null
รักเกลียดคะแนนสะสม นภัสสร สาวออฟฟิศวัย 28 ปี กำลังยืนลังเลอยู่หน้าร้านกาแฟ "คอฟฟี่บีนส์ บาย ดาว" ในมือของเธอถือบัตรเครดิต KTC Forever Rewards ใบโปรด เธอกำลังตัดสินใจว่าจะใช้คะแนนสะสมแลกรับส่วนลด 15% หรือเก็บไว้แลกรับสินค้าอื่นในอนาคต นภัสสรเป็นนักช้อปตัวยง เธอชอบสะสมคะแนนจากบัตรเครดิตเพื่อนำมาแลกรับสินค้าหรือส่วนลดต่างๆ เธอคิดว่ามันเป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการประหยัดเงิน แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกสับสนกับโปรโมชั่นต่างๆ ของบัตรเครดิต เธอกลัวว่าจะพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการใช้คะแนนสะสม ในที่สุดนภัสสรก็ตัดสินใจใช้คะแนนสะสมแลกรับส่วนลด 15% เธอสั่งกาแฟแก้วโปรดและนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง เธอรู้สึกดีที่ได้ประหยัดเงิน แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเธออาจจะเก็บคะแนนไว้แลกรับสินค้าอื่นที่คุ้มค่ากว่านี้ นภัสสรหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและเปิดแอปพลิเคชัน KTC เธอเริ่มอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับโปรโมชั่น "Forever FEVER" เธอพบว่ามีตัวเลือกมากมายสำหรับการใช้คะแนนสะสม เธอสามารถแลกรับสินค้าจากร้านค้าพันธมิตรกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ หรือแลกรับส่วนลดและเครดิตเงินคืน นภัสสรอ่านรายละเอียดอย่างละเอียด เธอเริ่มเข้าใจกลยุทธ์ของ KTC บริษัทต้องการกระตุ้นให้สมาชิกใช้คะแนนสะสมโดยเร็วที่สุด KTC เสนอโปรโมชั่นที่หลากหลายเพื่อดึงดูดใจสมาชิก แต่โปรโมชั่นเหล่านี้ไม่ได้คุ้มค่าเสมอไป นภัสสรตัดสินใจว่าเธอจะต้องใช้คะแนนสะสมอย่างชาญฉลาด เธอจะต้องศึกษาโปรโมชั่นต่างๆ อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ เธอจะต้องเลือกโปรโมชั่นที่เหมาะกับความต้องการของเธอมากที่สุด นภัสสรจิบกาแฟและคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด เธอรู้ว่าเธอได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับคะแนนสะสม เธอจะไม่ใช้คะแนนสะสมอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป เธอจะใช้คะแนนสะสมอย่างชาญฉลาดเพื่อประโยชน์สูงสุด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54829
Retail
กลยุทธ์ของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
null
1. พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง ลงทุนสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นสำหรับขายสินค้าออนไลน์ นำเสนอสินค้าหลากหลาย ประเภทเดียวกับหน้าร้าน หรือเพิ่มเติมสินค้าเฉพาะสำหรับออนไลน์ พัฒนาระบบการชำระเงิน การจัดส่ง และการบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ 2. ร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีอยู่ เปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Lazada, Shopee, JD Central ใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าและระบบของแพลตฟอร์ม มุ่งเน้นไปที่สินค้าเฉพาะกลุ่มหรือสินค้าที่มีความโดดเด่น รักษาภาพลักษณ์และมาตรฐานของแบรนด์ 3. พัฒนาบริการ Omnichannel ผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ให้ลูกค้าสามารถค้นหา เปรียบเทียบ และซื้อสินค้าได้ทุกช่องทาง นำเสนอบริการ Click & Collect หรือ Buy Online Pick Up In Store พัฒนาโปรแกรมสมาชิกและระบบสะสมแต้มแบบครบวงจร 4. เน้นจุดแข็งของธุรกิจแบบดั้งเดิม มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร เช่น การลองสินค้า บริการหลังการขาย สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขาย เน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม สินค้าท้องถิ่น หรือสินค้าที่มีเอกลักษณ์ พัฒนาบริการพิเศษ เช่น บริการจัดส่งด่วน บริการห่อของขวัญ 5. พัฒนาทักษะดิจิทัล เรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ ของอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาทักษะการตลาดออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโซเชียลมีเดีย สร้างทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล ตัวอย่างกรณีศึกษา ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Central Online จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท เชื่อมโยงกับระบบสมาชิก The 1 Card ร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง Bobbi Brown นำเสนอบริการ Virtual Try-On ให้ลูกค้าลองสินค้าผ่านเทคโนโลยี AR บนเว็บไซต์ ร้านอาหาร After You เปิดให้บริการสั่งอาหารออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นของตัวเอง และร่วมกับ GrabFood เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย บทสรุป ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ เน้นจุดแข็งของธุรกิจแบบดั้งเดิม และพัฒนาทักษะดิจิทัล จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_54836
Retail
กลุ่มเซ็นทรัล มุ่งขยายธุรกิจค้าปลีกในอาเซียนผ่านกลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการ : ถูกหรือผิด
null
ถูก เหตุผล คือ: 1. ตลาดอาเซียนมีศักยภาพสูง: - ประชากรมากกว่า 660 ล้านคน - เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง - กำลังซื้อของชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น - การค้าเสรีในอาเซียน (AEC) 2. กลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการช่วยให้: - ขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว - เข้าถึงช่องทางจำหน่ายที่มีอยู่ - เข้าใจความต้องการของลูกค้าท้องถิ่น - ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสร้างแบรนด์ใหม่ 3. ตัวอย่างการเข้าซื้อกิจการของกลุ่มเซ็นทรัล: - เพาเวอร์บาย: เข้าร่วมทุนกับ เหงียน คิม เทรดดิ้ง จอยท์ สต็อค คอมพานี ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเวียดนาม - เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้ง: เข้าซื้อกิจการ HCH IndustriesSdnBhd แบรนด์แฟชั่นท้องถิ่นในมาเลเซีย 4. ผลลัพธ์: เพาเวอร์บายมีสาขาในเวียดนามมากกว่า 100 สาขา เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งมีแบรนด์แฟชั่นในมาเลเซียมากกว่า 500 แบรนด์ 5. กลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการสอดคล้องกับเป้าหมายของ กลุ่มเซ็นทรัล: - เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกในภูมิภาค - ขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ข้อจำกัด: 1. ความเสี่ยงในการเข้าซื้อกิจการ เช่น ปัญหาการควบรวมกิจการ วัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่าง 2. การแข่งขันจากผู้เล่นรายอื่นในภูมิภาค สรุป: กลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการของกลุ่มเซ็นทรัลช่วยให้ขยายธุรกิจค้าปลีกในอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพ ตลาดอาเซียนมีศักยภาพสูง กลยุทธ์นี้ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าใหม่และช่องทางจำหน่ายที่มีอยู่ ตัวอย่างการเข้าซื้อกิจการของเพาเวอร์บายและเซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มเซ็นทรัล อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_54842
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกนั้นดุเดือด ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและพัฒนาอยู่เสมอ
null
รักที่หลุดลอย: เกมพลิกผันในวงการค้าปลีก “คุณธนินท์ ซีพี” ชายผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ กำลังนั่งอ่านข่าวเกี่ยวกับกระแสข่าวลือเรื่องความสนใจซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส” คืนสู่อ้อมอก ซีพี หัวใจของเขาเต้นรัว ราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์แห่งอดีต ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ธนินท์จำต้องตัดสินใจขายกิจการเทสโก้ โลตัส ให้กับกลุ่มเทสโก้ ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขาจำต้องปล่อย “ลูก” ที่รักไปอย่างไม่มีทางเลือก “โลตัสเหมือนลูกที่เราเลี้ยงดูมาด้วยความรัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้น จำเป็นต้องขายมันให้คนอื่นเพื่อรักษาธุรกิจหลัก” ธนินท์ครุ่นคิด ทว่าวันนี้ โอกาสได้กลับมาอีกครั้ง เขาพร้อมที่จะทวงคืน “ลูก” ของเขา กลับมาสู่ตักอ้อมกอด “ถ้าเทสโก้ โลตัส จะขาย ผมก็พร้อมที่จะซื้อ” ธนินท์ประกาศกร้าวต่อสื่อมวลชน ข่าวนี้สร้างความหวาดหวั่นสะเทือนไปทั่ววงการค้าปลีก หลายคนกังวลว่า หากซีพีครอบครองเทสโก้ โลตัส จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาด? “นี่จะเป็นการผูกขาดตลาด!” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม “ซีพีจะยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีใครสู้ได้!” หลายคนหวาดกลัว ธนินท์เข้าใจดีถึงความกังวลเหล่านั้น เขาจึงออกมาอธิบายว่า “ซีพีไม่เคยคิดจะผูกขาดตลาด แต่เราต้องการสร้างระบบนิเวศน์ค้าปลีกที่สมบูรณ์แบบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค” “เราจะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และที่สำคัญ เราจะทำให้สินค้าราคาถูกลง” ธนินท์ย้ำ เกมพลิกผันในวงการค้าปลีกครั้งนี้ ย่อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงมากมาย คงต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร? ตัวละคร: คุณธนินท์ ซีพี: นักธุรกิจผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ เทสโก้ โลตัส: ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ผู้บริโภค: ผู้ใช้บริการห้างสรรพสินค้า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_54866
Retail
กลยุทธ์หลักของโมโน ช็อป ในการบุกตลาดประเทศไทยคืออะไร?
null
กลยุทธ์หลักของโมโน ช็อป ในการบุกตลาดประเทศไทย มีดังนี้: 1. นำเสนอสินค้าของดีจาก 47 จังหวัดของญี่ปุ่น: - โมโน ช็อป คัดสรรสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในท้องถิ่นของญี่ปุ่นกว่า 800 ชนิด สินค้าเหล่านี้สะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่มีความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ซึ่งแตกต่างจากสินค้าญี่ปุ่นทั่วไปที่วางจำหน่ายในประเทศไทย 2. ศึกษาตลาดและพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับผู้บริโภคชาวไทย: - โมโน ช็อป ทำการวิจัยตลาดกับผู้บริโภคชาวไทย เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด ตัวอย่างเช่น สินค้ากลุ่มเครื่องสำอางที่มีสูตรเฉพาะสำหรับผิวคนไทย หรือสินค้าประเภทอาหารที่มีรสชาติที่ถูกปากคนไทย 3. ทำเลที่ตั้งที่สะดวก: - โมโน ช็อป ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 โซนเอเทรียม ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงและมีลูกค้าหนาแน่น ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของโมโน ช็อป ได้ง่าย 4. กิจกรรมส่งเสริมการตลาด: - โมโน ช็อป จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่างๆ อยู่เสมอ เช่น การออกงานแฟร์ จัดเทศกาลราเม็ง ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้าเพื่อโปรโมทสินค้ากลุ่มความสวยความงาม กิจกรรมเหล่านี้ช่วยดึงดูดลูกค้าและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าของโมโน ช็อป 5. ถ่ายทอดข้อมูล วัฒนธรรมธรรมญี่ปุ่น: - โมโน ช็อป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่ถ่ายทอดข้อมูล วัฒนธรรมธรรมญี่ปุ่น ให้กับผู้บริโภคชาวไทย กิจกรรมนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโมโน ช็อป กับลูกค้า สรุป: กลยุทธ์หลักของโมโน ช็อป ในการบุกตลาดประเทศไทย คือ นำเสนอสินค้าของดีจาก 47 จังหวัดของญี่ปุ่น ศึกษาตลาดและพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับผู้บริโภคชาวไทย เลือกทำเลที่ตั้งที่สะดวก จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และถ่ายทอดข้อมูล วัฒนธรรมธรรมญี่ปุ่น กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้โมโน ช็อป ประสบความสำเร็จในการบุกตลาดประเทศไทย นอกจากกลยุทธ์หลักที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยให้โมโน ช็อป ประสบความสำเร็จ เช่น: 1. การบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ 2. การสร้างบรรยากาศภายในร้านที่น่าดึงดูด 3. การใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อส่งเสริมการขาย นี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า เน้นความสะดวกสบาย ประทับใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_54897
Retail
กลยุทธ์การค้าปลีกสำหรับการเปิดตัวแบล็คเบอร์รี่ Z10 สมาร์ทโฟนในประเทศไทย มีอะไรบ้าง และทำไมกลยุทธ์เหล่านี้จึงเหมาะสม?
ประกาศเปิดตัวแบล็คเบอร์รี่ Z10 สมาร์ทโฟน (BlackBerry® Z10 smartphone) โฉมใหม่ในประเทศไทย แบล็คเบอร์รี่ Z10 (รุ่นหน้าจอสัมผัสทั้งหมด) เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบล็คเบอร์รี่ 10 ปรากฏการณ์ใหม่แห่งดีไซน์และนวัตกรรมของแบล็คเบอร์รี่แพลตฟอร์มนำเสนอสุดยอดประสบการณ์ใหม่ด้านโมบายล์ จะเริ่มวางจำหน่ายประมาณปลายเดือนเมษายนนี้ในราคา 20,900 บาท ผ่านทางผู้ให้บริการเครือข่ายเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ และพันธมิตรร้านค้าปลีกทั่วประเทศพร้อมกันนี้ ลูกค้าสามารถสัมผัสและเป็นเจ้าของแบล็คเบอร์รี่Z10 สมาร์ทโฟนก่อนใคร ได้ที่แบล็คเบอร์รี่ เอ็กซ์พีเรียนซ์เซ็นเตอร์ (BlackBerry Experience Center)ชั้น 2 สยามเซ็นเตอร์ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป มร. เบอนัวต์ นาลิน ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยแบล็คเบอร์รี่ กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าแบล็คเบอร์รี่ Z10สมาร์ทโฟน กำลังจะมาถึงประเทศไทยเร็วๆ นี้ แบล็คเบอร์รี่ 10จะมอบประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและอัจฉริยะมากยิ่งขึ้นและพร้อมที่จะปรับตามสไตล์การใช้งานของผู้ใช้อยู่ตลอดเวลาโดยทุกฟีเจอร์ทุกรูปแบบการใช้งานและรายละเอียดได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ให้คุณก้าวไกลไม่หยุดยั้ง” แบล็คเบอร์รี่ Z10 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด มีความสง่างามและโดดเด่น อีกทั้งยังเป็นแบล็คเบอร์รี่ สมาร์ทโฟนที่เร็วและทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งจะวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือสีขาวและสีดำ พร้อมรองรับยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและการป้อนข้อมูลภาษาไทยด้วยโปรเซสเซอร์แบบดูอัลคอร์ความเร็ว 1.5GHz หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 กิกะไบต์ หน่วยความจำภายในขนาด 16 กิกะไบต์และ หน่วยความจำเสริมภายนอกmemory card ที่สามารถขยายเพิ่มเติมได้สูงสุด 64 กิกะไบต์ ล่าสุดกับเทคโนโลยีบนหน้าจอและความละเอียดของพิกเซลที่ยกระดับขึ้นอีกขั้น ซึ่งทำให้สามารถแสดงผลบนหน้าจอได้อย่างละเอียด คมชัด ด้วยภาพที่สว่างสดใสจนน่าทึ่ง นอกจากนี้ แบล็คเบอร์รี่ Z10 สมาร์ทโฟน ยังมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อmicro HDMI เพื่อใช้สำหรับการนำเสนองานต่างๆ และมีระบบเซ็นเซอร์อันทันสมัย อย่างNFC (Near Field Communications หรือ นวัตกรรมการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สายระยะใกล้) เพื่อรองรับการทำธุรกรรมการเงินบนมือถือ (Mobile Payment) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพียงแตะสมาร์ทโฟนเข้าด้วยกัน รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบล็คเบอร์รี่ Z10 สมาร์ทโฟน สามารถเข้าไปชมได้ที่
กลยุทธ์การค้าปลีกสำหรับการเปิดตัวแบล็คเบอร์รี่ Z10 สมาร์ทโฟนในประเทศไทย มีดังนี้: 1. เปิดตัวผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย: จุดประสงค์: - ขยายช่องทางการจำหน่าย - เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กว้างขึ้น - leveraging ฐานลูกค้าของผู้ให้บริการเครือข่าย ความเหมาะสม: - ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ซื้อสมาร์ทโฟนผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย - ผู้ให้บริการเครือข่ายมีช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ - ผู้ให้บริการเครือข่ายมักเสนอโปรโมชั่นและแพ็กเกจพิเศษสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ 2. จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก: จุดประสงค์: - ขยายช่องทางการจำหน่าย - เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อสมาร์ทโฟนแบบจ่ายเงินสด - ให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการซื้อที่หลากหลาย ความเหมาะสม: - ร้านค้าปลีกมีจำนวนมาก ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ - ลูกค้าคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีก - ร้านค้าปลีกสามารถให้คำปรึกษาและบริการแก่ลูกค้าได้ 3. เปิดตัวแบล็คเบอร์รี่ เอ็กซ์พีเรียนซ์เซ็นเตอร์: จุดประสงค์: - สร้างประสบการณ์การใช้งานแบล็คเบอร์รี่ Z10 ให้กับลูกค้า - ดึงดูดลูกค้าที่สนใจแบล็คเบอร์รี่ - ให้ข้อมูลและคำปรึกษาเกี่ยวกับแบล็คเบอร์รี่ Z10 ความเหมาะสม: - แบล็คเบอร์รี่ เอ็กซ์พีเรียนซ์เซ็นเตอร์เป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสและใช้งานแบล็คเบอร์รี่ Z10 ได้จริง - พนักงานในแบล็คเบอร์รี่ เอ็กซ์พีเรียนซ์เซ็นเตอร์ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีเกี่ยวกับแบล็คเบอร์รี่ Z10 - แบล็คเบอร์รี่ เอ็กซ์พีเรียนซ์เซ็นเตอร์ตั้งอยู่ในสถานที่ที่สะดวกต่อการเดินทาง 4. กำหนดราคาที่ 20,900 บาท: จุดประสงค์: - กำหนดราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย - รักษาภาพลักษณ์ของแบล็คเบอร์รี่ - สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ ความเหมาะสม: - แบล็คเบอร์รี่ Z10 เป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยม - กลุ่มเป้าหมายของแบล็คเบอร์รี่ Z10 มีกำลังซื้อสูง - ราคา 20,900 บาท ถือว่าเหมาะสมกับคุณสมบัติและฟังก์ชั่นของแบล็คเบอร์รี่ Z10 5. เปิดตัวก่อนวางจำหน่ายจริง: จุดประสงค์: - สร้างกระแสความสนใจในแบล็คเบอร์รี่ Z10 - ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของแบล็คเบอร์รี่ Z10 เป็นคนแรก - เก็บข้อมูลความคิดเห็นจากลูกค้า ความเหมาะสม: - ลูกค้าชาวไทยมักให้ความสนใจกับสินค้าใหม่ - การเปิดตัวก่อนวางจำหน่ายจริง ช่วยให้แบล็คเบอร์รี่สร้างกระแสความสนใจในแบรนด์ - แบล็คเบอร์รี่สามารถเก็บข้อมูลความคิดเห็นจากลูกค้าก่อนวางจำหน่ายจริง และนำไปปรับปรุงสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0