ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_53174
Retail
โครงการ Agriculture Platform ด้วยระบบ AXONS- AgriTech หรือ แพลตฟอร์มสำหรับเกษตรกรพืชไร่-พืชสวน ที่ช่วยในการบริหารแปลงปลูกขนาดใหญ่ด้วยสิ่งใด
แอ๊กซอน (AXONS) สร้างปรากฏการณ์ด้านเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร (Agri Tech) คว้า 3 รางวัลชนะเลิศจากเวทีระดับภูมิภาค “Asian Technology Excellence Awards 2022” ครอบคลุมเทคโนโลยี Mobile ในด้านอุตสาหกรรมเกษตร (Agriculture) เทคโนโลยี Enterprise Software สำหรับกลุ่มธุรกิจ (Conglomerates) และเทคโนโลยี Blockchain สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก (Retail) ตอกย้ำศักยภาพด้านดิจิทัล ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ห่วงโซ่การผลิตอาหารของไทยประสบความสำเร็จ ก้าวสู่การเป็น“ครัวของโลก” ได้อย่างยั่งยืน นายสรรเสริญ สมัยสุต กรรมการผู้จัดการ แอ๊กซอน (AXONS) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างครบถ้วน ทั้งงานหน้าบ้านและหลังบ้าน ถือเป็น Agri Tech Company ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารหลายแห่ง อาทิ “ซีพีเอฟ” ซึ่งมีห่วงโซ่การผลิตที่ใหญ่และยาวมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก “การได้รับรางวัล Asian Technology Excellence Awards ถึง 3 รางวัลในครั้งนี้ จึงเป็นความภาคภูมิใจของทีมงาน AXONS ทุกคน ที่พิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีของเรา ทำให้อาหารทุกจาน ที่เสิร์ฟไปยังทุกโต๊ะอาหาร ในทุกร้าน และทุกบ้านทั่วโลก เป็นอาหารที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพที่ปลอดภัย เชื่อถือและตรวจสอบย้อนกลับได้ ที่นี่เป็นที่ๆ คนรุ่นใหม่ฝีมือดี ใช้เป็นสนามจริงในการประลองฝีมือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เพื่อร่วมกันดูแลความเป็นอยู่ของทุกชีวิตบนโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้น” นายสรรเสริญกล่าว ทั้งนี้ ทีมงานด้านเทคโนโลยีของ AXONS ทำหน้าที่ดูแลทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกของบริษัทลูกค้า โดยใช้ Data หรือข้อมูลมหาศาลมาขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้งและยั่งยืน ครอบคลุมการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิต การประสานงานในหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการจัดการด้านค้าปลีก โดยสามารถคว้า 3 รางวัลดังกล่าวมาได้จาก 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Agriculture Platform ด้วยระบบ AXONS- AgriTech หรือ แพลตฟอร์มสำหรับเกษตรกรพืชไร่-พืชสวน ที่ช่วยในการบริหารแปลงปลูกขนาดใหญ่ด้วยภาพถ่ายจากโดรน/ดาวเทียม สามารถติดตามแปลงปลูกแบบเรียลไทม์ ทั้งสภาพอากาศ ปริมาณฝน ความชื้น ทิศทางลม และช่วยให้เกิดการแบ่งปันองค์ความรู้ ระหว่างเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงสามารถเช็คราคาพืชผลในท้องตลาดได้ด้วย ที่น่าสนใจคือ การสนับสนุนเครื่องมือในการเพาะปลูกที่จะช่วยลดต้นทุนเกษตรกร ด้วยการจัดหาแหล่งให้เกษตรกรได้แบ่งปันหรือเช่าใช้เครื่องมือทางการเกษตรร่วมกัน โครงการ Visitor Registration ด้วยระบบ AXONS-VRegist เป็นระบบอัตโนมัติในการคัดกรองบุคคลก่อนเข้าโรงงาน ตรวจสอบทั้งอุณหภูมิ สุขลักษณะ และสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงของแต่ละบุคคล และติดตามการเข้าออกพื้นที่ของบุคคลภายนอก โดยรวบรวมข้อมูลเพื่อบริหารจัดการด้วย BI Dashboard เพื่อตอบโจทย์การตรวจสอบสุขภาพของแขกผู้เข้าเยี่ยมชมโรงงาน ตั้งแต่ในช่วงโควิด-19 และยังคงใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการควบคุมป้องกันโรค และลดความเสี่ยงด้านการระบาดภายในโรงงาน โครงการ Traceability หรือ แพลตฟอร์มการตรวจสอบย้อนกลับด้วยระบบ AXONS-Trace ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของลูกค้า โดยผู้บริโภคสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดบนบรรจุภัณฑ์ เพื่อดูแหล่งผลิตสินค้า แสดงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ การผลิต การแปรรูป การขนส่ง แสดงคุณค่าโภชนาการ พร้อมเมนูแนะนำสำหรับผู้บริโภค โปร่งใสด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchainที่ปรับแก้ข้อมูลจากแหล่งที่มาไม่ได้ มีความน่าเชื่อถือขั้นสูงสุด แพลตฟอร์มนี้ช่วยลดต้นทุนให้คู่ค้า (Suppliers) ที่เดิมใช้ซอฟต์แวร์จากผู้ขายรายอื่นลงมากกว่า 50% และยังเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยน่าเชื่อถือเพิ่มเติมอีกขั้นหนึ่งด้วย ยกตัวอย่างการตรวจสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ CPF หนึ่งในลูกค้าสำคัญของ AXONS ซึ่งมีการบ่งบอกถึงการเป็น “ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน” (Sustainable Product) โดยแสดงให้เห็น มาตรฐาน Carbon Footprint และฉลากลดโลกร้อน (Carbon reduction rating) เป็นข้อมูลแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด (Carbon Rating ระดับเหรียญทอง) อนึ่ง รางวัล Asian Technology Excellence Awards 2022 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยนิตยสารชั้นนำของเอเชีย “ASIAN BUSINESS REVIEW” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกย่องโครงการและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุด ในแต่ละหมวดหมู่เและอุตสาหกรรม สะท้อนถึงความเป็นองค์กรผู้นำการปฏิวัติทางเทคโนโลยี และมีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีเกณฑ์การพิจารณาจากความมีเอกลักษณ์และนวัตกรรม ประสิทธิผลและผลกระทบในเชิงบวกต่อบริษัทและอุตสาหกรรม รวมทั้งกลยุทธ์ดำเนินโครงการมีความยืดหยุ่น สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาได้
โครงการ Agriculture Platform ด้วยระบบ AXONS- AgriTech หรือ แพลตฟอร์มสำหรับเกษตรกรพืชไร่-พืชสวน ที่ช่วยในการบริหารแปลงปลูกขนาดใหญ่ด้วยภาพถ่ายจากโดรน/ดาวเทียม สามารถติดตามแปลงปลูกแบบเรียลไทม์ ทั้งสภาพอากาศ ปริมาณฝน ความชื้น ทิศทางลม และช่วยให้เกิดการแบ่งปันองค์ความรู้ ระหว่างเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงสามารถเช็คราคาพืชผลในท้องตลาดได้ด้วย ที่น่าสนใจคือ การสนับสนุนเครื่องมือในการเพาะปลูกที่จะช่วยลดต้นทุนเกษตรกร ด้วยการจัดหาแหล่งให้เกษตรกรได้แบ่งปันหรือเช่าใช้เครื่องมือทางการเกษตรร่วมกัน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53188
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ "Tops Club" ซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ล่าสุดจากท็อปส์ ในการดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป?
ภายใต้แผน 5 ปี (2565 – 2569) ของ “กลุ่มเซ็นทรัล รีเทล” (CRC) กับยุทธ์ศาสตร์ CRC Intelligent ในการก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ในประเทศไทย โดยมีธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์ ท็อปส์ (Tops) เป็นอีกหนึ่งหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ นั่นทำให้เซ็นทรัลแตกโมเดลที่หลากหลาย เพื่อรองการแข่งขัน พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ และปูพรมไปแล้วกว่า 130 สาขาทั่วประเทศ มีการขยายในรูปแบบ Tops Market เจาะกลุ่มลูกค้าตั้งแต่บุคคลทั่วไป จนถึง Tops สแตนด์อะโลน และ Tops Food Hall พรีเมียมฟู้ดสโตร์ ที่ สุขุมวิท 39 และล่าสุด วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา Tops เปิดตัวโมเดลใหม่ บนพื้นที่ที่แฟนๆ ลุ้นกันมานานว่า บริเวณหลังเซ็นทรัล พระราม 2 จะเป็นอะไร กระทั่งเฉลยออกมาแล้วว่า เป็น Tops Club Brand Buffet พาไปทำความรู้จัก “Tops Club” ซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ล่าสุดจากท็อปส์ ในเครือ Central Retail แพลตฟอร์มช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ในระบบสมาชิกที่ผสมผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์แห่งแรกของไทย ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงซื้อได้ – เน้นของนอก 1. ท็อปส์ คลับ (Tops Club) เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ New Shopping Experience ที่มีการนำระบบสมาชิกเข้ามาใช้ในการซื้อ-ขายสินค้า (คล้ายกับ costco ของอเมริกา) ประกอบด้วยสินค้าอุปโภค-บริโภค ของสด แห้ง ฯลฯ โดยมากกว่า 95% เป็นสินค้าอิมพอร์ตจากต่างประเทศ 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิตาลี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน สเปน และเกาหลีใต้ ขณะที่สินค้าในประเทศอีก 5% ภายในร้านประกอบไปด้วยโซนต่างๆ ได้แก่ 2.นำร่องเปิดให้บริการแบบ Tops Club Pop-up Store ที่เซ็นทรัลพระราม 2 จนถึง 21 สิงหาคม 2565 เพื่อสร้างแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ก่อนจะเปิดในรูปแบบสโตร์ขนาดใหญ่ หรือ Flagship Store อย่างเป็นทางการแห่งแรก ที่เซ็นทรัลพระราม 2 (หลังเซ็นทรัลพระราม 2 Central Park เก่า) บนพื้นที่ 15,000 ตร.ม. ประกอบด้วย 3 อาคารขนาดใหญ่เชื่อมต่อกัน ในปลายเดือนกันยายน 2565 นี้ Tops Club Pop-up Store นำร่องให้บริการที่เซ็นทรัลพระราม 2 3.สำหรับการเข้าใช้บริการใน Tops Club จะต้องสมัครสมาชิกก่อนเข้าใช้บริการ ซึ่งขณะนี้ทางค่ายมีราคาพิเศษช่วง Early Bird ในราคา 799 บาท จากราคาปกติ 999 บาทต่อปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 พร้อมบริการจัดส่งฟรีแบบไม่มีขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยการสมัคร 1 สมาชิก จะได้รับสิทธิ์ผู้ติดตามอีก 1 ท่าน นั่นเท่ากับว่า 1 สิทธิ์สมาชิกสามารถเข้าใช้บริการ 2 ท่าน (แต่ต้องเป็นเลขเบอร์โทรศัพท์และสมาชิกเดียวกัน) นอกจากที่สาขาแล้วสมาชิกยังสามารถซื้อสินค้าผ่าน Tops Club App บน Android, iOS / นำ Digital Pass และสแกนเข้าหน้าสาขา ซึ่งแม้จะจำหน่ายเฉพาะสมาชิกแต่การชำระค่าบริการสินค้าสามารถทำได้หลากหลายทั้งผ่านบัตรเครดิต QRCODE หรือแม้กระทั่งเงินสด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสะสมแต้มอัตโนมัติในบัตร T1 จากเซ็นทรัลได้ สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ทาง tops club นำเข้ามาวางจำหน่ายกว่า 3,500 รายการ 4.ในส่วนของการบริหารจัดการสินค้าภายใน จะเป็นการดึงสินค้าอิมพอร์ตจากท็อปเดิม เข้ามาวางจำหน่ายในราคาถูกกว่าในท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เฉลี่ยตั้งแต่ 70 บาทขึ้นไปจนถึงหลักร้อยบาท อาทิ ถั่วพิทาชิโอ้ ที่วางจำหน่ายใน ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ราคา 799 บาท แต่ใน Tops Club จะจำหน่ายในราคา 699 บาท เป็นต้น เรียกว่ายิ่งซื้อบ่อย ซื้อจำนวนมาก ยิ่งคุ้มค่า เหมาะสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้านำเข้าเป็นประจำ โดยไม่ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ 5.ลำดับถัดไป Tops Club จะเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์หลักอย่าง “ป่าล้อมเมือง” แนวคิดหลักที่ทาง Tops Club จะนำมาใช้การขยายสาขาในอนาคต เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกลูกค้าให้ไม่ต้องเดินทางเข้าใจกลางเมืองเพื่อซื้อสินค้านำเข้าอย่างในปัจจุบัน โดยเฟสแรกของการขยายสาขาจะเน้นในย่านชานเมืองกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้ง ย่านบางนา , ปทุมธานี, ลำลูกกา ในทำเลที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งชุมชน หมู่บ้านตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป รองรับการขยายของชานเมืองในรูปแบบสแตนด์อะโลน โดยไม่จำเป็นต้องขยายไปตามสาขาของบริษัทแม่อย่างเซ็นทรัลแต่อย่างใด ซึ่งจะแตกต่างจาก Tops Market แบบเดิมที่เน้นขยายสาขาตามศูนย์การค้าและบริษัทแม่เป็นหลัก ไฮเอนด์ให้สุด! เซ็นทรัล รีเทล ทุ่ม 150 ล้าน เปิดโมเดล “Tops Food Hall” พรีเมียมฟู้ดสโตร์ ที่ สุขุมวิท 39
"Tops Club" ซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ล่าสุดจากท็อปส์ ดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปด้วยกลยุทธ์หลักดังต่อไปนี้: 1. รูปแบบสมาชิก: - ลูกค้าต้องสมัครสมาชิกก่อนเข้าใช้บริการ - ค่าธรรมเนียมสมาชิกราคาพิเศษช่วง Early Bird 799 บาท จากราคาปกติ 999 บาทต่อปี - สมาชิก 1 ท่าน สามารถพาผู้ติดตามเข้าใช้บริการได้อีก 1 ท่าน - สมาชิกสามารถซื้อสินค้าผ่าน Tops Club App - สะสมแต้ม T1 2. สินค้า: - เน้นสินค้าอิมพอร์ตจากต่างประเทศมากกว่า 95% - สินค้าจาก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิตาลี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน สเปน และเกาหลีใต้ - สินค้าในประเทศ 5% - สินค้ามีมากกว่า 3,500 รายการ - ราคาสินค้าถูกกว่า Tops ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป 70 บาทขึ้นไป - เหมาะสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้านำเข้าเป็นประจำ 3. บริการ: - จัดส่งฟรีแบบไม่มีขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล - ชำระค่าสินค้าได้หลากหลายทั้งผ่านบัตรเครดิต QR Code และเงินสด - สะสมแต้ม T1 4. การขยายสาขา: - กลยุทธ์ "ป่าล้อมเมือง" - เน้นขยายสาขาในย่านชานเมืองกรุงเทพฯ และปริมณฑล - สาขาแรกตั้งอยู่ที่เซ็นทรัลพระราม 2 - มีแผนขยายสาขาไปยังย่านบางนา ปทุมธานี และลำลูกกา 5. ไฮไลท์: - เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ในระบบสมาชิกที่ผสมผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์แห่งแรกของไทย - นำร่องเปิดให้บริการแบบ Tops Club Pop-up Store ที่เซ็นทรัลพระราม 2 - เปิด Flagship Store อย่างเป็นทางการแห่งแรก ที่เซ็นทรัลพระราม 2 บนพื้นที่ 15,000 ตร.ม. - ดึงสินค้าอิมพอร์ตจากท็อปส์เดิม เข้ามาวางจำหน่ายในราคาถูกกว่า - เน้นสินค้ากลุ่มไฮเอนด์ ผลลัพธ์: - กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ "Tops Club" ดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ และสร้างความแตกต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป - คาดว่าจะประสบความสำเร็จและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของท็อปส์ในอนาคต
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53189
Retail
ร้านค้าปลีกควรติดตั้งกล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการร้าน กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์สามารถช่วยร้านค้าปลีกในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของร้าน เช่น จำนวนลูกค้าที่เข้าร้าน พฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้า สินค้าที่ขายดี สินค้าที่ค้างสต๊อก ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ปรับกลยุทธ์การจัดวางสินค้า เติมสินค้าให้ทันเวลา จัดโปรโมชั่นสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ฯลฯ 2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์สามารถช่วยร้านค้าปลีกในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและมอบบริการที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น เช่น พนักงานสามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้ทันท่วงทีเมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ หรือสามารถแนะนำสินค้าเพิ่มเติมให้กับลูกค้าตามพฤติกรรมการช้อปปิ้ง 3. ช่วยลดความสูญเสีย กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์สามารถช่วยร้านค้าปลีกในการป้องกันการลักขโมยสินค้าและทรัพย์สินของร้านได้ โดย AI สามารถวิเคราะห์ภาพและแจ้งเตือนพนักงานเมื่อพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย 4. ช่วยเพิ่มความปลอดภัย กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์สามารถช่วยร้านค้าปลีกในการรักษาความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน โดย AI สามารถวิเคราะห์ภาพและแจ้งเตือนพนักงานเมื่อพบเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น เหตุการณ์ทะเลาะวิวาท เหตุการณ์ฉุกเฉิน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนติดตั้งกล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์ 1. ค่าใช้จ่าย กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์มีราคาค่อนข้างสูง ร้านค้าปลีกควรพิจารณาว่าค่าใช้จ่ายในการติดตั้งกล้องนั้นคุ้มค่ากับผลประโยชน์ที่จะได้รับหรือไม่ 2. ความเป็นส่วนตัว กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์สามารถเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าได้ ร้านค้าปลีกควรมีนโยบายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย โดยสรุป กล้อง CCTV ที่มี AI วิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับร้านค้าปลีกในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการร้าน เพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า ลดความสูญเสีย และเพิ่มความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกควรพิจารณาค่าใช้จ่ายและความเป็นส่วนตัวก่อนติดตั้งกล้อง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53190
Retail
นอกจากการวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์แล้ว BIZCUIT Vision Analytics ยังมีโซลูชั่นอื่นๆ อะไรอีกบ้างที่ช่วยธุรกิจรีเทลเพิ่มยอดขายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า?
null
โซลูชั่นอื่นๆ ของ BIZCUIT Vision Analytics BIZCUIT Vision Analytics นอกจากจะมีโซลูชั่นวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์แล้ว ยังมีโซลูชั่นอื่นๆ ที่ช่วยธุรกิจรีเทลเพิ่มยอดขายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Analytics) -วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า -วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย -วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญ -วิเคราะห์ยอดขาย -วิเคราะห์สต๊อกสินค้า 2. การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) -เก็บข้อมูลลูกค้า -บริหารจัดการข้อมูลลูกค้า -วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า -ทำการตลาดแบบตรงจุด 3. การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) -ตรวจสอบสต๊อกสินค้า -บริหารจัดการสินค้าคงคลัง -เติมสินค้าคงคลัง -วิเคราะห์ยอดขายสินค้า 4. การจัดการคิว (Queue Management) -จัดการคิวลูกค้า -แจ้งเตือนลูกค้า -วิเคราะห์เวลาการรอคิว 5. การวิเคราะห์ความปลอดภัย (Security) -ตรวจจับบุคคลต้องสงสัย -ตรวจจับวัตถุต้องสงสัย -วิเคราะห์ความเสี่ยง -แจ้งเตือนเหตุการณ์ ตัวอย่าง -ร้านค้าปลีกสามารถใช้ BIZCUIT Vision Analytics วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อพัฒนากลยุทธ์การจัดวางสินค้า -ร้านอาหารสามารถใช้ BIZCUIT Vision Analytics วิเคราะห์เวลาการรอคิวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการ -ห้างสรรพสินค้าสามารถใช้ BIZCUIT Vision Analytics วิเคราะห์ความปลอดภัยเพื่อป้องกันอาชญากรรม ผลลัพธ์ที่คาดหวัง -เพิ่มยอดขาย -เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า -เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน -ลดต้นทุน -เพิ่มความปลอดภัย สรุป BIZCUIT Vision Analytics เป็นโซลูชั่นที่ครบวงจรสำหรับธุรกิจรีเทล ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มยอดขาย สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และเพิ่มความปลอดภัย คำแนะนำเพิ่มเติม -ธุรกิจรีเทลควรศึกษาโซลูชั่นต่างๆ ของ BIZCUIT Vision Analytics และเลือกโซลูชั่นที่เหมาะสมกับธุรกิจ -ธุรกิจรีเทลควรมีทีมงานที่มีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล -ธุรกิจรีเทลควรนำข้อมูลที่ได้จาก BIZCUIT Vision Analytics ไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53196
Retail
ช่วยสรุปบทความ Jakaverse ผนึกกำลังแบรนด์ชั้นนำระดับประเทศ ประกาศสร้าง Metaverse ระดับโลกสุดยิ่งใหญ่ [PR] - Brand Buffet
Jakaverse เจ้าของแพลตฟอร์มโลกเสมือนจริง ที่มีจุดเด่นโดยจำลองเกาะสวรรค์แห่งจินตนาการ นิยามว่า “The Island” มีจุดเด่น เน้นความเป็นเมืองแห่งเกมเอ็นเตอร์เทนเมนท์, E-commerce, บริการ และนวัตกรรม ซึ่งสามารถดึงดูดคนทุกเพศ ทุกวัย ได้เป็นอย่างดี ล่าสุดได้จัดงานเปิดตัวโปรเจ็คท์และะพาร์ทเนอร์ ที่โรงละครอักษรา โรงแรม Pullman Kingpower โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 400 คน ทั้งนี้ภายในงานได้มีการแถลงข่าว และให้รายละเอียด โชว์นวัตกรรมและความคืบหน้าต่างๆ ของโปรเจ็คท์ โดยทีมพัฒนา Jakaverse คุณจักรพงษ์ ประจวบเหมาะ และคุณจิณณ์ธิตา จันทสุวรรณสิน รวมถึงแบรนด์ดังทั่วฟ้าเมืองไทยได้มีการแถลงข่าวร่วมกันบนเวทีในครั้งนี้ อาทิ กลุ่ม The Mall Group , กลุ่ม Em District , กลุ่ม สิงห์ คอร์ปอเรชั่น , กลุ่ม Central Retail (B2S,Officemate) , บมจ.JKN , Shop Channel , บมจ.ECF , กลุ่มห้างทองเล่งหงส์ และแบรนด์ต่างๆ อีกหลากหลายวงการด้วยกัน โดยทีมพัฒนา Jakaverse ได้กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า เป็นการมาอัพเดทภาพรวมของแพทฟอร์ม Metaverse โลกเสมือนจริง ทั้งหมด มีการเปิดแสดงให้เห็นถึงการใช้งานในแพทฟอร์มของ Jakaverse ในรูปแบบโลกเสมือนจริง โดยยังมีการแถลงข่าวเปิดตัวการใช้งานในแบบรูปเสมือนจริงของ บริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด , กลุ่มเดอะมอล์ และ The Richest ริชเชสของครูรุ้ง พิมพ์ภัทรา พิมพ์รัตนากุล รวมถึงนวตกรรมระดับสูงอย่างเทคโนโลยีเอไอ เกี่ยวกับสถาบันศึกษาที่ใช้โรบอทในการสอนรูปแบบเอไอก็ได้นำมาเปิดตัวในงานนี้ด้วย และในงานนี้ก็มีการเปิดตัว NFT รูปภาพงานศิลปะ เซ็ท Arivel ที่เตรียมเปิดขายในเร็วๆ นี้ รวมถึงการถูกลิสต์เหรียญ JK ของแพลตฟอร์มเข้าสู่ Exchange ระดับต้นๆ เช่น Lbank , Brittrex อีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ Jakaverse ได้เปิดให้จับจองที่ดิน บนแพลตฟอร์ม เป็นครั้งแรก JAKAs Pre-Sale โดยมีจำนวน JAKAs ที่เปิดขาย 5,000 ยูนิต แบ่งเป็น Premium และ Regular โดย JAKA ทั้งหมดสามารถขายได้หมด Sold Out ภายใน 1 วัน เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า Jakaverse อยู่ในความสนใจ เป็นอย่างมาก โดยมีทั้งผู้สนใจในประเทศไทยและต่างประเทศ ผู้ที่เข้ามาจับจองที่ดินของ Jakaverse จากหลากหลาย เช่น กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม, แบรนด์ชื่อดังต่าง ๆ, นักลงทุน, ศิลปิน NFT, รวมทั้งนักพัฒนาแพลตฟอร์มเกมแบบกระจายอำนาจ ที่จะให้อำนาจแก่ผู้สร้างผ่านการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน
Jakaverse เป็นแพลตฟอร์มโลกเสมือนจริงที่มีจุดเด่นในการจำลองเกาะสวรรค์ "The Island" ซึ่งเน้นเป็นเมืองแห่งเกมเอ็นเตอร์เทนเมนท์, E-commerce, บริการ และนวัตกรรม เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยได้ดี ได้จัดงานเปิดตัวโปรเจ็คท์และะพาร์ทเนอร์ล่าสุดที่โรงละครอักษรา โรงแรม Pullman Kingpower และมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 400 คน งานนี้มีการแถลงข่าวและโชว์นวัตกรรมและความคืบหน้าของโปรเจ็คท์ โดยทีมพัฒนา Jakaverse คุณจักรพงษ์ ประจวบเหมาะ และคุณจิณณ์ธิตา จันทสุวรรณสิน รวมถึงแบรนด์ดังทั่วไประเทศไทยท่ามกลางความสนใจจากกลุ่มองค์กรชั้นนำ ทีมพัฒนา Jakaverse ได้จัดงานเพื่ออัพเดทภาพรวมของแพทฟอร์ม Metaverse โลกเสมือนจริง แสดงการใช้งานใน Jakaverse ในรูปแบบโลกเสมือนจริง มีการเปิดตัวการใช้งานในแบบรูปเสมือนจริงของ บริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น, กลุ่มเดอะมอล์ และ The Richest ริชเชสของครูรุ้ง พิมพ์ภัทรา พิมพ์รัตนากุล นวตกรรมเทคโนโลยีเอไอในสถาบันศึกษาที่ใช้โรบอทในการสอนรูปแบบเอไอก็ถูกเปิดเผย และมีการเปิดตัว NFT รูปภาพงานศิลปะเซ็ท Arivel และการถูกลิสต์เหรียญ JK ของแพลตฟอร์มเข้าสู่ Exchange ระดับต้นๆ เช่น Lbank , Brittrex ในงานนี้ด้วย Jakaverse ได้เปิดให้จับจองที่ดินบนแพลตฟอร์ม โดยขายทั้งหมด 5,000 ยูนิต Jakaverse ได้รับความสนใจจากทั่วโลก มีผู้สนใจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีผู้ที่มีตำแหน่งทางธุรกิจ, แบรนด์ชื่อดัง, นักลงทุน, ศิลปิน NFT และนักพัฒนาแพลตฟอร์มเกมแบบกระจายอำนาจที่สนใจในการจับจองที่ดิน Jakaverse เพื่อให้ผู้สร้างได้รับอำนาจผ่านการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53197
Retail
กลยุทธ์การขยายตลาดสินค้าไทยไปต่างประเทศของสยามพิวรรธน์ มีความน่าสนใจอย่างไร? อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์นี้?
null
กลยุทธ์การขยายตลาดสินค้าไทยไปต่างประเทศของสยามพิวรรธน์ มีความน่าสนใจในหลายแง่มุม ดังนี้ จุดแข็ง: การจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง: การร่วมมือกับ Takashimaya ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น และช่วยให้เข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำเสนอสินค้าที่มีอัตลักษณ์: สินค้าทั้ง 3 แบรนด์ ได้แก่ แอ็บโซลูท สยาม, อีโค่โทเปีย และ ไอคอนคราฟต์ ล้วนมีจุดเด่นและความเป็นไทยที่แตกต่าง การผสมผสานช่องทางการขาย: การนำเสนอสินค้าทั้งออฟไลน์ (งาน Meetz STORE และงาน Asian Fair) และออนไลน์ (แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ) ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย: กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างโอกาสให้แบรนด์ไทยและผู้ประกอบการรายย่อยได้เติบโตในตลาดต่างประเทศ จุดอ่อน: การแข่งขันที่สูง: ตลาดต่างประเทศมีการแข่งขันสูง สินค้าไทยต้องเผชิญกับคู่แข่งจากหลายประเทศ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม: การเข้าใจพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าต่างประเทศ ข้อจำกัดด้านภาษา: การสื่อสารและการตลาดอาจมีอุปสรรคด้านภาษา ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม: การศึกษาตลาดอย่างละเอียด: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และคู่แข่งในต่างประเทศ การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับแต่ละตลาด: แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน กลยุทธ์จึงต้องปรับให้เหมาะสมกับตลาดนั้น ๆ การพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแกร่ง: พัฒนาสินค้า บริการ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและจดจำ การสร้างเครือข่ายพันธมิตร: ขยายเครือข่ายพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและการเข้าถึงลูกค้า การส่งเสริมการตลาดออนไลน์: สรุป: กลยุทธ์การขยายตลาดสินค้าไทยไปต่างประเทศของสยามพิวรรธน์ มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จ คำแนะนำเพิ่มเติม: - ติดตามผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้อย่างต่อเนื่อง - พัฒนาและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ - เรียนรู้จากประสบการณ์และนำมาปรับใช้ หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกลยุทธ์การขยายตลาดสินค้าไทยไปต่างประเทศของสยามพิวรรธน์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53200
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "Go! Hotel" ให้หน่อยค่ะ
ต่อยอดแบรนด์GO! ขยายพอร์ตฯโรงแรม แผนธุรกิจโรงแรมของเซ็นทรัลพัฒนาในช่วง 5 ปีนี้ จะเปิดตัวด้วย 3 แบรนด์หลักครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ 1. Centara แบรนด์ระดับ Upscale ราคา 2,000 บาทต่อคืน 2. Centara One แบรนด์ระดับ Lifestyle Midscale ราคา 1,500 บาทต่อคืน 3. Go! Hotel แบรนด์ระดับ Premium Budget ราคา 1,000 บาทต่อคืน ธุรกิจโรงแรมทั้ง 3 แบรนด์บริหารโดยโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (CENTEL) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เชนโรงแรมเซ็นทารา แต่อีก 2 แบรนด์ คือ Centara One และ Go! Hotel เป็นแบรนด์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับบริหารให้โรงแรมของเซ็นทรัลพัฒนา หากดูสัดส่วนการลงทุนโรงแรมจำนวน 37 แห่ง แบ่งเป็น Centara 4 แห่ง Centara One 8 แห่ง และ go! Hotel 25 แห่ง ในแง่มูลค่าการลงทุนทั้ง 3 แบรนด์ใช้เม็ดเงินใกล้เคียงกัน แต่ในด้านจำนวนจะเห็นว่า go! Hotel มากสุด เพราะด้วยคอนเซ็ปต์โรงแรมระดับ Premium Budget ขนาด 79 ห้อง ใช้เงินลงทุนไม่มาก เน้นขยายในเมืองอุตสาหกรรมที่มีโครงการศูนย์การค้าของทั้งเซ็นทรัลพัฒนาและเซ็นทรัลกรุ๊ปเปิดให้บริการอยู่แล้ว go! Hotel ที่ถูกนำมาเปิดตัวในธุรกิจโรงแรมของเซ็นทรัลพัฒนา ถือเป็นการต่อยอดแบรนด์ GO! ของ “เซ็นทรัลกรุ๊ป” ที่เปิดตัวแบรนด์นี้ครั้งแรกในฝั่งธุรกิจค้าปลีกของ “เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” (CRC) โดย “เซ็นทรัล เวียดนาม” ซึ่งเข้าไปทำธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามตั้งแต่ปี 2554 จากนั้นในปี 2561 ได้เปิดตัวศูนย์การค้า GO! ด้วยคอนเซ็ปต์ “Eat-Shop-Play” กิน ช้อป เที่ยว ครบจบในที่เดียว หลังจาก “เซ็นทรัล เวียดนาม” ได้ซื้อกิจการไฮเปอร์มาร์เก็ต Big C เวียดนาม จากกลุ่มคาสิโน ฝรั่งเศส ในปี 2559 (ส่วน Big C ในไทยขายให้กลุ่ม BJC) ต่อมาได้เปลี่ยนแบรนด์ Big C ในเวียดนาม มาเป็นแบรนด์ GO! ในปี 2561 นอกจากนี้ได้พัฒนาโมเดลซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีกขนาดเล็กในเวียดนาม ภายใต้แบรนด์ mini go! เพิ่มเติม เน้นขยายในเมืองขนาดกลางและเล็กในเวียดนาม
Go! Hotel เป็นโครงการใหม่ที่พัฒนาสำหรับบริหารให้โรงแรมของเซ็นทรัลพัฒนา เป็นการต่อยอดแบรนด์ GO! ที่เปิดตัวครั้งแรกในฝั่งธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัล เวียดนาม เป็นโรงแรมระดับ Premium Budget ราคา 1,000 บาทต่อคืน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53202
Retail
อาหารอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
1. 30% 2. 20% 3. 10% 4. 40%
ข้อที่ถูกต้องคือ 3. อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายในสิ้นปีนี้ และบริษัทคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลต่ออัตราการเติบโตของบริษัท รวมถึงอาจมีผลประกอบการที่ลดลงด้วยเช่นกัน เหตุที่กล่าวเช่นนั้น เพราะลูกค้าของ M&S ส่วนหนึ่งเริ่มเป็นกลุ่มที่มีอายุมากขึ้น ซึ่ง M&S ระบุว่า คนกลุ่มนี้อาศัยเงินบำนาญและผลตอบแทนจากตลาดหุ้น ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติในปีนี้ ทำให้กลุ่มลูกค้ามีเงินจับจ่ายลดลงนั่นเอง นอกจากนั้น ทาง M&S ยังมีการปิดหน้าร้านจำนวน 68 แห่ง และอาจต้องทำการรีโนเวทร้านที่เหลืออยู่ให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้งบในการลงทุนเพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านปอนด์เป็น 400 ล้านปอนด์ ในปีการเงินนี้ด้วย อย่างไรก็ดี M&S สามารถลดหนี้สุทธิจากสัญญาเช่าที่เคยมีอยู่ 1.1 พันล้านปอนด์ให้เหลือ 420 ล้านปอนด์ได้ และบอกว่าจะหันมาโฟกัสธุรกิจอาหารมากขึ้น โดยเน้นที่ความคุ้มค่าของอาหาร โดยส่วนหนึ่งมาจากผลสำรวจที่กล่าวข้างต้นที่พบว่า คนอังกฤษเริ่มยกเลิกการรับประทานอาหารบางมื้อลง และเปลี่ยนมาทำอาหารรับประทานที่บ้านแทนนั่นเอง Source Source
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53205
Retail
กลยุทธ์ Krungsri One Retail ของ กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) คืออะไร
null
กลยุทธ์ Krungsri One Retail มุ่งเน้นผสานจุดแข็งจากทุกธุรกิจในเครือ ผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. เพิ่มศักยภาพการวิเคราะห์ข้อมูล (Customer Data Analytic) เพื่อความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ด้วยข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่จำนวนมากทั้งปริมาณและคุณภาพ ประกอบกับ ทักษะและความเชี่ยวชาญของทีมงานและความพร้อมของระบบ IT ที่มีอยู่ ทางกรุงศรีจะสร้าง One Retail Integrated Data Platform เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าในทุกแง่มุม เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตรงความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ผ่านช่องทางและในเวลาที่เหมาะสม 2. เป็นพันธมิตรที่ลูกค้าไว้ใจด้านการเงินและลงทุน (Financial Literacy and Advisory) จากสถานการณ์โควิด-19 และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้คนไทยส่วนมากตระหนักถึงความจำเป็นของการวางแผนทางการเงิน และวินัยในการออม กรุงศรีจึงต้องการมีส่วนร่วมในการให้ความรู้กับคนไทยในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นพันธมิตรหรือที่ปรึกษาทางการเงินที่ลูกค้าไว้ใจ จึงริเริ่มโครงการ Krungsri THE COACH แหล่งรวมความรู้ทางการเงินครบทุกมิติ โดยมุ่งเน้นไปยังลูกค้า 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มลูกค้าทั่วไป (Mass Segment) ผ่านเนื้อหาที่ให้ความรู้ทางการเงินที่นำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ 2) กลุ่มลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง (High Net Worth) ในรูปแบบของการให้มุมมองการลงทุนผ่าน One Krungsri Investment View ที่ผสานความร่วมมือระหว่างธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด, และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และพันธมิตร BlackRock ร่วมวิเคราะห์สถานการณ์และให้มุมมองด้านการลงทุนอย่างรอบด้านเพื่อให้คำแนะนำแก่ลูกค้า 3. สร้างนวัตกรรมทางการเงินและบริการที่ตรงใจลูกค้า ด้วยความพร้อมด้าน Customer Data Analytic, ไอทีและดิจิทัลแพลตฟอร์ม, ทักษะและความเชี่ยวชาญของทีมงาน ตลอดจนเงินลงทุน ฯลฯ ทำให้กรุงศรีมีความพร้อมในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินและบริการที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น Krungsri Finnoventure Private Equity Fund กองทุนรวมนวัตกรรมใหม่ที่เน้นลงทุนในสตาร์ทอัพในไทย, Kept Together ฟีเจอร์ใหม่ในการออมเงิน, บัตร Krungsri NOW และบัตร XU บัตรเครดิตดิจิทัล, สินเชื่อบ้านซุปเปอร์ เซฟวิ่ง ที่นำเงินฝากมาใช้ลดภาระดอกเบี้ยบ้านได้, GO by Krungsri Auto แอปสำหรับผู้ที่ต้องการใช้บริการสินเชื่อยานยนต์, ความร่วมมือกับพันธมิตรเช่น Grab เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น สินเชื่อสำหรับ Rider 4. ผสานช่องทางการให้บริการเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้สะดวก ไร้รอยต่อ พร้อมประสบการณ์ที่ดีขึ้น กรุงศรีให้ความสำคัญในทุกช่องทางในการให้บริการลูกค้า เริ่มตั้งแต่ช่องทางดิจิทัลแพลตฟอร์มผ่านโมบายแอปพลิเคชันที่มีอยู่ ทั้ง KMA, UCHOOSE , GO และ Kept โดยจะเชื่อมต่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้เสมือนเป็นแอปเดียวกัน เช่น การเปิดบัญชีธนาคารผ่าน UCHOOSE หรือ GO Application สำหรับช่องทางสาขา ทางกรุงศรีได้มีการสร้าง One Retail Branch ซึ่งเป็นสาขารูปแบบใหม่ โดยผสานความร่วมมือระหว่างธนาคาร, กรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกรุงศรี ออโต้ ให้มีบริการอยู่ในสาขาเดียวกัน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเข้าถึงบริการ ผ่านแพลตฟอร์มของพันธมิตร และ Banking Agent กว่า 200,000 จุด
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53216
Retail
SCG HOME เปลี่ยนกลยุทธ์การค้าปลีกอย่างไร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน?
null
SCG HOME เปลี่ยนกลยุทธ์การค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ดังนี้: 1. มุ่งสู่การเป็นผู้ช่วยเรื่องที่อยู่อาศัย หรือ Lifetime Home Partner: - มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้า บริการ และโซลูชั่น ครอบคลุมทุกขั้นตอนของการอยู่อาศัย - ให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง ปรับปรุง ต่อเติม ดูแลรักษาบ้าน - ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ 2. เชื่อมโยงช่องทางการซื้อสินค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์: - ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ - สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล 3. นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาประสบการณ์การซื้อขาย: - Smart Display ให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าด้วยตนเอง Virtual Store ให้ลูกค้าท่องร้านบนโลกเสมือน - ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 4. พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับการทำงานของกลุ่มร้านค้า ช่าง และผู้รับเหมา: - แพลตฟอร์มจัดซื้อวัสดุก่อสร้างออนไลน์ “รักเหมา” - แพลตฟอร์มสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างออนไลน์ “Prompt Plus” (พร้อมพลัส) - แพลตฟอร์มซื้อขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์ “Promptdee” (พร้อมดี) - ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. เน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ: - บริการตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้าน - บริการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น - บริการอื่นๆ เพิ่มเติม ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุม ตัวอย่างกลยุทธ์การค้าปลีกของ SCG HOME: - เปิดตัว SCG HOME Experience สาขาเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา (CDC) - นำเสนอนวัตกรรมสินค้าและโซลูชั่นมากมาย - เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล - มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ลูกค้า ผลลัพธ์: - SCG HOME สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางขึ้น เพิ่มโอกาสในการขาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า - ตอกย้ำภาพลักษณ์ของ SCG HOME ในฐานะผู้ช่วยเรื่องที่อยู่อาศัย สรุป: SCG HOME เปลี่ยนกลยุทธ์การค้าปลีกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจร คำอธิบายเพิ่มเติม: 1. กลยุทธ์การค้าปลีกของ SCG HOME สอดคล้องกับเทรนด์การค้าปลีกในปัจจุบัน ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการผสมผสานระหว่างช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ 2. SCG HOME เข้าใจความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และครบวงจร 3. กลยุทธ์ใหม่ของ SCG HOME จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และตอกย้ำภาพลักษณ์ของ SCG HOME ในฐานะผู้ช่วยเรื่องที่อยู่อาศัย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53217
Retail
สรุปบทความเรื่อง กลุ่มเซ็นทรัล รีเทล แตกธุรกิจใหม่ ''go!Power'' ให้หน่อย
ด้วยยุทธศาสตร์ธุรกิจของ “กลุ่มเซ็นทรัล รีเทล” (CRC) คือ เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ในประเทศไทย และขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ล่าสุดได้แตกไลน์ธุรกิจใหม่ ภายใต้ชื่อ “go!Power (โก! เพาเวอร์)” โดยเพาเวอร์บาย (Power Buy) เป็นศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ผ่อนน้อย อนุมัติไว ปักหมุดนำร่องแล้ว 7 สาขา พร้อมเร่งขยายอย่างต่อเนื่องในปี 2565 ทั่วประเทศ คุณวรวุฒิ พงศ์ชินภัค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เผยถึงการเปิดตัวธุรกิจใหม่ร้าน “go!Power (โก! เพาเวอร์)” ว่าเราต้องการเป็นมากกว่าร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เคียงคู่ลูกค้าในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน คัดสรรสินค้าเพื่อสนองความต้องการลูกค้าได้เข้าถึงการมีเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ง่าย ผ่อนน้อย อนุมัติไว ได้ของแท้ การันตีคุณภาพต้องที่“go!Power (โก! เพาเวอร์)”เท่านั้น นอกจากนี้เรายังจับมือคู่ค้าผู้ให้บริการด้านสินเชื่อ อาทิ สุจิตรา ชโย สบายลิสซิ่ง แค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็ผ่อนได้ พร้อมโปรดีสุดคุ้ม โดนใจลูกค้าและมั่นใจได้ว่า เมื่อมาที่ร้านนี้จะต้องได้สินค้าดี ผ่อนได้ สบายกระเป๋า ร้าน “go!Power (โก! เพาเวอร์)” มาในคอนเซ็ปต์สีแดง สดใส เป็นกันเอง จริงใจ มีไลน์สินค้ามากกว่า 5,000 รายการ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ พบสินค้าที่หลากหลาย ครบครันทุกความต้องการ คุ้มค่าด้วยราคา ผ่อนน้อย อนุมัติไว ทำให้ลูกค้ามีเครื่องใช้ไฟฟ้าง่ายขึ้น ในราคาต่ำกว่า 1,000 บาท ของแท้ การันตีแบรนด์คุณภาพ ปัจจุบัน “go!Power (โก! เพาเวอร์)” ได้เปิดให้บริการแล้ว7 สาขา นำร่องในหัวเมืองตามต่างจังหวัดต่างๆ ได้แก่ สาขาหัวหิน (จ.ประจวบฯ),สาขากระนวน (จ.ขอนแก่น), สาขาศรีบุญเรือง (จ.หนองบัวลำภู) สาขาอมตะ (จ.ชลบุรี), สาขาชุมแพ (จ.ขอนแก่น) และสาขาล่าสุด สาขายูดีทาวน์ และสาขาบ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งเปิดให้บริการแล้วเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา “go!Power (โก! เพาเวอร์) มีจุดแข็งในเรื่องความหลากหลายของสินค้า กลยุทธ์เงินผ่อน เน้นผ่อนน้อย อนุมัติไว อีกทั้งเรายังได้เปรียบในการบริหารจัดการสินค้าที่มีคุณภาพ การส่งสินค้ารวดเร็ว และการบริการหลังการขาย ทีมงานคอยให้คำแนะนำและการบริการอย่างมืออาชีพ นี่คือจุดเด่นของเรา และยังสามารถสะสมคะแนน The 1 ได้อีกด้วย มั่นใจได้ว่าเมื่อมาช้อปที่ โก! เพาเวอร์ คุณสามารถมีเครื่องใช้ไฟฟ้า และไอทีกลับไปใช้ที่บ้านได้อย่างสบายใจ สบายกระเป๋าอย่างแน่นอน”
กลุ่มเซ็นทรัล รีเทล แตกธุรกิจใหม่ ภายใต้ชื่อ “go!Power (โก! เพาเวอร์)” โดยเพาเวอร์บาย (Power Buy) เป็นศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า เปิดแล้ว 7 สาขา พร้อมเร่งขยายทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังจับมือคู่ค้าผู้ให้บริการด้านสินเชื่อ ใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็ผ่อนสินค้าได้ โดยร้านมาในคอนเซ็ปต์สีแดง มีสินค้ามากกว่า 5,000 รายการ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53218
Retail
ผู้บริหารหญิงที่เป็นคนไทยคนแรกของฟู้ดแพนด้า คือใคร
ฟู้ดแพนด้า (foodpanda) เปิดตัวกรรมการผู้จัดการคนใหม่ “ศิริภา จึงสวัสดิ์” แทนที่ อเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ ตั้งเป้าขยายการเติบโตจาก Food Delivery สู่การขายสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการ Pick Up อาจเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่น่าจับตาของฟู้ดแพนด้า หลังจากเปิดธุรกิจในไทยมาเกิน 10 ปี กับการตั้งผู้บริหารหญิงที่เป็นคนไทย และคร่ำหวอดในธุรกิจสตาร์ทอัพมายาวนานอย่างคุณเฮียง – ศิริภา จึงสวัสดิ์ อดีตผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Uber ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี สำหรับการรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ foodpanda ประเทศไทย คุณศิริภาเผยว่า จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารบทบาทของฟู้ดแพนด้าว่ามีอีกหลายฟีเจอร์ นอกเหนือจากบริการ Food Delivery โดยเฉพาะในธุรกิจ Quick Commerce อย่างการสั่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลูกค้าไม่ต้องออกจากบ้านก็สามารถสั่งของจากซูเปอร์มาร์เก็ตได้ และมองว่าจะทำให้ตัวแอป foodpanda สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคได้มากขึ้น “คนรู้จักฟู้ดแพนด้าจากบริการเดลิเวอรี่อาหาร แต่เราจะขยายธุรกิจให้มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของลูกค้า เช่น การขายของกินของใช้ แชมพู ผักสด ก็สั่งได้จากฟู้ดแพนด้า (ผ่าน Pandamart และ foodpanda shops) รวมถึงบริการรับเองที่ร้าน (Pick-up), บริการทานที่ร้าน (Dine-in) และบริการแพ็กเกจสมาชิก pandapro” อ่านเพิ่มเติมเรื่อง Pandamart ที่ Quick Commerce คืออะไร และทำไม Retail Business ถึงเป็นโอกาสใหม่สำหรับ Foodpanda – Brand Buffet Food Delivery ไทย แข่งอย่างไรให้ชนะ จากการเปิดเผยของคุณศิริภา ปัจจุบัน ฟู้ดแพนด้ามีร้านอาหารบนแพลตฟอร์มทั้งสิ้น 145,000 ร้านค้า และมีไรเดอร์ 100,000 ราย ลดลงจากเมื่อปลายปี 2021 ที่มีไรเดอร์ 120,000 ราย (อ้างอิงจาก เจาะใจ foodpanda กับ 3 เหตุผล ใช้ “เปาเปา” แพนด้าดิจิทัลเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ลบภาพดราม่า – Brand Buffet) นอกจากนี้ คุณศิริภายังเผยพฤติกรรมการสั่งอาหารของคนไทยที่แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านนั่นคือ ประเทศเพื่อนบ้านนิยมสั่งอาหารสำหรับการรับประทานหลาย ๆ คน ขณะที่คนไทยอาจสั่งสำหรับรับประทานคนเดียว ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว คุณศิริภาเผยว่าการแข่งขันยังอยู่ในช่วง Early-Mid Stage นั่นคือยังไม่มีผู้ใดชนะ หรือครองตลาดได้อย่างเป็นทางการ ทำให้การแข่งขันค่อนข้างดุเดือด “ในสถานการณ์ดังกล่าว ยังไม่ได้อยู่ในช่วงของการทำกำไร ความท้าทายของฟู้ดแพนด้าในการแข่งขันนี้ก็คือจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้รายได้เพิ่มขึ้น โดยเทคโนโลยีสามารถช่วยเราพัฒนาในแง่ของระยะเวลาในการจัดส่ง รวมถึงการใช้ Data เพื่อนำเสนอสินค้าที่น่าจะถูกใจผู้บริโภคมากขึ้น วันนี้เราไม่ได้อยากเป็นแค่ฟู้ดเดลิเวอรี่อีกต่อไป เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสั่งซื้อของกินของใช้ของคนไทยด้วย” คุณศิริภากล่าวปิดท้าย ทั้งนี้ ฟู้ดแพนด้าเปิดให้บริการในไทยแล้ว 77 จังหวัด ขณะที่ในภูมิภาคเอเชีย ฟู้ดแพนด้าให้บริการในกว่า 400 เมือง ครอบคลุม 11 ตลาดในเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ สิงคโปร์, ฮ่องกง, ไทย, มาเลเซีย, ปากีสถาน, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, บังกลาเทศ, ลาว, กัมพูชา และเมียนมา
ฟู้ดแพนด้า (foodpanda) เปิดตัวกรรมการผู้จัดการคนใหม่ “ศิริภา จึงสวัสดิ์” แทนที่ อเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ ตั้งเป้าขยายการเติบโตจาก Food Delivery สู่การขายสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการ Pick Up อาจเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่น่าจับตาของฟู้ดแพนด้า หลังจากเปิดธุรกิจในไทยมาเกิน 10 ปี กับการตั้งผู้บริหารหญิงที่เป็นคนไทย และคร่ำหวอดในธุรกิจสตาร์ทอัพมายาวนานอย่างคุณเฮียง – ศิริภา จึงสวัสดิ์ อดีตผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Uber ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี สำหรับการรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ foodpanda ประเทศไทย คุณศิริภาเผยว่า จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารบทบาทของฟู้ดแพนด้าว่ามีอีกหลายฟีเจอร์ นอกเหนือจากบริการ Food Delivery โดยเฉพาะในธุรกิจ Quick Commerce อย่างการสั่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลูกค้าไม่ต้องออกจากบ้านก็สามารถสั่งของจากซูเปอร์มาร์เก็ตได้ และมองว่าจะทำให้ตัวแอป foodpanda สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคได้มากขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53232
Retail
4 เทรนด์ "ดาต้า" สำคัญ และ 6 พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2022 มีอะไรบ้าง
null
เทรนด์ "ดาต้า" สำคัญ แบรนด์ต้องมี Right Data ไม่ใช่ Big Data: เน้นการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อตอบโจทย์การตลาด เริ่มจากตั้งคำถามที่ชัดเจน วิเคราะห์ข้อมูลผลตอบรับของแคมเปญเดิม นำมาปรับใช้ -ยุคของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI (Precisely Human): มนุษย์ใช้ AI หากลุ่มเป้าหมายใหม่ วิเคราะห์ข้อมูล AI ช่วยให้ทำงานเร็วและแม่นยำ มนุษย์ช่วยให้ AI พัฒนาโดยป้อนข้อมูลที่ฉลาด -นักการตลาดต้องให้ความสำคัญกับ 1st Party Data: เน้นเก็บข้อมูลจากแพลตฟอร์มของตัวเอง เสนอส่วนลด แชทบอทแนะนำสินค้า เก็บข้อมูลเพื่อทำการตลาดเฉพาะบุคคล -ยุคของ Metaverse และการเตรียมรับมือกับ Data: AR/VR สร้างประสบการณ์ใหม่ วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน พัฒนาการตลาดใน Metaverse 6 พฤติกรรมผู้บริโภค -การกลับมาใช้ชีวิตในสังคมแบบเกือบปกติ: ช้อปปิ้งแบบ Phygital Community, Hybrid Store, Contactless Connection, Omnichannel Retail -ผู้บริโภคหาช่องทางเพิ่มประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด: Hometainment, Statement of Place and Space, Survive or Alive -เทรนด์ย้อนยุค: Nostalgia Reminiscing, Down the Memory Lane -ยุคของโลกเสมือนจริง: Mega Metaverse, No More Middle Man -ใส่ใจสิ่งต่างๆ รอบตัว: Play a Part, Well – Balance Wellness -เทคโนโลยีเติมเต็มประสบการณ์: Voice, Visual, Video, Virtual Assistant, Shoppable Media, In Control and On Demand
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53234
Retail
PRIMO Omnichannel Marketing Platform ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้อย่างไร?
null
PRIMO Omnichannel Marketing Platform ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้หลายประการ ดังนี้: 1. เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง: -PRIMO ช่วยให้ธุรกิจรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง (Omnichannel) เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หน้าร้าน สื่อสังคมออนไลน์ ฯลฯ -วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Insights) เกี่ยวกับพฤติกรรม ความต้องการ และความชอบของลูกค้า -แบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) -personalize ประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม 2. เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและการตลาด: -PRIMO ช่วยให้ธุรกิจสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าแต่ละกลุ่ม (Personalized Marketing) -ส่งข้อความ (Message) โปรโมชั่น และเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าผ่านช่องทางที่เหมาะสม -เพิ่มโอกาสในการแปลงลูกค้าเป้าหมายเป็นยอดขาย (Conversion Rate) 3. ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง: -PRIMO ช่วยให้ธุรกิจสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น ไร้รอยต่อ (Seamless Experience) -เชื่อมต่อช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (Omnichannel Commerce) -ลูกค้าสามารถเริ่มช้อปปิ้งบนช่องทางหนึ่งและทำการซื้อบนอีกช่องทางหนึ่งได้อย่างสะดวก -เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) 4. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: -PRIMO ช่วยให้ธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Insights) เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด -optimize กลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น -เพิ่ม ROI (Return on Investment) -ลดต้นทุนการดำเนินงาน ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ PRIMO Omnichannel Marketing Platform ในธุรกิจค้าปลีก: ระบบแนะนำสินค้า: -แนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า based on ประวัติการซื้อสินค้า ระบบการแจ้งเตือนสินค้า: -แจ้งเตือนลูกค้าเมื่อสินค้าที่ต้องการกลับมาอยู่ในสต็อก ระบบคูปองส่วนลด: -มอบคูปองส่วนลดส่วนตัวสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ระบบแชทบอท: -ตอบคำถามลูกค้าและให้บริการลูกค้า 24/7 PRIMO Omnichannel Marketing Platform ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการเติบโต และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน สรุป: -PRIMO ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง -เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและการตลาด -ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง -เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ PRIMO ในธุรกิจค้าปลีก -PRIMO ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53249
Retail
กลยุทธ์ของ Robomart จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร
null
กลยุทธ์ของ Robomart จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. เพิ่มช่องทางการจำหน่าย: Robomart นำเสนอช่องทางการจำหน่ายแบบใหม่สำหรับธุรกิจค้าปลีก ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 2. ลดต้นทุน: Robomart ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า 3. เพิ่มประสิทธิภาพ: Robomart ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การติดตามสินค้า และการชำระเงิน 4. เพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า: Robomart นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ให้กับลูกค้า สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และตรงใจ 5. ขยายฐานลูกค้า: Robomart ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ เช่น ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกล หรือผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวก ตัวอย่าง ซูเปอร์มาร์เก็ตสามารถใช้ Robomart ในการจัดส่งสินค้าถึงหน้าบ้านลูกค้า ร้านอาหารสามารถใช้ Robomart ในการขายอาหารแบบเดลิเวอรี่ แบรนด์สินค้าสามารถใช้ Robomart ในการโปรโมทสินค้าและทำการตลาด โดยสรุป กลยุทธ์ของ Robomart จะช่วยพลิกโฉมธุรกิจค้าปลีก ช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น และนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของ Robomart ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้นทุนการพัฒนาและใช้งาน Robomart ยังสูง กฎระเบียบเกี่ยวกับรถไร้คนขับยังไม่ชัดเจน ผู้บริโภคบางกลุ่มอาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ Robomart ดังนั้น ธุรกิจค้าปลีกควรพิจารณาข้อจำกัดเหล่านี้ก่อนตัดสินใจใช้ Robomart นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และพัฒนาศักยภาพของตัวเองเพื่อให้สามารถแข่งขันในยุคดิจิทัลได้
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53259
Retail
ไปรษณีย์ไทย มองโอกาสพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ไม่ได้มองแค่การขนส่งในประเทศไทยเท่านั้น แต่มองระดับภูมิภาค CLMV ผนึกกำลังกับหน่วยงานไปรษณีย์ในประเทศต่างๆ เป็น Singer Network เพื่ออะไร
การเกิดขึ้นของผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจขนส่งมูลค่า “แสนล้าน” ตลอดช่วง 5 ปีมานี้ ส่งผลให้เจ้าตลาด “ไปรษณีย์ไทย” องค์กร 140 ปี มีรายได้ลดลงต่อเนื่อง จากรายใหม่เข้ามาแย่งตลาด และต้องเผชิญกับตัวเลข “ขาดทุน” ในปีที่ผ่านมา ดูได้จากตัวเลขผลประกอบการ “ไปรษณีย์ไทย” ย้อนหลัง 5 ปี -ปี 2560 รายได้ 27,872 ล้านบาท กำไร 4,221 ล้านบาท -ปี 2561 รายได้ 29,298 ล้านบาท กำไร 3,809 ล้านบาท -ปี 2562 รายได้ 27,162 ล้านบาท กำไร 589 ล้านบาท -ปี 2563 รายได้ 23,712 ล้านบาท กำไร 238 ล้านบาท -ปี 2564 รายได้ 21,226 ล้านบาท ขาดทุน 1,730 ล้านบาท การฝ่าสมรภูมิ Red Ocean ในธุรกิจขนส่งเพื่อให้ ไปรษณีย์ไทย กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง หัวเรือใหญ่ คุณดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) วางยุทธศาสตร์ที่ต้องทำไว้ 2 เรื่องหลัก คือ 1. Fix the core business ฟื้นรายได้ธุรกิจเดิม และ 2. Explore new ocean หารายได้จากน่านน้ำใหม่ หากดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในธุรกิจขนส่ง มาจากหลายปัจจัยที่ทำให้ “ไปรษณีย์ไทย” ต้องปรับตัว! – สถานการณ์โควิด-19 ตลอดช่วง 3 ปีนี้ ทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนแปลง แนวทางการทำธุรกิจมุ่งสู่ลูกค้าเป็นหลัก (Customer Centric) ทำให้มองเห็นความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ทำให้ธุรกิจไม่มีขอบเขต (Bordering) อีกต่อไป วันนี้คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์เท่านั้น แต่มีกลุ่มที่ข้ามอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะ Tech Company ระดับโลก – แม้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตในช่วงโควิด แต่ในธุรกิจขนส่งเกิดสงครามราคาแย่งลูกค้า จนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ “ขาดทุน” ก่อนโควิด ปี 2562 ไปรษณีย์ไทยมีปริมาณงานส่ง 7.4 ล้านชิ้นต่อวัน ปี 2564 ลดลงเหลือ 5.5 ล้านชิ้นต่อวัน – ปัจจุบันผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada ก็มาให้บริการโลจิสติกส์ส่งของเช่นกัน กลุ่มนี้มีความได้เปรียบจากการขายสินค้าที่มี Volume ในมืออยู่แล้ว เมื่อมาให้บริการส่งสินค้าเองก็สามารถควบคุมธุรกิจได้ทั้งอีโคซิสเต็ม ตั้งแต่ขายสินค้าไปถึง Last mile delivery มีดาต้าลูกค้าอยู่ในมือ เลือกเส้นทางส่งของที่มีกำไรได้ก่อน – ลูกค้าที่มาใช้บริการส่งของ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้น รูปแบบการขายสินค้าไลฟ์และโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลเหมือนกัน เมื่อสินค้าไม่ต่างกัน จึงต้องการค่าของส่งราคาถูก เพื่อทำให้สินค้าราคาถูกจูงใจผู้ซื้อ และต้องการเวลาส่งของที่ยืดหยุ่น เปิดให้บริการทุกวัน หรือกระทั่งเปิด 24 ชั่วโมง ตามดูกลยุทธ์ไปรษณีย์ไทยปรับตัวฟื้นรายได้ธุรกิจขนส่งเดิมและโอกาสในน่านน้ำใหม่ ตามยุทธศาสตร์ Fix the core business และ Explore new ocean 1. ปรับธุรกิจเดิมสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล เดินหน้าขนส่ง EV หากดูธุรกิจไปรษณีย์ทั่วโลกเกิดและเติบโตมาจากการสื่อสาร เริ่มจากการส่งจดหมาย ปัจจุบันการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีที่มีหลากหลายแพลตฟอร์มเข้ามาแทนที่ คนส่งจดหมายลดลง ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ไปรษณีย์ยังต้องทำอยู่ ดังนั้นในยุคนี้ จึงต้องปรับวิธีการส่งจาก Physical เป็น Digital จากจดหมายเป็น E-document เป็นการปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บริการในยุคนี้และลดต้นทุน การพัฒนาระบบจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร (Prompt Post) บริการประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Timestamp) บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (KYC) การใช้พื้นที่คลังไปรษณีย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศเปิดเป็นพื้นที่ให้บริการ Fulfillment ระดับจังหวัด อีกทั้งมุ่งเป็นขนส่งรายแรกที่จะนำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในระบบงานไปรษณีย์และระบบนำจ่ายจำนวนกว่า 600 คัน ทดแทนรถเดิมที่หมดอายุใช้งานในปี 2566 2. สร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ภูมิภาค สู่ฮับ CLMV ทิศทางการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ทำให้มีผู้ประกอบการข้ามอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจโลจิสติกส์มากขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก มีเงินทุนจำนวนมาก สามารถสร้างเครือข่ายขนส่งครอบคลุมทั้ง CLMV ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศไทยถือว่าอยู่ในโลเคชั่นศูนย์กลางของภูมิภาค CLMV ที่มีประชากรรวมกว่า 300 ล้านคน ประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะพัฒนาโลจิสติกส์ให้เป็นฮับของภูมิภาคนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น EEC รถไฟความเร็วสูง ที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซของภูมิภาคด้วยเช่นกัน ดังนั้น ไปรษณีย์ไทย จึงมองโอกาสพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ไม่ได้มองแค่การขนส่งในประเทศไทยเท่านั้น แต่มองระดับภูมิภาค CLMV ผนึกกำลังกับหน่วยงานไปรษณีย์ในประเทศต่างๆ เป็น Singer Network เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ระบบโลจิสติกส์ของภูมิภาคนี้ หากทำได้สำเร็จก็สามารถเสนอตัวเป็นผู้ให้บริการกับอีคอมเมิร์ซทุกแพลตฟอร์มได้ ซึ่งจะส่งผลดีกับทุกฝ่ายแบบ win win ฝั่งอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนสร้างโลจิสติกส์ในทุกประเทศ ฝั่งไปรษณีย์ในภูมิภาคนี้ มีลูกค้ารายใหญ่ใช้บริการ ไม่ต้องมาแข่งขันกันด้วยสงครามราคาที่บาดเจ็บกันทุกฝ่าย 3. จับมือไปรษณีย์ลาว เชื่อมขนส่ง “ไทย-ลาว-จีน” กลยุทธ์การสร้างเครือข่ายใน CLMV ไปรษณีย์ไทยเริ่มจากการความร่วมมือด้านขนส่งกับ รัฐวิสาหกิจไปรษณีย์ลาว (Entreprise des Postes Lao) เพื่อให้บริการขนส่งข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับไปรษณีย์ไทยและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ความร่วมมือหลักๆ ดังนี้ – เส้นทางขนส่ง ร่วมมือกันทั้ง การขนส่งทางราง โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ลาว – คุนหมิง เพื่อขนส่งสินค้าข้ามแดนที่รวดเร็วไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ เช่น สินค้าทางการเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค จากไทยผ่านลาวไปถึงจีน และต้นทางจีนผ่านลาวมายังไทย โดยเป็นการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากไทย สปป.ลาว เวียดนาม และจีน ในอนาคตสามารถใช้การขนส่งทางรถไฟได้ จะทำให้การขนส่งทั้ง 3 ประเทศสะดวกยิ่งขึ้น บริการขนส่งทางรางไป สปป.ลาวและจีน มีต้นทุนต่ำกว่าขนส่งทางอากาศ 20% – บริการขนส่ง ปัจจุบันสปป.ลาวและไทยให้บริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ได้แก่ บริการไปรษณียภัณฑ์ บริการ EMS World บริการพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศทั้งทางอากาศและทางภาคพื้น ล่าสุดได้เปิดบริการ ePacket การส่งสิ่งของที่เป็นซองหรือกล่องน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัมในราคาประหยัด เพื่อรองรับลูกค้าทั้งที่เป็นรายย่อย และ SMEs รวมถึงยังศึกษาบริการ ePacket Plus ซึ่งเป็นบริการเสริมเพื่อรับประกันความเสียหาย – การขายสินค้า เป็นการทำตลาดอีคอมเมิร์ซ ด้วยการนำสินค้าท้องถิ่นของ สปป.ลาว มาจำหน่าย บนเว็บไซต์ thailandpostmart.com ของไปรษณีย์ไทย เช่น งานคราฟท์ กาแฟ สินค้าหัตถกรรมจากไม้ ผ้าทอมือ รวมถึงการทำการตลาดขนส่งให้กับสินค้าไทยที่ต้องการขยายไปสู่ สปป.ลาว – บริการการเงิน ทั้ง 2 หน่วยงานได้เตรียมพัฒนาบริการการเงินในรูปแบบใหม่เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น การจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันหรือ eWallet และบริการจ่ายเงินปลายทาง (COD) ระหว่างประเทศ ที่จะช่วยสนับสนุนตลาดอีคอมเมิร์ซไทย โดยไปรษณีย์ไทย ถือเป็นผู้ให้บริการ COD รายแรกใน สปป.ลาว ซึ่งบุรุษไปรษณีย์ลาว จะเป็นผู้เก็บเงินส่งมาให้ไปรษณีย์ไทย 4. ลุยค้าปลีก Thailandpostmart “ธุรกิจขนส่ง” เป็นการรับของจากคนส่ง ดังนั้นของที่รับมาจึงไม่ได้เกิดจากทราฟฟิกที่ไปรษณีย์ไทยสร้างขึ้นเอง เพราะเป็นการรับของมาส่งจากลูกค้า ซึ่งสามารถเปลี่ยนไปใช้ผู้ส่งรายใหม่ได้ตลอดเวลา โดยมี “ราคาค่าส่ง” เป็นปัจจัยเลือก ดังนั้นหากไปรษณีย์ไทยสามารถสร้างดีมานด์ (ชิ้นงาน) ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ก็จะทำให้เกิดความมั่นคงของรายได้และธุรกิจ รูปแบบการสร้างชิ้นงานของ ไปรษณีย์ไทย ก็มาจากการรู้จัก “ของดี” ในชุมชน จากการเข้าถึงชุมชนได้ดี จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Thailandpostmart เป็นแหล่งรวมของดีจากชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถสั่งซื้อสินค้าอร่อยได้ทั่วประเทศ และไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่ส่งของ ผ่านเครือข่าย “บุรุษไปรษณีย์” หรือ พี่ไปรฯ ที่มีกว่า 20,000 คน ปัจจุบันมีสินค้ากว่า 15,000 รายการ มีร้านค้าราว 7,000 แห่ง นอกจากนี้ความร่วมมือกับเครือข่ายไปรษณีย์กลุ่ม CLMV เริ่มจาก สปป.ลาว จะนำสินค้าของดีจากต่างประเทศ มาขายบน Thailandpostmart ด้วยเช่นกัน ถือเป็นโอกาสให้คนไทยได้ซื้อสินค้าใหม่ๆ เช่นเดียวกับสินค้าไทยที่สามารถไปขายใน สปป.ลาวได้ ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกได้เป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจต่างๆ ใช้เครือข่ายพี่ไปรฯ เป็นตัวแทนขายสินค้าให้กับธุรกิจต่างๆ เช่น กลุ่มเทเลคอม ทรู เอไอเอส ดีแทค ในการกระจายซิมมือถือ ไปยังครัวเรือนต่างๆ การเติมเงินมือถือ รวมทั้งขายสินค้าต่างๆ ปัจจุบันยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ไม่สะดวกในการเข้าถึงบริการต่างๆ แต่ไปรษณีย์ไทย สามารถเข้าไปเติมเต็มและให้บริการได้ วันนี้โครงข่ายพี่ไปรฯ เข้าถึงพื้นที่ทั่วประเทศครอบคลุม 1 ล้านครัวเรือนต่อวัน จึงตอบโจทย์การทำงานหลายบริการด้วยต้นทุนต่ำ ปีนี้คาดว่าได้รายการธุรกิจค้าปลีก หลักๆ มาจากการขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Thailandpostmart จะมีรายได้ 700 ล้านบาท และน่าจะแตะ 1,000 ล้านบาทในปี 2566 5. เปิดไฟติ้งแบรนด์ POST SABUY เจาะลูกค้าใหม่ สำหรับแบรนด์ไปรษณีย์ไทย อายุ 140 ปี เป็นที่รู้จักดีในคนส่วนใหญ่ แต่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลมีแบรนด์ขนส่งให้เลือกใช้บริการหลากหลาย อาจไม่คุ้นเคยกับบริการไปรษณีย์ไทย เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่ม Gen Z ไปรษณีย์ไทยได้จับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มสบาย (SABUY) เปิดตัวธุรกิจขนส่งน้องใหม่ POST SABUY (โพสต์สบาย) ที่ถือเป็น Fighting Brand (ไฟติ้งแบรนด์) ของไปรษณีย์ไทย ความร่วมมือของ POST SABUY ในฝั่งไปรษณีย์ไทย จะดูแลการขนส่งจากหน้าร้านถึง Last mile หน้าบ้านผู้รับพัสดุ ส่วนกลุ่มสบาย มีหน้าร้าน (Drop-off store) รับและส่งพัสดุ ของบริษัท สบาย สปีด จำกัด (SABUY SPEED) 8 แบรนด์ คือ Shipsmile , Plus Express, The Letter POST, Point Express, PaysPOST, Paypoint, Speedy และ CollectCo รวมกว่า 17,000 แห่งทั่วประเทศ ทำหน้าที่เป็นหน้าร้านรับพัสดุ จากนั้นไปรษณีย์ไทยจะมารับแล้วจัดส่ง POST SABUY เป็นขนส่งที่เน้นกลุ่มเป้าหมายพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์และผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่เริ่มทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็นรายได้หลักและอาชีพเสริม กลุ่มนี้มีอยู่ในทุกชุมชนทั่วประเทศ ใช้โซเชียลมีเดียในการไลฟ์ขายสินค้าตามเวลาที่สะดวก จึงมีออร์เดอร์ลูกค้าเข้ามาตลอดวัน โดยเฉพาะช่วงเย็นและกลางคืน ดังนั้นบริการของ POST SABUY จึงสร้างความแตกต่าง ด้วยเวลารับส่งที่ยืดหยุ่น โดยจะเข้ารับพัสดุจากหน้าร้านรอบสุดท้ายของวันในเวลา 16.00 น. เพื่อให้พ่อค้าแม้ค้าออนไลน์มีเวลาแพ็คสินค้าจากการขายในช่วงกลางคืนมาส่งได้ทันวันถัดไป โดยไปรษณีย์ไทยจะเข้ามารับพัสดุที่หน้าร้านกลุ่มสบาย สปีด ทั้ง 8 แบรนด์ กว่า 17,000 แห่งทั่วประเทศที่ให้บริการ โดยมีราคาเริ่มต้น 19 บาท “การเปิดไฟติ้งแบรนด์ POST SABUY ทำให้มีหน้าร้านรับส่งพัสดุเพิ่มอีก 17,000 จุด ทำให้ไปรษณีย์ไทยมีโอกาสได้ชิ้นงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่” อีกเป้าหมายสำคัญของไปรษณีย์ไทย คือการสร้างความพึงพอใจในระดับสูงสุด ด้วยมาตรการ Zero Complain ลดข้อร้องเรียนต่าง ๆ เช่น พัสดุสูญหาย คอมเมนต์บนโซเชียลมีเดียให้เป็นศูนย์ คือเมื่อมีคอมเมนต์เข้ามาจะต้องตอบสนองและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าทันที ในสมรภูมิธุรกิจขนส่งที่ยังแข่งขันดุเดือด แต่ด้วยกลยุทธ์ต่างๆที่ ไปรษณีย์ไทยกำลังเดินหน้าอยู่ในขณะนี้ เริ่มเห็นแนวโน้มรายได้ไตรมาส 4 ปีนี้กลับมาเติบโต คาดว่าทั้งปีรายได้น่าจะอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท และสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้ได้หลังจากนี้คือการกลับมาทำ “กำไร” อีกครั้ง อ่านเพิ่มเติม ขนส่งน้องใหม่ POST SABUY ใช้เครือข่ายไปรษณีย์ไทยส่ง กลุ่ม’สบายสปีด’ หน้าร้านรับพัสดุ 17,000 แห่ง ขนส่งน้องใหม่ POST SABUY ใช้เครือข่ายไปรษณีย์ไทยส่ง กลุ่ม’สบายสปีด’ หน้าร้านรับพัสดุ 17,000 แห่ง
ไปรษณีย์ไทย มองโอกาสพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ไม่ได้มองแค่การขนส่งในประเทศไทยเท่านั้น แต่มองระดับภูมิภาค CLMV ผนึกกำลังกับหน่วยงานไปรษณีย์ในประเทศต่างๆ เป็น Singer Network เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ระบบโลจิสติกส์ของภูมิภาคนี้ หากทำได้สำเร็จก็สามารถเสนอตัวเป็นผู้ให้บริการกับอีคอมเมิร์ซทุกแพลตฟอร์มได้ ซึ่งจะส่งผลดีกับทุกฝ่ายแบบ win win ฝั่งอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนสร้างโลจิสติกส์ในทุกประเทศ ฝั่งไปรษณีย์ในภูมิภาคนี้ มีลูกค้ารายใหญ่ใช้บริการ ไม่ต้องมาแข่งขันกันด้วยสงครามราคาที่บาดเจ็บกันทุกฝ่าย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53263
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "การเติบโตในยุคดิจิทัล: ก้าวขึ้นของไปรษณีย์ไทยหลังจากการสงครามราคาปี 65"
null
หัวข้อ "ไปรษณีย์ไทยฟื้นแล้ว! ครึ่งปีแรกโชว์ 'กำไร' หลังเจอสงครามราคาฉุดปี 65 ขาดทุน 3,000 ล้าน" เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากมันสะท้อนถึงกระแสการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการบริหารจัดการธุรกิจในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น ข้อเสนอนี้จะเน้นที่การวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับวิธีการที่ไปรษณีย์ไทยสามารถฟื้นตัวและกลับมาทำกำไรในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากเผชิญกับความท้าทายของสงครามราคาในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากมุมมองของการบริหารจัดการทางธุรกิจ และแนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต 1. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด: การศึกษาแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการกำหนดแผนกลยุทธ์ขององค์กร การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในสงครามราคาในปี พ.ศ. 2565 เป็นการตัดสินใจที่สำคัญเพื่อปรับปรุงโมเดลธุรกิจและกำหนดกลยุทธ์การตลาดใหม่ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การพัฒนาบริการใหม่ เปิดตัวบริการส่งสินค้าด่วนในเขตเมืองหรือบริการด้านการตลาดออนไลน์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล 2. การนวัตกรรมในเทคโนโลยี: เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตและเป็นไปได้ต่อการพัฒนาธุรกิจ ไปรษณีย์ไทยควรลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น การใช้ระบบรถไฟฟ้าในการขนส่งสินค้า เพื่อลดต้นทุนในการขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ นอกจากนี้ยังควรสร้างพื้นที่ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้การใช้บริการของไปรษณีย์ไทยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. การพัฒนาบุคลากร : บุคลากรเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดในการทำให้ธุรกิจเจริญเติบโต เพื่อทำให้ไปรษณีย์ไทยก้าวขึ้นไปสู่ระดับใหม่ การลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงานทำให้พวกเขามีความสามารถในการทำงานในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังควรสร้างสภาพแวดล้อมทำงานที่สร้างสรรค์และสนับสนุนให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีและมีความพึงพอใจในการทำงาน 4. การสร้างความเชื่อมั่นในตลาด : การสร้างความเชื่อมั่นในตลาดเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการกลับมาทำกำไร ไปรษณีย์ไทยควรให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า โดยการมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ เช่น การเผยแพร่ข้อมูลการเงินและการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาและการดำเนินธุรกิจของไปรษณีย์ไทยในอนาคตจะต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องและการทำความเข้าใจต่อสภาพแวดล้อมธุรกิจอย่างถ่องแท้ เพื่อให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและการแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53268
Retail
บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล หรือ ESSO ในประเทศไทย เริ่มในปีใด
ถือเป็นการปิดตำนานปั๊มพี่เสือ กิจการ 129 ปี ของ ESSO ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการแล้ว ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 หลังจาก บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP จ่ายเงินค่าหุ้นมูลค่า 22,605 ล้านบาท ให้กับ ExxonMobil Asia Holding Pte. Ltd (เอ็กซอน โมบิล) เพื่อซื้อหุ้นสัดส่วน 65.99% ในราคาหุ้นละ 9.8986 บาท เรียบร้อยแล้วในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 พร้อมรับโอนทรัพย์สินของเอสโซ่ ในประเทศไทย โดยจะทำ Tender offer หุ้น ESSO ที่เหลืออีก 34.01% ในราคาหุ้นละ 9.8986 บาท หรือมูลค่า 11,651 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 8 กันยายน – 12 ตุลาคม 2566 เพื่อซื้อหุ้นทั้ง 100% ใน ESSO ด้วยมูลค่าการเข้าซื้อกิจการทั้งหมด 34,257 ล้านบาท (ในระยะเวลา 1 ปีนี้จะไม่นำหุ้น ESSO ออกจากตลาดฯ ยังเป็นหุ้นที่ซื้อขายได้ปกติ) ย้อนประวัติ “เอสโซ่” ในประเทศไทย บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล หรือ ESSO ในประเทศไทย เริ่มในปี พ.ศ. 2437 บริษัท แสตนดาร์ดออยล์ จำกัด แห่งนิวยอร์ก เปิดสาขาในประเทศไทยที่ตรอกกัปตันบุช จำหน่ายน้ำมันก๊าดตราไก่และตรานกอินทรี พ.ศ. 2505 เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด อีสเทอร์น จำกัด ในวันที่ 1 เมษายน 2505 และเปลี่ยนแปลงเครื่องหมายการค้าจาก “ตราม้าบิน” มาเป็น “ตราเอสโซ่” ESSO ในวงรีรูปไข่ พ.ศ. 2539 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ได้กิจการของบริษัท โมบิลออยล์ไทยแลนด์ จำกัด และดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2551 บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปั๊ม ESSO ใช้ “พี่เสือ” เป็นมาสคอตประจำปั๊มกับสโลแกนที่คุ้นหูคนไทย “จับเสือใส่ถังพลังสูง” พี่เสือยังเป็นโลโก้ประจำร้าน Tiger Mart ร้านสะดวกซื้อของปั๊ม ESSO อีกด้วย “บางจาก” ได้อะไรจากเอสโซ่ – บางจากซื้อกิจการเอสโซ่ ในส่วนที่เป็นสินทรัพย์ทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทย (ไม่ได้ซื้อสิทธิการใช้แบรนด์ ESSO และสูตรน้ำมัน) – ปัจจุบันเอสโซ่ มีโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตสูงสุด 174,000 บาร์เรลต่อวัน มีสถานีบริการน้ำมัน ESSO 832 แห่งทั่วประเทศ มีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมัน 9.8% คลังน้ำมัน 2 แห่ง ศรีราชาและลำปาง – ได้หุ้นบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด 21% และหุ้นบริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS 7.06% ไทม์ไลน์การเปลี่ยนปั๊ม ESSO – วันที่ 31 สิงหาคม 2566 บางจากได้ซื้อกิจการ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 65.99% เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นบริษัทในเครือบางจาก หลังจบ Tender offer จะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 – ปัจจุบันเอสโซ่ มีปั๊มน้ำมัน 832 แห่ง เป็นปั๊มที่เอสโซ่ เป็นเจ้าของ 280 แห่ง ส่วนที่เหลืออีก 552 แห่ง เป็นปั๊มดีลเลอร์ลงทุน – สำหรับปั๊ม 280 แห่งที่เอสโซ่ เป็นเจ้าของจะทยอยเปลี่ยนเป็นปั๊มบางจาก ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป โดยจะเปลี่ยนให้เสร็จภายในสิ้นปี 2566 ส่วนปั๊มของดีลเลอร์ที่เหลือจะทยอยเปลี่ยนทั้งหมดภายใน 2 ปี (ตามสัญญาซื้อกิจการปั๊มน้ำมันสามารถใช้แบรนด์ ESSO ได้อีก 2 ปี) – ส่วนร้านกาแฟและร้านสะดวกซื้อ ในปั๊ม ESSO ซึ่งเป็นผู้เช่าพื้นที่ จะเปิดให้บริการตามสัญญาที่มีอยู่ สำหรับร้านสะดวกซื้อ Tiger Mart เป็นแบรนด์ของเอสโซ่ สามารถใช้ต่อได้อีก 90 วัน จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นแบรนด์ของบางจาก – สิทธิประโยชน์บัตรเอสโซ่ สไมล์ส ยังคงระบบสมาชิกสะสมแต้มไป 1 ปี ถึง วันที่ 31 สิงหาคม 2567 โดยจัดแคมเปญให้โอนคะแนนมาที่บัตรกรีนไมลส์ ของบางจาก ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ได้เพิ่ม 100 คะแนน เปลี่ยนสูตรน้ำมันเป็นบางจาก 1 ก.ย. – โดยตั้งแต่เที่ยงคืน เข้าสู่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นไป น้ำมันที่ออกจากคลังเอสโซ่ จะเปลี่ยนเป็นสูตรบางจากทั้งหมด จัดส่งให้กับปั๊มน้ำมัน ESSO ดังนั้นปั๊มที่มีสต็อกน้ำมันเอสโซ่ลดลง และสั่งน้ำมันใหม่ก็จะเปลี่ยนเป็นสูตรน้ำมันบางจากทันที โดยมีป้ายบอกที่หัวจ่ายน้ำมัน ว่าเป็นชื่อสูตรน้ำมันบางจาก – ตามสัญญาบางจากสามารถใช้สูตรน้ำมันเอสโซ่ ได้อีก 90 วัน แต่กระบวนการเปลี่ยนสูตรน้ำมันทุกปั๊ม ESSO เป็นสูตรบางจาก จะทำให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 30 วัน (ภายใน 30 กันยายน 2566) ดีลการซื้อกิจการ ESSO มูลค่า 34,257 ล้านบาท (หากทำ Tender offer ได้ 100%) บางจาก มองว่าจะคุ้มทุนภายใน 5 ปี
บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล หรือ ESSO ในประเทศไทย เริ่มในปี พ.ศ. 2437 บริษัท แสตนดาร์ดออยล์ จำกัด แห่งนิวยอร์ก เปิดสาขาในประเทศไทยที่ตรอกกัปตันบุช จำหน่ายน้ำมันก๊าดตราไก่และตรานกอินทรี - พ.ศ. 2505 เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด อีสเทอร์น จำกัด ในวันที่ 1 เมษายน 2505 และเปลี่ยนแปลงเครื่องหมายการค้าจาก “ตราม้าบิน” มาเป็น “ตราเอสโซ่” ESSO ในวงรีรูปไข่ - พ.ศ. 2539 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) - พ.ศ. 2544 ได้กิจการของบริษัท โมบิลออยล์ไทยแลนด์ จำกัด และดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) - พ.ศ. 2551 บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปั๊ม ESSO ใช้ “พี่เสือ” เป็นมาสคอตประจำปั๊มกับสโลแกนที่คุ้นหูคนไทย “จับเสือใส่ถังพลังสูง” พี่เสือยังเป็นโลโก้ประจำร้าน Tiger Mart ร้านสะดวกซื้อของปั๊ม ESSO อีกด้วย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53273
Retail
เขียนแนวคิดเรื่อง"ความร่วมมือเพื่อความสำเร็จ: บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวันและเซ็นทรัลพัฒนา เปลี่ยนวงการศูนย์การค้าให้ยกระดับ"
null
การเขย่าวงการศูนย์การค้าเป็นเรื่องที่ต้องมีการบูรณาการของหลายปัจจัย เพื่อทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและมีความสำเร็จ เมื่อเราพูดถึงเซ็นทรัลพัฒนาและบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน ทั้งสองนี้เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงการค้าปลีกในประเทศไทย แนวคิดที่สำคัญในการเขย่าวงการศูนย์การค้านี้คือการสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและเป็นปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคและพาร์ทเนอร์โดยตรง โดยสร้างสิ่งที่ไม่เหมือนใครและมีความคุ้มค่าต่อการเข้าชมและการซื้อสินค้า ดังนั้น นี่คือแนวคิดที่สามารถนำมาใช้ในการเขย่าวงการศูนย์การค้า "เซ็นทรัลพัฒนา" โดยร่วมมือกับ "บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน": 1. การให้สิทธิพิเศษแก่ลูกค้า: สร้างประสบการณ์การช้อปที่น่าจดจำและคุ้มค่าต่อผู้บริโภคโดยการให้สิทธิพิเศษเฉพาะกับผู้ถือบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน เช่น ส่วนลดพิเศษ ของแถม หรือโปรโมชั่นพิเศษที่เฉพาะกับลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตนี้ 2. การสร้างกิจกรรมสำหรับลูกค้า: จัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และท้าทายให้ผู้บริโภคกลับมาเยี่ยมชมศูนย์การค้าอีกครั้ง เช่น การจัดแสดงสินค้าพิเศษ การแข่งขันหรือกิจกรรมสันทนาการต่างๆ 3. การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์: การเชื่อมโยงกับพาร์ทเนอร์ที่มีชื่อเสียงและมีผลกระทบในวงการ เช่น ร้านค้าชั้นนำหรือแบรนด์ดัง เพื่อสร้างความน่าสนใจและเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค 4. การใช้เทคโนโลยี: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างประสบการณ์การช้อปที่ไม่เหมือนใคร เช่น การใช้งาน Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับสินค้าหรือบรรยากาศภายในร้านค้าได้อย่างสมจริง 5. การสร้างความสามารถในการเชื่อมต่อ: การใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ เพื่อสร้างชุมชนและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้มีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน ด้วยการดำเนินแนวคิดเหล่านี้อย่างเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพ จะช่วยเขย่าวงการศูนย์การค้า "เซ็นทรัลพัฒนา" ให้เติบโตและยกระดับสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ได้อย่างแท้จริง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในวงการค้าปลีกในประเทศไทยได้อย่างแท้จริง และเป็นต้นแบบที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจอื่นๆในวงการเดียวกันอีกด้วย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53292
Retail
กลุ่มมิตรผล ยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดใด
เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปี เว็บไซต์ Brand Buffet ทีมงานได้คัดเลือกแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจในสังคมไทย และมีการดำเนินงานตามหลัก ESG จนกลายเป็น “จักรวาลแห่งความยั่งยืน” ESGNIVERSE โดยพยายามสร้างความหลากหลายทั้งในมิติของอุตสาหกรรม ตลอดจนโครงการ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ด้วยหวังว่าบทความนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาคเศรษฐกิจ และสังคม จะตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ท่ามกลางปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้าอยู่ จนพิสูจน์ชัดแล้วว่า เรื่องของ ESG ไม่ใช่เรื่องของพรุ่งนี้ แต่คือวันนี้และเดี๋ยวนี้!!! “สิงห์อาสา” สืบสานปณิธานหัวใจสิงห์ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ดำเนินการตามแนวทาง ESG ในทุกมิติ โดยโครงการที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก ก็คือ สิงห์อาสา จุดเริ่มต้นของ สิงห์อาสา มาจากการรวมตัวกันของพนักงาน ผู้บริหารบุญรอดฯ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2554 ในช่วงเกิดมหาอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศไทย จนวันนี้เป็นเครือข่ายอาสาสมัครดูแลสังคมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันสิงห์อาสามีเครือข่ายอาสาสมัครที่ใหญ่ที่สุด ทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ เอกชน และมูลนิธิอาสาสมัครต่างๆ กระจายอยู่ในหลายจังหวัด ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีของสิงห์อาสา มีการดำเนินกิจกรรมขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมมาโดยตลอดกว่า 3,000 ภารกิจ จากปณิธานการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมของ “พระยาภิรมย์ภักดี” ด้วยความเชื่อว่า เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และชุมชนก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา ความยั่งยืนที่แท้จริงของสังคมต้องมาจากความเข้มแข็งของรากฐานที่ดี ที่ผ่านมา “สิงห์อาสา” โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ดำเนินงานทั้งกิจกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืนระยะยาว ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สังคม รวมไปถึงช่วยเหลือหน่วยงานภาครัฐ เช่น สร้างสรรค์ พัฒนาสังคม ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต ดูแลสุขภาพให้กับคนไทยในพื้นที่ห่างไกล ตลอดจนการดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งดูแลป่าต้นน้ำในเขตจังหวัดภาคเหนือ การดูแลแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในจังหวัดภาคอีสาน การดูแลสายน้ำในจังหวัดภาคกลาง ภารกิจสร้างความยั่งยืนให้ทะเลไทยทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยเหลือผู้ประสบภัยประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง ภัยหนาว อุทกภัย วาตภัย รวมถึงภารกิจดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่น การปลูกต้นไม้ ปลูกหญ้าทะเล ปลูกป่าโกงกาง เพื่อเพิ่มการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ลดภาวะโลกรวนที่เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนอีกด้วย โดยสานต่อโครงการเดิมพร้อมเติมโครงการใหม่ให้สามารถช่วยแก้ไขและป้องกันครอบคลุมทุกปัญหา พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ภายใต้แนวคิด “องค์กร ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมมีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน” เมืองไทยประกันชีวิต ESG ที่สร้างรอยยิ้มและความสุข เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งมั่นที่จะยกระดับความสามารถในการตอบสนองความต้องการหรือความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล ทั้งผู้ถือหุ้น ลูกค้า พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยเชื่อว่าการบริหารงานที่ยึดมั่นการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุล ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ รวมถึงความรับผิดชอบและให้ความเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายนั้น จะนำมาสู่ผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ในมิติสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาปรับปรุงขั้นตอน กระบวนการทำงาน และการให้บริการในทุกมิติให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า และส่งเสริมเรื่องของการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้กับผู้บริหารและพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้ได้มากที่สุด ในมิติสังคม บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมมาโดยตลอด นอกจากการดูแลเรื่องความปลอดภัยและเรื่องสุขภาพอนามัยของพนักงานในองค์กรแล้ว บริษัทฯ ยังมีการปรับปรุงสวัสดิการสำหรับพนักงานและครอบครัว ส่งเสริมให้พนักงานเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานมีความพร้อมในการปรับตัวและเติบโตไปพร้อมองค์กรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างการเข้าถึงให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันและความคุ้มครองที่สอดคล้องกับความต้องการในอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม จัดอบรมให้ความรู้ด้านการวางแผนทางการเงิน การประกันชีวิต และการวางแผนเกษียณให้กับบุคคลทั่วไป อีกทั้ง ยังได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม และให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ ในด้านต่างๆ รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมจิตอาสาของพนักงาน เพื่อปลูกฝังค่านิยมในการมีจิตสาธารณะ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง ในฐานะองค์กรชั้นนำที่ดำเนินกิจการด้านธุรกิจประกันชีวิตที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยอย่างมีความรับผิดชอบ โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินและการประกันชีวิต เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และนำความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล Environmental Social and Governance (ESG) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลงทุนของบริษัทฯ ทั้งหมดนี้ คือบทสรุปสำคัญของการดำเนินงานภายใต้กรอบ ESG ของ ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ ที่หวังสร้างรอยยิ้มและความสุขให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน “มิตรผล” เปลี่ยนของเหลือทิ้งทางการเกษตร สู่ความยั่งยืนเพื่อโลก กลุ่มมิตรผล เป็นองค์กรที่อยู่ในภาคเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ทั้งเกษตรกร ชุมชน ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม การสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงจึงเป็นประโยชน์ต่อหลายกลุ่มคน นั่นทำให้ “มิตรผล” ยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือ From Waste to Value Creation” ด้วยความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภาคเกษตรให้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและสิ่งแวดล้อม โดยภาคเกษตรนอกจากจะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารของผู้คนแล้ว ยังสามารถต่อยอดสู่การผลิตพลังงานสีเขียว (Green Energy) ด้วยการนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ชานอ้อย มาเพิ่มมูลค่าผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าชีวมวล สร้างความสว่างไสวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการนำกากน้ำตาลมาต่อยอดเป็นเอทานอล เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันเครื่องบินชีวภาพ (Bio–jet Fuel) เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based) ที่ตอบรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคยุคใหม่ที่เริ่มมองหาวัตถุดิบจาก Bio-based ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่มีฐานจาก Petroleum-based เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มมิตรผล เป็นองค์กรที่อยู่ในภาคเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ทั้งเกษตรกร ชุมชน ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม การสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริงจึงเป็นประโยชน์ต่อหลายกลุ่มคน นั่นทำให้ “มิตรผล” ยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่ง การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ด้วยความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภาคเกษตรให้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและสิ่งแวดล้อม โดยภาคเกษตรนอกจากจะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารของผู้คนแล้ว ยังสามารถต่อยอดสู่การผลิต ด้วยการนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ชานอ้อย มาเพิ่มมูลค่าผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าชีวมวล สร้างความสว่างไสวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการนำกากน้ำตาลมาต่อยอดเป็นเอทานอล เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันเครื่องบินชีวภาพ (Bio – jet Fuel) เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดสู่ ที่ตอบรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคยุคใหม่ที่เริ่มมองหาวัตถุดิบจาก Bio-based ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่มีฐานจาก Petroleum-based เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในปีที่ผ่านมา กลุ่มมิตรผลได้ปล่อยหนังโฆษณา “ศูนย์ที่ไม่สูญเปล่า” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหา Climate Change ว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ความร่วมมือของทุกคนเพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์นั้น จะนำไปสู่อนาคตที่ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน โดยกลุ่มมิตรผลประกาศเป้าหมายในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เรียกได้ว่า ดำเนินงานตามแนวทาง ESG ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างแท้จริงเลยทีเดียว ในปีที่ผ่านมา กลุ่มมิตรผลได้ปล่อยหนังโฆษณา เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหา Climate Change ว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ความร่วมมือของทุกคนเพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น นั้น จะนำไปสู่อนาคตที่ อย่างแน่นอน โดยกลุ่มมิตรผลประกาศเป้าหมายในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มี ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เรียกได้ว่า ดำเนินงานตามแนวทาง ESG ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างแท้จริงเลยทีเดียว ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” “ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ โดยองค์กร ที่ยึดหลักด้าน ESG มาเป็นแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้าน ภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกค้า รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ โดยองค์กร ที่ยึดหลักด้าน ESG มาเป็นแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาโครงการบ้าน ภายใต้แนวคิด Sustainable architecture หรือสถาปัตยกรรมยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีแก่ลูกค้า รวมถึงให้ความสำคัญต่อสังคม พนักงาน คู่ค้า และผู้ถือหุ้น โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น National Property Company ซึ่งทั้งนี้ ‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ ได้มีการกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ ‘ยั่งยืนและมีความสุข’ ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย Reduce (ลดการใช้) ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น Reuse (การใช้ซ้ำ) ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ และ Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ ซึ่งทั้งนี้ ‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ ได้มีการกำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันแบบ ‘ยั่งยืนและมีความสุข’ ภายใต้แนวคิด 3Rs ประกอบด้วย ลดการใช้น้ำด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 2 ระบบ ช่วยลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ไฟโดยใช้หลอดไฟ LED และนำระบบ Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังใช้หลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในคลับเฮาส์ ทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง ยังมีการใช้กระจกเขียวตัดแสงและสีสะท้อนความร้อน ซึ่งจะช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และช่วยลดค่าไฟฟ้าเกินความจำเป็น ภายในโครงการได้มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำ โดยนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ดูแลสวนส่วนกลาง พร้อมมีการตั้งเวลาเปิด-ปิด ในการรดน้ำต้นไม้ ) มีการใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ อาทิ การใช้กระเบื้องลายหินอ่อนที่เป็นหินสังเคราะห์ เพื่อให้ความรู้สึกที่ทดแทนวัสดุที่เป็นหินอ่อนแท้จากธรรมชาติ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการให้มีความสดชื่นและร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายในวันพักผ่อน เพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส ในแบบฉบับ French Colonial Style และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ จนกลายเป็น Developer ที่ถ่ายทอดแนวคิด ESG ทั้งการออกแบบโครงการ มาสู่การใช้งานจริง ทำให้เกิดประสบการณ์ การอยู่อาศัยแบบใหม่ ที่ตรงใจผู้บริโภค นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางสีเขียว หรือ Green Space ที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีภายในโครงการให้มีความสดชื่นและร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ที่มีสีสันสดใสมองแล้วสบายตา ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายในวันพักผ่อน เพิ่มความประทับใจในการอยู่อาศัยภายในโครงการ โดยสวนมีการออกแบบให้มีความงดงามในสไตล์โพรวองซ์ (Provence) ซึ่งจำลองมาจากประเทศฝรั่งเศส ในแบบฉบับ และประยุกต์ใช้ต้นไม้ที่มีในประเทศไทย เน้นไม้ยืนต้นที่จะช่วยฟอกอากาศในบริเวณโดยรอบ จนกลายเป็น Developer ที่ถ่ายทอดแนวคิด ESG ทั้งการออกแบบโครงการ มาสู่การใช้งานจริง ทำให้เกิดประสบการณ์ การอยู่อาศัยแบบใหม่ ที่ตรงใจผู้บริโภค SCG เคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด ESG 4 Plus ตลอดระยะเวลาองค์กร 110 ปี “ปูนซีเมนต์ไทย” หรือ SCG เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่เศรษฐกิจและสังคมไทย ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวทาง ESG 4 Plus “มุ่งสู่ Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ” ดังนี้ 1. มุ่ง Net Zero : ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 20% (เมื่อเทียบกับปี 2563) ภายในปี 2573 โดยปี 2565 SCG ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4.13 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการใช้พลังงานทางเลือก ปลูกต้นไม้ 2. Go Green : ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ SCG Green Choice เป็น 67% ภายในปี 2573 และบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ทั้งหมดสามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ในปี 2593 เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3. ย้ำร่วมมือ : สร้างความร่วมมือขับเคลื่อน ESG กับหน่วยงานระดับประเทศ อาเซียน และระดับโลก ทำโครงการต่างๆ เช่น เศรษฐกิจหมุนเวียน การนำวัสดุและของเสียกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล 4. Lean เหลื่อมล้ำ : ตั้งเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 50,000 คน ในปี 2573 ด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการให้แก่ชุมชนและ SMEs เช่น อาชีพพนักงานขับรถบรรทุก โดยโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ อาชีพช่างปรับปรุงบ้าน โดย Q-Chang (คิวช่าง) อาชีพผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ นักบริบาลผู้สูงอายุ ผ่านทุนการศึกษาจากโครงการ Learn to Earn โดยมูลนิธิเอสซีจี เป็นต้น เมื่อคนทั่วโลกให้ความสนใจต่อการปรับเปลี่ยนมาใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG ได้พัฒนานวัตกรรมกรีน ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดโลก ในปี 2565 SCG Green Choice เติบโต 34% ได้แก่ พลาสติกรักษ์โลก (Green Polymer) เติบโต 5 เท่า บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ รวมทั้งเทคโนโลยี CPAC Green Solution ที่ช่วยลดวัสดุก่อสร้างเหลือทิ้ง CP กับ Heart – Health – Home 3 เสาหลักยั่งยืน “เครือซีพี จะบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรทั้งภายในและภายนอกบนพื้นฐานของการมีคุณธรรมและจริยธรรมเพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับการสร้างคุณค่าที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน” เป็นคำกล่าวของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่บอกถึงพันธกิจร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ขององค์กร 100 ปีแห่งนี้ ผ่าน 3 เรื่องที่เป็นหัวใจหลัก 1. Heart มุ่งมั่นทำธุรกิจด้วยใจที่ยั่งยืน การดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม การเคารพต่อสิทธิมนุษยชน การพัฒนาขีดความสามารถด้านทรัพยากรบุคคล การพัฒนาระบบการศึกษาที่จำเป็นสำหรับทุกคน 2. Health มุ่งสร้างสังคมที่ยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการให้และสร้างประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้เสียและสังคม ส่งเสริมสุขภาพที่ดี สนับสนุนรายได้ที่มั่นคงและอาชีพการงาน และสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาที่จำเป็น 3. Home มุ่งมั่นเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนและสังคม เครือซีพียังให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนสำหรับวันนี้และในอนาคต กสิกรไทย “สังคม-สิ่งแวดล้อม-ธรรมาภิบาล” ต้องยั่งยืน อาจกล่าวได้ว่า ธนาคารกสิกรไทย เป็นหนึ่งในผู้เล่นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมการเงินที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดด้าน ESG อย่างจริงจัง เห็นได้จากการเดินหน้าสร้างความยั่งยืนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก KBank ESG Strategy 2566 ที่ให้ความสำคัญใน 3 มิติ ทั้งใน “มิติสิ่งแวดล้อม” อย่างการปรับเปลี่ยนรถยนต์เป็นรถ EV การติดตั้ง Solar Roof บนอาคารสำนักงาน การประเมินก๊าซเรือนกระจกในพอร์ตโฟลิโอของสินเชื่อธนาคาร และจัดทำแผนกลยุทธ์การลดก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2573 หรือใน “มิติธรรมาภิบาล” ที่พิจารณาสินเชื่อตามหลัก ESG เพื่อให้มั่นใจว่าสินเชื่อที่ปล่อยไปจะไม่สร้างผลกระทบเชิงลบแก่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2022 พบว่า มีสินเชื่อที่ผ่านกระบวนนี้ กว่า 340,000 ล้านบาทเลยทีเดียว นอกจากนั้นใน “มิติสังคม” ก็พบว่ามีการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial inclusion) แก่ลูกค้ารายเล็ก (Small-pocket Customers) ซึ่งข้อมูลในเดือนกันยายน 2022 พบว่าธนาคารมีการให้สินเชื่อลูกค้ารายเล็กเป็นจำนวนกว่า 500,000 ราย มูลค่าสินเชื่อกว่า 23,000 ล้านบาท และมีการให้ความรู้ทางการเงิน – ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า 10 ล้านรายอีกด้วย จากการดำเนินงานดังกล่าว ทำให้ธนาคารกสิกรไทยได้รับคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มธนาคารในระดับโลก และมีคะแนนในมิติธรรมาภิบาล/เศรษฐกิจ สูงที่สุดในโลกของกลุ่มธนาคารจากดัชนีชี้วัดความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2022 โดยมีคะแนนสูงสุด 5% (Top 5%, S&P Global ESG Score 2022) เลยทีเดียว เอไอเอส การดูแลความยั่งยืนในทุกมิติ เอไอเอส ถือเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่ของไทยที่มีการดำเนินงานในด้าน ESG อย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยหนึ่งในความเคลื่อนไหวของเอไอเอสที่น่าสนใจ คือการจับมือกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เพื่อร่วมกันสร้างต้นแบบองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ตั้งแต่การนำโครงข่ายอัจฉริยะ 5G มายกระดับกระบวนการทำงานสู่การเป็น Smart Operations และโรงงานอัจฉริยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การการแบ่งปันองค์ความรู้การบริหารจัดการขยะ ทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ และพลาสติกใช้แล้ว ผ่านแพลตฟอร์มที่จะทำให้การสร้างการตระหนักรู้กับผู้บริโภค นอกจากนั้น เรายังได้เห็นเอไอเอส ผลักดันเรื่องการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) เพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี และไม่เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการสร้างการตระหนักรู้และขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ทั่วประเทศรวมกว่า 2,000 จุด รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย “อุ่นใจ CYBER” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันบนโลกออนไลน์ผ่านชุดการเรียนรู้เสริมสร้างทักษะทางด้านดิจิทัล DQ (Digital Quotient) ครบทั้ง 8 ทักษะ และสร้างเครื่องมือคัดกรอง Content ที่ไม่เหมาะสมจากโลกดิจิทัลด้วย อีกหนึ่งโปรเจ็คน่าสนใจคือการร่วมมือกับ SCG พัฒนารถ Forklift ขับเคลื่อนระยะไกลด้วยเครือข่าย 5G ซึ่งเป็นการขยายขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีวางแผนการเดินทางอย่างแม่นยำ จึงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 35% ต่อปีเมื่อเทียบกับระบบเดิม สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (Net Zero 2050) ตามแนวทาง ESG 4 Plus ด้วย การให้ความสำคัญกับงานด้าน ESG อย่างต่อเนื่องทำให้ เอไอเอส ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีด้านความยั่งยืน FTSE4Good Index Series และ ESG 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) องค์กรจัดทำดัชนีในระดับสากลด้วยนั่นเอง OR 2030 GOALS ด้วยแนวคิด 3Ps บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน” ด้วยความเชื่อว่าธุรกิจแห่งอนาคต คือธุรกิจที่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมจะเติบโตไปด้วยกันพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน นโยบายด้าน ESG อยู่ภายใต้พันธกิจ OR 2030 GOALS ด้วยแนวคิด 3Ps (People – Planet – Performance) คือ ให้ความสำคัญกับสังคมชุมชน (People) เป้าหมายสร้างชุมชนให้น่าอยู่ 15,000 ชุมชน หรือกว่า 12 ล้านคน, สิ่งแวดล้อม (Planet) สร้างสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของ OR ให้ได้มากกว่า 1 ใน 3 จากการดำเนินธุรกิจ, ผลการดำเนินงาน (Performance) เป้าหมายสร้างการเติบโตร่วมกันจากการสร้างอาชีพและกระจายความมั่งคั่งสู่คู่ค้าผู้ถือหุ้น ผู้ประกอบการ พนักงานและชุมชนกว่า 1 ล้านราย ปีนี้ OR มุ่งเน้นการสร้างโอกาสภายใต้แนวคิด “Real RISE of Opportunity ร่วมสร้างโอกาส…เพื่อทุกการเติบโตอย่างแท้จริง” ตอกย้ำวิสัยทัศน์และแนวทางการสร้างอนาคตขององค์กรผ่านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ในแบบฉบับของ OR โดยร่วมสนับสนุนและสร้างโอกาสที่จะเติบโตเคียงข้างไปกับผู้คน ชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม S-SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก (Opportunities for Communities) ผ่านการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน D-Diversified โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (More Products and Services) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็นแพลตฟอร์มในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกัน Go-Green โอกาสเพื่อสังคมสะอาด (Low Carbon Business Areas) ผ่านการส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนและบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 มุ่งสู่การบรรลุการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593 ไทยยูเนี่ยนประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ไทยยูเนี่ยนประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน เพราะว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่กับท้องทะเลเป็นหลัก นั่นทำให้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต้องให้ความสำคัญกับธรรมชาติเป็นพิเศษ จนประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 เพื่อช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเล ด้วยการดูแลคนและโลกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนของมนุษยชาติ ระบบนิเวศที่สำคัญตกอยู่ในความเสี่ยง ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ประชากรโลกกว่า 600 ล้านคนพึ่งพามหาสมุทรเป็นแหล่งอาหารและใช้ในการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต้องให้ความสำคัญกับธรรมชาติเป็นพิเศษ จนประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน เพื่อช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเล ด้วยการดูแลคนและโลกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนของมนุษยชาติ ระบบนิเวศที่สำคัญตกอยู่ในความเสี่ยง ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ประชากรโลกกว่า 600 ล้านคนพึ่งพามหาสมุทรเป็นแหล่งอาหารและใช้ในการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงสถานการณ์และความเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงตั้งงบประมาณ 7,200 ล้านบาท หรือกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับในปี 2565 ทุ่มให้กับการทำกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® ไปถึงปี 2573 พร้อมตั้งเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับห่วงโซ่มูลค่าธุรกิจอาหารทะเล โดยกำหนดเป็นพันธกิจทั้งสิ้น 11 ประการ เช่น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593, จะจัดการขยะพลาสติก 1,500 ตันไม่ให้ปนเปื้อนสู่แม่น้ำลำคลองและทะเล ไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงสถานการณ์และความเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงตั้งงบประมาณ 7 200 ล้านบาท หรือกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับในปี 2565 ทุ่มให้กับการทำกลยุทธ์ความยั่งยืน ไปถึงปี 2573 พร้อมตั้งเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับห่วงโซ่มูลค่าธุรกิจอาหารทะเล โดยกำหนดเป็นพันธกิจทั้งสิ้น 11 ประการ เช่น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593, จะจัดการขยะพลาสติก 1,500 ตันไม่ให้ปนเปื้อนสู่แม่น้ำลำคลองและทะเล “ไปรษณีย์ไทย” ขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดยั่งยืน องค์กร 140 ปี “ไปรษณีย์ไทย” หน่วยงานด้านการสื่อสารและขนส่งของชาติที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ถือเป็นต้นแบบใช้กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการตลาดอย่างสร้างสรรค์ หนึ่งในผลงานโดดเด่นด้าน ESG ของ “ไปรษณีย์ไทย” การันตีด้วยรางวัล MARKETING AWARD OF THAILAND ระดับ Gold ประเภท Sustainable Marketing จากแคมเปญ “ไปรษณีย์ reBOX” แผนการตลาดที่มีความยั่งยืน และสามารถนำนวัตกรรมหรือแนวคิดด้านการตลาดมาพัฒนาเป็นเครื่องมือเพื่อตอบโจทย์องค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม แคมเปญ “ไปรษณีย์ reBOX” ได้ร่วมกับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รณรงค์ให้คนไทยเปลี่ยนมุมมองในการจัดการกล่อง/ ซองที่ไม่ใช้แล้วจำนวนมากจากการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ เปลี่ยนขยะบรรจุภัณฑ์ให้กลับมามีคุณค่าแก่สังคมอีกครั้ง อีกทั้งมุ่งเน้นให้เกิดการลดขยะเพื่อสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ในปี 2563 สามารถรวมกล่อง/ซอง ที่ไม่ใช้แล้วได้กว่า 300,000 กิโลกรัม รีไซเคิลเป็นชุดโต๊ะ เก้าอี้มอบให้นักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศได้ถึง 224 ชุด และยังสามารถแปรรูปเป็นเตียงสนามกระดาษ รวมทั้งเปลี่ยนเป็น “กล่อง BOX บุญ” บรรจุหน้ากากอนามัยทางการแพทย์กว่า 400,000 ชิ้น มอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนเพื่อใช้ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 “ไปรษณีย์ reBOX” เป็นแคมเปญที่ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนในการร่วมกันลดปัญหาขยะของคนในสังคมที่ได้รับความร่วมมือมากขึ้นทุกปี GC ผู้นำที่เน้นสร้างพันธมิตร ESG GC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำ กัด (มหาชน) มุ่งมั่นและให้ความสำคัญ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ผ่านแนวคิด GC Circular Living เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า โดยโครงการที่ใกล้ตัวผู้บริโภคคนไทย เช่น YOUเทิร์น แพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกอย่างครบวงจร แล้วนำขยะเหล่านั้นมา Upcycling อย่างสร้างสรรค์ให้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าอีกครั้ง เทิร์น แพลตฟอร์ม การบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติก อย่างครบวงจร แล้วนำขยะเหล่านั้นมา Upcycling อย่างสร้างสรรค์ให้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าอีกครั้ง ความโดดเด่นของ GC ยังเป็นเรื่องของการจับมือกับพันธมิตรหลากลายภาคส่วน เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมในการทำให้เรื่อง ESG เข้าถึงผู้บริโภคในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น ทำงานร่วมกับ AIS ในการต่อยอดพัฒนาด้านความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2593 จนถึงความร่วมมือในวันนี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือด้านความยั่งยืนของทั้ง AIS และ GC ภายใต้โครงการ “Green University ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ขยายเครือข่าย ส่งต่อแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ลงไปสู่นิสิต -นักศึกษา และบุคลากรของมหาวิทยาลัย 11 แห่ง นับว่าเป็นการดำเนินงานตามแนวทาง ESG ที่ชาญฉลาดใช้ภาคีและความเชี่ยวชาญของเครือข่ายมาเสริมแกร่งให้กิจกรรม ESG เป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย ทำงานร่วมกับ ในการต่อยอดพัฒนาด้านความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ หรือ ในปี จนถึงความร่วมมือในวันนี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือด้านความยั่งยืนของทั้ง และ ภายใต้โครงการ “ ทิ้ง เทิร์น ให้โลกจำ” ขยายเครือข่าย ส่งต่อแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ลงไปสู่นิสิต -นักศึกษา และบุคลากรของ มหาวิทยาลัย 11 แห่ง นับว่าเป็นการดำเนินงานตามแนวทาง ESG ที่ชาญฉลาดใช้ภาคีและความเชี่ยวชาญของเครือข่ายมาเสริมแกร่งให้กิจกรรม ESG เป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย Robinhood ซูเปอร์แอปสัญชาติไทยที่ตั้งใจช่วยคนตัวเล็ก จุดตั้งต้นของ Robinhood คือการเปิดตัวในฐานะแอปพลิเคชันเพื่อให้บริการ Food Delivery ในปี 2020 เพื่อช่วยร้านอาหารขนาดเล็กในไทยท่ามกลางการล็อกดาวน์จากโรคระบาด โดยมีจุดเด่นอย่างการไม่คิดค่า GP จากการจัดส่งอาหาร ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้หลายภาคส่วนของสังคมไทยได้รับประโยชน์มากมาย และมีเสียงขอบคุณเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ก่อนจะตามมาด้วยการเปิดตัว Robinhood Travel อีกหนึ่งฟีเจอร์สำหรับจองโรงแรมโดยไม่คิดค่าคอมมิชชั่น เพื่อเป็นทางเลือกให้ธุรกิจโรงแรมนอกเหนือจากแพลตฟอร์ม OTA อื่น ๆ น่าสนใจว่าแม้จะผ่านไปแล้ว 3 ปี และ Robinhood ได้ปรับสถานะตัวเองสู่การเป็น SuperApp โดยมีการเปิดตัวบริการอื่น ๆ ตามมา เช่น Mart, Express รวมถึงบริการล่าสุดอย่าง Robinhood Ride แต่พวกเขาก็ยังรักษาเอกลักษณ์ของการเป็นแอปเพื่อช่วยคนตัวเล็กไว้ได้อย่างเหนียวแน่น สิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้ชัดเจนก็คือความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาให้บริการกับไรเดอร์ของแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของไรเดอร์ โดยเราเห็นความตั้งใจของ Robinhood ตั้งแต่ในยุคเริ่มต้นกับการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อต่าง ๆ และการหาโมเดลด้านการเงินให้ไรเดอร์เข้าถึงได้สะดวกขึ้น นอกจากนั้น พวกเขายังมีแผนเปิดตัวบริการ Robinhood Finance เพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ใช้บริการใน Ecosytem ของตนเองอีกด้วย (จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้) ในวันที่โลกออนไลน์กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ ไม่น่าแปลกใจที่จะมีอีกหลายคนยังคงตั้งใจสนับสนุนช่องทางเล็ก ๆ ของ Robinhood ที่พวกเขารู้ดีว่ามีคนตัวเล็กอยู่ King Power ส่งเสริมศักยภาพคนไทย ต่อเนื่อง จากความเชื่อว่า คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก ‘KING POWER’ จึงดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนและคนไทย ให้ได้ไปแสดงศักยภาพบนเวทีโลก ภายใต้ชื่อ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” เน้นสนับสนุนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกีฬา (SPORT POWER) ด้านดนตรี (MUSIC POWER) และด้านชุมชน (COMMUNITY POWER) นับตั้งแต่การก่อตั้งโครงการฯ เมื่อปี พ.ศ. 2560 สิ่งที่ คิงเพาเวอร์ ทำเพื่อคนไทยเน้นความยั่งยืน ทั้งมิติของเศรษฐกิจและสังคม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าภูมิปัญญาไทย สร้างงานสร้างอาชีพ พร้อมผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่น ที่ผ่านมามีกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมและแบ่งปันองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการในชุมชนเพื่อยกระดับฝีมือ และความชำนาญไปสู่การรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตราฐานและสร้างคุณค่ายิ่งขึ้นต่อไป รวมทั้งเกิดตลาดไปยังต่างประเทศ ต่อยอดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ความเป็นสากล โดยร่วมกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ รังสรรค์สินค้าของที่ระลึกคอลเลกชั่นพิเศษที่ผลิตจากภูมิปัญญาของคนไทยไปจำหน่าย ณ ฟ็อกซ์เซส แฟนสโตร์ แอท คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และกิจกรรมที่ติดตาผู้คนในสังคมก็คือการส่งเสริมศักยภาพของเยาวชน และคนไทยในด้านกีฬาฟุตบอลให้ก้าวไกลสู่ระดับโลกในทุกมิติผ่าน 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการ ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ส่งมอบลูกฟุตบอลมาตรฐาน จำนวน 1 ล้านลูก ให้กับเยาวชนและชุมชนทั่วประเทศไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และพัฒนาศักยภาพด้านกีฬาด้วยตนเอง และโครงการ 100 สนาม สร้างพลังเยาวชนไทย ดำเนินการจัดสร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียมมาตรฐานสากล และมิติทางสังคมก็มีการเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีใจรักดนตรี และมีความสามารถด้านดนตรีได้มีเวทีในการแสดง ผ่านจัดการประกวดวงดนตรีสากล The Power Band ทรู-ดีแทค เมื่อ Better Together นำไปสู่นโยบาย ESG เข้มข้น นอกจากดีลการควบกิจการระหว่างทรู-ดีแทคจะเป็นอีเวนท์ยิ่งใหญ่แห่งปี 2023 แล้ว เมื่อสองแบรนด์ผนึกกำลังกัน สังคมไทยก็ได้เห็นนโยบายด้าน ESG ที่เข้มข้นขึ้นด้วย โดยทรู – ดีแทคได้มีการประกาศเป้าหมายเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2030 และ Net zero ภายในปี 2050 และตั้งเป้าเป็นองค์กรจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero e-Waste to Landfill) ภายในปี 2030 แนวทางดังกล่าวมาจากข้อมูลที่ทรู-ดีแทคเปิดเผยก็คือ ปัจจุบัน โลกได้มีการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มาแล้ว 53.6 ล้านตัน และคาดว่าจะมีปริมาณแตะ 75 ล้านตันในปี 2030 อย่างไรก็ดี หากขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นได้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้องก็จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการรีไซเคิลมือถือหนึ่งเครื่องช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 12.6 กิโลกรัม และถ้าหากรีไซเคิลมือถือ 1 ล้านเครื่องจะเทียบเท่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถ 1,368 คันเป็นเวลา 1 ปีเลยทีเดียว ความชัดเจนของแผนงานดังกล่าวเห็นได้จากการเปิดตัวโครงการล่าสุดอย่าง “e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ” ที่มีพันธมิตรทั้งไทย – เทศ เข้าร่วมมากมาย เพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อการจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง ครบวงจร และเป็นไปตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถนำสมาร์ทโฟนเก่า โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่เลิกใช้งาน มาทิ้งเพื่อให้ทางบริษัทนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี โดยจะมีการตั้งกล่องรับขยะ e-Waste ที่ ทรูช้อป ทรูสเฟียร์ และศูนย์บริการดีแทค รวม 154 สาขาทั่วประเทศด้วยนั่นเอง และผู้ที่นำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้ง ณ จุดที่กำหนดไว้ ก็จะมีสิทธิพิเศษมอบให้มากมาย เช่น รับเครื่องดื่มฟรีที่ตู้เต่าบิน อัปไซส์เครื่องดื่มฟรีที่ทรูคอฟฟี่ เป็นต้น Google ยักษ์ใหญ่ที่ส่งเสริม ESG ผ่านเทคโนโลยี ชื่อ Google อาจเป็นที่รู้จักสำหรับใครหลายคนในฐานะบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งบางที เราอาจนึกภาพไม่ออกว่า นอกจากแสดงผลการค้นหาข้อมูลให้เราแล้ว พวกเขาทำอะไรกันอยู่บ้างในแง่ของ ESG แต่หากมองย้อนไปในอดีต จะพบว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับ Top4 ของสหรัฐอเมริการายนี้ให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากมาย เช่น การนำพลังงานหมุนเวียน 100% มาปรับใช้เป็นไฟฟ้าให้กับบริษัท หรือการนำชิ้นส่วนจากการรีไซเคิลมาใช้ในโปรดักท์ของ Google อย่าง Nest และ Pixel นอกจากนั้น บนแอปพลิเคชัน Google Maps ยังมีข้อมูลจุดชาร์จรถ EV มากกว่า 200,000 แห่ง และในปี 2010 – 2021 ทางบริษัทเผยว่ามีการลงทุน 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในโปรเจ็คพลังงานหมุนเวียนด้วย ส่วนใครที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ Google Maps ยังสามารถแนะนำเที่ยวบินที่มี Carbon Footprint ต่ำได้ หรือในส่วนของ Google Earth Engine ก็พบว่ามีการแสดงข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่และระบบนิเวศของโลก ซึ่งช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถมองเห็นห่วงโซ่อุปทานของตนและเข้าใจถึงความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย
“มิตรผล” ยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือ From Waste to Value Creation” ด้วยความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนภาคเกษตรให้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและสิ่งแวดล้อม
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53294
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....แม้จะเผชิญอุปสรรค แต่ก็ยังมีโอกาสเสมอ
null
ฟ้าหลังฝนของไรเดอร์ สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ไรเดอร์หนุ่มนามว่า "นาวิน" ก้มมองแอปพลิเคชัน Robinhood บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ปกติแล้วช่วงเย็นแบบนี้เป็นเวลาทำเงินของเขา แต่ทว่าฝนที่ตกลงมานี้ คงทำให้ผู้คนไม่อยากออกจากบ้าน คงไม่มีใครสั่งอาหาร นาวินถอนหายใจ ลอรถมอเตอร์ไซค์ของเขาเริ่มเก่า เสียงเครื่องยนต์เริ่มดัง เขาคิดว่าคงจะต้องหาเงินเก็บเพื่อเปลี่ยนรถใหม่สักคัน ค่าซ่อมแซมเริ่มถี่ขึ้น กินเงินออมของเขาไปมาก ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน Robinhood ดังขึ้น นาวินรีบก้มมอง หน้าจอแสดงข้อความว่า "Robinhood Ride กำลังเปิดให้บริการในพื้นที่ของคุณ" นาวินรู้สึกเหมือนฟ้าหลังฝน เขาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Robinhood Ride บริการใหม่จาก Robinhood ที่ให้บริการเรียกรถ "ค่าคอมมิชชั่นต่ำ เริ่มต้นที่ 20% เก็บค่าโดยสารตามราคาที่กฎหมายกำหนด ไม่มีบวกเพิ่มในช่วงเวลาเร่งด่วน" นาวินตัดสินใจลองใช้บริการ Robinhood Ride เขาเปิดแอปพลิเคชัน ลงทะเบียนเป็นผู้ขับขี่ กรอกข้อมูลส่วนตัว และรอการอนุมัติ ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที นาวินก็ได้รับการอนุมัติ เขาเริ่มรับงานแรก ผู้โดยสารคนแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เธอมีสัมภาระมาก นาวินช่วยเธอขนสัมภารขึ้นรถ ระหว่างทาง ผู้หญิงคนนั้นพูดคุยกับนาวิน เธอเล่าว่าเธอเป็นเจ้าของร้านขายของชำ เธอเคยใช้บริการแอปเรียกรถเจ้าอื่น แต่ค่าคอมมิชชั่นนั้นสูงมาก นาวินรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Robinhood Ride เขาคิดว่าบริการนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่อย่างเขามีรายได้เพิ่มขึ้น ในวันนั้น นาวินรับงานหลายงาน เขาได้เงินมากกว่าวันปกติ เขารู้สึกมีความสุข หลังจากนั้น นาวินก็ใช้บริการ Robinhood Ride เป็นประจำ เขาเก็บเงินออมเพื่อซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าใหม่ วันหนึ่ง นาวินได้รับข้อความแจ้งจาก Robinhood ว่าเขาได้รับรางวัล "ไรเดอร์ดีเด่น" เขารู้สึกภูมิใจ นาวินคิดว่า Robinhood Ride เปลี่ยนชีวิตของเขา เขาไม่ต้องกังวลเรื่องค่าคอมมิชชั่นสูง เขาสามารถเก็บเงินออมเพื่ออนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53313
Retail
เขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "การเปิดโอกาสสู่โลก กับแพลตฟอร์มขับเคลื่อน SME ไทยสู่ความเจริญ"
null
"SME ไทยเปิดใจ ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’ จากซีพี หนุนธุรกิจท้องถิ่นรายได้พุ่ง ดันสินค้าไทยไปไกลสู่ตลาดโลก พร้อมช่วยสร้างอาชีพ-กระจายรายได้ให้คนในชุมชนเติบโตยั่งยืน" การเปิดโอกาสและสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและกลางหรือ SME ในประเทศไทยผ่านแพลตฟอร์มที่ทรงคุณค่าเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยพึ่งพาซีพีหรือพาณิชย์ประกันภัยเป็นตัวนำทาง การสร้างแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจท้องถิ่นในประเทศไทยอย่างยั่งยืน หนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้แพลตฟอร์มนี้น่าสนใจคือการสนับสนุนให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลางมีโอกาสเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสนอสินค้าและบริการออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้หรือการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตลาดและการส่งออก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขวางมากขึ้น การเชื่อมโยงธุรกิจท้องถิ่นกับตลาดโลกยังมีผลกระทบที่ดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ เมื่อธุรกิจท้องถิ่นเติบโตขึ้น มันสามารถสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับคนในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีการลดความยากลำบากในด้านเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตาม การเปิดแพลตฟอร์มสำหรับ SME ยังต้องพิจารณาด้านความยั่งยืนและความปลอดภัยของธุรกิจอย่างมีความสำคัญ เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับข้อมูลลูกค้า การเงิน และเรื่องความไว้วางใจของผู้ใช้บริการ ดังนั้น การให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าแพลตฟอร์มจะมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาวด้วย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53318
Retail
ภายใต้งบประมาณการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปี (2566-2567) ที่ BRC ใช้เร่งเครื่องธุรกิจในทุกมิติ งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในการพัฒนาศักยภาพของแบรนด์ค้าปลีกใดในเครือ
จับตา BRC หลังพา Big C หวนคืนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศทุ่ม 10,000 ล้าน ตลอดช่วง 2 ปีนับจากนี้ รุกตลาดค้าปลีกสมัยใหม่เต็มรูปแบบ เปิดตัวโมเดลใหม่ “Big C Place” รีโนเวตจาก “บิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ต” ประเดิม 2 สาขาแรก “ลำลูกกา คลอง 5” ในเดือน ก.ค. 66 ก่อนลุยต่อ สาขา “รัชดา” แฟล็กชิปที่ใหญ่ที่สุดในปี 2567 หลังบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ประกาศแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยแยกธุรกิจการค้าปลีก การค้าส่ง การสั่งผลิต การนำเข้าและการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาและการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเดิมของ Big C ทั้งหมด ให้รวมอยู่ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “BRC” พร้อมลุยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เป็นผลสำเร็จ ( ) BJC Big C ( ) “BRC” ภายใต้งบประมาณการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปีนับจากนี้ (2566-2567) ที่ BRC ใช้เร่งเครื่องธุรกิจในทุกมิติ โดยงบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในการพัฒนาศักยภาพของ “Big C” แบรนด์ค้าปลีกในเครือเป็นเรือธงหลักในการสร้างการเติบโตในหลายโมเดล หนึ่งในความน่าสนใจคือการเปิดตัวโมเดลใหม่ล่าสุด “Big C Place” Store Format ขนาดใหญ่ที่เข้ามาตอบโจทย์การช้อปปิ้ง และการพักผ่อนที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการเติมพอร์ตโฟลิโอของ “Big C” ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น 10,000 2 (2566-2567) BRC “Big C” “Big C Place” Store Format “Big C” โดยเตรียมเปิดให้บริการ Big C Place สาขาแรกที่ “ลำลูกกา คลอง 5” ราวต้นเดือนกรกฏาคม 2566 นี้ ซึ่งเป็นการปรับจาก “บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ ลำลูกกา” ไปยังโมเดล “Big C Place” เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในย่าน ก่อนจะเปิดสาขาลำดับถัดไปที่ “รัชดาภิเษก” ในปี 2567 ซึ่งเป็นการรีโนเวตจาก “บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ รัชดา” เก่า ภายใต้งบประมาณราว 500 ล้านบาทในรูปแบบใหม่เช่นกัน โดยสาขานี้จะเป็นแฟล็กชิปของโมเดลดังกล่าวที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย การขยายสาขาของ Big C Place จะมีทั้งรูปแบบของการรีโนเวตสาขาเดิม และขยายสาขาใหม่ โดยวางเป้าหมายขยายให้ได้ขั้นต่ำ 10-15 สาขาต่อปีนับจากนี้ ในช่วงแรกของการเปิดตัว Big C จะเป็นการปรับโฉม “บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต” ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็น Store Format ขนาดใหญ่ ให้เป็น “Big C Place” ภายในจะมีทั้งบิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต มีพื้นที่อาหารสดเพิ่มขึ้น และออกแบบพื้นที่เช่า และการตกแต่งรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ยังออกแบบบรรยากาศโดยรวมให้น่าเดินมากขึ้น Big C Place 10-15 Big C “ ” Store Format “Big C Place” ภายในจะเป็นการปรับเพิ่มพื้นที่เช่า ลดพื้นที่ขายของบริษัทลง โดยจะมีทั้งบิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต มีพื้นที่อาหารสดเพิ่มขึ้น และออกแบบพื้นที่เช่าใหม่ มีจอ LED ในการจัดงานแฟร์ งานเปิดตัว มุมสำหรับให้คนมาไลฟ์ขายของภายอีกด้วย ซึ่งรูปแบบศูนย์ฯ จะแตกต่างกันออกไปตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากสาขาของ Big C Place อยู่ในย่านกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น วัยเริ่มทำงาน ก็จะมีการเติมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ต่างๆ เข้าไป เช่นโรงภาพยนต์ ร้านอาหารชื่อดังตามเทรนด์ เพิ่มพื้นที่ Co-working Space และ Relax Zone เป็นต้น แต่หากอยู่ในทำเลที่เป็นย่านครอบครัว ที่มีลูก และชุมชน ก็จะมีการเติมสนามเด็กเล่น พื้นที่สันทนาการต่างๆ เข้าไป เพื่อทำให้เป็นจุดหมายของคนรุ่นใหม่ LED Big C Place Co-working Space Relax Zone คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BRC กล่าวว่า การปรับโมเดล Big C Place จะมีการไล่ปรับโฉมจาก บิ๊กซี ในสาขาใหญ่มารีโนเวตให้มากขึ้น เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อแก่ลูกค้าให้ดีขึ้น หลังจากนั้นพอโมเดลนี้นิ่ง ก็จะขยายทั้งรูปแบบของสาขาใหม่และการรีโนเวตสาขาเก่า ซึ่งการรีโนเวตที่ดีจะต้องช่วยยกระดับการขายเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% BRC Big C Place 10-15% “เมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมา การทำธุรกิจรีเทลถ้าเราอยากดึงคนเข้ามา การมีพื้นที่ขาย 10,000 ตร.ม. นับว่าเพียงพอในการดึงคนเข้ามา แต่ปัจจุบันด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พอคนมาบอกว่ามาบิ๊กซี คนก็จะบอกว่าไม่อยากมา เพราะไม่อยากซื้อของ เราจึงมีการพัฒนาโมเดล Big C Place ขึ้นมา เพื่อให้คนมาแฮงค์เอาท์ พร้อมทั้งนึกถึงบริการต่างๆ มากขึ้น เราต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากที่สุด นอกเหนือจากการที่คนเข้ามาซื้อของ ต้องให้มาใช้ชีวิต ใช้เวลา ผ่านเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เรื่องเกม และร้านอาหารที่ตอบสนองพฤติกรรมสมัยใหม่ และอยากให้ลูกค้านึกถึงเราในการใช้ชีวิตมากกว่าการช้อปปิ้ง เลยอยากมี Big C Place เพิ่มขึ้น” คุณอัศวินกล่าว “
ภายใต้งบประมาณการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปี (2566-2567) ที่ BRC ใช้เร่งเครื่องธุรกิจในทุกมิติ งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในการพัฒนาศักยภาพของ “Big C” แบรนด์ค้าปลีกในเครือเป็นเรือธงหลักในการสร้างการเติบโตในหลายโมเดล
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53320
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง...."Retail" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้อขาย แต่สามารถสร้างประสบการณ์ เชื่อมโยงผู้คน และสร้างมิตรภาพ
null
แสงไฟแห่งมิตรภาพ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร แสงไฟสว่างไสวของสยามดิสคัฟเวอรี่ ดึงดูดผู้คนจากทุกสารทิศให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ เช่นเดียวกับ "ณิชา" สาววัย 20 ปลายๆ ผู้หลงใหลในวัฒนธรรมเกาหลี ณิชากำลังมุ่งหน้าไปยัง "Boggle Boggle K-Ramyun Pop-up Shop" ป๊อปอัพช็อปสุดฮอตที่เธอเฝ้ารอมาเนิ่นนาน เพียงก้าวเข้าไปภายในร้าน บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยสีสัน และกลิ่นหอมเย้ายวนของราเมนเกาหลีก็โชยมาแตะจมูก ณิชาเดินสำรวจร้านอย่างตื่นตาตื่นใจ รามยอนหลากชนิดเรียงรายบนชั้นวาง สินค้า K-Pop สุดน่ารัก เต็มไปทั่ว บรรยากาศภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเกาหลี ราวกับว่าเธอได้หลุดไปอยู่โซล เมืองหลวงอันทันสมัย ทันใดนั้น ณิชาก็ได้พบกับ "จินยอง" ชายหนุ่มชาวเกาหลี พนักงานในร้าน ทั้งคู่ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม จินยองแนะนำราเมนเกาหลีหลากหลายชนิดให้ณิชาได้ลองชิม บทสนทนาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ณิชาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการกินราเมนของชาวเกาหลี จินยองเองก็รู้สึกประทับใจในความชื่นชอบวัฒนธรรมเกาหลีของณิชา มิตรภาพของทั้งคู่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ผ่านบทสนทนาและรอยยิ้ม ร้าน Boggle Boggle K-Ramyun Pop-up Shop กลายเป็นจุดเชื่อมโยงมิตรภาพระหว่างคนสองประเทศ ณิชาและจินยองช่วยเหลือลูกค้าในร้านด้วยกัน แนะนำราเมน ถ่ายรูป และพูดคุยเกี่ยวกับวัฒนธรรม รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเขา ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้านมากขึ้น จากสองคนที่ไม่เคยรู้จัก กลายเป็นเพื่อนสนิท ผ่านประสบการณ์ร่วมกันในร้าน Boggle Boggle K-Ramyun Pop-up Shop มิตรภาพของพวกเขา สะท้อนให้เห็นถึงพลังของ "Retail" ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้อขาย แต่สามารถสร้างประสบการณ์ เชื่อมโยงผู้คน และสร้างมิตรภาพอันล้ำค่า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53325
Retail
กลยุทธ์ของธนาคารกรุงเทพและบิ๊กซี ในการขยายจุดให้บริการฝากเงินผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงิน มีอะไรบ้าง และจะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
กลยุทธ์ของธนาคารกรุงเทพและบิ๊กซี ในการขยายจุดให้บริการฝากเงินผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงิน มีดังนี้: 1. ขยายฐานลูกค้า: - ธนาคารกรุงเทพสามารถเข้าถึงลูกค้าบิ๊กซีที่มีมากกว่า 18 ล้านราย - บิ๊กซีสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ต้องการใช้บริการฝากเงิน 2. เพิ่มช่องทางการให้บริการ: - ธนาคารกรุงเทพมีจุดให้บริการฝากเงินเพิ่มขึ้นกว่า 1,600 สาขา - บิ๊กซีเพิ่มบริการทางการเงินให้กับลูกค้า 3. เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า: - ลูกค้าสามารถฝากเงินได้ทุกที่ที่มีบิ๊กซี - ลูกค้าสามารถฝากเงินได้โดยไม่ต้องไปธนาคาร 4. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: - ธนาคารกรุงเทพสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ แก่ลูกค้าบิ๊กซี - บิ๊กซีสามารถนำเสนอสินค้าและบริการอื่นๆ แก่ลูกค้าธนาคารกรุงเทพ ผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก: - เพิ่มยอดขาย: ลูกค้าอาจใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อมาฝากเงิน - เพิ่มความภักดีของลูกค้า: ลูกค้าจะรู้สึกสะดวกและประทับใจกับบริการ - เพิ่มภาพลักษณ์: ธุรกิจค้าปลีกดูทันสมัยและน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเพิ่มเติม: - ธนาคารกรุงเทพและบิ๊กซี อาจร่วมกันจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า - ธนาคารกรุงเทพ อาจพัฒนาระบบการฝากเงินแบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของบิ๊กซี - บิ๊กซี อาจนำเสนอบริการทางการเงินอื่นๆ เช่น การถอนเงิน การโอนเงิน การชำระค่าสินค้าและบริการ โดยสรุป: กลยุทธ์ของธนาคารกรุงเทพและบิ๊กซี ในการขยายจุดให้บริการฝากเงินผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงิน จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกหลายประการ เช่น เพิ่มยอดขาย เพิ่มความภักดีของลูกค้า เพิ่มภาพลักษณ์ ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพและบิ๊กซี จำเป็นต้องพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53345
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การปิดตัว New Balance Shop ในไทย"
แค่หมดสัญญา “เซ็นทรัล” ยันไม่ยกเลิกจำหน่าย “New Balance” ยังสามารถซื้อได้ที่ Supersports ลุยปั้น “Reebok” แบรนด์ใหม่เสริมพอร์ตแทน “ ” “New Balance” Supersports “Reebok” สะเทือนใจคอสนีกเกอร์ชาวไทยไม่น้อย หลังมีข่าวสะพัดโลกออนไลน์ถึงการปิดตัว New Balance Shop ในไทยอย่างถาวร โดยจะเปิดวันนี้ (25 เมษายน 2566) เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ประกาศของร้านระบุข้อความว่า New Balance Shop (25 2566) “new balance พระราม 9 ประกาศปิดถาวร โดยร้านจะเปิดให้บริการถึงวันที่ 25 เมษายน 2566 พร้อมกับร้าน new balance สาขาอื่น ๆ ขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่อุดหนุนเราเสมอมา” “new balance 9 25 2566 new balance ” แหล่งข่าวจาก new-balance ในเครือเซ็นทรัล ผู้นำเข้าแบรนด์ New Balance กล่าวกับ “BrandBuffet” ว่า การปิดตัวดังกล่าวเป็นเรื่องของการหมดสัญญาที่จบลงตั้งแต่ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งทางบริษัทมี Timeline ที่ชัดเจนว่าจะปิดตัวลงในช่วงนี้ แต่ยังคงได้สิทธิ์การเปิดร้านหรือวางจำหน่ายจนถึงเดือนเมษายน 2566 ก่อนจะวางมือให้ดิสบิวเตอร์รายใหม่อย่าง MAP Aktif Adiperkasa มาทำตลาดแทน new-balance New Balance “BrandBuffet” 2565 Timeline 2566 MAP Aktif Adiperkasa ขณะที่ในส่วนของการขายสินค้ายังยืนยันว่า ณ ตอนนี้แบรนด์ New Balance จะยังวางจำหน่ายอยู่ในร้าน Supersports ตลอดไป เพียงแต่รูปแบบการทำตลาดของ CRC Sports จะเปลี่ยนจากดิสบิวเตอร์ไปเป็นคู่ค้ากับ MAP Aktif Adiperkasa ในการซื้อสินค้าจากแบรนด์มาวางจำหน่ายแทน New Balance Supersports CRC Sports MAP Aktif Adiperkasa “ข่าวลือว่าที่ว่าเราขาดทุนในการขายแบรนด์ New Balance ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ New Balance คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตทั้งด้านยอดขายและกำไรที่ดีมาก เพียงแต่การปิดหน้าร้านในครั้งนี้เป็นเพียงการหมดสัญญาตัวแทนจำหน่ายของเรา โดยมีผู้ถือสิทธิ์รายใหญ่ที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกแฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่สเกลใหญ่มากในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จากการที่มีประชากรเยอะกว่า ทำให้มียอดขายสูงกว่าและสามารถ Aggressive เรื่องสัญญาได้มากกว่า” “ New Balance New Balance Aggressive ” ในฝั่งของ CRC Sports เอง แม้จะหมดสัญญากับแบรนด์ New Balance ไป แต่เมื่อมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ทางซีอาร์ซีฯ ได้คว้าสิทธิ์แบรนด์ Reebok เข้ามาทำตลาดในไทยเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมในการวางหมากของทางค่ายที่จะนำแบรนด์ Reebok เข้ามาเป็นอีกหนึ่งเรือธงในการทำตลาดแทนอยู่แล้ว
New Balance Shop ในไทยเปิดให้บริการถึงวันที่ 25 เมษายน 2566 เนื่องจากหมดสัญญาตั้งแต่ธันวาคม 2565 และให้ MAP Aktif Adiperkasa มาทำตลาดแทน ส่วนการขายสินค้าจะวางจำหน่ายอยู่ในร้าน Supersports ต่อไป ด้าน CRC Sports ได้สิทธิ์แบรนด์ Reebok เข้ามาทำตลาดในไทยแทน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53346
Retail
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีกลยุทธ์อย่างไร ในการใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพจัดงาน EXPO 2028 PHUKET THAILAND ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก
null
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีศักยภาพที่จะใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพจัดงาน EXPO 2028 PHUKET THAILAND ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก โดยสามารถใชกลยุทธ์ดังต่อไปนี้: 1. เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า: - ขยายฐานลูกค้า - นำเสนอสินค้าและบริการใหม่ - พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ 2. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ: - นำเทคโนโลยีมาใช้ - พัฒนาบริการ - สร้างบรรยากาศ 3. ส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์: - สร้างการรับรู้ - สร้างความสัมพันธ์ - สร้างความยั่งยืน ตัวอย่างเพิ่มเติม: - King Power ควรจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมงาน EXPO - King Power ควรเปิด pop-up store ในงาน EXPO - King Power ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย - King Power ควรนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับ ความต้องการของนักท่องเที่ยว - King Power ควรสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยสรุป: - King Power สามารถใช้ประโยชน์จากงาน EXPO 2028 PHUKET THAILAND ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกได้อย่างมาก - หาก King Power สามารถดำเนินการตามกลยุทธ์เหล่านี้ได้ King Power จะประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ หมายเหตุ: - ข้อมูลในบทความนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 - กลยุทธ์ที่เสนอในคำตอบนี้เป็นเพียงแนวทาง King Power ควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ตลาดเพิ่มเติม เพิ่มเติม: - King Power ควรติดตามเทรนด์ของธุรกิจค้าปลีก - King Power ควรพัฒนาศักยภาพของพนักงาน - King Power ควรสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร - ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน King Power จะสามารถใช้ประโยชน์จากงาน EXPO 2028 PHUKET THAILAND ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53348
Retail
จงเสนอไอเดีย 5 ด้านการเติบโตของ Shopee แบ่งได้ดังนี้
null
1. พบการเติบโตในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น Shopee มีผู้ใช้งานใหม่ที่มาจากพื้นที่ต่างจังหวัดมากถึง 85% ซึ่งในจุดนี้มองว่า ต่างจังหวัดยังคงเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสเติบโตอยู่ ส่วนวิธีการเข้าถึงให้ได้มากขึ้นนั้นคือต้องเน้นความง่ายในการใช้งาน และเป็นแอปพลิเคชันที่เน้น Mobile-First เนื่องจากอุปกรณ์ในมือของผู้บริโภคในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นสมาร์ทโฟน 2. มีผู้ใช้งาน ShopeePay เป็นครั้งแรกมากถึง 24 ล้านคน 3. ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2022 บริษัทมียอดการสั่งอาหารบน ShopeeFood จากคนที่อาศัยอยู่นอกกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก 4. มีผู้เข้าร่วมในกิจกรรม CSR ที่บริษัทจัดขึ้นมากถึง 600,000 คน เช่น กิจกรรมกล่องเกิดใหม่ ที่สามารถนำกล่องพัสดุจากการจัดส่งสินค้ามารีไซเคิลได้กว่า 1,700 กิโลกรัม และนำไปผลิตเป็นชั้นวางหนังสือมอบให้กับมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่าผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 5. ผู้ขายสินค้าของไทยที่เข้าร่วมโปรแกรม SIP (Shopee International Platform) สามารถนำสินค้าไปจำหน่ายในประเทศสิงคโปร์, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้แล้ว โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมคือสินค้าหมวดอาหาร, สินค้าออแกนิค ขณะที่ในประเทศไทยเอง เมื่อมีโปรแกรมดังกล่าว ก็ทำให้มีสินค้าจากจีน – อินโดนีเซีย เข้ามาวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน “ในแง่ของการแข่งขัน ทุกแพลตฟอร์มยังพัฒนาสิ่งที่น่าสนใจออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเรามองในมุมผู้บริโภค จะพบว่าเขามองหาความคุ้มค่า ความปลอดภัย และการใช้งานง่าย ส่วนฝั่งผู้ขายก็มองหาพื้นที่ที่เขาสามารถสร้างยอดขายได้ มีคนมาซื้อสินค้าของเขาได้ ซึ่งหากเราสามารถทำให้ทั้งสองสิ่งนี้เกิดขึ้นได้มันก็จะเป็น Healthy Ecosystem ให้กับแพลตฟอร์มของเราในที่สุด”
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53349
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....บัตรเดบิต Be1st Digital AIS POINTS เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ ช่วยให้ช้อปปิ้งออนไลน์ได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่า เพราะสามารถสะสมแต้ม AIS Points ไว้แลกรับสิทธิพิเศษมากมาย เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายและได้รับประโยชน์สูงสุด
null
บัตรเดบิต... สะพัดแต้ม คุ้มค่าทุกไลฟ์สไตล์ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร แสงสีหลากสาดส่อง เต็มไปด้วยร้านค้าและผู้คนมากมาย หนึ่งในนั้นคือ "มายด์" สาววัย 20 ต้นๆ กำลังเดินช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า หยิบจับโน่นนี่นั่น ใส่ตะกร้าอย่างเพลิดเพลิน ชีวิตมหาวิทยาลัยทำให้เธอมีอิสระในการเลือกซื้อของที่ชอบ แต่ด้วยเงินค่าขนมจำกัด มายด์จึงต้องคิดรอบคอบก่อนจ่ายเงินทุกครั้ง ทันใดนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นบูธธนาคารกรุงเทพ กำลังโปรโมทบัตรเดบิต "Be1st Digital AIS POINTS" มายด์เคยได้ยินชื่อเสียงของบัตรนี้มาบ้าง ว่าช่วยให้สะสมแต้ม AIS Points ได้ง่ายๆ เพียงใช้จ่ายออนไลน์ แถมยังปลอดภัยด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ด้วยความสนใจ มายด์จึงเดินเข้าไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม พนักงานอธิบายอย่างใจดีว่า บัตร Be1st Digital AIS POINTS นั้น ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถใช้จ่ายออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก ที่สำคัญคือ ทุกๆ 200 บาท ที่ใช้จ่ายผ่านบัตร จะได้รับ 1 AIS Points สะสมไว้แลกรับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น ค่าโทร ค่าอินเทอร์เน็ต ส่วนลดร้านค้า หรือแลกสินค้าต่างๆ ได้อีกด้วย มายด์รู้สึกตื่นเต้นกับบัตรนี้มาก เพราะเธอช้อปปิ้งออนไลน์เป็นประจำอยู่แล้ว โดยปกติเธอจะใช้บัตรเครดิตของพ่อแม่ แต่การมีบัตรเดบิตของตัวเอง จะทำให้เธอสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะสร้างภาระให้พ่อแม่ ด้วยความมุ่งมั่น มายด์จึงตัดสินใจสมัครบัตร Be1st Digital AIS POINTS ทันที พนักงานแจ้งว่าเธอสามารถสมัครได้ง่ายๆ ผ่านโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารกรุงเทพ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก หลังจากได้บัตรมา มายด์ก็เริ่มใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตร Be1st Digital AIS POINTS ทันที เธอรู้สึกประทับใจกับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยของบัตร แถมเธอยังได้รับ AIS Points สะสมไว้แลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้อีกด้วย วันหนึ่ง มายด์ตัดสินใจใช้ AIS Points ที่สะสมมา แลกรับส่วนลดค่าอาหารที่ร้านอาหารชื่อดัง เธอรู้สึกดีใจที่ได้ประหยัดเงินไปพอสมควร ประสบการณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกคุ้มค่ากับการสมัครบัตร Be1st Digital AIS POINTS
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53351
Retail
การรีแบรนด์ "พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่" สู่ "The Pantip Lifestyle Hub" จะช่วยเพิ่มยอดขายของธุรกิจรีเทลใน AWC หรือไม่?
null
มีโอกาสสูงที่จะเพิ่ม เหตุผล: -การตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่: การรีแบรนด์ "พันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่" สู่ "The Pantip Lifestyle Hub" มุ่งเน้นไปที่การตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบาย ครบครัน และประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจรีเทลในปัจจุบัน -การผสมผสานรูปแบบธุรกิจ: The Pantip Lifestyle Hub ผสมผสานรูปแบบธุรกิจรีเทลหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ศูนย์การค้า, ศูนย์ค้าส่ง, พื้นที่สำหรับกิจกรรม และ Co-living space รูปแบบนี้ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เพิ่มโอกาสในการจับจ่ายใช้สอย -การเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง: The Pantip Lifestyle Hub มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าครอบครัวทุกวัยในภาคเหนือ และนักท่องเที่ยว กลยุทธ์นี้ช่วยให้ AWC เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงจุด เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการ -การสร้างจุดเด่น: The Pantip Lifestyle Hub เน้นการออกแบบโลโก้ใหม่ คาแรคเตอร์โมเดิร์นแบบผสมล้านนา และคอนเซ็ปต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ กลยุทธ์นี้ช่วยสร้างจุดเด่นให้กับศูนย์การค้า ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ -การดึงดูดผู้เช่า: The Pantip Lifestyle Hub ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวก ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ใกล้กับแม่น้ำปิงและไนท์บาซาร์ ทำเลนี้ดึงดูดผู้เช่ารายใหญ่และแบรนด์ดังๆ มากมาย เพิ่มความน่าสนใจให้กับศูนย์การค้า -การขยายฐานลูกค้า: การรีแบรนด์ครั้งนี้ช่วยขยายฐานลูกค้าของ AWC ไปยังกลุ่มครอบครัวและนักท่องเที่ยวในภาคเหนือ เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต -การสร้างประสบการณ์: The Pantip Lifestyle Hub มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง เน้นความสะดวกสบาย ครบครัน และกิจกรรมสำหรับครอบครัว กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการอีก -การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: The Pantip Lifestyle Hub มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการให้บริการ เช่น ระบบชำระเงินออนไลน์ การจองคิว และระบบค้นหาข้อมูล กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและดึงดูดลูกค้า -การสร้างภาพลักษณ์: การรีแบรนด์ครั้งนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับ AWC ในฐานะบริษัทที่ทันสมัย เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ -การเพิ่มมูลค่า: การรีแบรนด์ครั้งนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ AWC ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์และผลประกอบการ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจรีเทล เช่น สภาพเศรษฐกิจ การแข่งขัน และกลยุทธ์ทางการตลาด AWC จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมอยู่เสมอ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53355
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การให้ลูกค้าเลือกสินค้าเองได้ ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
null
บทเพลงแห่งโปรโมชั่น 1 แถม 1 ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งคึกคักไปด้วยผู้คน ต่างมุ่งหน้าไปยังร้านบู๊ทส์ ดรักสโตร์ชั้นนำจากประเทศอังกฤษ บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยสีสัน เสียงเพลงโปรโมชั่นดังก้อง บรรดาลูกค้าต่างเดินเลือกซื้อสินค้าอย่างคึกคัก หนึ่งในนั้นคือ "นลิน" สาวออฟฟิศวัย 28 ปี กำลังมองหาสกินแคร์ตัวใหม่เพื่อบำรุงผิวหน้า เธอหยุดยืนอยู่หน้าชั้นสินค้า สายตาจับจ้องไปที่ป้ายโปรโมชั่นสีแดงสดขนาดใหญ่ "บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมทช์ 1 แถม 1 คละได้" นลินยิ้มกว้าง โปรโมชั่นนี้ช่างดึงดูดใจเธอเหลือเกิน เธอเริ่มเดินเลือกสกินแคร์ที่ต้องการ บรรจงหยิบครีมบำรุงผิวหน้า เซรั่ม และมาส์กหน้า ลงตะกร้าอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่กำลังเลือกซื้ออยู่นั้น สายตานลินก็เหลือบไปเห็น "พิม" เพื่อนสนิทของเธอ กำลังยืนเลือกซื้อสินค้าอยู่เช่นกัน พิมเห็นนลินจึงรีบเดินเข้ามาทักทาย "นลิน มาซื้ออะไรเหรอ?" พิมถาม "มาซื้อสกินแคร์ โปรโมชั่น 1 แถม 1 น่ะ คุ้มมากเลย" นลินตอบ "จริงเหรอ เดี๋ยวฉันไปดูบ้างดีกว่า" พิมพูดพลางเดินไปที่ชั้นสินค้า นลินและพิมช่วยกันเลือกสกินแคร์ พวกเธอคุยกันอย่างสนุกสนาน เปรียบเทียบสรรพคุณของสินค้า แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แนะนำสินค้าตัวเด็ดให้กัน ในที่สุด นลินก็ตัดสินใจซื้อครีมบำรุงผิวหน้า เซรั่ม และมาส์กหน้า รวมเป็น 3 ชิ้น โดยใช้โปรโมชั่น 1 แถม 1 จ่ายเพียงราคา 2 ชิ้น พิมเองก็ซื้อสกินแคร์เช่นกัน ทั้งนลินและพิมรู้สึกพอใจกับสินค้าที่ซื้อ รู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย ทั้งยังได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนาน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53363
Retail
ในโครงการ "กินได้ไม่ทิ้งกัน x ไม่เทรวม" โลตัสมีบทบาทในการจัดการขยะอาหารอย่างไร?
หัวข้อ โลตัส ร่วมกับ กทม. ต่อยอดโครงการกินได้ไม่ทิ้งกัน x ไม่เทรวม บริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดจากร้านโลตัส โก เฟรช ให้พนักงานกวาดถนน เดินหน้าเป้าหมายลดขยะอาหารให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 [PR] - Brand Buffet ​โลตัสผนึกกำลัง กรุงเทพมหานคร ต่อยอด 2 โครงการกินได้ไม่ทิ้งกัน ของโลตัส และ โครงการไม่เทรวม ของกรุงเทพมหานคร ร่วมมือบริหารจัดการอาหารส่วนเกินโดยบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดแต่ยังมีคุณภาพดีและสามารถรับประทานได้ จากโลตัส โกเฟรช ให้พนักงานกวาดถนนของกทม.ในเขตต่าง ๆ ที่ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ลดขยะอาหาร และโลตัสยังช่วยอำนวยความสะดวกแยกขยะประเภทอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้แล้ว ส่งมอบไปกับเจ้าหน้าที่ของกทม. เพื่อนำไปทำปุ๋ยบำรุงต้นไม้ในพื้นที่ของแต่ละเขต ตามเป้าหมายของโลตัสที่จะลดขยะอาหารให้เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2030 สอดคล้องกับนโยบายของกรุงเทพมหานครในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโลตัส ในฐานะห้างค้าปลีกที่จำหน่ายอาหาร คือการลดขยะอาหารให้เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยโลตัส ได้ริเริ่มโครงการกินได้ไม่ทิ้งกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เพื่อบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดแต่ยังมีคุณภาพดีให้กับผู้ยากไร้ แทนการทิ้งให้เปล่าประโยชน์ โดยมีพันธมิตรความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จนถึงปัจจุบันเราสามารถบริจาคอาหารได้ถึง 2.8 ล้านมื้อ ซึ่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 โลตัส เริ่มทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร ทดลองบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดจากร้านโลตัส โก เฟรช ในเขตหนองแขมจำนวน 8 สาขา ให้กับพนักงานฝ่ายรักษาความสะอาดของกทม.ที่ปฏิบัติหน้าที่กวาดถนน โดยเราได้บริจาคอาหารไปทั้งสิ้น 660 กิโลกรัม ส่งผลดีทั้งในแง่ลดปริมาณขยะอาหารที่จะไปสู่หลุมฝังกลบของกทม. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการครองชีพของพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่กวาดถนนที่สามารถแวะรับอาหารได้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่เดินทางผ่านสาขาโลตัสในเส้นทางนั้น ๆ โลตัส มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ต่อยอดความร่วมมือกับกทม. สู่โครงการ “กินได้ไม่ทิ้งกัน X ไม่เทรวม” ที่จะดำเนินการในอีก 6 เขต ครอบคลุมร้านโลตัส โก เฟรช 33 สาขา โดยนอกจากโลตัสจะมอบอาหารให้พนักงานกวาดถนนแล้ว ยังจะช่วยแยกขยะในสาขา โดยนำขยะอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้แล้ว ส่งมอบไปพร้อมกันเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกทม. สามารถไปบริหารจัดการใช้ประโยชน์ต่อ นำไปทำปุ๋ยบำรุงต้นไม้ในพื้นที่ของแต่ละเขตต่อไป เพื่อผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน พร้อมขยายสู่เขตอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ช่วยขับเคลื่อนการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายลดขยะอาหารให้เป็นศูนย์ตามแนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ให้สำเร็จไปร่วมกัน” โครงการกินได้ไม่ทิ้งกัน x ไม่เทรวม สอดคล้องกับพันธกิจของโลตัส ที่ดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ “Vision 2030. Actions every day.” ที่โลตัสวางแผนงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจค้าปลีก เน้นขับเคลื่อนการดำเนินงานทุกวันอย่างยั่งยืนครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้ง 15 ข้อภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ มุ่งสู่วิสัยทัศน์การพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ​
ในโครงการ "กินได้ไม่ทิ้งกัน x ไม่เทรวม" โลตัสมีบทบาทในการจัดการขยะอาหารดังนี้ 1. บริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมดแต่ยังมีคุณภาพดี โลตัสบริจาคอาหารส่วนเกินที่ยังรับประทานได้จากร้านโลตัส โก เฟรช ให้กับพนักงานกวาดถนนของกรุงเทพมหานครในเขตต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการครองชีพของพนักงานเหล่านี้ 2. แยกขยะอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้ โลตัสช่วยอำนวยความสะดวกในการแยกขยะอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้แล้วออกจากขยะทั่วไป 3. ส่งมอบขยะอาหารเพื่อทำปุ๋ย โลตัสส่งมอบขยะอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้แล้วให้กับเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปทำปุ๋ยบำรุงต้นไม้ในพื้นที่ของแต่ละเขต บทบาทเหล่านี้ช่วยลดปริมาณขยะอาหาร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนตามนโยบายของกรุงเทพมหานครและเป้าหมายของโลตัสในการลดขยะอาหารให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53381
Retail
กลยุทธ์ของ Lazada ในการขยายฐานลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเก่าในยุคที่การแข่งขันสูงจะมีอะไรบ้าง?
null
จากบทความ กลยุทธ์ของ Lazada ในการขยายฐานลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเก่าในยุคที่การแข่งขันสูง มีดังนี้: 1. เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีบนแพลตฟอร์ม: พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น LazPayLater บริการช้อปก่อนจ่ายทีหลัง, บริการห่อของขวัญ, บริการติดตั้งสินค้า, บริการคืนสินค้าแบบไม่มีค่าใช้จ่าย, บริการ Virtual Try-On สำหรับสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง, บริการ Try & Buy พัฒนาแพลตฟอร์มให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย มอบบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ตอบคำถามรวดเร็ว แก้ปัญหาได้ตรงจุด 2. มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม: คัดสรรสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำและร้านค้าที่เชื่อถือได้ นำเสนอสินค้าหลากหลายครอบคลุมทุกหมวดหมู่ จัดโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษอย่างสม่ำเสมอ มอบประกันสินค้าและบริการหลังการขาย 3. เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า: จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและเกมส์ต่างๆ บนแพลตฟอร์ม นำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ สร้าง komunitas ลูกค้าบนแพลตฟอร์ม 4. ขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้า: พัฒนาแอปพลิเคชั่นให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ขยายช่องทางการชำระเงิน พัฒนาบริการโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ 5. ลงทุนด้านเทคโนโลยี: พัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์หลากหลาย พัฒนาระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า พัฒนาระบบ AI เพื่อแนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า 6. เน้นการสร้าง Ecosystem: พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ ลงทุนด้านเทคโนโลยี พัฒนาระบบการชำระเงิน สนับสนุนผู้ขายบนแพลตฟอร์ม 7. มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน: ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 8. ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์: วิเคราะห์ข้อมูลตลาดและพฤติกรรมของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับเทรนด์ใหม่ ๆ เรียนรู้จากคู่แข่งและนำมาพัฒนาธุรกิจ 9. เน้นการสร้างความแตกต่าง: นำเสนอสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่พิเศษ สร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง 10. มุ่งเน้นการเติบโตในระยะยาว: ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาบุคลากร สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตร สรุป: กลยุทธ์ของ Lazada ในการขยายฐานลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเก่าในยุคที่การแข่งขันสูง มีหลายประการ โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีบนแพลตฟอร์ม, มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม, เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า, ขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้า, ลงทุนด้านเทคโนโลยี, เน้นการสร้าง Ecosystem, มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน, ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53385
Retail
เขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "สู่ความยั่งยืน: 5 กลยุทธ์ของ CMG ในการเป็นผู้นำในตลาดแฟชั่นรีเทลไทยมากว่า 73 ปี"
null
"CMG" หรือ "Central Marketing Group" เป็นบริษัทที่มีประวัติยาวนานในวงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยมากว่า 73 ปี ซึ่งมีกลยุทธ์ที่เฉียบคมและทันสมัยในการปั้นพอร์ตแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ให้ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างเห็นผล เช่นเดียวกับกลยุทธ์ที่ทำให้ CMG ยืนหนึ่งในตลาดแฟชั่นรีเทลไทยได้มากว่า 73 ปี ดังนี้ 1. การเลือกที่ดินที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้า : CMG มุ่งเน้นที่การเลือกที่ดินที่ตั้งร้านค้าอย่างดีเยี่ยม โดยให้ความสำคัญกับสถานที่ที่มีการเดินทางสะดวกและมีความหนาแน่นของลูกค้าสูง เช่นในห้างสรรพสินค้าที่มีความนิยมหรือที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของเมืองใหญ่ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าทั้งในและนอกเวลาทำการของร้านค้า 2. การสร้างแบรนด์ที่มีเสถียรภาพและได้รับความไว้วางใจ : CMG ได้สร้างแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ในวงการแฟชั่นไทยมายาวนาน โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ามั่นใจและเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ของ CMG อย่างต่อเนื่อง 3. การเน้นที่การตลาดและการโปรโมตสินค้า : CMG มีการตลาดและการโปรโมตที่มีประสิทธิภาพ เช่นการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาทางโทรทัศน์ และการโฆษณาออนไลน์เพื่อเพิ่มความรู้สึกและความสนใจให้กับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา นอกจากนี้การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างความสนใจและความสัมพันธ์กับลูกค้าก็เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ตลาดของ CMG 4. การครองตลาดผ่านแบรนด์หลายระดับ : CMG มีการครองตลาดผ่านแบรนด์หลายระดับ เริ่มตั้งแต่แบรนด์ระดับโลก แบรนด์ระดับกลาง และแบรนด์ระดับมวลชน ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและมีความต้องการที่แตกต่างกันได้ 5. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านบริการหลังการขาย: CMG ให้ความสำคัญกับการให้บริการหลังการขายที่ดี เพื่อสร้างความพึงพอใจและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจและกลับมาซื้อสินค้าในอนาคต ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ CMG ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและยืนหนึ่งในตลาดแฟชั่นรีเทลไทยมากว่า 73 ปี และยังคงเป็นผู้นำในวงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง การยึดมั่นกับคุณธรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของตนเอง และการปรับตัวตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของตลาด เป็นสิ่งที่ทำให้ CMG มีความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในระยะยาว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53395
Retail
สรุปบทความเรื่อง ‘การบินไทย’ เปิดตัวสินค้าใหม่ ‘น้ำส้มตำปรุงรส’ 2 สูตรเด็ด ‘ตำปู-พริกแห้งปลาร้า’ ให้หน่อย
แม้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว ธุรกิจการบินกลับมาให้บริการเป็นปกติ แต่ฝ่าย “ครัวการบินไทย” ที่พัฒนาสินค้ามาจำหน่าย เพื่อเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ให้ “การบินไทย” ตั้งแต่ช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็น ปาท่องโก๋, ครัวซองต์, ภัตตาคารอร่อยล้นฟ้า รวมทั้งทำ “น้ำพริกลงเรือ” กระปุก วางขายในร้าน 7-Eleven ปัจจุบัน “ครัวการบินไทย” ยังคงมองหาโอกาสพัฒนาโปรดักท์ออกมาจำหน่ายต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัวสินค้าใหม่ เอาใจสายแซ่บกับ “น้ำส้มตำปรุงรส” สำเร็จรูปแบบขวด น้ำหนัก 350 กรัม มี 2 สูตร – น้ำส้มตำปรุงรส สูตรส้มตำปู – น้ำส้มตำปรุงรส สูตรผสมพริกแห้งปลาร้า ราคาปกติขวดละ 99 บาท ช่วงเปิดตัวจัดโปรโมชั่น 1 ขวด ราคา 85 บาท 2 ขวด ราคา 165 บาท วางขายที่ – Puff&Pie ทุกสาขา – ภัตตาคารอร่อยล้นฟ้า – ภัตตาคาร Yellow Orchid – ภัตตาคารครัวการบินเชียงใหม่ – ภัตตาคารครัวการบินภูเก็ต
หลังโควิด-19 คลี่คลาย ธุรกิจการบินกลับมาให้บริการปกติ แต่ “ครัวการบินไทย” ยังพัฒนาโปรดักท์ออกมาจำหน่ายต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว “น้ำส้มตำปรุงรส” สำเร็จรูปแบบขวด 2 สูตร ได้แก่ น้ำส้มตำปรุงรส สูตรส้มตำปู และน้ำส้มตำปรุงรส สูตรผสมพริกแห้งปลาร้า วางขายที่ – Puff&Pie ทุกสาขา – ภัตตาคารอร่อยล้นฟ้า – ภัตตาคาร Yellow Orchid – ภัตตาคารครัวการบินเชียงใหม่ – ภัตตาคารครัวการบินภูเก็ต
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53396
Retail
กลยุทธ์การขยายสาขาของโอ้กะจู๋ มีความสอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันอย่างไร?
null
กลยุทธ์การขยายสาขาของโอ้กะจู๋ มีความสอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันหลายประการ ดังนี้: 1. มุ่งเน้นความสะดวกสบายและรวดเร็ว: - การเปิดบริการ Drive-Thru ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ต้องการซื้ออาหารโดยไม่ต้องลงจากรถ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ - การขยายสาขาใน PTT Station เป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการสถานีน้ำมันอยู่แล้ว เพิ่มโอกาสในการซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ 2. ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ: - ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น โอ้กะจู๋นำเสนอเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นผักสด ผลไม้ และวัตถุดิบออร์แกนิก ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ - การจับมือกับ Café Amazon ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสในการนำเสนออาหารเพื่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค 3. มุ่งเน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัด: - โอ้กะจู๋มีแผนขยายสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น ช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มฐานลูกค้า และสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ - การขยายสาขาในต่างจังหวัด ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง ช่วยให้ธุรกิจไม่พึ่งพาตลาดในกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว 4. มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี: - โอ้กะจู๋มีแอปพลิเคชั่นของตัวเอง ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารล่วงหน้า ตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อ และชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ - การใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 5. มุ่งเน้นความยั่งยืน: - โอ้กะจู๋ให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบอินทรีย์ สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน - แนวทางการดำเนินธุรกิจของโอ้กะจู๋ ตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยสรุป: กลยุทธ์การขยายสาขาของโอ้กะจู๋ มีความสอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันหลายประการ มุ่งเน้นความสะดวกสบาย ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ขยายสาขาในต่างจังหวัด ใช้เทคโนโลยี และมุ่งเน้นความยั่งยืน กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้โอ้กะจู๋มีโอกาสเติบโตและประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีก
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53397
Retail
แลคตาซอยมีกลยุทธ์อย่างไรในการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านธุรกิจค้าปลีก?
null
แลคตาซอยมีกลยุทธ์ในการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านธุรกิจค้าปลีก ดังนี้ 1. เพิ่มพื้นที่คลังสินค้า: แลคตาซอยมีแผนเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าเพื่อตอบสนองร้านค้าย่อยทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สามารถกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น 2. มุ่งเน้นการขายผ่านห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่: แลคตาซอยจะให้ความสำคัญกับการขายผ่านห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีศักยภาพสูง และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง 3. พัฒนาการขายผ่านระบบออนไลน์: แลคตาซอยจะมุ่งพัฒนาการขายผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น โดยมีการปรับโฉมเว็บไซต์ให้ทันสมัย รองรับระบบการขายแบบ E-Commerce และจัดทำระบบ CRM อย่างเต็มรูปแบบ 4. ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ: แลคตาซอยจะให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอินโดไชน่า ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง 5. พัฒนาสินค้าใหม่: แลคตาซอยจะพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 6. จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย: แลคตาซอยจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขาย และสร้างการจดจำแบรนด์ 7. พัฒนาความสัมพันธ์กับร้านค้า: แลคตาซอยจะพัฒนาความสัมพันธ์กับร้านค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ร้านค้ามีสินค้าของแลคตาซอยให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค 8. นำเสนอโปรโมชั่นพิเศษ: แลคตาซอยจะนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษให้กับร้านค้า เพื่อจูงใจให้ร้านค้าสั่งซื้อสินค้า 9. สนับสนุนการขาย: แลคตาซอยจะสนับสนุนการขายให้กับร้านค้า เช่น การจัดทำสื่อโฆษณา การจัดอบรมพนักงานขาย 10. วิเคราะห์ข้อมูล: แลคตาซอยจะวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาสินค้า กลยุทธ์ และช่องทางการจำหน่าย ตัวอย่าง - แลคตาซอยเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าในจังหวัด เพื่อรองรับการขยายตัวของร้านค้าย่อยในภาค - แลคตาซอยจับมือกับห้างสรรพสินค้าจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย - แลคตาซอยเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่รองรับการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ - แลคตาซอยเริ่มทำตลาดในประเทศในกลุ่มประเทศอินโดไชน่า สรุป แลคตาซอยมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจะช่วยให้แลคตาซอยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น เพิ่มยอดขาย และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดนมถั่วเหลือง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53401
Retail
ช่วยสรุปบทความ พีพี กรุ๊ป ผู้จัดจำหน่ายสินค้าลองฌองป์ในไทย เปิดตัวร้านลองฌองป์ บูติกคอนเซปต์ใหม่แห่งแรก ให้หน่อยนะคะ
พีพี กรุ๊ป ผู้จัดจำหน่ายสินค้าลองฌองป์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เนรมิตร้าน ลองฌองป์ (LONGCHAMP) บูติกคอนเซปต์ใหม่แห่งแรกในประเทศไทย ในบรรยากาศของอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวใจกลางกรุงปารีส พร้อมผลิตภัณฑ์เครื่องหนังครบทุกไลน์ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้า และสื่อถึงมรดกของแบรนด์ ตอกย้ำความเป็น Leather House ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเครื่องหนัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งแบรนด์จากการเป็นผู้ผลิตหนังหุ้มไปป์ยาสูบที่มีชื่อเสียงในฝรั่งเศส กระทั่งพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นกระเป๋าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากหนังคุณภาพสูง คุณสุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ บริษัท พีพี ลุกซ์ จำกัด กล่าวว่า ลองฌองป์ แบรนด์สินค้าเครื่องหนังสุดหรูสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากกระเป๋ารุ่นไอคอนิกของแบรนด์ อย่าง “เลอ ปลิยาจ (Le Pliage®)” ที่ดาราและเซเลบริตี้ต้องมีไว้ในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งใบจนเกิดเป็นกระแสฮิตอย่างแพร่หลาย สำหรับในประเทศไทย พีพี กรุ๊ป ได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าลองฌองป์ในรูปแบบค้าปลีกแต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 โดยลองฌองป์จัดเป็นสินค้าแบรนด์หรูที่มีการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก ในปีที่แล้วแม้การเดินทางท่องเที่ยวในหลายประเทศจะยังไม่สะดวกนัก ทางลอง ฌองป์ก็ปรับกลยุทธ์การตลาดในการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน omni-channel หรือการผสมผสานช่องทางจำหน่ายแบบออนไลน์และแบบหน้าร้านเข้าด้วยกัน ทำให้แบรนด์มีอัตราการเติบโตในตลาดสูงขึ้น 68% ในไทย และ 47% ทั่วโลก ส่วนในปีนี้ พีพี กรุ๊ป คาดว่าแบรนด์จะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จากแผนการตลาดและการขยายฐานลูกค้า ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายและความรู้สึกผ่อนคลายในการเลือกชมสินค้า เพื่อให้เข้าถึงและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยการเปิดบูติกคอนเซปต์ใหม่ที่ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นการตอบรับกลยุทธ์การตลาดระดับโลกของลองฌองป์ ในการแปลงโฉมลองฌองป์บูติกให้มีคอนเซปต์เดียวกันทั่วโลก เพื่อบอกเล่าเรื่องราวอันเป็นมรดกในการออกแบบและความเชี่ยวชาญด้านเครื่องหนังของแบรนด์จากปารีส บูติกคอนเซปต์ใหม่แห่งแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยาม มีพื้นที่ 124 ตารางเมตร ออกแบบในสไตล์ปารีเซียงในบรรยากาศของอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวสุดหรูใจกลางกรุงปารีส จัดสรรให้แต่ละพื้นที่ภายในบูติกมีบรรยากาศพิเศษที่แตกต่างกัน เริ่มจากพื้นที่ด้านหน้าถูกออกแบบมาเพื่อการต้อนรับ โดดเด่นด้วยโต๊ะทำงานขนาดสูงที่ถูกประยุกต์มาจากโต๊ะเวิร์กชอปดั้งเดิม จัดแสดงไอเทมชิ้นเด่นประจำฤดูกาลที่ได้แรงบันดาลใจจากการจัดเรียงหนังสือ กระเป๋าและแอกเซสเซอรีส์ต่างๆ ภายในบูติกจะถูกจัดวางคู่กับหนังสือ และของตกแต่งลายปรินต์ตามธีมโดยสีสันของแต่ละคอลเลกชั่นจะเปลี่ยนไปทุกฤดูกาล อพาร์ตเมนต์สไตล์ปารีเซียงของบูติกลองฌองป์ เปรียบเสมือนห้องนั่งเล่นที่ครบครันด้วยเครื่องปั้น เฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจ พรม และโซฟาที่นุ่มสบาย รายล้อมไปด้วยของตกแต่งที่คัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่ของที่หาได้ง่ายทั่วไปจนถึงชิ้นงานที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะ เพื่อสะท้อนความสำคัญที่ ลองฌองป์ได้เน้นย้ำความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือ สำหรับ กระเป๋ารุ่น เลอ ปลิยาจ (Le Pliage®) ซึ่งถือเป็นไอคอนิกที่สำคัญของแบรนด์ จะถูกจัดวางในพื้นที่ที่ถูกดีไซน์ในรูปแบบผนังของ “ห้องสมุด” ที่โดดเด่นด้วยแถบสีเป็นแนวทางพร้อมพื้นที่จัดเก็บกระเป๋าที่ถูกแบ่งแยกตามสีและรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับอพาร์ตเมนต์ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทุกรายละเอียดล้วนสะท้อนถึงคุณค่าของแบรนด์ลองฌองป์ ที่ผสมผสานสีเขียวเข้มที่แสดงถึงความชำนาญและความดั้งเดิม และสีเขียวอ่อนสื่อถึงเอนเนอร์จีและความทันสมัย ทั้งสองสีมักถูกนำมาจัดวางคู่กันเพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ประจำตัวของแบรนด์ได้อย่างลงตัว บูติกแต่ละแห่งจะถูกดีไซน์เพื่อสร้างบรรยากาศราวกับเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวและเพื่อนสนิท เช่นเดียวกับบูติกสาขาไอคอนสยามแห่งนี้ ซึ่งได้ศิลปินชาวไทย “คุณอ้อ-พรพรรณ สุทธิประภา” มาร่วมออกแบบและสรรสร้างผนังศิลปะเซรามิก – อนาล็อก (Analog) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากจังหวะของชีพจรและการทำสมาธิ หลังจากการเดินทางไปพบเจอกับประสบการณ์ต่างๆ มากมายที่ทำให้หัวใจพองโต ร่าเริง รู้สึกสงบ ปลอดภัย และสบายใจเมื่อได้เดินทางกลับบ้าน “ผนังเซรามิกแสดงระดับความสูงที่แตกต่างกันของชิ้นเซรามิกพร้อมเฉดสีที่ผสมผสานอย่างมีมิติ คล้ายกับชีวิตที่เต็มไปด้วยสุขและทุกข์อยู่เสมอ เมื่อคุณเข้าใจเส้นทางชีวิตของคุณแล้ว คุณก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสบายได้นั่นเอง” เจ้าของผนังศิลปะเซรามิกกล่าว ลองฌองป์บูติก สาขาไอคอนสยาม ตั้งอยู่บริเวณชั้น M เปิดให้บริการตั้งแต่ 10:00 – 20:00 น. สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์และคอลเลกชั่นใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ที่ ช่องทางออนไลน์ได้แก่เว็บไซต์ ppgroupthailand.com และ LINE Official Account @longchamp_thailand
พีพี กรุ๊ป ผู้จัดจำหน่ายสินค้าลองฌองป์อย่างเป็นทางการในไทย เปิดตัวร้านลองฌองป์ (LONGCHAMP) บูติกคอนเซปต์ใหม่แห่งแรกในประเทศไทยที่ไอคอนสยาม บนพื้นที่ 124 ตารางเมตร ในสไตล์ปารีเซียงภายใต้บรรยากาศของอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวสุดหรูใจกลางกรุงปารีส โดยมีผลิตภัณฑ์เครื่องหนังครบทุกรายการ พร้อมสื่อให้เห็นความเชี่ยวชาญด้านเครื่องหนังที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ จากการเป็นผู้ผลิตหนังหุ้มไปป์ยาสูบแบรนด์ดังในฝรั่งเศส ก่อนจะพัฒนาต่อเยอดเป็นกระเป๋าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยภายในร้านมีการจัดแสดงสินค้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการจัดเรียงหนังสือ จึงมีการจัดวางกระเป๋าและแอกเซสเซอรีส์ต่างๆ คู่กับหนังสือ และของตกแต่งลายปรินต์ตามธีม ท่ามกลางเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจ และผนังศิลปะเซรามิก – อนาล็อกจาก ซึ่งสีสันของแต่ละคอลเลกชั่นจะเปลี่ยนไปทุกฤดูกาล
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53412
Retail
กลยุทธ์หลักที่กลุ่มวันสยามใช้เพื่อดึงดูดนักช้อปในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2566 มีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์หลักที่กลุ่มวันสยามใช้เพื่อดึงดูดนักช้อปในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2566 แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้: 1. การจัดอีเวนต์สุดพิเศษ: สยามพารากอน: จัดงาน The Grand Celebration of Golden Prosperity นำโชว์นาฏลีลาจีนสุดตระการตา ชุด “จือฉื่อชิงลวี่” สยามเซ็นเตอร์: งาน Siam Center presents The Rabbit Year of Luck and Love ตกแต่งด้วยงานศิลปะแนวกราฟฟิตี้สตรีทสไตล์ สยามดิสคัฟเวอรี่: นำเสนอสินค้าใหม่ล่าสุด สินค้าแฟชั่นคอลเลคชั่น สปริง/ซัมเมอร์ 2023 2. โปรโมชั่นสุดคุ้ม: สมาชิก VIZ ที่มี ONESIAM SuperApp ช้อปตามเงื่อนไข รับ VIZ Coin และของรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โปรโมชั่นพิเศษจากร้านอาหารที่ร่วมรายการ โปรโมชั่น “Lucky Day Lucky Deal Chinese New Year 2023” 3. สิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ: บัตรเครดิตวันสยามกสิกรไทย รับคะแนนสะสม K Point เพิ่มสูงสุดถึง 5,000 คะแนน กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่: การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร: กลุ่มวันสยามจัดอีเวนต์ที่หลากหลายและน่าสนใจ ดึงดูดนักช้อปด้วยการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ การตกแต่งที่สวยงาม และสินค้าใหม่ล่าสุด การกระตุ้นให้เกิดการจับจ่าย: กลุ่มวันสยามเสนอโปรโมชั่นสุดคุ้ม เช่น VIZ Coin ของรางวัล บัตรกำนัล และเครดิตเงินคืน เพื่อดึงดูดให้นักช้อปใช้จ่ายมากขึ้น การมอบสิทธิประโยชน์พิเศษ: กลุ่มวันสยามมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่สมาชิก VIZ และผู้ใช้บัตรเครดิตวันสยามกสิกรไทย เพื่อสร้างความพึงพอใจและดึงดูดให้พวกเขากลับมาใช้บริการอีก ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: กลุ่มวันสยามคาดว่าจะมีทราฟฟิคผู้คนเข้ามาจับจ่ายในศูนย์การค้ากว่าวันละ 450,000 คน กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก กลุ่มวันสยามจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้าได้ การวิเคราะห์: กลยุทธ์ของกลุ่มวันสยามนั้นครอบคลุมและน่าสนใจ มีโอกาสสูงที่จะดึงดูดนักช้อปให้เข้ามาใช้บริการศูนย์การค้า กลยุทธ์เหล่านี้ผสมผสานระหว่างความบันเทิง โปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์พิเศษ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของนักช้อปได้หลากหลายกลุ่ม อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เหล่านี้ต้องอาศัยการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มวันสยามจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ coordination กับร้านค้าต่างๆ และจัดการกับ crowds ที่อาจเกิดขึ้น สรุป: กลยุทธ์หลักที่กลุ่มวันสยามใช้เพื่อดึงดูดนักช้อปในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2566 นั้นครอบคลุมและน่าสนใจ มีโอกาสสูงที่จะดึงดูดนักช้อปให้เข้ามาใช้บริการศูนย์การค้า กลยุทธ์เหล่านี้ผสมผสานระหว่างความบันเทิง โปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์พิเศษ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของนักช้อปได้หลากหลายกลุ่ม
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53413
Retail
ไอคอนสยามมีกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างไร ?
“ไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์” จับมือพันธมิตรชั้นนำ “โลตัส” ที่เปิดตัว พรีเมียมไฮเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์ใหม่ Lotus’s Privé (โลตัส พรีเว่) แห่งแรกในประเทศไทย เปิดตัวบิ๊กโปรเจ็กต์ต้อนรับปี 2566 สร้างแลนด์มาร์คใหม่ย่านฝั่งธนบุรี เชื่อมต่อประสบการณ์ระดับโลก ชูแม็กเนตร้านเด็ด แบรนด์ดัง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ครบทุกมิติ พร้อมเปิดบริการ 11 ม.ค. 2566 นี้ โครงการไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์ อาคารสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ริมถนนเจริญนคร พื้นที่ 5 ไร่ (ฝั่งตรงข้ามไอคอนสยาม เชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าเจริญนคร BTS สายสีทอง) มูลค่าลงทุน 4,000 ล้านบาท ในรูปแบบ “มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์” พื้นที่ให้บริการ 70,000 ตารางเมตร ให้บริการครบครันทั้งพื้นที่รีเทล อาคารสำนักงานและโรงแรม ตอบโจทย์ความครบครันทุกมิติ ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองในฝั่งธนบุรี วันนี้พร้อมแล้วกับการเปิดให้บริการเฟสแรกพร้อมกับพรีเมียมไฮเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์ใหม่ “โลตัส พรีเว่” เพื่อต้อนรับศักราชใหม่ปี 2566 ตอบรับกำลังซื้อและบรรยากาศการจับจ่ายที่คึกคัก สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2566 เป็นต้นไป คุณสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซีเอส จำกัด กล่าวว่า โครงการไอซีเอส พร้อมเปิดบริการส่วนของพื้นที่รีเทลเฟสแรกตั้งแต่วันนี้ (11 ม.ค.) บนศักยภาพทำเลทองเชื่อมต่อจากไอคอนสยาม โดยมีรถไฟฟ้าสายสีทองสถานีเจริญนครเป็นจุดเชื่อมต่อที่สะดวกสบาย การเดินทางครอบคลุมทั้ง รถ ราง เรือ ทำให้ประชาชนสามารถเลือกเดินทางเข้ามาใช้บริการได้สะดวก รวดเร็ว นอกจากนั้น ยังเป็นทำเลที่พร้อมรองรับกำลังซื้อมหาศาลจากเมืองที่กำลังขยายตัว ทั้งจากกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่มีกว่า 2 ล้านคน และรอบพื้นที่ในระยะ 5 กิโลเมตรอีกกว่า 3-5 ล้านคน และการขยายตัวจากแผนการย้ายศูนย์ราชการมายังย่านคลองสาน ส่งผลให้พื้นที่มีความตื่นตัว เกิดการพัฒนาที่ดินเป็นที่พักอาศัยในรูปแบบอาคารสูงมากกว่า 50 โครงการ และที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมอีกกว่า 25,000 ยูนิต รวมทั้งการขยายบริการของโรงพยาบาลตากสิน โดยก่อสร้างอาคารผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 600 เตียง เป็นต้น ดังนั้น ไอซีเอสจึงออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายของกลุ่มลูกค้าภายใต้ไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ ดึงดูดกลุ่มลูกค้าหลักทั้งพนักงานออฟฟิศ เจ้าของธุรกิจ และประชาชนทั่วไป รวมถึงนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ โดยเฉพาะการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โครงการ ไอซีเอส จึงเป็น “จิ๊กซอว์” ชิ้นสำคัญทำให้ภาพของการเนรมิตสร้างเมืองใหม่ฝั่งธนบุรีของไอคอนสยามสมบูรณ์แบบ โดยครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากขึ้น ส่วนในแง่ของผู้บริโภคเอง ก็จะเข้าถึงทางเลือกสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้หลากหลายขึ้นเช่นกัน “กลยุทธ์สำคัญของไอคอนสยาม คือ ‘การสร้างเมือง’ โดยต่อขยายความสำเร็จจากไอคอนสยาม ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งฝั่งกรุงเทพมหานครและฝั่งธนบุรีได้แล้ว ไอซีเอสจะเข้ามาเสริมความครบครันของเมืองด้วยรูปแบบ “มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์” ทั้งธุรกิจรีเทล โรงแรม และพื้นที่สำนักงาน นอกจากนั้น ไอซีเอสจะช่วยเพิ่มความถี่ในการใช้บริการของกลุ่มลูกค้าทั้งบริเวณย่านคลองสานและฝั่งธนบุรีทั้งหมด ด้วยสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้ทุกวัน นอกจากนั้น กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคือ ‘การสร้างพันธมิตร’ เรามีพันธมิตรในธุรกิจรีเทลที่แข็งแกร่ง ทำให้ไอซีเอสมีร้านเด็ด แบรนด์ดัง ที่ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกมิติได้ โดยเน้นความร่วมมือและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจแล้วเติบโตไปด้วยกัน ทำให้พันธมิตรร้านค้ามั่นใจในความสำเร็จเมื่อได้จับมือกับเรา” คุณสุพจน์กล่าว คุณแคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า โครงการไอซีเอส พร้อมส่งมอบประสบการณ์และความสุขให้แก่ลูกค้าทุกวัน ภายใต้แนวคิด Always A Good Day “ความสุขของทุกวันที่ ICS” โดยจับมือร่วมกับพันธมิตรคู่ค้าชั้นนำอีกกว่า 200 แบรนด์ อาทิ สินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อบ้านและการอยู่อาศัย สินค้าไอที บริการด้านการเงิน แบรนด์แฟชั่น ธุรกิจบริการด้านความงามและเครื่องสำอางระดับแถวหน้า รวมไปถึงร้านค้าที่ให้บริการด้านต่างๆ ที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวัน และร้านอาหารแบรนด์ดังกว่า 80 แบรนด์ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งประกอบด้วย บริษัทธุรกิจไอทีโซลูชั่นและเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้มีผู้มาใช้บริการในวันธรรมดาเป็นจำนวนมาก “หลายร้านพันธมิตรจะมาด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่ พร้อมอวดโฉมเปิดให้บริการที่โครงการไอซีเอสเป็น “แห่งแรก” โดยมีแม็กเนตสำคัญ เป็นความร่วมมือกับธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของเมืองไทย โลตัส เปิดตัวแบรนด์ Lotus’s Privé (โลตัส พรีเว่) เป็นสาขาแรกที่โครงการไอซีเอส บนพื้นที่ประมาณ 2,900 ตารางเมตร ชั้น B1 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัยในระดับพรีเมียม โดยพร้อมเปิดบริการในวันที่ 11 มกราคม 2566 นี้ เป็นต้นไป นอกจากนั้น อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโครงการไอซีเอส คือการคัดสรรอาหารและเครื่องดื่ม ร้านเด็ด แบรนด์ยอดนิยมมากมาย เพื่อก้าวสู่การเป็น Food Destination มุ่งตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า โดยในเฟสแรกพร้อมเปิดให้บริการโซนอาหาร “Daily Tasty” ชั้น G โดยมีร้านที่เปิดให้บริการ อาทิ Mos Burger ร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังจากญี่ปุ่น, get fresh อาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำ, Omu Japanese omurice & cafe ข้าวห่อไข่สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ท่ามกลางบรรยากาศร้านที่มีสไตล์, White Story ขนมปัง เบเกอรี่ อาหารว่าง ขนมไทย อาหารไทย และอาหารนานาชาติ, Neswell ร้านขนมเพื่อสุขภาพ สินค้าหลากหลาย, ชาตรามือ เครื่องดื่มชา กาแฟ พร้อมเมนูหลากหลาย, O-li-no Crepe & Tea เครปสดแบบนุ่มๆ, Double Slash Coffee Space คาเฟ่สุดชิคสไตล์มินิมอล, Duca’tim ไอศกรีมไขมันต่ำโดนใจคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ, Fuku Match ร้านชานมยอดฮิตจากญี่ปุ่น, มีความสุข ชานมกระบอก ร้านชานมไข่มุกรูปแบบใหม่ เอกลักษณ์โดดเด่น, Bake A Wish ร้านเบเกอรี่สไตล์ญี่ปุ่น มีความพิถีพิถันในทุกรสชาติ และร้าน ปังสยาม พร้อมเสิร์ฟความอร่อย ขนมปัง เค้กและเครื่องดื่ม หลากหลายเมนู เป็นต้น” คุณแคโรไลน์กล่าว พร้อมด้วยร้านค้าพันธมิตรมาเปิดให้บริการในเฟสแรกยังมีอีกมากมาย อาทิ ร้านเครื่องสำอางชั้นนำBEAUTRIUM, Boots, Oriental Princes, Cute press คลินิกเสริมความงาม อาทิ Doctor Delight, Gangnam Clinic, The Ritz Clinic, 24 Hours Minerals เสื้อผ้า อาทิ Double Goose, HASGUARD, ICONACTIVE, Pierre Cardin, U.S.Polo Assn., ผ้าพันคอ Cashmere Artisan รองเท้า Skechers นาฬิกา Garmin, Time Deco เครื่องประดับ อาทิ P Prom, 12 Victory, Synthetic Diamond, Exodia Era ร้านแว่นตา SEVEN DAYS OPTIC, Top Charoen แบรนด์เครื่องหอม Immortal, Yugen และ สตูดิโอสอนเต้น The Inner Studio คุณแคโรไลน์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนั้น ไอซีเอสยังมีความร่วมมือกับ “โรงพยาบาล ศิริราช” เปิดตัว “SIRIRAJ H Solutions” ศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรแห่งแรกนอกพื้นที่โรงพยาบาล และเป็นแห่งแรกในศูนย์การค้าด้วยคอนเซ็ปต์ “Smart Medical Center” ที่เข้าถึงง่าย เน้นการดูแลสุขภาพก่อนการเจ็บป่วย และให้บริการทางการแพทย์ในรูปแบบเฉพาะบุคคล เปิดให้บริการเต็มพื้นที่ชั้น 5 ของโครงการ พร้อมทั้งจะมีโรงแรมระดับโลก ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร เปิดให้บริการเป็นสาขาแรกในกรุงเทพฯ จำนวนห้องพัก 241 ห้อง ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากทั่วโลก ซึ่งทั้งหมดจะเปิดให้บริการในเฟสสองภายในปี 2566 ต่อไป” คุณสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “โลตัส มุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้าของเรา รู้สึกดีดี ทุกวัน ที่โลตัส ผ่านการส่งมอบสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง ไม่ว่าจะใช้บริการทั้งในสาขาหรือแพลทฟอร์มออนไลน์ โดยออกแบบประสบการณ์การช้อปปิ้งและสินค้าที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่และเซ็กเมนต์ เราเล็งเห็นโอกาสจากไลฟ์สไตล์ของลูกค้าปัจจุบันที่มีความต้องการสินค้าพรีเมียมมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการพัฒนาคอนเซ็ปต์ภายใต้แบรนด์ใหม่คือ Lotus’s Privé (โลตัส พรีเว่) พรีเมียมไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่เปิดตัวในโครงการไอซีเอสเป็นแห่งแรก เพราะไอซีเอสนอกจากจะเชื่อมต่อกับไอคอนสยามที่เป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำระดับโลกของทั้งชาวไทยและต่างชาติแล้ว ยังรายล้อมไปด้วยโครงการคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา โรงแรมชั้นนำ ย่านธุรกิจที่สำคัญ โลตัสจึงเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในโซนนี้ ด้วยการเป็นพรีเมียมไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มีสินค้าคุณภาพสูง ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค คัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุดทั่วทุกมุมโลกและในประเทศไทย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาสินค้าและประสบการณ์สมาร์ทพรีเมียมเหนือระดับ ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวัน โดย Lotus’s Privé สาขาไอซีเอส คือสาขานำร่องที่จะเป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการอื่นๆ ในอนาคต ตามความเหมาะสมของทำเลและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ต่อไป” พบกับสินค้าและบริการที่หลากหลาย พร้อมสัมผัสความครบครันทุกมิติ ทั้งสินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อบ้านและการอยู่อาศัย สินค้าไอที บริการด้านการเงิน แบรนด์แฟชั่น ธุรกิจบริการด้านความงามและเครื่องสำอางระดับแถวหน้า รวมไปถึงร้านค้าที่ให้บริการด้านต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และร้านอาหารแบรนด์ดังมากมาย ให้ทุกคนได้สัมผัส “Always A Good Day ความสุขของทุกวันที่ ICS” ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2566 ณ โครงการไอซีเอส มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1338
“กลยุทธ์สำคัญของไอคอนสยาม คือ ‘การสร้างเมือง’ โดยต่อขยายความสำเร็จจากไอคอนสยาม ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งฝั่งกรุงเทพมหานครและฝั่งธนบุรีได้แล้ว ไอซีเอสจะเข้ามาเสริมความครบครันของเมืองด้วยรูปแบบ “มิกซ์ยูส ไลฟ์สไตล์ ทาวน์” ทั้งธุรกิจรีเทล โรงแรม และพื้นที่สำนักงาน นอกจากนั้น ไอซีเอสจะช่วยเพิ่มความถี่ในการใช้บริการของกลุ่มลูกค้าทั้งบริเวณย่านคลองสานและฝั่งธนบุรีทั้งหมด ด้วยสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้ทุกวัน นอกจากนั้น กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคือ ‘การสร้างพันธมิตร’ เรามีพันธมิตรในธุรกิจรีเทลที่แข็งแกร่ง ทำให้ไอซีเอสมีร้านเด็ด แบรนด์ดัง ที่ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกมิติได้ โดยเน้นความร่วมมือและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจแล้วเติบโตไปด้วยกัน ทำให้พันธมิตรร้านค้ามั่นใจในความสำเร็จเมื่อได้จับมือกับเรา”
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53424
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "Cyber Resilience วิธีรับมือความเสี่ยงขององค์กร 5 แนวทาง"
เตือนองค์กรรับมือความเสี่ยงด้วย 5 แนวทาง Cyber Resilience คุณพลสุธี ธเนศนิรัตศัย ผู้อำนวยการ บริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัด กล่าวว่า การเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องเร่งทำ เพราะการโจมตีทางไซเบอร์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งด้านการเงินและความน่าเชื่อถือองค์กร ซึ่งการสร้างภูมิต้านทานภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้องค์กรสามารถทำได้ด้วยการประยุกต์ใช้แนวคิด ‘Cyber Resilience’ ที่ประกอบด้วย 5 แนวทาง ดังนี้ 1) พิจารณาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยกรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กร (Manage Cybersecurity as an Enterprise Risk) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ควรอยู่ภายใต้กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับองค์กร กล่าวคือ การพิจารณาประเด็นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้สะท้อนออกมาในรูปแบบของความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงผลกระทบในมุมมองต่างๆ เช่น ความเสียหายทางการเงิน การละเมิดกฎหมาย ความเชื่อมั่นจากลูกค้าและคู่ค้า เป็นต้น ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ผู้บริหารองค์กรมีกรอบในการตัดสินใจ และเลือกมาตรการควบคุมที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งองค์กรสามารถนำมาตรฐานของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือมาประยุกต์ใช้หรือนำมาเปรียบเทียบกับการดำเนินการขององค์กรในปัจจุบัน เพื่อวางแผนการยกระดับต่อไป 2) ผู้บริหารระดับสูงควรสนับสนุนให้มีการกำกับดูแลความเสี่ยงทางไซเบอร์ และส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังภัย (Executive Play a Key Role in Governance and Fostering a Culture of Cybersecurity Vigilance) การบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ควรได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ในการกำกับดูแลนโยบาย แผนกลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ รวมถึงการเน้นย้ำถึงความสำคัญและส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยการดำเนินการควรประกอบด้วยโปรแกรมที่สำคัญ ดังนี้ 1) แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ 2) แผนกู้คืนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) แผนบริหารจัดการวิกฤตจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ครอบคลุมทั้งวิธีการสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้องและการเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญ และ 4) การสร้างความตระหนักในภัยคุกคามทางไซเบอร์และการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย รวมถึงการซักซ้อมกระบวนการรับมือเหตุการณ์ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนมากยิ่งขึ้น 3) ผู้บริหารระดับสูงควรกำกับดูแลสถานะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างใกล้ชิด (Executive Oversee Cybersecurity Posture) ผู้บริหารระดับสูงควรเข้ามากำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างใกล้ชิด โดยการสอบทานรายงานการปฏิบัติ ซึ่งอาจครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น ความเสี่ยงที่สำคัญและแนวทางการบริหารจัดการ ภาพรวมของสถานะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และแผนกลยุทธ์เพื่อการยกระดับมาตรฐาน เป็นต้น 4) กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบังคับทางกฎหมายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Maintain Compliance with Cybersecurity Laws and Regulations) องค์กรควรมีการกำกับดูแลและปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงติดตามการออกกฎหมายลูกฉบับใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด โดยองค์กรสามารถนำกฎหมายและข้อบังคับเหล่านี้มาใช้เป็นเกณฑ์ขั้นต้นในการปรับปรุงมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของตนเองได้ 5) ให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สำคัญ (Implement Essential Cybersecurity Hygiene) การยกระดับองค์กรให้มีขีดความสามารถในการป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ดีนั้นต้องการทรัพยากรและความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องการเวลาสำหรับบางองค์กร ในขณะที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ อย่างน้อยองค์กรควรให้ความสำคัญกับเรื่องสำคัญพื้นฐาน เช่น การจัดการทะเบียนสินทรัพย์สารสนเทศที่ถูกต้องและครบถ้วน การพิสูจน์ตัวตนแบบหลายชั้น ความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล การอัปเดตระบบเพื่อปิดช่องโหว่ การจัดการข้อมูลบันทึกระบบ แผนการรับมือเหตุละเมิด การบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากผู้ให้บริการ เป็นต้น
1. พิจารณาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยกรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กร ควรอยู่ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับองค์กร 2. ผู้บริหารระดับสูงควรสนับสนุนให้มีการกำกับดูแลความเสี่ยงทางไซเบอร์ ส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ 3. ผู้บริหารระดับสูงควรกำกับดูแลสถานะความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างใกล้ชิด โดยตรวจสอบรายงานการปฏิบัติ 4. องค์กรควรมีการกำกับดูแลและปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และติดตามการออกกฎหมายฉบับใหม่อย่างใกล้ชิด 5. ให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สำคัญ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53426
Retail
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retail) สามารถนำกลยุทธ์จากธุรกิจดาวรุ่งปี 2566 มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างไร
null
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถนำกลยุทธ์จากธุรกิจดาวรุ่งปี 2566 มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัล ดังนี้: 1. นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้: - พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือแอปพลิเคชั่นของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้ - นำระบบการชำระเงินออนไลน์มาใช้ - ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทสินค้า และสื่อสารกับลูกค้า - วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้า และบริการที่ตรงใจลูกค้า 2. มุ่งเน้นประสบการณ์ของลูกค้า: - พัฒนาบรรยากาศร้านค้าให้ดึงดูดใจลูกค้า - นำเสนอบริการที่แตกต่าง และสร้างประสบการณ์ พิเศษให้กับลูกค้า - จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นต่างๆ 3. เน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม: - เลือกจำหน่ายสินค้าเฉพาะกลุ่ม ที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง - พัฒนาสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร - นำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม 4. ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย: - ศึกษาเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ - ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัย - พัฒนาทักษะ และความรู้ของพนักงานให้ทันสมัย 5. ร่วมมือกับธุรกิจอื่น: - ร่วมมือกับธุรกิจดาวรุ่งปี 2566 เพื่อขยายฐานลูกค้า - ร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ เพื่อพัฒนาสินค้า และบริการใหม่ๆ โดยสรุป: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถนำกลยุทธ์จากธุรกิจดาวรุ่งปี 2566 มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัลได้ นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมยังสามารถพิจารณาแนวทางต่อไปนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานกลยุทธ์เหล่านี้: 1. การฝึกอบรม: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรจัดฝึกอบรมให้กับพนักงานเกี่ยวกับวิธีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการให้บริการลูกค้า 2. การติดตามผล: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรติดตามผลการใช้งานกลยุทธ์เหล่านี้ อยู่เสมอ 3. การปรับปรุง: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรปรับปรุงกลยุทธ์เหล่านี้ อยู่เสมอ โดยการนำแนวทางเหล่านี้ไปปฏิบัติ ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะสามารถนำกลยุทธ์จากธุรกิจดาวรุ่งปี 2566 มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53430
Retail
ความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง บริษัท ยัสปาล จำกัด และคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นของไทยอย่างไรบ้าง?
null
ความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง บริษัท ยัสปาล จำกัด และคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นของไทย ดังนี้: 1. พัฒนาทักษะและความรู้ของนักศึกษา: - นักศึกษาได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญและดีไซเนอร์มืออาชีพ - เรียนรู้การออกแบบแฟชั่นอย่างครบวงจร - ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ และการนำเสนอผลงาน - เตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่น 2. สร้างผลงานต้นแบบ: - นักศึกษาได้รับโจทย์จากบริษัทฯ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด - มีโอกาสสร้างผลงานต้นแบบที่สามารถนำไปใช้งานจริง - พัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 3. ปิดช่องว่างระหว่างการเรียนและการทำงาน: - นักศึกษาได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากผู้เชี่ยวชาญ - เข้าใจความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมแฟชั่น - ปรับการเรียนให้สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน 4. ส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแฟชั่น: - นักศึกษาจบใหม่มีทักษะและความรู้ที่ตรงกับความต้องการของตลาด - ธุรกิจสามารถหาพนักงานที่มีความสามารถได้ง่ายขึ้น - ส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจแฟชั่นของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน 5. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร: - เกิดความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน - พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด - ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย สรุป: ความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง บริษัท ยัสปาล จำกัด และคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นของไทย โดยช่วยพัฒนาทักษะและความรู้ของนักศึกษา สร้างผลงานต้นแบบ ปิดช่องว่างระหว่างการเรียนและการทำงาน ส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแฟชั่น และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร ความร่วมมือนี้ จะช่วยให้ธุรกิจแฟชั่นไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถ และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53431
Retail
กลยุทธ์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ของสยามพิวรรธน์ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในอนาคตหรือไม่?
null
มีโอกาสช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสูง เหตุผล: 1. พฤติกรรมผู้บริโภค: - พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป นิยมใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น - ผู้บริโภคต้องการความสะดวก รวดเร็ว และประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย 2. การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก: - ธุรกิจค้าปลีกมีการแข่งขันสูง - ผู้ประกอบการต้องหาจุดแข็งและกลยุทธ์ที่แตกต่างเพื่อดึงดูดลูกค้า 3. กลยุทธ์ดิจิทัลของสยามพิวรรธน์: - สยามพิวรรธน์มีกลยุทธ์ดิจิทัลที่ชัดเจน มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ O2O - สยามพิวรรธน์พัฒนา ONESIAM SuperApp แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่รวมประสบการณ์เหนือความคาดหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไว้ในที่เดียว - ONESIAM SuperApp ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้ง จองคิวร้านอาหาร ชำระค่าสินค้า ตรวจสอบโปรโมชั่น และอื่นๆ ได้อย่างสะดวก 4. ผลลัพธ์ที่ได้: - ONESIAM SuperApp ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สยามพิวรรธน์สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ 5. ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้: - สยามพิวรรธน์ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ - สยามพิวรรธน์ใช้ AR/VR ให้ลูกค้าสามารถลองสินค้าเสมือนจริง - สยามพิวรรธน์ใช้ Chatbot ตอบคำถามลูกค้าและให้บริการต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อกลยุทธ์นี้: - การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี - พฤติกรรมผู้บริโภค - คู่แข่ง โดยสรุป กลยุทธ์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ของสยามพิวรรธน์ มีโอกาสช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในอนาคต กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยให้สยามพิวรรธน์สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม สยามพิวรรธน์ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และกลยุทธ์ของคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53441
Retail
การตัดสินใจของธนาคารกลางเดนมาร์กเกี่ยวกับเงินดิจิทัลมีผลกระทบอย่างไรต่อภาคเอกชนในมุมมองของธนาคารกลางเดนมาร์ก?
หัวข้อ ธนาคารกลางญี่ปุ่นเตรียมทดสอบเงินเยนดิจิทัล ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า - Brand Buffet ​ธนาคารกลางญี่ปุ่น (The Bank of Japan หรือ BOJ) เตรียมทดสอบการให้บริการเงินเยนดิจิทัลภายใต้ความร่วมมือกับ 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศ โดยคาดว่าจะได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า สำหรับการทดสอบที่จะเกิดขึ้น เป็นเรื่องของการฝากและถอนเงินจากบัญชีธนาคารของลูกค้า รวมถึงทดสอบการทำงานของระบบ ในกรณีที่ต้องใช้จ่ายบนพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งการทดสอบนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีก่อนที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะตัดสินใจว่าจะประกาศใช้งานเงินเยนดิจิทัลหรือไม่ในปี 2026 ความเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นในการเริ่มทดสอบการใช้งานเงินดิจิทัลนี้ ไม่ต่างกับอีกหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในอินเดียที่มีการเตรียมทดสอบการให้บริการเงินรูปีดิจิทัลในเดือนธันวาคมนี้เช่นกัน อย่างไรก็ดี มีรายงานด้วยว่า มีบางประเทศได้ตัดสินใจพับโปรเจ็คเงินดิจิทัลลงก่อนด้วยเหตุผลบางอย่าง หนึ่งในนั้นคือเดนมาร์ก โดยทางธนาคารกลางของเดนมาร์กให้เหตุผลว่า การปรับสู่การใช้เงินดิจิทัลอาจไม่ได้มีส่วนช่วยภาคเอกชนมากนัก อีกทั้งธนาคารกลางเดนมาร์กยังให้เหตุผลด้วยว่า โครงสร้างการชำระเงินของประเทศมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าเงินดิจิทัล หรือ CBDC จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญได้อย่างไรเมื่อเทียบกับโซลูชันที่มีอยู่เดิม รวมถึงอาจทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง Source Source Source Source Source
การตัดสินใจของธนาคารกลางเดนมาร์กเกี่ยวกับเงินดิจิทัลมีผลกระทบต่อภาคเอกชนในมุมมองของธนาคารกลางเดนมาร์ก ดังนี้ 1. ไม่มีมูลค่าเพิ่มที่ชัดเจน : ธนาคารกลางเดนมาร์กเห็นว่าเงินดิจิทัล หรือ CBDC (Central Bank Digital Currency) อาจไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มที่มีนัยสำคัญให้กับภาคค้าปลีก เมื่อเทียบกับโซลูชันการชำระเงินที่มีอยู่เดิม ซึ่งหมายความว่า การนำเงินดิจิทัลมาใช้อาจไม่ทำให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมที่ชัดเจนต่อภาคธุรกิจเอกชน 2. ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น : ธนาคารกลางเดนมาร์กระบุว่า การเปลี่ยนไปใช้เงินดิจิทัลอาจทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนเพิ่มขึ้น การปรับเปลี่ยนระบบและการบริหารจัดการเงินดิจิทัลอาจต้องการการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และอาจเกิดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและปรับเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ 3. โครงสร้างการชำระเงินที่มีอยู่มีประสิทธิภาพ : เนื่องจากโครงสร้างการชำระเงินในเดนมาร์กมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว ธนาคารกลางจึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินดิจิทัลเพิ่มเติม ซึ่งภาคเอกชนก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระบบที่มีอยู่เดิม จากมุมมองของธนาคารกลางเดนมาร์ก การตัดสินใจไม่ใช้เงินดิจิทัลนั้นเป็นการลดภาระและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับภาคเอกชนในการปรับตัวไปสู่ระบบใหม่โดยที่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในการนำเงินดิจิทัลมาใช้งาน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53443
Retail
มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวที่ออกแบบโดย Foster + Partners โดยแต่ละวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณกี่ตารางเมตร
“เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของครอบครัวคนไทยที่เคยเป็นมา ที่หลายเจเนเรชั่นในครอบครัว มักจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน และไปมาหาสู่พบปะกันอยู่เสมอ” นายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการอาวุโส MQDC วันนี้ MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมแล้วที่จะเปิดวิลล่าหลังแรกของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า ในวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นี้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ในการออกแบบบ้าน ที่หลายวิลล่าถูกเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อให้ครอบครัวขยายที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลายเจเนอเรชั่นสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวของตัวเอง โดยล่าสุด โครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ทำยอดขายแล้ว 5,500 ล้านบาท ในขณะที่ที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ทั้งหมดในเดอะ ฟอเรสเทียส์ มียอดขายรวมกันถึง 22,000 ล้านบาท นายชาคริต หัสสรังสี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแบรนด์ระดับลักชัวรี่ต่างๆ ซึ่งรวมถึงโครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ กล่าวว่า “นี่เป็นแนวคิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของครอบครัวคนไทย – ที่หลายเจเนอเรชั่นในครอบครัวเดียวกันมักจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ด้วยความจำเป็นของวิถีชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ ทำให้การใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็นมา กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า จึงมุ่งช่วยส่งเสริมให้ครอบครัวได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ทางโครงการพร้อมแล้วที่จะเชิญครอบครัวที่สนใจเข้าชมบ้านจริงได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป” มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวที่ออกแบบโดย Foster + Partners โดยแต่ละวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 – 1,700 ตารางเมตร ตั้งกระจายตัวอยู่บนที่ดินพื้นที่ 26 ไร่ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูส ขนาด 398 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นายชาคริต กล่าวว่า บ้านมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ออกแบบให้มี 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน โดยแต่ละครอบครัวสามารถเลือกซื้อบ้านที่ต่างแบบกัน แล้วเชื่อมต่อกันเป็นคลัสเตอร์ของบ้านต่างขนาดกันไป ที่สามารถไปมาหาสู่ถึงกันได้ด้วยการเดินเพียงสั้นๆ จากบ้านสู่บ้าน ในขณะที่บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัว แบ่งอาณาบริเวณของแต่ละบ้าน ด้วยแนวต้นไม้และฉากตามธรรมชาติอื่นๆ เพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว “วิลล่าหลังใหญ่ที่สุดมีห้องรับประทานอาหารและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งครอบครัวที่มีสมาชิกทุกเพศทุกวัย สามารถมารวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันได้ในบ้านหลังเดียว โดยบางวิลล่าสามารถนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวกันพร้อมกันได้ถึงยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น” นอกจากนี้ การสร้างบ้านสไตล์คลัสเตอร์ที่บ้านมากกว่าหนึ่งหลังเชื่อมต่อถึงกัน แทนที่จะสร้างบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่มากๆ เพียงหนึ่งหลังแล้วให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในนั้น ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดโอกาสให้คนในแต่ละเจเนอเรชั่นสามารถออกแบบเลย์เอาต์และการตกแต่งภายในบ้านของตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการ และสไตล์ที่แตกต่างกันตามแบบฉบับของตัวเองได้ นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “มัลเบอรี่ โกรฟ มีแนวคิดที่เปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในอาณาบริเวณที่ใกล้ชิดติดกับพ่อแม่ หรือลูกที่โตแล้ว หรือทั้งสองอย่าง ยังจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านมี ‘โบนัสเวลา’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวที่เพิ่มขึ้น โดยทุกเจเนอเรชั่นซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่ออกแบบเหมาะกับความต้องการของตัวเอง จะสามารถไปมาหาสู่กับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวได้โดยการเดินไปหาเพียงไม่กี่นาที ครอบครัวจะสามารถช่วยกันเลี้ยงเด็กๆ ได้ รวมทั้งช่วยกันดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้วได้สะดวกสบายมากขึ้น และไม่จำกัดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม เป็นการประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างบ้าน ซึ่งจะทำให้ครอบครัวมีเวลามากขึ้นสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน” วิลล่าขนาดใหญ่พิเศษของโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,700 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 310 ล้านบาท ส่วนวิลล่าขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,200 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 220 ล้านบาท ในขณะที่บ้านขนาดกลางเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 185 ล้านบาท มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ส่วนลักชัวรี่อื่นๆ ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อาทิ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ วิลล่า โครงการที่พักอาศัยซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งเป็นซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์แห่งแรกในประเทศไทย รวมทั้งโรงแรมซิกเซนส์ ที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2567 ด้วย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนพื้นที่เชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วบนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ถือเป็นโครงการต้นแบบระดับโลกแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง รวมทั้งเป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลกที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น โครงการได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จนถึงขณะนี้โครงการได้รับรางวัลจากทั่วโลกแล้วมากกว่า 40 รางวัล การันตีความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นในการอยู่อาศัย คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน อาทิ ‘Gold Award for Urban Design’, และ ‘Silver Award for Sustainable Living and Green Design’, จากสถาบันอันทรงเกียรติ International Design Awards (IDA), Platinum Award for environmental sustainability จาก Outstanding Property Awards London, Winner of the Global Human Settlements Award on Planning and Design จาก Global Forum on Human Settlements, และรางวัล Winner of the Visionary Living & Working award จาก Innovative Architecture. นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “เราได้เห็นว่าโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งรวมถึงโครงการมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ที่ทำยอดขายได้แล้วกว่า 5,500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการซิกเซนส์ เรสซิเดนซ์ ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าหลายครอบครัวตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัยโครงการต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์เพื่ออยู่จริง และการก่อสร้างโครงการก็กำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว” องค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษอย่างหนึ่งของโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ ป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่บริเวณใจกลางโครงการ พร้อมทางเดินยกระดับที่ทอดยาวทะลุผืนป่ายาว 1.6 กิโลเมตร นอกจากโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบแล้ว เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์และการพักผ่อนของครอบครัว ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ Family Center ตลาด สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน
มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวที่ออกแบบโดย Foster + Partners โดยแต่ละวิลล่ามีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000 – 1,700 ตารางเมตร ตั้งกระจายตัวอยู่บนที่ดินพื้นที่ 26 ไร่ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูส ขนาด 398 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บ้านมัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า ออกแบบให้มี 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน โดยแต่ละครอบครัวสามารถเลือกซื้อบ้านที่ต่างแบบกัน แล้วเชื่อมต่อกันเป็นคลัสเตอร์ของบ้านต่างขนาดกันไป ที่สามารถไปมาหาสู่ถึงกันได้ด้วยการเดินเพียงสั้นๆ จากบ้านสู่บ้าน ในขณะที่บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัว แบ่งอาณาบริเวณของแต่ละบ้าน ด้วยแนวต้นไม้และฉากตามธรรมชาติอื่นๆ เพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว วิลล่าหลังใหญ่ที่สุดมีห้องรับประทานอาหารและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เพื่อให้ทั้งครอบครัวที่มีสมาชิกทุกเพศทุกวัย สามารถมารวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันได้ในบ้านหลังเดียว โดยบางวิลล่าสามารถนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวกันพร้อมกันได้ถึงยี่สิบคน หรือมากกว่านั้น นอกจากนี้ การสร้างบ้านสไตล์คลัสเตอร์ที่บ้านมากกว่าหนึ่งหลังเชื่อมต่อถึงกัน แทนที่จะสร้างบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่มากๆ เพียงหนึ่งหลังแล้วให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในนั้น ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดโอกาสให้คนในแต่ละเจเนอเรชั่นสามารถออกแบบเลย์เอาต์และการตกแต่งภายในบ้านของตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการ และสไตล์ที่แตกต่างกันตามแบบฉบับของตัวเองได้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53445
Retail
โอ้กะจู๋มีกลยุทธ์อะไรบ้างในการขยายฐานลูกค้าในตลาดรีเทล?
null
โอ้กะจู๋มีกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าในตลาดรีเทล ดังนี้ 1. ขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพ: เน้นขยายสาขาในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ทั่วประเทศ ขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ขยายสาขาไปยังภูมิภาคต่าง ๆ 2. พัฒนาแบรนด์ใหม่: พัฒนาแบรนด์ใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ พัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ ๆ 3. ลงทุนเทคโนโลยีบริหารจัดการหลังบ้าน: พัฒนาระบบการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ พัฒนาระบบการจัดส่งอาหาร พัฒนาระบบการชำระเงิน 4. ร่วมมือกับพันธมิตร: ร่วมมือกับ OR ในการขยายสาขา ร่วมมือกับ Cafe Amazon ในการจำหน่ายอาหาร ร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ 5. เน้นกลยุทธ์ด้านราคา: เสนอราคาอาหารที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด เสนอชุดอาหารราคาประหยัด 6. เน้นกลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาด: โฆษณาสินค้าและบริการผ่านช่องทางต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย 7. เน้นกลยุทธ์ด้านการบริการ: ให้บริการลูกค้าด้วยความประทับใจ พัฒนาคุณภาพอาหาร พัฒนาบรรยากาศภายในร้าน 8. เน้นกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม: สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย ส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ รักษ์สิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง: โอ้กะจู๋ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “โอ้กะจู๋ Go” เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพแบบ Grab & Go โอ้กะจู๋ ร่วมมือกับ OR ในการเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ทั่วประเทศ โอ้กะจู๋ เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดเพื่อดึงดูดลูกค้า โอ้กะจู๋ ให้บริการลูกค้าด้วยความประทับใจ โอ้กะจู๋ สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท สรุป: โอ้กะจู๋มีกลยุทธ์ที่หลากหลายในการขยายฐานลูกค้าในตลาดรีเทล กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยใหโอ้กะจู๋บรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53458
Retail
ช่วยสรุปบทความ ไขข้อข้องใจ “ท็อปส์” ในไทยมีกี่โมเดล และความหมายของ “T-O-P-S” หลังซีอาร์ซีจัดพอร์ตแบรนด์ใหม่
ตลอด 26 ปีที่ผ่านมาของ “ท็อปส์” (TOPS) ในเครือ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เดินหน้าขยายสาขา พร้อมทั้งส่งธุรกิจกลุ่มฟู้ดเดินเกมรุกตลาดฟู้ดรีเทลระดับพรีเมียมในไทยมาอย่างต่อเนื่อง ประสบความสำเร็จกลายเป็นอีกหนึ่งขาธุรกิจที่ผลักดันรายได้ให้ทางเครือฯ จาก “ท็อปส์” สาขาแรกในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตครบวงจรแห่งแรกในไทย ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2539 ณ รอยัล ซิตี้ อเวนิว อาคาร RCA PLAZA ย่านถนนเพชรบุรี ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต” สู่เส้นทางแห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในบทบาทผู้นำเบอร์ 1 ในธุรกิจฟู้ดรีเทลที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 26 ปี ขณะที่โมเดลที่หลากหลายของ “ท็อปส์” ในช่วงที่ผ่านมาแม้จะเป็นการสร้างความแตกต่างได้ดี ในเรื่องของโมเดลที่แยกออกไปตามโลเคชั่นและสินค้า แต่ในแง่ของการจดจำพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จดจำเพียงคำว่า “ท็อปส์” สั้นๆเท่านั้น ทำให้ทางค่ายเกิดแนวคิดในการเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในรอบ 26 ปี ด้วยการเดินหน้าจัดพอร์ตหรือ Reunite Brand ขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ “One Brand” กับการรวมทุกโมเดลค้าปลีกให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้แบรนด์ “Tops” กับปรับภาพลักษณ์ใหม่เป็นแบรนด์ที่ทันสมัย ด้วยแนวคิด “Every Day Discovery” เพื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 รองรับการขยายตัวของรีเทลยุคใหม่อย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำเบอร์ 1 ฟู้ดรีเทลเมืองไทย คุณจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการที่ท็อปส์ มีโมเดลที่หลากหลายและมีแบรนด์ที่มากมายเกินไปทำให้ลูกค้าสับสนและไม่เข้าใจมากนัก โดยหลังจากการทำรีเสิร์ซ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ จะเรียกชื่อแบรนด์ว่า “ท็อปส์” สั้นๆ อยู่แล้ว เกิดเป็นแนวคิดการปรับภาพและรวมแบรนด์จำขึ้น เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ง่ายขึ้น ไขความหมาย ทำไมต้อง “T-O-P-S” เท่านั้น การรีแบรนด์ดังกล่าว นอกจากจะสร้างการจดจำให้ง่าย สะดวกต่อการสื่อสารแบรนด์ในวงกว้างแล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนโลโก้ Tops ใหม่ในดีไซน์โค้งมน ด้วยการใช้ตัวอักษรรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างคาแรคเตอร์ใหม่ให้แบรนด์ ‘Tops” ที่เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ แต่เติมความเป็นโมเดิร์นมากขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์เดิมของท็อปส์ไว้อย่างเหนียวแน่น เพื่อสื่อถึงความเป็นแบรนด์ที่ทันสมัย จับต้องได้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเจนเนอเรชัน และฐานลูกค้าที่ไม่เคยเข้ามาใช้บริการในท็อปส์มากขึ้น
ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา "ท็อปส์" (TOPS) ภายใต้เครือ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ได้ขยายธุรกิจด้านฟู้ดรีเทลอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดฟู้ดรีเทลของไทย โดยเริ่มจากการเปิดสาขาแรกในปี 2539 ภายใต้ชื่อ "ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต" ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตครบวงจรแห่งแรกของประเทศ ในระยะหลัง แม้ท็อปส์จะมีโมเดลที่หลากหลายตามโลเคชั่นและประเภทสินค้า แต่จากการวิจัยพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่จดจำแบรนด์เพียงแค่คำว่า "ท็อปส์" สั้นๆ จึงเกิดแนวคิดในการรวมทุกโมเดลค้าปลีกภายใต้กลยุทธ์ "One Brand" เพื่อให้แบรนด์สามารถจดจำได้ง่ายขึ้นและสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ในการรีแบรนด์ครั้งนี้ ท็อปส์ได้ปรับโลโก้ใหม่ที่มีดีไซน์โค้งมนและทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกับใช้แนวคิด “Every Day Discovery” เพื่อสื่อถึงการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในทุกวัน และเน้นย้ำความเป็นผู้นำในตลาดฟู้ดรีเทลที่ครองใจคนไทยทุกเจนเนอเรชัน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53460
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ เจ มาร์ท ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก?
null
กลยุทธ์หลักของ เจ มาร์ท ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก มีดังนี้: 1. มุ่งเน้นไปที่สินค้ากลุ่มไอทีและอุปกรณ์ดิจิทัล: เจ มาร์ท มองเห็นศักยภาพของตลาดไอทีและอุปกรณ์ดิจิทัลที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมุ่งเน้นไปที่การจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้ ผ่านแบรนด์ "เจมาร์ท โมบาย" ที่เป็นผู้นำตลาดในธุรกิจค้าปลีกโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ดิจิทัล 2. ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง: เจ มาร์ท มีการขยายสาขา "เจมาร์ท โมบาย" อย่างต่อเนื่องทั้งในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และพื้นที่ Standalone เพื่อเข้าถึงลูกค้าในทุกพื้นที่ 3. นำเสนอบริการที่หลากหลาย: เจ มาร์ท ไม่ได้จำกัดแค่การขายสินค้า แต่ยังนำเสนอบริการที่หลากหลาย เช่น บริการซ่อมแซม บริการผ่อนชำระ บริการประกันภัย 4. มุ่งเน้นประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า: เจ มาร์ท ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า พยายามพัฒนาบรรยากาศภายในร้านให้สะดวกสบาย พนักงานมีความรู้และสามารถให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าได้ 5. ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์: เจ มาร์ท มองเห็นความสำคัญของช่องทางออนไลน์ จึงมีการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ควบคู่ไปกับการมีหน้าร้าน 6. ร่วมมือกับพันธมิตร: เจ มาร์ท ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ตัวอย่างความสำเร็จของกลยุทธ์เหล่านี้: -เจมาร์ท โมบาย เป็นผู้นำตลาดในธุรกิจค้าปลีกโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ดิจิทัล -เจ มาร์ท มีเครือข่ายสาขากว่า 300 แห่งทั่วประเทศ -เจ มาร์ท มีบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า -เจ มาร์ท มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีให้กับลูกค้า -เจ มาร์ท มีช่องทางการจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ -เจ มาร์ท มีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ เจ มาร์ท ประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีก และสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากกลยุทธ์หลักเหล่านี้แล้ว เจ มาร์ท ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก เช่น: -การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ -การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ -การพัฒนาทักษะของพนักงาน -การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า -เจ มาร์ท มุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53461
Retail
4 คีย์หลัก ขยายฐานลูกค้า-สร้างคอมมูนิตี้คนรักสเก็ตบอร์ด เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวที่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือการย้ำชัดตัวตนและคอร์หลักของ Vans ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
“แวนส์” (VANS) เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในนามแบรนด์ดั้งเดิมที่จำหน่ายรองเท้า เครื่องแต่งกาย และแอคเซสเซอรี่ต่างๆ สำหรับการเล่นกีฬาผาดโผน ภายใต้บริษัท VF Corporation (หรือชื่อย่อ VFC ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก) มีวางจำหน่ายมากกว่า 100 ประเทศ มีร้านค้าปลีกมากกว่า 2,000 แห่งทั่วโลก กลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยอดนิยมที่เกิดในยุค 70’s และถูกจดจำในฐานะแบรนด์รองเท้าอันดับหนึ่งสำหรับนักสเก็ตบอร์ด มาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ยุคสมัยเปลี่ยนภาพการแข่งขันของธุรกิจสินค้าแฟชั่นกีฬาเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเมื่อความเป็นสปอร์ตกับแฟชั่นแยกกันไม่ออก แบรนด์สินค้าแฟชั่นกีฬาหลายค่ายต่างเลือกที่จะผสานความเป็นแฟชั่นเข้าไปในตัวตนความเป็นแบรนด์มากขึ้น เพื่อสลัดภาพจำเก่าๆ ไปพร้อมกับการรองรับเทรนด์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า หากแต่ Vans ยังให้ความสำคัญกับการยึดเอา DNA หลักของแบรนด์ด้านความเป็นผู้นำด้านกีฬา Extreme ทั่วโลก โดยเฉพาะ “สเก็ตบอร์ด” เข้ามาเสริมจุดแข็งและตัวตนของแบรนด์ที่ต้องไม่ไล่ตามแฟชั่น แต่คือการ Keep DNA ของแบรนด์อย่างมั่นคงในสิ่งที่แบรนด์ถนัด เติมวัฒนธรรม “สเก็ตบอร์ด” สร้างแบรนด์ในไทย คุณเจสัน กู้ด Vice President, Asia Brand Hub, Vans กล่าวว่า ภายหลังก้าวเข้ามากุมทัพ Vans ในเอเชียเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา จากวันแรกที่ก่อตั้งบริษัท จนถึงวันนี้แบรนด์ก็ยังให้ความสำคัญกับการเจาะตลาดสเก็ตบอร์ด และสร้างรองเท้าที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ขณะที่ “สตรีทแฟชั่น” แม้จะแคตธิกอรี่ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกที่ผ่านมา แต่แบรนด์จะไม่วิ่งตามแต่อย่างไร แต่จะเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นคอร์หลักของแบรนด์และเพิ่มฟังก์ชั่นให้ตอบโจทย์มากกว่า คุณเจสัน กู้ด Vice President, Asia Brand Hub, Vans “แน่นอนว่าสิ่งที่แบรนด์แฟชั่นกีฬาทำในปัจจุบันคือการสลัดภาพเดิมและขยายตัวตนใหม่ตามยุคสมัย แต่สิ่งที่แวนส์จะยังคงยึดถือนับจากนี้คือการสร้างวัฒนธรรมสตรีทแวร์ที่ยึดเอา Brand Identity ผ่านเรื่องของสเก็ตบอร์ดเข้ามาสร้างโอกาสในการขยายตัวและต่อยอดมากกว่า” ภายใต้ความเชื่อที่ว่าการเริ่มต้นจากจุดแข็งของแบรนด์อย่างการสร้างชุมชนคนรักสเก็ตบอร์ด ที่ต้องสามารถขยายเข้าไปในกีฬาชนิดอื่นๆ รวมไปถึงดนตรีในอนาคต คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทางแบรนด์ สามารถต่อยอดการเติบโตได้ในระยะยาวและแข็งแรงได้มากกว่า สำหรับในส่วนของประเทศไทยนับจากนี้ Vans จะมีการทำตลาดผ่าน “บริษัท ไทย เอาท์ดอร์ สปอร์ต จำกัด” ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Vans ในไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2561 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ Vans ให้เป็นแบรนด์ผู้นำทางด้านสตรีทแวร์ และสเก็ตบอร์ดแบรนด์อันดับ 1 ในไทยร่วมกันหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย ไทยกลายเป็นตลาดที่เติบโตเร็ว มีการฟื้นตัวของตลาดที่เร็วที่สุดอีกแห่งในภูมิภาคเอเชีย เปิด 4 คีย์หลัก ขยายฐานลูกค้า-สร้างคอมมูนิตี้คนรักสเก็ตบอร์ด นับจากนี้แผนงานหลักของแบรนด์ คือ การสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ผู้นำทางด้านสตรีทแวร์ และสเก็ตบอร์ดแบรนด์อันดับ 1 ในไทย โดยมีแผนที่จะขยายธุรกิจหลายๆ รูปแบบในทุกมิติ ที่สะท้อนผ่านตัวตนแบรนด์ที่มีความขบถ เดือด ดีด ทะลุกำแพงดังสโลแกน “Off The Wall” เพื่อทำให้ Vans เป็นแบรนด์รองเท้าที่ครองใจสายกีฬา Extreme ทั่วโลก ภายในร้าน Vans shop concept ที่ร่วมมือกับ Baan Preduce ที่ Vans เข้าไปขยายสาขาเพื่อเจาะกลุ่มคนรักสเก็ตบอร์ด ด้วยแนวทางการทำตลาดใน 4 คีย์หลัก เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวที่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือการย้ำชัดตัวตนและคอร์หลักของ Vans อันประกอบไปด้วย 1.Community สร้างพื้นที่ชุมชนและเพื่อน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ด้วยการขยายเครือข่ายทางสังคม สำหรับกลุ่มฐานแฟนคลับสร้างการเติบโตร่วมกัน ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้คนเล่นสเก็ตบอร์ดในไทย แม้จะทำตลาดอออนไลน์ แต่มองว่าตัวตนของแบรนด์อยู่ที่การพบปะ คอมมูนิตี้ ให้คนมีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากันทำกิจกรรมกันอีกครั้งหนึ่ง 2.Partner การทำตลาดไปกับพาร์ทเนอร์คู่ค้าในแต่ละประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องของสถานที่ การขยายสาขา และการเข้าไปทำกิจกรรม โดยพาร์ทเนอร์แต่ละประเทศจะช่วยดูแลคอมมูนิตี้ในพื้นที่นั้นๆ เช่น การจับมือกับ Baan Preduce ในการเปิดสาขาแห่งใหม่ และการเปิดพื้นที่ลานสเก็ตบอร์ดสร้างพื้นที่ของแบรนด์ 3.New Customer จากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มคนเล่นสเก็ตบอร์ดที่เป็นผู้หญิง ทำให้ Vans เริ่มสร้างโอกาสในการเข้าถึงพร้อมขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยการทำงานร่วมกับโลคัลทีม ทำกิจกรรม ให้สเก็ตบอร์ดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้หญิงในการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น 4.New Collection การเปิดตัวสินค้าคอลเล็คชั่นใหม่ 3 คอลเล็คชั่นต่อปี ทั้งรูปแบบคอลเล็คชั่นอินเตอร์จากบริษัทแม่ และสินค้าใหม่ที่มีการโลคัลไลซ์ พัฒนารูปแบบและดีไซน์สินค้าให้เหมาะกับคนไทย นอกจากนั้นยังทำผ่าน การจัดกิจกรรมอีเว้นท์ ทำสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษต่างๆ ร่วมกับแบรนด์ดังระดับโกลบอลเพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายมากขึ้น รองเท้าสเก็ตบอร์ด Vans รุ่น Half Cab หนึ่งในตำนานรองเท้าขวัญใจนักสเก็ตบอร์ดที่ Vans พัฒนาขึ้นมารองรับความต้องการ เปิดจุดแข็ง-กำจัดจุดอ่อน เติมฟังก์ชั่นใหม่ “สวยและต้องไม่เจ็บเท้า” อย่างไรก็ดีแม้ที่ผ่านมา VANS จะมีจุดขายคือการเป็นรองเท้าเล่นสเก็ตบอร์ดอันดับต้นในตลาดโลก แต่หากโฟกัสมาที่ประเทศไทย ชื่อของรองเท้าซิกเนเจอร์คอลเล็คชั่นอย่าง “Vans old skool” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่พบว่าในกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มกลับบอกว่า “สวยแต่เจ็บ” เพราะยังสวมใส่ไม่สบายนัก นั่นทำให้ทางค่ายพัฒนาฟังก์ชั่นใหม่ๆ ออกมารองรับความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงสวมใส่สวยงาม ในสไตล์วัยรุ่นชอบ หากแต่ยังเพิ่มฟังก์ชั่นในการสวมใส่ที่สบาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการต่อยอดสู่ VANS Old Skool (ComfyCush) ที่มาพร้อมคำนิยาม “เบาดุจดั่งเดินบนปุยเมฆ” คุณสมบัติที่ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบา นุ่ม สบายเท้า แต่ไม่ทิ้งความคลาสสิกของโมเดลรองเท้าแต่ละรุ่น ถือเป็นมิติที่สบายยิ่งกว่า ลืมภาพจำและความรู้สึกการใส่รองเท้า VANS Classic ที่ค่อนข้างหนักไปเลย ผลจากการปรับตัวตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้ไทยกลายเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต ทำให้ Vans ประเทศไทย ติด Top 5 ในเอเชีย โดยหลังสถานการณ์โควิดผ่านพ้นไปแนวโน้มการเติบโตในตลาดเมืองไทยดีขึ้น และสิ่งที่ Vans จะทำนับจากนี้คือการโฟกัสการเติบโตระยะยาวในประเทศไทย โดยเอาจุดแข็งของแบรนด์อย่าง “วัฒนธรรมสเก็ตบอร์ด” เข้ามาเป็นตัวเชื่อมแบรนด์กับฐานลูกค้า โดยในช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา Vans มีการเติบโตขึ้นมากกว่า 30% เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ Vans ยังคาดว่าหากนักท่องเที่ยวสามารถกลับมาเดินทางได้ปกติ โดยเฉพาะชาติจีน Vans จะมียอดขายที่โตขึ้นอย่างน้อย 50% ชูหลากโมเดล “รุกขยายสาขา-อีคอมเมิร์ซ” ทั่วไทย นอกจากในแง่ของการเพิ่ม Brand Awareness แล้วยังให้ความสำคัญกับการขยายจำนวนสาขามากขึ้น เพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ รวมไปถึงการมีพาร์ทเนอร์คู่ค้าที่แข็งแกร่งเพื่อที่จะได้เติบโตในทางธุรกิจไปด้วยกัน ภายในสาขาโมเดลต่างๆที่ Vans จะใช้ขยายสาขา เกิดเป็นแผนงานระยะยาวทั้งเรื่องของโซเชี่ยลมีเดีย และการขยายร้านค้าในต่างจังหวัด ทั้งในรูปแบบ Vans shop concept, Vans Consignment เพิ่มคู่ค้า และขยายช่องทาง E-commerce ในปี 2566 ทั้งนี้ปัจจุบัน Vans มีสาขาทั้งหมด 62 แห่งในประเทศไทย แบ่งเป็น Vans ช็อป (คอนเซ็ปต์สโตร์) จำนวน 16 สาขา , เคาท์เตอร์แบรนด์ จำนวน 44 สาขา เอาท์เล็ต (Outlet) จำนวน 2 สาขา รวมไปถึงคู่ค้า (Authorized Vans Dealer) จำนวน 24 แห่ง Vans ช็อป (คอนเซ็ปต์สโตร์) จำนวน 16 สาขา , เคาท์เตอร์แบรนด์ จำนวน 44 สาขา เอาท์เล็ต (Outlet) จำนวน 2 สาขา รวมไปถึงคู่ค้า (Authorized Vans Dealer) จำนวน 24 แห่ง โดยมีสาขาแฟล็กชิปที่ ศูนย์การค้า สยามเซ็นเตอร์ ชั้น G ด้วยขนาดพื้นที่ 320 ตร.ม. ซึ่งใหญ่กว่าสาขาเดิมถึง 4 เท่า (เป็นการย้ายมาจากสาขาจากสยามดิสคัฟเวอรี่เดิม) ได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี โดยมีกลุ่มลูกค้ามาต่อคิวช้อปปิ้งมากกว่า 500 คน รวมไปถึงคอลเลคชั่นพิเศษที่วางจำหน่ายในสาขาต่างๆ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน นั่นคือความสำเร็จของแบรนด์ในการสร้างตลาดที่รอบด้าน ทั้งหมดนี้เพื่อสร้าง “Customer Journey” ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าที่ต้องวางแผนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างทางเลือกสำหรับคนที่ทั้งเล่นกีฬาอื่นๆ และสเก็ตบอร์ด สร้างวัฒนธรรมความสร้างสรรค์ต่างๆ ด้วยการลงทุนสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะในไทยที่กลายมาเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญ แม้จะไม่มีการกำหนดเป้าหมายการเติบโตด้านตัวเลขที่ชัดเจนนัก แต่การรุกตลาดครั้งนี้เชื่อว่าจะผลักดันให้ Vans เติบโตในไทยได้ในระยะยาว
4 คีย์หลัก ขยายฐานลูกค้า-สร้างคอมมูนิตี้คนรักสเก็ตบอร์ด เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวที่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือการย้ำชัดตัวตนและคอร์หลักของ Vans ประกอบไปด้วย 1. Community สร้างพื้นที่ชุมชนและเพื่อน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ด้วยการขยายเครือข่ายทางสังคม สำหรับกลุ่มฐานแฟนคลับสร้างการเติบโตร่วมกัน ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้คนเล่นสเก็ตบอร์ดในไทย แม้จะทำตลาดอออนไลน์ แต่มองว่าตัวตนของแบรนด์อยู่ที่การพบปะ คอมมูนิตี้ ให้คนมีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากันทำกิจกรรมกันอีกครั้งหนึ่ง 2. Partner การทำตลาดไปกับพาร์ทเนอร์คู่ค้าในแต่ละประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องของสถานที่ การขยายสาขา และการเข้าไปทำกิจกรรม โดยพาร์ทเนอร์แต่ละประเทศจะช่วยดูแลคอมมูนิตี้ในพื้นที่นั้นๆ เช่น การจับมือกับ Baan Preduce ในการเปิดสาขาแห่งใหม่ และการเปิดพื้นที่ลานสเก็ตบอร์ดสร้างพื้นที่ของแบรนด์ 3. New Customer จากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มคนเล่นสเก็ตบอร์ดที่เป็นผู้หญิง ทำให้ Vans เริ่มสร้างโอกาสในการเข้าถึงพร้อมขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยการทำงานร่วมกับโลคัลทีม ทำกิจกรรม ให้สเก็ตบอร์ดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้หญิงในการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น 4. New Collection การเปิดตัวสินค้าคอลเล็คชั่นใหม่ 3 คอลเล็คชั่นต่อปี ทั้งรูปแบบคอลเล็คชั่นอินเตอร์จากบริษัทแม่ และสินค้าใหม่ที่มีการโลคัลไลซ์ พัฒนารูปแบบและดีไซน์สินค้าให้เหมาะกับคนไทย นอกจากนั้นยังทำผ่าน การจัดกิจกรรมอีเว้นท์ ทำสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษต่างๆ ร่วมกับแบรนด์ดังระดับโกลบอลเพื่อให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายมากขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53464
Retail
โอสถสภาควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ภายใต้สถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
null
โอสถสภาควรมีกลยุทธ์ดังต่อไปนี้ 1. รักษาฐานลูกค้าเดิม -รักษาคุณภาพสินค้า: รักษาคุณภาพของ M-150 ให้คงเดิม เพื่อรักษาความไว้วางใจของลูกค้า -กิจกรรมส่งเสริมการขาย: จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดลูกค้า -สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดแฟนคลับ 2. ขยายฐานลูกค้าใหม่ -พัฒนาสินค้าใหม่: พัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น เครื่องดื่มชูกำลังสูตรน้ำตาลน้อย หรือเครื่องดื่มชูกำลังสำหรับผู้หญิง -ขยายช่องทางจำหน่าย: ขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และช่องทางออนไลน์ -เจาะตลาดต่างประเทศ: ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน 3. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน -ลดต้นทุน: ควบคุมต้นทุนการผลิตและต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ -เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้า: พัฒนาระบบการกระจายสินค้าให้มีประสิทธิภาพ -ใช้เทคโนโลยี: ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจ 4. สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง -สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ M-150 ผ่านกิจกรรม CSR และกิจกรรมส่งเสริมสังคม -สื่อสารการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ: สื่อสารการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย -สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดงานอีเวนต์ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ -รักษาฐานลูกค้าเดิม: M-150 จัดกิจกรรม "M-150 แจกทองคำ" เพื่อดึงดูดลูกค้า -ขยายฐานลูกค้าใหม่: M-150 ออกสูตรใหม่ "M-150 สูตรน้ำตาลน้อย" เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ -เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: M-150 ลงทุนในระบบ ERP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจ -สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง: M-150 ร่วมสนับสนุนกิจกรรมกีฬาต่างๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง -รักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง -เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด -เพิ่มยอดขาย -สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ข้อควรระวัง -กลยุทธ์เหล่านี้อาจไม่เหมาะกับทุกธุรกิจ -กลยุทธ์เหล่านี้ต้องอาศัยการลงทุนและทรัพยากร -กลยุทธ์เหล่านี้ต้องมีการติดตามผลและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สรุป โอสถสภาสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังได้ โดยใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น รักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์เหล่านี้ต้องอาศัยการลงทุน ทรัพยากร และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53474
Retail
การปรับขึ้นราคาเครื่องดื่ม 5 บาทของ Café Amazon ส่งผลดีต่อยอดขายในแง่ของ Retail หรือไม่?
null
ไม่ส่งผลดีต่อยอดขายในแง่ของ Retail เหตุผล 1. ภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค -ผู้บริโภคเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อ -การปรับขึ้นราคา 5 บาท อาจทำให้ผู้บริโภค ลังเล ที่จะซื้อเครื่องดื่มจาก Café Amazon -ผู้บริโภคอาจ มองหาตัวเลือกอื่นที่ราคาถูกกว่า เช่น ร้านกาแฟท้องถิ่น หรือเครื่องดื่มพร้อมดื่ม 2. คู่แข่ง -ร้านกาแฟคู่แข่ง เช่น อินทนิล, All Café ยัง คงราคาเดิมไว้ -ผู้บริโภคอาจเปลี่ยนไปซื้อร้านกาแฟคู่แข่งแทน 3. อิทธิพลทางจิตวิทยา -การปรับขึ้นราคา อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ ของแบรนด์ Café Amazon ในแง่ลบ -ผู้บริโภคอาจรู้สึกไม่พอใจกับการขึ้นราคา 4. พฤติกรรมการบริโภค -ผู้บริโภคอาจดื่มกาแฟน้อยลง -ผู้บริโภคอาจซื้อเครื่องดื่ม ในปริมาณที่น้อยลง 5. การตลาด: -Café Amazonอาจต้องทุ่มเทในการทำการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า -การโปรโมชันต่างๆ อาจต้องเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม: -ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อยอดขาย เช่น กลยุทธ์ทางการตลาด โปรโมชัน -ยังไม่มีข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อยอดขาย -จำเป็นต้องติดตามผลลัพธ์หลังจากการปรับขึ้นราคา โดยสรุป: การปรับขึ้นราคาเครื่องดื่ม 5 บาทของ Café Amazon มีความเสี่ยง ที่จะส่งผลเสียต่อยอดขายในแง่ของ Retail ทาง Café Amazon จำเป็นต้อง: -พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ -วางกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ -ติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้น จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53476
Retail
จงสรุปบทความ OR เปิด Café Amazon สาขาแรกในซาอุดิอาระเบีย พร้อมขยายธุรกิจในต่างประเทศแบบเต็มสูบ
ปีนี้ OR เดินหน้าขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์และต่างประเทศเต็มสูบ หลังประกาศเปิด Café Amazon สาขาแรกในประเทศซาอุดิอาระเบียไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นประเทศที่ 10 เพื่อก้าวสู่การเป็น Global Brand ล่าสุดได้จับมือกับพันธมิตร “เซ็นทรัล” เร่งขยายสาขาในเวียดนามเพิ่มขึ้น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ Café Amazon ในประเทศเวียดนาม โดยใช้ชื่อว่า ORC Coffee Passion Group Joint Stock Company หรือ ORCG ในปี 2562 จากนั้นได้เปิดร้าน Café Amazon สาขาแรกในปี 2563 ปัจจุบันมีร้าน Café Amazon ในประเทศเวียดนามรวม 14 สาขา สาขาล่าสุดคือ Café Amazon ไฮ บ่า จึง (HAI BA TRUNG) นครโฮจิมินห์ ขณะนี้มีสาขาอยู่ในนครโฮจิมินห์ 10 สาขา อีก 4 สาขาอยู่ในเมืองอื่น ๆ ได้แก่ Ben Tre, Tra Vinh, My Tho และ Dong Nai OR และ CRG ตั้งเป้าหมายจะเปิดร้าน Café Amazon ในเวียดนามให้ได้ 20 สาขาภายในปี 2565 ตลาดกาแฟในประเทศเวียดนามมีอัตราการขยายตัวรวดเร็วและยังมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 8.2% ต่อปี เห็นได้จากอัตราการบริโภคกาแฟของคนเวียดนามเมื่อเทียบกับการบริโภคกาแฟของคนไทยที่สูงกว่าถึง 5 เท่า พฤติกรรมการดื่มกาแฟของชาวเวียดนามนิยมดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว ในหลายโอกาสของวัน และด้วยไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่น ที่ชอบใช้เวลาอยู่ในร้านกาแฟ รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีร้านกาแฟเปิดเพิ่มขึ้นในเวียดนามมากถึง 30% OR และ CRG จึงเห็นโอกาสการเติบโตและการลงทุนขยายตลาดในเวียดนามได้อีกมาก ช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีร้าน Café Amazon ในไทยและต่างประเทศรวม 4,051 สาขา โดยเป็นสาขาในต่างประเทศจำนวน 323 สาขา โดย Café Amazon ถือเป็นเชนร้านกาแฟที่มีจำนวนสาขามากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 12 ของโลกในแง่ของรายได้ร้านกาแฟ ปัจจุบัน OR ได้ขยายธุรกิจร้าน Café Amazon เปิดให้บริการทั้งในประเทศไทยและอีก 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม โอมาน และซาอุดิอาระเบีย วางเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Global Brand ต่อไป คุณวีรกา มุทิตาภรณ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์, คุณไท จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), คุณณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด พร้อมด้วย คุณรชา อุทัยจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ, คุณนิตยา ธำรงราชนิติ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดคาเฟ่อเมซอน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ คุณนิติ กิตติเสถียร General Director ORC Coffee Passion Group Joint Stock Company หรือ ORCG ร่วมพิธีเปิดร้าน Café Amazon สาขาไฮ บ่า จึง (HAI BA TRUNG) นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นร้าน Café Amazon สาขาที่ 14 ในประเทศเวียดนาม อ่านเพิ่มเติม Café Amazon เปิดสาขาแรก ‘ซาอุ’ วางเป้าหมายขยาย 150 สาขาใน 10 ปี Café Amazon เปิดสาขาแรก ‘ซาอุ’ วางเป้าหมายขยาย 150 สาขาใน 10 ปี
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จับมือกับบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจร้านกาแฟ Café Amazon ในประเทศเวียดนาม ภายใต้ชื่อ ORC Coffee Passion Group Joint Stock Company (ORCG) เมื่อปี 2562 จก่อนจะเปิดร้าน Café Amazon สาขาแรกของเวียดนามในปี 2563 และปัจจุบันมีร้าน Café Amazon ในประเทศเวียดนามรวม 14 สาขา รวมทั้งตั้งเป้าว่าจะเปิดร้าน Café Amazon ในเวียดนามให้ได้ 20 สาขาภายในปี 2565 นอกจากนี้ OR ยังขยายธุรกิจร้าน Café Amazon เปิดให้บริการในไทยและอีก 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม โอมาน และซาอุดิอาระเบีย โดยเปิด Café Amazon สาขาแรกในประเทศซาอุดิอาระเบียไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และพร้อมขยายธุรกิจในต่างประเทศแบบเต็มสูบ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53482
Retail
กลยุทธ์ของ OR ในการขยายธุรกิจ Café Amazon ในประเทศซาอุดีอาระเบียมีอะไรบ้าง?
null
OR มีกลยุทธ์หลัก 4 ประการ ในการขยายธุรกิจ Café Amazon ในประเทศซาอุดีอาระเบีย: 1. การจับคู่กับพันธมิตรท้องถิ่น: OR เลือกจับมือกับกลุ่มบริษัท แอดวานซ์ ซิสเต็ม ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในซาอุดิอาระเบียที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก 2. การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค: OR พัฒนาเมนูพิเศษสำหรับผู้บริโภคชาวซาอุดิอาระเบียโดยเฉพาะ เช่น Iced Americano Coconut และ Iced Coconut Caramel Latte ซึ่งใช้มะพร้าวเป็นส่วนประกอบ 3. การนำเสนอบรรยากาศร้านที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ: OR ออกแบบร้าน Café Amazon ในซาอุดิอาระเบียให้มีบรรยากาศใกล้ชิดกับธรรมชาติ เช่นเดียวกับในประเทศไทย 4. การขยายสาขาอย่างรวดเร็ว: OR ตั้งเป้าเปิดร้าน Café Amazon 150 สาขา ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ภายในระยะเวลา 10 ปี เพิ่มเติม: OR ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ในการขยายธุรกิจ Café Amazon ในประเทศซาอุดิอาระเบีย เช่น: - การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า - การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย - การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนท้องถิ่น ความสำเร็จ: OR ประสบความสำเร็จในการเปิดสาขา Café Amazon สาขาแรกในกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย บทสรุป: OR มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจ Café Amazon ในประเทศซาอุดิอาระเบีย กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ OR สามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคใหม่ คำอธิบายเพิ่มเติม: - ตลาดค้าปลีกในประเทศซาอุดีอาระเบียมีศักยภาพสูง - ประชากรในซาอุดิอาระเบียมีจำนวนมากและมีกำลังซื้อสูง - ผู้บริโภคชาวซาอุดิอาระเบียนิยมดื่มกาแฟ - รัฐบาลซาอุดิอาระเบียกำลังส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ OR มีจุดแข็งหลายประการ ที่ช่วยให้สามารถประสบความสำเร็จในตลาดซาอุดิอาระเบีย: - Café Amazon เป็นแบรนด์กาแฟที่รู้จักและได้รับความนิยม - OR มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีก - OR มีเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง OR มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจ Café Amazon ในประเทศซาอุดิอาระเบีย OR ตั้งเป้าที่จะเป็นแบรนด์กาแฟชั้นนำในซาอุดิอาระเบีย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53488
Retail
7-Eleven จะรักษายอดขายและฐานลูกค้า All Café อย่างไรหลังจากปรับราคาขึ้น 5 บาท
null
7-Eleven สามารถใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพื่อรักษายอดขายและฐานลูกค้า All Café 1. กลยุทธ์ด้านราคา: - เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ เช่น ซื้อ 1 แถม 1, ลดราคาเฉพาะช่วงเวลา, ส่วนลดสำหรับสมาชิก All Member - พัฒนาชุดเมนูราคาประหยัด - เสนอแพ็กเกจรวมเครื่องดื่มและอาหาร 2. กลยุทธ์ด้านสินค้า: - พัฒนาเมนูใหม่ ๆ ดึงดูดลูกค้า - เน้นเมนูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หาทานไม่ได้ที่ร้านอื่น - คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ รสชาติดี - นำเสนอเมนูเพื่อสุขภาพ ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ - เพิ่มตัวเลือกท็อปปิ้งหลากหลาย 3. กลยุทธ์ด้านการบริการ: - พัฒนาระบบการสั่งซื้อและชำระเงินให้สะดวก รวดเร็ว - เพิ่มบริการ Delivery - พัฒนาแอปพลิเคชัน All Café - ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า เน้นความเป็นมิตร และรวดเร็ว - พัฒนาทักษะการชงกาแฟของพนักงาน 4. กลยุทธ์ด้านการสื่อสาร: - สื่อสารถึงเหตุผลความจำเป็นในการปรับราคา - เน้นย้ำถึงคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า - ประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นและส่วนลดต่าง ๆ - สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดึงดูดลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย - ใช้ Influencer Marketing 5. กลยุทธ์ด้านความภักดี: - พัฒนาโปรแกรมสมาชิก All Member ให้มีสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดใจ - มอบรางวัลและของสมนาคุณแก่ลูกค้า - จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ตัวอย่างเพิ่มเติม: - 7-Eleven สามารถจับมือกับแบรนด์อื่น ๆ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น ร่วมโปรโมชั่นกับบัตรเครดิต, แลกคะแนนสะสม - พัฒนาเมนูพิเศษร่วมกับ Influencer - จัดกิจกรรม Workshop เกี่ยวกับกาแฟ - นำเสนอบริการ Subscription กาแฟ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: - รักษายอดขายและฐานลูกค้า All Café - สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า - ยกระดับแบรนด์ All Café - เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สรุป: 7-Eleven จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อรักษายอดขายและฐานลูกค้า All Café หมายเหตุ: กลยุทธ์เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่าง 7-Eleven ควรศึกษาข้อมูลตลาด พฤติกรรมลูกค้า และคู่แข่ง เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง นอกจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้ว 7-Eleven ยังต้อง: - ติดตามสถานการณ์ต้นทุนอย่างใกล้ชิด - ปรับกลยุทธ์ราคาและสินค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ - เน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ - พัฒนาช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ช่องทางออนไลน์ - ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ 7-Eleven จะสามารถรักษายอดขายและฐานลูกค้า All Café แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53497
Retail
กรุณาสรุปบทความ Makro พัฒนาแพลตฟอร์ม maknet ให้ผู้ประกอบการสั่งซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่นได้ง่ายๆ
สำหรับผู้ประกอบการ HoReCa ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ แล้วหนึ่งในความท้าทายในการคือการควบคุมต้นทุน โดยเฉพาะวัตถุดิบ ที่ในวันนี้กำลังได้รับผลกระทบอย่างมากจากทั้งเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้สต็อกสินค้าเป็นจำนวนมากสุ่มเสี่ยงยากต่อการบริหารจัดการต้นทุน ในขณะที่บางร้านการมีพื้นที่จำกัดคืออีกหนึ่งอุปสรรคในการสต็อกวัตถุดิบ “maknet” คือแพลตฟอร์ม B2B Marketplace หรือตลาดค้าส่งออนไลน์ ที่ Makro พี่ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของเมืองไทย ซุ่มพัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับและแก้ Pain Point ในยุคที่หลายธุรกิจมีบริการดีลิเวอรี่ได้ แต่ทำไมธุรกิจ HoReca ยังต้องสต็อกสินค้า และต้องออกไปซื้อสินค้าเองถึงแหล่งวัตถุดิบแบบเดิมๆเอง สร้างความยุ่งยากแก่ผู้ประกอบการอยู่ไม่น้อย แทนที่เอาเวลาไปพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น โดย “maknet” ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญแก่ให้ผู้ประกอบการ ในการสั่งซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า HoReCa ที่เป็นกลุ่มฐานลูกค้าหลักของทางค่าย ด้วยการชู 3 กลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการนั่นคือ “ซื้อง่าย-ของครบ-บริการดี” ที่ต้องเป็นมากกว่าคู่ค้า ไม่เพียงจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว แต่ยังมีบริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ประกอบการ เริ่มตั้งแต่คนที่คิดจะสร้างธุรกิจไปจนถึงเจ้าของกิจการที่ต้องการขยายธุรกิจ เรียกว่าครบจบในที่เดียว หรือ End to End Solution สำหรับความพิเศษของแพลตฟอร์ม Maknet คือรวบรวมของสดและอุปกรณ์หลากหลายครบจบในแอปพลิเคชั่นเดียว ไม่ว่าจะเป็น อาหารสด ทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์หลากหลายชนิด อุปกรณ์ทำอาหาร ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 50,000 รายการ จาก Supplier กว่า 1,000 ราย รวมถึงสินค้าของ Makro เอง ที่ทั้งสดใหม่และมีคุณภาพ ในราคาเดียวที่สาขา เรียกว่าคุ้มค่า เพื่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันยังเฟ้นหาสินค้าจาก Supplier รายใหม่ๆ ที่เป็นร้านท้องถิ่นเข้ามาในระบบ maknet มากขึ้น เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจไทยอีกทาง ตอนนี้ maknet เปิดให้บริการในโซนกรุงเทพฯ ตะวันตกและตะวันออก ผ่านฮับในการกระจายสินค้าหลักใน 2 จุดบริการที่ บางบอน และรังสิต ก่อนจะขยายทั่วกรุงเทพฯ ในไตรมาส 4 ของปีนี้ รวมถึงพัฒนาบริการอื่นๆ ให้มีความครบวงจรในแพลตฟอร์มมากขึ้นเพื่อเดินหน้าสู่เบอร์ 1 ในธุรกิจ B2B Marketplace Online ในอนาคต หลังจาก Brand Buffet ได้ทดลองใช้บริการแอปฯ “maknet” พบว่าการสั่งซื้อสินค้าทำได้ง่ายๆตาม 4 ขั้นตอน ได้แก่ “ดาวน์โหลด-เลือกสินค้า-หยิบใส่ตระกร้า-จ่ายเงิน” โดยแอปพลิเคชั่น maknet รองรับทั้ง iOS และ Android การใช้งานภายในแอปฯ มีการแบ่งหมวดหมู่ให้เลือกชัดเจน ทั้งอาหารแช่แข็ง ของสด ผักและผลไม้ อาหารแห้ง เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ เครื่องปรุงต่าง ๆ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งง่ายต่อการเลือกซื้อสินค้า หรือ สามารถเสิร์ซตามความต้องการด้วยเช่น ขณะที่สินค้าแต่ละรายการเองก็มี รายละเอียดครบถ้วน พร้อมระบุวันหมดอายุชัดเจน มีราคาและคุณภาพเดียวกับในห้างฯ ซึ่งตรงนี้เองจะตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องกังวลว่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จะมีการบวกราคาเพิ่มหรือไม่ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนของร้านค้าอีกทอด สำหรับการชำระเงินยังอำนวยความสะดวกด้วยการจ่ายเงินในระบบ Cashless โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ ทั้งผ่านบัตรเครดิต อีแบงกิ้ง และคิวอาร์โค้ด พร้อมกันนี้ยังออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ประกอบการอีกด้วย และสุดท้ายลูกค้าสามารถเลือกวันเวลาจัดส่งได้ตามความสะดวก หรือช่วงเวลาเปิด-ปิดร้านตามต้องการ ซึ่งสามารถส่งเร็วสุดภายในวันถัดไป maknet จึงนับเป็นอีกหนึ่งอาวุธทางการตลาดยุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ การทำธุรกิจ HoReCa ของผู้ประกอบการให้สามารถบริหารจัดการสินค้า โดยไม่ต้องสต็อกจำนวนมากๆเหมือนในอดีต หากแต่เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผู้ประกอบการ ได้บริหารจัดการสินค้า สั่งซื้อ เพื่อปรับลดต้นทุนให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ลดความยุ่งยากในการเดินทางซื้อสินค้าเข้าร้าน พร้อมช่วยให้ธุรกิจคล่องตัว เกิดเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆในยุคที่การค้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การซื้อมา-ขายไป หากแต่ยังต้องอาศัยการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดี เพื่อช่วยทรานส์ฟอร์มให้กลุ่มธุรกิจ HoReCa สามารถจัดการงานระบบหลังบ้านได้อย่างมี Productive มากขึ้น สำหรับร้านอาหาร หรือ ผู้ประกอบการรายใดที่สนใจสั่งวัตถุดิบจากแอปฯ maknet ก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ทั้งใน IOS , Android ที่ https://maknet.page.link/brandbuffet ช่วงนี้ทาง maknet ยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ใช้ใหม่ ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 65 เพียงใช้โค้ด MNTNEW ลดเลย 100.- พร้อมส่งฟรี (เมื่อสั่งขั้นต่ำ 1,500 บาท) เรียกว่าเอาใจลูกค้าแบบสุดๆ
Makro พัฒนาแพลตฟอร์ม maknet เพื่อเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม HoReCa สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่นได้ง่ายๆ โดยรวบรวมของสดและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้อย่างครบถ้วนตามนโยบายซื้อง่าย ของครบ บริการดี ทั้งอาหารสด ทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์หลากหลายชนิด อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งหมดกว่า 50,000 รายการ จาก Supplier กว่า 1,000 ราย ซึ่งรวมสินค้าของ Makro เองด้วย เปิดให้บริการในโซนกรุงเทพฯ ตะวันตกและตะวันออก ผ่านฮับในการกระจายสินค้าหลัก 2 จุดบริการ คือบางบอน และรังสิต รวมทั้งตั้งเป้าจะขยายทั่วกรุงเทพฯ ในไตรมาส 4 ของปีนี้ สำหรับการสั่งซื้อสินค้าผ่าน แพลตฟอร์ม maknet ก็ทำได้ง่ายๆ แค่ 4 ขั้นตอน ได้แก่ “ดาวน์โหลด-เลือกสินค้า-หยิบใส่ตระกร้า-จ่ายเงิน โดยแพลตฟอร์มรองรับทั้ง iOS และ Android สำหรับการชำระเงินก็สะดวกด้วยการจ่ายเงินในระบบ Cashless เลือกได้ว่าจะจ่ายผ่านบัตรเครดิต อีแบงกิ้ง หรือคิวอาร์โค้ด และยังออกใบกำกับภาษีให้ผู้ประกอบการด้วย ที่สำคัญผู้ประกอบการสามารถเลือกวันเวลาจัดส่งได้ตามความสะดวก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53498
Retail
สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT อัพเดทตัวเลขงบโฆษณาดิจิทัล ปี 2022 ถือว่าต่ำสุดในรอบ 11 ปี ใช่หรือไม่
null
ใช่ สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT อัพเดทตัวเลขงบโฆษณาดิจิทัล ปี 2022 ครึ่งปีแรกมีมูลค่า 13,009 ล้านบาท คาดการณ์ครึ่งหลังมูลค่าอยู่ที่ 13,614 ล้านบาท รวมทั้งปีมีมูลค่า 26,623 ล้านบาท เติบโต 7% หากดูตัวเลขการเติบโตที่ 7% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งก่อนหน้านี้เติบโตในระดับ 2 หลักต่อเนื่อง แม้ในปี 2020 ที่เจอสถานการณ์โควิด โฆษณาดิจิทัลยังเติบโตได้ถึง 8% แม้เศรษฐกิจปีนี้จะมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังโควิด แต่ก็ยังมีปัจจัยลบจากต้นทุนการผลิตที่สูงและภาวะเงินเฟ้อ แม้สื่อดิจิทัลจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าสื่ออื่น ๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากผลกระทบเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของตัวเลขคาดการณ์การเติบโตเพียง 7% อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 4 ยังต้องติดตาม เพราะเป็นช่วงที่หลายธุรกิจ เช่น อีคอมเมิร์ซ จะใช้งบประมาณมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้โฆษณาดิจิทัลเติบโตมากกว่าที่คาด ปี 2022 ถือเป็นปีแรกที่ DAAT เก็บข้อมูลโฆษณาในนามของ Meta โดยรวมทั้ง “เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม” เข้าด้วยกัน เนื่องจากปกติการซื้อโฆษณาจะรวมกัน ทำให้สัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ที่ผ่านมา “เฟซบุ๊ก” ครองตำแหน่งสื่อโฆษณาดิจิทัลอันดับ 1 มาโดยตลอด เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผู้ใช้งานออนไลน์เกือบ 100% ส่วน TikTok มีการเติบโตสูงสุดจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานถึง 42 ล้านคน และใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มมากขึ้น TikTok ยังเริ่มมีการทำการค้า เช่น TikTok Shop, live shopping ads และ collection ads ซึ่งทำให้เป็นช่องทางการตลาดที่น่าสนใจมากขึ้น ปัจจัยที่ทำให้สื่อโฆษณาดิจิทัลมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องมาจากการตอบโจทย์ด้านการตลาดในทุกมิติ เช่น การใช้สื่อดิจิทัลเพื่อสร้างการรับรู้ ซึ่งเดิมมีสัดส่วนการใช้งบประมาณอยู่ที่ราว 20% แต่ปัจจุบันบางธุรกิจหันมาใช้สื่อดิจิทัลเกือบ 80-100% เนื่องจากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มาก เพราะประชากรไทย 77.8% ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำ เฉลี่ย 9 ชั่วโมงต่อวัน วันนี้ คนไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัวแล้ว
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53502
Retail
ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้บริโภคมีแนวโน้มรัดกุมการใช้จ่ายมากขึ้น Jubilee จะใช้กลยุทธ์ Customer Centric ผสาน Digital Transformation อย่างไร เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายธุรกิจ
null
กลยุทธ์ Customer Centric ผสาน Digital Transformation ที่ Jubilee สามารถนำมาใช้เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายธุรกิจ มีดังนี้: 1. พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าด้วย AI เพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างลึกซึ้ง พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่น คอลเล็กชั่นพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มนักสะสมเพชรระดับบน หรือ เพชรราคาประหยัดสำหรับลูกค้ากลุ่มนักศึกษา นำเสนอตัวเลือกสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พัฒนาบริการเสริม เช่น บริการออกแบบเครื่องประดับตามสั่ง บริการรับซื้อคืน บริการซ่อมแซม 2. มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: พัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบ Omnichannel มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น สะดวก รวดเร็ว พัฒนาระบบ CRM เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้าและมอบบริการที่ Personalized นำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงใจลูกค้า พัฒนาบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ 3. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: นำ AI มาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจและสนับสนุนการตัดสินใจ พัฒนาระบบการจัดการสินค้าคงคลังและระบบการจัดส่งสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดต้นทุนการดำเนินงาน 4. ขยายฐานลูกค้า: ขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น กลุ่มลูกค้าต่างประเทศ พัฒนาแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและจดจำ เข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ ตัวอย่างเพิ่มเติม: Jubilee สามารถจับมือกับ Influencer หรือ KOL ในการโปรโมทสินค้า พัฒนา Content Marketing ดึงดูดลูกค้า จัดกิจกรรม Workshop เกี่ยวกับเพชร นำเสนอบริการ Subscription เครื่องประดับ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: รักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มยอดขาย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สรุป: กลยุทธ์ Customer Centric ผสาน Digital Transformation จะช่วยให้ Jubilee เข้าใจความต้องการของลูกค้าและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้ว Jubilee ยังต้อง: ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็น ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ Jubilee จะสามารถรักษาฐานลูกค้าและขยายธุรกิจในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53504
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....สามย่านมิตรทาวน์เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า แต่เป็นพื้นที่แห่งเสียงหัวเราะ ความรู้ และมิตรภาพ ที่นี่มีครบทุกอย่างสำหรับทุกคน เหมาะกับการมาทานอาหาร ช้อปปิ้ง อ่านหนังสือ เรียนรู้ ทำงาน และพักผ่อนหย่อนใจ
null
สามย่านมิตรทาวน์: พื้นที่แห่งเสียงหัวเราะ ความรู้ และมิตรภาพ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนถนนพระราม 4 ที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสูงระฟ้า ห้างสรรพสินค้า และร้านค้ามากมาย ยังมีพื้นที่แห่งหนึ่งที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร นั่นคือ "สามย่านมิตรทาวน์" "มายด์" นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังเดินเล่นในสามย่านมิตรทาวน์กับ "เบลล์" เพื่อนสนิท ทั้งคู่กำลังมองหาร้านอาหารอร่อยๆ ทานมื้อเที่ยง "เบลล์ แกอยากกินอะไรอ่ะ?" มายด์เอ่ยถาม "ไม่รู้เหมือนกัน แกเลือกเลย" เบลล์ตอบ มายด์จูงมือเบลล์เดินผ่านร้านอาหารมากมาย แต่ละร้านมีบรรยากาศและอาหารที่แตกต่างกันไป มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี และอาหารนานาชาติอื่นๆ อีกมากมาย "ร้านนี้ดูน่าสนใจดีนะ" มายด์ชี้ไปที่ร้านอาหารไทยชื่อดัง "โอเค ไปลองดูกัน" เบลล์ตอบ ทั้งสองคนเดินเข้าร้านและสั่งอาหาร มายด์สั่งต้มยำกุ้ง เบลล์สั่งแกงเขียวหวานไก "อาหารที่นี่อร่อยมากเลย" มายด์พูด "ใช่ อร่อยจริงๆ" เบลล์เห็นด้วย หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งสองคนเดินเล่นต่อ มายด์เห็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ เลยชวนเบลล์เข้าไปดู "แกชอบอ่านหนังสือไหม?" มายด์ถาม "ชอบสิ โดยเฉพาะนิยาย" เบลล์ตอบ มายด์เดินไปที่ชั้นวางนิยาย เลือกนิยายโรแมนติกมาหนึ่งเล่ม เบลล์เลือกนิยายสืบสวนสอบสวนมาหนึ่งเล่ม "แกอ่านนิยายแนวไหน?" เบลล์ถาม "ฉันชอบอ่านนิยายโรแมนติก มันทำให้ฉันรู้สึกฟิน" มายด์ตอบ "ฉันชอบอ่านนิยายสืบสวนสอบสวน มันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น" เบลล์ตอบ ทั้งสองคนอ่านหนังสือด้วยกันในร้านหนังสือ รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข "ที่นี่มีหนังสือน่าสนใจเยอะมากเลย" มายด์พูด "ใช่ มีครบทุกประเภทเลย" เบลล์ตอบ หลังจากอ่านหนังสือเสร็จ ทั้งสองคนเดินไปที่โซนกิจกรรม มายด์เห็นโปสเตอร์งานเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการวาดภาพ เลยชวนเบลล์ไปร่วม "แกเคยเรียนวาดรูปไหม?" มายด์ถาม "เคยเรียนตอนเด็กๆ" เบลล์ตอบ "ลองไปดูกันเถอะ น่าสนุกดี" มายด์พูด ทั้งสองคนเข้าร่วมเวิร์คช็อป รู้สึกสนุกสนานและได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ในการวาดภาพ "ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะวาดรูปได้สวยขนาดนี้" มายด์พูด "ฉันก็เหมือนกัน" เบลล์ตอบ หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม ทั้งสองคนรู้สึกเหนื่อย เลยไปหาที่นั่งพัก มายด์เห็นโซน Co-working space เลยชวนเบลล์ไปนั่ง "ที่นี่บรรยากาศดีนะ เหมาะกับการทำงาน" มายด์พูด "ใช่ เงียบสงบดี" เบลล์ตอบ ทั้งสองคนนั่งทำงานด้วยกัน รู้สึกมีสมาธิและ productive "ที่นี่มีครบทุกอย่างเลยนะ" มายด์พูด "ใช่ มีทั้งอาหาร ร้านหนังสือ กิจกรรม และพื้นที่ทำงาน" เบลล์ตอบ "ฉันชอบที่นี่มากเลย" มายด์พูด "ฉันก็เหมือนกัน" เบลล์ตอบ ทั้งสองคนยิ้มให้กัน รู้สึกมีความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53506
Retail
ธุรกิจค้าปลีกจะรับมือกับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ได้อย่างไร?
null
ธุรกิจค้าปลีกเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 ค่อนข้างมาก เนื่องจากธุรกิจนี้มีต้นทุนแรงงานในสัดส่วนสูง ประกอบกับการเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว แนวทางการรับมือ: 1. ปรับกลยุทธ์ด้านราคา: - วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนและราคาขายสินค้าอย่างละเอียด - พิจารณาปรับราคาสินค้าบางรายการขึ้นอย่างเหมาะสม - ออกแบบโปรโมชั่นและส่วนลดดึงดูดลูกค้า - เน้นการนำเสนอสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง 2. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: - ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น ระบบ POS อัตโนมัติ - ปรับรูปแบบการจัดการคลังสินค้า - ทบทวนกระบวนการทำงานเพื่อลดขั้นตอนที่ไม่จเป็น - พัฒนาทักษะพนักงานให้สามารถทำงานได้หลากหลาย 3. ขยายช่องทางจำหน่าย: - มุ่งเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ - พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง - ร่วมมือกับแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส - ขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพ 4. บริหารจัดการต้นทุน: - ทบทวนค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด - เจรจาต่อรองกับคู่ค้าเพื่อลดต้นทุนสินค้า - มองหาโอกาสในการลดต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าเช่า ค่าไฟ 5. พัฒนากลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล: - ทบทวนโครงสร้างเงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน - พัฒนาระบบการจูงใจที่มีประสิทธิภาพ - เน้นการจ้างงานพนักงานที่มีทักษะและประสบการณ์ - ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของพนักงาน ตัวอย่างกรณีศึกษา: - ห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่งปรับกลยุทธ์โดยเน้นการนำเสนอสินค้ากลุ่มพรีเมียมและสินค้าแบรนด์ตัวเองที่มีมาร์จิ้นสูง - ร้านสะดวกซื้อบางแห่งหันมาพัฒนาระบบสั่งซือสินค้าออนไลน์และบริการเดลิเวอรี่ - ธุรกิจค้าปลีกขนาดย่อยหลายแห่งรวมกลุ่มกันเพื่อต่อรองราคาสินค้ากับคู่ค้า บทสรุป: ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์อย่างรอบด้านเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปี 2565 การมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขยายช่องทางจำหน่าย บริหารจัดการต้นทุน และพัฒนากลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล จะเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53510
Retail
ช่วยสรุปบทความ เปิดตัวฤดูกาลใหม่ครั้งแรกกีวีสีทอง “เซสปรี” กับพันธมิตรค้าปลีก
นายซามูเอลล์ ฮาลีย์ จอห์น ไวท์ (Mr. Samuel Haley John White, Country Manager-Thailand) เผยว่า “เซสปรีกีวีเราคือแบรนด์กีวีชั้นนำระดับโลกที่คู่ค้าและผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นในเรื่องของคุณภาพและรสชาติที่แตกต่าง ด้วยผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสร้างยอดขายอยู่ที่ 3.14 พันล้านบาทและตั้งเป้าเติบโตขึ้นเป็น 4.5 พันล้านบาทในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์หลักในการจัดสรรพื้นที่การเพาะปลูกในประเทศนิวซีแลนด์เพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่องร่วมกับเกษตรกรชาวท้องถิ่นกว่า 2,800 รายและพื้นที่อื่นๆ รอบโลกอีก 1,500 รายเพื่อผลิตกีวีคุณภาพภายใต้นวัตกรรมและมาตรฐานของเซสปรี
นายซามูเอลล์ ฮาลีย์ จอห์น, Country Manager-Thailand ของเซสปรี, เปิดเผยว่า เซสปรีกีวีเป็นแบรนด์กีวีชั้นนำระดับโลกที่มีคุณภาพและรสชาติที่แตกต่าง มียอดขายปัจจุบันที่ 3.14 พันล้านบาท และเป้าหมายเติบโตเป็น 4.5 พันล้านบาทในปี 2568 โดยกลยุทธ์หลักคือการเพิ่มผลผลิตจากการเพาะปลูกในนิวซีแลนด์ ร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่นและพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อผลิตกีวีคุณภาพที่ประกอบด้วยนวัตกรรมและมาตรฐานของเซสปรี
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53516
Retail
AIS 5G Present Blooming Verse Virtual Runway Show ส่งผลต่อวงการค้าปลีกอย่างไร?
null
AIS 5G Present Blooming Verse Virtual Runway Show ส่งผลต่อวงการค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง: - เทคโนโลยี VR ช่วยให้ลูกค้าสามารถสัมผัสสินค้าเสมือนจริง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่หน้าร้าน - ลูกค้าสามารถลองเสื้อผ้าเสมือนจริง ผ่านเทคโนโลยี AR - ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับสินค้าและแบรนด์ได้มากขึ้น ผ่านกิจกรรมเสมือนจริง 2. ขยายฐานลูกค้า: - แฟชั่นโชว์ในโลกเสมือน ช่วยให้ลูกค้าจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ - ช่วยให้แบรนด์ไทยมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ - เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า 3. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: - แบรนด์สามารถใช้เทคโนโลยี VR และ AR ในการออกแบบสินค้า พัฒนาสินค้า และทดสอบสินค้า - เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนการผลิต - เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ 4. เปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีก: - เทคโนโลยี VR และ AR จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้าปลีก - ร้านค้าจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ - เกิดรูปแบบการค้าปลีกแบบใหม่ เช่น Virtual Store 5. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: - เทคโนโลยี VR และ AR ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเติบโต - เกิดการจ้างงานใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ตัวอย่าง: - แบรนด์เสื้อผ้าสามารถจัดแฟชั่นโชว์ในโลกเสมือนจริง ลูกค้าสามารถชมแฟชั่นโชว์แบบ 360 องศา และสามารถคลิกซื้อสินค้าที่ชื่นชอบได้ทันที - ห้างสรรพสินค้าสามารถเปิด Virtual Store ลูกค้าสามารถเดินชมสินค้าเสมือนจริง และสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ - แบรนด์เครื่องสำอางสามารถใช้เทคโนโลยี AR ให้ลูกค้าลองแต่งหน้าเสมือนจริงก่อนซื้อ โดยสรุป: AIS 5G Present Blooming Verse Virtual Runway Show เป็นการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในธุรกิจค้าปลีก ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกไทยเติบโต ขยายฐานลูกค้า เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีก และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53519
Retail
อุตสาหกรรม Wellness ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ OR ให้ความสนใจ เนื่องจากอะไร
คุณราชสุดา รังสิยากูล OR ลงทุนใน GoWabi ขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ (Wellness) เพื่อตอบโจทย์วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนอย่างครบวงจร (One-Stop Solution for All Lifestyle) สอดรับกับแนวโน้มพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR โดย บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด หรือ Modulus ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ OR ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ บริษัท โกวาบิ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform) ที่เชื่อมต่อบริการด้านสุขภาพและความงาม โดยผู้ใช้บริการสามารถค้นหาบริการ อ่านรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจ สั่งซื้อ e-Voucher หรือจองบริการผ่านออนไลน์ ซึ่ง OR เข้าลงทุนในการระดมทุนรอบนี้ เป็นจำนวน 4 ล้านเหรียญสหรัฐ คุณราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการโครงการ ORion บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า OR มีกลยุทธ์ในการต่อยอดธุรกิจใหม่จากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันโดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อให้กับผู้บริโภคด้วยการเชื่อมต่อธุรกิจจากออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์ (Offline-to-Online: O2O) ขยายขีดความสามารถของ OR ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยอุตสาหกรรม Wellness ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ OR ให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าตลาดและอัตราการเติบโตสูง อีกทั้งยังสอดรับกับแนวโน้มพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต GoWabi ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้บริการสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มแพลตฟอร์มที่ให้บริการค้นหาและจองบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ โดยมีจำนวนผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม (Monthly Active User: MAU) มากกว่า 500,000 รายต่อเดือน และมีร้านค้าที่ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มกว่า 5,000 ร้าน การเติบโตร่วมกันระหว่าง GoWabi และ OR จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ให้บริการด้าน Wellness ซึ่งเป็นคู่ค้าส่วนใหญ่ของ GoWabi มีโอกาสเติบโตมากขึ้นด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ OR ในการ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” หรือ Empowering All toward Inclusive Growth คุณซาเมียร์ เซอร์โร (CEO & Co-Founder) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกวาบิ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า GoWabi มีเป้าหมายในการเป็นผู้นำอันดับ 1 ของแพลตฟอร์มการจองบริการด้านความงามในเอเชียตะวันเฉียงใต้ ปัจจุบัน GoWabi ครอบคลุมการจองบริการในหลากหลายประเภท อาทิ คลินิกเสริมความงาม ร้านนวดและสปา ร้านเสริมสวยทำผม ร้านตกแต่งคิ้วและต่อขนตา ร้านทำเล็บ ร้านกำจัดขน คลินิกทำฟัน เป็นต้น นอกจากนี้ในช่วงปีที่ผ่านมายังได้เพิ่มการให้บริการทางการแพทย์ การขายบัตรกำนัลฟิตเนส การขายผลิตภัณฑ์ความงาม บริการสำหรับสัตว์เลี้ยง และการบริการแบบส่งตรงถึงบ้าน (At-home delivery) ทำให้ GoWabi ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ได้แม้ในช่วง Lock down โดย GoWabi ยังมีแผนการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการเพิ่มประเภทของธุรกิจที่จะเข้ามาให้บริการบนแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีแผนการให้บริการระบบ POS รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ สำหรับร้านค้าต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มเพื่อช่วยให้ร้านค้าสามารถบริหารจัดการการขายได้สะดวกมากขึ้น การเข้าร่วมลงทุนของ OR ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง OR และ GoWabi บนเครือข่ายทั้งออฟไลน์แพลตฟอร์มและออนไลน์แพลตฟอร์มของ OR รวมถึงสร้างการเติบโตในออนไลน์แพลตฟอร์มของ GoWabi ได้เป็นอย่างดี
อุตสาหกรรม Wellness ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ OR ให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าตลาดและอัตราการเติบโตสูง อีกทั้งยังสอดรับกับแนวโน้มพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53521
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "ผลการศึกษางานวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคประจำปี 2022 หัวข้อ Consumers Untold" ให้หน่อยค่ะ
ในงานสัมมนาการตลาด GroupM FOCAL 2022 คุณณัฐวีร์ ณีว มาวิจักขณ์ หุ้นส่วนผู้บริหาร และ คุณแพน จรุงธนาภิบาล ผู้อำนวยการแผนกพัฒนาและการตลาด กรุ๊ปเอ็ม (ประเทศไทย) ได้นำเสนอผลการศึกษางานวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคประจำปี 2022 หัวข้อ Consumers Untold อัพเดทการเปลี่ยนแปลง 3 เรื่อง คือ การใช้ชีวิต การใช้จ่าย และการเสพสื่อ สรุปได้ดังนี้ 1. Life การใช้ชีวิต ปัจจุบันชัดเจนว่าโควิดคลี่คลายแล้ว หลังจากอยู่ในสถานการณ์ต้อง “เอาตัวรอด” ในช่วง 2 ปีโควิด มาปีนี้เข้าสู่ Next Normal แต่ก็ยังเจอปัญหาการใช้ชีวิต 2 เรื่องหลัก 1. เคราะห์ซ้ำกรรมซัด (Repetitive Misfortune) หลังเจอโควิดมา 2 ปี มีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ยังมีปัญหารายได้ลดลง แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้ คือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากราคาพลังงานน้ำมันปรับตัวสูง ดังนั้นการจะไปจับจ่ายสินค้าแต่ละครั้งจึงเลือกซื้อใกล้บ้าน การไปห้างแต่ละครั้งต้องวางแผนล่วงหน้า เพื่อลดค่าใช้จ่ายการเดินทางจากน้ำมันราคาแพง อีกปัญหาคือแก๊ง Call Center ที่ผู้บริโภคเห็นว่าตอนนี้ก็มีปัญหาเรื่องรายได้ลดลงอยู่แล้ว ยังต้องเจอแก๊ง Call Center หลอกลวงอีก ทำให้ต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม 2. เศรษฐกิจฝืดเคือง (Recession Coming) หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้าลง เกิดมาจากหลายสาเหตุ หลัก ๆ จากการที่คนไทยตกงาน ทำให้ไม่มีรายได้จึงไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ปกติ ดังนั้นการใช้จ่ายช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือการใช้เงินเก็บและบางคนใช้เงินเก็บจนหมดแล้ว ขณะที่รายได้ยังไม่กลับมาเท่าเดิมเหมือนก่อนโควิด การใช้จ่ายเงินจึงแทบจะเป็นแบบวันต่อวัน ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกับคนไทยทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ต้องเจอกับสินค้าราคาแพงขึ้น ขณะที่รายได้ลดลงจึงใช้ชีวิตยากขึ้น ส่วนใหญ่ต้องหารายได้เสริม เช่น ไรเดอร์ แต่ก็มีรายได้ลดลงอีกจากการถูกตัดค่ารอบส่ง ขณะที่มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นจากน้ำมันแพง ทำให้การออกไปใช้ชีวิตปกติลำบากขึ้น “คนกลัวที่จะมีหนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะใช้หนี้อย่างไร จึงอยู่ในโหมดประหยัด รัดเข็มขัดและหารายได้เพิ่ม” เมื่อคนมีรายได้ลดลง สถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังไม่แน่นอน ไม่รู้จะลงทุนอะไร หรือทำอย่างไรกับชีวิต สิ่งที่ตามมา คือ รู้สึกกดดันกับการใช้ชีวิต ไม่มีความสุข (Unhappy) เริ่มหาวิถีการใช้ชีวิตใหม่ ๆ จากเดิมที่ต้องการอยู่เมืองใหญ่ที่สะดวกสบาย แต่วันนี้ต้องการหนีเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ กลับไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด เพื่อลดความเครียด หาโอกาสใหม่ ๆ ช่องทางการค้าขาย ลดค่าใช้จ่าย และอยู่กับครอบครัว แม้คนส่วนใหญ่จะกลับไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัดช่วงโควิด แต่ก็ยังติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งข่าวส่วนกลางที่สามารถกำหนดทิศทางชีวิตและเศรษฐกิจประเทศไทย เห็นได้จากคนทั่วประเทศติดตามข่าวเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะเห็นว่าหากผู้ว่าฯ ทำให้กรุงเทพฯ ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่นๆ ดีขึ้นตามไปด้วย เป็นการ Set Standard ให้จังหวัดอื่น ๆ รวมทั้งการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป 2. Money การใช้เงิน หากดูการใช้เงินของคนในยุคนี้ มาในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น เห็นได้ว่าทุกกลุ่มตั้งแต่วัยเกษียณถึงวัยเด็กมีความพร้อมใช้ Digital Wallet ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เป็น Game Changer คือโครงการ “คนละครึ่ง” และแอป “เป๋าตัง” ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คนที่ไม่เคยใช้ Digital Wallet มาก่อนยอมใช้ ทั้งประชาชนทั่วไป รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้ามีรายได้มากขึ้นในช่วงที่มีโครงการคนละครึ่ง พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล แม้อยู่ในภาวะรายได้ลดลง เน้นไปที่สินค้าราคาถูก 200-300 บาท โดยซื้อผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ แม้ไม่แน่ใจว่าจะได้สินค้าตรงปกหรือไม่ แต่ก็กล้าเสี่ยง หากไม่ถูกใจก็จะไม่กลับไปซื้ออีก ส่วนสินค้าที่มีราคาสูงหลัก 1,000 บาทขึ้นไป จะซื้อผ่านมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ อย่าง Lazada Shopee เพราะเห็นว่าน่าเชื่อถือและติดตามได้หากมีปัญหา จากพฤติกรรมการจับจ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล สิ่งที่น่าสนใจในการทำตลาดและขายมี 2 เรื่อง 1. แบรนด์และนักการตลาดต้องสร้างบทสนทนา (Conversation) กับลูกค้า เช่น การ Live ขายสินค้า ต้องมี Call Center ให้สอบถามข้อมูลหากสินค้ามีปัญหา การใช้ AI หรือ chatbot คุยกับลูกค้าบางครั้งไม่สามารถแก้ปัญหาให้ได้และมีโอกาสเสียลูกค้าได้ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ผู้บริโภคมองว่าการได้พูดคุยกับคนสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่า AI และ chatbot 2. เดลิเวอรี่ต้องทำต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันผู้บริโภคกลับมาเดินทางใช้ชีวิตปกติแล้ว แต่ยังคุ้นเคยกับความสะดวกสบายจากบริการเดลิเวอรี่ เห็นได้ว่ามีขยายการใช้บริการเพิ่มจากฟู้ด เดลิเวอรี่ ไปเป็นอีคอมเมิร์ซ สั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากห้างให้มาส่งบ้านเป็นอีกบริการความสะดวกสบาย (New Convenient) เช่น Grab Mart วันนี้บริการเดลิเวอรี่จึงมีครบวงจรทุกการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องจับตามอง เพราะผู้บริโภคไม่ต้องการเสียเวลาออกจากบ้าน ที่มีค่าใช้จ่ายการเดินทาง ค่าน้ำมันรถเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมไปซื้อสินค้าจากร้านที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อลดการเดินทาง มีร้านค้ารับบัตรสวัสดิการรัฐ โครงการคนละครึ่ง ส่วนใหญ่เป็นการซื้อของสด สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ชิ้นเล็ก การเดินทางไปห้างแต่ละครั้งจะวางแผนซื้อสินค้าครั้งละมากๆ ซื้อของชิ้นใหญ่ เพื่อให้คุ้มกับค่าเดินทางและจะไม่ไปห้างบ่อย การใช้เงินของผู้บริโภคไทยวันนี้เป็นการซื้อตามเงินในกระเป๋า แคมเปญดับเบิลเดย์ลดราคาสินค้า ไม่สำคัญเท่าวันเงินเดือนออก เป็นวันที่ซื้อของมากที่สุด เพราะซื้อครั้งเดียวแล้วจบ ไม่ต้องไปบ่อยๆ ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง การใช้เงินของผู้บริโภคไทยวันนี้เป็นการซื้อตามเงินในกระเป๋า แคมเปญดับเบิลเดย์ลดราคาสินค้า ไม่สำคัญเท่าวันเงินเดือนออก เป็นวันที่ซื้อของมากที่สุด เพราะซื้อครั้งเดียวแล้วจบ ไม่ต้องไปบ่อยๆ ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง 3. Media การเสพสื่อ พฤติกรรมการบริโภคสื่อปีนี้ พบว่าผู้บริโภคทุกช่วงอายุสามารถเข้าถึงคอนเทนท์ออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียได้ไม่ต่างกัน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น วัยทำงานหรือผู้สูงวัยมีการเสพสื่อผ่านแพลตฟอร์มสลับไปมาอย่างไม่มีรูปแบบตายตัวอีกต่อไป ด้านพฤติกรรมเสพสื่อของคนไทยวันนี้เป็น The World of Screen ไปแล้ว โดยมี 2 จอหลัก จอใหญ่ : สมาร์ททีวี สำหรับดูคอนเทนท์ ประเภทถ่ายทอดสดกีฬา ภาพยนตร์ ข่าวสำคัญอย่างการเลือกตั้ง การประชุมรัฐสภา ข่าวที่ต้องการรายละเอียด อย่างข่าวเศรษฐกิจ สงคราม จอเล็ก : มือถือ เป็นรูปแบบการดูข่าวด่วน ข่าวกระแส คอนเทนท์สั้น สนุก TikTok Reel นิยาย การ์ตูน (ดิจิทัลบุ๊ก) เกม (คนทุกวัยเล่นเกมเพื่อความบันเทิง) “ปีนี้พูดได้ว่าโลกการเสพสื่อเป็นของ Screen ทั้งสมาร์ททีวีและแอปพลิเคชั่น”
ผลการศึกษางานวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคประจำปี 2022 หัวข้อ Consumers Untold 1. เจอปัญหาการใช้ชีวิต 2 เรื่อง คือ ปัญหารายได้ลดลงแต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจฝืดเคืองจากการตกงาน ทำให้ไม่มีรายได้ กดดันกับการใช้ชีวิต ไม่มีความสุข ต้องการหนีเมืองใหญ่กลับไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด 2. การใช้เงินยุคนี้เป็นรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น จากโครงการคนละครึ่ง และแอพพลิเคชันเป๋าตัง ทำให้ประชาชนและพ่อค้าแม่ค้ามีรายได้มากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ แบรนด์สร้างบทสนทนากับลูกค้าและบริการเดลิเวอรี่ที่ทำอย่างต่อเนื่อง 3. ผู้บริโภคทุกช่วงวัยเข้าถึงคอนเทนท์ออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย พฤติกรรมเสพสื่อของคนไทยเป็น The World of Screen 2 จอหลักคือ สมาร์ททีวี สำหรับดูคอนเทนท์ ข่าวสำคัญและข่าวที่ต้องการรายละเอียด และจอมือถือ สำหรับดูข่าวกระแส คอนเทนท์สั้น TikTok Reel ดิจิทัลบุ๊ก เกม
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53522
Retail
จากกรณี Blendata ผนึกกำลัง Esri Thailand พัฒนาโซลูชัน Big Data และ GIS ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำโซลูชันนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างไรบ้าง
null
ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำโซลูชัน Big Data และ GIS จาก Blendata และ Esri Thailand ไปประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ได้หลายวิธี ดังนี้: 1. วิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง: วิเคราะห์ความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ต่างๆ เพื่อหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดสาขาใหม่ วิเคราะห์รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเลือกสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า วิเคราะห์คู่แข่งในพื้นที่ต่างๆ เพื่อวางกลยุทธ์การแข่งขัน 2. วิเคราะห์การเดินทางของลูกค้า: วิเคราะห์รูปแบบการเดินทางของลูกค้าเพื่อวางแผนเส้นทางการขนส่งสินค้า วิเคราะห์เวลาในการเดินทางของลูกค้าเพื่อวางแผนเวลาเปิดปิดร้าน วิเคราะห์จุดที่ลูกค้าใช้เวลานานเพื่อปรับปรุงการจัดวางสินค้าในร้าน 3. วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด: วิเคราะห์พื้นที่ที่แคมเปญการตลาดมีประสิทธิภาพมากที่สุด วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่ตอบสนองต่อแคมเปญการตลาด วิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญการตลาด 4. วิเคราะห์ความเสี่ยง: วิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ออาชญากรรม วิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ วิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด ตัวอย่างการประยุกต์ใช้โซลูชัน Big Data และ GIS: ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งต้องการหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดสาขาใหม่ ห้างสรรพสินค้าสามารถใช้โซลูชัน Big Data และ GIS เพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นของประชากร รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คน และคู่แข่งในพื้นที่ต่างๆ ร้านค้าปลีกออนไลน์ต้องการวิเคราะห์รูปแบบการเดินทางของลูกค้า ร้านค้าสามารถใช้โซลูชัน Big Data และ GIS เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการจัดส่งสินค้า ธุรกิจค้าปลีกต้องการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด ธุรกิจสามารถใช้โซลูชัน Big Data และ GIS เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการขาย โซลูชัน Big Data และ GIS จาก Blendata และ Esri Thailand ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มผลกำไร นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกยังควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี Big Data และ GIS เพื่อหาแนวทางการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสมกับธุรกิจ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53523
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ จำเป็นต้องศึกษาข้อมูล วัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างละเอียด
null
อาณาจักรเซ็นทรัล บนเวทีค้าปลีกยุโรป ณ ใจกลางกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจส (Selfridges) ตระหง่านโดดเด่นดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ภายใต้หลังคานี้ เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำ ร้านอาหารหรู และบริการระดับพรีเมียม น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ห้างสรรพสินค้าอันเก่าแก่แห่งนี้ กำลังอยู่ในมือของกลุ่มเซ็นทรัล ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกจากประเทศไทย ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลจิราธิวัฒน์ นั่งมองวิวเมืองลอนดอนจากชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ยุโรปคือตลาดสำคัญของเรา” เขาคิด “เราต้องสร้างอาณาจักรเซ็นทรัลให้แผ่ขยายไปทั่วทวีปนี้” ทศเริ่มต้นแผนการขยายธุรกิจในยุโรปเมื่อ 11 ปีก่อน ด้วยการเข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต (La Rinascente) ในประเทศอิตาลี “รีนาเชนเตเป็นเหมือนกุญแจดอกแรกที่ไขประตูสู่ตลาดยุโรป” เขาอธิบาย “มันทำให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค และกลยุทธ์การทำธุรกิจในยุโรป” หลังจากนั้น ทศก็เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เขาเข้าซื้อห้างสรรพสินค้าอิลลุม (Illum) ในเดนมาร์ก ร่วมทุนกับซิกน่า (Signa) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) อัลสแตร์เฮาส์ (Alsterhaus) และโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) ในเยอรมนี และล่าสุด เขาเพิ่งปิดดีลเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส (Selfridges Group) “การเข้าซื้อกิจการเซลฟริดเจส เป็นก้าวสำคัญของเรา” ทศกล่าว “มันทำให้เรามีห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรปถึง 45 แห่ง ครอบคลุม 8 ประเทศ” “นี่คืออาณาจักรของเรา อาณาจักรเซ็นทรัล” ทศรู้ดีว่า การทำธุรกิจในยุโรปนั้นไม่ง่าย เขาต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง กฎระเบียบที่ยุ่งยาก และวัฒนธรรมที่แตกต่าง “แต่เราพร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรค” เขาพูดด้วยความมั่นใจ “เรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เรามีทีมที่แข็งแกร่ง และเรามีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ” “เราจะสร้างอาณาจักรเซ็นทรัลให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป” “และเราจะทำให้คนทั้งโลกต้องรู้จักชื่อของเรา”
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53524
Retail
กลยุทธ์การขยายสาขาของ 7-Eleven ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
กลยุทธ์การขยายสาขาของ 7-Eleven ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า: -7-Eleven มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวก -7-Eleven เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทุกเวลา -7-Eleven ตั้งอยู่ในทำเลที่มีคนพลุกพล่าน ทำให้ลูกค้ามีโอกาสเห็นสินค้าและบริการของ 7-Eleven อยู่เสมอ 2. เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด: -7-Eleven เป็นร้านสะดวกซื้อที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศไทย -7-Eleven มีสินค้าหลากหลายประเภท ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า -7-Eleven มีบริการเสริมต่างๆ เช่น บริการชำระค่าบิล บริการเติมเงิน ทำให้ลูกค้าสะดวก 3. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: -7-Eleven เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการรายย่อย -7-Eleven มีการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ดึงดูดลูกค้า -7-Eleven มีระบบการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพ 4. เพิ่มการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก: -7-Eleven เป็นคู่แข่งที่สำคัญของร้านสะดวกซื้อรายอื่น -7-Eleven มีการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ -7-Eleven มีการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจกาแฟ 5. เปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีก: -7-Eleven เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศไทย -7-Eleven เปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีกแบบดั้งเดิม -7-Eleven มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตัวอย่าง: -7-Eleven มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าที่จำเป็นได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไกล -7-Eleven เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อของกินยามดึกได้ -7-Eleven ตั้งอยู่ในทำเลที่มีคนพลุกพล่าน ทำให้ลูกค้ามีโอกาสเห็นสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การขยายสาขาของ 7-Eleven ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น: -7-Eleven อาจจะเผชิญปัญหาการแข่งขันจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น -7-Eleven อาจจะเผชิญปัญหาการอิ่มตัวของตลาด -7-Eleven อาจจะเผชิญปัญหาการจราจร โดยสรุป: -กลยุทธ์การขยายสาขาของ 7-Eleven ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม 7-Eleven เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก และเปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีก อย่างไรก็ตาม 7-Eleven อาจจะเผชิญปัญหาการแข่งขัน ปัญหาการอิ่มตัวของตลาด และปัญหาการจราจร
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53529
Retail
ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นด้วยยอดขาย มูลค่ากี่หมื่นล้านยูโร
Nicolas Hieronimus, Directeur General L’Oreal, Mai 2021 ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ด้วยยอดขาย มูลค่า 1.836 หมื่นล้านยูโร โดยมีอัตราการเติบโตถึง 13.5%1 หลายแผนกมีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ขยายตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทุกภูมิภาคมีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก ตลาดเกิดใหม่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง นายนิโคลา ฮิโรนิมุส (Nicolas Hieronimus) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “หลังจากเผชิญโรคระบาดมานานกว่า 2 ปี ผู้บริโภคเริ่มมีความต้องการที่จะเข้าสังคม และเลือกที่จะให้รางวัลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์ความงามอันล้ำสมัยและเหนือระดับ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของตลาดความงาม ลอรีอัลเติบโตมากกว่าตลาดถึงสองเท่า และรักษาตำแหน่งในฐานะบริษัทความงามอันดับ 1 ของโลกไว้ได้อย่างเหนียวแน่น การดำเนินธุรกิจของลอรีอัล กรุ๊ป นั้นก็มีความสมดุลมากขึ้น ทั้งความสมดุลระหว่างปริมาณและมูลค่า ความสมดุลระหว่างการขยายตัวแบบออฟไลน์ เนื่องจากร้านค้าในประเทศส่วนใหญ่เปิดทำการอีกครั้ง และช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งยังคงมีอัตราการขยายตัวในระดับเลขสองหลัก ความสมดุลระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ที่ล้วนมีอัตราการขยายตัวในระดับเลขสองหลักด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลาดเกิดใหม่ (ภูมิภาค SAPMENA–SSA1 และภูมิภาคละตินอเมริกา) และผลการดำเนินงานอันโดดเด่นในประเทศจีนท่ามกลางบริบทที่ท้าทายอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากความเชี่ยวชาญในอีคอมเมิร์ซ อีกทั้งยังมีความสมดุลระหว่างแผนกต่าง ๆ โดยมี 3 แผนกที่มีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก และแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ขยายตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 2 และสุดท้าย กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักก็มีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลักเช่นกัน ด้วยศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าผ่านนวัตกรรม และการควบคุมต้นทุนที่ผ่านมานั้น ทำให้ลอรีอัล กรุ๊ป สามารถรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ลดแรงกดดันจากห่วงโซ่อุปทาน และลงทุนในแบรนด์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงพัฒนาความสามารถในการทำกำไรและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนต่อไป ในส่วนของโครงการเพื่อความยั่งยืนลอรีอัลเพื่ออนาคต (L’Oréal For The Future) ได้มาถึงหมุดหมายสำคัญ โดยลอรีอัล กรุ๊ป สามารถทำให้โรงงานทุกแห่งในภูมิภาคเอเชียเหนือนั้นมีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สำเร็จ ต่อจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำได้ตั้งแต่ปี 2021 “แม้จะกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความไร้เสถียรภาพในขณะนี้ แต่ลอรีอัล กรุ๊ป ก็เชื่อมั่นว่ารูปแบบการทำงานที่สมดุลและมีเอกลักษณ์ ศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมอันน่าเหลือเชื่อ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความมุ่งมั่นในการทำงานของทีม และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทจะเป็นหลักที่ทำให้สามารถดำเนินแผนกลยุทธ์การเติบโตที่สามารถทำกำไร และนำไปสู่ความยั่งยืนได้ เรายังคงเชื่อมั่นในอนาคตของตลาดความงามโลก และมั่นใจในความสามารถของเราที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์อันโดดเด่นต่อไปในปี 2022 นี้ และทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ยอดขายและกำไรจะเติบโตขึ้น” นายนิโคลา ฮิโรนิมุส กล่าวเสริม ยอดขายแบ่งตามแผนกและภูมิภาค สรุปตามแผนก ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ (Professional Products) เพิ่มขึ้น 3% ผลิตภัณฑ์อุปโภค (Consumer Products) เพิ่มขึ้น 8% ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง (L’Oréal Luxe) เพิ่มขึ้น 4% ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (Active Cosmetics) เพิ่มขึ้น 9% ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ (Professional Products) เพิ่มขึ้น 3% ผลิตภัณฑ์อุปโภค (Consumer Products) เพิ่มขึ้น 8% ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง (L’Oréal Luxe) เพิ่มขึ้น 4% ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (Active Cosmetics) เพิ่มขึ้น 9% สรุปตามภูมิภาค ภูมิภาค SAPMENA – SSA2(เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาหนือ – แอฟริกาใต้ซาฮารา)เพิ่มขึ้น 23% ภูมิภาค SAPMENA – SSA2(เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกาหนือ – แอฟริกาใต้ซาฮารา)เพิ่มขึ้น 23% ลอรีอัลในภูมิภาค SAPMENA นั้นเติบโตเร็วกว่าตลาดมาก โดยบริษัทสามารถสนองตอบความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากร้านค้าปลีกในภูมิภาคนี้ ในขณะเดียวกันช่องทางออนไลน์ก็ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแผนกลยุทธ์กระตุ้นกิจกรรมที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้การดำเนินงานในภูมิภาค SAPMENA นั้นได้รับอิทธิพลจากกลไกยอดขายที่โดดเด่นในอินเดียเป็นอย่างมาก ในส่วนของภูมิภาคแปซิฟิกนั้น ลอรีอัลฟื้นตัวและกลับมายืนหยัดในประเทศออสเตรเลีย เห็นได้จากอัตราการเติบโตที่ขึ้นมาเป็นเลขสองหลักในไตรมาสที่สอง ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การกลับมาของนักท่องเที่ยวมีส่วนสนับสนุนให้ยอดขายในภูมิภาคนี้ฟื้นตัว ซึ่งลอรีอัลพบว่า ยอดขายจากช่องทางออฟไลน์ฟื้นตัวอย่างมากในประเทศมาเลเซีย และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม จากความสำเร็จของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (Active Cosmetics) ขณะที่ในเขตตะวันออกกลางนั้น กลุ่มประเทศแถบคาบสมุทรอารเบียนต่างมียอดขายเพิ่มขึ้นมาก ส่วนในภูมิภาคแอฟริกาใต้ซาฮารานั้น ลอรีอัล กรุ๊ป มีความก้าวหน้าเร็วกว่าตลาดอย่างมาก และยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นซึ่งขับเคลื่อนโดยประเทศแอฟริกาใต้และประเทศเคนยา ภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้น 3% ภูมิภาคอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 6% ภูมิภาคเอเชียเหนือเพิ่มขึ้น 5% ภูมิภาคละตินอเมริกาเพิ่มขึ้น3% ภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้น 3% ภูมิภาคอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 6% ภูมิภาคเอเชียเหนือเพิ่มขึ้น 5% ภูมิภาคละตินอเมริกาเพิ่มขึ้น3%
ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นด้วยยอดขาย มูลค่า 1.836 หมื่นล้านยูโร โดยมีอัตราการเติบโตถึง 13.5% หลายแผนกมีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ขยายตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทุกภูมิภาคมีอัตราการเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลัก ตลาดเกิดใหม่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53531
Retail
ขอคำแนะนำหน่อย กลุ่มธุรกิจที่ OR เข้าไปร่วมทุนแล้ว สรุปได้ดังนี้
null
กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (เข้าลงทุนผ่าน Modulus Venture) – ร้านอาหารโอ้กะจู๋ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 20% – ร้านอาหารญี่ปุ่น โคเอ็น ซูชิ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 25% – ร้านเครื่องดื่มชา Kamu Kamu เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 25% – ลงทุนในบริษัท Peaberry Thai (ร้านกาแฟ Pacamara) ในสัดส่วน 81% – ร่วมลงทุน ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม ร่วมลงทุนกับ บจ. บุญรอดฯ ก่อตั้งบริษัทใหม่ในสัดส่วน 50% กลุ่มธุรกิจบริการ – ร้านสะดวกซัก Otteri (อ๊อตเทริ) เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 40% – บริการขนส่ง Flash Express เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 8.8% กลุ่มสตาร์ทอัป (เข้าลงทุนผ่าน ORZON Ventures) – Pomelo แพลตฟอร์มและแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น – Carsome แพลตฟอร์มซื้อ-ขายรถยนต์มือสองออนไลน์ – GoWabi แพลตฟอร์มบริการทางด้านความงามและสุขภาพ – Protomate ผู้พัฒนาฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยี AI สัญชาติไทย – Hungry Hub แฟลตฟอร์มจองร้านอาหาร และโรงแรมชั้นนำ – Hangry สตาร์ทอัปด้านอาหารพัฒนาระบบ Cloud Kitchen – Freshket แพลตฟอร์มจำหน่ายวัตถุดิบอาหารครบวงจร (เข้าลงทุนผ่าน Modulus Venture และ ORZON Ventures) กลุ่มการท่องเที่ยว – Traveloka แพลตฟอร์มออนไลน์สัญชาติอินโดนีเซียสำหรับจองที่พักและเที่ยวบินออนไลน์ (เข้าลงทุนผ่าน SG HoldCo) กลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัล – ORBIT Digital พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (เข้าลงทุนผ่าน Modulus Venture) กลุ่มพลังงาน – Global Aero Associates (GAA) บริการระบบน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ร่วมลงทุนกับ BAFS ในสัดส่วน 45% – Phnom Penh Aviation Fuel Service (PPAFS) บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในพนมเปญ ร่วมลงทุนกับ CNAF และ TOTAL ในสัดส่วน 33.33% (เข้าลงทุนผ่าน SG HoldCo) การจัดตั้งกองทุนและลงทุนผ่านกองทุน – ORZON Ventures กองทุนเพื่อการลงทุนในสตาร์ทอัปด้าน Lifestyle และ Mobility ที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตร่วมกันกับ OR – Finnoventure Private Equity Trust I กองทุนเพื่อการลงทุนในสตาร์ตอัปด้าน Fin-tech, e-Commerce, Automotive – SeaX Fund II กองทุนเพื่อการลงทุนในสตาร์ทอัปที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech)
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53533
Retail
โครงการคอนโดมิเนียมโครงการใดของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีมูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท
ก. โครงการออริจิ้นปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ ข. โครงการออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น ค. โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น ง. โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น
คำตอบคือ ค. เนื่องจาก เพราะโครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น มีมูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ต่อยอดความสำเร็จผู้นำตลาดคอนโดคนรุ่นใหม่ ส่ง 2 แบรนด์คอนโด รวม 4 โครงการ มูลค่ากว่าหมื่นล้าน เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ใน 4 ทำเลแห่งอนาคตใกล้รถไฟฟ้าสาย สีเขียวและสายสีเหลือง ชูแบรนด์ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์” บุกศรีนครินทร์-ลาซาล-สายลวด รองรับไลฟ์สไตล์ Gen Y และสตาร์ทอัพ ด้วยห้อง 2 ชั้น Duo Space เพดานสูงโปร่ง 4.2 เมตร มอบความโอ่อ่าพื้นที่ใช้สอยครบครัน เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “ออริจิ้น เพลย์” จับตลาด Gen Z และ First Jobber นำร่องย่านอุดมสุข ด้วยคอนโดคุณภาพราคาจับต้องได้ พื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจคนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าสร้างกิมมิก Pet Lover Condo ในบางโครงการ ราคาเริ่มต้น 1.80-2.79 ล้าน สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการ ได้แก่ - โครงการออริจิ้นปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin) คอนโดมิเนียม Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. แห่งแรกบน ถ.ศรีนครินทร์ ห้องพักพื้นที่ใช้สอยกว้างตั้งแต่ 22-34 ตร.ม. พื้นที่ส่วนกลางจัดเต็ม บนทำเลแห่งอนาคต เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน และสถานีศรีแบริ่ง ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท - โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) คอนโดมิเนียมห้อง Duo Space ขนาดตั้งแต่ 22-34.5 ตร.ม. พร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสายลวด มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท - โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น (Origin Plug & Play Sri Lasalle Station)คอนโดมิเนียม ห้องพักอาศัยเพดานสูงพิเศษ 4.2 ม. พื้นที่ใช้สอย 22 – 34 ตร.ม. โดดเด่นด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 4,400 ตร.ม. สระว่ายน้ำยาวรวม 50 ม. และเอาใจคนรักสัตว์กับ Pet Club บนทำเลศักยภาพติด ถ.สุขุมวิท 105 ใกล้รถไฟฟ้าสาย สีเหลือง สถานีลาซาล มูลค่าโครงการประมาณ 3,900 ล้านบาท - โครงการออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sri Udom Station) คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกบนทำเลอุดมสุข มาพร้อมดีไซน์โดดเด่น ขนาด 23-34.9 ตร.ม. มีพื้นที่ส่วนกลางหลากหลาย พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ด้วย Game Room, Theater Room บนทำเลคุณภาพใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีอุดม, สายสีเขียว สถานีอุดมสุข และ LRT บางนา-สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการประมาณ 2,100 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 1.80 ล้านบาท
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53537
Retail
OR จะใช้ประโยชน์จากการลงทุนใน Traveloka อย่างไร เพื่อขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ (All Lifestyles)
null
OR สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนใน Traveloka เพื่อขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ (All Lifestyles) ดังนี้: 1. เพิ่มเติมสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์: - นำเสนอบริการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก รถเช่า และกิจกรรมต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม PTT Blue Card - พัฒนาแพลตฟอร์มให้เป็น one-stop solution สำหรับการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ - นำเสนอบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกันการเดินทาง บริการรับส่งสนามบิน บริการนำเที่ยว 2. ขยายฐานลูกค้า: - เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ใช้บริการ Traveloka - ดึงดูดลูกค้า Traveloka ให้มาใช้บริการอื่น ๆ ของ OR - เพิ่มโอกาสในการ cross-selling และ up-selling 3. สร้าง Synergy กับธุรกิจอื่น ๆ ของ OR: - เชื่อมโยงบริการ Traveloka กับธุรกิจค้าปลีก (Retail) ของ OR เช่น ร้านกาแฟอินทนิล ร้านสะดวกซื้อ Jiffy - นำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวที่รวมบริการของ OR เข้าด้วยกัน - พัฒนาโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า OR 4. พัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทย: - สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทยบนแพลตฟอร์ม Traveloka - ช่วยให้ SMEs ไทยเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น - พัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทยในการแข่งขัน 5. ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ: - นำโมเดลธุรกิจ Traveloka ไปประยุกต์ใช้ในต่างประเทศ - ขยายฐานลูกค้าและธุรกิจของ OR ไปยังต่างประเทศ - สร้างโอกาสให้กับ SMEs ไทยในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ตัวอย่างเพิ่มเติม: - พัฒนาบริการ personalization บนแพลตฟอร์ม - นำเสนอบริการ loyalty program - พัฒนา big data analytics เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า - ร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ ในธุรกิจท่องเที่ยว โดยสรุป: OR สามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนใน Traveloka เพื่อขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ เพิ่มฐานลูกค้า สร้าง Synergy กับธุรกิจอื่น ๆ พัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทย และขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ แนวทางเพิ่มเติม: - ศึกษาเทรนด์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในธุรกิจท่องเที่ยว - พัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรอื่น ๆ - เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของลูกค้า - การลงทุนใน Traveloka จะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับ OR และสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภค SMEs ไทย และเศรษฐกิจไทยโดยรวม
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53541
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ร้านค้าปลีกในปัจจุบันต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เน้นความหลากหลายของสินค้า ราคาที่ย่อมเยา และประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สนุกสนาน
null
เกมล่าสมบัติ กับภารกิจพิชิตใจลูกค้า ณ ใจกลางห้างสรรพสินค้าอันทันสมัย เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมหรูหรา ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับ เสียงเพลงบรรเลง และกลิ่นหอมจากร้านอาหาร “โอ้โห ของเยอะมาก!” เด็กหญิงมินตราอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมโตฉายแวววาวจ้องมองไปรอบๆ ร้านมิสเตอร์ดี.ไอ.วาย. สาขาใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดตัว “ใช่แล้ว ของที่นี่มีครบทุกอย่างเลย ไปดูกันเถอะ” มารดาของมินตราเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ภายในร้านเต็มไปด้วยสินค้ามากมาย หลากหลายประเภท เรียงรายบนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ มีทั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องใช้ในบ้าน อุปกรณ์ตกแต่ง ของเล่น ของขวัญ และอื่นๆ อีกมากมาย มินตราเปรียบเสมือนนักล่าสมบัติ เธอเดินสำรวจร้านอย่างสนุกสนาน หยิบจับสินค้าแต่ละชิ้นขึ้นมาดูอย่างพินิจพิถี “แม่ ของเล่นอันนี้ดูน่าสนุกดี!” มินตราตะโกนเรียกมารดา “อืม น่าสนใจดีนะ แต่ลองดูอย่างอื่นอีกหน่อยไหม เผื่อเจอของที่ถูกใจกว่านี้” มารดาแนะนำ มินตราพยักหน้าเห็นด้วย เธอยังมีเวลาอีกมากมายสำหรับการล่าสมบัติในดินแดนแห่งนี้ เธอเดินผ่านโซนอุปกรณ์กีฬา หยุดยืนมองลูกฟุตบอลหลากสีสัน “แม่ หนูอยากได้ลูกฟุตบอลใหม่!” มินตราอ้อนวอน “ได้สิ แต่หนูต้องสัญญากับแม่ว่าจะฝึกเตะฟุตบอลอย่างสม่ำเสมอนะ” มารดาตอบ “สัญญาค่ะ!” มินตรารับปากอย่างร่าเริง หลังจากนั้น มินตราและมารดาเดินชมสินค้าต่อ พวกเขาพบกับอุปกรณ์ทำสวน ของแต่งบ้าน และอุปกรณ์เครื่องเขียนมากมาย “ที่นี่มีของครบจริงๆ ค่ะ” มารดาพูด “ใช่ค่ะ ของถูกด้วย หนูชอบที่นี่จัง” มินตราตอบ พวกเขาใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินชมร้าน มินตราเลือกซื้อของเล่น ลูกฟุตบอล สมุดวาดรูป และดินสอสี “ของที่นี่ราคาไม่แพง คุณภาพก็ดี คุ้มค่าจริงๆ” มารดาพูดอย่างพอใจ “ค่ะ หนูก็ชอบที่นี่เหมือนกันค่ะ” มินตรายิ้ม ก่อนออกจากร้าน มินตราหันกลับไปมองอีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนได้ค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า ร้านมิสเตอร์ดี.ไอ.วาย. เปรียบเสมือนดินแดนแห่งเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยสินค้ามากมาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53549
Retail
กลยุทธ์ Inclusive Growth ของ OR จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
กลยุทธ์ Inclusive Growth ของ OR จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. ขยายโอกาสให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก: OR มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์มและโอกาสให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กเข้ามามีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น โครงการไทยเด็ด ที่ช่วยสนับสนุนสินค้าชุมชน นำสินค้าท้องถิ่นมาวางจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านค้าในเครือ OR โครงการนี้ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสในการเติบโต และสร้างรายได้ให้กับชุมชน OR ยังมีแผนที่จะขยายโครงการดังกล่าวไปยังธุรกิจอื่นๆ ในเครือ เช่น Café Amazon และ Max Mart 2. พัฒนาประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ: OR ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบ Omnichannel ตัวอย่างเช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน OR ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ OR ยังมีแผนที่จะพัฒนาบริการอื่นๆ เช่น บริการ Click & Collect และบริการจัดส่งสินค้า บริการเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถช็อปปิ้งได้สะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลา 3. ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง: OR มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ตัวอย่างเช่น การนำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิค และสินค้า ramah lingkungan OR ยังมีแผนที่จะพัฒนาบริการอื่นๆ เช่น บริการด้านสุขภาพและความงาม บริการด้านการเงิน และบริการด้านการท่องเที่ยว บริการเหล่านี้ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และครบวงจร 4. ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกไทย: OR มุ่งเน้นการสนับสนุนธุรกิจค้าปลีกไทยให้เติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในสตาร์ทอัพไทย และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ OR ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยนำแบรนด์ไทยไปโกอินเตอร์ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจค้าปลีกไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก สรุป: กลยุทธ์ Inclusive Growth ของ OR จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม กลยุทธ์นี้ช่วยขยายโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็ก พัฒนาประสบการณ์การช็อปปิ้ง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกไทย ตัวอย่างเพิ่มเติม: OR ลงทุนในแฟลช เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุรายใหญ่ OR ลงทุนในโอ้กะจู๋ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ OR ลงทุนในคามุ ที ร้านชาไข่มุก OR ลงทุนใน Otteri ร้านสะดวกซัก งาน Inclusive Growth Days: OR จัดงาน Inclusive Growth Days ขึ้นในวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2565 ณ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ งานนี้เปิดให้เข้าชมฟรี เพื่อให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน และประชาชนทั่วไปได้เห็นโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตของ OR และพันธมิตร
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53553
Retail
โครงการนำร่องใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Bike) ของ OR กับไปรษณีย์ไทย ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
โครงการนำร่องใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Bike) ของ OR กับไปรษณีย์ไทย ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า -EV Bike มีความคล่องตัวสูง เหมาะกับการจัดส่งสินค้าในเขตเมือง -EV Bike ช่วยลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้า -EV Bike ช่วยให้จัดส่งสินค้าได้ตรงเวลา ตัวอย่าง -EV Bike สามารถเข้าถึงซอยแคบๆ หรือพื้นที่ที่รถยนต์เข้าถึงได้ยาก -EV Bike ช่วยให้จัดส่งสินค้าได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่มีปริมาณการจัดส่งสินค้าสูง เช่น ช่วงเทศกาล -EV Bike ช่วยให้ลูกค้าได้รับสินค้าตรงเวลา เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า 2. ลดต้นทุนการจัดส่งสินค้า -EV Bike มีค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟน้อยกว่าการใช้น้ำมัน -EV Bike ไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษามาก -EV Bike ช่วยลดมลพิษทางเสียง ตัวอย่าง -EV Bike ช่วยให้ OR ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า -EV Bike ช่วยให้ไปรษณีย์ไทยลดต้นทุนการดำเนินงาน -EV Bike ช่วยลดมลพิษทางเสียง สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร 3. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ -EV Bike ช่วยให้ OR ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจค้าปลีก -EV Bike ช่วยให้ไปรษณีย์ไทยขยายฐานลูกค้า -EV Bike ช่วยให้ OR และไปรษณีย์ไทยมีส่วนร่วมในการลดมลพิษ ตัวอย่าง -OR สามารถนำเสนอบริการจัดส่งสินค้าโดยใช้ EV Bike ให้กับธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ไปรษณีย์ไทยสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจัดส่งสินค้าด่วน -OR และไปรษณีย์ไทยสามารถสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม 4. เปลี่ยนรูปแบบการจัดส่งสินค้า -EV Bike เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม -EV Bike ช่วยลดมลพิษทางอากาศ -EV Bike ช่วยลดมลพิษทางเสียง ตัวอย่าง -EV Bike ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดโลกร้อน -EV Bike ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดี -EV Bike ช่วยลดมลพิษทางเสียง สร้างบรรยากาศที่ดีในชุมชน โดยสรุป โครงการนำร่องใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Bike) ของ OR กับไปรษณีย์ไทย ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม โครงการนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า ลดต้นทุนการจัดส่งสินค้า เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเปลี่ยนรูปแบบการจัดส่งสินค้า อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น -EV Bike มีระยะทางวิ่งจำกัด -EV Bike มีราคาสูง -สถานีชาร์จไฟ EV Bike ยังมีไม่เพียงพอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โครงการนี้ถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการยกระดับธุรกิจค้าปลีกให้มีความยั่งยืน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53560
Retail
สรุปบทความเรื่อง OR ลุยธุรกิจ ‘สะดวกซัก’ ให้หน่อย
ขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจกลุ่มไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมอีกแล้ว ล่าสุด OR เข้าลงทุนใน บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (KNEX) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม และกิจการร้านสะดวกซักภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & Dry ปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจนี้ มี 670 สาขา ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งในและนอก พีทีที สเตชั่น คุณจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด หรือ Modulus บริษัทย่อยของ OR ได้เข้าไปลงทุนใน “เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น” โดยถือหุ้น 40% วงเงินประมาณ 1,105 ล้านบาท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น ประกอบกิจการร้านสะดวกซัก ภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & Dry ให้บริการเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบให้บริการตัวเอง (Self-service) เป็นแบรนด์อันดับ 1 ในธุรกิจร้านสะดวกซัก การลงทุนครั้งนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ OR เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป (All Lifestyles) ทำให้ OR เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทุกเพศ ทุกวัย และเพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจให้กับเครือข่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่มีอยู่กว่า 2,000 สาขา รวมทั้งเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจร่วมกันของทั้ง OR และ เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น ทั้งในและต่างประเทศ โดย เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น มีแผนที่จะขยายสาขาร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของ OR ทั้งในและนอก “พีทีที สเตชั่น” เพื่อให้บริการซักอบผ้าที่มีมาตรฐานในราคาประหยัด รวมไปถึงแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศในอนาคต
OR เข้าลงทุนใน บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม และกิจการร้านสะดวกซักภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & Dry มี 670 สาขา ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งในและนอก พีทีที สเตชั่น โดย OR ถือหุ้น 40% ทำกิจการร้านสะดวกซัก ภายใต้แบรนด์ Otteri Wash & Dry ให้บริการเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบให้บริการตัวเอง โดย เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น มีแผนที่จะขยายสาขาร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของ OR ทั้งในและนอก “พีทีที สเตชั่น” เพื่อให้บริการซักอบผ้าที่มีมาตรฐานในราคาประหยัด รวมไปถึงแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53581
Retail
ความพิเศษของซิกเนเจอร์แคมเปญ ‘ROBINSON SALESATION หยิบก่อนลดกว่า’ ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผนึกกำลังลงสนามค้าปลีกไตรมาสสอง อัดกลยุทธ์ Customer Experience เดินหน้าสร้างประสบการณ์ความสนุกรูปแบบใหม่ที่มากกว่าการช้อปปิ้งแก่ครอบครัวนักช้อปทั่วประเทศผ่านซิกเนเจอร์แคมเปญสุดคุ้มแห่งปี “ROBINSON / ROBINSON LIFESTYLE SALESATION (โรบินสัน / โรบินสันไลฟ์สไตล์ เซลเซชั่น) หยิบก่อนลดกว่า” ครั้งแรกของปรากฏการณ์ “สติ๊กเกอร์ส่วนลด” ที่โลกต้องจำ สูงสุดถึง 90%! แปะปุ๊บ ลดปั๊บทันที! พร้อมดีลโปรโมชั่นสุดปัง และสิทธิพิเศษอีกมากมายสำหรับลูกค้าเดอะวัน ดอลฟิน วอลเล็ต เอไอเอส บัตรเครดิต และร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์การค้าที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 65 – 31 พ.ค. 65 ที่ห้าง โรบินสัน รวมทั้งทุกช่องทางการช้อปปิ้งสุดสะดวกของห้างฯ และศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ทุกสาขาทั่วประเทศ สำหรับห้างสรรพสินค้าโรบินสัน นายสเตฟาน จูเบิร์ท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จของแคมเปญการตลาดต่างๆ ที่ผ่านมาของห้างโรบินสัน สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ และเป็นสิ่งที่เรามุ่งเน้นมาโดยตลอด นั่นคือ การสร้าง Customer Experience ในรูปแบบต่างๆ ที่พร้อมตอบทุกโจทย์ความต้องการให้แก่ครอบครัวนักช้อป ซึ่งเรามีแผนที่จะต่อยอดมิชชั่นนี้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกับการสร้างประสบการณ์ความสนุกรูปแบบใหม่ที่มากกว่าการช้อปปิ้งแก่ครอบครัวนักช้อปทั่วประเทศผ่านซิกเนเจอร์แคมเปญแห่งปี ‘ROBINSON SALESATION หยิบก่อนลดกว่า’ กับครั้งแรกของปรากฏการณ์ “สติ๊กเกอร์ส่วนลด” สูงสุดถึง 90%! ที่นักช้อปสามารถเลือกซื้อและรับความคุ้มค่าของสินค้าทุกแบรนด์ ทุกไอเท็ม กว่า 2,000 แบรนด์ ที่ต้องการแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากครอบครัวสายช้อปที่ชอบตามล่าหาสินค้าคุณภาพ ราคาคุ้มค่า ในการช้อปปิ้งเป็นอย่างดีแน่นอน โดยเรามีการวางแผนการสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ จดจำซิกเนเจอร์แคมเปญนี้แบบบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ทั้งภาพยนต์โฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อนอกบ้าน สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมทั้งการใช้อินฟลูเอนเซอร์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มครอบครัวนักช้อปทุกเพศ ทุกวัย ในทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด ซึ่งเราวางแผนที่จะจัดซิกเนเจอร์แคมเปญนี้ 2 ครั้งต่อปี ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการคืนกำไรแก่ครอบครัวนักช้อปแล้ว ยังเป็นการสร้างสีสันและมูฟเม้นท์ในการกระตุ้นการจับจ่ายแก่ตลาดค้าปลีกให้มีความคึกคักอย่างต่อเนื่องอีกด้วยนั่นเอง” สำหรับความพิเศษของซิกเนเจอร์แคมเปญ ‘ROBINSON SALESATION หยิบก่อนลดกว่า’ ประกอบด้วย… กิจกรรมการช้อปปิ้งสุดสนุกช่วงวีคเอนด์ ในวันเสาร์ที่ 30 เม.ย. และ 14, 28 พ.ค.65 เฉพาะครอบครัวนัก ช้อปที่มาช้อปสินค้าในวันและเวลาที่กำหนด เพียง 100 ท่านแรกที่มาก่อนใคร มีสิทธิ์รับสติ๊กเกอร์ส่วนลดสูงสุดถึง 90% และรางวัลส่วนลดอื่นๆ อีกมากมาย แปะปุ๊ป ลดปั๊บทันที! (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) สำหรับช้อปสินค้าที่ห้างโรบินสัน ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาจังซีลอน ป่าตอง) โดยกิจกรรมในวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากครอบครัวนักช้อปทั่วประเทศอย่างคึกคักมาก ดีลโปรโมชั่นสุดปัง! ตลอดแคมเปญฯ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าใหม่ลดสูงสุด 50% ใช้คะแนนลดเพิ่มและรับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 30% สำหรับบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ สมาชิกเดอะวัน และเซ็นทรัล เดอะวัน เครดิตการ์ด รับคูปองส่วนลด และเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 6,500 บาท พิเศษ! ลูกค้าที่สแกนจ่ายผ่านดอลฟิน วอลเล็ต รับฟรีคูปองส่วนลด 100 บาท เมื่อช้อป 1,200 บาท ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 65 – 31 พ.ค. 65 ที่ห้างโรบินสัน รวมทั้งทุกช่องทางการช้อปปิ้งสุดสะดวกของห้างฯ สำหรับศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ นางสาวกมลทิพย์ สรวยสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและพัฒนากลยุทธ์ ศูนย์การค้า โรบินสันไลฟ์สไตล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ในฐานะเดสติเนชั่นของการกิน ช้อป เที่ยว ที่ครบจบในที่เดียว ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ จึงขอผนึกกำลังพันธมิตรร้านค้า และร้านอาหารชั้นนำกว่า 200 ร้านค้า เพื่อร่วมสร้างประสบการณ์ความสนุกที่มากกว่าการช้อปปิ้งทั้งกิน ช้อป เที่ยว แก่ครอบครัวนักช้อปทั่วประเทศผ่านซิกเนเจอร์แคมเปญ ”ROBINSON LIFESTYLE SALESATION หยิบก่อนลดกว่า” ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าซิกเนเจอร์แคมเปญดังกล่าวจะช่วยตอบโจทย์ทุกความต้องการของครอบครัวนักช้อปได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และจะทำให้เกิดเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีร่วมกันได้อย่างแน่นอน” สำหรับดีลโปรโมชั่นสุดพิเศษของแคมเปญ ”ROBINSON LIFESTYLE SALESATION หยิบก่อนลดกว่า” ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 65 – 31 พ.ค.65 ที่ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ทุกสาขาทั่วประเทศ ประกอบด้วย… รับสติ๊กเกอร์ส่วนลดมูลค่าสูงสุด 400 บาท จากร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่ เพาเวอร์บาย, ซูเปอร์สปอร์ต, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, เอส เอฟ ซีเนม่า, เคเอฟซี, ชาบูชิ บุฟเฟ่ต์, มิสเตอร์ โดนัท, แดรี่ ควีน, แว่นท็อปเจริญ และบิ๊กคาเมร่า ลดทั้งศูนย์การค้าสูงสุด 50% ลูกค้าที่สแกนจ่ายผ่านดอลฟิน วอลเล็ต รับฟรีคูปองส่วนลด 50 บาท เมื่อช้อป 500 บาท ขึ้นไป สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอส ใช้เอไอเอส พอยท์ 1 คะแนน แลกรับส่วนลดพิเศษมากมายจากร้านค้าที่ร่วมรายการภายในศูนย์การค้า อาทิ ซูเปอร์สปอร์ต, ออโต้วัน, ชาบูชิ บุฟเฟ่ต์, ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นฟูจิ, แบล็คแคนยอน, มิสเตอร์ โดนัท, โอลิโนะ เครป แอนด์ ที, ทาโรโตะ, เคทีออพติค, โปรคลีน ฯลฯ
- กิจกรรมการช้อปปิ้งสุดสนุกช่วงวีคเอนด์ ในวันเสาร์ที่ 30 เม.ย. และ 14, 28 พ.ค.65 เฉพาะครอบครัวนัก ช้อปที่มาช้อปสินค้าในวันและเวลาที่กำหนด เพียง 100 ท่านแรกที่มาก่อนใคร มีสิทธิ์รับสติ๊กเกอร์ส่วนลดสูงสุดถึง 90% และรางวัลส่วนลดอื่นๆ อีกมากมาย แปะปุ๊ป ลดปั๊บทันที! (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) สำหรับช้อปสินค้าที่ห้างโรบินสัน ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาจังซีลอน ป่าตอง) โดยกิจกรรมในวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากครอบครัวนักช้อปทั่วประเทศอย่างคึกคักมาก - ดีลโปรโมชั่นสุดปัง! ตลอดแคมเปญฯ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าใหม่ลดสูงสุด 50% ใช้คะแนนลดเพิ่มและรับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 30% สำหรับบัตรเครดิตชั้นนำที่ร่วมรายการ สมาชิกเดอะวัน และเซ็นทรัล เดอะวัน เครดิตการ์ด รับคูปองส่วนลด และเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 6,500 บาท พิเศษ! ลูกค้าที่สแกนจ่ายผ่านดอลฟิน วอลเล็ต รับฟรีคูปองส่วนลด 100 บาท เมื่อช้อป 1,200 บาท ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 65 – 31 พ.ค. 65 ที่ห้างโรบินสัน รวมทั้งทุกช่องทางการช้อปปิ้งสุดสะดวกของห้างฯ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53583
Retail
กลยุทธ์หลักของสกายไอซีทีในการนำเสนอโซลูชัน AI แก่ธุรกิจค้าปลีกคืออะไร?
null
กลยุทธ์หลักของสกายไอซีทีในการนำเสนอโซลูชัน AI แก่ธุรกิจค้าปลีก ประกอบไปด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้ 1. นำเสนอโซลูชัน AI ที่หลากหลาย สกายไอซีทีมีโซลูชัน AI ที่หลากหลายสำหรับธุรกิจค้าปลีก เช่น ระบบการวิเคราะห์ภาพ 1.1 การวิเคราะห์ใบหน้า (Face Analytics) -วิเคราะห์อารมณ์ของลูกค้า (Emotion Recognition) -วิเคราะห์เพศและอายุ (Gender and Age Estimation) -ระบุตัวตนบุคคล (Face Recognition) 1.2 การวิเคราะห์วัตถุ (Object Recognition) -นับจำนวนสินค้าบนชั้นวาง (Product Counting) -ตรวจจับสินค้าหมด (Out-of-Stock Detection) -วิเคราะห์พฤติกรรมการหยิบสินค้า (Shopper Behavior Analytics) 1.3 ระบบการวิเคราะห์ข้อมูล -วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Customer Segmentation) -คาดการณ์ยอดขาย (Sales Forecasting) -เสนอแนะสินค้า (Product Recommendation) 1.4 ระบบแชทบอท -ตอบคำถามลูกค้า -ให้ข้อมูลสินค้า -รับคำสั่งซื้อ 2. มุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชัน AI ที่ปรับแต่งได้ สกายไอซีทีเข้าใจดีว่าธุรกิจค้าปลีกแต่ละธุรกิจมีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้น สกายไอซีทีจึงมุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชัน AI ที่ปรับแต่งได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ 3. ให้บริการแบบครบวงจร สกายไอซีทีให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบโซลูชัน การติดตั้ง การฝึกอบรมและการบำรุงรักษา ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้สกายไอซีทีมั่นใจว่าสามารถนำเสนอโซลูชัน AI ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจค้าปลีก ตัวอย่าง สกายไอซีทีเคยพัฒนาระบบการวิเคราะห์ภาพให้กับห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่ง ซึ่งระบบดังกล่าวสามารถวิเคราะห์อารมณ์ของลูกค้า เพศและอายุ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ห้างสรรพสินค้าสามารถเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ผลลัพธ์ ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้ 10% นอกจากนี้ สกายไอซีทียังมีโซลูชัน AI อื่นๆ ที่สามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร ตัวอย่าง -ระบบแชทบอทสามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน -ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกตัดสินใจได้ดีขึ้น -ระบบการวิเคราะห์ภาพสามารถช่วยธุรกิจค้าปลีกเพิ่มความปลอดภัย สกายไอซีทีมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านโซลูชัน AI สำหรับธุรกิจค้าปลีกและหวังว่าจะช่วยธุรกิจค้าปลีกไทยเติบโตและประสบความสำเร็จ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53585
Retail
ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง ได้สัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลสุภาพช่องปาก ยี่ห้อ จอร์แดน ออรัลแคร์ ใช่หรือไม่
null
ใช่ ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง ผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือล็อกซเล่ย์ ได้สัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลสุภาพช่องปาก ยี่ห้อ “จอร์แดน” ออรัลแคร์แบรนด์ดังจากสแกนดิเนเวียสัญชาตินอร์เวย์เปิดเกมรุกเจาะกลุ่มพรีเมี่ยมหลังซุ่มทำตลาดมาเกือบสองปีดันยอดพุ่งไปแล้ว 185% มั่นใจสิ้นปีนี้เร่งยอดเติบโตกว่า 70% คุณสุรช ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เผยว่าบริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือล็อกซเล่ย์ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาดูแลการจัดจำหน่าย กระจายสินค้า และการทำตลาดผลิตภัณฑ์“จอร์แดน ออรัลแคร์” ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 โดยในช่วง 1-2 ปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 185% ผ่านกลยุทธ์การทำตลาดอย่างต่อเนื่องผ่านอีเว้นท์ต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงการสร้างแบรนด์ผ่านทางโซเชียลมีเดียเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่มสินค้า แม้ว่าที่ผ่านมาจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ผลิตภัณฑ์จอร์แดนสามารถตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพราะมีความโดดเด่นที่คุณภาพการใช้งานและดีไซน์สวยงาม ส่วนในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 70% จากยอดปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มแปรงสีฟันเด็กที่มียอดขายเติบโตมากที่สุด ซึ่งมีปัจจัยผลักดันจากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเติมเต็มให้ครบทุกกลุ่มสินค้า คุณสุรช กล่าวอีกว่า สินค้าของ“จอร์แดน ออรัลแคร์” ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ได้แก่ กลุ่มแปรงสีฟันเด็ก มียอดขายมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 43% สินค้ากลุ่มนี้มีจุดเด่นด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ตามช่วงอายุเด็ก ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้รับรางวัล Best OralCare For Kids (Editor’s Choice) จาก AmarinBaby&Kids Awards 2021 รองลงมาคือ แปรงสีฟันผู้ใหญ่ 34% ยาสีฟันเด็ก 13% และไหมขัดฟัน 10% ดังนั้นในปีนี้ บริษัทฯจึงมีแผนขยายสายผลิตภัณฑ์ออรัลแคร์ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น โดยในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ เตรียมเปิดตัวแปรงสีฟันจอร์แดนรุ่นอัลตร้า ไลท์ (Jordan Ultralite) แปรงสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ที่มีความโดดเด่นคือ น้ำหนักเบาน้อยกว่า 10 กรัม และด้ามจับที่ลดปริมาณการใช้พลาสติกด้วยดีไซน์โดดเด่น เชื่อมั่นว่าจะเป็นหนึ่งในฮีโร่โปรดักส์ที่ช่วยดันยอดขายให้เติบโต นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์แปรงสีฟันตระกูลกรีน คลีน (Green Clean) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลถึง 98% รวมถึงน้ำยาบ้วนปากและไหมขัดฟันดีไซน์รักษ์โลกที่จะพาเหรดเข้ามาเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53586
Retail
ธุรกิจใดในออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่อยู่ในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ
1. ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ 2. ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ 3. อพาร์ตเมนท์ 4. ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 3. อพาร์ตเมนท์ เพราะว่า อพาร์ตเมนท์ เป็นธุรกิจในออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่อยู่ในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย: 1. ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business): พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 103 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 154,900 ล้านบาท 2. ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business): เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3. ธุรกิจบริการ (Service Business): เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53593
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ Google ประเทศไทยในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยเพื่อรับมือกับวิกฤต COVID-19 และผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมโครงการ Saphan Digital เป็นอย่างไร?
Google ประเทศไทยเปิดสถิติโครงการ “Saphan Digital” (สะพานดิจิทัล) หลังฝึกอบรมเอสเอ็มอีได้กว่า 100,000 รายในปี 2021 พร้อมเปิดตัวเลขอินไซต์ 5 ธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการสูงสุดคือ อาหาร-เครื่องดื่ม, แฟชั่น, ค้าปลีก, การบริหาร และสุขภาพความงาม ด้านผู้บริหาร Google เตรียมยกระดับเนื้อหาโครงการให้เหมาะกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระดับภูมิภาคมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจมีความเข้าใจ และสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการจากระดับโลกได้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการประกาศความสำเร็จของโครงการดังกล่าวก็ว่าได้ เพราะในปีที่ผ่านมา เมื่อตอนที่มีการตั้งเป้าโครงการ ทาง Google ประเทศไทยและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เผยว่า ตั้งใจอบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ได้ 100,000 ราย ซึ่งก็พบว่าทำได้ตามที่ระบุไว้ สำหรับผู้ที่เข้ามาเรียนในโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายนี้ คุณอภิชญา เตชะมหพันธ์ หัวหน้าฝ่าย Google Customer Solutions ประจำประเทศไทย เผยว่า 58% เป็นผู้หญิง และมาจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากที่สุด 22% รองลงมาคือเชียงใหม่ 9% ลพบุรี 3% ภูเก็ต 3% และขอนแก่น 3% ขณะที่คุณศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย หัวหน้าฝ่ายการตลาด Google ประเทศไทยได้เผยถึงข้อมูลจากรายงาน e-Conomy SEA 2021 ระบุว่า เครื่องมือดิจิทัลจะมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ประกอบการมากขึ้นในอนาคต โดยแนวโน้มการใช้เครื่องมือดิจิทัลในอีก 5 ปีข้างหน้าพบว่ามี 5 กลุ่มที่ได้รับความสนใจสูง ได้แก่ การตลาดดิจิทัล 90% ซอฟต์แวร์ช่วยปฏิบัติงาน 84% พื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ 81% ซอฟต์แวร์ช่วยทำงานกับทีม 81% บริการเว็บไซต์ 79% การวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล 76% การตลาดดิจิทัล 90% ซอฟต์แวร์ช่วยปฏิบัติงาน 84% พื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ 81% ซอฟต์แวร์ช่วยทำงานกับทีม 81% บริการเว็บไซต์ 79% การวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล 76% SME ไทยสนใจหลักสูตรดิจิทัลใดบ้าง สำหรับผลตอบรับจากโครงการหลังจากที่ได้อบรมมานั้น คุณศารณีย์เผยว่า 75% มองว่า สามารถช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ในช่วง Covid-19 ได้ 99% บอกว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจ 83% มีการสร้างหรืออัปเดตข้อมูลโปรไฟล์หน้าร้านออนไลน์ 65% มีการเติบโตด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าบนออนไลน์ได้มากขึ้น 75% มองว่า สามารถช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ในช่วง Covid-19 ได้ 99% บอกว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจ 83% มีการสร้างหรืออัปเดตข้อมูลโปรไฟล์หน้าร้านออนไลน์ 65% มีการเติบโตด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าบนออนไลน์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ทาง Google ยังเผยด้วยว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอาจมีเวลาไม่มากนัก ในอนาคตจึงอาจมีการปรับรูปแบบคอนเทนต์ – คอร์สการเรียนให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานให้มากขึ้นด้วย ส่วนเนื้อหาที่ได้รับความนิยมจากผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุด 3 อันดับแรกนั้น ประกอบด้วย Surfaces across Google SITE: ความสำคัญของเว็บไซต์ e-Commerce และการวัดผลประสิทธิภาพจากการใช้งาน วิธีการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ให้ลูกค้าหาเจอบน Search และ Maps กับ Google My Business Surfaces across Google SITE: ความสำคัญของเว็บไซต์ e-Commerce และการวัดผลประสิทธิภาพจากการใช้งาน วิธีการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ให้ลูกค้าหาเจอบน Search และ Maps กับ Google My Business “สำหรับเรื่องเทรนด์ของการเรียนการสอน มองว่าเรื่องของทักษะดิจิทัลทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถออกไปแข่งขันนอกประเทศได้ ดังนั้น จึงมีการพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย อย่างเช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ เพื่อทำความเข้าใจ SME ในประเทศเหล่านั้นด้วย และจะนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรของเราให้ก้าวไปสู่ระดับภูมิภาค” คุณศารณีย์กล่าวปิดท้าย ทั้งนี้ ข้อมูลจาก IMF ระบุว่า สถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ทำให้ GDP ของประเทศไทยตกลง 6.1% ในปี 2021 ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ขณะที่มีการประเมินจาก สสว. ว่า ธุรกิจ SME กว่า 1.34 ล้านรายได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งธุรกิจ SME นั้นมีส่วนช่วยสนับสนุน GDP ของประเทศไทยถึง 45% และมีส่วนในการจ้างงานในประเทศถึง 86% การพัฒนาทักษะดิจิทัลเพื่อให้ SME ไทยสามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้งจึงอาจเป็นทางออกที่ดีก็เป็นได้ สำหรับพาร์ทเนอร์ภาคเอกชนที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันประกอบด้วย เทพช็อป เบนโตะเว็บ สเกาท์เอาท์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทรู ดิจิทัล พาร์ค สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ และดิ เอสเคิร์ฟ
กลยุทธ์หลักของ Google ประเทศไทยในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยเพื่อรับมือกับวิกฤต COVID-19 Google ประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการ Saphan Digital มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยเพื่อช่วยให้สามารถปรับตัวและเติบโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 กลยุทธ์หลักของโครงการนี้ ประกอบด้วย 1. การฝึกอบรมฟรี Google เปิดอบรมฟรีให้กับผู้ประกอบการ SME ไทยมากกว่า 100,000 ราย เนื้อหาครอบคลุมหัวข้อสำคัญต่างๆ เช่น การสร้างเว็บไซต์ การตลาดดิจิทัล การใช้โซเชียลมีเดีย การวิเคราะห์ข้อมูล การชำระเงินออนไลน์ ฯลฯ ผู้เข้าร่วมมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย กลุ่มเป้าหมายหลักมาจากกรุงเทพฯและปริมณฑล 2. เนื้อหาที่ตรงกับความต้องการ Google ออกแบบเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ SME ไทย ข้อมูลจากรายงาน e-Conomy SEA 2021 ชี้ว่า เครื่องมือดิจิทัล 5 กลุ่มที่ผู้ประกอบการ SME ไทยให้ความสนใจสูง ได้แก่ การตลาดดิจิทัล ซอฟต์แวร์ช่วยปฏิบัติงาน พื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ซอฟต์แวร์ช่วยทำงานกับทีม และบริการเว็บไซต์ เนื้อหาที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เข้าร่วมโครงการ Saphan Digital 3 อันดับแรก ได้แก่ Surfaces across Google SITE ความสำคัญของเว็บไซต์ e-Commerce และการวัดผลประสิทธิภาพจากการใช้งาน วิธีการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ให้ลูกค้าหาเจอบน Search และ Maps กับ Google My Business เทคนิคการโฆษณาออนไลน์บน Google Ads 3. ความร่วมมือกับพันธมิตร Google ร่วมมือกับพันธมิตรภาคเอกชนหลายราย เช่น เทพช็อป เบนโตะเว็บ สเกาท์เอาท์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทรู ดิจิทัล พาร์ค สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ และดิ เอสเคิร์ฟ พันธมิตรเหล่านี้ช่วยให้ Google เข้าถึงผู้ประกอบการ SME ไทยได้อย่างกว้างขวาง และนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมโครงการ Saphan Digital จากผลสำรวจผู้เข้าร่วมโครงการ Saphan Digital พบว่า -75% มองว่า โครงการนี้ช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ในช่วง COVID-19 ได้ -99% บอกว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจ -83% มีการสร้างหรืออัปเดตข้อมูลโปรไฟล์หน้าร้านออนไลน์ -65% มีการเติบโตด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าบนออนไลน์ได้มากขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53594
Retail
กลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับกลุ่ม The TT Demander หรือ Traditional Shoppers มีอะไรบ้าง?
null
กลุ่ม The TT Demander หรือ Traditional Shoppers เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีสัดส่วน 50% ของประชากรไทย อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด มีรายได้ล่างถึงกลาง วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของกลุ่มนี้เน้นความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน สังคม และต้องการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้ตนเองและครอบครัว กลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับกลุ่มนี้มีดังนี้: 1. เน้นช่องทางการจำหน่ายแบบดั้งเดิม: -กลุ่มนี้ยังนิยมซื้อสินค้าที่ร้านค้าดั้งเดิม (Traditional Trade) มากกว่าช่องทางออนไลน์ -แบรนด์ควรกระจายสินค้าให้ครอบคลุมร้านค้าท้องถิ่นในต่างจังหวัด -พัฒนาโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มนี้ 2. ผสมผสานช่องทางออนไลน์เข้ากับออฟไลน์: -แม้กลุ่มนี้จะคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าแบบดั้งเดิม แต่ก็เริ่มเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี -แบรนด์ควรสร้างช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น เพื่อรองรับกลุ่มนี้ -ร้านค้าท้องถิ่นควรนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การรับชำระเงินผ่าน e-payment การโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย 3. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก: -กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย -แบรนด์ควรพัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ -ร้านค้าท้องถิ่นควรปรับปรุงบรรยากาศภายในร้าน จัดเรียงสินค้าให้เป็นระเบียบ และให้บริการด้วยความรวดเร็ว 4. นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ: -กลุ่มนี้มักซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน -แบรนด์ควรนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาย่อมเยา ตรงกับความต้องการของกลุ่มนี้ -ร้านค้าท้องถิ่นควรคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ หลากหลายแบรนด์ ให้ลูกค้ามีตัวเลือก 5. สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ: -กลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากสื่อในท้องถิ่น -แบรนด์ควรใช้สื่อท้องถิ่น เช่น วิทยุ ทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ ในการโฆษณา -ร้านค้าท้องถิ่นควรทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ตัวอย่างกลยุทธ์: -แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก สามารถจัดโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าท้องถิ่น ซื้อสินค้าครบจำนวนตามกำหนดรับของรางวัล -ร้านค้าโชห่วยสามารถนำเสนอสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line Official Account เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ -แบรนด์สินค้าแฟชั่นสามารถจัดแฟชั่นโชว์ในท้องถิ่น เพื่อนำเสนอสินค้าและสร้างการรับรู้ สรุป: การทำตลาดในกลุ่ม The TT Demander จำเป็นต้องเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิต ความต้องการ และพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มนี้ แบรนด์ควรผสมผสานช่องทางการจำหน่ายแบบดั้งเดิมและออนไลน์ นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53622
Retail
การขยายธุรกิจโรงแรมของเซ็นทารา 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: -การขยายธุรกิจโรงแรมจะดึงดูดนักท่องเที่ยว: เซ็นทารามีแผนขยายโรงแรมทั้งในไทยและต่างประเทศ เน้นไปที่ภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน เวียดนาม ตะวันออกกลาง และซาอุดิอาระเบีย ตลาดยุโรป มัลดีฟส์ เน้นกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น -การท่องเที่ยวที่คึกคักจะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก: นักท่องเที่ยวจะใช้จ่ายเงินในร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ส่งผลดีต่อยอดขายและรายได้ของธุรกิจค้าปลีก กระตุ้นเศรษฐกิจไทย -เซ็นทารามีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง: มีโรงแรมในเครือ 100 แห่งทั่วโลก มีสมาชิกในคลับกว่า 3 ล้านคน ฐานลูกค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีโอกาสใช้จ่ายในธุรกิจค้าปลีก -เซ็นทารามีแผนพัฒนาธุรกิจค้าปลีกควบคู่ไปกับธุรกิจโรงแรม: พัฒนาศูนย์การค้าและแหล่งช้อปปิ้งในบริเวณโรงแรม ร่วมมือกับแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ตัวอย่าง: เซ็นทาราเปิดโรงแรมใหม่ในจังหวัดภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวเหล่านี้ไปช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดภูเก็ต ส่งผลดีต่อยอดขายของร้านค้าในห้างสรรพสินค้า กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก เช่น สภาพเศรษฐกิจโลก นโยบายภาครัฐ พฤติกรรมผู้บริโภค ดังนั้น การขยายธุรกิจโรงแรมของเซ็นทารา 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53623
Retail
Pomelo แพลตฟอร์มและแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ menawarkan โมเดลธุรกิจแบบ omnichannel ซึ่งลูกค้าสามารถ "แตะ ลอง ซื้อ" ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ -เทรนด์ omnichannel: ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งแบบ omnichannel มากขึ้น ต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น ไร้รอยต่อ ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ -ความสะดวกสบาย: โมเดล omnichannel ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบสินค้า เลือกซื้อ และชำระเงินได้สะดวก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะอยู่ที่ไหน -การเข้าถึงลูกค้า: โมเดล omnichannel ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า -การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี: โมเดล omnichannel ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ตัวอย่าง แบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ทั่วโลกต่างหันมาใช้โมเดล omnichannel เช่น Zara, H&M, Uniqlo กรณีศึกษา Pomelo -Pomelo นำเสนอโมเดลธุรกิจแบบ omnichannel ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ไปลองสินค้าที่ร้านค้าออฟไลน์ หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แล้วไปรับสินค้าที่ร้านค้าออฟไลน์ได้ -Pomelo มีร้านค้าออฟไลน์ในหลายประเทศ เช่น ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ -Pomelo พัฒนาแอปพลิเคชั่นมือถือ ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหา เลือกซื้อ และชำระเงินสินค้าได้สะดวก สรุป Pomelo นำเสนอโมเดลธุรกิจแบบ omnichannel สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถ "แตะ ลอง ซื้อ" ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53627
Retail
กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าด้วย "แคมเปญชิงโชค" ของร้านถูกดี มีมาตรฐาน มีประสิทธิภาพเพียงใด? อะไรคือกลยุทธ์อื่น ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าในระยะยาว?
null
ข้อดีของแคมเปญชิงโชค: - ดึงดูดลูกค้าใหม่: รางวัลที่น่าสนใจสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยเข้าร้านมาก่อน - กระตุ้นยอดขาย: ลูกค้าเก่าอาจซื้อสินค้ามากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการลุ้นรางวัล - สร้างการรับรู้แบรนด์: แคมเปญช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ "ถูกดี มีมาตรฐาน" ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ข้อจำกัดของแคมเปญชิงโชค: - ผลลัพธ์ระยะสั้น: แคมเปญชิงโชคมีผลลัพธ์ระยะสั้น ลูกค้าอาจเข้ามาซื้อสินค้าเพียงเพราะต้องการลุ้นรางวัล - ไม่ได้สร้างความภักดีต่อแบรนด์: ลูกค้าอาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าที่ร้านอื่นหากมีแคมเปญที่น่าสนใจกว่า - ต้นทุนสูง: ร้านค้าต้องลงทุนกับรางวัลและกิจกรรมส่งเสริมการขาย กลยุทธ์อื่น ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าในระยะยาว: - พัฒนาสินค้าและบริการ: นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาเหมาะสม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า พัฒนาบริการให้สะดวก รวดเร็ว เช่น บริการจัดส่งสินค้า - สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: เน้นการบริการที่เป็นมิตร บรรยากาศภายในร้านสะดวกสบาย พัฒนาระบบการชำระเงินให้สะดวก - สร้างความภักดีต่อแบรนด์: จัดโปรแกรมสมาชิก มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลด สะสมแต้ม แจกของรางวัล - ทำการตลาดแบบดิจิทัล: โปรโมทร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Line Official Account - เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย: ออกร้านในงานอีเวนต์ต่างๆ ร่วมกับบริษัทอื่นจัดโปรโมชั่น สรุป: แคมเปญชิงโชค "ช้อปถูกดี มีลุ้นโชค" เป็นกลยุทธ์ที่ดึงดูดลูกค้าได้ในระยะสั้น แต่ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ควรพัฒนากลยุทธ์อื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดลูกค้าในระยะยาว เช่น พัฒนาสินค้าและบริการ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53629
Retail
วิดีโอคอนเทนต์ On-Demand บนเว็บไซต์ Amazon Global Selling Thailand นำเสนอหัวข้ออะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับ Retail สำหรับผู้ขายชาวไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน?
Amazon Global Selling Thailand ได้เปิดตัววิดีโอคอนเทนต์ On-Demand จากงาน Amazon Global Selling Thailand Seller Conference 2565 ล่าสุดที่ผ่านมา เพื่อให้ SMEs ชาวไทยได้เรียนรู้ถึงโอกาสของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน และวิธีการขายสินค้าให้ได้ไปไกลสู่ตลาดโลก ซึ่งสามารถรับชมฟรีและเป็นภาษาไทย โดยเข้าไปรับชมได้ที่ เนื้อหาวิดีโอ On-Demand ของ Amazon Global Selling Thailand นั้นรวบรวมมาจากงานสัมมนาและเวิร์คช็อปกว่า 15 รายการ นำโดยผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรของ Amazon Global Selling จากงาน Amazon Global Selling Thailand Seller Conference 2565 ล่าสุดที่มี SME ชาวไทยเข้าร่วมงานมากกว่า 5,000 คน คุณเจมี่ เบรนแนน Head of Amazon Global Selling Thailand กล่าวว่า “เอสเอ็มอีชาวไทยจำนวนมากต้องการส่งสินค้าจากประเทศไทยไปขายที่ต่างประเทศแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน หลายคนมีความกังวลเรื่องอุปสรรคทางภาษา เป้าหมายของเราคือต้องการที่จะส่งเสริมผู้ขายชาวไทยด้วยข้อมูลและทรัพยากรที่เรามีทั้งหมดให้แก่พวกเขา เพื่อให้ผู้ขายได้รับรู้ว่าการเข้าถึงผู้ซื้อกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกบน Amazon นั้นสะดวกเพียงใด” “เพียงคุณเข้าไปที่ คุณก็จะสามารถคลิกเพื่อดูคอนเทนต์ on-demand เป็นภาษาไทยได้ฟรี และสามารถรับชมข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อต่อยอดและยกระดับธุรกิจของคุณให้ก้าวหน้าไปสู่ระดับต่อไปได้” เธอกล่าวเสริม หัวข้อที่ครอบคลุม: ถอดบทเรียนจากปี 2564 และมองไปสู่อนาคตในปี 2565 โดยคุณเจมี่ เบรนแนน Head of Amazon Global Selling Thailand: มองย้อนกลับไปถอดบทเรียนจากปี 2564 ที่ผ่านมา และมองไปสู่อนาคตในปี 2565 เพื่อหาโอกาสการเติบโตสำหรับ SME ชาวไทยในการเข้าสู่การขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน Seller Panel: เรื่องราวเส้นทางสู่ความสำเร็จในการขายบน Amazon และวิธีที่ผู้ขายชาวไทยสามารถเติบโตได้: ฟังเรื่องราวจาก SME ชาวไทยและเรื่องราวความสำเร็จของพวกเขาในการขายสินค้าบน Amazon ทั่วโลกและการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์เพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการระบาดใหญ่โควิด-19 แนวโน้มปี 2565: เทรนด์การขายออนไลน์และสินค้าที่ควรจับตามอง: ฟังเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซปี 2565 และวิธีวางแผนกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขายที่สูงสุดผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ข้อมูลเบื้องต้นด้านการจัดการโลจิสติกส์ผ่าน FBA: ทุกเรื่องที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการจัดส่งคำซื้อครั้งแรกของคุณผ่าน Fulfillment By Amazon (FBA) ถอดบทเรียนจากปี 2564 และมองไปสู่อนาคตในปี 2565 โดยคุณเจมี่ เบรนแนน Head of Amazon Global Selling Thailand: มองย้อนกลับไปถอดบทเรียนจากปี 2564 ที่ผ่านมา และมองไปสู่อนาคตในปี 2565 เพื่อหาโอกาสการเติบโตสำหรับ SME ชาวไทยในการเข้าสู่การขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน Seller Panel: เรื่องราวเส้นทางสู่ความสำเร็จในการขายบน Amazon และวิธีที่ผู้ขายชาวไทยสามารถเติบโตได้: ฟังเรื่องราวจาก SME ชาวไทยและเรื่องราวความสำเร็จของพวกเขาในการขายสินค้าบน Amazon ทั่วโลกและการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์เพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการระบาดใหญ่โควิด-19 แนวโน้มปี 2565: เทรนด์การขายออนไลน์และสินค้าที่ควรจับตามอง: ฟังเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซปี 2565 และวิธีวางแผนกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขายที่สูงสุดผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ข้อมูลเบื้องต้นด้านการจัดการโลจิสติกส์ผ่าน FBA: ทุกเรื่องที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการจัดส่งคำซื้อครั้งแรกของคุณผ่าน Fulfillment By Amazon (FBA) ในขณะที่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจท้องถิ่นและธุรกิจ SME ไทย แต่การระบาดนี้ก็ยังคงเปิดโอกาสให้ SME ไทยได้เรียนรู้ที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจและปรับตัวให้เข้ากับธุรกิจยุคใหม่และภูมิทัศน์ของอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน กระแสอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนนั้นเรียกได้ว่ากำลังเฟื่องฟู เนื่องด้วยยอดขายของธุรกิจค้าปลีกยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่จริงแล้ว มีการคาดการณ์ว่าอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศนั้นจะเติบโตอยู่ที่ 2.3 เท่า1ของอัตราอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในอีก 5 ปีข้างหน้า และยังกลายเป็นโอกาสของผู้ขายที่กำลังเพิ่มขึ้นในอีกหลายประเทศอย่างเช่น ประเทศไทย โดยเป็นโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ขายสามารถขยายธุรกิจและเข้าถึงลูกค้าใหม่ทั่วโลกและได้มีผลสำรวจระหว่างช่วงเดือนกันยายน 2563 ถึงสิงหาคมปี 2564 แสดงถึงยอดขายเฉลี่ยของ SME ในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นถึง 25% และผู้ขายชาวไทยที่มียอดขายทะลุ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับกรอบเวลาเดียวกันปีต่อปี
วิดีโอคอนเทนต์ On-Demand บนเว็บไซต์ Amazon Global Selling Thailand นำเสนอหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ Retail สำหรับผู้ขายชาวไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ดังนี้ 1. บทเรียนสำคัญจากปี 2564 และแนวโน้มปี 2565: วิเคราะห์บทเรียนสำคัญจากปี 2564 เพื่อให้ผู้ขายเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปี 2565 เตรียมความพร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น 2. เรื่องราวความสำเร็จและกลยุทธ์จากผู้ขายชาวไทย: ศึกษากรณีศึกษาจากผู้ขายชาวไทยที่ประสบความสำเร็จบน Amazon เรียนรู้กลยุทธ์และแนวทางปฏิบัติที่ผู้ขายเหล่านี้ใช้เพื่อขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขาย ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจตนเอง 3. เทรนด์สินค้าและโอกาสในอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน: ติดตามเทรนด์สินค้าที่กำลังได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างประเทศ ค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดต่างประเทศที่ตรงกับสินค้าและศักยภาพของธุรกิจ วางแผนกลยุทธ์การผลิตและพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในต่างประเทศ 4. ข้อมูลเบื้องต้นด้านการจัดการโลจิสติกส์ผ่าน FBA: เรียนรู้ระบบ Fulfillment By Amazon (FBA) ของ Amazon เข้าใจขั้นตอนการจัดส่งสินค้าและการจัดการคลังสินค้าผ่าน FBA เตรียมความพร้อมสำหรับการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ 5. การตลาดและโฆษณาบน Amazon: เรียนรู้กลยุทธ์การตลาดและโฆษณาที่มีประสิทธิภาพบน Amazon เทคนิคการใช้เครื่องมือและบริการต่าง ๆ ของ Amazon เพื่อโปรโมทสินค้าและเข้าถึงลูกค้า เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย 6. การบริการลูกค้าและการจัดการคำสั่งซื้อ: เรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการบริการลูกค้าบน Amazon วิธีจัดการคำสั่งซื้อ การจัดส่ง และการคืนสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเพื่อรักษาฐานลูกค้าและสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ 7. กฎระเบียบและข้อกำหนดทางกฎหมาย: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าในต่างประเทศ เรียนรู้วิธีการปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย ปกป้องธุรกิจจากความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า 8. แหล่งข้อมูลและเครื่องมือสำหรับผู้ขาย: เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ Amazon นำเสนอเพื่อสนับสนุนผู้ขาย เข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโต พัฒนาทักษะและความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 9. การวิเคราะห์ข้อมูลและการติดตามผล: เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลการขายและประสิทธิภาพของธุรกิจบน Amazon ติดตามผลลัพธ์จากกลยุทธ์และแคมเปญต่าง ๆ ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและ optimize ธุรกิจให้บรรลุเป้าหมาย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53634
Retail
นินจาแวน ธุรกิจโลจิสติกส์ที่ก่อตั้งในสิงคโปร์ เข้าสู่ตลาดไทยเมื่อปี 2559 เร่งสร้างแบรนด์ ในประเทศไทย ด้วย 4 จุดขาย ดังต่อไปนี้
ธุรกิจขนส่งพัสดุมูลค่า 50,000 ล้านบาท ยังคงเติบโตได้อีกจากตลาดอีคอมเมิร์ซขยายตัวสูงปีละ 30% ช่วงที่ผ่านมาจึงเห็นผู้ประกอบการ “รายใหม่” ทั้งไทยและต่างประเทศ เปิดตัวเข้ามาแข่งขันมากขึ้น รวมทั้ง “นินจาแวน” ธุรกิจโลจิสติกส์ที่ก่อตั้งในสิงคโปร์ ปัจจุบันมีเครือข่ายใน 6 ประเทศ เข้าสู่ตลาดไทยเมื่อปี 2559 การทำตลาดช่วงแรก นินจาแวน เน้นไปที่การลงทุนเทคโนโลยีวางเครือข่ายระบบส่งสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า หน้าร้านและจุดรับพัสดุร่วมกับพันธมิตร ปัจจุบันมีหน้าร้านที่ลงทุนเองและแฟรนไชส์ 500 แห่ง และจุดรับพัสดุของพันธมิตรอีก 12,000 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในเครือ SABUY เพื่อให้บริการลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ หลังเปิดบริการในไทยมา 6 ปี นินจาแวน พร้อมเปิดเกมรุกสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในตลาดแมสมากขึ้น ปี 2565 ประกาศใช้งบการตลาด 100 ล้านบาท เริ่มที่แคมเปญโฆษณาผ่านสื่อครั้งแรก โดยเลือก “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สื่อสารแบรนด์สร้างความเชื่อมั่นบริการขนส่ง PS Ninjavan คุณเพียซ เอิง กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย จำกัด อีคอมเมิร์ซไทยโตแรงหนุนธุรกิจขนส่ง การเปิดเกมรุกทำตลาดธุรกิจขนส่งในปีนี้ คุณเพียซ เอิง กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย จำกัด มองโอกาสจากปัจจัยหนุนตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังเติบโตได้อีก เพราะปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 8-10% ของตลาดค้าปลีก หากเปรียบเทียบกับประเทศที่อีคอมเมิร์ซโตสูงอย่างจีน สัดส่วนอยู่ที่ 25% พฤติกรรมคนไทยคุ้นเคยกับการซื้อออนไลน์ ช่วงโควิดมีนักช้อปหน้าใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้ภาพรวมของตลาดขนส่งพัสดุในประเทศไทยมียอดการจัดส่งพัสดุเพิ่มมากถึง 3 เท่า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มลดลง แต่ยอดจัดส่งพัสดุไม่ได้ลดลงและคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีนี้ เป้าหมายของ นินจาแวน ปีนี้จะขยายจุดบริการให้มากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มศูนย์กระจายสินค้า 200 แห่ง เน้นในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ รวมถึงขยายหน้าร้านทั้งที่ลงทุนเองและแฟรนไชส์กว่า 2,000 แห่ง รวมทั้งเพิ่มจุดรับพัสดุกับพันธมิตรรายใหม่ จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 12,000 จุด โดยรวมปีนี้ นินจาแวน จะมีจุดรับพัสดุราว 15,000 จุด ถือว่าครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ การใช้บริการในธุรกิจขนส่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอี พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือคนทั่วไป คือ “สปีด” ในการส่งให้เร็วที่สุด เดิมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคกลาง ตะวันออกและตะวันตก นินจาแวน จะใช้เวลาส่ง 2-4 วัน ปีที่ผ่านมาสามารถจัดส่งได้ภายใน 1-2 วัน ส่วนพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ เดิมจัดส่ง 2-4 วัน ปีนี้หลังจากขยายจุดรับส่งพัสดุ ศูนย์กระจายสินค้า และพนักงานส่งแล้ว จะสามารถจัดส่งได้ภายใน 1-2 วัน โดยให้บริการ 365 วันไม่มีวันหยุด ninjavan Parcel Delivery 2 เร่งสร้างแบรนด์ ด้วย 4 จุดขาย กลยุทธ์การทำตลาดปีนี้ นินจาแวน จะสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยแคมเปญโฆษณา “มนุษย์ห่วง” โดยมี “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” มาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนแรก เพื่อสื่อสารบริการขนส่งของ นินจาแวน ที่ช่วยแก้ Pain Point หลักๆ ของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าเป็น ส่งช้า พัสดุเสียหายหรือสูญหาย ได้เงินช้า และค่าส่งแพง โดยเน้น 4 จุดขายของแบรนด์นินจาแวน คือ 1. การจัดส่งรวดเร็วและคุ้มครองการบริการ หากไม่สามารถส่งได้ตามเวลาจัดส่งฟรีพร้อมคืนเงินให้ 2. คุ้มครองพัสดุสูญหายหรือเสียหายในวงเงินสูงสุด 5,000 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3. บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) จ่ายเงินภายใน 1 วัน และ 4. ราคาคุ้มค่า เริ่มต้นที่ 23 บาท (จัดส่งจำนวนมากราคาลดลงอีก) นอกจากแคมเปญโฆษณาผ่านสื่อทีวี ออนไลน์ บิลบอร์ดที่กระจายไปทั่วในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จะมีกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชั่นออกมาตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่ พร้อม Line Official Account เพิ่มฟีเจอร์แชทสดและฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อให้บริการลูกค้า ในปีที่ผ่านมา นินจาแวน มีส่วนแบ่งการตลาดส่งพัสดุ 7-8% ปี 2565 จากแนวโน้มอีคอมเมิร์ซเติบโต และการรุกทำตลาดของนินจาแวน วางเป้าหมายยอดส่งพัสดุเติบโต 200% มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 13-15% เป็นอันดับ 4 ในธุรกิจขนส่ง
กลยุทธ์การทำตลาดปีนี้ นินจาแวน จะสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยแคมเปญโฆษณา “มนุษย์ห่วง” โดยมี “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” มาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนแรก เพื่อสื่อสารบริการขนส่งของ นินจาแวน ที่ช่วยแก้ Pain Point หลักๆ ของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าเป็น ส่งช้า พัสดุเสียหายหรือสูญหาย ได้เงินช้า และค่าส่งแพง โดยเน้น 4 จุดขายของแบรนด์นินจาแวน ดังนี้คือ 1. การจัดส่งรวดเร็วและคุ้มครองการบริการ หากไม่สามารถส่งได้ตามเวลาจัดส่งฟรีพร้อมคืนเงินให้ 2. คุ้มครองพัสดุสูญหายหรือเสียหายในวงเงินสูงสุด 5,000 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3. บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) จ่ายเงินภายใน 1 วัน 4. ราคาคุ้มค่า เริ่มต้นที่ 23 บาท (จัดส่งจำนวนมากราคาลดลงอีก) นอกจากแคมเปญโฆษณาผ่านสื่อทีวี ออนไลน์ บิลบอร์ดที่กระจายไปทั่วในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จะมีกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชั่นออกมาตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่ พร้อม Line Official Account เพิ่มฟีเจอร์แชทสดและฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อให้บริการลูกค้า
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53636
Retail
อะไรคือกลยุทธ์ของธุรกิจค้าปลีกในเกาหลีใต้ ที่ใช้หุ่นยนต์มาช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลางแรงกดดันจากค่าแรงที่สูงขึ้นและการแข่งขันออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง
null
กลยุทธ์ของธุรกิจค้าปลีกในเกาหลีใต้ ที่ใช้หุ่นยนต์มาช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลางแรงกดดันจากค่าแรงที่สูงขึ้นและการแข่งขันออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง มีดังนี้: 1. ลดต้นทุน: - หุ่นยนต์สามารถทำงานแทนพนักงาน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลดลง - หุ่นยนต์ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลาและเงิน ตัวอย่าง: - หุ่นยนต์สามารถส่งอาหารและสินค้า โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงาน - หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลา 2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: - หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดข้อผิดพลาด - หุ่นยนต์สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ตัวอย่าง: - หุ่นยนต์สามารถส่งอาหารได้โดยไม่ต้องกลัวอากาศร้อนหรือฝนตก - หุ่นยนต์สามารถทำงานในคลังสินค้า ช่วยให้จัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: - การใช้หุ่นยนต์ช่วยให้ธุรกิจดูทันสมัย - หุ่นยนต์ช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอบริการที่แตกต่าง ตัวอย่าง: - การใช้หุ่นยนต์ส่งอาหาร ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันกับร้านอาหารออนไลน์ - การใช้หุ่นยนต์ในคลังสินค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดส่งสินค้าได้รวดเร็ว 4. รองรับการเติบโตของธุรกิจออนไลน์: - หุ่นยนต์สามารถช่วยจัดส่งสินค้าที่สั่งซื้อออนไลน์ - หุ่นยนต์สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้า ตัวอย่าง: - หุ่นยนต์สามารถส่งสินค้าที่สั่งซื้อจากร้านสะดวกซื้อ - หุ่นยนต์สามารถส่งสินค้าที่สั่งซื้อจากห้างสรรพสินค้า 5. เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต: - เทคโนโลยีหุ่นยนต์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง - การใช้หุ่นยนต์จะกลายเป็นเรื่องปกติในธุรกจ ตัวอย่าง: - หุ่นยนต์สามารถทำงานที่หลากหลายมากขึ้น - หุ่นยนต์สามารถทำงานร่วมกับพนักงานได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกควรศึกษาและวิเคราะห์กลยุทธ์เหล่านี้ และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกควรพิจารณาถึงข้อจำกัดของการใช้หุ่นยนต์ เช่น: 1. หุ่นยนต์มีราคาสูง 2. หุ่นยนต์ไม่สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ 3. หุ่นยนต์อาจสร้างความกังวลให้กับลูกค้า โดยสรุป: การใช้หุ่นยนต์เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกในเกาหลีใต้สามารถอยู่รอดท่ามกลางแรงกดดันจากค่าแรงที่สูงขึ้นและการแข่งขันออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกควรศึกษาและวิเคราะห์กลยุทธ์เหล่านี้ และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53641
Retail
การที่โลตัสวางตัวเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ช่วยให้ SMEs ไทยสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. โลตัสมีเครือข่ายสาขากว้างขวาง โลตัสมีสาขามากกว่า 2,200 สาขาทั่วประเทศไทย ครอบคลุมทั้งในเขตเมืองและต่างจังหวัด SMEs ที่เข้าร่วมแพลตฟอร์มแห่งโอกาสของโลตัส จะมีโอกาสวางจำหน่ายสินค้าในสาขาเหล่านี้ ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้โดยไม่ต้องลงทุนสร้างสาขาเอง 2. โลตัสมีช่องทางออนไลน์ที่แข็งแกร่ง โลตัสมีเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น Lotus's SMART ซึ่งมีผู้ใช้งานจำนวนมาก SMEs ที่เข้าร่วมแพลตฟอร์มแห่งโอกาส จะมีโอกาสวางจำหน่ายสินค้าบนช่องทางออนไลน์เหล่านี้ ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าที่ช้อปออนไลน์ได้ 3. โลตัสมีกิจกรรมส่งเสริมการขายที่หลากหลาย โลตัสจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างสม่ำเสมอ เช่น โปรโมชั่นส่วนลด แลกคะแนนสะสม กิจกรรมเหล่านี้ช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าในโลตัส ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับ SMEs ที่จะเพิ่มยอดขาย 4. โลตัสมีโครงการพัฒนาศักยภาพ SMEs โลตัสมีโครงการอบรม ให้ความรู้ และคำปรึกษาแก่ SMEs เพื่อช่วยให้พัฒนาสินค้า การตลาด และการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยให้ SMEs มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น 5. โลตัสมีเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง โลตัสมีพันธมิตรทางธุรกิจหลายราย เช่น ผู้ผลิตสินค้า บริษัทขนส่ง สถาบันการเงิน การร่วมมือกับพันธมิตรเหล่านี้ช่วยให้โลตัสสามารถให้บริการแก่ SMEs ได้อย่างครบวงจร ตัวอย่าง -คุณสมชาย เป็นเจ้าของธุรกิจผลิตน้ำพริก เดิมทีคุณสมชายขายน้ำพริกผ่านร้านค้าท้องถิ่น แต่ยอดขายไม่ค่อยดี ต่อมาคุณสมชายเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพ SMEs ของโลตัส และได้รับคำแนะนำในการพัฒนาสินค้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการทำตลาด หลังจากนั้นคุณสมชายนำสินค้าไปวางจำหน่ายในโลตัส ปรากฏว่ายอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก -บริษัท XYZ เป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าเด็ก เดิมทีบริษัท XYZ ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ต้องการขยายฐานลูกค้า ต่อมาบริษัท XYZ เข้าร่วมแพลตฟอร์มแห่งโอกาสของโลตัส และได้รับโอกาสวางจำหน่ายสินค้าในสาขาทั่วประเทศ ซึ่งช่วยให้บริษัท XYZ เข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก และเพิ่มยอดขายได้อย่าง signifikan สรุป การที่โลตัสวางตัวเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ช่วยให้ SMEs ไทยสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ผ่านเครือข่ายสาขา ช่องทางออนไลน์ กิจกรรมส่งเสริมการขาย โครงการพัฒนาศักยภาพ และเครือข่ายพันธมิตรของโลตัส ซึ่งช่วยให้ SMEs ไทยมีโอกาสเติบโต และประสบความสำเร็จในธุรกิจ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53645
Retail
ทางกลุ่ม Capital A ได้ประกาศเป้าหมายของบริษัทมีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2026 มีอะไรบ้าง
การทำธุรกิจสายการบินอย่างเดียวอาจไม่พออีกต่อไป โดยหนึ่งในบริษัทที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจอาจะเป็นกรณีของกลุ่มแอร์เอเชีย เมื่อ “โทนี่ เฟอร์นันเดส” ผู้บริหารยักษ์ใหญ่ของทางกลุ่มได้ออกมาประกาศทรานสฟอร์มองค์กรสู่ยุคดิจิทัล พร้อมเปลี่ยนชื่อจาก AirAsia Group สู่ “Capital A” พร้อมตั้งเป้าว่าจะต้องสามารถเข้าถึงผู้คนกว่า 1 พันล้านคนในอาเซียนให้ได้ภายในปี 2026 สำหรับสิ่งที่นำไปสู่การทรานสฟอร์มองค์กรครั้งนี้ ทางผู้บริหารอย่างโทนี่ เฟอร์นันเดสบอกว่า พวกเขามีสิ่งที่เรียกว่าฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งจากการประกอบธุรกิจตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และจะนำฐานข้อมูลเหล่านั้นมาใช้กับโปรดักท์อื่น ๆ ของทางกลุ่มที่ไม่ใช่แค่ค่าโดยสารสายการบินอีกต่อไป เห็นได้จาก airasia SuperApp ซึ่งเป็นช่องทางหลักของทางค่ายในยุคต่อไปนั้น มีผลิตภัณฑ์ของทางกลุ่มอยู่ถึง 16 โปรดักท์ ซึ่งทางบริษัทบอกว่า เป็นบริการที่ครอบคลุมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น บริการด้านอาหาร, ค้าปลีก, อีคอมเมิร์ซ, ขนส่งสินค้าภายในวันเดียว, บริการเรียกรถ, OTA ฯลฯ นอกจากนั้น ทางกลุ่ม Capital A ยังได้ประกาศเป้าหมายของบริษัทดังต่อไปนี้ เป็นกลุ่มสายการบินที่เชื่อมต่อและให้บริการผู้คนกว่า 1 พันล้านคนในอาเซียน มีแผนกวิศวกรรม (Asia Digital Engineering : ADE) และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม หรือเป็น MRO ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วางโพสิชันให้ airasia Super App เป็นสุดยอดแอปในอาเซียน มีผู้ใช้งาน BigPay (บริการฟินเทคของทางค่าย) 10 ล้านคนต่อเดือน มีส่วนแบ่งตลาด 10% ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส่วนงาน Teleport) มีผู้ลงทะเบียน 5 ล้านแอคเคาน์ใน AirAsia Academy ยอดสั่งซื้อของชำ (grocery) มากกว่า 21 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งหมดนี้ ทางกลุ่มตั้งเป้าทำให้สำเร็จภายในปี 2026 หรืออีก 4 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งหากทำได้ จะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่ไม่ได้มาจากสายการบิน จะเพิ่มเป็น 50% จากรายได้รวมของกลุ่มภายในปี 2026 จากสายการบินสู่การเป็นคู่แข่ง “Grab”? การประกาศทรานสฟอร์มองค์กรของ airasia Group สู่ Capital A ยังอาจหมายถึงการประกาศตัวเป็นคู่แข่งคนใหม่ในวงการโลจิสติกส์ – Food Delivery – อีคอมเมิร์ซด้วย ซึ่งอาจเป็นความท้าทายที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคอาเซียนอย่าง Grab นั่งไม่ติดก็เป็นได้ การรุกคืบข้อหนึ่งที่เห็นได้คือการเข้าซื้อกิจการ Gojek ที่ให้บริการในประเทศไทยไปด้วยมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย AirAsia Digital บริษัทลูกของกลุ่มแอร์เอเชียเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ก่อนจะเปิดตัวบริการ airasia food ในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีการเปิดตัว airasia Ride ซึ่งเป็นบริการรับส่งผู้โดยสารในประเทศไทยภายในปีนี้ เช่นเดียวกับในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ รวมถึงธุรกิจส่งด่วน airasia Xpress ด้วย (โดยปัจจุบัน บริการ airasia Ride และ airasia Xpress ได้เปิดให้บริการแล้วในมาเลเซีย ซึ่งทางคุณ อแมนด้า วู (Amanda Woo) ผู้บริหาร AirAsia Digital เคยให้สัมภาษณ์ว่า บริการ AirAsia Ride ครอบคลุมตามหัวเมืองใหญ่แล้ว และมีตัวเลขการใช้บริการหกหลักต่อเดือน ขณะที่ไรเดอร์นั้นมีอยู่ราว 30,000 คน ซึ่งการควบกิจการ Gojek ในประเทศไทยจะทำให้การบุกตลาดดังกล่าวทำได้รวดเร็วขึ้น) จากบริการที่เปิดตัวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นบริการที่ไม่ต่างจากสิ่งที่ Grab หรือบรรดา SuperApp รายอื่น ๆ ให้บริการแต่อย่างใด เพียงแต่สิ่งที่ Capital A มีมากกว่าคือเรื่องของสายการบิน การขนส่งข้ามประเทศ การขนส่งข้ามเมือง และการเป็นผู้เล่นในตลาด OTA ที่กำลังเริ่มฟื้นตัว กลุ่ม Capital A ยังเปิดเผยตัวเลขด้วยว่า ปัจจุบันมีผู้เยี่ยมชม airasia Super App มากกว่า 50 ล้านคนในแต่ละเดือน ขณะที่ BigPay บริการด้านฟินเทคของทางกลุ่มก็ได้รับการอัดฉีดเงินจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐจากกลุ่มบริษัท SK ในเกาหลีใต้มาด้วยเช่นกัน โดยในภาพรวม บริษัทมีการระดมทุนไปแล้วกว่า 2.5 พันล้านริงกิต และจะมีการระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับ airasia Super App, Teleport และ ADE ซึ่งจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ด้วย จากนี้ไปจึงอาจเป็นช่วงพิสูจน์ฝีมือว่า ทางกลุ่ม Capital A จะสามารถผสานจิ๊กซอว์ที่มีเข้าด้วยกันอย่างไรจึงจะกลายเป็นการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้บริโภคในภูมิภาค ทั้งในเรื่องการเป็นผู้ให้บริการ OTA ที่มีบริการเรียกรถในตัว หรือการเป็นผู้ให้บริการขนส่งที่สามารถส่งได้ทั้งข้ามประเทศ ข้ามเมือง และส่งแบบ Last-Mile Delivery แต่เชื่อแน่ว่า การแข่งขันในปีนี้ จะดุเดือดขึ้นอย่างมากแน่นอน
- เป็นกลุ่มสายการบินที่เชื่อมต่อและให้บริการผู้คนกว่า 1 พันล้านคนในอาเซียน - มีแผนกวิศวกรรม (Asia Digital Engineering : ADE) และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม หรือเป็น MRO ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - วางโพสิชันให้ airasia Super App เป็นสุดยอดแอปในอาเซียน - มีผู้ใช้งาน BigPay (บริการฟินเทคของทางค่าย) 10 ล้านคนต่อเดือน - มีส่วนแบ่งตลาด 10% ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส่วนงาน Teleport) - มีผู้ลงทะเบียน 5 ล้านแอคเคาน์ใน AirAsia Academy - ยอดสั่งซื้อของชำ (grocery) มากกว่า 21 ล้านรายการต่อเดือน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53648
Retail
จากเทรนด์ “สวยทิพย์” บนโลก Metaverse ธุรกิจค้าปลีกในโลกจริงควรปรับตัวอย่างไร
null
1. มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าเสมือนจริง (Virtual Goods): พัฒนาสินค้าเสมือนจริง เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า avatars นำเสนอประสบการณ์การลองสินค้าเสมือนจริง เช่น การใช้ AR ลองเสื้อผ้าเสมือนจริงก่อนซื้อ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายบนโลก Metaverse เช่น แจกไอเทมฟรี หรือ ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ใช้งาน Metaverse 2. ผสมผสานโลกเสมือนจริงกับโลกจริง (Omnichannel): ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และลองสินค้าจริงที่หน้าร้าน ลูกค้าสามารถใช้ Avatar ของตัวเองเพื่อลองสินค้าบนเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน นำเสนอประสบการณ์ที่ราบรื่น ไร้รอยต่อ เชื่อมต่อระหว่างโลกเสมือนจริงและโลกจริง 3. เน้นสร้างประสบการณ์มากกว่าการขายสินค้า (Experiential Retail): สร้างพื้นที่ใน Metaverse ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาลองสินค้า พูดคุยกับพนักงาน และทำกิจกรรมต่างๆ จัดงานอีเวนต์เสมือนจริง เช่น แฟชั่นโชว์เสมือนจริง นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ เช่น บทความเกี่ยวกับแฟชั่น เทรนด์ความงาม 4. ให้ความสำคัญกับข้อมูล (Data-Driven): วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าบนโลก Metaverse เพื่อเข้าใจความต้องการของพวกเขา พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า นำเสนอโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย 5. พัฒนาระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและสะดวก: รองรับการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัล พัฒนาระบบการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย ensuring ความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ “สวยทิพย์”: Nike: เปิดตัว Nikeland บนโลก Metaverse ให้ลูกค้าสามารถลองรองเท้าเสมือนจริง เล่นเกม และช้อปสินค้า Gucci: เปิด Gucci Garden บน Roblox ให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าเสมือนจริง และร่วมกิจกรรมต่างๆ Sephora: พัฒนา Virtual Artist ให้ลูกค้าสามารถลองแต่งหน้าเสมือนจริง สรุป: เทรนด์ “สวยทิพย์” บนโลก Metaverse เป็นโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าเสมือนจริง ผสมผสานโลกเสมือนจริงกับโลกจริง เน้นสร้างประสบการณ์มากกว่าการขายสินค้า ให้ความสำคัญกับข้อมูล และพัฒนาระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและสะดวก ธุรกิจที่ปรับตัวได้สำเร็จจะสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดขายได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53656
Retail
เทคโนโลยี 5G อะไรบ้างที่มีศักยภาพในการยกระดับธุรกิจค้าปลีก (Retail) ในประเทศไทย?
null
เทคโนโลยี 5G มีศักยภาพในการยกระดับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยอย่างมาก ดังนี้: 1. การช็อปปิ้งแบบเสมือนจริง (VR) และ Augmented Reality (AR): - ผู้บริโภคสามารถลองสินค้าเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ - ช่วยให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สะดวกและน่าสนใจ - ร้านค้าปลีกสามารถนำเสนอสินค้าในรูปแบบ 3 มิติ ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 2. Mobile Shopping: - ผู้บริโภคสามารถช็อปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟนได้ททกที่ทุกเวลา - ร้านค้าปลีกสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น - ช่วยให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า 3. การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: - ร้านค้าปลีกสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซือของลูกค้า - นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า - นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า - เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า 4. Smart Inventory Management: - ร้านค้าปลีกสามารถติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ - ช่วยให้ร้านค้าปลีกบริหารจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ป้องกันปัญหาสินค้าหมดสต๊อก - ช่วยให้ร้านค้าปลีกประหยัดต้นทุน 5. Personalized Recommendations: - ร้านค้าปลีกสามารถแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าตามความต้องการ - เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า - เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ตัวอย่างการนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้จริงในธุรกิจค้าปลีก: - ห้างสรรพสินค้า Central World ใช้เทคโนโลยี AR Central Retail พัฒนาแอปพลิเคชั่น "Central Life" - Tesco Lotus นำเทคโนโลยี AI ข้อเสนอแนะ: 1. ร้านค้าปลีกในประเทศไทยควรศึกษาและนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้ 2. รัฐบาลควรสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน 5G 3. พัฒนาทักษะแรงงานให้พร้อมสำหรับการใช้งานเทคโนโลยี 5G สรุป เทคโนโลยี 5G มีศักยภาพในการยกระดับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53657
Retail
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "รถยนต์ใหม่ในยุคดิจิทัล ด้วยการเชื่อมต่อผู้บริโภคไทยผ่านช่องทางออนไลน์"
null
"ผู้บริโภคไทยเกือบ 9 ใน 10 คน วางแผนซื้อรถคันใหม่ จำนวน 35% สนใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์" การวางแผนซื้อรถใหม่ของผู้บริโภคไทยมีแนวโน้มที่น่าสนใจและต้องการการวิเคราะห์เพื่อเข้าใจแนวโน้มนี้ได้อย่างละเอียดมากขึ้น เรื่องของความสะดวกสบายและการใช้ชีวิตออนไลน์ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นตัวทำให้เห็นถึงเหตุผลหลักที่ส่งผลให้มีผู้บริโภคสนใจการซื้อรถผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น 1. ความสะดวกสบาย: การซื้อรถผ่านออนไลน์มอบความสะดวกสบายในการทำธุรกรรม โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยังศูนย์จำหน่ายรถ เหตุนี้มีความสำคัญอย่างมากในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการลดการสัมผัสหรือการติดต่อกับผู้อื่นเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 2. ข้อมูลและการเปรียบเทียบ: ผู้บริโภคมีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับรถและการเปรียบเทียบระหว่างรถต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ผ่านทางออนไลน์สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เช่น ราคา สเปค และบทวิจารณ์จากผู้ใช้จริงได้โดยง่าย 3. การสั่งซื้อและการจัดส่ง: บางแพลตฟอร์มการขายรถออนไลน์มักมีบริการสั่งซื้อและการจัดส่งรถถึงบ้านหรือที่ทำงานของผู้ซื้อ ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับรถที่ศูนย์จำหน่าย 4. โปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์: บางครั้งการซื้อรถออนไลน์ยังมีสิทธิประโยชน์และโปรโมชั่นพิเศษที่ไม่คุ้มค่าเมื่อซื้อที่ศูนย์ตัวแทนจำหน่าย 5. การชำระเงินและการเงินเชื่อ: บางแพลตฟอร์มออนไลน์มักมีการจัดทำระบบการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย รวมถึงการเสนอแพ็คเกจการเงินเชื่อที่มีเงื่อนไขที่เหมาะสมกับผู้ซื้อ 6. ประสบการณ์ผู้ใช้: การซื้อรถออนไลน์อาจมีความฝันที่เข้าถึงประสบการณ์การซื้อที่เรียบง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจองทดลองขับรถหรือการรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในรถยนต์ การที่ส่วนใหญ่ของผู้บริโภคไทยมองหาการซื้อรถผ่านช่องทางออนไลน์เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการซื้อขายของคนไทยในยุคปัจจุบัน ดังนั้น การพัฒนาและปรับปรุงประสบการณ์การซื้อรถออนไลน์จึงมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต.
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53661
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การพฤติกรรมการซื้อของขวัญเทศกาลปีใหม่ช่วงโควิด-19" ให้หน่อยค่ะ
ผลสำรวจชี้โควิด-19 กระทบต่อการพฤติกรรมการซื้อของขวัญเทศกาลปีใหม่ คนไทย 45% วางแผนใช้เงินน้อยกว่าปีที่ผ่านมา และ 77% นักช้อปชาวไทยยอมรับว่าโควิด-19 มีผลกระทบต่อความตั้งใจที่จะซื้อของขวัญในช่วงเทศกาลนี้ 77% นักช้อปชาวไทยยอมรับว่าโควิด-19 มีผลกระทบต่อความตั้งใจที่จะซื้อของขวัญในช่วงเทศกาลนี้ ผลสำรวจดังกล่าวมาจากทาง มาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzz) ในกลุ่มตัวอย่างคนไทย 500 คนทั่วประเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยพบว่า นักช้อปมีแผนจะซื้อของขวัญที่ร้านค้าด้วยตนเอง 53% และซื้อของขวัญผ่านช่องทางออนไลน์ 43% ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน มาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzz) ในกลุ่มตัวอย่างคนไทย 500 คนทั่วประเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยพบว่า นักช้อปมีแผนจะซื้อของขวัญที่ร้านค้าด้วยตนเอง 53% และซื้อของขวัญผ่านช่องทางออนไลน์ 43% ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน สำหรับนักช้อปชาวไทยที่ตั้งใจจะซื้อของขวัญที่ร้านค้ามีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายสูงกว่านักช้อปออนไลน์ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 2,000 บาท สำหรับการซื้อที่ร้าน และน้อยกว่า 1,600 บาทสำหรับการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ ผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนสูง ก็จะมีความต้องการในการซื้อของขวัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า สำหรับนักช้อปชาวไทยที่ตั้งใจจะซื้อของขวัญที่ร้านค้ามีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายสูงกว่านักช้อปออนไลน์ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 2,000 บาท สำหรับการซื้อที่ร้าน และน้อยกว่า 1,600 บาทสำหรับการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ ผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนสูง ก็จะมีความต้องการในการซื้อของขวัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า ของขวัญ 5 อันดับยอดนิยมจากการสำรวจในปีนี้ คือ สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าสุขภาพและอาหารเสริม กระเช้าของขวัญ สินค้าประเภทเครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามลำดับ
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 มาร์เก็ตบัซซได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างคนไทย 500 คน พบว่านักช้อปมีแผนซื้อของขวัญในระดับที่ใกล้เคียงกันคือ ซื้อที่ร้านค้าด้วยตนเอง 53% และซื้อผ่านทางออนไลน์ 43% ความตั้งใจซื้อของขวัญที่ร้านค้ามีแนวโน้มการใช้จ่ายสูงกว่าการซื้อทางออนไลน์ ส่วนผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนสูงมีความต้องการซื้อของขวัญมากกว่าครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ของขวัญ 5 อันดับยอดนิยมจากการสำรวจคือ 1. อาหารและเครื่องดื่ม 2. สินค้าสุขภาพและอาหารเสริม 3. กระเช้าของขวัญ 4. เครื่องประดับ 5. เครื่องใช้ไฟฟ้า
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53665
Retail
สรุปบทความเรื่อง 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2565 ให้หน่อย
หอการค้าไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2565 โดยใช้ 5 เกณฑ์ให้คะแนน 1.ยอดขาย 2.ต้นทุน 3.กำไรสุทธิ 4.ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและภาวะการแข่งขัน และ 5.ความต้องการ/ความสอดคล้องกับกระแสนิยม สรุปดังนี้ 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2565 1. ธุรกิจการแพทย์และความงาม/ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 2. ธุรกิจแพลตฟอร์ม 3. โลจิสติกส์, เดลิเวอรี่, คลังสินค้า / Fintech และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี/ ประกันภัย ประกันชีวิต 4. เวชภัณฑ์ยา ธุรกิจขายส่งสินค้าทางเวชภัณฑ์และทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ 5. อาหารเสริมและสุขภาพ ธุรกิจขายตรง 6. แปรรูปยาง เช่น ถุงมือยาง / ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป /ธุรกิจทำคอนเทนต์ ยูทูบเบอร์ รีวิวสินค้า 7. ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ เช่น อาหารสัตว์สำเร็จรูป ดูแลรักษาสัตว์เลี้ยง 8. ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ต่างๆ เช่น กล่อง ถุง จากวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม /ค้าปลีกโมเดิร์นเทรด 9. ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน / ธุรกิจเพื่อการบันเทิง 10. ธุรกิจยานยนต์ /ก่อสร้าง / ท่องเที่ยว 10 ธุรกิจดาวร่วง ปี 2565 1. ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร 2. ธุรกิจฟอกย้อม/ ธุรกิจหัตถกรรมที่ไม่มีการออกแบบและราคาถูก 3. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจรับส่งสื่อสิ่งพิมพ์ 4. ธุรกิจโรงพิมพ์/ การพิมพ์ เช่น หนังสือ แผ่นพับ /ธุรกิจคนกลาง 5. ธุรกิจผลิตและขายต้นไม้/ดอกไม้ประดิษฐ์ /ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไร้ฝีมือ หรือเสื้อผ้าโหล 6. ธุรกิจเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก 7. ธุรกิจร้านถ่ายรูป 8. ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศ 9. ธุรกิจของเล่นเด็ก 10. ธุรกิจ Call Center
หอการค้าไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2565 โดยใช้ 5 เกณฑ์ให้คะแนน 1.ยอดขาย 2.ต้นทุน 3.กำไรสุทธิ 4.ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและภาวะการแข่งขัน 5.ความต้องการ/ความสอดคล้องกับกระแสนิยม ดังนี้ 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2565 1. ธุรกิจการแพทย์และความงาม/ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 2. ธุรกิจแพลตฟอร์ม 3. โลจิสติกส์, เดลิเวอรี่, คลังสินค้า / Fintech และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี/ ประกันภัย ประกันชีวิต 4. เวชภัณฑ์ยา ธุรกิจขายส่งสินค้าทางเวชภัณฑ์และทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ 5. อาหารเสริมและสุขภาพ ธุรกิจขายตรง 6. แปรรูปยาง เช่น ถุงมือยาง / ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป /ธุรกิจทำคอนเทนต์ ยูทูบเบอร์ รีวิวสินค้า 7. ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ เช่น อาหารสัตว์สำเร็จรูป ดูแลรักษาสัตว์เลี้ยง 8. ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ต่างๆ เช่น กล่อง ถุง จากวัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม /ค้าปลีกโมเดิร์นเทรด 9. ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน / ธุรกิจเพื่อการบันเทิง 10. ธุรกิจยานยนต์ /ก่อสร้าง / ท่องเที่ยว 10 ธุรกิจดาวร่วง ปี 2565 ดังนี้ 1. ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร 2. ธุรกิจฟอกย้อม/ ธุรกิจหัตถกรรมที่ไม่มีการออกแบบและราคาถูก 3. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจรับส่งสื่อสิ่งพิมพ์ 4. ธุรกิจโรงพิมพ์/ การพิมพ์ เช่น หนังสือ แผ่นพับ /ธุรกิจคนกลาง 5. ธุรกิจผลิตและขายต้นไม้/ดอกไม้ประดิษฐ์ /ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไร้ฝีมือ หรือเสื้อผ้าโหล 6. ธุรกิจเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก 7. ธุรกิจร้านถ่ายรูป 8. ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศ 9. ธุรกิจของเล่นเด็ก 10. ธุรกิจ Call Center
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53666
Retail
กลยุทธ์ "5 พลังสร้างแบรนด์แกร่ง" ที่นำเสนอในงาน The Most Powerful Brands of Thailand ครั้งที่ 5 สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก (Retail) ได้อย่างไร? อะไรคือตัวอย่างการนำไปใช้จริงในธุรกิจค้าปลีก?
null
กลยุทธ์ "5 พลังสร้างแบรนด์แกร่ง" ที่นำเสนอในงาน The Most Powerful Brands of Thailand ครั้งที่ 5 สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก (Retail) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่ละพลังมีบทบาทสำคัญดังนี้: 1. พลังแห่งความเข้าใจรอบด้าน (360 Synchronized): - ธุรกิจค้าปลีกต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Insight) เกี่ยวกับพฤติกรรม ความชอบ และความคาดหวังของลูกค้า - นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่ตรงใจลูกค้า personalize สินค้า บริการ และประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล ตัวอย่าง: - Tesco Lotus วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อสินค้า พฤติกรรมการช้อปปิ้ง และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น สินค้า และบริการที่ตรงใจลูกค้า - Central Retail personalize ประสบการณ์การช้อปปิ้งผ่านแอปพลิเคชัน แนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน 2. พลังแห่งการเชื่อมต่อ (Seamless): - มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ เชื่อมต่อช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel) - ลูกค้าสามารถเริ่มต้นการช้อปปิ้งบนช่องทางออนไลน์ ต่อด้วยการลองสินค้าและชำระเงินที่หน้าร้าน หรือ เลือกซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่หน้าร้าน ตัวอย่าง: - Siam Paragon นำเสนอบริการ Personal Shopper ช่วยลูกค้าค้นหาสินค้า เลือกซื้อ และจัดส่งสินค้าถึงบ้าน - JD Central ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่ร้านค้า 7-Eleven 3. พลังแห่งการดูแลใส่ใจ (Simple): - ออกแบบกระบวนการช้อปปิ้งให้สะดวก ง่าย รวดเร็ว - นำเสนอสินค้าและบริการที่ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตัวอย่าง: - Maxvalu นำเสนอบริการ "Scan & Go" ให้ลูกค้าสามารถสแกนบาร์โค้ดสินค้า ชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องผ่านเคาน์เตอร์ - IKEA ออกแบบสินค้าให้ประกอบง่าย มีคู่มือการประกอบที่เข้าใจง่าย 4. พลังแห่งความห่วงใยทุกภาคส่วน (Spiritual): - ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สนับสนุนชุมชน และสิ่งแวดล้อม - สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ใส่ใจสังคม ส่งเสริมความยั่งยืน ตัวอย่าง: - CP All สนับสนุนโครงการ "คนละครึ่ง" กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก - The Body Shop รณรงค์ต่อต้านการทดลองเครื่องสำอางกับสัตว์ 5. พลังแห่งการมองการณ์ไกล (Visionary Speed): - ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ ๆ - นำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ล้ำสมัย ตัวอย่าง: - Big C Supercenter นำเทคโนโลยี AI มาใช้ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการ - Lazada นำเสนอบริการ "Lazada Live" ให้ผู้ขายสามารถไลฟ์สดขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53667
Retail
การระดมทุน 50,000 ล้านบาทของแม็คโคร จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การระดมทุนจะช่วยเสริมแกร่งธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของแม็คโคร: - แม็คโครมีแผนจะใช้เงินทุนที่ได้จากการระดมทุนเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ - ขยายสาขาในประเทศไทยและต่างประเทศ - ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม - ส่งผลให้แม็คโครมีศักยภาพและสามารถแข่งขันในตลาดค้าปลีกได้ดีขึ้น การขยายธุรกิจของแม็คโครจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย: - แม็คโครมีแผนจะขยายสาขาในประเทศไทยเพิ่มอีก 100 แห่งภายใน 5 ปีข้างหน้า - สร้างงานให้กับคนไทย - กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค - ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม การระดมทุนของแม็คโครจะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน: - แม็คโครเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือ - การระดมทุนครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแม็คโครมีแผนที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน - สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ - ดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย การระดมทุนของแม็คโครจะช่วยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกไทย: - แม็คโครมีแผนจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในธุรกิจ - พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ - ยกระดับธุรกิจค้าปลีกไทย - ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ตัวอย่าง: - แม็คโครใช้เงินทุนที่ได้จากการระดมทุนเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ - ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่สาขาได้ - ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ - ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทย เช่น สภาพเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขันในตลาด ดังนั้น การระดมทุน 50,000 ล้านบาทของแม็คโคร เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในไทย ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53671
Retail
ขอคำแนะนำหน่อย 4 เทรนด์คนโสด จากเครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่น มีอะไรบ้าง
null
1.คนโสดต้องการความเรียบง่ายและโดนใจ จากเดิมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเน้น ฟังก์ชันการทำงานเยอะๆ เช่น ไมโครเวฟ ต้องปรับความร้อนได้หลายระดับ โหมดการทำงานเมนู ต้ม ตุ๋น นึ่ง ตัวเครื่องจะมีปุ่มเยอะแยะ แต่ความต้องการของคนโสดที่อยู่คนเดียวไม่ต้องการอะไรยุ่งยาก เน้นใช้งานง่าย มีฟังก์ชันหลักๆ ก็พอ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการเจาะกลุ่มนี้ จึงเปลี่ยนจากปุ่มเยอะๆ เป็นการใช้งานเรียบง่าย ปุ่มน้อยๆ และราคาถูกลง เช่น เครื่องล้างจานขนาดเล็ก แบรนด์ Siroca ล้างจานได้ 5-6 ใบ มีฟังก์ชันแค่ล้างจานธรรมดา กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าโดนใจคนอยู่คนเดียว จากขนาดเล็กใช้งานง่าย มีระบบเติมน้ำลงในแทงค์ได้เอง จาก ปกติเครื่องล้างจานจะเป็นไซส์ใหญ่ ต้องให้ช่างมาต่อท่อน้ำติดตั้งเข้ากับเครื่องล้างจาน การเคลื่อนย้ายจึงไม่สะดวก หากต้องย้ายที่พักใหม่ 2.คนโสดต้องการ “เวลา” เราจะเริ่มเห็นว่าร้านอาหาร และฟู้ดเดลิเวอรี่ จะมีเมนู “อะไรก็ได้” ให้ลูกค้าเลือก คือ ไม่ต้องคิดว่าจะทานอะไร หากกดเมนูนี้ ทางร้านจะเลือกให้เอง เพื่อตอบโจทย์คนไม่มีเวลาคิด ช่วยประหยัดเวลา คนโสดที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) อายุไม่เกิน 30 ปี เป็นกลุ่มที่ทำงานเยอะ จึงต้องการเวลา มากที่สุด กลุ่มนี้ต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานเองอัตโนมัติ ตัวอย่าง แบรนด์ Sharp พัฒนาหม้อหุง-ต้ม-ตุ๋น-นึ่ง อัตโนมัติตั้งเวลาได้ เพียงนำวัตถุดิบทุกอย่างใส่หม้อ จากนั้นตั้งเวลากดปุ่มตอนเช้า กลับจากทำงานตอนเย็นอาหารที่ตั้งเวลาทำไว้ พร้อมรับประทานทันที โดยเฉพาะอาหารบางเมนูต้องใช้เวลาตุ๋นนาน จึงช่วยให้คนโสดประหยัดเวลาทำอาหารและใช้งานง่าย “อะไรที่ช่วยลูกค้าประหยัดเวลาได้ ก็จะเป็นโอกาสให้ธุรกิจได้” 3.คนโสดต้องการ “ปริมาณ” ที่เหมาะสม เวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ต เรามักจะพบ Pain Point อย่างหนึ่งของคนโสด คือ สินค้า และวัตถุดิบปรุงอาหารหลายอย่างขายด้วยปริมาณขนาดใหญ่ แต่คนโสดไม่ได้ทำอาหารบ่อย วัตถุดิบเริ่มเน่าเสีย อาหารรับประทานไม่หมด “การขายปริมาณมากและเฉลี่ยราคาถูกลง แต่คนโสดไม่ได้ต้องการสินค้าราคาถูกเสมอไป หากปริมาณมากก็ไม่มีที่เก็บและรับประทานไม่หมด จึงต้องการสินค้าปริมาณพอดี” จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงเห็นร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ต่างจังหวัดในญี่ปุ่น ขายอาหาร กับข้าว ด้วยแพ็กเกจขนาดเล็ก เพราะผู้สูงอายุในญี่ปุ่น และคนโสดรับประทานได้ง่ายๆ ถือเป็นการปรับตัวของฝั่งค้าปลีก ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เราได้เห็นแบรนด์ Mitsubishi เปิดตัวเครื่องปิ้งขนมปังไอน้ำแบบฝาเปิด ปิ้งที่ละแผ่น ใช้เวลา 2-3 นาที เป็นเครื่องขนาดเล็กที่เก็บรักษาง่าย เหมาะกับคนโสด ทั้งการทำรับประทานและเก็บรักษา อีกตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าไซส์เล็กขายดี แบรนด์ Doshisha เป็นถังซักผ้าขนาดพกพาพับได้ (foldable washing machine) จุดเด่นคือ พับได้จาก 3 ชั้นพับเหลือ 1 ชั้น ไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บ มีหูหิ้วพกพาไปใช้งานได้ วิธีใช้ง่าย ใส่เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่ต้องการซักลงถัง ใส่ผงซักฟอก น้ำ กดปุ่มซัก ใช้เวลาซัก 10 นาที ปริมาณการซักเสื้อยืด 1 ตัว ชุดชั้นใน 6 ตัว หน้ากากผ้า 13 ชิ้น หรือจะซักผ้าเช็ดหน้า ถุงเท้า เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงน้องหมาน้องแมว 4.คนโสดต้องการ Customized ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ ความชอบของแต่ละคนแตกต่างและหลากหลายมากขึ้น จากการเข้าถึงสื่อได้อย่างเปิดกว้าง จึงเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและโดนใจจริงๆ เท่านั้น ไอเดียการทำตลาด ไมโครเวฟ แบรนด์ Panasonic ในญี่ปุ่นจึงออกแบบให้มีปุ่มเดียว (หมุนซ้ายขวาได้) หน้าจอแสดงผลขนาดเล็ก แต่สามารถเชื่อมต่อกับแอปสมาร์ทโฟน มีฟังก์ชันการทำงานเพิ่มขึ้น เช่น ฟังก์ชันพื้นฐานจากตัวเครื่อง คือ ต้ม อุ่นร้อน แต่หากาใช้แอป จะมีฟังก์ชันให้เลือกเพิ่มขึ้น เช่น ต้มไข่ออนเซ็น
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53677
Retail
3 เหตุผลที่ “เซ็นทรัล รีเทล” ทยอยเปลี่ยน “ห้างโรบินสัน” บางสาขา ไปเป็น “ห้างเซ็นทรัล” มีอะไรบ้าง
ภายใต้ Business Portfolio “กลุ่มห้างสรรพสินค้า” (Department Store) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ประกอบด้วย 2 ห้างหลักคือ “ห้างเซ็นทรัล” ปัจจุบันมี 25 สาขา และ “ห้างโรบินสัน” ห้างสรรพสินค้าที่เซ็นทรัลซื้อกิจการเมื่อปี 2538 ปัจจุบันมี 49 สาขา “กลุ่มห้างสรรพสินค้า” (Department Store) “ห้างเซ็นทรัล” “ห้างโรบินสัน” ทั้ง 2 ห้างฯ วาง Positioning กลุ่มเป้าหมาย และทำเลสาขาแตกต่างกันคือ “ห้างเซ็นทรัล” จับตลาดบน – กลาง ขณะที่ “ห้างโรบินสัน” เน้นทำตลาดกว้าง “ห้างเซ็นทรัล” “ห้างโรบินสัน” ส่วนทำเลที่ตั้งสาขา “เซ็นทรัล” จะเปิดในโลเคชั่นใจกลางเมือง จังหวัดเศรษฐกิจใหญ่ หัวเมืองหลัก และเมืองท่องเที่ยว เพื่อจับกลุ่มลูกค้าไทย และลูกค้าต่างประเทศ “เซ็นทรัล” ขณะที่ “โรบินสัน” เปิดในโลเคชั่นจังหวัดเมืองรอง เมืองขนาดกลาง หรือพื้นที่รองจาก Prime Area และอำเภอใหญ่ เพื่อเจาะลูกค้าลงลึกในแต่ละท้องถิ่น/ย่าน “โรบินสัน” อย่างไรก็ตามเวลานี้เริ่มเห็น “เซ็นทรัล รีเทล” ทยอยปรับเปลี่ยนห้างโรบินสันในบางสาขา ไปเป็นห้างเซ็นทรัล อย่างไรก็ตามเวลานี้เริ่มเห็น “เซ็นทรัล รีเทล” ทยอยปรับเปลี่ยนห้างโรบินสันในบางสาขา ไปเป็นห้างเซ็นทรัล ปี 2563 ปี 2563 – “โรบินสัน เมกาบางนา” หลังจากเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2555 ได้เปลี่ยนเป็น “เซ็นทรัล เมกาบางนา” ภายในศูนย์การค้าเมกาบางนา ด้วยงบลงทุนแปลงโฉม 50 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 13,000 ตารางเมตร และมีมากกว่า 1,000 แบรนด์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม – “โรบินสัน เมกาบางนา” “เซ็นทรัล เมกาบางนา” เซ็นทรัล เมกาบานา – “โรบินสัน อุดรธานี” ถือเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่คู่กับอุดรธานีมายาวนาน นับตั้งแต่ปี 2538 อยู่ในศูนย์การค้าเจริญศรีคอมเพล็กซ์ ของตระกูลทีฆธนานนท์ เวลาต่อมา “เซ็นทรัลพัฒนา” เข้าซื้อสินทรัพย์โครงการเจริญศรีคอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย – “โรบินสัน อุดรธานี” “เซ็นทรัลพัฒนา” 1. กรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่ 45-2-86.5 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนประจักษ์ศิลปาคม ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 2. อาคารศูนย์การค้า สูง 5 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น 3. อาคารห้างสรรพสินค้า สูง 3 ชั้น 4. อาคารโรงแรม สูง 14 ชั้น หลังจากซื้อกิจการ ได้ปรับโฉมครั้งใหญ่และเปิดเป็น “ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี” ในปี 2552 โดย “ห้างโรบินสัน” ยังคงเป็นหนึ่งในแม่เหล็กสำคัญของศูนย์ฯ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี” “ห้างโรบินสัน” กระทั่งเมื่อปีที่แล้วทางเซ็นทรัล รีเทลได้ปรับเปลี่ยนจากห้างโรบินสัน เป็น “เซ็นทรัล อุดรธานี” นับเป็นห้างเซ็นทรัลสาขาที่ 24 ในไทย มีพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร และกว่า 1,000 แบรนด์ “เซ็นทรัล อุดรธานี” เซ็นทรัล อุดรธานี ปี 2564 ปี 2564 – “โรบินสัน ขอนแก่น” หลังจากเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2552 เร็วๆ นี้เตรียมเปลี่ยนเป็น “เซ็นทรัล ขอนแก่น” ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น กำหนดเปิดวันที่ 7 ธันวาคมนี้ – “โรบินสัน ขอนแก่น” “เซ็นทรัล ขอนแก่น” ทำไมเซ็นทรัล รีเทล ถึงตัดสินใจเปลี่ยนห้างโรบินสันในบางทำเล บางสาขา ไปเป็นห้างเซ็นทรัล ? และนี่คือ 3 เหตุผลสำคัญที่แต่ละข้อมีความเชื่อมโยงกัน ประกอบด้วย ทำไมเซ็นทรัล รีเทล ถึงตัดสินใจเปลี่ยนห้างโรบินสันในบางทำเล บางสาขา ไปเป็นห้างเซ็นทรัล ? และนี่คือ 3 เหตุผลสำคัญที่แต่ละข้อมีความเชื่อมโยงกัน ประกอบด้วย เซ็นทรัล ขอนแก่นโฉมใหม่ 1. การขยายตัวของเมือง และเศรษฐกิจ ทุกวันนี้ทั่วโลกเกิดการขยายตัวของความเป็นสังคมเมือง (Urbanization) โดย United Nations คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชากรอาศัยในเขตเมืองจะเพิ่มขึ้นจาก 55% เป็น 68% และการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนจากชนบท เป็นเขตเมืองมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยด้วยเช่นกัน United Nations ดังจะเห็นได้ปัจจุบันเมือง/จังหวัดเศรษฐกิจ ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะเมืองใหญ่/จังหวัดใหญ่เท่านั้น แต่ได้ขยายออกไปยังเมืองรอง หรือจังหวัดรองมากขึ้น ตามการพัฒนาของปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคม รวมถึงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การผลิต การเข้าถึงเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ และการเปิดรับเทรนด์ใหม่อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นในฐานะที่ธุรกิจค้าปลีก เป็นธุรกิจอยู่ในไลฟ์สไตล์ และการพัฒนาของประเทศ และเมือง จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย อย่างการเปลี่ยนเป็นเซ็นทรัล เมกาบางนา เพราะทำเลในย่านบางนา–ตราด ทุกวันนี้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงในฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก มาจากปัจจัยเชิงบวก เช่น อย่างการเปลี่ยนเป็นเซ็นทรัล เมกาบางนา เพราะทำเลในย่านบางนา–ตราด ทุกวันนี้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงในฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก มาจากปัจจัยเชิงบวก เช่น – เป็นทั้งเส้นทางเชื่อมต่อไปยังภาคตะวันออก ทั้งชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ซึ่งทั้ง 3 จังหวัดนี้จะอยู่ในเขตเศรษฐกิจ EEC – อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ – โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้ารางคู่ – การขยายตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบางนา-ตราดเป็นอีกทำเลที่มีความหนาแน่นของโครงการหมู่บ้านจัดสรร โดยปัจจุบันมี 18 โครงการ กว่า 70,000 ครัวเรือน – อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ – มีโรงพยาบาล และสถานศึกษา ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในย่านบางนา-ตราด จึงมีทั้งครอบครัวดั้งเดิมที่อยู่ในโซนนี้มานาน และครอบครัวใหม่ – คนใหม่ที่โยกย้ายเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ทำให้ประชากรในย่านนี้ มีความหลากหลาย หรือกรณีการเปลี่ยนจากห้างโรบินสัน อุดรธานี เป็นเซ็นทรัล อุดรธานี เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพรอบด้าน เช่น หรือกรณีการเปลี่ยนจากห้างโรบินสัน อุดรธานี เป็นเซ็นทรัล อุดรธานี เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพรอบด้าน เช่น – จังหวัดอุดรธานี เป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และมีเป้าหมายการพัฒนาเป็น “เมืองน่าอยู่ ศูนย์กลางการค้าการลงทุนอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” ทำให้เป็นหนึ่งในจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญของภาคอีสาน ในปี 2562 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดอุดรธานี (GPP) 113,887 ล้านบาท จัดอยู่ในลำดับที่ 1 ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และลำดับที่ 4 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองจากจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น และอุบลราชธานี ตามลำดับ และลำดับที่ 26 ของประเทศ – เซ็นทรัล อุดรธานี ไม่เพียงแต่รองรับผู้บริโภคในอุดรธานี แต่ยังครอบคลุมถึงจังหวัดต่างๆ ของภาคอีสานตอนบน รวมถึงผู้บริโภคจาก สปป.ลาว ที่ข้ามเข้ามาจับจ่ายใช้สอย และใช้บริการต่างๆ ในฝั่งไทย เช่น โรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยปัจจัยดังกล่าว เซ็นทรัล รีเทล ต้องการพัฒนาห้างเซ็นทรัล อุดรธานีเป็น Landmark ใหม่ของนักช้อปภาคอีสาน เช่นเดียวกับการเปลี่ยนเป็น “ห้างเซ็นทรัล ขอนแก่น” เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของจังหวัดขอนแก่น เช่นเดียวกับการเปลี่ยนเป็น “ห้างเซ็นทรัล ขอนแก่น” เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของจังหวัดขอนแก่น – ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดขอนแก่น (GPP) 200,000 ล้านบาท – เป็นเมืองด้านการศึกษา ศูนย์กลางด้าน Medical และศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ – ยุทธศาสตร์ของจังหวัดมุ่งส่งเสริมและพัฒนาด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อไปสู่การเป็น Smart City และ MICE City เซ็นทรัล เมกาบางนา 2. วิถีชีวิต และพฤติกรรมผู้บริโภคยกระดับการใช้จ่าย เมื่อความเป็นเมือง และเศรษฐกิจขยายตัว สิ่งที่ตามมาคือ การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น กำลังซื้อเพิ่มขึ้น และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค จะ Trading up นั่นคือ ผู้บริโภคยกระดับการจับจ่ายใช้สอยสินค้า และอัพเดทเทรนด์ใหม่ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตัวเอง จึงยินดีจ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า – บริการที่คุณภาพดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และอัพเดทไลฟ์สไตล์ เพื่อให้อยู่ในเทรนด์ 3. นำเสนอ “แบรนด์พรีเมียม” ได้มากกว่า นำไปสู่การเติบโตของยอดขาย เมื่อปรับเป็นห้างเซ็นทรัล นอกจากการตกแต่ง ปรับโฉมให้ทันสมัยขึ้นแล้ว ยังสามารถนำเสนอแบรนด์ และสินค้าได้มากกว่า 1,000 แบรนด์ โดยเฉพาะ “แบรนด์พรีเมียม” เช่น Dior, Chanel, Nars, Sisley, Dyson รวมถึงแบรนด์ที่จำหน่ายเฉพาะที่ห้างเซ็นทรัล (Only@Central) และสินค้า Exclusive Brand ทั้งในกลุ่มความงาม แฟชั่น และของตกแต่งบ้าน ซึ่งเป็น Category โดดเด่นของห้างเซ็นทรัล “แบรนด์พรีเมียม” เมื่อมีแบรนด์ และสินค้ามากขึ้น ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค ย่อมทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการช้อป และแน่นอนว่าเซ็นทรัล รีเทล ย่อมคาดหวังว่าการปรับเปลี่ยนเป็นห้างเซ็นทรัล ที่ยกทัพแบรนด์ดังทั้งจากต่างประเทศ และของไทยมากมาย จะผลักดันยอดขายสาขานั้นๆ ให้เติบโตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อมีแบรนด์ และสินค้ามากขึ้น ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค ย่อมทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการช้อป และแน่นอนว่าเซ็นทรัล รีเทล ย่อมคาดหวังว่าการปรับเปลี่ยนเป็นห้างเซ็นทรัล ที่ยกทัพแบรนด์ดังทั้งจากต่างประเทศ และของไทยมากมาย จะผลักดันยอดขายสาขานั้นๆ ให้เติบโตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
1. การขยายตัวของเมือง และเศรษฐกิจ ปัจจุบันเมือง/จังหวัดเศรษฐกิจ ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะเมืองใหญ่/จังหวัดใหญ่เท่านั้น แต่ได้ขยายออกไปยังเมืองรอง หรือจังหวัดรองมากขึ้น ตามการพัฒนาของปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคม รวมถึงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การผลิต การเข้าถึงเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ และการเปิดรับเทรนด์ใหม่อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นในฐานะที่ธุรกิจค้าปลีก เป็นธุรกิจอยู่ในไลฟ์สไตล์ และการพัฒนาของประเทศ และเมือง จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย 2. วิถีชีวิต และพฤติกรรมผู้บริโภคยกระดับการใช้จ่าย การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น กำลังซื้อเพิ่มขึ้น แลพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค จะ Trading up นั่นคือ ผู้บริโภคยกระดับการจับจ่ายใช้สอยสินค้า และอัพเดทเทรนด์ใหม่ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตัวเอง จึงยินดีจ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า – บริการที่คุณภาพดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และอัพเดทไลฟ์สไตล์ เพื่อให้อยู่ในเทรนด์ 3. นำเสนอ “แบรนด์พรีเมียม” ได้มากกว่า นำไปสู่การเติบโตของยอดขาย เมื่อปรับเป็นห้างเซ็นทรัล นอกจากการตกแต่ง ปรับโฉมให้ทันสมัยขึ้นแล้ว ยังสามารถนำเสนอแบรนด์ และสินค้าได้มากกว่า 1,000 แบรนด์ โดยเฉพาะ “แบรนด์พรีเมียม” เช่น Dior, Chanel, Nars, Sisley, Dyson รวมถึงแบรนด์ที่จำหน่ายเฉพาะที่ห้างเซ็นทรัล (Only@Central) และสินค้า Exclusive Brand ทั้งในกลุ่มความงาม แฟชั่น และของตกแต่งบ้าน ซึ่งเป็น Category โดดเด่นของห้างเซ็นทรัล
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53678
Retail
เสียวหมี่จะขยายธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์ต่อไปอย่างไร?
null
เสียวหมี่มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 อยู่ที่ 7.8 หมื่นล้านหยวน เติบโต 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจ IoT และไลฟ์สไตล์อยู่ที่ 2.09 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เสียวหมี่มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์ดังต่อไปนี้: 1. มุ่งเน้นไปที่การขยายสาขา Mi Store: - เสียวหมี่มีสาขา Mi Store มากกว่า 10,000 สาขาในจีนแล้ว และตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครอบคลุม 300 เมืองในจีน - Mi Store นำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบออลอินวัน ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองใช้งานผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่ได้อย่างครบครัน - Mi Store ยังเป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการให้บริการหลังการขาย 2. เน้นความสำคัญไปที่ตลาดต่างประเทศ: - เสียวหมี่มีแผนจะขยายสาขา Mi Store ไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรปตะวันออก และอเมริกาใต้ - เสียวหมี่จะปรับแต่งกลยุทธ์การขยายสาขาให้เหมาะสมกับแต่ละตลาด โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น วัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค และสภาพการแข่งขัน 3. ผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน: - เสียวหมี่จะพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสนับสนุนธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่ Mi Store - Mi Store จะใช้ข้อมูลออนไลน์เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ 4. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่: - เสียวหมี่จะทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ร้านค้าแบบ pop-up store และร้านค้าแบบ franchise - เสียวหมี่จะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย 5. มุ่งเน้นไปที่การให้บริการลูกค้า: - เสียวหมี่จะพัฒนาระบบบริการหลังการขายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า - เสียวหมี่จะจัดฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสรุป: เสียวหมี่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจค้าปลีกออฟไลน์ โดยมุ่งเน้นไปที่การขยายสาขา Mi Store เน้นตลาดต่างประเทศ ผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ และมุ่งเน้นไปที่การให้บริการลูกค้า กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้เสียวหมี่สามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกลยุทธ์เหล่านี้: - เพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจค้าปลีก - ขยายฐานลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ - เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ Xiaomi ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี - เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ความท้าทาย: - การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก - การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค - สภาพเศรษฐกิจและการเมืองโลก - การขาดแคลนทรัพยากรและบุคลากร โอกาส: - การเติบโตของตลาดค้าปลีกออนไลน์ - การขยายตัวของตลาดต่างประเทศ - การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ - การเปลี่ยนแปลง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53683
Retail
ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย ศูนย์การค้าเมกาบางนาสามารถทำอย่างไรเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้?
null
จากบทความ ศูนย์การค้าเมกาบางนามีกลยุทธ์หลัก 3 ประการ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกในยุคดิจิทัล ดังนี้ 1. การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เน้นนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า 2. การนำเทคโนโลยีมาใช้ พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ และนำระบบอัตโนมัติมาใช้ 3. การพัฒนาทีมงาน เปิดรับคนรุ่นใหม่ พัฒนาทักษะพนักงาน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือจากกลยุทธ์หลัก 3 ประการข้างต้น ศูนย์การค้าเมกาบางนาสามารถพิจารณาแนวทางเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ดังนี้ 1. การสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร -พัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นมากกว่าจุดพักผ่อน เพิ่มเติมกิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ และความบันเทิง -จัดงานอีเวนต์พิเศษที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น งานสำหรับครอบครัว งานสำหรับวัยรุ่น งานสำหรับผู้ชื่นชอบเทคโนโลยี -นำเสนอบริการพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น บริการรับฝากเด็ก บริการช้อปปิ้งส่วนตัว บริการส่งสินค้า 2. การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย -ขยายพื้นที่เช่าให้กับแบรนด์เฉพาะทาง แบรนด์ท้องถิ่น และแบรนด์ออนไลน์ -นำเสนอบริการใหม่ ๆ เช่น บริการเช่าพื้นที่ทำงาน บริการ Co-working Space บริการรับฝากและดูแลสัตว์เลี้ยง -พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อรองรับการช้อปปิ้งแบบ Omnichannel 3. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า -พัฒนาโปรแกรมสมาชิกที่มอบสิทธิประโยชน์และรางวัลที่ตรงใจ -ใช้ระบบ CRM เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและนำเสนอสินค้า บริการ และโปรโมชั่นที่ตรงใจ -สร้างช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายเพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ฟังเสียงลูกค้า และนำมาพัฒนาธุรกิจ 4. การนำเทคโนโลยีมาใช้ -พัฒนาระบบ AI เพื่อแนะนำสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า -นำระบบ AR/VR มาใช้เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เสมือนจริง -พัฒนาระบบ cashless payment เพื่อเพิ่มความสะดวกในการชำระเงิน 5. การพัฒนาทีมงาน -พัฒนาทักษะพนักงานด้านเทคโนโลยี ด้านการบริการ และด้านภาษา -ส่งเสริมให้พนักงานมีทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม -สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ การริเริ่ม และความกล้าเสี่ยง ศูนย์การค้าเมกาบางนาจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร สินค้าและบริการที่หลากหลาย ความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้ และพัฒนาทีมงาน จะช่วยให้ศูนย์การค้าเมกาบางนาสามารถดึงดูดลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0