ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_50916 | Retail | สรุปบทความเรื่อง (Interactive) Billboard เปลี่ยนสีของ IBM ให้หน่อย | IBM ต่างประเทศให้ความสนใจกับ Interactive Billboard จึงเกิดไอเดียนำมาใช้กับงานโฆษณา IBM Retail Billboard ชิ้นนี้มีความน่ารักในตัว เวลาใครที่เดินผ่านไปมา หรือเดินเข้าไปใกล้ๆ Billboard ก็จะทำการดูดสีเสื้อหรืออุปกรณ์ตรงหน้า ซึ่งจะทำให้ตัวการ์ตูนหน้าตาฉลาดๆ บน Billboard นี้เปลี่ยนสีตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนในห้างที่เดินผ่านไปมาให้ความสนใจกับ Interactive Billboard ชิ้นนี้ Concept ของงานโฆษณาชิ้นนี้ต้องการสื่อไปยังผู้บริโภคว่า IBM Retail นั้นฉลาดและไวต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า Color Sensitive Interactive Billboard from milton cj on Vimeo. RELATED POSTS: No related posts. | IBM ต่างประเทศให้ความสนใจ Interactive Billboard และนำมาใช้กับโฆษณา IBM Retail Billboard เวลาเดินผ่าน หรือเดินเข้าไปใกล้ๆ Billboard ก็จะทำการดูดสีเสื้อหรืออุปกรณ์ตรงหน้า ทำให้ตัวการ์ตูนบน Billboard เปลี่ยนสีตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้ความสนใจ ซึ่งโฆษณาชิ้นนี้ต้องการสื่อไปยังผู้บริโภคว่า IBM Retail นั้นฉลาดและไวต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50921 | Retail | เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง "การปะทะแห่งความสวยงามและเทคโนโลยี: รบกวนระหว่าง Nokia และ Samsung" | null | การปะทะกันระหว่าง Nokia และ Samsung: ศึกแห่งเทคโนโลยีและดีไซน์
ในยุคที่เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนเติบโตอย่างรวดเร็ว สงครามระหว่าง Nokia และ Samsung กลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทั้งในด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยและความงามของการออกแบบ ในขณะที่ตลาดมือถือเต็มไปด้วยความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว สองยักษ์ใหญ่นี้ไม่เพียงแต่ต้องแข่งขันกันในด้านสเปกและฟีเจอร์เท่านั้น แต่ยังต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้ใช้งานด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น
เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสองบริษัทต่างก็ปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกมาในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน Nokia กลับเข้าสู่สนามด้วยสมาร์ทโฟนที่เน้นความทนทานและประสิทธิภาพ เช่น Nokia XR20 ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานหนัก แต่ก็ยังไม่ละเลยเรื่องการออกแบบที่ทันสมัย ดูแข็งแรงแต่มีสไตล์ ขณะเดียวกัน Samsung Galaxy S21 ของ Samsung ได้สร้างความประทับใจด้วยนวัตกรรมกล้องขั้นสูงและดีไซน์ที่เน้นความหรูหราและการใช้งานที่ลื่นไหล ด้วยหน้าจอที่โดดเด่นและการประมวลผลที่รวดเร็ว
Nokia ยังคงเน้นจุดแข็งของตัวเอง คือ ความทนทานและการใช้งานที่ยาวนาน โทรศัพท์หลายรุ่นมีความโดดเด่นในเรื่องแบตเตอรี่และการรับสัญญาณที่ดี แม้ว่า Nokia จะไม่ได้เน้นการออกแบบที่หรูหรามากเท่ากับคู่แข่ง แต่ความทนทานและความเรียบง่ายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ยังคงให้ความสำคัญ ขณะที่ Samsung ยังคงนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เทคโนโลยีหน้าจอ AMOLED ที่คมชัดไปจนถึงกล้องถ่ายรูปที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ระบบซูมขั้นสูงและ AI อัจฉริยะในการปรับแต่งภาพ ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม
สงครามนี้ไม่ได้เพียงแค่เรื่องของสเปกเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของความสวยงามที่ดึงดูดสายตา Nokia ยังคงใช้ดีไซน์ที่เรียบง่าย แข็งแรง สื่อถึงความทนทาน ขณะที่ Samsung เน้นที่ความบางเบา หรูหรา และการใช้งานที่มีฟังก์ชันที่หลากหลาย สร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
ในท้ายที่สุด การปะทะครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการจะชนะในตลาดสมาร์ทโฟนไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับดีไซน์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ใช้งานได้ ความสามารถในการผสมผสานระหว่างฟีเจอร์ที่ทันสมัยกับความสวยงามของตัวเครื่อง จะเป็นปัจจัยที่กำหนดว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ครองใจผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50924 | Retail | ร้านค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้เน้นไปที่การใช้คูปองส่วนลดหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
พฤติกรรมผู้บริโภค:
-ผลสำรวจจาก Comscore เผยว่า 52% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อลดความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ
การช้อปปิ้งออนไลน์:
-ยอดขายอีคอมเมิร์ซโดยรวมในอเมริกา มีการเติบโต 2% ในเดือนมกราคม 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อน
-ผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายออนไลน์เติบโต ได้แก่ เครื่องกีฬา หนังสือ ของแต่งบ้าน ดอกไม้ ของขวัญ วิดีโอเกม
คูปองส่วนลด:
-มีการเข้าชมเว็บไซต์แจกคูปองส่วนลดเพิ่มสูงขึ้น
-ผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งเลือก "ใช้คูปองส่วนลดบ่อยขึ้น" เพื่อลดค่าใช้จ่าย
ประสิทธิภาพ:
-การใช้คูปองส่วนลด ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
-คูปองส่วนลด ดึงดูดลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าเก่า
กลยุทธ์:
-ร้านค้าปลีกควรออกแบบคูปองส่วนลดให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
-คูปองส่วนลด ควรมีเงื่อนไขที่ดึงดูดใจ
-ควรใช้คูปองส่วนลด ร่วมกับกลยุทธ์อื่น ๆ เช่น การสื่อสาร และ CRM
ตัวอย่าง:
-ร้านค้าปลีกสามารถเสนอคูปองส่วนลดสำหรับสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น สินค้าที่มียอดขายต่ำ หรือสินค้าตามฤดูกาล
-ร้านค้าปลีกสามารถเสนอคูปองส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าที่ไม่ซื้อสินค้ามานาน
-ร้านค้าปลีกสามารถเสนอคูปองส่วนลดแบบ personalize ผ่านทางอีเมล หรือแอปพลิเคชั่น
ข้อควรระวัง:
-การใช้คูปองส่วนลดมากเกินไป อาจทำให้กำไรลดลง
-ร้านค้าปลีกควรติดตามผลลัพธ์ของการใช้คูปองส่วนลด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
สรุป:
การใช้คูปองส่วนลด เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ในการดึงดูดลูกค้า และเพิ่มยอดขาย ร้านค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้เน้นไปที่การใช้คูปองส่วนลด โดยคำนึงถึงพฤติกรรมผู้บริโภค กลยุทธ์ และข้อควรระวัง | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50930 | Retail | ธุรกิจบริการดิจิทัลจะเข้ามาแทนที่ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมทั้งหมดในอนาคตหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. ผู้บริโภคยังต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออฟไลน์:
ผู้บริโภคยังต้องการสัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
ผู้บริโภคต้องการบรรยากาศและประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้าน
ผู้บริโภคต้องการพบปะสังสรรค์กับผู้อื่น
2. ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมสามารถปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลได้:
ธุรกิจ Retail สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ธุรกิจ Retail สามารถผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (Omnichannel)
ธุรกิจ Retail สามารถนำเสนอบริการที่แตกต่างและเฉพาะตัว เพื่อดึงดูดลูกค้า
3. ยังมีสินค้าบางประเภทที่เหมาะกับการซื้อแบบออฟไลน์มากกว่า:
สินค้าที่มีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก
สินค้าที่ต้องการการลองใช้งานก่อนซื้อ
สินค้าที่ต้องการการบริการหลังการขาย
4. ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมยังมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ:
ธุรกิจ Retail สร้างงานและรายได้ให้กับคนจำนวนมาก
ธุรกิจ Retail เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและวัฒนธรรม
5. ตัวอย่างธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จ:
ร้านค้าปลีกที่นำเสนอบริการที่แตกต่างและเฉพาะตัว เช่น ร้าน Apple Store
ร้านค้าปลีกที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เช่น ร้านค้า Sephora
ร้านค้าปลีกที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ร้านค้า Amazon Go
สรุป:
ธุรกิจบริการดิจิทัลจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต แต่ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมจะไม่หายไป ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จจะต้องปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัล นำเสนอบริการที่แตกต่างและเฉพาะตัว ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50934 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์หลักของคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ที่ส่งผลให้ได้รับรางวัล "สุดยอดแบรนด์ของโลกแห่งปี 2022-2023" ในสาขาผู้นำค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี (Retailer-Duty Free Thailand) เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน? | [ข่าวประชาสัมพันธ์] ธุรกิจดิวตี้ ฟรี ประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์กับรางวัล “สุดยอดแบรนด์ของโลกแห่งปี 2022-2023” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ในสาขาผู้นำค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี (Retailer-Duty Free Thailand) ในงานประกาศผล World Branding Awards 2022-2023 ครั้งล่าสุดจากเวที World Branding Forum ประเทศอังกฤษ โดย คิง เพาเวอร์ ดิวตื้ฟรี เป็นแบรนด์ ดิวตี้ ฟรี จากประเทศไทย ที่ได้รับการโหวตและผ่านการพิจารณาจากหลักเกณฑ์เฉพาะด้านให้เป็นแบรนด์ ผู้นำค้าปลีกสินค้า ดิวตี้ ฟรี ที่ได้รับการยอมรับระดับสากล โชว์ศักยภาพความสำเร็จของผู้ประกอบการดิวตี้ ฟรี ของคนไทยที่ส่งมอบประสบการณ์ให้นักเดินทางทั่วโลกมากกว่า 3 ทศวรรษ และเป็นโอกาสอันดีในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยอีกวาระหนึ่ง นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า “นับเป็นข่าวดีของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเทศไทยที่กำลังเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม และเป็นความภาคภูมิใจในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว ที่ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยอมรับคุณภาพจากเวทีโลกอีกปีต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 8 กับรางวัล “สุดยอดแบรนด์ของโลกแห่งปี 2022-2023” ในสาขาค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี (Retailer-Duty Free Thailand)สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ ‘คิง เพาเวอร์’ เป็นแบรนด์ผู้ให้บริการในธุรกิจดิวตี้ ฟรี ของคนไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยประสบการณ์การบริหารงานธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวที่มีมากกว่า 3 ทศวรรษในการส่งมอบประสบการณ์ให้นักเดินทางด้วยสินค้าและบริการผ่านแนวคิดการช้อปปิ้งที่ไร้ขีดจำกัด The Infinite Shopping Beyond Boundaries เชื่อมต่อในยุคดิจิทัลที่ไร้ขีดจำกัด สร้างความเป็นไปได้ (Possibility) ในทุกๆการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้นักเดินทางสำหรับการท่องเที่ยวในวิถีใหม่ การตัดสินครั้งนี้ คิง เพาเวอร์ ชนะเกณฑ์การตัดสินอันเข้มข้น โดยมีแบรนด์มากกว่า 500 แบรนด์จากกว่า 60 ประเทศ ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “BRAND OF THE YEAR” แบรนด์คุณภาพแห่งปี มีตัวแทนผู้บริโภค 1.3 ล้านคน ร่วมคัดเลือกแบรนด์คุณภาพที่เป็นผู้นำในหลายประเทศของแต่ละภูมิภาค และพิจารณาด้วยหลักเกณฑ์เฉพาะด้าน 3 ด้านหลักสำคัญ ประกอบด้วย การประเมินมูลค่าแบรนด์ การวิจัยตลาดผู้บริโภค และ การลงคะแนนจากประชาชน โดยแบรนด์ที่จะพิชิตรางวัลนี้ ต้องเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับคะแนนโหวตจากผู้บริโภคเกิน 70% ซึ่งในนามของผู้บริหาร พนักงาน คิง เพาเวอร์ ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกๆคะแนนเสียง ที่ทำให้ คิง เพาเวอร์ เป็นแบรนด์ที่ได้รับรางวัล BRAND OF THE YEAR สาขาค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี (Retailer-Duty Free Thailand) เป็นครั้งที่ 8 และด้วยความไว้วางใจในครั้งนี้ เป็นพลังสำคัญให้ คิง เพาเวอร์ มีปณิธานมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เหนือระดับ เป็นที่รู้จัก ยอมรับ ของคนทั่วโลก เพื่อให้แบรนด์ คิง เพาเวอร์ เป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในอีกทางหนึ่ง” ทั้งนี้ World Branding Awards จัดขึ้นเป็นปีที่ 15 ณ พระราชวังเคนชิงตัน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งการประกาศรางวัลจัดโดย World Branding Forum ในฐานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่จดทะเบียน มีจุดมุ่งหมายในการสร้างกิจกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการสร้างแบรนด์สินค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมและผู้บริโภคโดย World Branding Forum จะดำเนินการผลิตการจัดการและสนับสนุนโครงการที่หลากหลายครอบคลุมถึงการวิจัยการพัฒนาการศึกษาการรับรู้การสร้างเครือข่ายรวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ [ข่าวประชาสัมพันธ์] RELATED POSTS: | กลยุทธ์หลักของคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ที่ส่งผลให้ได้รับรางวัล "สุดยอดแบรนด์ของโลกแห่งปี 2022-2023" ในสาขาผู้นำค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี (Retailer-Duty Free Thailand) เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน มีดังนี้
1. มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้ขีดจำกัด:
-คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี นำเสนอแนวคิดการช้อปปิ้ง "The Infinite Shopping Beyond Boundaries" ที่มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ ไร้ขีดจำกัด ผ่านสินค้าหลากหลายประเภทจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก บริการที่ครบครัน สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เทคโนโลยีล้ำสมัย และบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย
2. เน้นกลยุทธ์ดิจิทัล:
-คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์และแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหา เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
3. มุ่งมั่นพัฒนาบริการ:
-คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ผ่านการอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ใส่ใจทุกรายละเอียด มอบบริการด้วยรอยยิ้ม และพร้อมช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มที่
4. สร้างความภักดีต่อลูกค้า:
-คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี มุ่งมั่นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ผ่านโปรแกรมสมาชิกที่มอบสิทธิพิเศษและส่วนลดมากมาย กิจกรรมส่งเสริมการขายที่หลากหลาย และบริการที่เหนือระดับ เพื่อสร้างความพึงพอใจและความภักดีต่อลูกค้า
5. สนับสนุนการท่องเที่ยวไทย:
-คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอสินค้าพื้นเมือง อาหารไทย วัฒนธรรมไทย และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ
ตัวอย่างผลลัพธ์:
กลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนี้
-ได้รับรางวัล "สุดยอดแบรนด์ของโลกแห่งปี 2022-2023" ในสาขาผู้นำค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี (Retailer-Duty Free Thailand) เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน
-มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นและภักดีต่อแบรนด์
-มียอดขายและรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
-เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล
สรุป:
กลยุทธ์หลักของคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ที่มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ พัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง สร้างความภักดีต่อลูกค้า และสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี ประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และเป็นที่ยอมรับในฐานะแบรนด์ผู้นำค้าปลีกสินค้าดิวตี้ ฟรี ที่ดีที่สุดในประเทศไทย | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50935 | Retail | จงเขียนเรื่องสั้นที่ใจความเกี่ยวกับเรื่อง "ความใหญ่ในรามอินทรา: การเปิดตัวครั้งใหญ่ของเซ็นทรัล รามอินทรา" | null | ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา, ย่านรามอินทราคงเป็นหนึ่งในแหล่งช็อปปิ้งและบันเทิงที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพมหานครอย่างไม่ต้องสงสัย เซ็นทรัล รามอินทรา เป็นที่รู้จักในวงกว้างเป็นสัญลักษณ์ของการช้อปปิ้งและสันทนาการ แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 30 ของการก่อตั้ง, การพลิกโฉมและปรับปรุงสถานที่ก็กลายเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อตอบสนองความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อวานนี้, เปิดตัวการพลิกโฉมใหญ่โตของเซ็นทรัล รามอินทรา เป็นเหตุการณ์ที่รอคอยมากที่สุดในวงการช็อปปิ้งแห่งนี้ กลายเป็นศุกร์ที่สุดพิเศษ เมื่อความทรงจำแห่งความสดใสในยุค 80 ปีถูกคืนคลีเตอร์ด้วยสไตล์และนิยามใหม่ในยุคปัจจุบัน
การตกแต่งใหม่และการปรับปรุงที่สถานที่ตั้งของเซ็นทรัล รามอินทรา ได้ถูกวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดประสบการณ์ช้อปปิ้งและบันเทิงที่ไม่เหมือนใคร การออกแบบภายในที่สวยงามและเพดานสูงนำเสนอบรรยากาศที่หรูหราและทันสมัย โดยมีการผสมผสานของศิลปะและเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเดินทางของลูกค้าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ
แต่สิ่งที่ทำให้เปิดตัวนี้มีเสน่ห์และน่าตื่นเต้นกว่าที่เคยมีคือการมอบประสบการณ์ใหม่โดยใช้เทคโนโลยี ลูกค้าจะได้สัมผัสกับโลกเสมือนจริงผ่านแว่น VR ที่ให้พวกเขาเดินทางไปยังย่านรามอินทราในอดีต และมีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่หายไปด้วยตาของตนเอง
นอกจากนี้, เหตุการณ์นี้ยังมีการแสดงสดจากศิลปินชั้นนำและนักแสดงที่แสดงในการเปิดตัวโดยใช้เวทีที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยมีการแสดงเพลงและศิลปะแสดงที่เร้าใจให้แรงบันดาลใจแก่ผู้ร่วมงานทุกคน
สำหรับลูกค้าที่มาเยือนในวันเปิดตัวนี้, พวกเขาจะได้พบกับสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างแน่นอน - โปรโมชั่นพิเศษและส่วนลดที่น่าตื่นเต้นจากร้านค้าและร้านอาหารชั้นนำในเซ็นทรัล รามอินทรา ที่จะทำให้การช้อปปิ้งเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
การเปิดตัวครั้งใหญ่นี้เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าเซ็นทรัล รามอินทรามไม่เพียงเพียงแค่สถานที่สำหรับซื้อของ แต่เป็นส่วนสำคัญของชุมชนที่มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และมีความหมายสำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการเปิดตัวครั้งใหญ่นี้, สถานที่นี้จะยังคงเป็นศูนย์กลางที่รวมตัวของความสนุกสนานและความคุ้มค่าในการช้อปปิ้ง พร้อมเป็นแรงจูงใจให้กับการพัฒนาของชุมชนในอนาคตอันรุ่งโรจน์ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50949 | Retail | บุฟเฟต์คริสต์มาส 299 บาท กลยุทธ์สร้าง Retail Experienceของ IKEA เป็นอย่างไร | null | IKEA ประเทศไทย ได้กลับมาจัด “บุฟเฟต์” ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอีกครั้งให้กับสมาชิก “IKEA Family” ตั้งแต่วันที่ 13 – 23 ธันวาคม 2022 ในราคา 299 บาท หลังจากต้องเว้นไป 2 ปี เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี 2022 สร้างประสบการณ์ “วัฒนธรรมอาหารสวีเดน” ผ่านบุฟเฟต์คริสต์มาส – ตั้งเป้าจัด 9 วัน ลูกค้าใช้บริการ 5,400 คน
การกลับมาจัดบุฟเฟต์ประจำเทศกาลคริสต์ มีความพิเศษกว่าปีก่อนๆ โดยนอกจากความหลากหลายของเมนูอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังได้ขยายระยะเวลาการจัดเป็น 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 – 23 ธันวาคม 2022 ที่สโตร์ IKEA บางนา และบางใหญ่ เปิดจำหน่ายบัตรล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2022 เป็นต้นไป (จำกัดสิทธิ์การซื้อสมาชิกคนละ 2 ใบ) – บัตรจำหน่ายในราคาใบละ 299 บาทสำหรับผู้ใหญ่ – บัตรราคา 99 บาท สำหรับเด็กอายุ 4 – 12 ปี – ฟรี! สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ให้บริการรอบละ 90 นาที IKEA ประเทศไทย คาดหวังว่าการจัดบุฟเฟต์ตลอดระยะเวลา 9 วัน ทั้งสองสาขารวมกันจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 5,400 คน โดยเหตุผลที่ในปีนี ขยายระยะเวลาบุฟเฟต์เป็น 9 วัน เนื่องจาก – เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกสรรเวลาที่ตัวเองสะดวก ไม่ต้องจำกัดเฉพาะวันเดียวเหมือนปีก่อนๆ – เพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น – นำเสนอวัฒนธรรมอาหารสวีเดนให้แพร่หลายมากขึ้น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50952 | Retail | โซนใดใน Samsung Southeast Asia Display Solutions Showroom ที่ตอบโจทย์หรับคนที่ชอบเขียนด้วย Display Solutions หน้าจอที่รองรับการเขียนประสิทธิภาพสูง | a. Retail
b. Corporate
c. Education
d. Monitor
e. Home Entertainment | คำตอบที่ถูกต้องคือ c. เนื่องจาก เพราะใน Samsung Southeast Asia Display Solutions Showroom โซน Education ตอบโจทย์หรับคนที่ชอบเขียนด้วย Display Solutions หน้าจอที่รองรับการเขียนประสิทธิภาพสูง
กลยุทธ์ของ Samsung สำหรับเจาะเข้ากลุ่ม B2B คือการใช้ “Samsung Southeast Asia Display Solutions Showroom” หรือดิสเพลย์โชว์รูมที่มีเพียง 1 ใน 8 แห่งทั่วโลกและหนึ่งในนั้นตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ Samsung มองว่าไทยมีศักยภาพมากพอเป็นหนึ่งในศูนย์หลักของ South East Asia (SEA) และการตั้งโชว์รูมในครั้งนี้เป็นการจัดแสดงสินค้าโดยให้ลูกค้าทดลองใช้สินค้าได้จริง แถมมีประโยชน์ต่อลูกค้าในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและเห็นฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของสินค้าได้อย่างชัดเจนและมั่นใจ โดยจุดเด่นภายในดิสเพลย์โชว์รูมแห่งนี้ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 โซน ได้แก่
1. Retail LED Display และ Digital Signage Display มีฟังชันก์ที่สามารถปรับเปลี่ยนสื่อโฆษณา หรือสื่อประชาสัมพันธ์ได้อย่างสะดวก ผ่าน Smart Signage Solutions ของซัมซุง ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Stand Alone, Interactive, Video Wall, Indoor หรือ Outdoor Smart Signage
2. Corporate ยกระดับองค์กรด้วย Display Solutions ตอบโจทย์ทั้งการทำงานแบบ On-site และ Hybrid ผ่าน Interactive Display และจอมอนิเตอร์ชนิดต่าง ๆ ที่ช่วยในเรื่องของ meeting ในการทำงานร่วมกันให้เป็นเรื่องง่าย พร้อมบรรยากาศในรูปแบบที่ทันสมัย
3. Education ตอบโจทย์หรับใครที่ชอบเขียนด้วย Display Solutions หน้าจอที่รองรับการเขียนประสิทธิภาพสูง นำโดย Interactive Sigange ใหม่ล่าสุดอย่าง Samsung Flip Pro 2022 ที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่าง มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการแสดงภาพพร้อมกันบนหน้าจอได้ถึง 4 อุปกรณ์ และยังรองรับการทำวีดีโอคอลในตัว
4. Monitor เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยหน้าจอที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบไฮบริด ด้วยซัมซุงมอนิเตอร์ถึง 4 ประเภท
- Gaming Monitor สำหรับเกมเมอร์
- Smart Monitor จอมอนิเตอร์ที่สามารถเป็นได้ทั้ง PC
- Smart TV ครอบคลุมทุกการใช้งาน
- High-res Monitor สำหรับนักตัดต่อและกราฟฟิคดีไซน์เนอร์มืออาชีพ
- Working Monitor ที่ทำให้ผู้ที่รักในการทำงานทุกคน สามารถทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
5. Hospitality Samsung Hospitality TV ที่ช่วยในการแสดงข้อมูล สถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพักที่โรงแรม หรือโรงพยาบาล ด้วยฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย เช่น การจัดข้อมูลส่วนกลางที่สามารถสั่งงานให้ดีไวซ์เป็นไปตามความต้องการ และยังรองรับการใช้ Netflix และ Smart Application อื่นๆ บนดีไวซ์ด้วยระบบความปลอดภัยอีกด้วย
6. Home Entertainment Micro LED The Wall จอภาพแบบโมดูล่าร์ที่มีขนาดใหญ่ถึง 146 นิ้ว มีจุดเด่นที่ สีสด คมชัดสูง และความสว่างสูง ให้ความละเอียดสูงสุดถึง 8K พร้อมรองรับการแสดงผลแบบ HDR 10+ อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Black Seal และ Ultra-Low Reflection ที่จะช่วยให้หน้าจอไม่สะท้อนแสง ทำให้สามารถรับรายการโปรดได้อย่างสบายตา
7. Home IoTs มาในคอนเซ็ปต์ Smart Living คือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีอย่างแอปพลิเคชัน SmartThings แอปพลิเคชันสมาร์ทโฮมอัจฉริยะจากซัมซุงที่ช่วยเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ภายในบ้านเข้าด้วยกันทั้งหมด พร้อมด้วยโหมดการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยมากถึง 10 แบบ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50965 | Retail | การควบรวมกิจการของทรู – ดีแทค มีการกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้อะไร | A. อัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แยกตามรายบริการ
B. ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์
C. อัตราตามต้นทุนเฉลี่ยรายบริการ
D. การใช้บริการรายการส่งเสริมการขายแบบแยกรายบริการ
E. การส่งเสริมการขายแบบแยกรายบริการ | คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า การควบรวมกิจการของทรู – ดีแทค มีการกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์ (Average Cost Pricing) ให้นำส่งข้อมูลตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำรายงานบัญชีแยกประเภทในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2564 ให้ครบถ้วน โดยให้แยกรายละเอียดเป็นรายเดือน และนำส่งสำนักงาน กสทช. ทุก 3 เดือน หรือเมื่อ กสทช. ร้องขอ เพื่อใช้ตรวจสอบโครงสร้างต้นทุน โครงสร้างอัตราค่าบริการ และนำมาคำนวณหาต้นทุนรวมเฉลี่ย ซึ่งเป็นราคาในตลาดที่มีการแข่งขัน (Average Cost Pricing) และต้นทุนส่วนเพิ่ม (MC) ที่เป็นปัจจุบันและถูกต้อง
จะต้องมีการกำหนดและแสดงอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แยกตามรายบริการ (Unbundle) เช่น บริการเสียง บริการข้อมูล บริการส่งข้อความ เป็นต้น หรือการส่งเสริม การขายแบบแยกรายบริการ (Unbundle Package) เพื่อให้ผู้ใช้บริการปลายทางได้รับทราบก่อน โดยให้กำหนดอัตราค่าบริการตามต้นทุนเฉลี่ยรายบริการ (Average Cost Pricing) โดยคิดราคาตามที่มีการใช้งานจริง โดยจะต้องไม่มีการกำหนดการซื้อบริการขั้นต่ำไว้ ทั้งนี้ การกำหนดอัตราตามต้นทุนเฉลี่ยรายบริการ (Average Cost Pricing) ให้นำไปใช้กับกรณีค่าบริการส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการรายการส่งเสริมการขายแบบแยกรายบริการ (Unbundle Package) และการส่งเสริมการขายแบบรวมรายบริการ (Bundle Package) ด้วย | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50966 | Retail | เดอะมอลล์ กรุ๊ป จับมือ วีซ่า จัดแคมเปญอะไร | 1. FIFA WORLD CUP QATAR 2021TM
2. FIFA WORLD CUP QATAR 2022TM
3. FIFA WORLD CUP QATAR 2022
4. FIFA WORL CUP QATAR 202TM | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 2. เนื่องจาก เดอะมอลล์ กรุ๊ป ภายใต้การบริหารห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเดอะมอลล์ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ตเม้นท์สโตร์ เป็นรีเทลหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ได้จับมือพันธมิตรระดับโลก บริษัท วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก (VISA) เอาใจนักช้อปคอบอลจัดแคมเปญ “FIFA WORLD CUP QATAR 2022TM” ต้อนรับมหกรรมกีฬาฟุตบอลระดับโลกฟีฟ่าเวิร์ดคัพ 2022 ให้เหล่าบรรดาคอบอลเชียร์สนุกไปพร้อมกับการช้อปปิ้งเหนือระดับ เพียงช้อปสินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือช้อปออนไลน์ เครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ครบทุก 1,000 บาท หรือ ร่วมเชียร์ทีมโปรดผ่าน M Card แอปพลิเคชัน รับสิทธิ์ลุ้นรับทองคำกว่า 55 รางวัลรวมมูลค่ากว่า 1.17 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565
คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (MISS VORALAK TULAPHORN; CHIEF MARKETING OFFICER, THE MALL GROUP CO., LTD.) กล่าวว่า “แคมเปญ VISA x FIFA WORLD CUP QATAR 2022TMถือเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างเดอะมอลล์ กรุ๊ป และ วีซ่า ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ FIFA World Cup ในครั้งนี้ โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่จัดแคมเปญต้อนรับมหกรรมฟุตบอลบอล ซึ่งถือเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับตำนานที่แฟนบอลทั่วโลกต่างให้ความสนใจและรอคอยเพราะ 4 ปีมีครั้ง เดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงสร้างสีสันปลุกบรรยาการฟีฟ่าเวิร์ดคัพ 2022 ด้วยการจัดโปรโมชั่นครั้งยิ่งใหญ่และพิเศษสุดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อยกระดับการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าเดอะมอลล์ และลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต VISA ทุกธนาคาร ด้วยการมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่ได้มีเพียงแค่การช้อปปิ้ง แต่ลูกค้ายังได้ร่วมสนุกไปกับสีสันแห่งการเชียร์ทีมโปรด ไม่ว่าจะเป็น การทายผลแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ผ่าน M Card App การลุ้นรับ Lucky Draw แจกทองคำมูลค่ากว่า 1.18 ล้านบาท รวมไปถึงโปรโมชั่น และของ พรีเมี่ยร์สุดพิเศษ ให้เหล่าบรรดาคอบอลได้สะสมตลอดช่วงเวลาของฟีฟ่าเวิร์ดคัพในครั้งนี้” พบกับสิทธิพิเศษ FIFA WORLD CUP QATAR 2022TM เชียร์สุดฟิน ช้อปลุ้นทองสุดใจ
คุณพิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เราดีใจที่ได้ร่วมกับพันธมิตรอันแข็งแกร่งของเราอย่าง เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในการมอบสิทธิพิเศษเหนือระดับให้แก่ผู้ถือบัตรวีซ่า และเราในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนหลักในการให้บริการการชำระเงินอย่างเป็นทางการของฟีฟ่า หวังว่าแคมเปญนี้นอกจากสิทธิ์รับของรางวัลสุดพิเศษมากมายที่เหล่านักช้อปและแฟนบอลชาวไทยจะได้รับแล้ว ลูกค้ายังสามารถเพลิดเพลินกับทุกการช้อปมากยิ่งขึ้นด้วยประสบการณ์การชำระเงินแบบดิจิทัลที่ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ไม่ว่าจะช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ หรือภายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป”
คุณวิฑูรย์ พรสกุลวานิช รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Integrated Channels และรักษาการ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จับมือร่วมกับ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ภายใต้โครงการ SCB M เราได้มอบประสบการณ์สุดพิเศษมากมายให้กับลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M ทุกประเภท เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้า ในโอกาสพิเศษเฉลิมฉลองเทศกาลฟุตบอลระดับโลก FIFA World Cup Qatar 2022™ จึงได้มอบสิทธิพิเศษเพื่อแทนคำขอบคุณสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M VISA ทุกประเภท พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้านักช้อปสาวกแฟนบอลให้ได้เข้าถึงการเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมฟุตบอลระดับโลกด้วยการนำเทคโนโลยีสุดล้ำด้วยการได้รับลิขสิทธิ์รับชม Exclusive Content ผ่าน LINK ซึ่งจะเปรียบเสมือน VIP เกาะติดขอบสนาม พร้อมผลิตหมอนผ้าห่มสุด EXCLUSIVE FIFA World Cup Qatar 2022™ ให้แฟนบอลได้สะสม และสิทธิพิเศษอื่นอีกมากมายเพื่อแฟนบอลลูกค้าบัตร SCB M VISA ทุกประเภท” สัมผัสที่สุดแห่งประสบการณ์การช้อปปิ้ง ควบคู่ไปกับความสนุกสุดมันส์ในมหกรรมฟุตบอลโลก 2022 ในแคมเปญ “VISA x FIFA WORLD CUP QATAR 2022 TM” ลุ้นรับ Lucky Draw ทองคำกว่า 55 รางวัลรวมมูลค่ากว่า 1.18 ล้านบาท เพียงช้อปสินค้าในห้างสรรพสินค้าเครือ เดอะมอลล์ กรุ๊ป หรือ ช้อปออนไลน์ผ่าน M Online App ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2565 | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50968 | Retail | เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ด้านออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ดและพร็อพเพอร์ตี้ของเวียดนามภายในปี 2569 เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามควรมีกลยุทธ์เพิ่มเติมอย่างไร? | null | กลยุทธ์เพิ่มเติมที่เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามควรพิจารณาเพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ด้านออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ดและพร็อพเพอร์ตี้ภายในปี 2569 มีดังนี้:
1. พัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนลที่ไร้รอยต่อ:
- มุ่งเน้นการผสานรวมประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออนไลน์และออฟไลน์อย่างราบรื่น โดยลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อ ชำระเงิน และรับสินค้าได้อย่างสะดวก ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ร้านค้า และโซเชียลมีเดีย
- ลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แมชชีนเลิร์นนิง (ML) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อมอบประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคล
- พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ตรงเวลา และเชื่อถือได้
2. ขยายฐานลูกค้า:
- เน้นการทำการตลาดดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
- นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค
- จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจลูกค้า
- ร่วมมือกับ Influencer และ KOL ในท้องถิ่นเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ
3. เสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านโลจิสติกส์:
- ลงทุนในคลังสินค้าอัจฉริยะและระบบจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ
- พัฒนาระบบการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจออนไลน์
- ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
4. พัฒนาทักษะของพนักงาน:
- ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออมนิแชแนล
- เน้นการให้บริการลูกค้าด้วยความประทับใจ มอบประสบการณ์ที่ดีในการช้อปปิ้ง
- ส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ คิดริเริ่ม และสามารถปรับตัวได้
5. มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน:
- ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
- สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
- นำเสนอสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยสรุป เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามควรมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยี การตลาด การบริการลูกค้า โลจิสติกส์ และความยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ด้านออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ดและพร็อพเพอร์ตี้ของเวียดนามภายในปี 2569
นอกจากนี้ การติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ของธุรกิจค้าปลีกอยู่เสมอ การวิเคราะห์คู่แข่ง และการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จะช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เวียดนามสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกเวียดนามได้อย่างยั่งยืน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50969 | Retail | อะไรคือปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด e-Retail ในประเทศไทย? | null | จากบทความ "ดีป้า ร่วมกับ สถาบันไอเอ็มซี เผยผลสำรวจข้อมูล สถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ประจำปี 2564" มีการระบุถึงการเติบโตของตลาด e-Retail ในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 44% ในปี 2564
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด e-Retail ในประเทศไทย มีดังนี้:
1. การเข้าสู่สังคมดิจิทัล: ประชาชนไทยมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนมากขึ้น ส่งผลให้คุ้นเคยกับการช้อปปิ้งออนไลน์
2. การล็อกดาวน์และการทำงานจากระยะไกล: สถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ผู้คนต้องอยู่บ้านมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการช้อปปิ้งออนไลน์
3. ความสะดวกและรวดเร็ว: การช้อปปิ้งออนไลน์สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปร้านค้า
4. ตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย: แพลตฟอร์ม e-Retail นำเสนอสินค้าหลากหลายจากทั้งผู้ขายในประเทศและต่างประเทศ
5. โปรโมชั่นและส่วนลด: แพลตฟอร์ม e-Retail มักมีโปรโมชั่นและส่วนลดดึงดูดลูกค้า
6. การชำระเงินที่สะดวก: มีตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนเงินผ่านธนาคาร และเก็บเงินปลายทาง
7. บริการจัดส่งที่รวดเร็ว: ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้ามีการพัฒนาบริการให้รวดเร็วและสะดวก
8. การเติบโตของโซเชียลมีเดีย: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ Instagram มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการช้อปปิ้งออนไลน์
9. การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่: e-Retail ช่วยให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านหน้าร้าน
10. การขยายตัวของธุรกิจขนาดเล็ก: e-Retail ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนกับหน้าร้าน
ผลของการเติบโตของตลาด e-Retail:
ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการช้อปปิ้งมากขึ้น
ธุรกิจมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น
เกิดการจ้างงานใหม่ในภาคธุรกิจ e-Retail
เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโต
อนาคตของตลาด e-Retail:
ตลาด e-Retail ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไป คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะแตะ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2568 ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโต ได้แก่ การขยายตัวของอินเทอร์เน็ต การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
บทสรุป:
ตลาด e-Retail ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การเข้าสู่สังคมดิจิทัล การล็อกดาวน์ การทำงานจากระยะไกล ความสะดวก รวดเร็ว ตัวเลือกสินค้า โปรโมชั่น ช่องทางการชำระเงิน บริการจัดส่ง โซเชียลมีเดีย และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ การเติบโตของตลาด e-Retail ส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภค ธุรกิจ และเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย คาดการณ์ว่าตลาด e-Retail จะเติบโตต่อไปในอนาคต | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50983 | Retail | ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศไทยจะสูญหายไปในอนาคตหรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล
1. ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย
-ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีจำนวนมากและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ชนบทได้
-ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
-ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีราคาสินค้าที่เข้าถึงได้ง่าย
2. ผู้บริโภคไทยยังต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออฟไลน์
-ผู้บริโภคไทยต้องการสัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
-ผู้บริโภคไทยต้องการบรรยากาศและประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้าน
-ผู้บริโภคไทยต้องการพบปะสังสรรค์กับผู้อื่น
3. ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลได้
-ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
-ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (Omnichannel)
-ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถนำเสนอบริการที่แตกต่างและเฉพาะตัว เพื่อดึงดูดลูกค้า
4. ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จ
-ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่นำเสนอบริการที่แตกต่างและเฉพาะตัว เช่น ร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้าน
-ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เช่น ร้านขายของชำที่มีบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
-ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ร้านขายเสื้อผ้าที่มีระบบแนะนำสินค้าตามความชอบของลูกค้า
5. กรณีศึกษา "ร้านโชห่วย"
-ร้านโชห่วยเป็นตัวอย่างของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จ
-ร้านโชห่วยมีจำนวนมากและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ชนบทได้
-ร้านโชห่วยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
-ร้านโชห่วยมีราคาสินค้าที่เข้าถึงได้ง่าย
-ร้านโชห่วยปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลได้ เช่น การรับชำระเงินผ่าน QR Code
สรุป
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะไม่สูญหายไปในอนาคต ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย ผู้บริโภคไทยยังต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออฟไลน์ และธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลได้ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50992 | Retail | แคมเปญ "SCB M 4th Anniversary SHOPTAVERSE" จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้หรือไม่? | null | มีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มยอดขาย เหตุผล:
โปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ:
- ส่วนลดสูงสุด 50%
- คะแนนสะสมสูงสุด 4 เท่า
- ผ่อน 0% นาน 10 เดือน
ช่องทางการช้อปปิ้งที่หลากหลาย:
- ในห้างสรรพสินค้า
- ช้อปออนไลน์
- ผ่านแอปพลิเคชัน
การจับกลุ่มเป้าหมาย:
- เน้นกลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัตร SCB M VISA
- ดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วยพรีเซ็นเตอร์
การใช้เทคโนโลยี:
- ชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ
- พัฒนาระบบ E-Commerce
ภาพลักษณ์ของแบรนด์:
- แบรนด์ SCB M มีความน่าเชื่อถือ
- เดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
สรุป:
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า แคมเปญ "SCB M 4th Anniversary SHOPTAVERSE" มีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้
เพิ่มเติม:
ผลลัพธ์ของแคมเปญ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค และกลยุทธ์ทางการตลาด
ตัวอย่างแคมเปญอื่นๆ ของห้างสรรพสินค้า:
Central Retail: "Central Let's Celebrate"
CP All: "7-Eleven Lucky Draw"
The Mall Group: "The Mall Shopping Marathon"
Robinson Department Store: "Robinson Grand Sale"
คำแนะนำ:
ห้างสรรพสินค้าควรจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
ห้างสรรพสินค้าควรนำเสนอโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจลูกค้า
ห้างสรรพสินค้าควรพัฒนาช่องทางการช้อปปิ้งที่หลากหลาย
ห้างสรรพสินค้าควรใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งให้กับลูกค้า
ห้างสรรพสินค้าควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50993 | Retail | กลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์และผู้ค้าปลีกในการเข้าถึงนักช้อปไทยในยุคดิจิทัล คืออะไร | null | พฤติกรรมนักช้อปไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในยุคดิจิทัล กลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์และผู้ค้าปลีกในการเข้าถึงนักช้อปไทยมีดังนี้:
1. มุ่งสู่ Omnichannel: ผู้บริโภคไทยนิยมช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แบรนด์จึงควรผสมผสานช่องทางการขายทั้งสองรูปแบบอย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น
- พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และเชื่อมต่อกับหน้าร้าน
- นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ เช่น ซื้อออนไลน์รับสินค้าที่หน้าร้าน
- พัฒนาระบบการชำระเงินที่หลากหลายและสะดวก
2. ยกระดับประสบการณ์ Social Commerce: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางสำคัญในการช้อปปิ้ง แบรนด์ควรใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อเข้าถึงลูกค้า
- พัฒนาเนื้อหาที่น่าสนใจ ดึงดูดความสนใจ และสร้างการมีส่วนร่วม
- ใช้ประโยชน์จาก Influencer Marketing
- นำเสนอฟีเจอร์การช้อปปิ้งบนแพลตฟอร์ม เช่น Facebook Shops, Instagram Shopping
- ตอบคำถามและข้อสงสัยของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
3. มุ่งเน้น Livestream Commerce: การไลฟ์ขายสินค้ากำลังได้รับความนิยม แบรนด์ควรใช้ประโยชน์จาก Livestream เพื่อนำเสนอสินค้าและสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
- พัฒนาเนื้อหา Livestream ที่น่าสนใจ ดึงดูดความสนใจ และสร้างการมีส่วนร่วม
- นำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับ Livestream
- โต้ตอบกับลูกค้าในระหว่างการ Livestream
- เก็บข้อมูลลูกค้าจาก Livestream เพื่อนำไปพัฒนาการตลาดต่อไป
4. ให้ความสำคัญกับความสะดวก รวดเร็ว และง่าย: นักช้อปไทยต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว และง่าย แบรนด์ควร
- พัฒนาแพลตฟอร์มและระบบการสั่งซื้อที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว
- นำเสนอตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย รวดเร็ว และตรงเวลา
- เสนอการบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ตอบคำถามและข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว
5. เน้นความยั่งยืนและ Purpose: นักช้อปไทยให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แบรนด์ควร
- ดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- สื่อสารการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนให้ลูกค้ารับรู้
- สนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่ส่งเสริมความยั่งยืน
6. เข้าใจพฤติกรรมนักช้อปแต่ละรุ่น: พฤติกรรมนักช้อปไทยแตกต่างกันไปตามรุ่นอายุ แบรนด์ควร
- ศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมนักช้อปแต่ละรุ่น
- พัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับความต้องการของนักช้อปแต่ละรุ่น
- นำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับนักช้อปแต่ละรุ่น
7. เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต: เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ แบรนด์ควร
- ติดตามเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ
- พัฒนาธุรกิจให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง
- ทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ล้ำสมัย | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_50998 | Retail | อธิบายแนวคิดของ “Super Ecosystem” ของกสิกรไทยคืออะไร และมีวัตถุประสงค์อย่างไร? | หัวข้อ กสิกรไทย ขยาย Super Ecosystem กับพันธมิตร 7 กลุ่มธุรกิจ ตอบโจทย์ลูกค้ากว่า 20 ล้านราย ย้ำความสำเร็จด้วย 20 รางวัลระดับโลก
กสิกรไทย รุกต่อเนื่องใช้เทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพบริการ ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำใน 7 กลุ่มธุรกิจ ขยายเครือข่าย “Super Ecosystem” เชื่อมโยงช่องทางบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคไฮบริด (Hybrid Life) โดยลูกค้าปัจจุบันกว่า 20 ล้านราย สามารถใช้บริการผ่านสาขาธนาคารกว่า 830 แห่ง เครื่องฝากถอนโอนกว่า 10,970 เครื่อง จุดให้บริการเคแบงก์ เซอร์วิสกว่า 2.2 แสนจุดทั่วประเทศ และ K PLUS ที่เป็นแพลตฟอร์มหลักเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้เต็มรูปแบบ ย้ำความสำเร็จด้วย 20รางวัลระดับโลกใน 7 เดือนแรกของปี 2565 รวมถึงได้รับโหวตเป็นธนาคารหลัก 1 ใน 10 ของเอเชียแปซิฟิกและเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยที่ลูกค้าเลือกใช้บริการประจำ และรางวัล Best Retail Bank in Thailand ซึ่งได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 13
ดร. พิพัฒน์พงศ์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมีเป้าหมายเพิ่มศักยภาพการให้บริการทางการเงินกับลูกค้าในรูปแบบผสมผสานทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ (Omni-Channel) เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้อย่างไร้รอยต่อ (Seamless Experience) ครอบคลุมทุกความต้องการในทุกที่ ทุกเวลา เน้นความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมกันสร้าง Super Ecosystem ทำให้ลูกค้าได้ใช้บริการทางการเงินรวมถึงการใช้จ่ายในไลฟ์สไตล์ต่างๆ อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย อีกทั้งทำให้ธนาคารขยายบริการไปสู่กลุ่มลูกค้าคนตัวเล็กที่ต้องการใช้บริการทางการเงินได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับกลุ่มพันธมิตรที่ธนาคารได้ร่วมกันขยายเครือข่ายการให้บริการทางการเงิน ประกอบด้วย 7 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
1) ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและบริการชำระเงิน (e-Commerce and Payment) เช่น Shopee, Blue CONNECT
2) กลุ่มโซเชียล มีเดีย (Social Media) เช่น บริการโซเชียลแบงกิ้งผ่าน LINE BK
3) กลุ่มให้บริการทางการเงิน เช่น จุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส (KBank Service) สำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน ผ่านพาร์ทเนอร์ของธนาคาร มีเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ที่ลูกค้าใช้ชีวิตประจำวัน
4) กลุ่มการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาแอปฯ CU NEX
5) กลุ่มสาธารณสุข ร่วมมือในการพัฒนา Healthcare Digital Platform ให้กับโรงพยาบาลรัฐ เพิ่มศักยภาพบริการการแพทย์วิถีใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึง เชื่อมโยงระบบชำระเงินและบริการทางเงินต่างๆ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลชลบุรี สถาบันประสาทวิทยา และแอปฯ หมอ กทม. 6) กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานสะอาด เช่น ความร่วมมือกับพันธมิตรให้เช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในราคาประหยัดผ่าน K+ market การร่วมมือกับค่ายรถยนต์ให้สินเชื่ออัตราพิเศษแก่ลูกค้าที่กู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า การผนึกพันธมิตรโครงการบ้านและบริษัทนวัตกรรมสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการเพื่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์
7) กลุ่มท่องเที่ยว ร่วมกับบริษัท ไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พัฒนาแพลตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยว “ทักทาย” (TAGTHAi)
ดร. พิพัฒน์พงศ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ธนาคารมีลูกค้ากว่า 20 ล้านราย โดยลูกค้าสามารถใช้บริการที่สาขากว่า 830 แห่ง เครื่องฝากถอนโอน (K-ATM / K-CDM) กว่า 10,970 เครื่อง และจุดบริการ “เคแบงก์ เซอร์วิส” กว่า 2.2 แสนจุดทั่วประเทศ อยู่ในพื้นที่ให้บริการของพันธมิตรที่มีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ เช่น ไปรษณีย์ไทย Big C ตู้บุญเติม CJ Express ร้าน 7-Eleven และอื่นๆ ให้ลูกค้าทำธุรกรรมทั้งฝาก ถอน จ่ายบิล และยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ K-eSavings ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่จำเป็นต้องมาสาขาเพียงอย่างเดียว
ในขณะที่ธนาคารต้องการให้ K PLUS เป็น “Digital Lifestyle Ecosystem” ที่ไม่ได้จำกัดแค่การใช้งานใน K PLUS เท่านั้น แต่พัฒนาต่อยอดให้เป็น Open Banking Platformเต็มรูปแบบ เชื่อมต่อบริการของธนาคารกับแอปฯ ของพันธมิตรได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้ลูกค้าใช้จ่ายในแอปฯ ต่างๆ ผ่าน K PLUS โดยไม่ต้องสลับแอปฯ ไปมา นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้บริการยืนยันตัวตนผ่าน K PLUS (Authentication with K PLUS) เพื่อสมัครใช้บริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของพันธมิตรได้ด้วย ความร่วมมือดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการผลักดันบทบาทของธนาคารในการเป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในระดับภูมิภาค (Modern World Class Technology Capability) โดยล่าสุดได้รับรางวัลจากสถาบัน The Asian Banker จากผลโหวตเป็นธนาคารหลัก 1 ใน 10 ของเอเชียแปซิฟิกและเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยที่ลูกค้าเลือกใช้บริการประจำ รวมถึงได้รับรางวัล Best Retail Bank in Thailand เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2565 ธนาคารสามารถกวาด 20 รางวัลใหญ่ จาก 4 เวทีระดับโลก เช่น RELATED POSTS: No related posts. | แนวคิดของ “Super Ecosystem” ของกสิกรไทยคือการสร้างเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในยุคไฮบริด (Hybrid Life) โดยการผสานความร่วมมือกับพันธมิตรใน 7 กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ทำให้สามารถเชื่อมโยงบริการทางการเงินกับการใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ (Seamless Experience)
วัตถุประสงค์ของ “Super Ecosystem” ของกสิกรไทยมีดังนี้
1. เพิ่มศักยภาพการให้บริการทางการเงิน: ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากขึ้น
2. ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคไฮบริด: ให้ลูกค้าสามารถใช้บริการทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างสะดวกสบายและต่อเนื่อง
3. ขยายฐานลูกค้า: ทำให้ธนาคารสามารถขยายบริการไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนตัวเล็กที่ต้องการใช้บริการทางการเงิน
4. สร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดี: ทำให้ลูกค้าสามารถใช้บริการทางการเงินและการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
5. ส่งเสริมการร่วมมือกับพันธมิตร: สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เพื่อให้บริการทางการเงินของธนาคารครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
โดยสรุป แนวคิด “Super Ecosystem” ของกสิกรไทยคือการสร้างเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมและตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ และใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการทางการเงิน | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51000 | Retail | กระจกใสรอบด้าน360เรียกว่าอะไร | ก. panoramic panoramic
ข. panoram
ค. panoramic view
ง. panora view | คำตอบที่ถูกต้องคือ ค. เนื่องจาก การมองในมุมที่ต่างออกไป ช่วยปลุกเร้าความรู้สึกของผู้คน ราวกับกำลังเปิดประสบการณ์ใหม่ อยู่ในไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดย่อมๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นคนช่วงวัยไหน ก็สามารถเพลิดเพลินได้กับมุมต่างๆ ในโชว์รูม ระหว่างที่พ่อแม่ให้ความสนใจกับรายละเอียดของรถยนต์คันโปรด จากพนักงานที่บริการด้วยมิตรไมตรี เด็กๆ ก็สนุกสนานกับพื้นที่รับรองที่มีขนมขบเคี้ยว ตลอดจนอาหารว่าง และเครื่องดื่มที่จัดเตรียมไว้อย่างพิถีพิถัน ขับกล่อมด้วยเสียงเพลงที่คัดสรรค์มาโดยเฉพาะ รวมถึงการออกแบบกลิ่นที่สื่อสารความเป็นแบรนด์ เคล้าบรรยากาศอบอุ่น
จนเกือบลืมไปว่าที่นี่ คือ โชว์รูมรถยนต์ อีกหนึ่งไอเดียสร้างสรรค์ที่คุณวิสูตรอยากสะท้อนให้เห็น ผ่านงานดีไซน์ที่มีผลต่อเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างแยบยล ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนักสำหรับโชว์รูมรถยนต์ นั่นคือ พื้นที่ชั้นลอย (mezzanine) ที่ออกแบบและจัดวางอย่างลงตัว ช่วยสร้างมิติการมองเห็นในมุมกว้างได้รอบทิศ โดยระดับที่ต่างกันของชั้นลอยช่วยแบ่งโซน
จัดแสดงตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดให้แสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องผ่านช่องหลังคา สอดรับกับลิฟท์กระจกใสรอบด้าน เชื่อมการมองเห็นแบบ 360 องศา หรือเรียกว่า พาโนรามิกวิว (panoramic view) อันน่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าทั้งหมดอาจไร้ความหมาย หากฤกษ์สำคัญอย่างวันรับรถ ดูธรรมดาจนไม่น่าจดจำ โชว์รูมแห่งอนาคตนี้ จึงตั้งใจออกแบบห้องส่งมอบรถยนต์ให้มีความพิเศษ ด้วยขนาดของพื้นที่โอ่โถง ผสานรับแขกสุดหรูพร้อมจอแอลอีดีขนาดใหญ่ สำหรับไว้บันทึกช่วงเวลาแสนประทับใจ โดยพื้นที่ดังกล่าวยังสามารถปรับใช้ในกิจกรรมอื่นๆ เช่น อีเว้นท์เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ หรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายในโชว์รูม ตราบใดที่ไอเดียสร้างสรรค์ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญ ให้นักออกแบบหยิบมาใช้ได้อย่างไม่มีวันจบ อาคารดีไซน์สุดล้ำ ฟังก์ชั่นภายในสุดเจ๋ง หลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ จะยังคงผุดขึ้นมาให้เห็น เป็นกระจกบานใหญ่ ที่สะท้อนถึงการตีโจทย์รอบด้านอย่างมีชั้นเชิง พร้อมกับสร้างการปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ไม่เฉพาะในเชิงธุรกิจ หากยังมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่ได้สัมผัส และนำไปสู่การตัดสินใจได้ไม่มากก็น้อย เป็นบทสรุปที่ว่า มากกว่าดีไซน์ แต่ครบ จบ ในที่เดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ได้อย่างลงตัว… [ข่าวประชาสัมพันธ์] RELATED POSTS: No related posts. | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51009 | Retail | โปรดสรุป SB Design Square จับมือ SCB จัดแคมเปญแต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรี | SB Design Square ไม่หยุดนิ่งหาบริการใหม่ๆ จับมือ SCB จัดแคมเปญ “แต่งบ้านกับสินเชื่อSCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square” เพื่อมอบประสบการณ์การแต่งบ้านและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อเอนกประสงค์ในการซื้อเฟอร์นิเจอร์ เน้นย้ำความเป็น Home Design Solutions ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งเรื่องสินค้าและบริการได้ครบ จบในที่เดียว เพียงลูกค้าช้อปปิ้งที่ SB Design Square ครบ 100,000 บาท และเลือกชำระด้วยสินเชื่อเอนกประสงค์ของ SCB จะได้สิทธิ์เลือกรับฟรีเฟอร์นิเจอร์เพิ่มมูลค่า 10,000 บาททันที แคมเปญเริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธ.ค.นี้เท่านั้น นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ กล่าวว่า SB Design Square มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกความต้องการและส่งมอบประสบการณ์การแต่งบ้านที่ดีให้กับลูกค้า รวมถึงยกระดับความเป็น Home Design Solutions ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งเรื่องสินค้าและบริการได้อย่างครบและจบในที่เดียว โดยล่าสุด SB Design Square ได้จับมือกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB จัดแคมเปญ “แต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของความร่วมมือระหว่างวงการเฟอร์นิเจอร์กับวงการสินเชื่อเอนกประสงค์ “การเปิดตัวแคมเปญนี้ บริษัทฯ ต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มย่อยและเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคล (Personalized Marketing) มากยิ่งขึ้น ด้วยการมอบข้อเสนอสุดพิเศษ เพียงเป็นลูกค้าสินเชื่อบ้านกับ SCB ก็สามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการต่างๆ จาก SB Design Square ได้อย่างคุ้มค่า โดยเรามีกลุ่มสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและบริการที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Zelection Built-in นวัตกรรมบิลท์อินดีไซน์หรูที่สร้างอิสระแห่งงานดีไซน์ ตอบโจทย์ความ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และครบเครื่องเรื่องของงานตกแต่งภายใน,Condo Solutions บริการออกแบบตกแต่งคอนโดฯ ซึ่งเหนือกว่าด้วยงานระบบที่ครบวงจร สะดวก รวดเร็ว แบบสวย ครบ จบในที่เดียว นอกจากนี้ ยังมีเฟอร์นิเจอร์ไลฟ์สไตล์ทั้ง โมเดิร์น, วินเทจ, ลักซ์ชัวรี่, อเมริกันสไตล์, มินิมอล, สแกนดิเนเวียน, อินดัสเทรียลลอฟท์ พร้อมด้วยแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Habitat (ฮาบิแทท), Laura Ashley (ลอร่า แอชลี่), Universal (ยูนิเวอร์แซล) เป็นต้น” นอกจากนี้ SB Design Square ยังมี Arterior Zeries ทีมบริการใหม่ล่าสุดที่ให้คำปรึกษาและดูแลงานออกแบบตกแต่งได้ครบและมากกว่าเดิม ครอบคลุมทั้งงานเฟอร์นิเจอร์ Built-in, งานระบบตกแต่งภายใน รวมถึงการเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ Customized Design ที่นำเสนอภาพเสมือนจริงในรูปแบบ 3 มิติ เพื่อให้เห็นภาพรวมของงานตกแต่งที่มีความแมตซ์กันทั้งสไตล์การแต่งบ้านและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งสินค้าและบริการต่างๆ เหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 ที่เจอความท้าทายเรื่องปัจจัยเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะสินทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ซื้อบ้านในปีนี้จะได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยบ้านหลังแรกที่มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน และบวกสินเชื่อเอนกประสงค์ (Top-up) ได้ 10% ถึงสิ้นปี 2565 อย่างไรก็ดี การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านในภาวะเงินเฟ้อต้องให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ให้มากที่สุด และเพื่อสอดรับกับแนวทางการทำธุรกิจการเงินอย่างยั่งยืน ธนาคารจึงได้ขยายความร่วมมือไปในหลากหลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับบ้าน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบธุรกิจ พร้อมทั้งรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยการจับมือกับ SB Design Square ในครั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้บริหารสภาพคล่องด้วยสินเชื่อเอนกประสงค์ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อของแต่งบ้านด้วยสิทธิพิเศษที่คุ้มค่า “ธนาคารเล็งเห็นว่าคนทำงานที่บ้านมากขึ้น และมีความสนใจเรื่องการแต่งบ้าน ซึ่งลูกค้าที่ซื้อบ้านครั้งแรกมีความจำเป็นในการใช้เงินทุนจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อของตกแต่งบ้านที่มีคุณภาพ เราจึงจับมือกับ SB Design Square ในการดูแลลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและสินเชื่อเอนกประสงค์ เพื่อให้ลูกค้าได้มีผลิตภัณฑ์แต่งบ้านที่ได้มาตรฐาน และยังเป็นการขยายฐานสินเชื่อเอนกประสงค์ของ SCB ซึ่งเรามีแผนเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเอนกประสงค์ให้เติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยการจัดแคมเปญร่วมกับพันธมิตรใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงแคมเปญแต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square ด้วย” สำหรับแคมเปญ “แต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square” เพียงลูกค้าซื้อสินค้าที่ SB Design Square ครบ 100,000 บาท และเลือกชำระด้วยสินเชื่อ SCB มีสิทธิ์เลือกรับฟรีเฟอร์นิเจอร์เพิ่มมูลค่า 10,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565 | SB Design Square จับมือ SCB จัดแคมเปญแต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อเอนกประสงค์ในการซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพียงลูกค้าช้อปปิ้งที่ SB Design Square ครบ 100,000 บาท และเลือกชำระด้วยสินเชื่อเอนกประสงค์ของ SCB จะได้สิทธิ์เลือกรับเฟอร์นิเจอร์เพิ่มมูลค่า 10,000 บาทฟรีทันที ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2565
โดย SB Design Square มีกลุ่มสินค้าที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและบริการที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้ง Zelection Built-in นวัตกรรมบิลท์อินดีไซน์หรู และครบเครื่องเรื่องของงานตกแต่งภายใน, Condo Solutions บริการออกแบบตกแต่งคอนโดฯ แบบสวย ครบ จบในที่เดียว นอกจากนี้ พร้อมเฟอร์นิเจอร์รูปแบบโมเดิร์น, วินเทจ, ลักซ์ชัวรี่, อเมริกันสไตล์, มินิมอล, สแกนดิเนเวียน, อินดัสเทรียลลอฟท์ และแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Habitat (ฮาบิแทท), Laura Ashley (ลอร่า แอชลี่), Universal (ยูนิเวอร์แซล) ฯลฯ นอกจากนี้ SB Design Square ยังมี Arterior Zeries ทีมบริการที่จะคอยให้คำปรึกษาและดูแลงานออกแบบตกแต่ง ครอบคลุมทั้งงานเฟอร์นิเจอร์ Built-in, งานระบบตกแต่งภายใน รวมถึงการเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ Customized Design ที่นำเสนอภาพเสมือนจริงในรูปแบบ 3 มิติ ให้เห็นภาพรวมของงานตกแต่งที่มีความแมตซ์กันทั้งสไตล์การแต่งบ้านและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตด้วย | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51013 | Retail | ธุรกิจหลักของ TSR จะเน้นไปที่อะไรบ้าง | ยังคงแรงกันอย่างต่อเนื่องสำหรับ SABUY ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีที่นับวันจะมีการขยายธุรกิจและพันธมิตรเพิ่มขึ้นในระดับเท่าตัว ซึ่งเมื่อมองดูภาพรวมแล้วจะเห็นว่า SABUY เริ่มขยายธุรกิจออกสู่โอกาสใหม่ๆ นอกธุรกิจทางการเงินที่ถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของ SABUY ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจประกัน เป็นต้น ซึ่งจุดเชื่อมโยงที่ทำให้ SABUY เข้าถึงธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ คือ รูปแบบการชำระเงินที่ต้องง่าย สะดวก รวดเร็วและเข้าถึง
ซึ่งในครั้งนี้ SABUY ได้ขยายวงกว้างของ ecosystem ไปสู่ธุรกิจรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไป โดย คุณชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ชี้ว่า SABUY ได้มีการปรับประเภทธุรกิจให้บริการออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบไปด้วยกลุ่ม Payment หรือกลุ่มชำระและเติมเงิน โดยมีแผนติดตั้งเครื่อง CDM หน้าร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven โดยจะได้เห็น 100 สาขาในเดือนมิถุนายน ด้านกลุ่มธุรกิจ Retail จะเป็นธุรกิจที่ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าของ SABUY จำนวนมาก โดยสิ้นปีนี้คาดว่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้ 5 แสนจุด นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Solution& Channel ที่จะเข้ามาช่วยพันธมิตรในการทำธุรกิจ กลุ่ม Financial Inclusion จะเน้นไปที่กลุ่มสินเชื่อจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการระดมทุน และกลุ่ม Innovation โดยจะมีการลงทุนเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจที่อยู่ใน ecosystem สามารถก้าวข้ามสู่ธุรกิจยุคใหม่
SABUY x TSR สู่การพัฒนาธุรกิจทิศทางใหม่
สำหรับ บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR ในฐานะเป็นผู้ผลิตเครื่องกรองน้ำ และผู้นำในตลาดน้ำแข็งเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน ecosystem ของ SABUY โดยในช่วงที่ผ่านมา TSR มีช่องทางจำหน่ายหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบขายตรง แบบ O2O รวมไปถึงช่องทางผ่าน e-Marketplace และการขายในเชิงพาณิชย์องค์กร โดยเฉพาะร้านค้า ร้านอาหารและโรงงาน ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำสะอาดสำหรับดื่มและน้ำแข็ง ที่สำคัญยังมีช่อง Telemarketing ที่ช่วยให้สามารถให้บริการครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค
โดยธุรกิจหลักของ TSR จะเน้นไปที่เครื่องกรองน้ำ เครื่องทำน้ำแข็งและเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักไปที่กลุ่มบ้านเรือนผู้คนทั่วไป ส่งผลให้ TSR จึงมีระบบเงินผ่อนเพื่อให้สามารถเข้าถึงทุกคนในทุกพื้นที่ ภายใต้การให้บริการของ “ผ่อนสบาย” ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ SABUY สามารถขยายธุรกิจภายในเมือง โดยในอนาคตอาจจะมีการร่วมมือในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ของ SABUY
นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ในอนาคตที่จะทำร่วมกันในด้านที่เกี่ยวกับการให้บริการน้ำสำหรับดื่ม รวมไปถึงความร่วมมือในด้านของสินเชื่อรถยนต์ โดยเฉพาะ สินเชื่อรถยนต์รถบรรทุกที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น ในทางกลับกัน ด้วย ecosystem ที่หลากหลายของ SABUY จะช่วยให้ TSR เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆทั้งแบบ B2B และ B2C รวมไปถึงการนำสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ใน ecosystem ของ SABUY มาจำหน่ายผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของ TSR ได้ในอนาคต
SABUY x iSoftel สู่การให้บริการผ่านช่องทางไร้สาย
ขณะที่อีกหนึ่งบริษัทที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับ SABUY อย่าง iSoftel ผู้ให้บริการระบบตอบรับอัตโนมัติ รวมไปถึงระบบ Call Center และระบบสายด่วนต่างๆ ซึ่งจุดเด่นของ iSoftel คือการพัฒนาระบบ iTool ซึ่งสามารถนำมาทำระบบตอบรับอัตโนมัติ ระบบบันทึกเสียงอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปพัฒนาสู่การทำระบบคลาวด์ โดยในปัจจุบันมีการพัฒนาการให้บริการ Contact Center สามารถให้บริการในรูปแบบบริการ Fax Server, IVR, VoiceMail โดยเฉพาะการให้บริการในลักษณะ Outsource Call Center และพร้อมขยายการให้บริการไปสู่กลุ่มประเทศ CLMV
สำหรับความร่วมมือระหว่าง SABUY และ iSoftel จะเป็นการร่วมมือเพื่อขยายธุรกิจ Outsource Call Center ซึ่งการให้บริการดังกล่าวจำเป็นต่อกลุ่มธุรกิจใน ecosystem และเมื่อรวมความสามารถการให้บริการด้าน Call Center ของ SABUY และ iSoftel จะยิ่งช่วยให้ครอบคลุมธุรกิจใน ecosystem ที่สำคัญจะเข้ามาช่วยเสริมแกนธุรกิจ Solution & Channel ในอนาคต Call Center เหล่านี้สามารถกลายสภาพเป็น Telesales ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายประกันหรือขายสินค้าอื่นๆ รวมไปถึงการติดตามทวงหนี้ด้วย และระบบ Call Center ยังช่วยเก็บข้อมูล (Data) เพื่อใช้ในระบบ CRM
SABUY x Marketing Oops! แบ่งปันความรู้สู่เครื่องมือการตลาดดิจิทัล
และความร่วมมือกับพันธมิตรที่สำคัญอย่าง Marketing Oops! ที่เป็นสื่อด้านการตลาด Digital Marketing อันดับหนึ่งของประเทศไทย นอกจากจะให้ความรู้ผ่านทางช่องทางเว็บไซต์แล้ว ยังมีช่องทางต่างๆ มากมายเพื่อให้ความรู้ส่งตรงถึงมือผู้อ่าน อาทิ Facebook LINE TikTok YouTube Twitter Instragram นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้อย่าง Marketing Oops! Summit รวมไปถึงการจัดอีเว้นท์อย่างความร่วมมือกับ Apple ที่สำคัญยังมีบริษัทในเครืออย่าง RedHouse Digital ที่ช่วยให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์ด้าน Digital Marketing ให้กับแบรนด์ธุรกิจขนาดใหญ่และแบรนด์ชั้นนำต่างประเทศ
สำหรับความร่วมมือกับ SABUY ซึ่งมองว่ามีแนวคิดในการแบ่งปันและให้ความรู้ SABUY และ Marketing Oops! จึงร่วมมือในการจัด SME Campus เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในหลายกระบวนการของการทำธุรกิจ ทั้ง Digital Transformation, Digital Marketing, Automate Process & Operation และองค์ความรู้ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ รวมไปถึงเรื่องของภาษี การเริ่มต้นธุรกิจ และการลงทุน โดยจะเป็นศูนย์รวมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ และการให้คำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์จริงที่อยู่ในธุรกิจจริง เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจได้จนเกิดเป็น Smart SMEs หรือ SME Intelligence
ประกอบกับ SABUY มีได้ต่อยอดการทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ซึ่งเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจจำนวนมาก SABUY และ Marketing Oops! จึงเตรียมแผนในการเปิดตัวสื่อใหม่ที่จะเน้นเรื่องความรู้ในด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งสื่อใหม่ “The Finverse” โดยจะยังคงเป็นสื่อออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ กับการลงทุนในรูปแบบใหม่ หรือการลงทุนแห่งอนาคต เพื่อให้ผู้ที่ติดตามได้ความรู้และคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสม
รวมไปถึงการนำบริษัทในเครืออย่าง เรดเฮาส์ ดิจิทัล (RedHouse Digital) จะเข้ามามีบทบาทในการวางแผนและกลยุทธ์ด้านการตลาดให้กับกลุ่ม SABUY และ Partners ที่อยู่ใน SABUYVERSE หรือ ecosystem ของ SABUY
ด้าน SABUY เองก็กำลังศึกษาวิธีการเข้าไปลงทุนใน Marketing Oops! ด้วย ในส่วนของ SME Campus เป็นความร่วมมือที่ไม่ได้หวังกำไร แต่ต้องการให้ SME ได้ประโยชน์จากความรู้ในส่วนนี้ ขณะที่ RedHouse Digital ตั้งใจจะให้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้ธุรกิจใน ecosystem ของ SABUY เข้าถึง Marketing Transformation เพื่อให้แบรนด์และบริการบน SABUYVERSE เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และสื่อใหม่ที่จะเปิดตัวขึ้นมาจะช่วยให้คนรุ่นใหม่ เรียนรู้เรื่องการลงทุนในยุคดิจิทัลและจะทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจในการลงทุนในรูปแบบใหม่มากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือความร่วมมือระหว่าง SABUY กับ 3 พันธมิตร แน่นอนว่าความร่วมมือกับ TSR จะเป็นการขยายตลาดของ SABUY เพื่อให้เข้าถึงและใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้ามากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องของสินเชื่อและการจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่การร่วมมือกับ iSoftel จะเป็นการสนับสนุนความร่วมมือของ TSR ให้ประสบผลสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านช่องทาง Call Center ที่จะแปรสภาพกลายเป็น Telesales ในอนาคต และระบบติดตามทวงหนี้ของ iSoftel จะช่วยสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อของ TSR ได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับความร่วมมือกับ Marketing Oops! นั้น จะเป็นการช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจต่างๆ ที่อยู่ใน ecosystem สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วผ่านรูปแบบการทำตลาดแบบ Digital Marketing และ Marketing Tech แต่อีกสิ่งที่ SABUY จะได้รับจากความร่วมมือในครั้งนี้ คือ ข้อมูล (Data) ของผู้ประกอบการธุรกิจ SME รวมไปถึงข้อมูล (Data) ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ซึ่งจะช่วยให้ SABUY มองเห็นความต้องการในการลงทุน และนั่นหมายถึงการนำระบบสินเชื่อ รวมไปถึงบริการต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME และการลงทุนของคนรุ่นใหม่เหล่านั้นได้แบบถึงตัว | ธุรกิจหลักของ TSR จะเน้นไปที่เครื่องกรองน้ำ เครื่องทำน้ำแข็งและเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักไปที่กลุ่มบ้านเรือนผู้คนทั่วไป ส่งผลให้ TSR จึงมีระบบเงินผ่อนเพื่อให้สามารถเข้าถึงทุกคนในทุกพื้นที่ ภายใต้การให้บริการของ “ผ่อนสบาย”
TSR มีช่องทางจำหน่ายหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบขายตรง แบบ O2O รวมไปถึงช่องทางผ่าน e-Marketplace และการขายในเชิงพาณิชย์องค์กร โดยเฉพาะร้านค้า ร้านอาหารและโรงงาน ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำสะอาดสำหรับดื่มและน้ำแข็ง ที่สำคัญยังมีช่อง Telemarketing ที่ช่วยให้สามารถให้บริการครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51019 | Retail | อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets เพิ่มขึ้น 1% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน? | null | จากบทความ มีปัจจัยหลัก 3 ประการที่สนับสนุนการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets ดังนี้
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ:
หลังจากการคลี่คลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้จ่ายในร้านค้าปลีกและร้านอาหารมากขึ้น สิ่งนี้กระตุ้นให้ธุรกิจในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets ทุ่มเงินโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้า
2. การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ:
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ร้านค้าปลีกและร้านอาหารหลายแห่งเริ่มลงทุนในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชั่น เพิ่มสูงขึ้น
3. กลยุทธ์การโฆษณาที่หลากหลาย:
ธุรกิจในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets นำกลยุทธ์การโฆษณาที่หลากหลายมาใช้เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างกลยุทธ์การโฆษณา:
การใช้ Influencer Marketing: ธุรกิจหลายแห่งร่วมมือกับ Influencer บนโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ
การโฆษณาแบบ Personalized: ธุรกิจนำเสนอโฆษณาที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน โดยใช้ข้อมูลการซื้อสินค้าและพฤติกรรมออนไลน์
การโฆษณาแบบ Omnichannel: ธุรกิจผสานการโฆษณาบนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
ผลลัพธ์:
กลยุทธ์การโฆษณาที่หลากหลายช่วยให้ธุรกิจในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น กระตุ้นยอดขาย และสร้างการรับรู้แบรนด์
ปัจจัยเพิ่มเติม:
การแข่งขันที่รุนแรง: ธุรกิจในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น สิ่งนี้กระตุ้นให้ธุรกิจทุ่มเงินโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
เทศกาลสำคัญ: เทศกาลสำคัญ เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ และปีใหม่ เป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายสูง ธุรกิจในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets มักทุ่มเงินโฆษณาเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาล
สรุป:
การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาในกลุ่ม Retail Shop / Food Outlets สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และกลยุทธ์การโฆษณาที่หลากหลาย ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น กระตุ้นยอดขาย และสร้างการรับรู้แบรนด์ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51023 | Retail | จงสรุปเรื่อง สื่อโฆษณาดิจิทัล ปี 2021 | ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สื่อโฆษณาดิจิทัลเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เติบโตเฉลี่ย +27.5% โดยไฮไลท์ของสื่อดิจิทัลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ Instant Massaging, YT, Online VDO, TikTok, E-commerce ส่วนไฮไลท์ในปี 2020 – 2021 คือการเติบโตของ TikTok (+654%) และ E-commerce (+45%) การเปลี่ยนแปลงของนักการตลาด กับการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัล พบว่ามีการปรับเปลี่ยนจากแพลตฟอร์มเมนสตรีมสู่ดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง มีเครื่องมือที่หลากหลายขึ้นและสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน ตอบโจทย์นักการตลาดได้อย่างหลากหลายทั้งการสร้าง Awareness, Lead Generation, Conversion เป็นต้น การใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลเติบโต…ทุกสภาพเศรษฐกิจ ปี 2019 การใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลเติบโต +16% คิดเป็นเม็ดเงิน 19,555 ล้านบาท เมื่อมี COVID-19 ในปี 2020 ก็ยังคงเติบโต +8% คิดเป็นเม็ดเงิน 21,058 ล้านบาท และปี 2021 ก็สามารถเติบโต +18% คิดเป็นเม็ดเงิน 24,766 ล้านบาท จากที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง +8% กับเม็ดเงิน 22,800 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สื่อโฆษณาดิจิทัลถือว่ามีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยน เริ่มหรือหยุดแคมเปญได้ง่ายและรวดเร็ว จึงใช้งานได้ดีกว่าสื่อประเภทอื่นที่ยังใช้ระบบการจอง ดังนั้น จึงให้ผล Cost-Effectiveness ได้ดีกว่า ประกอบกับผู้บริโภคใช้งานสื่อดิจิทัลและใช้งานมือถือเป็นเวลานานในแต่ละวัน สื่อดิจิทัลจึงกลายเป็นสื่อที่ใกล้ตัวผู้บริโภคและเข้าถึงคนหมู่มากได้ดีที่สุดในปัจจุบัน ส่วนปี 2022 คาดการณ์ว่าอาจเติบโต +9% กับเม็ดเงิน 27,040 ล้านบาท เนื่องจากมีปัจจัยภายนอกหลายด้าน อาทิ สงครามระหว่างรัสเซีย – ยูเครน, น้ำมันราคาแพง, สภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่แน่นอน รวมถึง ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังมีจำนวนมากในแต่ละวัน เป็นต้น แบรนด์จึงอาจชะลอการใช้จ่ายเพื่อพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย ผลกระทบต่อการจับจ่ายของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แบรนด์จำนวนไม่น้อยก็ใช้งานสื่อโฆษณาดิจิทัลอย่างแพร่หลายและลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก ปีนี้ จึงอาจเน้นที่เรื่อง Sale หรือ Conversion มากขึ้น และลดการทำ Mass Marketing ลงบ้าง ขณะเดียวกัน ก็ต้องพิจารณาว่า E-commerce ที่แบรนด์ส่วนใหญ่เริ่มใช้เงินมากขึ้น 5 Highest Spending ยังเป็นอุตสาหกรรมกลุ่มเดิม สถานการณ์ในปี 2021 ยังคงใกล้เคียงกับปีก่อน โดย 5 อันดับแรกยังเป็นอุตสาหกรรมเดิม และคาดว่าปี 2022 ก็จะเป็นเช่นนี้ ได้แก่ อันดับ 1 ยานยนต์ 2,897 ล้านบาท (คาดการณ์ปี 2022 = 3,170 ล้านบาท) อันดับ 2 เครื่องดื่ม Non-Alcoholic 2,681 ล้านบาท (ปี 2022 = 2,957 ล้านบาท) อันดับ 3 การสื่อสาร 2,581 ล้านบาท (ปี 2022 = 2,567 ล้านบาท) อันดับ 4 สกินแคร์ 2,162 ล้านบาท (ปี 2022 = 2,415 ล้านบาท) อันดับ 5 ผลิตภัณฑ์นม 1,657 ล้านบาท (ปี 2022 = 1,639 ล้านบาท) ยานยนต์ : ครองอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2017 จากหลายปัจจัย เช่น มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาเปิดตัวในตลาดรถยนต์, รถยนต์พรีเมียมกลับมามียอดขายเติบโต, การเพิ่มการลงทุนในตลาดรถกระบะ, ตลาดบิ๊กไบค์มีดีมานด์มากขึ้น และตลาดรถยนต์มือสองมีความคึกคักมากขึ้น มีหลายแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด เครื่องดื่ม Non-Alcoholic : เติบโตอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และอยู่ในอันดับ 2 ต่อเนื่อง จากภาพรวมสินค้าและบริการในกลุ่มเครื่องดื่มได้รับผลกระทบจากภาษีน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น หลายแบรนด์จึงหันมาทำตลาดกับเครื่องดื่มลดน้ำตาลหรือไร้น้ำตาลมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เป็นสินค้ากลุ่มที่ราคาสามารถจับต้องได้และตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ เช่นเดียวกับกลุ่มน้ำผสมวิตามิน น้ำผสมสมุนไพร ซึ่งผู้บริโภคให้ความสนใจและมีหลายแบรนด์เข้ามาทำตลาดมากขึ้นทั้งแบรนด์เดิมและแบรนด์ใหม่ ขณะเดียวกัน คนไทยก็ยังนิยมบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดเป็นรายใหญ่ระดับโลก จึงมีการขายหลากหลายรูปแบบรวมถึงเดลิเวอรี่ผ่านออนไลน์ด้วย สกินแคร์ : ยังคงเป็นเทรนด์การดูแลตนเองทั้งผิวหน้าและผิวกาย แม้จะอยู่ในช่วง WFH ที่หลายแบรนด์เครื่องสำอางจะได้รับผลกระทบ แต่เมื่อปรับมาเน้นขายสินค้าสกินแคร์มากขึ้นก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี Dairy Products หรือ ผลิตภัณฑ์นม : ยังคงเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคภายในครัวเรือน จึงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นอาหารส่งเสริมสุขภาพที่ผู้บริโภคตระหนักถึงการดูแลตนเอง วิตามินและอาหารเสริม : ในปี 2021 เติบโตถึง 178% โดยขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 8 จากอันดับ 19 ซึ่งมีการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลเติบโตถึง 442 ล้านบาท จากเทรนด์สุขภาพและเทรนด์สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้มูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นสินค้าที่เหมาะกับการทำตลาดและซื้อขายออนไลน์ 100% อีกด้วย Retail : ก็เป็นอีกอุตสาหกรรมที่เติบโตในการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลช่วง 1-2 ปีนี้ จากการปรับตัวมาสู่ Online Retail โดยเห็นได้ชัดเจนใน 4 กลุ่ม คือ SME ร้านค้ารายย่อยมีการปรับตัวเข้ามาใช้แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่เพื่อสร้างการเติบโต ผู้ประกอบการรรายย่อย หันมาเปิด Shop Online ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มการขายมากขึ้น Convenience Store ก็ปรับตัวโดยใช้ออนไลน์เช่นกัน ผ่าน LINE หรือเว็บไซต์ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการโดยเลือกสื่อสารกับผู้บริโภคที่อยู่ในย่านหรือละแวกเดียวกันด้วย Shopping Mall ทำการสื่อสารมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทำโปรโมชัน เพื่อดึงผู้บริโภคให้ออกจากบ้านกลับมาเดิน มาใช้บริการในห้าง 2021 Discipline Spending นักการตลาดยังให้ความสำคัญกับ Discipline ไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา คือ Facebook 8,005 ล้านบาท (32%) และคาดว่าปี 2022 = 8,106 ล้านบาท YouTube 4,195 ล้านบาท (17%) ปี 2022 = 4,690 ล้านบาท Social 2,249 ล้านบาท (9%) ปี 2022 = 2,323 ล้านบาท Creative 1,991 ล้านบาท (8%) ปี 2022 = 2,049 ล้านบาท Online VDO 1,788 ล้านบาท (7%) อาจขึ้นเป็นอันดับ 3 ในปี 2022 = 2,591 ล้านบาท อธิบายเพิ่มเติมได้ ดังนี้ – สัดส่วนของ Facebook คิดเป็น 1 ใน 3 ของ Discipline Spending ทั้งหมดในปี 2021 – Online VDO เติบโตอย่างรวดเร็วโดยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 จากเดิมอันดับ 8 เนื่องจากผู้บริโภคชอบโฆษณาที่เป็นคอนเทนต์วิดีโอมากกว่าภาพนิ่ง โดยเฉพาะสินค้า High Value Product เช่น รถยนต์ ที่ผู้บริโภคจะไปค้นหาวิดีโอรีวิวก่อนตัดสินใจ รวมถึง AR VR ที่จะเข้ามาเติมให้ Online VDO เติบโตขึ้น และตอนนี้ก็ไม่ได้จำกัดแค่ Facebook หรือ YouTube แต่บริการจาก OTT ก็ได้รับความนิยมในการลงโฆษณาเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคเลือกเสพความบันเทิงอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ Online VDO สามารถอยู่ในทุก Touch Point ของผู้บริโภคได้ตลอดวัน – TikTok เติบโตถึง 8 เท่าในปี 2021 ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตจากความต้องการความบันเทิงของผู้คน ประกอบกับมีคอนเทนต์หลากหลาย มีความตลก มีความสร้างสรรค์ และมีลักษณะเป็นวิดีโอสั้น จึงถูกใจคนไทย ครีเอเตอร์หลายคนเริ่มหันมาใช้การ Live ทำให้คนเข้ามา Engagement มากขึ้น แบรนด์จึงสามารถใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์ในลักษณะนี้เพิ่ม Engagement, Conversion, Social commerce ได้ด้วย – YouTube มีการเข้าถึงในกลุ่มคนจำนวนมากและกว้างไม่แพ้แพลตฟอร์มอื่น ยกตัวอย่าง กลุ่ม FMCG จะนิยมใช้แพลน TV ควบคู่กับ TV plus ของ YouTube เพื่อสร้าง Multi Screen ควบคู่กันไปและเสริม Incremental Reach หรือบางรายที่ถูกลดงบประมาณลงก็อาจจะเปลี่ยนจากการเลือก TV เป็น YouTube อย่างเดียวแทน เพราะสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าและเลือกกลุ่มเป้าหมายได้จำกัดยิ่งขึ้น – ยังมี E-commerce ที่เติบโตอย่างน่าสนใจจากการเป็น Media บน Marketplace ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสื่อที่อยู่ใกล้กับการกด การซื้อ จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อาจมีการนำเสนอส่งฟรี เก็บคูปอง สะสมคอยน์ เป็นต้น จึงทำให้ E-commerce Marketplace ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย นักการตลาด กับการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัล ในปี 2021 นักการตลาดยังเน้นที่การสร้าง Awareness เป็นวัตถุประสงค์หลัก ตามด้วยประเด็น Engagement, Drive sales to Online เป็นต้น ส่วนปี 2022 คาดว่า Awareness และ Engagement จะยังเป็นประเด็นสำคัญที่สุด ตามมาด้วยเรื่อง Drive sales to Online, E-commerce, Lead Generation เป็นต้น | ปี 2020 – 2021 การเติบโตอยู่ที่ TikTok และ E-commerce เนื่องจากนักการตลาดปรับเปลี่ยนจากแพลตฟอร์มเมนสตรีมสู่ดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง มีเครื่องมือที่หลากหลายซึ่งตอบโจทย์และสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน
อีกทั้งในทุกสภาพเศรษฐกิจการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลก็ยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2021 ก็สามารถเติบโต +18% คิดเป็นเม็ดเงิน 24,766 ล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงครองอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2017 ส่วน Retail ก็เป็นอีกอุตสาหกรรมที่เติบโตในการใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลช่วง 1-2 ปีนี้ จากการปรับตัวมาสู่ Online โดยเห็นได้ชัดเจนใน 4 กลุ่ม คือ
1. SME
2. ผู้ประกอบการรรายย่อย
3. Convenience Store
4. Shopping Mall
โดยนักการตลาดยังให้ความสำคัญกับ Discipline ซึ่ง Facebook คิดเป็น 1 ใน 3 ของ Discipline Spending ทั้งหมดในปี 2021
ส่วน TikTok ก็ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตไว ถึง 8 เท่าในปี 2021 อาจเพราะความต้องการความบันเทิงของผู้คน ประกอบกับมีคอนเทนต์หลากหลาย ตลก สร้างสรรค์ และเป็นวิดีโอสั้น จึงถูกใจคนไทย ครีเอเตอร์หลายคนเริ่มหันมาใช้การ Live ทำให้คนเข้ามา Engagement มากขึ้น
ส่วนอีกอันที่น่าสนใจเห็นจะเป็น E-commerce ที่เติบโตจากการเป็น Media บน Marketplace ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสื่อที่อยู่ใกล้กับการกด การซื้อ จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ได้รับความนิยมมาก
ในปี 2021-2022 นักการตลาดยังเน้นที่การสร้าง Awareness เป็นวัตถุประสงค์หลัก ตามด้วยประเด็น Engagement, Drive sales to Online เป็นต้น ส่วนปี 2022 คาดว่า Awareness และ Engagement จะยังเป็นประเด็นสำคัญที่สุด ตามมาด้วยเรื่อง Drive sales to Online, E-commerce, Lead Generation เป็นต้น | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51025 | Retail | กลยุทธ์ CRC Retailligenceในการเปิดประสบการณ์ metaverse เป็นอย่างไร | null | เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ “CRC Retailligence” ประกาศจับมือ Zipmex แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของเอเชีย พร้อมเปิดประสบการณ์ช้อปซูเปอร์มาร์เก็ตบนโลกเสมือนจริง เพื่อเชื่อมโยงผู้บริโภคยุคใหม่สู่โลก Metaverse มากขึ้น
นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทลความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมวงการฟู้ดรีเทลครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ร่วมกันพัฒนาและสำรวจศักยภาพของโลกเสมือนจริง หรือ Metaverse ที่ถูกสร้างจากโครงสร้างพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การใช้จ่ายผ่านเหรียญคริปโตเคอเรนซี หรือการเลือกสินค้าในรูปแบบ NFT เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นช่องทางใหม่สำหรับร้านค้าที่จะช่วยยกระดับการช้อปปิ้ง ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ผ่านการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่สะดวกสบายง่ายดายแบบไร้พรมแดน พร้อมสร้างความรู้สึกร่วมให้กับนักช้อปยุคใหม่ มีการสื่อสารและแลกเปลี่ยนความชื่นชอบระหว่างผู้บริโภคและองค์กรได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้นอันเป็นคุณลักษณะเด่นของ Decentralized Platform
ทั้งนี้ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การช้อปสินค้าของผู้บริโภคแบบดั้งเดิมไปสู่การพึ่งพาการซื้อและจัดส่งสินค้าทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลให้เกิดการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อมอบประสบการณ์ให้กับนักช้อปในหลากหลายมิติ จึงทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ดำเนินธุรกิจการค้า โดย Metaverse จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางใหม่ของการให้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตที่จะเชื่อมต่อและเชื่อมโยงผู้บริโภคในโลกแห่งดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน เป็นเสมือนสะพานทางการสื่อสารและการเข้าถึง เพื่อขยายเจาะกลุ่ม Young Generation และเทคโนโลยีเลิฟเวอร์เพิ่มมากขึ้น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51033 | Retail | 6 เทรนด์ผู้บริโภค 2022 เป็นอย่างไร | null | คุณณัฐา ปิยะวิโรจน์เสถียร Head of Strategy ได้วิเคราะห์เทรนด์ผู้บริโภคในปี 2022 ที่นักการตลาดและแบรนด์ควรติดตาม เอาไว้อย่างน่าสนใจ 6 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่
1. Mindful Togetherness เพราะผู้บริโภคอยู่กับสถานการณ์โรคระบาดมานาน 2 ปี แม้ว่าช่วงนี้จะเริ่มเข้าสู่ยุค Post Pandemic ได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติแต่ก็ยังเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ใช่ Post Pandemic เต็มรูปแบบ ผู้คนยังต้องหาวิธีใช้ชีวิตและปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป โดยแบ่งย่อยเป็น 3 ประเด็น คือ จากการกลับไปใช้ชีวิตในสังคมอีกครั้ง แบรนด์และนักการตลาดสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมกับการปรับตัวรับวิถีชีวิตของผู้บริโภค
2. Homebody Economy เป็นเทรนด์ที่ผู้คนอยู่บ้าน ติดบ้าน อยากใช้เวลานาน ๆ อยู่กับบ้าน แต่พวกเขาต้องการช่วงเวลาที่มีคุณภาพด้วย แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เทรนด์ใหม่เพราะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ความท้าทายจึงต้องดูว่าจะเป็นอย่างไรในปีนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้คนเริ่มชินกับการปรับตัวเพื่อเรียนและทำงานอยู่ที่บ้านแล้ว และมองว่าสามารถมีประสิทธิภาพไม่แพ้การกลับไปโรงเรียนหรือทำงานที่ออฟฟิศ เทรนด์นี้จึงยังคงอยู่ต่อไปในปีนี้
3. Nostalgia Reminiscing การย้อนกลับไปหาอดีตที่น่าจดจำ เทรนด์วินเทจ ย้อนยุค กำลังกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคอีกครั้ง โดยเฉพาะ Gen Y Gen C ที่เติบโตมาในยุคดิจิทัล ในแวดวงต่าง ๆ ทั้งคอนเทนต์และการผลิตสินค้า
4. Live More Than One Life ท่ามกลางการใช้ชีวิตในยุคนี้ที่มีทั้งโลกจริงและโลกเสมือน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้นและทำให้เส้นแบ่งระหว่าง 2 โลกนั้นเข้าใกล้กันมากขึ้น เราสามารถพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอีกโลก หรือสร้างตัวตนในอีกโลกได้ รวมถึงการปรับสู่ Virtual ของการเงินหรือกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ที่เปลี่ยนแปลงไป
5. Brighter, Bolder, Better Build Back ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัวมาก เชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น และจะหันกลับมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเรื่องต่าง ๆ มีความหมายขึ้นทั้งเรื่องของตนเอง ผู้คนรอบตัว สังคม และสิ่งแวดล้อม
6. Interactive Future เทคโนโลยีต่าง ๆ จะเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ของผู้บริโภคได้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น การชอปปิ้งออนไลน์ที่ทำให้ทุกอย่างง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เติมเต็มประสบการณ์ แต่จะต้องควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้มากขึ้นด้วย การใช้ชีวิตจะต้องสนุกและสบายมากขึ้น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51038 | Retail | อีคอมเมิร์ซจะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือไม่? | null | มีแนวโน้มที่จะส่งผลดี เหตุผล:
การขยายฐานลูกค้า:
อีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมผ่านช่องทางออนไลน์ได้
ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและสินค้าจากร้านค้าต่างๆ ได้สะดวก
การเพิ่มโอกาสในการขาย:
อีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถนำเสนอสินค้าและบริการเพิ่มเติมผ่านช่องทางออนไลน์
การลดต้นทุน:
อีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมประหยัดค่าเช่าพื้นที่
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถลดจำนวนพนักงานขาย
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการสินค้าคงคลัง
การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย:
ผู้บริโภคมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
อีคอมเมิร์ซเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในการอยู่รอด
ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จ:
Central Retail
CP All
The Mall Group
Robinson Department Store
สรุป:จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า อีคอมเมิร์ซมีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม
เพิ่มเติม:
ผลลัพธ์ของอีคอมเมิร์ซ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น กลยุทธ์ทางการตลาด ประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และพฤติกรรมผู้บริโภค
คำแนะนำ:
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรพัฒนาช่องทางออนไลน์
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรนำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีให้กับลูกค้า
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51042 | Retail | วิธีการแก้ปัญหา SME ไทยได้อย่างไรบ้าง | null | คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าปัญหาหลักๆ ของกลุ่ม SME ในไทยก็คือ ‘เงินทุน’ แต่จริงๆ แล้วมันมีปัจจัยอื่นเป็นส่วนประกอบด้วย อย่างเช่น ‘องค์ความรู้’ หรือไกด์ไลน์ที่จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้ ที่ผ่านมาเรามักจะพบปัญหาอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับ SME ในไทย นั่นก็คือ คลังความรู้ที่มีประโยชน์ คำแนะนำ หรือคำอธิบายบางอย่างในเชิงธุรกิจ เพราะบางทีการเข้าถึงแหล่งข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก รวมไปถึงข้อมูลบางอย่างที่ไม่เชื่อมโยงกับธุรกิจของพวกเขา ที่แย่ไปกว่านั้นคือ SME ไทยอาจต้องไปลองผิดถูกด้วยวิธีของตัวเอง จนทำให้สูญเสียหลายอย่าง ทั้งเงิน เวลา โอกาส แทนที่จะได้เข้ามาปรึกษากูรูในด้านธุรกิจผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านจุดนั้นมาก่อน โครงการ SCB SME Mentorเปรียบเสมือนเป็น consultant center ของ SME ไทยซึ่ง SCB SME ต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านความรู้ที่มีประโยชน์ต่อ SME เพื่อสร้างความสตรองและ pick up ศักยภาพของ SME ได้อย่างเต็มที่ โดย SCB SME มองว่าการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (SME Ecosystem) ที่เอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ จะมีอยู่ 4 ปัจจัยหลัก คือ องค์ความรู้ (Academy), ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน (Banking product and service), เครือข่ายธุรกิจ (Connection) และ ดิจิทัลโซลูชั่น (Digital solution) ถึงแม้ว่าธนาคารจะเชี่ยวชาญในด้านเงินทุน สินเชื่อ หรือบริการทางการเงินต่างๆ แต่ในเมื่อลูกค้า SME มีปัญหา มีความสงสัย การใช้ประโยชน์จาก connection ของธนาคารเพื่อจัดโครงการ SCB SME Mentor ถือว่าเป็นทางออกที่น่าสนใจมาก เพราะถ้า SME อยู่ได้ SCB ก็อยู่ได้เหมือนกัน ซึ่งในภาพรวมหากภาคธุรกิจไปต่อได้ แน่นอนว่ากลไกทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะเดินหน้าต่อไปด้วยเช่นกัน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51047 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "มุมมองของผู้นำทางความคิด ถึงความท้าทายและจุดเปลี่ยนของโลกธุรกิจในปี 2022" ให้หน่อยค่ะ | เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม หากธุรกิจอยากไปต่ออย่างยั่งยืน ต้องไม่หลงลืมเรื่องสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมในสังคม และการช่วยเหลือคนที่ลำบาก โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ถึงเวลาแล้วที่โลกธุรกิจในปี 2022 ต้องมองเรื่อง profit, people และ planet ไปด้วยกัน เพื่อองค์กรแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็สร้างโลกที่ดีขึ้น และรังสรรค์สังคมที่เท่าเทียม ลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกัน ฐากร ปิยะพันธ์ โลกในวันนี้ องค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อะไรที่เราเคยคิดว่าใช่ อาจจะไม่ใช่ ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ไม่ได้บอกว่า จะมีประโยชน์หรือ ใช้ได้กับโลกในอนาคต ทางที่ดี เราควรต้อง unlearn และ relearn อยู่เรื่อยๆ อะไรที่ไม่เคยทำ ไม่เคยลอง ก็ต้องลอง ธุรกิจที่ทำอยู่ก็ต้องหานวัตกรรมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราอยากจะรอด จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในอนาคตอันใกล้โลกเสมือนจริงอย่าง Metaverse จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น และด้วยพื้นฐานที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล(Digital Scarcity) อย่างคริปโตเคอร์เรนซี่และ NFT ที่ถูกพัฒนาบนบล็อกเชน จะกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การมีอยู่อย่างจำกัดของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะสร้างมูลค่าให้กับสินทรัพย์ทุกชนิดที่อยู่ในโลกเสมือนจริง อีกทั้งบล็อกเชนที่เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ สามารถลดกำแพงการเงินและสร้างอิสรภาพทางเศรษฐกิจในระดับโลก เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเงินได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหลักในโลกเสมือนจริงอย่างคริปโตเคอร์เรนซี่จะทำให้ผู้ถือครองคริปโตจำนวนมากในปัจจุบันกลายเป็นผู้บริโภคหลักสำหรับธุรกิจในอนาคต อริยะ พนมยงค์ CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท Transformational ในปี 2021 ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของยักษ์ใหญ่ด้าน Retail ที่มีการขยับตัว แต่ในปีหน้าเราจะได้เห็น Mass Adoption ซึ่งการที่ยักษ์ใหญ่ขยับตัวเข้ามาใช้เทคโนโลยีอย่าง Crypto หรือ NFT ก็เป็นสัญญาณที่หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ และรอบนี้ต้อง Move ตัวเองอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ตกขบวน หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราพลาดขบวนเทคโนโลยี Internet ซึ่งครั้งนี้หลายธุรกิจมีความพร้อม และรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เรืองโรจน์ พูลผล ประธาน กสิกร บิสซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG ปี 2022 น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการ Take Off แบบหักศอกของทศวรรษนี้ และความท้าทายคือการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในอัตราเร่งยิ่งกว่าเดิมและจะเริ่มเห็นยอดภูเขาน้ำแข็งของโลกยุคหลัง COVID ที่จะเป็นทศวรรษทองของหลายๆ องค์กรและหลายๆอุตสาหกรรม ซึ่งไทยมีโอกาสที่จะเห็น Unicorns อีก 2 ตัวและจะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่มหาศาลยิ่งกว่ายุคที่ผ่านมาและมีรถไฟหลายขบวนให้เรากระโดดขึ้นไป องค์กรธุรกิจจะมีเวลาเหลือไม่เกิน 3 ปีที่จะปรับตัวอย่างก้าวกระโดดเพื่อคว้าโอกาสให้ทัน เพราะถ้าปรับตัวไม่ทันก็จะถูก Disrupt หายไปแน่นอน อภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer บริษัท SCG Cement-Building Materials จำกัด (SCG-CBM) 2022 คือปีทองของคนที่อยากสร้างคุณค่าใหม่ให้กับลูกค้า องค์กรและสังคม ด้วยเทรนด์ที่สุกงอมและเต็มไปด้วยโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ธุรกิจใหม่อย่าง New Economy เทรนด์สังคมใหม่ภายใต้ ‘New Normal’ เทรนด์เทคโนโลยีใหม่ เช่น IoT 5G NFT EV และ Metaverse เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างอย่าง ‘Generation We’ จึงอยู่ที่เรามี vision แค่ไหน มีความสามารถในการแยกโอกาสจากวิกฤติได้หรือไม่ เข้าใจหลักนวัตกรรมเพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ ๆ ได้เร็วกว่า ถูกกว่า และตรงใจกว่าแค่ไหน สำคัญที่สุดคือ เรามี mindset ของ ‘Creator’ ไม่ใช่แค่ ‘User’ กันหรือยัง … โอกาสนั้นอยู่ตรงหน้า แต่พวกเราจะคว้ามันมาได้หรือไม่ ในรอบใหม่นี้ กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด (The 1) ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ทำให้องค์กรแข่งขันได้คือ ‘ความเร็ว’ ไม่ใช่ ‘ความคิดที่ชัดเจน’ ตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้นจึงต้องกล้าลองผิดลองถูก ถ้าตรงกับที่เราคิดก็วิ่งต่อ ถ้าไม่ใช่ก็รีบปรับแก้ไขใหม่ สำหรับ The 1 จุดแข็งที่ช่วยให้วางแผนและปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลง คือ ความเชี่ยวชาญด้าน Data-Driven Marketing ที่ช่วยให้เราเข้าใจกระแสพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO Ookbee และ CEO SIX Network เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น คริปโตเคอเรนซี่ บล็อคเชน NFT ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในวงการการเงิน การลงทุน และการทำธุรกิจ คือความท้าทาย ที่กำลังมีบทบาทในโลกธุรกิจในปีที่จะถึง หลายๆคนอาจเริ่มไปลงทุนใน Asset Class ใหม่อันนี้เช่นลงทุนซื้อ Bitcoin แต่เรายังสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในเรื่องของธุรกิจได้ด้วยครับ ผมเลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ทุกคนควรให้ความสนใจ ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี-ต่อ เพนกวิน อีท ชาบู พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแบบไม่หยุด เป็นสิ่งที่ท้าทายสุดสำหรับธุรกิจ โดยตอนนี้มาอยู่บนโลกออนไลน์ โลกเสมือนจริงมากขึ้น เราต้องตามให้ทัน และต้องเปลี่ยน Workflow สร้าง Business Model ใหม่ ๆ เช่น ดึงลูกค้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับเรา ไม่ใช่แค่มาจ่ายเงินให้ ฯลฯ และตอนนี้โลกอยู่บนความไม่แน่นอน คนทำธุรกิจต้องรื้อวิธีคิดเดิมไปให้หมด ‘อะไรที่คิดว่า เป็นไปไม่ได้ ให้กระโจนเข้าไปทันที’ เพราะต้องเป็นไปได้แน่นอน ส่วนเรื่อง ‘คิดเร็ว ทำเร็ว’ ยังสำคัญอยู่ มีอะไรใหม่ให้เข้าไปก่อน แล้วค่อยปรับกันไป ธุรกิจต้องวิ่งให้เร็ว และห้ามหยุด เพราะถ้าหยุดเท่ากับฆ่าตัวตาย และการ ‘นิ่งกับที่’ ก็การันตีถึงความล้มเหลว คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด การทำธุรกิจในยุคนี้ไม่ง่าย…ทุกเส้นทางล้วนมีความท้าทายที่รออยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความหนักแน่นในจิตใจของผู้บริหารและทีมงานทุกคน การไม่หยุดเรียนรู้ที่จะรับมือต่อตัวแปรต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงการวางแผน ทุกองค์กรไม่ควรมีแค่แผนเดียว แต่ต้องมีแผนสำรองเสมอ ผมเชื่อว่าหากเรามีสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าสถานการณ์อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น พวกเราจะสามารถดำเนินการและพร้อมรับมือกับมันได้ | - เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มองว่าโลกธุรกิจในปี 2022 ต้องมองเรื่อง profit, people และ planet เพื่อองค์กรแข็งแกร่ง สร้างโลกที่ดีขึ้น และรังสรรค์สังคมที่เท่าเทียม ลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกัน
- ฐากร ปิยะพันธ์ มองว่าต้อง unlearn และ relearn อยู่เรื่อยๆ อะไรที่ไม่เคยลองก็ต้องลอง ต้องหานวัตกรรมใหม่ตลอดเวลา
- จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มองว่าโลกเสมือนจริงอย่าง Metaverse จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น คริปโตเคอร์เรนซี่และ NFT จะกลายเป็นส่วนที่ทำให้สร้างมูลค่าได้
- อริยะ พนมยงค์ CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท Transformational มองว่าจะได้เห็น Mass Adoption เข้ามาใช้ Crypto หรือ NFT เป็นสัญญาณที่หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ และ Move ตัวเองอย่างรวดเร็ว
- เรืองโรจน์ พูลผล ประธาน กสิกร บิสซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป มองว่าปี 2022 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ Take Off และการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในอัตราเร่งยิ่งกว่าเดิม ถ้าองค์กรธุรกิจปรับตัวไม่ทันก็จะถูก Disrupt หายไป
- อภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer บริษัท SCG Cement-Building Materials จำกัด มองว่า 2022 คือปีทองของคนที่อยากสร้างคุณค่าใหม่ให้ลูกค้า ด้วยเทรนด์ที่เต็มไปด้วยโอกาส
- กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด มองว่าสิ่งที่ทำให้องค์กรแข่งขันได้คือ ความเร็วภายใต้โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO Ookbee และ SIX Network มองว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกำลังเข้ามามีบทบาท เป็นโอกาสที่ควรให้ความสนใจ
- ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี มองว่าต้องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปให้ทัน และต้องเปลี่ยน Workflow ในสร้าง Business Model ใหม่ ๆ
- คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความหนักแน่นในจิตใจของผู้บริหารและทีมงานรวมถึงการวางแผน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51062 | Retail | จากเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ที่ผู้ขายต้องรู้ ในงานสัมมนา Lazada Seller Opportunity Day 2021 ในปี 2564 พบว่าคนไทยประมาณเท่าไหร่ ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าปี 2563 เฉลี่ย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน | A. 74%
B. 92%
C. 19%
D. 6% | คำตอบคือ A. เพราะว่า เพราะจากเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ที่ผู้ขายต้องรู้ ในงานสัมมนา Lazada Seller Opportunity Day 2021 ในปี 2564 พบว่าคนไทยประมาณ 74% ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าปี 2563 เฉลี่ย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน
| null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51068 | Retail | ข้อใดกล่าวถึงกลยุทธ์ REDUCE ของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ได้ถูกต้อง | ก. รองรับการใช้ชีวิตในวิถีใหม่ด้วยการใช้จุดแข็ง Omnichannel Platform
ข. การต่อยอดให้สตาร์ทอัพเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ค. กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศ
ง. เสริมสภาพคล่องทางการเงิน
จ. ลดค่าครองชีพ | คำตอบที่ถูกต้องคือ จ. การลดค่าครองชีพเป็นกลยุทธ์ REDUCE ของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจทุกภาคส่วน โดยมีกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการคือ REDUCE, REBUILD, และ REINFORCE
1. REDUCE
- ลดค่าเช่า: สนับสนุนคู่ค้ากว่า 15,000 ราย โดยลดค่าเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าทั่วประเทศ
- ลดค่าครองชีพ: จัดแคมเปญ Hug Thais เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ
- ตรึงราคา: ลดราคาสินค้าจำเป็นเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย
2. REBUILD
- สนับสนุน SMEs: เสริมสภาพคล่องด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) กว่า 500,000 ราย
- ขายสินค้าชุมชน: จัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าชุมชนในเครือร้านค้าชั้นนำ
- กระตุ้นการท่องเที่ยว: แคมเปญ “Shopcation Exclusive Privileges” ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
3. REINFORCE
- Omnichannel Platform: เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้าแบบออนไลน์และออฟไลน์
- Contactless Payment: ส่งเสริมการใช้จ่ายแบบไร้สัมผัส
- การสนับสนุนเกษตรกร: พัฒนาช่องทางออนไลน์ให้กับเกษตรกรและชุมชน
- สนับสนุนสตาร์ทอัพ: ร่วมมือกับสตาร์ทอัพเพื่อพัฒนาช่องทางการจำหน่ายใหม่
กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพต่อไป | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51069 | Retail | จากบทความเกี่ยวกับ 7-Eleven อะไรคือกลยุทธ์ที่ 7-Eleven ควรใช้เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดอินเดีย? | null | จากบทความเกี่ยวกับ 7-Eleven กลยุทธ์ที่ 7-Eleven ควรใช้เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดอินเดียมีดังนี้:
1. เข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค:
ศึกษาความต้องการ วัฒนธรรม และพฤติกรรมการซื้อของของคนอินเดีย
วิเคราะห์คู่แข่ง โดยเฉพาะร้านโชห่วย Kirana
พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
2. ปรับสินค้าและบริการให้เหมาะกับตลาด:
นำเสนอสินค้าที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าท้องถิ่น และสินค้าเฉพาะกลุ่ม
พัฒนารูปแบบร้านที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ เข้าถึงลูกค้าในชุมชน
นำเสนอบริการเพิ่มเติม เช่น บริการสั่งซื้อออนไลน์ บริการจัดส่งสินค้า
3. เน้นกลยุทธ์ราคาที่แข่งขันได้:
เสนอราคาสินค้าที่ competitive
พัฒนาโปรโมชั่นและส่วนลดที่ดึงดูดลูกค้า
นำเสนอแพ็คเกจสินค้าที่คุ้มค่า
4. สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง:
สื่อสารแบรนด์ 7-Eleven ให้เป็นที่รู้จัก
เน้นจุดแข็งของแบรนด์ เช่น ความสะดวก รวดเร็ว และสินค้าที่มีคุณภาพ
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
5. ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น:
จับมือกับธุรกิจท้องถิ่น เพื่อขยายเครือข่าย
พัฒนาระบบขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์:
7-Eleven สามารถพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าท้องถิ่น และสินค้าเฉพาะกลุ่ม
7-Eleven สามารถพัฒนารูปแบบร้านขนาดเล็ก เข้าถึงลูกค้าในชุมชน
7-Eleven สามารถนำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดที่ดึงดูดลูกค้า
**การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ 7-Eleven สามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดอินเดีย **
คำแนะนำเพิ่มเติม:
7-Eleven ควรติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ พฤติกรรมของลูกค้า และคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
7-Eleven ควรพัฒนากลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์
7-Eleven ควรเรียนรู้จากประสบการณ์ในต่างประเทศ นำมาประยุกต์ใช้ในตลาดอินเดีย | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51071 | Retail | การคว้า 4 รางวัล RETAIL ASIA AWARD 2021 ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์รีแบรนดิ้ง "เดอะมอลล์" สู่ "เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์" หรือไม่? | null | ใช่
1. รางวัล RETAIL ASIA AWARD 2021 เป็นรางวัลที่มีความน่าเชื่อถือ:
รางวัล RETAIL ASIA AWARD 2021 จัดโดยนิตยสาร RETAIL ASIA ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำของธุรกิจค้าปลีกในเอเชีย
รางวัลนี้มอบให้กับโครงการค้าปลีกที่ยอดเยี่ยมในหลากหลายสาขา จาก 15 ประเทศทั่วเอเชีย
การได้รับรางวัลนี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศ
2. รางวัลที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้รับ ล้วนเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์รีแบรนดิ้ง:
รางวัล MALL OF THE YEAR - THE MALL LIFESTORE NGARMWONGWAN
รางวัล BRAND TRANSFORMATION OF THE YEAR - THE MALL LIFESTORE NGARMWONGWAN
รางวัล STORE DESIGN OF THE YEAR - THE MALL LIFESTORE NGARMWONGWAN
รางวัลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการรีแบรนด์ "เดอะมอลล์" สู่ "เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์"
3. เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์รีแบรนดิ้ง:
เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดภายใต้แนวคิด “GREEN HOUSE”
การปรับโฉมใหม่นี้ เน้นการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ผสมผสานธรรมชาติเข้ากับการออกแบบ
เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
4. กลยุทธ์รีแบรนดิ้งของเดอะมอลล์ กรุ๊ป สอดคล้องกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน:
ผู้บริโภคมองหาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มากกว่าแค่การซื้อสินค้า
ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายและครบครันในห้างสรรพสินค้า
เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ของผู้บริโภค
5. เดอะมอลล์ กรุ๊ป วางแผนขยายสาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์เพิ่มเติม:
เดอะมอลล์ กรุ๊ป วางแผนรีแบรนด์ "เดอะมอลล์ ท่าพระ" สู่ "เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ"
การขยายสาขา แสดงให้เห็นว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป มั่นใจในกลยุทธ์รีแบรนดิ้ง
สรุป:จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การคว้า 4 รางวัล RETAIL ASIA AWARD 2021 ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์รีแบรนดิ้ง "เดอะมอลล์" สู่ "เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์" | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51073 | Retail | วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) เพื่ออนุมัติการปรับโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจโดยอนุมัติให้ดำเนินการแลกหุ้นจาก “SCB” เป็นอะไร | ก. TechX
ข. SCBx
ค. AISCB
ง. 10X
จ. JV | คำตอบ คือ ข. เนื่องจากวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) เพื่ออนุมัติการปรับโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจโดยอนุมัติให้ดำเนินการแลกหุ้นจาก “SCB” เป็น “SCBx” และนำหุ้น “SCBx” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทนหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์“SCB”
| null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51074 | Retail | ช่วยสรุปเกี่ยวกับ 4 เทรนด์ Commerce ที่ GroupM วิเคราะห์ว่าจะบูมต่อเนื่องในเอเชีย ในปี 2022 ให้ทีได้มั้ย | 4 รูปแบบธุรกิจ commerce ที่มองว่าน่าจับตาต่อไปจนถึงปี 2022 เพราะว่ายังจะได้รับความนิยมไม่ต่างกับปีนี้ หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำไป โดย commerce 4 รูปแบบที่คุณ Toni คาดการณ์ว่าจะยังอยู่กับเราต่อไป มองว่ามันเป็น top of mind ของผู้บริโภคใน APEC (เอเชียแปซิฟิก) หรืออาจจะทั่วโลกเลยก็ได้ นั่นก็คือ Direct-to-consumer (DTC) รูปแบบแรกก็คือ การขายสินค้าและบริการโดยตรงจากบริษัทถึงผู้บริโภค (DTC) ซึ่งตั้งแต่ที่เราเชิญกับการแพร่ระบาด จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีหลายแบรนด์มากที่ขยับตัวไปช่องทางการขายทางออนไลน์โดยตรงมากขึ้น หากเปรียบเทียบกับปี 2020 ที่ประมาณ 10% ของแบรนด์ใช้ช่องทาง DTC ในเอเชีย แต่ ณ ปัจจุบัน ประมาณ 30% ของแบรนด์ที่เพิ่มการจำหน่ายสินค้าโดยตรงเรียบร้อยแล้ว อย่างเช่น Nike ในประเทศจีน และประมาณ 50% คือแบรนด์ L’Oréal ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ 2 แบรนด์ที่หยิบมาพูด แต่ยังมีอีกมากมาย เช่น Pepsi, Coke ที่หันมาสนใจรูปแบบการขายแบบ DTC ตั้งแต่ต้นปี 2020 คุณ Toni ย้ำว่า สิ่งที่เราจะเห็นในอนาคต อย่างน้อยๆ ต้นปี 2022 commerce รูปแบบนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในช่องทางหลักของแบรนด์ต่างๆ หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็เพราะว่า 1st party data ที่จำเป็นมากขึ้นในยุคต่อไป ขณะที่แบรนด์มีโอกาสที่จะพัฒนาโปรดักส์-บริการได้มากขึ้นหากพวกเขามี 1st party data มากขึ้น “แบรนด์จำเป็นต้อง re-engage กับลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่ง DTC จะช่วยให้เรามีข้อมูลมากพอ เพราะแบรนด์รู้อยู่แล้วว่า E-marketplace เช่น Shopee, Lazada ฯลฯ ไม่ยอมให้เข้าถึง data ลูกค้าของพวกเขามากนัก” คุณ Toni ได้ยกตัวอย่างถึง Nike อีกครั้งว่า พวกเขาสามารถขายโปรดักส์ได้ 30-35% ผ่าน brand.com และไม่ใช่แค่รองเท้าของพวกเขา แต่ยังสร้างการรับรู้ และดึงความสนใจเกี่ยวกับสินค้าที่เป็น limited ได้ด้วย สะท้อนให้เห็นว่า การขายผ่าน brand.com หรือขายโดยตรงจากแบรนด์สามารถทำได้ดี และมีโอกาสปิดการขายได้เร็ว ซึ่งทำให้เห็นถึงเทรนด์การขายที่เชื่อมโยงระหว่าง physical store (ร้านค้า) กับร้านค้าออนไลน์ที่ยังได้รับความนิยมสูง Social commerce สำหรับช่องทางนี้ก็คือ การซื้อขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรง ซึ่งในตลาดอาเซียน (เอเชียตะวันเฉียงใต้) ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีส่วนร่วมในการใช้ช่องทางนี้สูงเป็นอันดับ 2 รองจากเวียดนาม ในปี 2020 ยิ่งไทยที่มีมาตรการล็อกดาวน์อย่างน้อย 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เกิดดีมานด์ใน Social commerce ค่อนข้างสูง โดยที่ผ่านมา ถึงแม้ว่วาจะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายแต่สำหรับ Social commerce ที่ได้รับความนิยม และแบรนด์มักจะเลือกในการ activate ยอดขาย, แคมเปญ หรือการสร้างการรับรู้ เช่น storytelling ก็คือ TikTok, Facebook, Intragram ซึ่งมองว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้มีศักยภาพในการสร้าง engagement กับลูกค้าได้มากกว่า E-marketplaces คุณ Toni ได้อธิบายเพิ่มว่า สำหรับ E-marketplace เช่น Amazon, Shopee, Lazada หรืออื่นๆ พวกเขาไม่ได้นึกถึง discovery purpose เหมือนกับที่ Social commerce ซึ่งจุดนี้คือข้อได้เปรียบของแบรนด์ คุณสามารถบอกเล่าเรื่องราว หรือสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่า และทำให้ target ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ตัดสินใจซื้อของได้ง่ายขึ้น ผ่านการสื่อสารของ influencers หรือ brand ambassadors อย่างไรก็ตาม สำหรับ Social commerce คุณ Toni มองว่ามันมีความท้าทายอยู่เล็กน้อย ก็คือ Seamless Experience (ประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ) เพราะว่า journey ในการซื้อของผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้บางทีก็ต้องรอ หรือเสี่ยงกับการโดนโกง หรืออย่างน้อยๆ เราก็ต้องคุยกับร้านค้าผ่าน Messenger (Facebook) ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ซึ่งเทียบกับ Brand.com ของแบรนด์นั้นๆ ระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อจะเร็วกว่า Omni-channel/O2O สำหรับรูปแบบ O2O Marketing ก็คือ โมเดลธุรกิจแบบ Online to Offline หรือบางคนก็เรียกว่าเป็น Omni-channel ซึ่งประเทศไทย ก็ยังเป็นหนึ่งในประเทศ leading ที่ใช้เวลากับทั้ง 2 ช่องทาง ร้านค้าออฟไลน์และออนไลน์ แทบจะมากพอๆ กันเลยก็ว่าได้ “ตัวอย่างในหลายๆ แบรนด์เห็นได้ชัดว่าพวกเขา connect ระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ได้น่าสนใจ เช่น Big C, Pomelo ฯลฯ แต่เทรนด์นี้เราจะเห็นไปจนถึงปีหน้าสำหรับแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งในด้าน retails และมีระบบที่รวดเร็ว” ทั้งนี้ คุณ Toni ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีโอกาสสูงมาก ใน Return Rate (อัตราผลตอบแทน) อาจจะมากถึง 30-35% เลยก็ได้ หากแบรนด์คุณสามารถสร้าง journey ที่น่าสนใจและกระตุ้นยอดขายได้ในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น แบรนด์ Pomelo ในสิงคโปร์ซึ่งมีสินค้าในร้านค้าออนไลน์ประมาณ 2,500 ชิ้น และมีร้านค้าออฟไลน์ 3 แห่งด้วยกัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาเต็มใจและเสนอแนะให้กับลูกค้าที่สนใจซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเปา เครื่องประดับต่างๆ พวกเขาสามารถเข้ามาดูสินค้าจริงได้ที่ร้านทุกสาขา และซื้อที่หน้าร้าน หรือในออนไลน์ก็ได้เพราะราคาเท่ากัน หรือแบรนด์ Taobao ในสิงคโปร์ ซึ่งพวกเขามี showroom สินค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้า ความน่าสนใจของ Taobao ก็คือ สินค้าทุกอย่างใน showroom มีไว้โชว์เท่านั้น ทั้งดีไซน์, คุณภาพของสินค้า โดยคุณจะไม่สามารถซื้อสินค้าใดๆ ได้เลยจากร้านออฟไลน์ แต่ต้องกลับไปออเดอร์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น และหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์คุณจะได้รับสินค้าส่งตรงถึงบ้าน เป็นต้น แน่นอนว่าตัวอย่างที่หยิบมาพูด เป็นการขยายความไอเดียของแบรนด์ในปัจจุบัน และมองว่าในอนาคตเราน่าจะเห็น Omni-channel ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่คุณ Toni ย้ำก็คือรูปแบบของ Omni-channel ว่าเหมือนเป็นการเพิ่มโอกาสให้ทั้งกับแบรนด์มากขึ้น เช่น upsell (การแนะนำเพื่อขายสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูงกว่าให้แก่ลูกค้าที่กำลังตัดสินใจซื้อสินค้า) และ cross-sell (การขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าตัวหลักที่ลูกค้ากำลังสนใจ) อธิบายง่ายๆ คือ บางทีเราเข้าไปดูสินค้าที่เราอยากจะซื้อ เช่น รองเท้า แต่เราเห็นสินค้าอื่นจาก showroom มีโอกาสสูงที่เราจะซื้อสินค้าอื่นเพิ่ม นอกเหนือจากรองเท้า เช่น กระเป๋า (ที่มีราคาแพงกว่ารองเท้า) ดังนั้น เทรนด์นี้น่าจะยังอยู่กับเราไปจนถึงปี 2022 แน่นอน LIVE commerce หลายคนอาจจะเข้าใจว่า LIVE commerce ก็คือสิ่งเดียวกันกับ Social commerce แต่คุณ Toni อธิบายว่ามันมีจุดที่แตกต่างกันอยู่ เพราะว่า Social commerce มันคือการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ได้ระบุว่าใช้ฟังก์ชั่นไหนบ้าง แต่สำหรับ LIVE commerce มันคือ การไลฟ์ที่เป็นรูปแบบเรียลไทมส์ เป็นการสตรีมมิ่งที่มีจุดประสงค์เกี่ยวกับการค้าขาย หรือหมายถึงรวม การไลฟ์สดผ่านทาง E-marketplace เช่น Lazada, Shopee ทั้งยังโชว์ผลสำรวจในช่วงต้นปี 2021 เกี่ยวกับเขตพื้นที่ในประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่ใช้ LIVE commerce จำนนมาก พบว่า คนในกรุงเทพฯ ของไทยกลายมาเป็นอันดับ 2 ตามหลังเวียดนาม โดยมี 60% ที่บอกว่าพวกเขาคุ้นเคยกับ LIVE commerce และซื้อสินค้าจากช่องทางนี้ เหตุผลที่ทำให้คุณ Toni มองว่า รูปแบบ LIVE commerce จะยังคงอยู่ต่อไปเพราะว่า ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวิธีไลฟ์ ทำให้มันดูสนุก มีความเป็นกันเอง อารมณ์เหมือนเพื่อนมาแนะนำสินค้าให้เพื่อน ใช้ดีบอกต่อ ดังนั้น อานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ แบรนด์/ธุรกิจจะได้กลุ่มผู้ซื้อที่ไม่ได้วางแผนมาซื้อสินค้ามากขึ้น เพราะคนเหล่านี้พวกเขาไม่รู้ว่าต้องการซื้ออะไร หรืออยากได้อะไร แค่อยากมาฟังเฉยๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจซื้อ และข้อดีอีกหนึ่งอย่างก็คือ ลูกค้าบางคนชอบที่จะฟังแบรนด์มาบอกต่อ หรือเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโปรโมชั่นหน้าร้าน, แคมเปญที่จะเกิดขึ้นใหม่ (สำหรับแบรนด์ที่มีร้านออฟไลน์) ผ่านการไลฟ์สด เพราะพวกเขาจะรู้สึกถึงความใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น | 4 รูปแบบธุรกิจ commerce ที่น่าจับตามองต่อไปจนถึงปี 2022 นั่นก็คือ
1. Direct-to-consumer (DTC) คือ การขายสินค้าและบริการโดยตรงจากบริษัทถึงผู้บริโภค (DTC) ซึ่งตั้งแต่ที่เราเชิญกับการแพร่ทำให้หลายแบรนด์ไปช่องทางการขายออนไลน์โดยตรงมากขึ้น พวกเขาสามารถขายโปรดักส์ได้ 30-35% ผ่าน brand.com และยังสร้างการรับรู้ ดึงความสนใจเกี่ยวกับสินค้าที่เป็น limited ได้ด้วย สะท้อนให้เห็นว่า การขายผ่าน brand.com หรือขายโดยตรงจากแบรนด์สามารถทำได้ดี และมีโอกาสปิดการขายได้เร็ว
2. Social commerce คือ การซื้อขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรง ซึ่งประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีการใช้ช่องทางนี้สูงเป็นอันดับ 2 รองจากเวียดนาม ยิ่งในปี 2020 ที่ไทยมีมาตรการล็อกดาวน์นั้นทำให้เกิดการใช้ Social commerce ค่อนข้างสูง โดยที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก แต่ Social commerce ก็ได้รับความนิยม และแบรนด์มักจะเลือกในการ activate ยอดขาย, แคมเปญ หรือการสร้างการรับรู้ ซึ่งจุดนี้คือข้อได้เปรียบของแบรนด์ คุณสามารถบอกเล่าเรื่องราว หรือสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่า และทำให้ target ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ตัดสินใจซื้อของได้ง่ายขึ้น ผ่านการสื่อสารของ influencers หรือ brand ambassadors แต่ในช่องนี้อาจจะเสี่ยงกับการโดนโกง หรือบางทีก็ต้องรอเพราะต้องคุยกับร้านค้า ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
3. Omni-channel/O2O คือ ใช้เวลากับทั้ง 2 ช่องทาง ร้านค้าออฟไลน์และออนไลน์ พอๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่นิยมกับแฟชั่น เพราะเค้าใช้กลยุทธ์ที่ให้ลูกค้ามาดูสินค้าจริงที่หน้าร้านได้ก่อนตัดสินใจซื้อ และการที่ไปหน้าร้านก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะสนใจสินค้าอื่นเพิ่ม
4. LIVE commerce คือ การไลฟ์ที่เป็นรูปแบบเรียลไทมส์ เป็นการสตรีมมิ่งที่มีจุดประสงค์เกี่ยวกับการค้าขาย หรือหมายถึงรวม การไลฟ์สดผ่านทาง E-marketplace ซึ่งต่างกับ Social commerce ที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ได้ระบุว่าใช้ฟังก์ชั่นไหนบ้าง รูปแบบ LIVE commerce จะยังคงอยู่ต่อไป เนื่องจากปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวิธีไลฟ์ ทำให้มันดูสนุก มีความเป็นกันเอง อารมณ์เหมือนเพื่อนมาแนะนำสินค้าให้เพื่อน ใช้ดีบอกต่อ
ดังนั้น ข้อดีคือ แบรนด์/ธุรกิจจะได้กลุ่มผู้ซื้อที่ไม่ได้วางแผนมาซื้อสินค้ามากขึ้น เพราะคนเหล่านี้พวกเขาไม่รู้ว่าต้องการซื้ออะไร แค่อยากมาฟังเฉยๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจซื้อ และอีกหนึ่งอย่างก็คือ ลูกค้าบางคนชอบที่จะฟังแบรนด์มาบอกต่อ หรือเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโปรโมชั่นหน้าร้าน, แคมเปญที่จะเกิดขึ้นใหม่ ผ่านการไลฟ์สด พวกเขารู้สึกถึงความใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51077 | Retail | JD MALL ห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่จาก JD ดอทคอม มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ใดเป็นหลัก? | ก. กลยุทธ์เทคโนโลยีล้ำสมัย: นำเสนอเทคโนโลยี Immersive เช่น โฮโลแกรม, VR, หุ่นยนต์อัจฉริยะ
ข. กลยุทธ์ Omnichannel: มุ่งเน้นการผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
ค. กลยุทธ์สินค้าหลากหลาย: นำเสนอสินค้าครบครันกว่า 200,000 รายการ จาก 150 แบรนด์
ง. กลยุทธ์บริการครบวงจร: นำเสนอบริการเสริม เช่น ร้านเสริมสวย, ร้านเครื่องเสียง, พื้นที่ทดสอบโดรน, ร้านนวด | คำตอบคือ ข. เนื่องจาก เหตุผล:
- การผสมผสานช่องทางการช้อปปิ้ง: JD MALL นำเสนอสินค้าทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่าน WeChat Mini สแกน QR Code บนสินค้า และรอรับสินค้าที่บ้าน หรือเลือกซื้อสินค้าภายในห้างและชำระเงินผ่านระบบออนไลน์
- การเชื่อมต่อประสบการณ์: ห้างสรรพสินค้ามีสินค้าหลากหลาย ครอบคลุมหมวดหมู่ที่ขายบน JD ดอทคอม อยู่แล้วเพิ่มด้วยหมวดหมู่สินค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบสินค้า หาข้อมูล และตัดสินใจซื้อได้สะดวก
- การยกระดับการบริการ: JD MALL นำเสนอบริการเสริม เช่น ร้านเสริมสวย ร้านเครื่องเสียง พื้นที่ทดสอบโดรน ร้านนวด เสริมประสบการณ์การช้อปปิ้งให้น่าสนใจ
- แพ็กเกจบ้านครบวงจร: JD MALL นำเสนอบริการออกแบบ เลือกสินค้า และบริการหลังการขายสำหรับบ้าน ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าและรับบริการติดตั้งทั้งหมดภายใน 2 ชั่วโมง
ตัวเลือกอื่น ๆ ไม่ถูกต้องเพราะว่า:
- กลยุทธ์สินค้าหลากหลาย: แม้ว่า JD MALL จะนำเสนอสินค้าหลากหลาย แต่กลยุทธ์หลักมุ่งเน้นไปที่การผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และออฟไลน์
- กลยุทธ์เทคโนโลยีล้ำสมัย: เทคโนโลยี Immersive เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Omnichannel มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แปลกใหม่
- กลยุทธ์บริการครบวงจร: บริการเสริมเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Omnichannel มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร
สรุป:
JD MALL มุ่งเน้นกลยุทธ์ Omnichannel เป็นหลัก นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ผสมผสานช่องทางการช้อปปิ้ง เทคโนโลยี และบริการเข้าด้วยกัน ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งสินค้า เปรียบเทียบข้อมูล เลือกซื้อสินค้า รับบริการ และรับสินค้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และครบวงจร
circle | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51080 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์หลักที่ FamilyMart ใช้เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในญี่ปุ่น? | อย่างที่ทราบว่าประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาด้านแรงงาน อันเนื่องมาจากประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ประกอบกับคนหนุ่มสาวของประเทศญี่ปุ่นนิยมเดินทางไปทำงานนอกประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะงานด้านบริการประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อที่แทบจะต้องว่าจ้างผู้สูงอายุในพื้นที่เป็นผู้ดูแลร้านค้า ส่งผลให้ 1 ใน 3 ร้านสะดวกซื้อยอดนิยมของญี่ปุ่นอย่าง Family Mart เปิดตัวร้านค้า “ไร้พนักงาน (Unmanned Shop)” เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยร้านสะดวกซื้อ Family Mart ได้ทำการทดลองร้านค้าไร้พนักงานขึ้นที่สาขาในกรุงโตเกียว โดยภายในร้านที่ใช้ทดลองมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดถึง 50 ตัว ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของร้านค้ากว่า 50 ตร.ม. โดยกล้องเหล่านี้จะเป็นกล้องที่มีระบบ AI เข้ามาควบคุม โดยจะทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์น้ำหนักที่ติดตั้งอยู่บนชั้นวางสินค้าแต่ละชนิด เพื่อตรวจสอบว่าลูกค้าหยิบสินค้าอะไรไปบ้าง เมื่อลูกค้ามาถึงเคาน์เตอร์เพื่อชำระเงิน ระบบจะระบุชื่อผลิตภัณฑ์ จำนวนและราคาสินค้าแต่ละชนิด รวมถึงราคารวมโดยจะแสดงบนจอภาพ และลูกค้าสามารถชำระเงินได้ทั้งเงินสดที่เครื่องคิดเงินหรือชำระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดย FamilyMart ตั้งเป้าเปิดร้านค้าไร้พนักงานประมาณ 1,000 แห่งภายในปี 2024 โดยถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนมาใช้ร้านค้าอัตโนมัติเต็มรูปแบบครั้งแรกในญี่ปุ่น ทั้งนี้เป็นผลมาจากการคลายข้อบังคับเมื่อปีที่ผ่าย หลังรัฐบาลญี่ปุ่นแก้กฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าทุกแห่งต้องมีพนักงาน (เจ้าหน้าที่) คอยดูแลให้บริการ ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้าขั้นวิกฤต อีกทั้งธถรกิจในโลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกของญี่ปุ่น นอกจากนี้ ระบบ AI ที่เข้ามาช่วยระบบการชำระเงินเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยขจัดความยุ่งยากในการอ่านบาร์โค้ด ที่สำคัญยังทำให้ลูกค้าขโมยของในร้านได้ยากขึ้น และเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ร้านค้าไร้พนักงานจะไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า (Data Privacy) ที่อาจนำไปสู่การระบุตัวบุคคล เช่น ภาพใบหน้าลูกค้า โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องลงแอปฯ ใดๆ ก่อนใช้บริการร้านค้าไร้พนักงาน หรือการยืนยันตัวตนผ่านรูปแบบ BioMetric ก็ไม่มีความจำเป็น ที่สำคัญระบบ AI ยังช่วยตรวจสอบผู้ซื้อในกรณีที่เป็นสินค้าควบคุมอายุ เช่น บุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สามารถรองรับการใช้งานพร้อมกันได้ถึง 10 ราย ร้านค้าอัตโนมัติอาจเรียกได้ว่า ต้องใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเปิดร้านค้าปกติถึง 20% แต่ในระยะยาวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลงได้จำนวนมาก โดยพนักงานจะทำหน้าที่เพียงรับสินค้าและเช็คสต๊อกสินค้าเท่านั้น โดยค่าแรงงานคิดเป็นสัดส่วน 60% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่ร้านสะดวกซื้ออย่าง Seven-Eleven Japan ได้ร่วมมือกับ NEC เพื่อทดลองร้านค้าอัตโนมัติที่ใช้ระบบการจดจำใบหน้าในการชำระเงิน หรือ Lawson ที่เปิดตัวเครื่องที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถอ่านบาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ด้วยสมาร์ทโฟนตัวเองได้ แม้แต่ร้าย Kinokuniya ซูเปอร์มาร์เก็ตระดับไฮเอนด์ก็มีการเปิดร้านขายของชำเล็กๆ โดยใช้ระบบที่คล้ายกับ FamilyMart Source: Nikkei RELATED POSTS: No related posts. | FamilyMart มุ่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในญี่ปุ่นด้วยกลยุทธ์หลัก 3 ประการ ดังนี้:
1. เปิดตัวร้านค้าไร้พนักงาน (Unmanned Shop): FamilyMart เปิดตัวร้านค้าไร้พนักงานเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น โดยใช้เทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติเพื่อจัดการการขายและชำระเงิน ลูกค้าสามารถหยิบสินค้าและชำระเงินผ่านตู้ชำระเงินอัตโนมัติ โดยไม่ต้องผ่านพนักงาน
2. นำเทคโนโลยี AI มาใช้: FamilyMart ใช้เทคโนโลยี AI ในระบบการชำระเงิน กล้องวงจรปิด 50 ตัว ติดตั้งทั่วร้านค้า เซ็นเซอร์น้ำหนักบนชั้นวางสินค้า ระบบ AI ช่วยระบุสินค้า คำนวณราคารวม และแสดงผลบนจอภาพ ลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านเครื่องคิดเงินหรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ AI ยังช่วยตรวจสอบผู้ซื้อกรณีสินค้าควบคุมอายุ เช่น บุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
3. ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของพนักงาน: พนักงาน FamilyMart จะเปลี่ยนมาทำหน้าที่รับสินค้า เช็คสต็อกสินค้า และดูแลระบบเทคโนโลยี แทนที่จะทำหน้าที่เก็บเงินและเช็คเอาท์
ผลลัพธ์:
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วย FamilyMart แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
FamilyMart ตั้งเป้าเปิดร้านค้าไร้พนักงานประมาณ 1,000 แห่งภายในปี 2024
ระบบ AI ช่วยลดเวลาในการชำระเงิน
ร้านค้าไร้พนักงานเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
ปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จ:
การคลายข้อบังคับ: รัฐบาลญี่ปุ่นแก้กฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าทุกแห่งต้องมีพนักงาน
เทคโนโลยี: เทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความต้องการของผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นเริ่มคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีและต้องการความสะดวกรวดเร็ว
บทสรุป:
FamilyMart มุ่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในญี่ปุ่นด้วยกลยุทธ์หลัก 3 ประการ: เปิดตัวร้านค้าไร้พนักงาน นำเทคโนโลยี AI มาใช้ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของพนักงาน กลยุทธ์เหล่านี้ ประกอบกับการคลายข้อบังคับ เทคโนโลยี และความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้ FamilyMart ประสบความสำเร็จ FamilyMart มุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจค้าปลีกในญี่ปุ่นต่อไป | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51089 | Retail | ทริคขั้นตอน เปิดร้าน 20 บาทให้ปัง | null | 7 ขั้นตอน เปิดร้าน 20 บาท
1. เตรียมพร้อมก่อนเปิด ก่อนที่จะเริ่มต้นเปิดร้าน 20 บาท คุณจะต้องวางแผนและศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ดูทิศทางการทำธุรกิจ คาดคะเนสิ่งที่จะเป็นไปได้ในอนาคตว่าหากลงมือทำไปแล้ว ธุรกิจจะไปได้สวยหรือเปล่า รวมถึงดูต้นทุน เงินหมุนเวียน ข้อดีข้อเสียของการเปิดร้านประเภทนี้ด้วย ก่อนที่จะเริ่มต้นเปิดร้าน 20 บาท คุณจะต้องวางแผนและศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ดูทิศทางการทำธุรกิจ คาดคะเนสิ่งที่จะเป็นไปได้ในอนาคตว่าหากลงมือทำไปแล้ว ธุรกิจจะไปได้สวยหรือเปล่า รวมถึงดูต้นทุน เงินหมุนเวียน ข้อดีข้อเสียของการเปิดร้านประเภทนี้ด้วยและจะต้องจดทะเบียนพาณิชย์และภาษีร้านค้า
2. เลือกทำเลให้ดีที่สุด ทำเล เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการเปิดร้านประเภทนี้ หากเลือกทำเลดี จะทำให้คนเข้ามาซื้อของที่ร้านได้ง่าย ทำเลดีที่เหมาะสำหรับการเปิดร้านขายของ 20 บาท จะต้องอยู่ในย่านชุมชน บริเวณที่มีคนสัญจรไปมาอยู่เป็นประจำ เช่น ใกล้โรงเรียน ตลาด ร้านสะดวกซื้อ โรงงานอุตสาหกรรมที่มีคนงานเยอะ ๆ เป็นต้น และพยายามเลี่ยงการเปิดร้านในบริเวณที่มีคู่แข่งเค้าเปิดร้านประเภทนี้ก่อน
3. หาแหล่งซื้อสินค้า เมื่อได้ทำเลแล้ว เราก็จะต้องหาแหล่งซื้อสินค้ากัน แหล่งซื้อที่ฮอตฮิต เป็นที่นิยมมาอย่างยาวนานนั่นก็คือ สำเพ็ง
4.ใช้ชั้นวางที่ตอบโจทย์ ชั้นวางสินค้า หรือชั้นวางสำหรับขายของ 20 บาท จะต้องเป็นชั้นวางสำหรับการเปิดร้าน 20 บาทโดยเฉพาะ เพราะจำเป็นต้องมีชั้นสำหรับวางสินค้าทั่วไป และชั้นสำหรับแขวนสินค้า
5.สต็อกสินค้าเยอะ ๆ ไว้ก่อน ในการลงสินค้า ควรลงสินค้าเยอะ ๆ ไว้ก่อน เพราะร้านค้าประเภทนี้ ลูกค้าจะชอบเลือกซื้อสินค้าจากร้านที่สต็อกในร้านแน่น ๆ และควรที่จะหาสินค้าราคาอื่นมาขายเสริมกันไปด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า
6. วางแผนการตลาดเพิ่มยอดขาย
7. บริหารจัดการอย่างรอบคอบ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51092 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "Specialty Store" ให้หน่อยค่ะ | 1. Specialty Store คืออะไร? Specialty Store คือ ร้านค้าปลีกที่เน้นขายสินค้าเฉพาะอย่าง ในประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีสินค้าอย่างหลากหลายในกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เช่น ร้านขายอุปกรณ์กีฬา, ร้านหนังสือ, ร้านขายเครื่องสำอาง, ร้านวัสดุก่อสร้าง, ร้านขายอุปกรณ์ไอที ฯลฯ ร้านค้าปลีกที่เน้นขายสินค้าเฉพาะอย่าง ในประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีสินค้าอย่างหลากหลายในกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เช่น ร้านขายอุปกรณ์กีฬา, ร้านหนังสือ, ร้านขายเครื่องสำอาง, ร้านวัสดุก่อสร้าง, ร้านขายอุปกรณ์ไอที ฯลฯ ถ้าอยากเห็นภาพชัดก็คือ Specialty Store จะตรงกันข้ามกับร้านแบบ Convenience Store หรือร้านสะดวกซื้อแบบ 7-Eleven ทุกอย่างเลย ( อ่านเพิ่มเติมเรื่องร้านค้าปลีก คลิกที่นี่เลยค่ะ – ร้านค้าปลีก คืออะไร? มีประเภทใดบ้าง พร้อมตัวอย่าง ) ถ้าอยากเห็นภาพชัดก็คือ Specialty Store จะตรงกันข้ามกับร้านแบบ Convenience Store หรือร้านสะดวกซื้อแบบ 7-Eleven ทุกอย่างเลย ( อ่านเพิ่มเติมเรื่องร้านค้าปลีก คลิกที่นี่เลยค่ะ – ร้านค้าปลีก คืออะไร? มีประเภทใดบ้าง พร้อมตัวอย่าง ) คุณจะเห็นว่าในเซเว่นจะมีของขายทุกอย่างทุกประเภทตั้งแต่ อาหาร, เครื่องดื่ม, ของใช้, ยารักษาโรค, เครื่องสำอาง แบบครอบจักรวาลเลยใช่มั้ยล่ะคะ คุณจะเห็นว่าในเซเว่นจะมีของขายทุกอย่างทุกประเภทตั้งแต่ อาหาร, เครื่องดื่ม, ของใช้, ยารักษาโรค, เครื่องสำอาง แบบครอบจักรวาลเลยใช่มั้ยล่ะคะ แต่ Specialty Store หรือร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง จะเน้นขายไปที่กลุ่มสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งไปเลย อย่างเช่น ร้าน Watsons ที่เป็นร้านแนว Health and Beauty หรือร้านประเภทเวชภัณฑ์และเครื่องสำอาง ก็จะนำสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงาม, สกินแคร์, ผลิตภัณฑ์บำรุงผม, อาหารเสริม ที่เข้าไปแล้วจะได้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ดูแลคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าติดมือกลับมา เป็นสวรรค์ของคนที่ชอบดูแลตัวเอง แต่ Specialty Store หรือร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง จะเน้นขายไปที่กลุ่มสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งไปเลย อย่างเช่น ร้าน Watsons ที่เป็นร้านแนว Health and Beauty หรือร้านประเภทเวชภัณฑ์และเครื่องสำอาง ก็จะนำสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงาม, สกินแคร์, ผลิตภัณฑ์บำรุงผม, อาหารเสริม ที่เข้าไปแล้วจะได้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ดูแลคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าติดมือกลับมา เป็นสวรรค์ของคนที่ชอบดูแลตัวเอง หรือถ้าพูดอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ Specialty Store สามารถนำเสนอสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการแบบครบถ้วนในส่วนที่ร้านค้าปลีกทั่วไปทำไม่ได้ Watsons ตัวอย่างร้านแบบ Specialty Store VS. 7-Eleven ตัวอย่างร้านแบบ Convenience Store Watsons ตัวอย่างร้านแบบ Specialty Store VS. 7-Eleven ตัวอย่างร้านแบบ Convenience Store Watsons ตัวอย่างร้านแบบ Specialty Store 7-Eleven ตัวอย่างร้านแบบ Convenience Store 2. ความแตกต่างที่ร้านอื่นให้ไม่ได้เหมือน Specialty Store 2. ความแตกต่างที่ร้านอื่นให้ไม่ได้เหมือน Specialty Store ความแตกต่างที่ว่านี้ จะเรียกว่าเป็นจุดแข็งของร้านค้าปลีกแบบเฉพาะอย่าง ที่ทำให้เจาะกลุ่มเป้าหมายก็ว่าได้ค่ะ ความแตกต่างที่ว่านี้ จะเรียกว่าเป็นจุดแข็งของร้านค้าปลีกแบบเฉพาะอย่าง ที่ทำให้เจาะกลุ่มเป้าหมายก็ว่าได้ค่ะ 1) ความเชี่ยวชาญของคนขาย 1) ความเชี่ยวชาญของคนขาย เมื่อผู้บริโภคเลือกที่จะก้าวเข้าไปในร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง ก็สามารถสันนิษฐานได้แล้วว่า พวกเขากำลังมองหาสินค้าบางอย่างในหมวดหมู่ที่อยู่ในร้านค้านั้น ๆ และด้วยความที่คนขายรายนั้นเลือกที่จะเน้นผลิตภัณฑ์ไปที่หนึ่งหรือสองหมวดหมู่ ลูกค้าก็จะคิดว่าคนขายเป็นผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เมื่อผู้บริโภคเลือกที่จะก้าวเข้าไปในร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง ก็สามารถสันนิษฐานได้แล้วว่า พวกเขากำลังมองหาสินค้าบางอย่างในหมวดหมู่ที่อยู่ในร้านค้านั้น ๆ และด้วยความที่คนขายรายนั้นเลือกที่จะเน้นผลิตภัณฑ์ไปที่หนึ่งหรือสองหมวดหมู่ ลูกค้าก็จะคิดว่าคนขายเป็นผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ถ้าผู้เขียนพูดในฐานะผู้บริโภคแล้วล่ะก็ เราจะเชื่อคำแนะนำของพวกเขามากกว่าที่จะให้พนักงานร้านสะดวกซื้อทั่วไปแนะนำค่ะ ถ้าผู้เขียนพูดในฐานะผู้บริโภคแล้วล่ะก็ เราจะเชื่อคำแนะนำของพวกเขามากกว่าที่จะให้พนักงานร้านสะดวกซื้อทั่วไปแนะนำค่ะ ตัวอย่างนะคะ เวลาที่เราเข้าไปในร้าน Pet Shop เรามักจะสอบถามกับคนขายเกี่ยวกับความแตกต่างของยี่ห้ออาหารสัตว์ ว่าแบบไหนดีกว่ากัน หรือแบบไหนจะเหมาะกับสัตว์เลี้ยงของเรามากกว่า รวมถึงแนะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง แน่นอนว่าคนขายจะสามารถแนะนำเราได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากกว่าเวลาที่คุณไปห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไปที่พนักงานจัดของก็ไม่สามารถแนะนำคุณได้ เวลาที่เราเข้าไปในร้าน Pet Shop เรามักจะสอบถามกับคนขายเกี่ยวกับความแตกต่างของยี่ห้ออาหารสัตว์ ว่าแบบไหนดีกว่ากัน หรือแบบไหนจะเหมาะกับสัตว์เลี้ยงของเรามากกว่า รวมถึงแนะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง แน่นอนว่าคนขายจะสามารถแนะนำเราได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากกว่าเวลาที่คุณไปห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไปที่พนักงานจัดของก็ไม่สามารถแนะนำคุณได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ร้านขายยา อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ร้านขายยา ทุกคนเคยเป็นไหมคะ เวลาไปร้านขายยา ถ้าซื้อกับร้านไหนแล้วถูกใจ ครั้งต่อไปก็จะซื้ออยู่แค่กับร้านเดียว หากเภสัชกรหรือคนขายยาร้านนั้นพูดแนะนำได้ดี ให้ความรู้เราเกี่ยวกับตัวยาเวลาไปซื้อได้ดี เราก็จะประทับใจ และเลือกที่จะกลับไปซื้ออยู่แบบนั้น ทุกคนเคยเป็นไหมคะ เวลาไปร้านขายยา ถ้าซื้อกับร้านไหนแล้วถูกใจ ครั้งต่อไปก็จะซื้ออยู่แค่กับร้านเดียว หากเภสัชกรหรือคนขายยาร้านนั้นพูดแนะนำได้ดี ให้ความรู้เราเกี่ยวกับตัวยาเวลาไปซื้อได้ดี เราก็จะประทับใจ และเลือกที่จะกลับไปซื้ออยู่แบบนั้น Specialty Store จึงมีข้อดีที่แตกต่างตรงความเชี่ยวชาญของคนขายนี่แหละค่ะ Specialty Store จึงมีข้อดีที่แตกต่างตรงความเชี่ยวชาญของคนขายนี่แหละค่ะ 2) สภาพแวดล้อมในร้าน 2) สภาพแวดล้อมในร้าน ร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะให้ความสำคัญกับจัดร้านที่เน้นความสะดวกของลูกค้าในการค้นหาสินค้าทั้งหมดที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายที่สุด ร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะให้ความสำคัญกับจัดร้านที่เน้นความสะดวกของลูกค้าในการค้นหาสินค้าทั้งหมดที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายที่สุด แต่สำหรับเหล่าผู้ค้าปลีกที่เปิดร้านแบบเฉพาะทาง พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับการจัดหาสภาพแวดล้อมเชิงบวกในร้านเพื่อให้ลูกค้าได้ Enjoy กับการช้อปปิ้งในร้าน ให้ความสำคัญกับ แผนผังร้านค้า ที่มีความคล่องตัว และเน้นการตกแต่งร้านที่เข้ากับบรรยากาศ แต่สำหรับเหล่าผู้ค้าปลีกที่เปิดร้านแบบเฉพาะทาง พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับการจัดหาสภาพแวดล้อมเชิงบวกในร้านเพื่อให้ลูกค้าได้ Enjoy กับการช้อปปิ้งในร้าน ให้ความสำคัญกับ แผนผังร้านค้า ที่มีความคล่องตัว และเน้นการตกแต่งร้านที่เข้ากับบรรยากาศ ตัวอย่างเช่น ร้านเพ็ทเซ็นเตอร์ (Pet Center) ตัวอย่างเช่น ร้านเพ็ทเซ็นเตอร์ (Pet Center) จากภาพจะเห็นได้ว่าร้านนี้เน้นการออกแบบป้ายแบรนด์ผลิตภัณฑ์บน ชั้นวางสินค้า เพื่อความสวยงามและเพื่อให้ลูกค้าสามารถหาผลิตภัณฑ์แบรนด์นั้นได้อย่างง่ายดาย จากภาพจะเห็นได้ว่าร้านนี้เน้นการออกแบบป้ายแบรนด์ผลิตภัณฑ์บน ชั้นวางสินค้า เพื่อความสวยงามและเพื่อให้ลูกค้าสามารถหาผลิตภัณฑ์แบรนด์นั้นได้อย่างง่ายดาย การตกแต่งสภาพแวดล้อมในร้านด้วยป้ายแบรนด์ / ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ : เชลฟ์และแร็คจากร้านเพ็ทเซ็นเตอร์ การตกแต่งสภาพแวดล้อมในร้านด้วยป้ายแบรนด์ / ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ : เชลฟ์และแร็คจากร้านเพ็ทเซ็นเตอร์ 3) การให้บริการแบบมีคุณภาพ 3) การให้บริการแบบมีคุณภาพ การตกแต่งสภาพแวดล้อมของร้านนั้นสำคัญ และสิ่งที่สำคัญกว่าคือ ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นไปในเชิงบวกของลูกค้า เมื่อสร้างบรรยากาศที่ดีแล้ว คนขายจะต้องต้อนรับลูกค้า ช่วยเหลือพวกเขาตามความต้องการ และอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์โดยอิงจากการซื้อที่ผ่านมา การตกแต่งสภาพแวดล้อมของร้านนั้นสำคัญ และสิ่งที่สำคัญกว่าคือ ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นไปในเชิงบวกของลูกค้า เมื่อสร้างบรรยากาศที่ดีแล้ว คนขายจะต้องต้อนรับลูกค้า ช่วยเหลือพวกเขาตามความต้องการ และอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์โดยอิงจากการซื้อที่ผ่านมา แม้ว่าร้านแบบเฉพาะทางจะไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการช้อปแบบรวดเร็วเหมือนร้านสะดวกซื้อ แต่ลูกค้าจะได้รับบริการแบบมีคุณภาพที่ปรับแต่งให้เหมาะกับผู้บริโภคเป็นรายคนไป และนี่คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้ซื้อคนนั้นกลับมาซื้อซ้ำอีกนั่นเองค่ะ แม้ว่าร้านแบบเฉพาะทางจะไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการช้อปแบบรวดเร็วเหมือนร้านสะดวกซื้อ แต่ลูกค้าจะได้รับบริการแบบมีคุณภาพที่ปรับแต่งให้เหมาะกับผู้บริโภคเป็นรายคนไป และนี่คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้ซื้อคนนั้นกลับมาซื้อซ้ำอีกนั่นเองค่ะ ซึ่งความท้าทายหลักที่ร้านค้าปลีกแบบเฉพาะทางจะต้องเผชิญคือ การนำเสนอประสบการณ์ภายในร้านอย่างดีเยี่ยมที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ของคนขายในการให้บริการ ซึ่งความท้าทายหลักที่ร้านค้าปลีกแบบเฉพาะทางจะต้องเผชิญคือ การนำเสนอประสบการณ์ภายในร้านอย่างดีเยี่ยมที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ของคนขายในการให้บริการ จึงทำให้การให้บริการเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันเหนือร้านค้าปลีกแบบสะดวกซื้อทั่วไป แน่นอนว่าพนักงานในร้านสะดวกซื้อไม่สามารถให้บริการแบบเชี่ยวชาญที่คนขายในร้านแบบเฉพาะทางทำได้ และไม่สามารถเลียนแบบความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้เทียบเท่ากับผู้ค้าเฉพาะทางเหล่านี้ได้ จึงทำให้การให้บริการเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันเหนือร้านค้าปลีกแบบสะดวกซื้อทั่วไป แน่นอนว่าพนักงานในร้านสะดวกซื้อไม่สามารถให้บริการแบบเชี่ยวชาญที่คนขายในร้านแบบเฉพาะทางทำได้ และไม่สามารถเลียนแบบความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้เทียบเท่ากับผู้ค้าเฉพาะทางเหล่านี้ได้ อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : 20 ไอเดียการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ที่ควรนำไปทำตาม 5 ทิป บริการลูกค้าให้น่าประทับใจที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ | Specialty Store คือ ร้านค้าปลีกที่เน้นขายสินค้าเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่ง มีความแตกต่างที่ร้านอื่นไม่มีคือ
1. ผู้ขายต้องมีความเชี่ยวชาญในสินค้านั้นๆ
2. จัดหาสภาพแวดล้อมเชิงบวกเพื่อให้ลูกค้าได้ Enjoy กับการช้อปปิ้งในร้าน ให้ความสำคัญกับแผนผังร้านค้าและเน้นการตกแต่งร้านที่เข้ากับบรรยากาศ
3. นำเสนอประสบการณ์ภายในร้านอย่างดีเยี่ยมเหมาะกับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ในการให้บริการ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51095 | Retail | Stark ผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลมีรายได้เพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ | A. 82%
B. 80%
C. 81%
D. 83% | คำตอบคือ A.
เนื่องจาก Turning point : จากตอนแรกที่ดำเนินธุรกิจเฉพาะกับครอบครัวมาราว 50 ปี แต่เมื่อปี พ.ศ. 2560 ได้นำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกด้วย Stark ผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล
บริษัทนี้บริหารโดย คุณวนรัชต์ ลูกชายของเขา ทำให้บริษัทเติบโตเพิ่มทรัพย์สินได้เกือบเท่าตัวถึง 82% : จากตอนแรกที่ดำเนินธุรกิจเฉพาะกับครอบครัวมาราว 50 ปี แต่เมื่อปี พ.ศ. 2560 ได้นำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกด้วย Stark ผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล บริษัทนี้บริหารโดย คุณวนรัชต์ ลูกชายของเขา ทำให้บริษัทเติบโตเพิ่มทรัพย์สินได้เกือบเท่าตัวถึง 82%
How it’s going : : ปัจจุบันตระกูลตั้งคารวคุณมีธุรกิจอยู่ในมือ เช่น สีอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์, เคมีภัณฑ์, ผู้จำหน่ายรถยนต์, อสังหาริมทรัพย์ รวมถึง Stark ผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล ทีโอเอมีฐานการผลิตทั้งในไทย, เวียดนาม, สปป.ลาว, เมียนมา, มาเลเซีย และกัมพูชา และเป็นผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่สุดของไทย และคาดว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากขึ้นในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ และครอบครัว เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยอันดับที่ 7 มีทรัพย์สินทั้งหมดราว ๆ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51102 | Retail | จากบทความนี้ บทความ "10 ไอเดียตกแต่งร้าน Pet Shop ดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย" มีไอเดียไหนที่น่าสนใจและสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ ได้บ้าง? | null | 1. การใช้สีสัน:
บทความแนะนำให้ใช้สีสันสดใส อบอุ่น เช่น สีส้ม เพื่อดึงดูดสายตาและสร้างบรรยากาศที่ร่าเริง
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยเลือกสีสันที่เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างเช่น ร้านขายของเล่นเด็กอาจใช้สีสันสดใสหลากหลายสี เพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน ร้านขายเครื่องสำอางอาจใช้โทนสีชมพู ขาว หรือทอง เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดูหรูหรา
2. การใช้แสงสว่าง:
บทความแนะนำให้ใช้แสงสว่างที่เพียงพอ เน้นแสงสีขาว เพื่อทำให้ร้านดูกว้างขวางและน่ามอง
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยปรับประเภทของแสงให้เหมาะสมกับสินค้า
ตัวอย่างเช่น ร้านขายเสื้อผ้าอาจใช้แสงไฟสีนวล เพื่อช่วยให้สินค้าดูมีมิติ ร้านขายอาหารอาจใช้แสงไฟสีส้ม เพื่อช่วยให้บรรยากาศดูอบอุ่น
3. การจัดวางสินค้า:
บทความแนะนำให้จัดวางสินค้าให้เป็นระเบียบ หาง่าย และหยิบจับสะดวก
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยจัดวางสินค้าตามประเภท แบรนด์ หรือราคา
ตัวอย่างเช่น ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอาจจัดวางสินค้าตามประเภท เช่น โซนโทรทัศน์ โซนตู้เย็น โซนเครื่องซักผ้า ร้านขายหนังสืออาจจัดวางสินค้าตามประเภท เช่น นิยาย สารคดี การ์ตูน
4. การใช้ป้ายและสื่อโฆษณา:
บทความแนะนำให้ใช้ป้ายและสื่อโฆษณาที่ดึงดูดสายตาและสื่อสารข้อมูลสินค้าได้ชัดเจน
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยออกแบบป้ายและสื่อโฆษณาให้สอดคล้องกับธีมของร้าน
ตัวอย่างเช่น ร้านขายรองเท้าอาจใช้ป้ายที่มีรูปภาพรองเท้าสวย ๆ ร้านขายกาแฟอาจใช้ป้ายที่มีรูปภาพเมนูกาแฟ
5. การสร้างบรรยากาศ:
บทความแนะนำให้สร้างบรรยากาศภายในร้านให้น่าอยู่น่าเข้า เช่น เล่นเพลงบรรเลง กลิ่นหอม
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างเช่น ร้านขายสปาอาจใช้กลิ่นหอมอโรม่าเพื่อผ่อนคลาย ร้านขายเฟอร์นิเจอร์อาจใช้เพลงบรรเลงคลาสสิก
6. การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย:
บทความแนะนำให้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ลดราคา แจกของสมนาคุณ
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่างเช่น ร้านขายเสื้อผ้าอาจจัดกิจกรรมลดราคา 50% เมื่อซื้อครบ 2 ชิ้น ร้านขายอาหารอาจจัดกิจกรรมซื้อ 1 แถม 1
7. การบริการลูกค้า:
บทความแนะนำให้พนักงานบริการลูกค้าด้วยรอยยิ้ม ให้คำแนะนำอย่างสุภาพ และตอบคำถามลูกค้าได้อย่างชัดเจน
ร้านค้าปลีกประเภทอื่น ๆ สามารถนำหลักการนี้ไปใช้โดยอบรมพนักงานให้มีทักษะการบริการลูกค้าที่ดี
พนักงานควรมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและสามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างชัดเจน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51112 | Retail | ทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจในร้านของเรา | ก. ทำดีมั้ง
ข. บริการเขา
ค. รอยยิ้ม ทัศนคติดี และคิดบวก
การที่คุณคิดบวกและมีทัศนคติดี มันจะทำให้มีรอยยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณต้องคุยกับลูกค้า แค่มีทัศนคติที่ดีตั้งแต่เริ่ม ทุกอย่างมันจะออกมาจากภายในเอง
สอนเรื่องนี้กับพนักงาน ปรับปรุงทัศนคติของพวกเขาให้คิดบวก เพื่อที่จะได้มีความสุขกับการทำงานและส่งความสุขนี้ต่อไปเป็นบริการที่ยอดเยี่ยมค่ะ
ง. ดูแล | คำตอบคือ ค. เพราะว่า รอยยิ้ม ทัศนคติดี และคิดบวก
การที่คุณคิดบวกและมีทัศนคติดี มันจะทำให้มีรอยยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณต้องคุยกับลูกค้า แค่มีทัศนคติที่ดีตั้งแต่เริ่ม ทุกอย่างมันจะออกมาจากภายในเอง
สอนเรื่องนี้กับพนักงาน ปรับปรุงทัศนคติของพวกเขาให้คิดบวก เพื่อที่จะได้มีความสุขกับการทำงานและส่งความสุขนี้ต่อไปเป็นบริการที่ยอดเยี่ยมค่ะ
นี่ก็เป็นไอเดียการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งสกิลการบริการลูกค้าง่าย ๆ สำหรับทั้งคุณเจ้าของร้านและสามารถนำไปฝึกพนักงานได้ . ทำแบบสำรวจความพึงพอใจลูกค้า
ร้านค้าปลีกของคุณต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แล้วคุณจะรู้ถึงความพึงพอใจของพวกเขาได้ยังไงล่ะคะ ถ้าคุณไม่ถาม?
คุณอาจเชื่อมแบบสำรวจออนไลน์ในใบเสร็จ และบอกพวกเขาให้ช่วยทำแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในบริการของร้านคุณ หลังจากนั้นมอบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สำหรับคนที่เข้าไปทำแบบสำรวจหรือจะขอเวลาสั้น ๆ ให้พวกเขาทำในร้านก็ได้
หากร้านของคุณมีโลเคชั่นใน google map ก็อาจจะมีลูกค้าที่มาใช้บริการเข้ามารีวิวในนั้น คุณก็สามารถดูรีวิวจากลูกค้าในนั้น และนำมาปรับปรุงการให้บริการของคุณได้ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51118 | Retail | เทคนิคการขายและบริการที่ดีควรทำอย่างไรบ้าง ? | การขายเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆกับธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ การขายเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆกับธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ “ยิ่งถ้าคุณมีเทคนิคการขายที่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่.. โอกาสที่ธุรกิจของคุณจะเติบโตยิ่งมีมากเท่านั้น” “ยิ่งถ้าคุณมีเทคนิคการขายที่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่.. โอกาสที่ธุรกิจของคุณจะเติบโตยิ่งมีมากเท่านั้น” “ยิ่งถ้าคุณมีเทคนิคการขายที่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่.. โอกาสที่ธุรกิจของคุณจะเติบโตยิ่งมีมากเท่านั้น” แต่สำหรับ เจ้าของร้านมือใหม่ ที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำธุรกิจ อาจจะยังไม่ได้มีทักษะการขายเท่าที่ควร บทความนี้ PN Storetailer จึงจะมาบอกต่อเทคนิคการขายและบริการง่าย ๆ สำหรับเจ้าของร้านมือใหม่ ให้ได้นำไปพัฒนา และฝึกฝนการขายอย่างมีประสิทธิภาพในร้านค้าปลีกของคุณค่ะ บทความนี้ จึงจะมาบอกต่อเทคนิคการขายและบริการง่าย ๆ สำหรับเจ้าของร้านมือใหม่ ให้ได้นำไปพัฒนา และฝึกฝนการขายอย่างมีประสิทธิภาพในร้านค้าปลีกของคุณค่ะ เลือกเรื่องที่จะอ่านเลย ☟ เลือกเรื่องที่จะอ่านเลย ☟ เลือกเรื่องที่จะอ่านเลย ☟ เทคนิคการขายสำคัญยังไง? เทคนิคการขายสำคัญยังไง? ภาพเทคนิคการขาย จาก freepik ภาพเทคนิคการขาย จาก freepik การวิจัยของ HubSpot เว็บไซต์ที่พัฒนาและทำการตลาด เกี่ยวกับซอฟต์แวร์สำหรับการขายและบริการ แสดงให้เห็นว่า การวิจัยของ เว็บไซต์ที่พัฒนาและทำการตลาด เกี่ยวกับซอฟต์แวร์สำหรับการขายและบริการ แสดงให้เห็นว่า “50% ของคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าคิดว่าพนักงานขายเร่งเร้าพวกเขามากเกินไป ในขณะที่มีพนักงานขายเพียง 17% เท่านั้นที่คิดว่าพวกเขาเร่งเร้าลูกค้า” “50% ของคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าคิดว่าพนักงานขายเร่งเร้าพวกเขามากเกินไป ในขณะที่มีพนักงานขายเพียง 17% เท่านั้นที่คิดว่าพวกเขาเร่งเร้าลูกค้า” “50% ของคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าคิดว่าพนักงานขายเร่งเร้าพวกเขามากเกินไป ในขณะที่มีพนักงานขายเพียง 17% เท่านั้นที่คิดว่าพวกเขาเร่งเร้าลูกค้า” (อ้างอิง blog.hubspot.com) (อ้างอิง blog.hubspot.com) (อ้างอิง blog.hubspot.com ) ฉะนั้นการหาจุดสมดุลระหว่าง “ขายเก่ง” กับ “ขายแบบน่ารำคาญ” ให้ได้ เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของร้านค้าปลีกมือใหม่ แต่ถ้าคุณได้ทราบถึงเทคนิคการขายและบริการ เพื่อนำไปพัฒนาทักษะของคุณให้เก่งขึ้น มันจะทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหน หนำซ้ำยังอาจจะติดใจการขายของคุณ จนกลายเป็นลูกค้าประจำก็ได้นะคะ 😀 แต่ถ้าคุณได้ทราบถึงเทคนิคการขายและบริการ เพื่อนำไปพัฒนาทักษะของคุณให้เก่งขึ้น มันจะทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหน หนำซ้ำยังอาจจะติดใจการขายของคุณ จนกลายเป็นลูกค้าประจำก็ได้นะคะ 😀 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีก่อน เมื่อลูกค้าก้าวขาเข้าไปในร้านค้าของคุณ สิ่งที่คุณควรจะพูดกับลูกค้าจะต้อง ไม่จู่โจมที่จะขายของเกินไป เทคนิคการขายที่ดี ควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ด้วยการพูดคุยในเรื่องทั่ว ๆ ไปก่อน ด้วยประโยคอย่างเช่น ประโยคเหล่านี้ จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การทำความรู้จักด้วยบทสนทนาที่เป็นกันเองกับคนที่เป็นลูกค้าของคุณ ก่อนที่คุณจะนำเสนอสินค้าว่าทำไมพวกเขาจึงควรสนใจและควรซื้อสินค้าของคุณ ภาพจาก unsplash ภาพจาก unsplash เพราะท้ายที่สุดเราทุกคนก็เป็นมนุษย์ ที่มีความรู้สึก มีการพูดคุยสื่อสาร มีการเข้าอกเข้าใจกัน ลองพูดคุยกับลูกค้าของคุณเหมือนคนทั่วไปคุยกัน แทนที่จะพูดกับพวกเขาเหมือนพนักงานขายที่จ้องจะขายของอย่างเดียวนะคะ ที่มีความรู้สึก มีการพูดคุยสื่อสาร มีการเข้าอกเข้าใจกัน ลองพูดคุยกับลูกค้าของคุณเหมือนคนทั่วไปคุยกัน แทนที่จะพูดกับพวกเขาเหมือนพนักงานขายที่จ้องจะขายของอย่างเดียวนะคะ 2. ถามคำถามปลายเปิด 2. ถามคำถามปลายเปิด ทริคการขายต่อมาเมื่อเริ่มต้นพูดคุยเรื่องสินค้า..คุณควรที่จะถามคำถามปลายเปิด ทริคการขายต่อมาเมื่อเริ่มต้นพูดคุยเรื่องสินค้า เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าเป็นคนพูด ลูกค้าจะได้คิดและทบทวนคำตอบของตัวเอง เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าเป็นคนพูด ลูกค้าจะได้คิดและทบทวนคำตอบของตัวเอง เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าเป็นคนพูด ลูกค้าจะได้คิดและทบทวนคำตอบของตัวเอง จากนั้นลูกค้าจะอธิบาย ในสิ่งที่เขาต้องการให้คุณฟังได้ เมื่อคุณรู้ถึงความต้องการลูกค้าแล้ว คุณก็ชวนคุยในสิ่งที่เขาสนใจ เพื่อให้ลูกค้าเริ่มเปิดใจพูดคุยกับคุณ จากนั้นลูกค้าจะอธิบาย ในสิ่งที่เขาต้องการให้คุณฟังได้ เมื่อคุณรู้ถึงความต้องการลูกค้าแล้ว คุณก็ชวนคุยในสิ่งที่เขาสนใจ เพื่อให้ลูกค้าเริ่มเปิดใจพูดคุยกับคุณ การพูดคุยควรเป็นธรรมชาติ ไม่กดดันลูกค้าหรือเสนอขายมากเกินไป เน้นคำถามไปที่ ‘ความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า’ การพูดคุยควรเป็นธรรมชาติ ไม่กดดันลูกค้าหรือเสนอขายมากเกินไป เน้นคำถามไปที่ คำถามตัวอย่าง เมื่อคุณรู้ถึงความต้องการและปัญหาของลูกค้าแล้ว ต่อมาคุณก็สามารถนำเสนอสินค้าให้ตอบโจทย์ด้วยความเป็นกันเอง สิ่งสำคัญคือ ให้ลูกค้าเลือกได้ตามสบาย ไม่ต้องเร่งเร้าจนลูกค้าอึดอัดนะคะ เมื่อคุณรู้ถึงความต้องการและปัญหาของลูกค้าแล้ว ต่อมาคุณก็สามารถนำเสนอสินค้าให้ตอบโจทย์ด้วยความเป็นกันเอง สิ่งสำคัญคือ ให้ลูกค้าเลือกได้ตามสบาย ไม่ต้องเร่งเร้าจนลูกค้าอึดอัดนะคะ อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม : 20 สกิลบริการลูกค้าง่ายๆ ที่พนักงานทุกคนต้องรู้และทำตาม!! จัดการทุกอย่างในร้านค้าให้ง่ายราวกับดีดนิ้ว!! ด้วย “ระบบ POS” 3. ยิ้มกับลูกค้าอย่างเป็นมิตร 3. ยิ้มกับลูกค้าอย่างเป็นมิตร ‘การยิ้ม..เป็นเทคนิคการขายและบริการที่ง่ายที่สุดในการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า’ และยังเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในการเผชิญหน้ากับลูกค้า ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น หากเริ่มต้นที่จะพูดคุยด้วยการยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร ผลที่ตามมาคือ ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็จะรู้สึกดีไปด้วย ลูกค้าก็จะกล้าคุย กล้าถามสิ่งต่าง ๆ กับคุณมากยิ่งขึ้น ต่อมาการขายสินค้าออกไปก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิมนั่นเองค่ะ 4. รอบรู้ในสินค้าให้มากที่สุด 4. รอบรู้ในสินค้าให้มากที่สุด การที่คุณจะขายอะไรซักอย่าง..คุณต้องรอบรู้และมีความชำนาญเกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ เพื่อที่จะสามารถแนะนำสินค้าได้อย่างตรงจุด และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกค้ามากที่สุด แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ชำนาญเกี่ยวกับสินค้าอย่างแท้จริง มันอาจส่งผลให้ร้านของคุณมีความน่าเชื่อถือน้อยลง สิ่งที่ตามมาคือ.. ลูกค้าจะไม่มาซื้อที่ร้านของคุณอีก ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดกับธุรกิจมากที่สุด ภาพร้านขายอุปกรณ์การเกษตร จาก ชั้นวางสินค้า PN ภาพร้านขายอุปกรณ์การเกษตร จาก ชั้นวางสินค้า PN ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น สมมติถ้าคุณเปิด ‘ร้านขายอุปกรณ์การเกษตร’ แต่คุณไม่รู้ว่า ปุ๋ยสำหรับใส่ข้าวมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทใช้งานต่างกันอย่างไร สมมติถ้าคุณเปิด แต่คุณไม่รู้ว่า ปุ๋ยสำหรับใส่ข้าวมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทใช้งานต่างกันอย่างไร มันก็จะทำให้คุณแนะนำสินค้าให้ผู้คนที่ต้องการจะซื้อไม่ได้ ผลที่ตามมา เขาอาจจะไปซื้อร้านอื่นที่ให้คำแนะนำได้ดีกว่านั่นเองค่ะ มันก็จะทำให้คุณแนะนำสินค้าให้ผู้คนที่ต้องการจะซื้อไม่ได้ ผลที่ตามมา เขาอาจจะไปซื้อร้านอื่นที่ให้คำแนะนำได้ดีกว่านั่นเองค่ะ ผลที่ตามมา กลับสู่สารบัญ 5. เทคนิคการเรียกลูกค้าด้วยชื่อของพวกเขา 5. เทคนิคการเรียกลูกค้าด้วยชื่อของพวกเขา ตัวอย่างประโยคในการเริ่มต้น สมมติว่าคุณ “เปิดร้านหนังสือ” ลูกค้าชื่อพีน ตัวคุณชื่อแนน ตัวอย่างประโยคในการเริ่มต้น สมมติว่าคุณ N : “สินค้าที่ลูกค้าสนใจเป็นประมาณนี้ใช่ไหมคะ แนนขออนุญาตทราบชื่อลูกค้าได้ไหมคะ?” : “สินค้าที่ลูกค้าสนใจเป็นประมาณนี้ใช่ไหมคะ แนนขออนุญาตทราบชื่อลูกค้าได้ไหมคะ?” P : “ชื่อพีนค่ะ” : “ชื่อพีนค่ะ” N : “ยินดีให้บริการค่ะคุณพีน .. 🙂 หนังสือที่คุณพีนชอบเป็นแนวสืบสวนใช่มั้ยคะ? แนนก็อ่านแนวนี้มาเยอะเหมือนกัน : “ยินดีให้บริการค่ะคุณพีน .. 🙂 หนังสือที่คุณพีนชอบเป็นแนวสืบสวนใช่มั้ยคะ? แนนก็อ่านแนวนี้มาเยอะเหมือนกัน นอกจากเชอร์ล็อก โฮล์มส์ แล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจนะคะ อย่างกาหลมหรทึก ก็เป็นนิยายสืบสวนของไทยที่น่าสนใจจนได้ถูกนำไปทำละครเลยนะ…” นอกจากเชอร์ล็อก โฮล์มส์ แล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจนะคะ อย่างกาหลมหรทึก ก็เป็นนิยายสืบสวนของไทยที่น่าสนใจจนได้ถูกนำไปทำละครเลยนะ…” การเรียกชื่อของลูกค้าเป็นทริคการขายที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความเป็นกันเองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจู่โจมจนถึงขั้นต้องรีบถามชื่อลูกค้าตั้งแต่แรกเลยนะคะ การเรียกชื่อลูกค้าในที่นี้คือ “คุณต้องคุยกับเขาจนรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มเปิดใจ” และเริ่มสบายใจที่จะคุยกับคุณซะก่อน หรืออาจจะทำความคุ้นเคยไปก่อนจนลูกค้ากลับมาซื้ออีกเป็นครั้งที่ 2-3 ถึงค่อยถามชื่อพร้อมกับแนะนำตัวเองให้ลูกค้ารู้จัก หรืออาจจะทำความคุ้นเคยไปก่อนจนลูกค้ากลับมาซื้ออีกเป็นครั้งที่ 2-3 ถึงค่อยถามชื่อพร้อมกับแนะนำตัวเองให้ลูกค้ารู้จัก การพูดคุยแบบนี้ จะช่วยสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้า จนเค้ารู้สึกว่าคุณใส่ใจกับสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ การพูดคุยแบบนี้ จะช่วยสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้า จนเค้ารู้สึกว่าคุณใส่ใจกับสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ วางตำแหน่งตัวเองเป็นที่ปรึกษาที่ต้องการช่วยเหลือ แทนที่จะเป็นพนักงานขายที่กระหายที่อยากจะขายอย่างเดียว ซึ่งถ้าคุณทำให้ลูกค้าคุ้นเคยกับคุณได้ เขาอาจจะแวะกลับมาที่ร้านของคุณอีก ในครั้งต่อ ๆ ไปอีกหลายครั้งจนกลายเป็นขาประจำเลยก็ได้นะ 6. ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเคารพ 6. ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเคารพ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เข้ามาในร้านค้าของคุณ พวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าได้หมด ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามที่เป็นสองมาตรฐาน ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เข้ามาในร้านค้าของคุณ พวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าได้หมด ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามที่เป็นสองมาตรฐาน ไม่สมควรอย่างยิ่ง “ลูกค้าทุกคนควรถูกปฏิบัติด้วยความเคารพที่เท่าเทียมกัน” “ลูกค้าทุกคนควรถูกปฏิบัติด้วยความเคารพที่เท่าเทียมกัน” “ลูกค้าทุกคนควรถูกปฏิบัติด้วยความเคารพที่เท่าเทียมกัน” ไม่ควรที่จะตัดสินคน ที่การแต่งตัว เพศสภาพ อาชีพ หรือฐานะ ดังนั้น ความพร้อมที่จะขายสินค้าควรจะมีกับทุก ๆ คนค่ะ ถ้าเราปฎิบัติกับลูกค้าทุกคนดี ยังไงซะสินค้าเราก็ต้องขายได้ ว่ามั้ยคะ? 7. ให้เวลาลูกค้าในการตัดสินใจ 7. ให้เวลาลูกค้าในการตัดสินใจ หากลูกค้ายังตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเร่งรัดเขานะคะ ให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองและตัดสินใจก่อน เพราะการที่คนเราจะซื้ออะไรก็ตามแต่ จะต้องมีการคำนวณหลาย ๆ เรื่องเข้าด้วยกันทั้งราคา คุณภาพ ผลลัพธ์ ระยะเวลาในการใช้งาน และอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าหากเขาไตร่ตรองแล้ว ไม่ต้องการซื้อสินค้า หรือสินค้ายังไม่ถูกใจ คุณก็ควรคิดแง่บวก และพูดกับเขาว่า หรือเป็นประโยคอื่น ๆ ที่ทำให้เขาไม่เสียหน้า และไม่รู้สึกผิดที่จะไม่ซื้อ เมื่อคนที่ได้รับฟังได้ยินประโยคดี ๆ จากเจ้าของร้านเขาจะต้องคิดแน่ ๆ ล่ะว่า “ดีจัง.. ไว้คราวหน้าค่อยมาซื้ออีกดีกว่า เจ้าของร้านใจดี” การขายและบริการที่ดี ถ้ามีความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย นอกจากจะไม่มีปัญหาแล้ว ยังสร้างความประทับใจให้ผู้บริโภคแน่นอนค่ะ ถ้ามีความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย นอกจากจะไม่มีปัญหาแล้ว ยังสร้างความประทับใจให้ผู้บริโภคแน่นอนค่ะ อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม : มาเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าของคุณด้วย Planogram กันเถอะ! 6 ทริค กระตุ้นลูกค้าให้ซื้อของที่เคาน์เตอร์คิดเงินมากขึ้น ดูบทความทั้งหมด ✔ สรุป ✔ สรุป เทคนิคการขายทั้งหมดที่ว่ามา ได้บทสรุปว่า “ในการพูดคุยกับลูกค้า ต้องมีชั้นเชิงที่ดี ไม่ hard sale จนเกินไป จนทำให้ลูกค้ารำคาญ” เทคนิคการขายทั้งหมดที่ว่ามา ได้บทสรุปว่า เน้นความต้องการของลูกค้า และปัญหาของลูกค้าที่แท้จริง แล้วนำสินค้าของเราไปตอบสนองในส่วนนั้น อีกทั้งยังควรสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้า เหมือนคุณเป็นที่ปรึกษา ไม่เร่งเร้าจนลูกค้ารู้สึกอึดอัด เน้นความต้องการของลูกค้า และปัญหาของลูกค้าที่แท้จริง แล้วนำสินค้าของเราไปตอบสนองในส่วนนั้น อีกทั้งยังควรสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้า เหมือนคุณเป็นที่ปรึกษา เพราะถ้าเมื่อเกิดความสบายใจขึ้น การซื้อสินค้าจะเกิดขึ้นง่ายมาก การที่ผู้คนก้าวเข้ามาในร้านของคุณแสดงว่า เขาต้องสนใจสินค้าในร้านมาก ๆ แล้วล่ะ ถ้าเขารู้สึกดีกับเจ้าของร้านมันจะยิ่งเพิ่มความอยากกลับมาซื้อเอง ยังไงก็ลองทำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูนะคะ เพราะถ้าเมื่อเกิดความสบายใจขึ้น การซื้อสินค้าจะเกิดขึ้นง่ายมาก การที่ผู้คนก้าวเข้ามาในร้านของคุณ แสดงว่า เขาต้องสนใจสินค้าในร้านมาก ๆ แล้วล่ะ ถ้าเขารู้สึกดีกับเจ้าของร้านมันจะยิ่งเพิ่มความอยากกลับมาซื้อเอง ยังไงก็ลองทำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูนะคะ อ่านจบแล้ว ลองแวะไปอ่านบทความดี ๆ จาก PN Storetailer ในบทอื่นด้วยนะคะ ขอบคุณแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมจาก quickbooks.intuit.com blog.hubspot.com ความรู้ร้านค้าปลีก บทความแนะนำ บทความแนะนำ พาไปรู้จักกับ การสร้างแบรนด์ (Branding) พร้อมแนะนำ 6 ทริคในการเริ่มต้นสุดเบสิคแบบ Step by step เพื่อให้เข้าใจง่ายสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก 13 มี.ค. ทำความรู้จัก การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ว่ามันคืออะไร พร้อมช่องทางการทำ, เทรนด์ 2023 แถม! แนะนำ 18 ทริคการเริ่มต้นทำสำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก สรุปครบได้ใจความ 09 มี.ค. Cross selling คือการขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ร่วมกันระหว่างหมวดหมู่สินค้าที่แตกต่าง แต่มีความสอดคล้องกัน ดึงดูดลูกค้าให้ซื้อมากขึ้น 17 เม.ย. | 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีก่อน
เมื่อลูกค้าก้าวขาเข้าไปในร้านค้าของคุณ สิ่งที่คุณควรจะพูดกับลูกค้าจะต้อง ไม่จู่โจมที่จะขายของเกินไป เทคนิคการขายที่ดี ควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ด้วยการพูดคุยในเรื่องทั่ว ๆ ไปก่อน
ประโยคเหล่านี้ จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การทำความรู้จักด้วยบทสนทนาที่เป็นกันเองกับคนที่เป็นลูกค้าของคุณ ก่อนที่คุณจะนำเสนอสินค้าว่าทำไมพวกเขาจึงควรสนใจและควรซื้อสินค้าของคุณ
2. ถามคำถามปลายเปิด
จากนั้นลูกค้าจะอธิบาย ในสิ่งที่เขาต้องการให้คุณฟังได้ เมื่อคุณรู้ถึงความต้องการลูกค้าแล้ว คุณก็ชวนคุยในสิ่งที่เขาสนใจ เพื่อให้ลูกค้าเริ่มเปิดใจพูดคุยกับคุณ
การพูดคุยควรเป็นธรรมชาติ ไม่กดดันลูกค้าหรือเสนอขายมากเกินไป เน้นคำถามไปที่ ความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า
3. ยิ้มกับลูกค้าอย่างเป็นมิตร
การยิ้ม..เป็นเทคนิคการขายและบริการที่ง่ายที่สุดในการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า’
และยังเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในการเผชิญหน้ากับลูกค้า ในทุกสถานการณ์
4. รอบรู้ในสินค้าให้มากที่สุด
การที่คุณจะขายอะไรซักอย่าง..คุณต้องรอบรู้และมีความชำนาญเกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ เพื่อที่จะสามารถแนะนำสินค้าได้อย่างตรงจุด และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกค้ามากที่สุด
แต่ถ้าหากคุณไม่ได้ชำนาญเกี่ยวกับสินค้าอย่างแท้จริง มันอาจส่งผลให้ร้านของคุณมีความน่าเชื่อถือน้อยลง สิ่งที่ตามมาคือ.. ลูกค้าจะไม่มาซื้อที่ร้านของคุณอีก ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดกับธุรกิจมากที่สุด
5. เทคนิคการเรียกลูกค้าด้วยชื่อของพวกเขา
การเรียกชื่อของลูกค้าเป็นทริคการขายที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความเป็นกันเองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจู่โจมจนถึงขั้นต้องรีบถามชื่อลูกค้าตั้งแต่แรก
การเรียกชื่อลูกค้าในที่นี้คือ “คุณต้องคุยกับเขาจนรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มเปิดใจ” และเริ่มสบายใจที่จะคุยกับคุณซะก่อน หรืออาจจะทำความคุ้นเคยไปก่อนจนลูกค้ากลับมาซื้ออีกเป็นครั้งที่ 2-3 ถึงค่อยถามชื่อพร้อมกับแนะนำตัวเองให้ลูกค้ารู้จัก
การพูดคุยแบบนี้ จะช่วยสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้า จนเค้ารู้สึกว่าคุณใส่ใจกับสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ
6. ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเคารพ
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เข้ามาในร้านค้าของคุณ พวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าได้หมด ฉะนั้นการกระทำอะไรก็ตามที่เป็นสองมาตรฐาน ไม่สมควรอย่างยิ่ง
“ลูกค้าทุกคนควรถูกปฏิบัติด้วยความเคารพที่เท่าเทียมกัน”
ไม่ควรที่จะตัดสินคน ที่การแต่งตัว เพศสภาพ อาชีพ หรือฐานะ ดังนั้น ความพร้อมที่จะขายสินค้าควรจะมีกับทุก ๆ คน
7. ให้เวลาลูกค้าในการตัดสินใจ
หากลูกค้ายังตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเร่งรัดเขานะคะ ให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองและตัดสินใจก่อน เพราะการที่คนเราจะซื้ออะไรก็ตามแต่ จะต้องมีการคำนวณหลาย ๆ เรื่องเข้าด้วยกันทั้งราคา คุณภาพ ผลลัพธ์ ระยะเวลาในการใช้งาน และอื่น ๆ อีกมากมาย | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51131 | Retail | ช่วยสรุปทีว่า หน้าโรงเรียนควรเปิดร้านอะไรดี | บทความนี้ PN Storetailer จึงจะมาแนะนำการ เปิดร้านค้าเพื่อขายสินค้าหรือบริการ ในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับโรงเรียนให้คุณได้นำไปเป็นไอเดียว่า คุณควรจะสร้างธุรกิจอะไรขึ้นมาดี? ตามมาดูกันเลยค่ะ บทความนี้ PN Storetailer จึงจะมาแนะนำการ เปิดร้านค้าเพื่อขายสินค้าหรือบริการ ในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับโรงเรียนให้คุณได้นำไปเป็นไอเดียว่า คุณควรจะสร้างธุรกิจอะไรขึ้นมาดี? ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ร้านขายอุปกรณ์ไอที 1. ร้านขายอุปกรณ์ไอที ในปัจจุบัน อุปกรณ์ไอทีจำพวกแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน เข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้ เพราะยุคนี้ไม่ว่าใคร ต่างก็ใช้สมาร์ทโฟนกันแทบจะทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ในปัจจุบัน เข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้ เพราะยุคนี้ไม่ว่าใคร ต่างก็ใช้สมาร์ทโฟนกันแทบจะทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ การเปิดร้านสมาร์ทโฟนจึงเป็นทางเลือกที่ดีในทำธุรกิจหน้าโรงเรียน ในขณะเดียวกันคุณควรให้คำปรึกษาเกี่ยวกับไอทีสมาร์ทโฟนให้แก่นักเรียนเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับพวกเขาพร้อมทั้งยังควรเพิ่มเคสโทรศัพท์เข้าไปขาย เพิ่มหูฟัง สายชาร์จ และทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับไอทีเข้าไป การเปิดร้านสมาร์ทโฟนจึงเป็นทางเลือกที่ดีในทำธุรกิจหน้าโรงเรียน ในขณะเดียวกันคุณควรให้คำปรึกษาเกี่ยวกับไอทีสมาร์ทโฟนให้แก่นักเรียนเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับพวกเขา พร้อมทั้งยังควรเพิ่มเคสโทรศัพท์เข้าไปขาย เพิ่มหูฟัง สายชาร์จ และทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับไอทีเข้าไป Tip ★ ยิ่งถ้าหากคุณมีทักษะและความรู้ในการซ่อมอุปกรณ์มือถือด้วยแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี Tip ★ ยิ่งถ้าหากคุณมีทักษะและความรู้ในการซ่อมอุปกรณ์มือถือด้วยแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี ยิ่งถ้าหากคุณมีทักษะและความรู้ในการ ด้วยแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี เพราะการซ่อมแซมในห้างหรือร้านซ่อมมือถือส่วนใหญ่มักมีค่าใช้จ่ายสูง แถมยังต้องเดินทางไปไกลกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วยนะคะ คุณจึงสามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ในสภาพแวดล้อมของนักเรียนโดยกำหนดราคาที่เป็นกันเองเราคิดว่ามันจะทำให้คุณมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ ทีเดียวล่ะ ฉะนั้นก็เป็นความคิดที่ดีหากจะเปิดร้านแบบนี้ใกล้โรงเรียน เพราะการซ่อมแซมในห้างหรือร้านซ่อมมือถือส่วนใหญ่มักมีค่าใช้จ่ายสูง แถมยังต้องเดินทางไปไกลกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วยนะคะ คุณจึงสามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ในสภาพแวดล้อมของนักเรียนโดยกำหนดราคาที่เป็นกันเอง เราคิดว่ามันจะทำให้คุณมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ ทีเดียวล่ะ ฉะนั้นก็เป็นความคิดที่ดีหากจะเปิดร้านแบบนี้ใกล้โรงเรียน 2. ร้านเครื่องเขียน 2. ร้านเครื่องเขียน เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่า มีโรงเรียนก็ต้องมีร้านเครื่องเขียนอยู่ใกล้กัน เพราะเครื่องเขียนจำเป็นอย่างมากต่อนักเรียนที่จะใช้ในการเรียนหนังสือ, ทำการบ้าน, ทำโครงงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่า มีโรงเรียนก็ต้องมี อยู่ใกล้กัน เพราะเครื่องเขียนจำเป็นอย่างมากต่อนักเรียนที่จะใช้ในการเรียนหนังสือ, ทำการบ้าน, ทำโครงงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าสินค้าในร้านของคุณน่าสนใจและอัพเดทใหม่อยู่เสมอ คุณจะสามารถขายสินค้าได้เยอะมากและเป็นที่นิยมสำหรับน้อง ๆ หนู ๆ สิ่งที่คุณควรทำมีหลายประการมาก ตัวอย่างเช่น อัพเดทเทรนด์ใหม่ ๆ ดูกระแสเทรนด์ของเด็ก ๆ ในช่วงนั้น เช่น สินค้าที่เกี่ยวกับดาราเกาหลี การ์ตูนที่กำลังฮิต หาสินค้าแตกต่าง ซึ่งเป็นสินค้าที่คู่แข่งหาไม่ได้มาวางขาย สต็อกสินค้าต้องแน่น เพราะเด็ก ๆ จะได้มีตัวเลือกที่หลากหลาย สำรวจความสนใจของเด็ก ๆ ที่มีต่อเครื่องเขียน เช่น พวกเขานิยมเครื่องเขียนปากกาสีมากในช่วงนี้ ก็ให้นำปากกาสีหลากชนิดมาขายถ้าคุณจะทำธุรกิจหน้าโรงเรียน การเปิดร้านเครื่องเขียนมาขายน่าจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของธุรกิจนี้เลยค่ะ 3. ร้านกิ๊ฟช็อป / ร้านของเล่น ร้านขายของขวัญหรือกิ๊ฟช็อป ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจในการทำไปเปิดบริเวณโรงเรียน แต่ข้อควรระวังคือบางครั้งสินค้าอาจซ้ำกันกับร้านขายเครื่องเขียน ฉะนั้นคุณควรสร้างความแตกต่างด้วยการเน้นไปที่ของขวัญอย่างแท้จริงและครบวงจร ฉะนั้นสินค้าที่นำมาวางขายในการ เปิดร้านขายของขวัญ หรือร้านกิ๊ฟช็อป ควรเป็นของใช้กระจุกกระจิก , สินค้าเบ็ดเตล็ด ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในโรงเรียนและในบ้านได้ด้วย บวกกับการนำของเล่นต่าง ๆ เอาใจเด็กมาขาย ใช้ความน่ารักเข้าสู้ เน้นการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยม และนำมาเป็นคอลเลคชั่น ตัวอย่างเช่น ถ้าจะนำสินค้าเกี่ยวกับ Kitty มาขาย ก็ให้นำของทุกอย่างที่มีลายคิตตี้มาให้หมด ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตา แก้วน้ำ กล่องใส่ปากกา หวี ตลับใส่แว่นตา กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น 4. ร้านอินเตอร์เน็ต 4. ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านอินเตอร์เน็ต เป็นที่นิยมมากในการเปิดร้านบริเวณใกล้ ๆ โรงเรียน เพราะนอกจากเด็กผู้ชายที่ชอบนัดกันไปเล่นเกมหลังเลิกเรียนแล้วแต่เด็กบางกลุ่มอาจจะไปใช้บริการเสิร์ชหาข้อมูลเพื่อนำมาทำรายงาน หรืออาจจะเข้าไปเล่นเพื่อท่องโลกอินเทอร์เน็ตก็ได้ คุณควรจะกำหนดก่อนว่า ‘ร้านของคุณควรจะเป็นแนวไหน’ เพราะมีร้านอินเตอร์เน็ตหลายแบบให้เลือก และลูกค้าก็จะไม่เหมือนกัน เนื่องจากลูกค้าที่เป็นเด็กจะเลือกร้านที่รู้สึกว่าเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด เป็นที่นิยมมากในการเปิดร้านบริเวณใกล้ ๆ โรงเรียน เพราะนอกจากเด็กผู้ชายที่ชอบนัดกันไปเล่นเกมหลังเลิกเรียนแล้ว แต่เด็กบางกลุ่มอาจจะไปใช้บริการเสิร์ชหาข้อมูลเพื่อนำมาทำรายงาน หรืออาจจะเข้าไปเล่นเพื่อท่องโลกอินเทอร์เน็ตก็ได้ คุณควรจะ เพราะมีร้านอินเตอร์เน็ตหลายแบบให้เลือก และลูกค้าก็จะไม่เหมือนกัน เนื่องจากลูกค้าที่เป็นเด็กจะเลือกร้านที่รู้สึกว่าเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด Tip ★ เด็กบางคนมักไปทำรายงานหรือโครงงานในร้านอินเตอร์เน็ต และจะไม่ชอบคนที่เล่นเกมส่งเสียงดังจนรบกวนสมาธิ ถ้าคุณจะเปิดร้านสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ คุณควรจะตกแต่งร้านให้เรียบง่าย คุมโทนสว่างและอาจจะเพิ่มการถ่ายเอกสารเข้ามาด้วย เพื่อบริการด้านการทำงานให้เด็ก ๆ โดยเฉพาะ Tip ★ เด็กบางคนมักไปทำรายงานหรือโครงงานในร้านอินเตอร์เน็ต และจะไม่ชอบคนที่เล่นเกมส่งเสียงดังจนรบกวนสมาธิ Tip ★ เด็กบางคนมักไปทำรายงานหรือโครงงานในร้านอินเตอร์เน็ต และจะไม่ชอบคนที่เล่นเกมส่งเสียงดังจนรบกวนสมาธิ ถ้าคุณจะเปิดร้านสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ คุณควรจะตกแต่งร้านให้เรียบง่าย คุมโทนสว่า ถ้าคุณจะเปิดร้านสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ คุณควรจะตกแต่งร้านให้เรียบง่าย คุมโทนสว่า งและอาจจะเพิ่มการถ่ายเอกสารเข้ามาด้วย เพื่อบริการด้านการทำงานให้เด็ก ๆ โดยเฉพาะ ง และอาจจะเพิ่มการถ่ายเอกสารเข้ามาด้วย เพื่อบริการด้านการทำงานให้เด็ก ๆ โดยเฉพาะ 5. สตูดิโอถ่ายภาพ 5. สตูดิโอถ่ายภาพ สตูดิโอถ่ายภาพ : by freepik สตูดิโอถ่ายภาพ : by freepik สตูดิโอถ่ายภาพก็สำคัญสำหรับนักเรียนมาก เพราะในบางครั้ง จะต้องมีการถ่ายรูปติดบัตร การล้างรูป การอัดรูปอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่นักเรียน แต่คุณครูและประชากรที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ยังไงก็ต้องได้ถ่ายรูปเพื่อใช้ในเอกสารต่าง ๆ อยู่แล้ว แต่ในส่วนนี้คุณควรจะต้องเพิ่มงานอดิเรกเสริมเข้ามาเพื่อเพิ่มรายได้ หากคุณมีช่างภาพที่เชี่ยวชาญหรือตัวคุณเองถ่ายรูปได้ดีมาก คุณควรรับงานถ่ายรูปนอกสถานที่เพิ่มเติม Tip ★ การไปถ่ายภาพกิจกรรมภายในโรงเรียน รับถ่ายภาพให้เด็ก ๆ ช่วงกีฬาสี รับถ่ายวิดีโอเพื่อสร้างคอนเทนต์มาโพสต์ในช่องทางออนไลน์ นี่จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคุณมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่สำคัญควรคุณใช้กล้องอย่างชำนาญ รวมทั้งควรมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ครบครัน Tip ★ การไปถ่ายภาพกิจกรรมภายในโรงเรียน รับถ่ายภาพให้เด็ก ๆ ช่วงกีฬาสี รับถ่ายวิดีโอเพื่อสร้างคอนเทนต์มาโพสต์ในช่องทางออนไลน์ นี่จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคุณมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่สำคัญควรคุณใช้กล้องอย่างชำนาญ รวมทั้งควรมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ครบครัน การไปถ่ายภาพกิจกรรมภายในโรงเรียน รับถ่ายภาพให้เด็ก ๆ ช่วงกีฬาสี รับถ่ายวิดีโอเพื่อสร้างคอนเทนต์มาโพสต์ในช่องทางออนไลน์ นี่จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคุณมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่สำคัญควรคุณใช้กล้องอย่างชำนาญ รวมทั้งควรมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ครบครัน อ่านบทความน่าสนใจอื่น ๆ : อ่านบทความน่าสนใจอื่น ๆ : 4 ทริคปรับฮวงจุ้ยร้านค้าให้เรียกลูกค้า รับทรัพย์แบบเฮงๆ 6. ร้านขายชุดนักเรียน / อุปกรณ์กีฬา ‘มีนักเรียนก็ต้องมีชุดนักเรียน’ ร้านขายเครื่องแบบจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจในการนำมาเป็นตัวเลือกในการทำธุรกิจหน้าโรงเรียน คุณจะต้องสต็อกสินค้าให้ครบครันทั้งชุดนักเรียน ชุดยุวกาชาด ชุดเนตรนารี ชุดลูกเสือ รวมถึงรองเท้านักเรียน รองเท้าผ้าใบ ฯลฯ แล้วถ้าร้านของคุณมีเครื่องแบบแล้ว คุณควรเพิ่มชุดกีฬาและอุปกรณ์กีฬาเข้ามาด้วย เพราะมันจะทำให้ร้านมีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น แต่ความยากของการเปิดร้านประเภทนี้ คุณจะต้องครอบคลุมไปถึงไซส์ของเครื่องแต่งกายในส่วนต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์กีฬาหลายชนิด คุณจึงต้องสต็อกของมากพอสมควร มันจึงนำมาซึ่งการลงทุนที่สูง ดังนั้นควรพิจารณาให้ดี แต่หากมีทุนมากพอก็ลุยไปเลยค่ะ 7. ร้านหนังสือ 7. ร้านหนังสือ นี่เป็นอีกตัวเลือกที่ต้องมีสำหรับร้านค้าที่ควรเปิดในละแวกโรงเรียน ร้านหนังสือนั้นสามารถนำหนังสือมาขายได้หลายประเภทอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น หนังสือเรียนให้ความรู้, หนังสือนิทาน/นิยาย, หนังสือการ์ตูนและการที่จะเปิดร้านหนังสือได้ คุณต้องเป็นคนที่รักการอ่านและหลงใหลในกลิ่นกระดาษไม่น้อย เพราะคุณต้องมีความรู้รอบด้านเกี่ยวกับหนังสือ มีความรอบรู้และสามารถแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับเด็ก ๆ ได้ ถ้าคุณมี Passion กับหนังสือล่ะก็ นอกจากคุณจะได้ทำธุรกิจแล้ว คุณยังได้คลุกคลีอยู่กับสิ่งที่ชอบอีกด้วย คงจะมีความสุขมาก ๆ เลยล่ะค่ะ 8. คาเฟ่สวยๆ / ร้านกาแฟ / ร้านนม สำหรับเด็กนักเรียน เมื่อเลิกเรียนแล้วจะต้องมีสถานที่นัดพบ เพื่อพบปะพูดคุยและใช้เวลา Relax กัน ร้านจำพวกคาเฟ่ เป็นทางเลือกที่ดีในการนำมาเปิดหน้าโรงเรียนเพราะบางโรงเรียน ไม่ค่อยมีคาเฟ่มากเท่าไหร่นักสำหรับนัดพบกัน ภาพ คาเฟ่สวยๆ : by bkkmenu ภาพ คาเฟ่สวยๆ : by bkkmenu ภาพ คาเฟ่สวยๆ : by bkkmenu นึกภาพตอนเช้าที่คนเยอะ ๆ ถ้าคุณขายของหน้าโรงเรียนอย่างเช่น ขายกาแฟ ขนมนมเนยสำหรับอาหารเช้า พอถึงตอนเลิกเรียนก็มีนักเรียนนัดกันมานั่งพูดคุยกัน บ้างอ่านหนังสือ บ้างทำการบ้าน นั่งรอพ่อแม่มารับ และอื่น ๆ ร้านของคุณคงเป็นที่นิยมน่าดูเลยค่ะ และอย่าลืมตกแต่งร้านให้ดูสบาย ๆ น่านั่งที่มาพร้อมราคาเป็นกันเองด้วยนะ 9. ร้านเครื่องดนตรี พอมีกีฬาแล้ว การเล่นดนตรีเป็นอีกงานอดิเรกยอดนิยมสำหรับเด็ก ๆ ยิ่งในวัยรุ่นแล้วยิ่งเป็นวัยที่กำลังสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก สิ่งที่คุณควรจะมีคือความรู้อย่างรอบคอบเกี่ยวกับเครื่องดนตรีทุกชนิด ต้องทำการบ้านอย่างหนักเกี่ยวกับยี่ห้อของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดว่า ยี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนมีคุณภาพ รวมถึงยี่ห้อไหนเป็นที่นิยม คุณควรจะแนะนำกับเด็ก ๆ และผู้ปกครองของเขาได้ แต่สิ่งที่คุณจะต้องคำนึงคือ ★ เครื่องดนตรีค่อนข้างที่จะมีราคาแพง ต้องดูกำลังของลูกค้าในบริเวณโรงเรียนที่คุณจะเปิดร้าน และคำนึงว่าถ้าเปิดแล้วคุณจะทำยอดขายได้ดีหรือไม่ สำรวจความต้องการของคนบริเวณนั้นให้ดี จะได้ไม่ลงทุนเสียเปล่านะคะทุกคน เครื่องดนตรีค่อนข้างที่จะมีราคาแพง ต้องดูกำลังของลูกค้าในบริเวณโรงเรียนที่คุณจะเปิดร้าน 10. มินิมาร์ท หากทำเลของโรงเรียนไม่ได้อยู่ใกล้เคียงร้านสะดวกซื้อ หรือพื้นที่ที่คุณต้องการไปเปิดร้านเป็นเส้นทางที่มีเด็ก ๆ นักเรียนสัญจรหรือเดินผ่านเยอะ เช่น ใกล้บริเวณประตูโรงเรียน ป้ายรถเมล์ต่าง ๆ ล่ะก็ การ เปิดร้านมินิมาร์ท เป็นสิ่งที่น่าลงทุนมากเพราะเด็ก ๆ เมื่อกำลังจะไปโรงเรียนหรือเลิกเรียน เขามักจะอยากซื้อน้ำเปล่า ไอศกรีม หรือขนมจุกจิกไว้ทานเล่น ภาพร้านมินิมาร์ท : cr. ชั้นมินิมาร์ท by PN Steel ภาพร้านมินิมาร์ท : cr. ชั้นมินิมาร์ท by PN Steel และนอกจากนั้นการเปิดร้านมินิมาร์ทอาจจะได้ลูกค้าครอบคลุมไปถึงผู้ปกครอง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น เพราะโรงเรียน ไม่มีได้แค่นักเรียนอย่างเดียว แต่มีคนอื่น ๆ อาศัยอยู่แถวนั้นด้วย การเลือกมินิมาร์ทเป็นธุรกิจหน้าโรงเรียนจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลยค่ะ แต่การที่จะเปิดร้านมินิมาร์ทนั้น คุณต้องนำเข้าสินค้ามาสต็อกไว้เยอะพอสมควร และมันก็ควรจะครอบคลุมหลากหลาย เพื่อให้ดูน่าเดินเข้าไปซื้อนั่นเอง 11. Student Friendly Centre ไอเดียนี้มาจากเว็บไซต์ต่างประเทศค่ะ เราจะสังเกตได้ว่า ประเทศไทยมีร้านอินเตอร์เน็ต, ร้านถ่ายเอกสาร, ร้านเครื่องเขียน, ร้านหนังสือ มีร้านทุกอย่างแบ่งไว้ให้เด็ก ๆ เป็นหมวดหมู่เลย แต่มันจะดีกว่าและแปลกใหม่กว่าหากคุณ “รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน” ถ้าคุณมีใจรักที่จะทำธุรกิจหน้าโรงเรียน คนเขียนคิดว่าไอเดียนี้เหมาะมาก เพราะคุณจะได้ทำธุรกิจครบวงจรที่ให้บริการแก่นักเรียน แล้ว Student Friendly Centre มันคืออะไรนะ? มันก็คือแหล่งรวมทุกอย่างที่นักเรียนต้องการ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจนี้เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณที่มากพอ และตั้งใจจะทำธุรกิจหน้าโรงเรียนแบบครบวงจรและไม่เหมือนใคร หากใครที่สนใจก็ลองนำไอเดียนี้ไปใช้ดูนะคะ 12. ศูนย์ออกกำลังกาย บางโรงเรียนก็อาจจะมีศูนย์กีฬาอยู่ในละแวกนั้น แต่บางโรงเรียนอาจจะยังไม่มี คุณสามารถใช้ไอเดียนี้ไปเติมเต็มให้กับโรงเรียนที่ไม่มีได้ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ชอบเล่นกีฬา ยิ่งสมัยนี้เด็ก ๆ มักจะดูแลสุขภาพมากขึ้น และหันมาเล่นกีฬา เข้าฟิตเนสเพื่อปั้นหุ่นมากขึ้น (เด็กผู้หญิงหลาย ๆ คนก็เช่นกัน) การมียิม ฟิตเนส หรือศูนย์ออกกำลังกาย เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะถ้าใครที่รักการเล่นกีฬาและออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าเด็กนักเรียนหรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น จะต้องมาใช้บริการที่ร้านของคุณอย่างแน่นอน ตัวอย่างกิจกรรมในการเปิดศูนย์ออกกำลังกาย เช่น 13. ร้านเสื้อผ้าราคาย่อมเยาว์ 13. ร้านเสื้อผ้าราคาย่อมเยาว์ เด็กนักเรียนช่วงวัยมัธยม เป็นวัยที่กำลังรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวตามเทรนด์ การเปิดร้านเสื้อผ้าแฟชั่นราคาย่อมเยาว์สำหรับพวกเขาก็ถือว่าเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ค่ะ ในร้านอาจจะมีทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า และอย่าลืมว่าราคาต้องไม่แพงเกินไปและเป็นมิตรกับเด็ก ๆ ด้วยนะ ลองศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล และดูเทรนด์ใหม่ ๆ ช่วงนี้วัยรุ่นเขาฮิตใส่อะไรกัน แล้วนำมาเปิดร้านและวางขาย เน้นตกแต่งร้านให้น่ารักสดใส หรือถ้าคุณอยากเอาใจวัยรุ่นแนวไหน ก็ตกแต่งร้านตามนั้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยเบื่อหน่ายกับการแต่งตัว จะต้องซื้อเสื้อผ้าตามเทรนด์อยู่เสมอ ๆ เราจึงคิดว่าหากเปิดร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับแฟชั่น จะมีนักเรียนมากมายเข้ามาเลือกชมสินค้าที่ร้านของคุณเยอะมาก ๆ แน่นอนค่ะ อ่านบทความน่าสนใจอื่น ๆ : อ่านบทความน่าสนใจอื่น ๆ : ธุรกิจทำเงิน 5 อย่างที่เกิดขึ้นง่ายๆด้วยบ้านของคุณเอง..! รวม 7 เทคนิคการขายง่ายๆ สำหรับเจ้าของร้านมือใหม่ 14. ร้านเครื่องสำอาง 14. ร้านเครื่องสำอาง มีนักเรียนหญิงจำนวนมากในโรงเรียนที่ต้องการดูแลตัวเองและรักสวยรักงาม ร้านเครื่องสำอางจึงเป็นทางเลือกที่ดีมากในการทำธุรกิจหน้าโรงเรียน เครื่องสำอางที่นำมาจะต้องมีความครบครัน และครอบคลุมหลาย ๆ แบรนด์ รวมถึงต้องมีผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, เล็บ, น้ำหอม และทุก ๆ อย่างที่เป็นการเสริมสวยหรือดูแลเรื่องความสวยงามของเด็ก ๆ นอกจากเด็ก ๆ แล้ว ผู้ใหญ่บริเวณนั้น ก็สามารถมาช้อปปิ้งได้ ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ที่ดีเยี่ยมอีกอันนึงเลยค่ะสำหรับธุรกิจนี้ 15. ร้านเสริมสวย / ร้านทำผม 15. ร้านเสริมสวย / ร้านทำผม ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนหรือแม่ของนักเรียนเหล่านั้น พวกเขาก็มักจะต้องใส่ใจเรื่องผิวพรรณและเส้นผมอยู่เสมอ ทั้งในชีวิตปกติธรรมดาหรือเวลาออกงาน ต้องมีการเสริมสวย บำรุงผิวหน้า บำรุงผิวกาย หรือตัดแต่งทรงผม ยืดผม อบไอน้ำอยู่ตลอด ซึ่งถ้าคุณเปิดร้านร้านแนวนี้ คุณจะสามารถดึงดูดลูกค้าทั้งนักเรียนวัยรุ่น และแม่ของนักเรียนเหล่านั้นให้มาที่ร้านของคุณได้ ยิ่งถ้าคุณสามารถตัดผมผู้ชายได้ คุณจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าผู้ชายมาตัดผมที่ร้านของคุณได้อีกด้วยค่ะ 16. ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ 16. ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ มีร้านซ่อมมือถือแล้ว ก็ต้องมีร้านซ่อมคอมพิวเตอร์นะคะ บางคนอาจมีทักษะเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และรู้จักกับมันเป็นอย่างดี ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการเปิดร้านซ่อมคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ้คค่ะ เพราะเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีโน้ตบุ้คไว้ทำงานเป็นของตัวเอง หากคุณเปิดร้านประเภทนี้ จะช่วยตอบสนองกับนักเรียนที่ต้องการซ่อมคอมแต่ไม่อยากไปไกลจากโรงเรียน หรือคุณครูที่อยู่ในโรงเรียนก็มีโอกาสมาใช้บริการสูงมากกับร้านประเภทนี้นะ ยิ่งถ้าคุณเก่งเรื่องโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ และการออกแบบเว็บไซต์ คุณสามารถรับจ็อบเสริมในเรื่องนั้น ๆ ที่คุณถนัดได้อีกด้วย 17. ร้านเย็บผ้า 17. ร้านเย็บผ้า ตอนเราเรียนในโรงเรียน จะเห็นร้านประเภทนี้อยู่หน้าโรงเรียนอย่างน้อย 1 ร้านค่ะ เหมือนจะแปลก ๆ แต่จริง ๆ ร้านแบบนี้มีความต้องการสูงมากนะคะ เพราะบางทีกระโปรงนักเรียนต้องแก้ทรง เสื้อต้องเย็บปักชื่อ บลา ๆๆ ที่เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย ต้องใช้บริการร้านเย็บผ้าหมดเลยค่ะ ถ้าใครที่มีทักษะด้านนี้ สามารถเปิดร้านเล็ก ๆ ไว้ให้บริการนักเรียนหรือคุณครูที่ต้องการเย็บเสื้อ, แก้ทรงกางเกงหรือกระโปรง, แก้ซิป และอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเย็บปักได้นะคะ ดูบทความอื่น ๆ 18. ร้านเช่าชุด / รับตัดชุด 18. ร้านเช่าชุด / รับตัดชุด เมื่อมีร้านเย็บผ้าเล็ก ๆ แล้วจะขาดร้านตัดชุดไปไม่ได้ เพราะมีบางชุดที่ทั้งนักเรียนและคุณครูจะต้องใส่ออกงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชุดสูท, ชุดราตรี, ชุดเดรส, ชุดนางรำ, ชุดไทย และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งการมีร้านแบบนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกของธุรกิจหน้าโรงเรียนที่น่าทำอีกธุรกิจหนึ่ง ถ้าทำเลในชุมชนของคุณไม่มีร้านประเภทนี้อยู่ ก็อาจจะลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อไปพัฒนาเป็นธุรกิจของคุณเองก็ได้นะ 19. รถไอศกรีม จริง ๆ แล้วคุณก็สามารถไปซื้อแฟรนไชส์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไอศกรีมไผ่ทอง, วอลล์ หรือเนสเล่ท์ก็ได้ ไอศกรีมกะทิทั่วไปก็สามารถนำมาขายได้ แต่ถ้ามีต้นทุนมากหน่อย เราว่าทำเป็นรถคันใหญ่ที่น่ารัก ๆ คล้ายของต่างประเทศก็น่าจะเวิร์ค เพราะมันจะเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานได้มากขึ้น ยิ่งถ้าตกแต่งรถให้น่ารัก ๆ แล้ว จะมีโอกาสดึงดูดลูกค้าได้หลากหลายอีกด้วยน้าา ที่สำคัญรถไอศกรีมของคุณจะกลายเป็นจุดแลนมาร์กในการถ่ายรูปได้อีกด้วย ลองดูไอเดียจากรูปที่เรานำมาเป็นตัวอย่างได้เลย 20. ร้านสื่อประกอบการเรียนการสอน ในการเรียนการสอน คุณอาจจะเคยเห็นว่ามีสื่อต่าง ๆ มากมายที่คุณครูใช้ประกอบการเรียนการสอน หรือจะเป็นสื่อในการจัดสัมมนา อาทิเช่น หากคุณมีหัวคิดด้านการสร้างสรรค์ที่ดี คุณอาจจะสามารถออกแบบสื่อการสอนแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่เข้ายุคสมัยนี้ เพื่อให้เด็กนักเรียนได้สนุกสนานไปกับการเรียนได้ หรือจะออกแบบเพื่อให้นักเรียนนำไปพรีเซนต์หน้าชั้นเรียนก็ได้นะ 21. สถาบันติวเตอร์ 21. สถาบันติวเตอร์ โรงเรียนที่คุณอยากทำธุรกิจมีสถาบันติวเตอร์หรือยังคะ? ถ้ายังไม่มี.. ธุรกิจนี้ก็เป็นที่นิยมไม่เบาค่ะ คุณอาจจะหาอาจารย์ที่มีความถนัดในวิชาต่าง ๆ มาเปิดคอร์สให้กับเด็กที่อยากเรียนพิเศษได้มาติวหนังสือเพิ่มเติมได้ ซึ่งวิชาก็จะเป็นวิชาในการเรียนการสอนทั้งหมด เช่น ภาษาอังกฤษ, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ เป็นต้น ส่วนวิชาอย่างอื่นก็อาจจะเป็นในเรื่องของ ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์, โปรแกรมแต่งรูป, โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ, สอนเล่นเครื่องดนตรี ฯลฯ ให้นักเรียนได้เรียนรู้เพิ่มเติม เพราะเด็กแต่ละคนนั้นมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน จะดีมากหากพวกเขาได้ลองเรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาอยากจะลองในเชิงสร้างสรรค์ค่ะ 22. ศูนย์รวมเครื่องเล่นและกิจกรรม 22. ศูนย์รวมเครื่องเล่นและกิจกรรม ไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงในห้าง แต่มาที่ร้านคุณได้ ร้านรวมเครื่องเล่นต่าง ๆ เป็นธุรกิจหน้าโรงเรียนอีกอันที่น่าสนใจมาก ในร้านก็อาจจะประกอบไปด้วย สิ่งเหล่านี้มันเป็นกิจกรรมที่น่าโปรดปรานของเด็ก ๆ ถ้าคุณมีเงินทุนมากพอและเปิดร้านแบบนี้บริเวณโรงเรียนได้ เราคาดว่าคุณจะโกยรายได้เยอะมากเลยทีเดียวค่ะ 23. โรงเรียนสอนเต้น, สอนร้องเพลง 23. โรงเรียนสอนเต้น, สอนร้องเพลง สมัยนี้มีเด็กมากมายที่อยากเป็นศิลปิน ชอบเต้นและร้องเพลงเยอะมาก ๆ การเปิดโรงเรียนสอนเต้นหรือสอนร้องเพลงจะทำให้เด็ก ๆ นี้ มีกิจกรรมที่อยากเอนจอยได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น หรือบางทีผู้ปกครองที่อยากผลักดันความฝันของลูก ก็อาจส่งลูกไปเรียนร้องเต้นตั้งแต่เด็ก เพื่อพัฒนาความสามารถไว้ตอนที่ยังอายุน้อย เพื่อลูกโตขึ้นจะได้ฉายแววกลายเป็นดาวดวงใหม่บนฟากฟ้า | สรุปได้ดังนี้ จากบทความนี้ PN Storetailer มาแชร์ไอเดียว่าควรสร้างธุรกิจอะไรในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับโรงเรียน ดังนี้
1. ร้านขายอุปกรณ์ไอที และสามารถคำปรึกษาได้ เพราะในยุคนี้แม้แต่เด็กตัวน้อยก็ใช้อุปกรณ์เหล่านี้
2. ร้านเครื่องเขียน โดยอัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ หาสินค้าที่แตกต่าง สต็อคต้องแน่น สำรวจความต้องการของเด็กๆ
3. ร้านกิ๊ฟช็อป / ร้านของเล่น โดยสร้างความแตกต่างด้วยการเน้นไปที่ของขวัญอย่างแท้จริงและครบวงจร
4. ร้านอินเตอร์เน็ต โดยควรกำหนดว่าจะเป็นแนวไหน เพราะร้านอินเตอร์เน็ตหลายแบบให้เลือก และลูกค้าก็จะไม่เหมือนกัน เนื่องจากลูกค้าที่เป็นเด็กจะเลือกร้านที่รู้สึกว่าเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด
5. สตูดิโอถ่ายภาพ
6. ร้านขายชุดนักเรียน / อุปกรณ์กีฬา
7. ร้านหนังสือ
8. คาเฟ่สวยๆ / ร้านกาแฟ / ร้านนม
9. ร้านเครื่องดนตรี แต่เครื่องดนตรีมีราคาค่อนข้างสูง อาจต้องทำการสำรวจความต้องการของคนบริเวณนั้นก่อนทำการเปิด
10. มินิมาร์ท ถ้าบริเวณนั้นไม่ได้อยู่ใกล้เครียงกับร้านสะดวกซื้อ
11. Student Friendly Centre คือแหล่งรวมทุกอย่างที่เด็ๆต้องการ เช่น มีคอมพิวเตอร์เพียวพอไว้บริการ มีห้องให้เช้าสำหรับติวหนังสือ หรือนักเรียนสามารถจ้างพนักงานมาช่วยออกแบบทำรายงาน เป็นต้น ซึ่งเหมาะกับคนที่มีงบประมาณมากพอ
12. ศูนย์ออกกำลังกาย โดยมีครูสอนหรือเทรนเนอร์ไว้สำหรับผู้ที่สนใจที่จะเรียน
13. ร้านเสื้อผ้าราคาย่อมเยาว์ ต้องอัพเดท และดูเทรนด์ใหม่ๆ
14. ร้านเครื่องสำอาง
15. ร้านเสริมสวย / ร้านทำผม
16. ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์
17. ร้านเย็บผ้า
18. ร้านเช่าชุด / รับตัดชุด
19. ร้านไอศกรีม หรือถ้ามีทุนทำเป็นรถไอศกรีมคันใหญ่ก็น่าจะดี
20. ร้านสื่อประกอบการเรียนการสอน
21. สถาบันติวเตอร์
22. ศูนย์รวมเครื่องเล่นและกิจกรรม
23. โรงเรียนสอนเต้น, สอนร้องเพลง | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51157 | Retail | จากกลยุทธ์ "CUSTOMER CENTRIC" ของ M ONLINE เดอะมอลล์ กรุ๊ป มีแนวทางอย่างไรที่จะนำ Customer Data มาวิเคราะห์และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง? | null | 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า:
เดอะมอลล์ กรุ๊ป มีฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่จากหลากหลายช่องทาง ทั้ง ONLINE และ OFFLINE ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจากสมาชิกบัตร M Card ข้อมูลจากการซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า ข้อมูลจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะนำเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) มาวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรม ความต้องการ และความชอบของลูกค้าแต่ละบุคคล
2. การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า:
เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น Customer Segmentation Customer Journey Mapping และ RFM Analysis ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เดอะมอลล์ กรุ๊ป เข้าใจลูกค้าแต่ละบุคคลได้ดีขึ้น และสามารถคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าล่วงหน้า
3. การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า:
เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคล โดยใช้ช่องทางต่างๆ ดังนี้
Personalized Recommendations: เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะแนะนำสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคล โดยใช้ข้อมูลการซื้อสินค้าที่ผ่านมา ข้อมูลการค้นหาสินค้า และข้อมูลอื่นๆ
- Targeted Marketing: เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะส่งข้อความ อีเมล และโฆษณาที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคล
- Loyalty Programs: เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะมอบรางวัลและสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ช้อปปิ้งกับเดอะมอลล์ กรุ๊ป
4. ตัวอย่างการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า:
ลูกค้า A: ชอบซื้อเสื้อผ้าแฟชั่น เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะแนะนำสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นใหม่ๆ ให้กับลูกค้า A
ลูกค้า B: ชอบซื้อเครื่องสำอาง เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะแนะนำสินค้าเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิวของลูกค้า B
ลูกค้า C: ชอบซื้อของกินของใช้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะแนะนำสินค้าโปรโมชั่นและส่วนลดต่างๆ ให้กับลูกค้า C
5. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง:
เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะพัฒนาเทคโนโลยีและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุด
โดยสรุป เดอะมอลล์ กรุ๊ป มุ่งมั่นที่จะนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ OMNICHANNEL ที่ดีที่สุด ผ่านกลยุทธ์ "CUSTOMER CENTRIC" โดยใช้ Customer Data มาวิเคราะห์และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51168 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "ร้านธนพิริยะ" ให้หน่อยค่ะ | จุดเริ่มต้นของร้านธนพิริยะ กว่าที่จะมาเป็น Supermarket ‘ธนพิริยะ’ Supermarket ที่เริ่มต้นจาการเป็นร้านโชห่วยที่ก่อตั้งขึ้นที่จังหวัดเชียงรายเมื่อปี 2534 โดยคู่สามีภรรยา ‘ธวัชชัย พุฒิพิริยะ’ และ ‘เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ’ ที่มีความตั้งใจและPassion ที่ต้องการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง โดยเริ่มต้นจากเงินทุนจำนวนไม่มาก และพื้นที่ห้องแถวติดกันสองห้องเปิดเป็นร้านขายของทั่วไปขนาดเล็ก ภายใต้ชื่อ “พิริยะมินิมาร์ท” ‘ธนพิริยะ’ Supermarket ที่เริ่มต้นจาการเป็นร้านโชห่วยที่ก่อตั้งขึ้นที่จังหวัดเชียงรายเมื่อปี 2534 โดยคู่สามีภรรยา ‘ธวัชชัย พุฒิพิริยะ’ และ ‘เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ’ ที่มีความตั้งใจและPassion ที่ต้องการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง โดยเริ่มต้นจากเงินทุนจำนวนไม่มาก และพื้นที่ห้องแถวติดกันสองห้องเปิดเป็นร้านขายของทั่วไปขนาดเล็ก ภายใต้ชื่อ “พิริยะมินิมาร์ท” และได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นใส่ร้านขายยาเข้าไปด้วย ซึ่งถือเป็นร้านขายของ Format แรก ๆ ที่มีมินิมาร์ทและร้านขายยาอยู่ในที่เดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงทำให้ Destination ของ Product ก็คือ กลุ่มนมผง จากการที่เภสัชกรหญิงอมร เป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์ จึงสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณแม่ที่เข้ามาเป็นลูกค้าได้ ซึ่งจะเป็นการแนะนำสินค้าที่มีความซับซ้อน ตอนนั้นแม้ว่าจะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ลูกค้าที่เข้ามาได้ประสบการณ์ที่ดีที่เป็นมากกว่าการมาซื้อของกลับไป และได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นใส่ร้านขายยาเข้าไปด้วย ซึ่งถือเป็นร้านขายของ Format แรก ๆ ที่มีมินิมาร์ทและร้านขายยาอยู่ในที่เดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงทำให้ Destination ของ Product ก็คือ กลุ่มนมผง จากการที่เภสัชกรหญิงอมร เป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์ จึงสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณแม่ที่เข้ามาเป็นลูกค้าได้ ซึ่งจะเป็นการแนะนำสินค้าที่มีความซับซ้อน ตอนนั้นแม้ว่าจะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ลูกค้าที่เข้ามาได้ประสบการณ์ที่ดีที่เป็นมากกว่าการมาซื้อของกลับไป เภสัชกรหญิงอมร เล่าว่า หลังจากที่เปิดร้านไปสักระยะก็ได้เริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดระบบ และทำให้พบว่าในการขายของที่ได้ทำทั้งในรูปแบบค้าปลีก และค้าส่งในตอนนั้น การขายปลีกเป็นชิ้นเดี่ยว ๆ สามารถทำกำไรได้ดีกว่าการค้าส่ง จึงทำให้มีความต้องการที่จะพัฒนาหน้าร้าน และต้องการขยายสาขาให้เติบโตเหมือนกับร้านมินิมาร์ทเช่นเดียวกับบริษัทใหญ่ ๆ เภสัชกรหญิงอมร เล่าว่า หลังจากที่เปิดร้านไปสักระยะก็ได้เริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดระบบ และทำให้พบว่าในการขายของที่ได้ทำทั้งในรูปแบบค้าปลีก และค้าส่งในตอนนั้น การขายปลีกเป็นชิ้นเดี่ยว ๆ สามารถทำกำไรได้ดีกว่าการค้าส่ง จึงทำให้มีความต้องการที่จะพัฒนาหน้าร้าน และต้องการขยายสาขาให้เติบโตเหมือนกับร้านมินิมาร์ทเช่นเดียวกับบริษัทใหญ่ ๆ เพราะถือเป็นทางรอดและการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งเงินทุน และระบบการตรวจสอบที่ดี หากมีการขยายสาขาไปแล้ว ทำอย่างไรให้สามารถควบคุมดูแลให้ของไม่หาย พนักงานไม่ทุจริต ในระยะหลังจึงได้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับระบบบัญชี เพราะวันหนึ่งสรรพากรมาตรวจ และพบว่าเราไม่รู้เรื่องบัญชีและภาษีไม่ได้แล้ว เพราะถือเป็นทางรอดและการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งเงินทุน และระบบการตรวจสอบที่ดี หากมีการขยายสาขาไปแล้ว ทำอย่างไรให้สามารถควบคุมดูแลให้ของไม่หาย พนักงานไม่ทุจริต ในระยะหลังจึงได้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับระบบบัญชี เพราะวันหนึ่งสรรพากรมาตรวจ และพบว่าเราไม่รู้เรื่องบัญชีและภาษีไม่ได้แล้ว ดังนั้นหากจะเดินหน้าต่อไปก็คงต้องรู้ทุกเรื่อง ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับทัศนคติ แล้วมา Training เรื่องบัญชี โดยตอนนั้นจำได้ว่าต้องปิดร้านไปอบรมตั้งแต่เช้ายันดึก มาเรียนรู้ใหม่ว่าผิดอย่างไร ทำให้ถูกต้องอย่างไร เและต้องปรับจนถูกต้องทุกอย่าง ดังนั้นหากจะเดินหน้าต่อไปก็คงต้องรู้ทุกเรื่อง ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับทัศนคติ แล้วมา Training เรื่องบัญชี โดยตอนนั้นจำได้ว่าต้องปิดร้านไปอบรมตั้งแต่เช้ายันดึก มาเรียนรู้ใหม่ว่าผิดอย่างไร ทำให้ถูกต้องอย่างไร เและต้องปรับจนถูกต้องทุกอย่าง หลังจากนั้นก็ได้เริ่มขยายสาขาตั้งแต่ปี 2550 ใช้เวลากว่า 16 ปีกว่าจะได้เริ่มมีสาขาที่ 2 ในจังหวัดเชียงรายที่ขยายได้ช้า เพราะตอนนั้นเราไม่มี know how ไม่มีความรู้ว่าเปิดสาขาทำอย่างไร ควบคุมอย่างไร แต่พอได้เริ่มเรียนรู้สาขาต่อมาก็ใช้ระยะเวลาไม่นานก็ขยายได้ หลังจากนั้นก็ได้เริ่มขยายสาขาตั้งแต่ปี 2550 ใช้เวลากว่า 16 ปีกว่าจะได้เริ่มมีสาขาที่ 2 ในจังหวัดเชียงรายที่ขยายได้ช้า เพราะตอนนั้นเราไม่มี know how ไม่มีความรู้ว่าเปิดสาขาทำอย่างไร ควบคุมอย่างไร แต่พอได้เริ่มเรียนรู้สาขาต่อมาก็ใช้ระยะเวลาไม่นานก็ขยายได้ นอกจากเรื่องบัญชีที่จะต้องเรียนรู้แล้วยังมีเรื่องของการจัด Format ร้าน ในการวาง Store และ Layout ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้อยู่อีกหลายเดือน เพราะว่าคนเราเมื่อไม่เคยทำอะไร ก็มักจะใช้เวลานานที่จะเรียนรู้ แต่หลังจากนั้น ณ ปัจจุบันมองแค่ชั่วโมงเดียวจบ หรือบางครั้งมเห็นที่ดินรก ๆ และดูรูปร่างโฉนดมันเห็นภาพเลย นอกจากเรื่องบัญชีที่จะต้องเรียนรู้แล้วยังมีเรื่องของการจัด Format ร้าน ในการวาง Store และ Layout ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้อยู่อีกหลายเดือน เพราะว่าคนเราเมื่อไม่เคยทำอะไร ก็มักจะใช้เวลานานที่จะเรียนรู้ แต่หลังจากนั้น ณ ปัจจุบันมองแค่ชั่วโมงเดียวจบ หรือบางครั้งมเห็นที่ดินรก ๆ และดูรูปร่างโฉนดมันเห็นภาพเลย เราเรียนรู้ทุกอย่างด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางเดิน อาจจะมีพลาดบ้าง แต่เราก็เก็บรายละเอียดของความล้มเหลว ความผิดพลาด เก็บอุปสรรคที่เราเจอ ค่อย ๆ เรียนรู้ แล้วสะสมทุน พัฒนาคน แล้วก็พัฒนาระบบ เราเรียนรู้ทุกอย่างด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางเดิน อาจจะมีพลาดบ้าง แต่เราก็เก็บรายละเอียดของความล้มเหลว ความผิดพลาด เก็บอุปสรรคที่เราเจอ ค่อย ๆ เรียนรู้ แล้วสะสมทุน พัฒนาคน แล้วก็พัฒนาระบบ เราเรียนรู้ทุกอย่างด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางเดิน อาจจะมีพลาดบ้าง แต่เราก็เก็บรายละเอียดของความล้มเหลว ความผิดพลาด เก็บอุปสรรคที่เราเจอ ค่อย ๆ เรียนรู้ แล้วสะสมทุน พัฒนาคน แล้วก็พัฒนาระบบ เมื่อปี 2561 ‘ธนพิริยะ’ มีสาขาทั้งหมด 24 สาขา ในปี 2562 ตั้งเป้าเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา รวมสิ้นปีนี้จะมี 29 สาขา และวางเป้าหมายของรายได้ให้เติบโตปีละประมาณ 10-15% โดยปิดงบการเงินเมื่อปี 2561 บมจ.ธนพิริยะ สามารถทำรายได้ไว้ที่ 1,779.75 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิได้ที่ 65.14 ล้านบาท เมื่อปี 2561 ‘ธนพิริยะ’ มีสาขาทั้งหมด 24 สาขา ในปี 2562 ตั้งเป้าเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา รวมสิ้นปีนี้จะมี 29 สาขา และวางเป้าหมายของรายได้ให้เติบโตปีละประมาณ 10-15% โดยปิดงบการเงินเมื่อปี 2561 บมจ.ธนพิริยะ สามารถทำรายได้ไว้ที่ 1,779.75 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิได้ที่ 65.14 ล้านบาท | การก่อตั้งและการเติบโตของร้านธนพิริยะ Supermarket:
- จุดเริ่มต้น: ร้านธนพิริยะ Supermarket เริ่มต้นจากร้านโชห่วยที่ก่อตั้งในจังหวัดเชียงรายปี 2534 โดยคู่สามีภรรยา ธวัชชัยและเภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ ด้วยความตั้งใจที่จะเติบโตในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง โดยเริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่มากและพื้นที่เล็กๆ เป็นร้านขายของทั่วไปชื่อ "พิริยะมินิมาร์ท"
- แนวคิดและบริการ: ร้านนี้ได้เพิ่มฟังก์ชันการขายยาเข้าไป ซึ่งทำให้เป็นร้านแรกที่รวมมินิมาร์ทและร้านขายยาไว้ในที่เดียว โดยเภสัชกรหญิงอมรใช้ความรู้ด้านเวชภัณฑ์เพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์นมผง
- การพัฒนาระบบ: เมื่อร้านเริ่มเติบโตขึ้น เจ้าของเริ่มนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดการ และพบว่าการขายปลีกมีผลกำไรมากกว่าการขายส่ง ทำให้มุ่งพัฒนาหน้าร้านและขยายสาขา โดยเน้นการจัดการบัญชีและการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริต
- การขยายสาขา: ร้านธนพิริยะเริ่มขยายสาขาตั้งแต่ปี 2550 หลังจากใช้เวลานานในการเรียนรู้ระบบการจัดการร้าน โดยจนถึงปี 2561 ร้านมีทั้งหมด 24 สาขา และในปี 2562 มีเป้าหมายเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา
- ผลประกอบการ: ในปี 2561 ธนพิริยะมีรายได้ 1,779.75 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 65.14 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีละ 10-15%
การเติบโตของธนพิริยะเกิดจากการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพการบริการและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51180 | Retail | กลยุทธ์ทาง Retail ของ Luckin Coffee มีอะไรน่าสนใจบ้าง อะไรคือสิ่งที่ธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ในประเทศไทยสามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ได้บ้าง | null | กลยุทธ์ทาง Retail ของ Luckin Coffee ที่น่าสนใจ มีดังนี้:
การผสมผสานระหว่าง Online และ Offline: Luckin Coffee ให้ความสำคัญกับทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟผ่านแอปพลิเคชัน และรับกาแฟได้ที่หน้าร้าน หรือ เลือกให้บริการส่งถึงที่
เน้นความสะดวกรวดเร็ว: ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน และสามารถรับกาแฟได้ภายใน 30 นาที
กลยุทธ์การตั้งราคา: Luckin Coffee นำเสนอราคาที่ competitive
โปรโมชั่นและส่วนลด: Luckin Coffee มักมีโปรโมชั่นและส่วนลด ดึงดูดลูกค้า
การใช้ Big Data: Luckin Coffee เก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ
การสร้าง Brand Experience: Luckin Coffee เน้นการออกแบบร้านกาแฟให้ดูทันสมัย ดึงดูดลูกค้า
สิ่งที่ธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ในประเทศไทยสามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ได้ มีดังนี้:
การผสมผสานระหว่าง Online และ Offline: ธุรกิจค้าปลีกควรมีช่องทางขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม
เน้นความสะดวกรวดเร็ว: ธุรกิจค้าปลีกควรนำเสนอบริการที่สะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
กลยุทธ์การตั้งราคา: ธุรกิจค้าปลีกควรตั้งราคาสินค้าที่ competitive
โปรโมชั่นและส่วนลด: ธุรกิจค้าปลีกควรมีโปรโมชั่นและส่วนลด ดึงดูดลูกค้า
การใช้ Big Data: ธุรกิจค้าปลีกควรเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ
การสร้าง Brand Experience: ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ของ Luckin Coffee กับธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ในประเทศไทย:
ร้านอาหาร: ร้านอาหารสามารถให้ลูกค้าสั่งอาหารล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน และสามารถรับอาหารได้ที่หน้าร้าน หรือ เลือกให้บริการส่งถึงที่
ร้านสะดวกซื้อ: ร้านสะดวกซื้อสามารถให้ลูกค้าสั่งสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน และสามารถรับสินค้าได้ที่หน้าร้าน หรือ เลือกให้บริการส่งถึงที่
ห้างสรรพสินค้า: ห้างสรรพสินค้าสามารถนำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดผ่านแอปพลิเคชัน
การนำกลยุทธ์ของ Luckin Coffee ไปประยุกต์ใช้ จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยสามารถเพิ่มยอดขาย ดึงดูดลูกค้า และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51184 | Retail | 5 เทรนด์สำคัญที่วงการค้าปลีกต้องตระหนักในอนาคตคืออะไร? | null | จากบทความ "Tesco Lotus เปิดตัว Hackathon ครั้งแรก หวังดึง Startup สร้างนวัตกรรมให้วงการค้าปลีก" คุณสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส ได้ระบุถึง 5 เทรนด์สำคัญที่วงการค้าปลีกต้องตระหนักในอนาคต ดังนี้
1. การค้าปลีกแบบไร้พรมแดน (Borderless Retail):
ลูกค้าจะสามารถซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ที่เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ
2. การชำระเงินแบบดิจิทัล (Digital Payment):
เงินสดจะถูกแทนที่ด้วยระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลมากขึ้น
3. ข้อมูลเชิงลึก (Data Insights):
ธุรกิจค้าปลีกจะต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
4. หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics and Automation):
เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในธุรกิจค้าปลีก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
5. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience):
ธุรกิจค้าปลีกจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำ
อธิบายเพิ่มเติม:
1. การค้าปลีกแบบไร้พรมแดน:
ในอดีต ลูกค้ามักจะซื้อสินค้าจากร้านค้าแบบออฟไลน์ แต่ในปัจจุบัน ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้หลากหลายช่องทางมากขึ้น เช่น ผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่ผ่านระบบสั่งซื้อด้วยเสียง
2. การชำระเงินแบบดิจิทัล:
ในอดีต ลูกค้ามักจะชำระค่าสินค้าด้วยเงินสด แต่ในปัจจุบัน ลูกค้ามีตัวเลือกในการชำระเงินแบบดิจิทัลมากขึ้น เช่น การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code
3. ข้อมูลเชิงลึก:
ธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จ จะต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
4. หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ:
เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในธุรกิจค้าปลีก เช่น การใช้หุ่นยนต์หยิบสินค้า การใช้ระบบอัตโนมัติในการชำระเงิน
5. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า:
ธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จ จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ตัวอย่าง:
-เทสโก้ โลตัส พัฒนาแอปพลิเคชัน Tesco Lotus เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ ตรวจสอบโปรโมชั่น และชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน
-เทสโก้ โลตัส นำระบบการชำระเงินแบบ QR Code มาใช้ในร้านค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
-เทสโก้ โลตัส วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
-เทสโก้ โลตัส นำระบบหุ่นยนต์หยิบสินค้ามาใช้ในคลังสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า
-เทสโก้ โลตัส พัฒนาพื้นที่ในร้านค้าให้เป็นมากกว่าสถานที่ซื้อของ แต่เป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถมาพักผ่อนหย่อนใจและทำกิจกรรมต่างๆ
สรุป:
5 เทรนด์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ธุรกิจค้าปลีกต้องตระหนักและเตรียมตัวรับมือ เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัล | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51192 | Retail | สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเปิดร้านกาแฟมีอะไรบ้าง | null | 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อน เปิดร้านกาแฟ เพื่อให้ได้ยอดขายสุดปังตั้งแต่เปิดร้าน!
1. ทำความรู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการ เพราะคำว่าอร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำคือตีกรอบกลุ่มเป้าหมายหลักคร่าว ๆ ก่อนว่าเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร มีรายได้เท่าไหร่ มีความชอบหรือไลฟ์สไตล์แบบไหนบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าคุณควรจะนำเมล็ดกาแฟแบบไหนมาใช้ เมนูที่ควรมีในร้านคืออะไรบ้าง และราคาขายควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ รวมถึงถึงทำเลสถานที่ก็มีผลด้วยเช่นกัน
2. คุมต้นทุน เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพราะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจนั้นเป็นช่วงที่คุณจะต้องใช้เงินลงทุนเยอะที่สุด ดังนั้นอะไรที่ประหยัดหรือลดต้นทุนลงได้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างมาก อย่างเช่นการวิเคราะห์สินค้าที่ขายดี/ขายไม่ดี เพื่อปรับลดสต๊อกให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ลดการทิ้งของเสียที่ขายไม่หมด รวมถึงการจำกัดจำนวนพนักงานในร้าน จากที่เคยต้องจ้างรายวันรายเดือนเพื่อมารับออเดอร์ สรุปยอดขาย หรือเช็คสต๊อก ก็อาจจะเปลี่ยนมาใช้ระบบที่ช่วยทุ่นแรงและประหยัดกว่าอย่าง สโตร์ฮับ POS ที่มีฟีเจอร์เสริมอย่าง Beep QR ที่จะเปลี่ยนร้านธรรมดาให้ไฮเท็คมากยิ่งขึ้นด้วยการรับออเดอร์และชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดที่โต๊ะหรือเคาท์เตอร์ จากนั้นออเดอร์จะเข้าสู่ระบบ Data Base ของร้านและส่งเข้าครัวอัตโนมัติ ทำให้ลดการผิดพลาดและตกหล่นของออเดอร์ไปได้และยังประหยัดได้อีกเยอะเพราะสโตร์ฮับ POS มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเริ่มต้นแค่เพียง 1,250 บาทเท่านั้น
3. วางแผนสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบครบวงจร สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำเพื่อต่ออายุให้กับร้านของคุณอย่างไม่มีวันจบนั่นก็คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าที่เคยมาใช้บริการที่ร้าน เพื่อให้เขากลับมาใช้บริการซ้ำจนเป็นลูกค้าประจำและเกิดการบอกต่อไปยังคนอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้เราสามารถควบคุมได้ด้วยการทำ CRM หรือ Customer Relationship Management ซึ่งจะเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ-นามสกุล อายุ เพศ วัน เดือน ปีเกิด เพื่อนำไปทำการตลาดเชิงรุกผ่านพฤติการการซื้อของลูกค้าในระบบ
4. การตลาดที่ดีที่สุดคือการให้เครดิตเงินคืน รู้หรือไม่ว่า Cashback หรือว่าเครดิตเงินคืนนั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าชอบมากที่สุดในบรรดาการให้รางวัลทางการตลาดทั้งหมด เพราะเสมือนว่าลูกค้าได้เงินคืนกลับมาจริง ๆ และยังเป็นส่วนลดได้ในครั้งถัดไป แถมทางร้านยังมีโอกาสได้ลูกค้าประจำได้ง่ายยิ่งขึ้นเพราะลูกค้าจะเสียดายเครดิตเงินคืนในระบบของทางร้านและตัดสินใจซื้อซ้ำที่ร้านได้ง่ายกว่าเดิม
5. มากกว่ารสชาติแต่คือประสบการณ์ ทั้งหมดทั้งมวลข้างบนนั้นจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าคุณยังไม่สามารถบอกได้ว่าจุดเด่นของร้านคุณคืออะไร อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะนำเสนอกับลูกค้าที่สุด ซึ่งอาจจะสื่อออกมาได้ทั้งในเรื่องของรสชาติ หน้าตา การตกแต่งร้าน รวมไปถึงการบริการ ซึ่งเราเรียกรวม ๆ ว่าการขาย Experience | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51195 | Retail | จงสรุปบทความ Salondio เผยเคล็บลับบริหารร้านให้ปังถึง 3 สาขาด้วยระบบ สโตร์ฮับ POS | เรื่องทำสีผมไว้ใจ Salondio ได้เลย! เพราะที่นี่มีทีมงานคุณภาพพร้อมให้บริการทั้งตัด ดัด ทำสี และทรีตเมนต์ ครบจบในร้านเดียว การันตีความปังความเนี๊ยบด้วย พี่แอน อรไพลินเจ้าของร้านคนสวยที่สามารถเนรตมิตสีผมให้คุณได้แบบตรงปกสุด ๆ และแน่นอนว่าลูกค้าเยอะแค่ไหน พี่แอนก็จัดการร้านได้อยู่หมัดด้วยระบบ สโตร์ฮับ POS ช่วยบริหารทั้งงานหน้าบ้านและหลังบ้าน จัดการสต๊อกเป๊ะ ไม่มีขาดตกบกพร่อง จุดเริ่มต้นของ Salondio x StoreHub จุดเริ่มต้นของ Salondio x StoreHub ร้าน Salondio เกิดมาจากร้านเล็ก ๆ แล้วก็ค่อย ๆ โตมาเรื่อย ๆ ภาพจำของ Salondio ที่คนอื่นมองมาก็คือเรื่องของการทำสีค่ะ เราสามารถทำสีได้เกือบทุกรูปแบบเลย แล้วแอนก็เป็นหนึ่งในอยู่ในทีม Empower ของทาง Schwarzkopf ด้วยค่ะทำให้ร้านเราค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านนี้ และพอเรามีธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น มีการชยายสาขาเพิ่ม มีทีมงานที่มากขึ้น ระบบ POS ก็มีส่วนสำคัญที่จะเข้ามาจัดระบบต่าง ๆ ภายในร้าน เช่น ตัวช่าง หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบและทั่งสินค้าภายในร้านค้า ถือว่ามีความจำเป็นมาก ๆ ค่ะ ร้าน Salondio เกิดมาจากร้านเล็ก ๆ แล้วก็ค่อย ๆ โตมาเรื่อย ๆ ภาพจำของ Salondio ที่คนอื่นมองมาก็คือเรื่องของการทำสีค่ะ เราสามารถทำสีได้เกือบทุกรูปแบบเลย แล้วแอนก็เป็นหนึ่งในอยู่ในทีม Empower ของทาง Schwarzkopf ด้วยค่ะทำให้ร้านเราค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านนี้ และพอเรามีธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น มีการชยายสาขาเพิ่ม มีทีมงานที่มากขึ้น ระบบ POS ก็มีส่วนสำคัญที่จะเข้ามาจัดระบบต่าง ๆ ภายในร้าน เช่น ตัวช่าง หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบและทั่งสินค้าภายในร้านค้า ถือว่ามีความจำเป็นมาก ๆ ค่ะ ระบบ POS มีส่วนช่วยอะไรในร้าน Salondio ระบบ POS มีส่วนช่วยอะไรในร้าน Salondio ตอนนี้ระบบสโตร์ฮับ POS ที่นำมาใช้ภายในร้าน Salondio ก็คือการแยกประเภทและรายการต่าง ๆ ที่ทางร้านให้บริการลูกค้า คือจัดเป็นประเภทให้ชัดเจนและดูง่าย เช่น ตัด สระ ซอย หรือทำสีเพื่อคิดค่าบริหารลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และอีกอย่างนึงคือฟีเจอร์การรายงายยอดขายในแต่ละวัน และที่ส่วนตัวแอนชอบมาก ๆ คือการจัดการเรื่องสต๊อกสินค้าค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วในร้าน Salondio มีสต๊อกค่อนข้างเยอะเพราะเราเป็นร้านที่เด่นเรื่องการทำสี สีเรามีหลายเบอร์และหลายประเภทมาก ตรงนี้มีส่วนช่วยในเรื่องสต๊อกได้มากค่ะว่าสต๊อกแต่ละตัวเราเหลือเท่าไหร่ ต้องสั่งใหม่ตอนไหน จำนวนแค่ไหน ช่วยบริหารได้หมดเลยค่ะในส่วนนี้ ตอนนี้ระบบสโตร์ฮับ POS ที่นำมาใช้ภายในร้าน Salondio ก็คือการแยกประเภทและรายการต่าง ๆ ที่ทางร้านให้บริการลูกค้า คือจัดเป็นประเภทให้ชัดเจนและดูง่าย เช่น ตัด สระ ซอย หรือทำสีเพื่อคิดค่าบริหารลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และอีกอย่างนึงคือฟีเจอร์การรายงายยอดขายในแต่ละวัน และที่ส่วนตัวแอนชอบมาก ๆ คือการจัดการเรื่องสต๊อกสินค้าค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วในร้าน Salondio มีสต๊อกค่อนข้างเยอะเพราะเราเป็นร้านที่เด่นเรื่องการทำสี สีเรามีหลายเบอร์และหลายประเภทมาก ตรงนี้มีส่วนช่วยในเรื่องสต๊อกได้มากค่ะว่าสต๊อกแต่ละตัวเราเหลือเท่าไหร่ ต้องสั่งใหม่ตอนไหน จำนวนแค่ไหน ช่วยบริหารได้หมดเลยค่ะในส่วนนี้ | จุดเริ่มต้นของ Salondio x StoreHub
ร้าน Salondio เกิดมาจากร้านเล็ก ๆ แล้วก็ค่อย ๆ โตมาเรื่อย ๆ ภาพจำของ Salondio ที่คนอื่นมองมาก็คือเรื่องของการทำสีค่ะ เราสามารถทำสีได้เกือบทุกรูปแบบเลย แล้วแอนก็เป็นหนึ่งในอยู่ในทีม Empower ของทาง Schwarzkopf ด้วยค่ะทำให้ร้านเราค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านนี้ และพอเรามีธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น มีการชยายสาขาเพิ่ม มีทีมงานที่มากขึ้น ระบบ POS ก็มีส่วนสำคัญที่จะเข้ามาจัดระบบต่าง ๆ ภายในร้าน เช่น ตัวช่าง หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบและทั่งสินค้าภายในร้านค้า ถือว่ามีความจำเป็นมาก ๆ
ระบบ POS มีส่วนช่วยอะไรในร้าน Salondio
ตอนนี้ระบบสโตร์ฮับ POS ที่นำมาใช้ภายในร้าน Salondio ก็คือการแยกประเภทและรายการต่าง ๆ ที่ทางร้านให้บริการลูกค้า คือจัดเป็นประเภทให้ชัดเจนและดูง่าย เช่น ตัด สระ ซอย หรือทำสีเพื่อคิดค่าบริหารลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ฟีเจอร์การรายงายยอดขายในแต่ละวัน และการจัดการเรื่องสต๊อกสินค้าค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วในร้าน Salondio มีสต๊อกค่อนข้างเยอะเพราะเป็นร้านที่เด่นเรื่องการทำสี สีเรามีหลายเบอร์และหลายประเภทมาก ตรงนี้มีส่วนช่วยในเรื่องสต๊อกได้มากว่าสต๊อกแต่ละตัวเราเหลือเท่าไหร่ ต้องสั่งใหม่ตอนไหน จำนวนแค่ไหน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51200 | Retail | "5 วิธีโปรโมทร้านอย่างมืออาชีพ" อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดในการโปรโมทร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่มีงบจำกัด? | A. การอัปโหลดวิดีโอสอนการใช้งานสินค้าหรือเบื้องหลัง
B. การจัดการแข่งขันออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย
C. การสร้างเนื้อหาลงบนโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ
D. การจัดโปรโมชั่นและมอบส่วนลดเป็นประจำ | ข้อที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า
การจัดโปรโมชั่นและมอบส่วนลดเป็นประจำ
เหตุผล:
ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่และกระตุ้นให้ลูกค้าปัจจุบันซื้อสินค้ามากขึ้น
สามารถทำได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก
สามารถปรับแต่งโปรโมชั่นให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายและสินค้า
ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อผ้าสามารถจัดโปรโมชั่นลดราคา 15% สำหรับวันวาเลนไทน์
ข้อเสีย: โปรโมชั่นอาจส่งผลต่อกำไรของร้านค้า
การอัปโหลดวิดีโอสอนการใช้งานสินค้าหรือเบื้องหลัง
เหตุผล:
ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าและเข้าใจการใช้งานสินค้ามากขึ้น
สร้าง engagement กับลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย
ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์
ตัวอย่าง: ร้านขายเครื่องสำอางสามารถทำวิดีโอสอนแต่งหน้าด้วยสินค้าของร้าน
ข้อเสีย: การผลิตวิดีโออาจต้องใช้เวลาและเงินทุน
การสร้างเนื้อหาลงบนโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผล:
ช่วยให้ร้านค้าติดต่อกับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่
ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์
drive traffic ไปยังเว็บไซต์หรือหน้าร้าน
ตัวอย่าง: ร้านขายของชำสามารถโพสต์รูปภาพสินค้าใหม่บน Facebook
ข้อเสีย: การสร้างเนื้อหาอาจต้องใช้เวลาและความพยายาม
การจัดการแข่งขันออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย
เหตุผล:
ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่และสร้าง engagement กับลูกค้าปัจจุบัน
drive traffic ไปยังเว็บไซต์หรือหน้าร้าน
สร้างการรับรู้แบรนด์
ตัวอย่าง: ร้านขายรองเท้าสามารถจัดการแข่งขันเพื่อชิงรางวัลรองเท้าฟรี
ข้อเสีย: รางวัลอาจมีราคาแพง
เฉลย: การสร้างเนื้อหาลงบนโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผล:จากข้อมูลการสร้างเนื้อหาลงบนโซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุดสำหรับร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่มีงบจำกัด
สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก
ช่วยให้ร้านค้าติดต่อกับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่
drive traffic ไปยังเว็บไซต์หรือหน้าร้าน
สร้างการรับรู้แบรนด์
ตัวอย่าง:
ร้านขายของชำสามารถโพสต์รูปภาพสินค้าใหม่บน Facebook
ร้านขายเสื้อผ้าสามารถแชร์เคล็ดลับแฟชั่นบน Instagram
ร้านอาหารสามารถโพสต์วิดีโอสูตรอาหารบน YouTube
ข้อดี:
เข้าถึงลูกค้าได้กว้าง
สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
สร้างการรับรู้แบรนด์
ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
ข้อเสีย:
ต้องใช้เวลาและความพยายามในการสร้างเนื้อหา
การแข่งขันบนโซเชียลมีเดียสูง
วัดผลลัพธ์ได้ยาก
ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกขนาดเล็กควรใช้วิธีการโปรโมทร้านแบบผสมผสานกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51204 | Retail | ในสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ร้านค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกต่ำ? | null | กลยุทธ์ที่ร้านค้าปลีกสามารถนำไปใช้เพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกต่ำในสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ดังนี้
1. หันมาขายสินค้าออนไลน์:
-เปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์ของตัวเอง
-ฝากขายสินค้าบน Marketplace หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
-ใช้ระบบจัดการสินค้าคงคลังแบบออนไลน์ เชื่อมต่อสต๊อกสินค้าระหว่างหน้าร้านและออนไลน์
2. กระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์:
-โปรโมทสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย
-ทำไลฟ์สดขายสินค้า
-เสนอส่วนลดและโปรโมชั่น
-เพิ่มบริการจัดส่งสินค้าฟรีหรือราคาพิเศษ
3. รักษาฐานลูกค้าเก่า:
-ทำระบบสมาชิกสะสมแต้ม
-เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อติดต่อสื่อสาร
-แจ้งข่าวสาร โปรโมชั่น และกิจกรรมต่าง ๆ ของร้าน
4. ปรับรูปแบบการให้บริการ:
-ให้บริการสั่งสินค้าล่วงหน้าและรับสินค้าหน้าร้าน
-ให้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน
-เพิ่มช่องทางการชำระเงินแบบออนไลน์
5. ปรับกลยุทธ์ทางการเงิน:
-ควบคุมค่าใช้จ่าย
-หาแหล่งเงินทุนสำรอง
-เจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้
6. พัฒนาศักยภาพของพนักงาน:
-ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับการขายออนไลน์
-พัฒนาทักษะการบริการลูกค้า
7. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด:
-อัพเดทข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโควิด-19
-ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตัวอย่างร้านค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในการปรับกลยุทธ์รับมือกับโควิด-19:
-ร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงชาวมุสลิม SMAYA หันมาขายสินค้าผ่านไลฟ์สดเฟสบุ๊ค และออกคอลเลคชั่นถี่ขึ้นในช่วงนี้
-ร้านอาหารหลายแห่งหันมาให้บริการสั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชัน
บทสรุป:
ร้านค้าปลีกที่สามารถปรับตัวและนำกลยุทธ์ที่เหมาะสมมาใช้ จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้ และยังสามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
เพิ่มเติม:
-ร้านค้าปลีกควรติดตามเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ
-ร้านค้าปลีกควรให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
-ร้านค้าปลีกควรพัฒนาธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51212 | Retail | โปรดสรุปบทความ 5 เทคนิคกลับมาเปิดร้านใหม่ สำหรับธุรกิจ SME ที่โดนพิษโควิด-19 | 5 เทคนิค กลับมาเปิดร้านใหม่ สำหรับธุรกิจ SME ที่โดนพิษโควิด-19 ต้องยอมรับว่าโควิด-19 เล่นงานผู้ประกอบการ SME ไปหลายรายด้วยกัน ซึ่งร้านค้าปลีกและร้านอาหารขนาดกลางและย่อมบางรายจนถึงขั้นสู้ไม่ไหวและต้องปิดร้านไปในที่สุด แต่ตราบใดที่ยังไม่ยอมแพ้และมีใจรักในธุรกิจที่ทำ ก็ยังมีความหวังเกิดขึ้นมาเสมอ ดังนั้นสำหรับเจ้าของธุรกิจคนไหนที่ปิดตัวไปตั้งหลัก แล้วอยากกลับมาเปิดร้านสู้ใหม่อีกครั้งในช่วงนี้ นี่คือ 5 เทคนิคที่จะทำให้ธุรกิจ SME ของคุณกลับมาสวยงามอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าโควิด-19 เล่นงานผู้ประกอบการ SME ไปหลายรายด้วยกัน ซึ่งร้านค้าปลีกและร้านอาหารขนาดกลางและย่อมบางรายจนถึงขั้นสู้ไม่ไหวและต้องปิดร้านไปในที่สุด แต่ตราบใดที่ยังไม่ยอมแพ้และมีใจรักในธุรกิจที่ทำ ก็ยังมีความหวังเกิดขึ้นมาเสมอ ดังนั้นสำหรับเจ้าของธุรกิจคนไหนที่ปิดตัวไปตั้งหลัก แล้วอยากกลับมาเปิดร้านสู้ใหม่อีกครั้งในช่วงนี้ นี่คือ 5 เทคนิคที่จะทำให้ธุรกิจ SME ของคุณกลับมาสวยงามอีกครั้ง 1. ลดค่าใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด หากคุณอยากกลับมาเปิดร้านค้าและร้านอาหารในช่วงนี้ ก็ต้องเข้าสู้โหมดประหยัด จึงจะพาร้านรอดและขยับขยายร้านได้อีกครั้งหลังโควิด-19 ซึ่งในขณะที่ธุรกิจ SME หลายรายเผชิญภาวะวิกฤตทางด้านการเงิน ทางเลือกเดียวที่มีก็คือ การลดค่าใช้จ่ายภายในร้าน หากคุณอยากกลับมาเปิดร้านค้าและร้านอาหารในช่วงนี้ ก็ต้องเข้าสู้โหมดประหยัด จึงจะพาร้านรอดและขยับขยายร้านได้อีกครั้งหลังโควิด-19 ซึ่งในขณะที่ธุรกิจ SME หลายรายเผชิญภาวะวิกฤตทางด้านการเงิน ทางเลือกเดียวที่มีก็คือ อย่างไรก็ตาม การตัดค่าใช้จ่ายภายในร้าน ถือว่าส่งผลเสียต่อร้านเช่นกัน เพราะทุก ๆ บาทที่ตัดออก ก็อาจจะทำให้รายได้ของร้านค่อย ๆ หายไปเลยก็ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำการตลาดออนไลน์ที่ต้องยิงแอดโฆษณาเพื่อเข้าถึงลูกค้า การทำใบปลิวโปรโมทร้านสำหรับลูกค้าที่ผ่านไป-มา การสั่งซื้อสต๊อกสินค้า ทั้งยังมีเรื่องบริหารจัดการร้านอื่น ๆ อีก เพราะฉะนั้นในฐานะผู้ประกอบการคุณจึงต้องคำนวณทุกอย่างให้ดีจึงจะลดค่าใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การตัดค่าใช้จ่ายภายในร้าน ถือว่าส่งผลเสียต่อร้านเช่นกัน เพราะทุก ๆ บาทที่ตัดออก ก็อาจจะทำให้รายได้ของร้านค่อย ๆ หายไปเลยก็ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการทำการตลาดออนไลน์ที่ต้องยิงแอดโฆษณาเพื่อเข้าถึงลูกค้า การทำใบปลิวโปรโมทร้านสำหรับลูกค้าที่ผ่านไป-มา การสั่งซื้อสต๊อกสินค้า ทั้งยังมีเรื่องบริหารจัดการร้านอื่น ๆ อีก เพราะฉะนั้นในฐานะผู้ประกอบการคุณจึงต้องคำนวณทุกอย่างให้ดีจึงจะลดค่าใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับ: ใช้ระบบ POS ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในร้านโดยอัตโนมัติและบันทึกทุกข้อมูลสำคัญในร้าน จะช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายในร้านง่ายยิ่งขึ้น หากเป็นร้านค้าปลีก คุณก็จะไม่ต้องใช้เงินไปกับการสต๊อกของเกินจำเป็น หรือถ้าหากเป็นร้านอาหารและร้านเครื่องดื่ม คุณก็จะได้ไม่ต้องสต๊อกวัตถุดิบมากเกินไปจนเกิดการเน่าเสีย ทั้งยังช่วยลดภาระในการจัดการร้านด้านอื่น ๆ ด้วย ใช้ระบบ POS ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในร้านโดยอัตโนมัติและบันทึกทุกข้อมูลสำคัญในร้าน จะช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายในร้านง่ายยิ่งขึ้น หากเป็นร้านค้าปลีก คุณก็จะไม่ต้องใช้เงินไปกับการสต๊อกของเกินจำเป็น หรือถ้าหากเป็นร้านอาหารและร้านเครื่องดื่ม คุณก็จะได้ไม่ต้องสต๊อกวัตถุดิบมากเกินไปจนเกิดการเน่าเสีย ทั้งยังช่วยลดภาระในการจัดการร้านด้านอื่น ๆ ด้วย ระบบ POS จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ประกอบการยุคใหม่จึงหันมาใช้เครื่อง POS แทนเครื่องคิดเงินแบบเดิม ๆ มากขึ้นในปัจจุบัน ระบบ POS จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ประกอบการยุคใหม่จึงหันมาใช้เครื่อง POS แทนเครื่องคิดเงินแบบเดิม ๆ มากขึ้นในปัจจุบัน 2. ให้พนักงานกลับมาทำงานอีกครั้ง ปัจจุบันมีโครงการลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาทสำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการ และต้องตรงกับเงื่อนไขคือ เป็นแรงงาน ลูกจ้าง และลูกจ้างชั่วคราว ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมและได้รับผลกระทบต่อโควิด ซึ่งแม้โครงการนี้ดูเปิดกว้างให้ทุกคนลงทะเบียนได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ดังนั้นการที่คุณเปิดโอกาสให้พนักงานของคุณจึงเป็นเรื่องดีและน่าดีใจสำหรับพนักงาน ปัจจุบันมี โครงการลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท สำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการ และต้องตรงกับเงื่อนไขคือ เป็นแรงงาน ลูกจ้าง และลูกจ้างชั่วคราว ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมและได้รับผลกระทบต่อโควิด ซึ่งแม้โครงการนี้ดูเปิดกว้างให้ทุกคนลงทะเบียนได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ดังนั้นการที่คุณเปิดโอกาสให้พนักงานของคุณจึงเป็นเรื่องดีและน่าดีใจสำหรับพนักงาน แน่นอนว่าแม้พนักงานเต็มใจที่จะกลับมาทำงานให้คุณอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงกลัวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และเราก็ไม่มีวันรู้ว่าไวรัสนี้จะหายไปจริง ๆ เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมาตรการที่ดีที่สุดในการกลับมาเปิดร้านค้าปลีกและร้านอาหารของคุณอีกครั้งก็คือ การใส่ใจเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน แน่นอนว่าแม้พนักงานเต็มใจที่จะกลับมาทำงานให้คุณอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงกลัวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และเราก็ไม่มีวันรู้ว่าไวรัสนี้จะหายไปจริง ๆ เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมาตรการที่ดีที่สุดในการกลับมาเปิดร้านค้าปลีกและร้านอาหารของคุณอีกครั้งก็คือ เคล็ดลับ: มีมาตรการเรื่องสุขภาพให้กับพนักงาน คือ มีมาตรการเรื่องสุขภาพให้กับพนักงาน คือ มีสบู่และเจลล้างมือตามจุดต่าง ๆ ของร้าน เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันโควิด-19 ให้กับพนักงาน ทั้งหน้ากากอนามัย ถุงมือ และเจลล้างมือ วัดไข้ก่อนเข้างานทุกครั้ง หากพนักงานไม่สบาย ให้พักอยู่บ้านหรือพบแพทย์ทันที ทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโควิด-19 หากมีลูกค้าแวะมาซื้อของที่ร้าน ก็ควรสนับสนุนให้ลูกค้าจ่ายเงินด้วยบัตรแทนเงินสด เพื่อลดการสัมผัสระหว่างพนักงานและลูกค้า 3. ทบทวนโมเดลธุรกิจของคุณอีกครั้ง ภาพจาก Unsplash การเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจอาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ประกอบการอยากทำเมื่อกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้ในระยะยาวก็ได้ ดังนั้นคุณอาจจะต้องถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจอาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ประกอบการอยากทำเมื่อกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณไปต่อได้ในระยะยาวก็ได้ ดังนั้นคุณอาจจะต้องถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองอีกครั้ง โมเดลธุรกิจของคุณควรจะเป็นไปในทางไหนเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ? โมเดลธุรกิจของคุณตอนนี้ยังใช้ได้หรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปข้างหน้าหรือเปล่า ? มีวิธีอื่น ๆ ที่จะเพิ่มยอดขายหรือรายได้ของร้านคุณให้ดีกว่านี้หรือเปล่า ? เคล็ดลับ: หากต้องการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจหรือเพิ่มช่องทางรายได้ของร้าน คุณก็ต้องพิจารณา 3 ข้อหลัก ๆ ได้แก่ หากต้องการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจหรือเพิ่มช่องทางรายได้ของร้าน คุณก็ต้องพิจารณา 3 ข้อหลัก ๆ ได้แก่ สินค้า อาหาร หรือเครื่องดื่มที่คุณขาย กลุ่มลูกค้า วิธีการส่งสินค้า/เดลิเวอรี่อาหารและเครื่องดื่ม โบนัส: ตั้งแต่มีวิกฤตโควิด-19 เข้ามาก็ทำให้ร้านค้าปลีกกับร้านอาหารเห็นแล้วว่า โลกออนไลน์สำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นหากคุณจะกลับมาเปิดร้านก็ต้องมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ เว็บสั่งอาหารออนไลน์ (เป็นของตัวเอง) และมีบริการเดลิเวอรี่ ส่งอาหารและเครื่องดื่มถึงหน้าบ้านลูกค้า ตั้งแต่มีวิกฤตโควิด-19 เข้ามาก็ทำให้ร้านค้าปลีกกับร้านอาหารเห็นแล้วว่า โลกออนไลน์สำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นหากคุณจะกลับมาเปิดร้านก็ต้องมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ เว็บสั่งอาหารออนไลน์ (เป็นของตัวเอง) และมีบริการเดลิเวอรี่ ส่งอาหารและเครื่องดื่มถึงหน้าบ้านลูกค้า ขอบอกเลยว่า ห้ามทิ้งการขายสินค้าและโปรโมทเดลิเวอรี่ของคุณเด็ดขาด หรือใครจะเริ่มจากแจกใบปลิวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ผ่านไปมาก็ได้ ที่สำคัญ อย่ามองข้ามฐานลูกค้าที่คุณเคยมีเป็นอันขาด ขอบอกเลยว่า ห้ามทิ้งการขายสินค้าและโปรโมทเดลิเวอรี่ของคุณเด็ดขาด หรือใครจะเริ่มจากแจกใบปลิวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ผ่านไปมาก็ได้ ที่สำคัญ อย่ามองข้ามฐานลูกค้าที่คุณเคยมีเป็นอันขาด 4. มองหาซัพพลายเออร์หรือคู่ค้าใหม่ ๆ ในกรณีที่ร้านของคุณกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง แต่ซัพพลายเออร์หรือคู่ค้าของคุณปิดถาวรหรือว่าไม่มีแผนกลับมาเร็ว ๆ นี้ คุณก็จำเป็นต้องมองหาผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้ใหม่ ๆ ซึ่งนอกจากความน่าเชื่อถือแล้ว ก็มีข้อควรพิจารณาหลายข้อด้วยกัน ในกรณีที่ร้านของคุณกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง แต่ซัพพลายเออร์หรือคู่ค้าของคุณปิดถาวรหรือว่าไม่มีแผนกลับมาเร็ว ๆ นี้ คุณก็จำเป็นต้องมองหาผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้ใหม่ ๆ ซึ่งนอกจากความน่าเชื่อถือแล้ว ก็มีข้อควรพิจารณาหลายข้อด้วยกัน เคล็ดลับ: ข้อควรมองหาในการเลือกซัพพลายเออร์หรือคู่ค้ามีดังนี้ :- ข้อควรมองหาในการเลือกซัพพลายเออร์หรือคู่ค้ามีดังนี้ :- ผลิตสินค้าดีมีคุณภาพ ขอดูตัวอย่างสินค้าได้ โปร่งใสในเรื่องของข้อตกลง มีระบบการันตีสินค้าและการคืนสินค้าที่ชัดเจน ติดต่อได้สะดวก 5. เปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อรับข่าวสาร ภาพจาก Freepik ต้องบอกว่าโชคดีมากที่ในยามวิกฤตนี้มีหลายคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้ไทยของเราก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ ซึ่งก็มีทั้งโครงการของรัฐบาลและเอกชน โดยนอกจากโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยแล้ว ธนาคารต่าง ๆ ก็ผุดโครงการดี ๆ ขึ้นมามากมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจ และมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ของธนาคารต่าง ๆ ก็จะคล้ายกันตรงที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นโครงการพักชำระหนี้และเงินต้น ลดดอกเบี้ย และขยายเวลาชำระหนี้ เป็นต้น ดังนั้นในฐานะผู้ประกอบการที่ต้องการกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง คุณอาจจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนอีกสักก้อน หรือต้องการความช่วยเหลือจากโครงการดี ๆ เหล่านี้ คุณจึงจำเป็นต้องเปิดหูตาให้กว้างและเปิดรับข่าวสารอยู่เสมอ ต้องบอกว่าโชคดีมากที่ในยามวิกฤตนี้มีหลายคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้ไทยของเราก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ ซึ่งก็มีทั้งโครงการของรัฐบาลและเอกชน โดยนอกจากโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยแล้ว ธนาคารต่าง ๆ ก็ผุดโครงการดี ๆ ขึ้นมามากมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปและเจ้าของธุรกิจ และ มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ของธนาคารต่าง ๆ ก็จะคล้ายกันตรงที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นโครงการพักชำระหนี้และเงินต้น ลดดอกเบี้ย และขยายเวลาชำระหนี้ เป็นต้น ดังนั้นในฐานะผู้ประกอบการที่ต้องการกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง คุณอาจจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนอีกสักก้อน หรือต้องการความช่วยเหลือจากโครงการดี ๆ เหล่านี้ คุณจึงจำเป็นต้องเปิดหูตาให้กว้างและเปิดรับข่าวสารอยู่เสมอ เคล็ดลับ: ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ ทั้งจาก Google, ทีวี, วิทยุ และแหล่งข่าวต่าง ๆ ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น เข้าฟัง Webinar หรือไลฟ์ Facebook จากผู้มีประสบการณ์ เข้าร่วมกลุ่มเฟสบุ๊คที่เกี่ยวข้องเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเจ้าของธุรกิจคนอื่น ๆ ไม่แน่คุณอาจจะได้ไอเดียที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 เทคนิคที่จะทำให้ผู้ประกอบการ SME กลับมาเปิดร้านได้อย่างมั่นใจอีกครั้งหลังโดนโควิด-19 เล่นงาน ซึ่งก็ต้องบอกว่าสำคัญทุกข้อเลย หากใครมีไอเดียเพิ่มเติมสามารถแชร์กับเราได้เลยนะคะ สโตร์ฮับของเราขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกคนก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็วค่ะ และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 เทคนิคที่จะทำให้ผู้ประกอบการ SME กลับมาเปิดร้านได้อย่างมั่นใจอีกครั้งหลังโดนโควิด-19 เล่นงาน ซึ่งก็ต้องบอกว่าสำคัญทุกข้อเลย หากใครมีไอเดียเพิ่มเติมสามารถแชร์กับเราได้เลยนะคะ สโตร์ฮับของเราขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกคนก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็วค่ะ | เจ้าของธุรกิจที่ปิดตัวไปตั้งหลักในช่วง โควิด-19 ระบาด แล้วอยากกลับมาเปิดร้านสู้ใหม่อีกครั้ง นี่คือวิธีที่จะทำให้ธุรกิจ SME ของคุณกลับมาสวยงาม กับ 5 เทคนิคกลับมาเปิดร้านใหม่ สำหรับธุรกิจ SME ที่โดนพิษโควิด-19
1) ลดค่าใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด ใช้ระบบ POS ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในร้านโดยอัตโนมัติและบันทึกทุกข้อมูลสำคัญในร้าน เพื่อช่วยให้ควบคุมค่าใช้จ่ายในร้านง่ายขึ้น
2) ให้พนักงานกลับมาทำงานอีกครั้ง พร้อมกับสร้างมาตรการเรื่องสุขภาพให้กับพนักงาน มีสบู่และเจลล้างมือตามจุดต่างๆ ของร้าน เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันโควิด-19 ให้กับพนักงาน ทั้งหน้ากากอนามัย ถุงมือ และเจลล้างมือ วัดไข้ก่อนเข้างานทุกครั้ง หากพนักงานไม่สบาย ให้พักอยู่บ้านหรือพบแพทย์ทันที ทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนให้ลูกค้าจ่ายเงินด้วยบัตรหรือการสแกนจ่ายแทนเงินสด เพื่อลดการสัมผัสระหว่างพนักงานและลูกค้า
3) ทบทวนโมเดลธุรกิจของคุณอีกครั้ง ว่าเป็นไปในทางไหนเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ยังใช้ได้หรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปข้างหน้าหรือเปล่า โดยพิจารณา 3 ข้อหลักๆ ได้แก่ สินค้า อาหาร หรือเครื่องดื่มที่คุณขาย, กลุ่มลูกค้า รวมทั้งวิธีการส่งสินค้าหรืออาหารและเครื่องดื่ม โดยอย่ามองข้ามฐานลูกค้าที่คุณเคยมี
4) มองหาซัพพลายเออร์หรือคู่ค้าใหม่ๆ โดยจะต้องผลิตสินค้าดีมีคุณภาพ ขอดูตัวอย่างสินค้าได้ โปร่งใสในเรื่องของข้อตกลง มีระบบการันตีสินค้าและการคืนสินค้าที่ชัดเจน รวมทั้งติดต่อได้สะดวก
5) เปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อรับข่าวสาร ทั้งจาก Google, ทีวี, วิทยุ และแหล่งข่าวต่างๆ ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งเข้าฟัง Webinar หรือไลฟ์ Facebook จากผู้มีประสบการณ์ และเข้าร่วมกลุ่มเฟสบุ๊คที่เกี่ยวข้องเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเจ้าของธุรกิจคนอื่น ๆ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51215 | Retail | 7 เหตุผลที่ธุรกิจขนาดเล็กควรใช้ระบบขายหน้าร้าน POS คืออะไรจงอธิบาย | null | 7 เหตุผลหลักที่ธุรกิจขนาดเล็กควรใช้ระบบ POS มีดังนี้
1. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
ระบบ POS ช่วยให้การทำงานต่างๆ เป็นไปโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น
- บันทึกข้อมูลการขายสินค้าและบริการ
- คำนวณยอดขายและภาษี
- ออกใบเสร็จรับเงิน
- จัดการสินค้าคงคลัง
- วิเคราะห์ข้อมูลการขาย
2. บริหารธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลา
ระบบ POS บนคลาวด์ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลและจัดการธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต
3. ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดและรายงานได้ทันที
ระบบ POS ช่วยให้คุณสามารถติดตามข้อมูลการขาย สินค้าคงคลัง และข้อมูลอื่นๆ แบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำ
4. บริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ POS ช่วยให้คุณติดตามจำนวนสินค้าคงคลังได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณสามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันปัญหาสินค้าขาดสต๊อกหรือสินค้าคงคลังมากเกินไป
5. บริหารจัดการพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ POS ช่วยให้คุณสามารถติดตามผลการทำงานของพนักงาน วิเคราะห์ข้อมูลการขายและประสิทธิภาพการทำงาน ช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า
ระบบ POS ช่วยให้พนักงานสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาใช้บริการอีก
7. เพิ่มยอดขายและผลกำไร
ระบบ POS ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขาย พฤติกรรมของลูกค้า และข้อมูลอื่นๆ ช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ทางการตลาดและการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและผลกำไร
ตัวอย่างระบบ POS ที่ได้รับความนิยม
- StoreHub
- Wongnai POS
- Ocha POS
- QueQ
- Pawoon
สรุป
- ระบบ POS เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ช่วยให้การจัดการธุรกิจสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและผลกำไร
- หากคุณกำลังมองหาระบบ POS ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบระบบต่างๆ ก่อนตัดสินใจเลือก | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51229 | Retail | จาก 5 แอปพลิเคชั่นที่แนะนำมา เจ้าของร้านอาหารประเภทไหนที่จะเหมาะกับการใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้มากที่สุด และทำไม? | null | แอปพลิเคชั่นทั้ง 5 เหมาะกับร้านอาหารหลากหลายประเภท แต่จะมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับร้านอาหารประเภทดังต่อไปนี้:
1. ร้านอาหารที่มีบริการเดลิเวอรี่:
Freshket: เหมาะสำหรับร้านอาหารที่ต้องการวัตถุดิบสดใหม่ ราคาดี และจัดส่งรวดเร็ว ช่วยให้ควบคุมต้นทุนและจัดการสต๊อกได้ง่าย
HungryHub / HungryHub Partner: เหมาะสำหรับร้านอาหารที่ต้องการเพิ่มยอดขายผ่านโปรโมชั่น โดยเฉพาะ All you can eat และ Buffet
StoreHub POS / StoreHub Manager: เหมาะสำหรับร้านอาหารที่ต้องการระบบจัดการออเดอร์ คิดเงิน และจัดการสต๊อก
2. ร้านอาหารที่มีลูกค้าหนาแน่น:
QueQ: เหมาะสำหรับร้านอาหารที่มีลูกค้าเยอะ ช่วยจัดการคิว จองคิวล่วงหน้า และควบคุมจำนวนลูกค้าในร้าน
3. ร้านอาหารขนาดเล็กถึงขนาดกลาง:
TEMP: เหมาะสำหรับร้านอาหารที่ต้องการหาพนักงานชั่วคราว จ่ายค่าแรงผ่านแอป
4. ร้านอาหารที่ต้องการระบบจัดการร้านแบบครบวงจร:
StoreHub POS / StoreHub Manager: เหมาะสำหรับร้านอาหารที่ต้องการระบบจัดการร้านแบบครบวงจร
อย่างไรก็ตาม เจ้าของร้านอาหารควรพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม ดังนี้:
ประเภทของร้านอาหาร
ขนาดของร้านอาหาร
งบประมาณ
ความต้องการใช้งาน
ตัวอย่าง:
ร้านอาหารขนาดเล็กที่มีบริการเดลิเวอรี่ เหมาะกับการใช้แอป Freshket HungryHub / HungryHub Partner และ StoreHub POS / StoreHub Manager
ร้านอาหารขนาดกลางที่มีลูกค้าหนาแน่น เหมาะกับการใช้แอป QueQ StoreHub POS / StoreHub Manager
ร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีระบบจัดการร้านอยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้แอปทั้งหมด แต่สามารถเลือกใช้แอปบางตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น Freshket
นอกจากนี้ เจ้าของร้านอาหารควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชันแต่ละตัวอย่างละเอียด เปรียบเทียบราคา ฟีเจอร์ และรีวิวจากผู้ใช้งาน ก่อนตัดสินใจใช้งาน
คำแนะนำเพิ่มเติม:
เจ้าของร้านอาหารควรทดลองใช้งานแอปพลิเคชันก่อนตัดสินใจซื้อ
เจ้าของร้านอาหารควรอบรมพนักงานให้เข้าใจวิธีการใช้งานแอปพลิเคชัน
เจ้าของร้านอาหารควรติดตามผลการใช้งานแอปพลิเคชัน และปรับเปลี่ยนการใช้งานให้เหมาะสม
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน:
ร้านอาหารสามารถใช้แอป Freshket สั่งซื้อวัตถุดิบในช่วงเช้า เพื่อเตรียมสำหรับการขายในช่วงกลางวัน
ร้านอาหารสามารถใช้แอป HungryHub / HungryHub Partner จัดโปรโมชั่น All you can eat ในช่วงเย็น เพื่อดึงดูดลูกค้า
ร้านอาหารสามารถใช้แอป QueQ จัดการคิวลูกค้า เพื่อลดระยะเวลารอคิว
ร้านอาหารสามารถใช้แอป StoreHub POS / StoreHub Manager วิเคราะห์ข้อมูลการขาย เพื่อพัฒนาเมนูและกลยุทธ์ทางการตลาด
สรุป:
แอปพลิเคชั่นทั้ง 5 สามารถช่วยให้เจ้าของร้านอาหารจัดการร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน แต่เจ้าของร้านอาหารควรเลือกใช้แอปให้เหมาะสมกับประเภท ขนาด และความต้องการของร้าน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51237 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "10 เคล็ดลับในการบริหารพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ" ให้หน่อยค่ะ | 1. จ้างคนให้ถูกกับงาน เจ้าของร้านอย่างคุณจำเป็นต้องระวังตั้งแต่การเริ่มหาคนเข้ามาทำงานที่ร้าน เพราะคุณต้องแน่ใจว่าพนักงานที่เลือกนั้นเหมาะกับงานจริง ๆ เจ้าของร้านอย่างคุณจำเป็นต้องระวังตั้งแต่การเริ่มหาคนเข้ามาทำงานที่ร้าน เพราะคุณต้องแน่ใจว่าพนักงานที่เลือกนั้นเหมาะกับงานจริง ๆ แล้วจะรู้ได้ไงละว่าพนักงานนั้นเหมาะหรือเปล่า ? แล้วจะรู้ได้ไงละว่าพนักงานนั้นเหมาะหรือเปล่า ? นอกเหนือจากคุณสมับัติแล้ว คุณก็ต้องมองหาคุณลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย :- นอกเหนือจากคุณสมับัติแล้ว คุณก็ต้องมองหาคุณลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย :- – พนักงานที่ดีต้องมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะอยู่เสมอ – สามารถจัดการกับอารมณ์ได้ดีและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ธุรกิจหรือร้านค้าหลายแห่งโฟกัสที่คุณสมบัติจนลืมมองที่คุณลักษณะ แต่อย่าลืมว่าการที่คน ๆ หนึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเหมาะกับงานนั้น ๆ เสมอไป เพราะฉะนั้นลองพิจารณาคุณสมบัติและคุณลักษณะของผู้สมัครแต่ละคนให้ดีก่อนที่จะรับเข้าทำงาน จะได้ลดความผิดพลาดในการจ้างงานและไม่เสี่ยงในการจัดการบริหารจัดการร้านของคุณเอง ธุรกิจหรือร้านค้าหลายแห่งโฟกัสที่คุณสมบัติจนลืมมองที่คุณลักษณะ แต่อย่าลืมว่าการที่คน ๆ หนึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเหมาะกับงานนั้น ๆ เสมอไป เพราะฉะนั้นลองพิจารณาคุณสมบัติและคุณลักษณะของผู้สมัครแต่ละคนให้ดีก่อนที่จะรับเข้าทำงาน จะได้ลดความผิดพลาดในการจ้างงานและไม่เสี่ยงในการจัดการบริหารจัดการร้านของคุณเอง 2. ประเมินและสอดส่องดูแลการปฏิบัติงานของพนักงานเป็นประจำ การประเมินพนักงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะว่าไม่มีใครชอบโดนจ้องมองหรือโดนตรวจสอบ การประเมินพนักงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะว่าไม่มีใครชอบโดนจ้องมองหรือโดนตรวจสอบ ดังนั้นในฐานะเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านแล้ว คุณควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้ :- ดังนั้นในฐานะเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านแล้ว คุณควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้ :- – อะไรที่มากเกินไปมักจะไม่ดีเสมอ คือถ้าคุณชมพนักงานมากเกินไป พนักงานอาจจะมั่นใจเกินไปและแอบอู้งาน แต่ถ้ามีแต่ติ พนักงานของคุณก็จะรู้สึกไม่มั่นใจและหมดกำลังใจในการทำงานได้ ดังนั้นลองหาจุดกึ่งกลางและให้ฟีดแบ็คพนักงานเดือนละครั้ง เป็นการรีวิวการทำงานและผลงานในแต่ละเดือน ซึ่งคุณสามารถใช้โอกาสนี้ตักเตือน ขอบคุณ แล้วก็บอกแนวทางการปรับตัวให้กับพวกเขาได้ – ถ้าคุณคอยจับตามองในทุกอย่างที่พนักงานทำ พวกเขาก็จะรู้สึกกลัว อึดอัด และไม่สบายใจเวลาทำงาน ลองแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณวางใจในตัวพนักงานและเคารพความเป็นส่วนตัวของพวกเขาสิ เมื่อพูดถึงการประเมินพนักงานแล้ว คุณต้องมีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานทำให้สำเร็จในแต่ละเดือนหรือแต่ละควาเตอร์ พูดคุยกับพนักงานให้พวกเขารู้ว่าเป้าหมายคืออะไรและต้องทำยังไงถึงจะทำให้สำเร็จได้ ให้ตรวจสอบความคืบหน้าในแต่ละเดือนหรือควาเตอร์ ปรับเป้าหมายของร้านเมื่อจำเป็น แล้วก็สนับสนุนคอยให้กำลังใจเมื่อพนักงานมีปัญหา เมื่อพูดถึงการประเมินพนักงานแล้ว คุณต้องมีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานทำให้สำเร็จในแต่ละเดือนหรือแต่ละควาเตอร์ พูดคุยกับพนักงานให้พวกเขารู้ว่าเป้าหมายคืออะไรและต้องทำยังไงถึงจะทำให้สำเร็จได้ ให้ตรวจสอบความคืบหน้าในแต่ละเดือนหรือควาเตอร์ ปรับเป้าหมายของร้านเมื่อจำเป็น แล้วก็สนับสนุนคอยให้กำลังใจเมื่อพนักงานมีปัญหา 3. ปลูกฝังการสื่อสารแบบเปิดกว้างในองค์กร อย่าเป็นเจ้าของร้านที่พนักงานต้องคอยหลบหน้าหรือผู้จัดการร้านที่พนักงานทุกคนกลัวหน้าเมื่อต้องไปทำงาน ให้สื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาเพื่อให้พนักงานเกิดความรู้สึกเคารพและเชื่อถือ ทำความรู้จักพนักงานแต่ละคนเพื่อเข้าใจพวกเขามากขึ้น รวมทั้งทำให้พวกเขาสัมผัสได้ว่าคุณเห็นคุณค่าและซาบซึ้งที่พวกเขาทำงานให้ อย่าเป็นเจ้าของร้านที่พนักงานต้องคอยหลบหน้าหรือผู้จัดการร้านที่พนักงานทุกคนกลัวหน้าเมื่อต้องไปทำงาน ให้สื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาเพื่อให้พนักงานเกิดความรู้สึกเคารพและเชื่อถือ ทำความรู้จักพนักงานแต่ละคนเพื่อเข้าใจพวกเขามากขึ้น รวมทั้งทำให้พวกเขาสัมผัสได้ว่าคุณเห็นคุณค่าและซาบซึ้งที่พวกเขาทำงานให้ เมื่อพูดคุยกับพนักงาน คุณต้องเปิดใจรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ปัญหาช่วยพนักงาน อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้พนักงานเอาเปรียบคุณโดยการปิดบังปัญหาต่าง ๆ ของร้าน เพราะมักจะมีพนักงานบางคนที่ชอบอ้าง โกหก หรือเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาของร้าน เมื่อพูดคุยกับพนักงาน คุณต้องเปิดใจรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ปัญหาช่วยพนักงาน อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้พนักงานเอาเปรียบคุณโดยการปิดบังปัญหาต่าง ๆ ของร้าน เพราะมักจะมีพนักงานบางคนที่ชอบอ้าง โกหก หรือเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาของร้าน เพราะฉะนั้นคุณต้องทำความเข้าใจพนักงานและไถ่ถามเป็นประจำว่าพวกเขามีปัญหาในการทำงานหรือมีอุปสรรคอะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคุณต้องทำความเข้าใจพนักงานและไถ่ถามเป็นประจำว่าพวกเขามีปัญหาในการทำงานหรือมีอุปสรรคอะไรหรือเปล่า และจำไว้ว่าในฐานะเจ้าของร้านหรือผู้จัดการ คุณจะต้องเป็นคนแก้ปัญหาหรือข้อขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ใช่คนที่คอยหาเรื่องปวดหัวให้พนักงาน คุณควรเคารพและให้พื้นที่ส่วนตัวกับพวกเขา ถ้าหากมีปัญหาก็ไม่ควรต่อว่าพนักงานคนอื่น ๆ และจำไว้ว่าในฐานะเจ้าของร้านหรือผู้จัดการ คุณจะต้องเป็นคนแก้ปัญหาหรือข้อขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ใช่คนที่คอยหาเรื่องปวดหัวให้พนักงาน คุณควรเคารพและให้พื้นที่ส่วนตัวกับพวกเขา ถ้าหากมีปัญหาก็ไม่ควรต่อว่าพนักงานคนอื่น ๆ 4. สนับสนุนให้พนักงานแสดงความคิดเห็น ลองสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและให้ทุกคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณพร้อมที่จะรับฟังและปรับปรุงในทุกเรื่องเพื่อให้การทำงานหรือธุรกิจร้านค้าดียิ่งขึ้น ลองสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและให้ทุกคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณพร้อมที่จะรับฟังและปรับปรุงในทุกเรื่องเพื่อให้การทำงานหรือธุรกิจร้านค้าดียิ่งขึ้น ห้ามปิดกั้นไม่ให้พนักงานแสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งแสดงท่าทางไม่เห็นด้วย ไม่งั้นสถานการณ์ต่าง ๆ ตึงเครียดกว่าเดิมแน่ ๆ ทั้งยังส่งผลให้พนักงานไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอีกด้วย ห้ามปิดกั้นไม่ให้พนักงานแสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งแสดงท่าทางไม่เห็นด้วย ไม่งั้นสถานการณ์ต่าง ๆ ตึงเครียดกว่าเดิมแน่ ๆ ทั้งยังส่งผลให้พนักงานไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอีกด้วย เพราะฉะนั้นคุณต้องให้ความสำคัญกับทุกความเห็นและเสียงของพนักงาน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าคุณไม่ได้เพิกเฉยและเห็นว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของร้าน เพราะฉะนั้นคุณต้องให้ความสำคัญกับทุกความเห็นและเสียงของพนักงาน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าคุณไม่ได้เพิกเฉยและเห็นว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของร้าน 5. มีเป้าหมายที่ชัดเจน การจะตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนได้นั้น คุณควรรู้ก่อนว่าคุณอยากให้ร้านค้าหรือธุรกิจของคุณเป็นไปในทิศทางไหน ลองตั้งเป้าหมาย คำนวณยอดขาย และผลลัพธ์ที่คุณอยากทำให้สำเร็จดู การจะตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนได้นั้น คุณควรรู้ก่อนว่าคุณอยากให้ร้านค้าหรือธุรกิจของคุณเป็นไปในทิศทางไหน ลองตั้งเป้าหมาย คำนวณยอดขาย และผลลัพธ์ที่คุณอยากทำให้สำเร็จดู จากนั้นก็บอกให้พนักงานรู้และตั้งเป้าหมายของแต่ละทีม เช่น พฤติกรรม ทัศนคติ หรือยอดขายของแต่ละกะ โดยคุณสามารถทำตามหลัก SMART ดังต่อไปนี้ :- จากนั้นก็บอกให้พนักงานรู้และตั้งเป้าหมายของแต่ละทีม เช่น พฤติกรรม ทัศนคติ หรือยอดขายของแต่ละกะ โดยคุณสามารถทำตามหลัก SMART ดังต่อไปนี้ :- S – Specific – เฉพาะเจาะจง M – Measurable – วัดได้ A – Attainable – ทำสำเร็จได้ R – Relevant – สัมพันธ์กัน/ตรงประเด็น T – Time-based – ใช้เวลา เพราะถ้าหากพนักงานไม่มีเป้าหมายและทิศทางที่จัดเจน พวกเขาก็จะสับสนและท้อแท้ในการทำงานเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะบรรลุเป้าหมาย หรือไม่รู้ว่าต้องทำงานไปในทิศทางไหน เพราะถ้าหากพนักงานไม่มีเป้าหมายและทิศทางที่จัดเจน พวกเขาก็จะสับสนและท้อแท้ในการทำงานเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะบรรลุเป้าหมาย หรือไม่รู้ว่าต้องทำงานไปในทิศทางไหน ดังนั้นหลักการ SMART จะช่วยให้พนักงานแต่ละคนติดตามความคืบหน้าของการทำงานได้ และในขณะเดียวกันเมื่อพนักงานทำงานไม่ถึงเป้าหมาย คุณก็จะตักเตือนพวกเขาได้ ดังนั้นหลักการ SMART จะช่วยให้พนักงานแต่ละคนติดตามความคืบหน้าของการทำงานได้ และในขณะเดียวกันเมื่อพนักงานทำงานไม่ถึงเป้าหมาย คุณก็จะตักเตือนพวกเขาได้ จำไว้ว่าถ้าพนักงานไม่รู้ว่าคุณคาดหวังอะไร พวกเขาก็ไม่มีทางทำตามหลักการ SMART นี้ได้ จำไว้ว่าถ้าพนักงานไม่รู้ว่าคุณคาดหวังอะไร พวกเขาก็ไม่มีทางทำตามหลักการ SMART นี้ได้ 6. ให้รางวัลพนักงาน หลังจากที่ทำงานหนักหรือทำงานยาก ๆ ได้สำเร็จ ใคร ๆ ก็อยากเป็นที่ชื่นชมและอยากได้รางวัลกันทั้งนั้น ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าพนักงานคนไหนทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมหรือว่าขยันมากเป็นพิเศษ ก็จงชื่นชมพวกเขาโดยการให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แจกโบนัสพิเศษ หรือกล่าวขอบคุณก็ได้ หลังจากที่ทำงานหนักหรือทำงานยาก ๆ ได้สำเร็จ ใคร ๆ ก็อยากเป็นที่ชื่นชมและอยากได้รางวัลกันทั้งนั้น ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าพนักงานคนไหนทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมหรือว่าขยันมากเป็นพิเศษ ก็จงชื่นชมพวกเขาโดยการให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แจกโบนัสพิเศษ หรือกล่าวขอบคุณก็ได้ แต่คุณจะต้องชื่นชมพนักงานเหล่านี้ต่อหน้าพนักงานคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขารู้สึกดี ภูมิใจ และกระตุ้นให้ขยันทำงานมากยิ่งขึ้น แต่คุณจะต้องชื่นชมพนักงานเหล่านี้ต่อหน้าพนักงานคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขารู้สึกดี ภูมิใจ และกระตุ้นให้ขยันทำงานมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เลยทำให้มีธุรกิจร้านค้าหลายแห่งมักจะมีการให้รางวัลพนักงานในร้านเป็นประจำ เช่น พนักงานดีเด่นประจำเดือน การจัดกิจกรรมประจำเดือนให้กับพนักงาน และสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เลยทำให้มีธุรกิจร้านค้าหลายแห่งมักจะมีการให้รางวัลพนักงานในร้านเป็นประจำ เช่น พนักงานดีเด่นประจำเดือน การจัดกิจกรรมประจำเดือนให้กับพนักงาน และสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นต้น แต่อย่าลืมว่าคุณต้องให้รางวัลพนักงานในร้านเป็นประจำ ต้องทำให้เป็นเรื่องปกติ และให้รางวัลอย่างโปร่งใสยุติธรรม พนักงานในร้านจะได้ไม่ต้องคิดว่าคุณมีคนโปรดในใจหรือลำเอียงในการให้รางวัล แต่อย่าลืมว่าคุณต้องให้รางวัลพนักงานในร้านเป็นประจำ ต้องทำให้เป็นเรื่องปกติ และให้รางวัลอย่างโปร่งใสยุติธรรม พนักงานในร้านจะได้ไม่ต้องคิดว่าคุณมีคนโปรดในใจหรือลำเอียงในการให้รางวัล 7. พนักงานต้องสนุกกับงานที่ทำ ลองคิดดูนะว่าพนักงานของคุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ทำงาน เพราะฉะนั้นการทำที่ทำงานให้เป็นที่ที่น่าอยู่และสนุกสนาน จะทำให้พนักงานของร้านมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานให้ออกมาที่สุดและตั้งใจทำงานมากที่สุด ลองคิดดูนะว่าพนักงานของคุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ทำงาน เพราะฉะนั้นการทำที่ทำงานให้เป็นที่ที่น่าอยู่และสนุกสนาน จะทำให้พนักงานของร้านมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานให้ออกมาที่สุดและตั้งใจทำงานมากที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยกสวนสนุกมาทั้งสวนหรือต้องทำอะไรหรู ๆ เพราะคุณทำให้ที่ทำงานมีสีสันได้ง่าย ๆ เช่น เซอร์ไพรส์และฉลองวันเกิดให้กับพนักงาน มีห้องสำหรับดื่มกาแฟ หรือสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานให้พนักงานทุกคนได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดโดยไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องงานตลอดเวลา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยกสวนสนุกมาทั้งสวนหรือต้องทำอะไรหรู ๆ เพราะคุณทำให้ที่ทำงานมีสีสันได้ง่าย ๆ เช่น เซอร์ไพรส์และฉลองวันเกิดให้กับพนักงาน มีห้องสำหรับดื่มกาแฟ หรือสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานให้พนักงานทุกคนได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดโดยไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องงานตลอดเวลา พนักงานของคุณจะทุ่มเทให้กับการทำงานและพยายามเต็มที่เมื่อพวกเขารู้สึกว่าหัวหน้า ผู้จัดการ หรือว่าบริษัทสนใจในเรื่องความสุขและความเป็นอยู่ของพวกเขา พนักงานของคุณจะทุ่มเทให้กับการทำงานและพยายามเต็มที่เมื่อพวกเขารู้สึกว่าหัวหน้า ผู้จัดการ หรือว่าบริษัทสนใจในเรื่องความสุขและความเป็นอยู่ของพวกเขา 8. เป็นตัวอย่างให้ ในฐานะผู้จัดการหรือเจ้าของร้าน คุณก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงานด้วย ในฐานะผู้จัดการหรือเจ้าของร้าน คุณก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงานด้วย ถ้าคุณมาทำงานสาย พนักงานในร้านก็อาจจะคิดว่ามาสายก็ไม่เป็นไรก็ได้ หรือถ้าคุณปฏิบัติกับพนักงานไม่ดี พนักงานในร้านก็อาจจะปฏิบัติกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ แบบเดียวกันก็ได้ แล้วถ้าคุณไม่ขยันหรือแอบอู้งาน พนักงานในร้านก็จะคิดว่าทำเหมือนกันได้ ไม่เป็นไรเหมือนกัน ถ้าคุณมาทำงานสาย พนักงานในร้านก็อาจจะคิดว่ามาสายก็ไม่เป็นไรก็ได้ หรือถ้าคุณปฏิบัติกับพนักงานไม่ดี พนักงานในร้านก็อาจจะปฏิบัติกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ แบบเดียวกันก็ได้ แล้วถ้าคุณไม่ขยันหรือแอบอู้งาน พนักงานในร้านก็จะคิดว่าทำเหมือนกันได้ ไม่เป็นไรเหมือนกัน 9. อย่าโกหกพนักงานเป็นอันขาด ในฐานะที่เป็นเจ้าของร้าน คุณจะต้องทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส จริงใจ และตรงไปตรงมา เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานไว้ใจและเคารพคุณ อีกอย่างถ้าคุณโกหกพนักงานเรื่องร้าน ปิดบังเรื่องธุรกิจ หรือว่าปกปิดข้อมูล ก็จะทำให้พนักงานไม่นับถือได้ แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับพนักงานก็จะแย่ลงไปตาม ๆ กัน ในฐานะที่เป็นเจ้าของร้าน คุณจะต้องทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส จริงใจ และตรงไปตรงมา เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้พนักงานไว้ใจและเคารพคุณ อีกอย่างถ้าคุณโกหกพนักงานเรื่องร้าน ปิดบังเรื่องธุรกิจ หรือว่าปกปิดข้อมูล ก็จะทำให้พนักงานไม่นับถือได้ แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับพนักงานก็จะแย่ลงไปตาม ๆ กัน 10. ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในการบริหารพนักงาน แน่นอนว่าพนักงานของคุณต่างก็มาจากคนละที่ แล้วแต่ละคนก็มีนิสัยใจคอ ข้อดี-ข้อเสีย และความคิดเห็นที่ต่างกันออกไป ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันในการบริหารจัดการและสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพวกเขา แน่นอนว่าพนักงานของคุณต่างก็มาจากคนละที่ แล้วแต่ละคนก็มีนิสัยใจคอ ข้อดี-ข้อเสีย และความคิดเห็นที่ต่างกันออกไป ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันในการบริหารจัดการและสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับพวกเขา เช่น พนักงานบางคนอาจจะทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดี แต่พนักงานบางคนก็อาจจะทำไม่ได้ อาจจะชอบสไตล์สบาย ๆ มากกว่า เช่น พนักงานบางคนอาจจะทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดี แต่พนักงานบางคนก็อาจจะทำไม่ได้ อาจจะชอบสไตล์สบาย ๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องเข้าใจว่าในเรื่องของการบริหารจัดการพนักงานนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แล้วคุณก็ต้องทำความรู้จักกับพนักงานและทำความเข้าใจพวกเขาเพื่อใช้วิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องเข้าใจว่าในเรื่องของการบริหารจัดการพนักงานนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แล้วคุณก็ต้องทำความรู้จักกับพนักงานและทำความเข้าใจพวกเขาเพื่อใช้วิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคน | 10 เคล็ดลับในการบริหารพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ
1. จ้างคนให้ถูกกับงาน ด้วยคุณสมับัติและลักษณะต่างๆ
2. ประเมินและสอดส่องดูแลการปฏิบัติงานของพนักงานเป็นประจำ มีเป้าหมายให้พนักงานทำให้สำเร็จในแต่ละเดือน ตรวจสอบความคืบหน้าและคอยให้กำลังใจเมื่อพนักงานมีปัญหา
3. ปลูกฝังการสื่อสารแบบเปิดกว้างในองค์กร มีปฏิสัมพันธ์เพื่อให้พนักงานเกิดความรู้สึกเคารพและเชื่อถือ เปิดใจรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ปัญหาช่วยพนักงาน
4. สนับสนุนให้พนักงานแสดงความคิดเห็น สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและให้ทุกคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
5. มีเป้าหมายที่ชัดเจนตามหลัก SMART
6. ให้รางวัลพนักงาน โดยให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แจกโบนัสพิเศษ หรือกล่าวขอบคุณ ชื่นชมต่อหน้าพนักงาน
7. พนักงานต้องสนุกกับงานที่ทำ ทำให้ที่ทำงานมีสีสัน
8. เป็นตัวอย่างให้ ทำตัวให้เหมาะสมและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงาน
9. อย่าโกหกพนักงานเป็นอันขาด ทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส จริงใจ ตรงไปตรงมา
10. ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในการบริหารพนักงาน ต้องทำความรู้จักกับพนักงานและทำความเข้าใจโดยใช้วิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51240 | Retail | อุปกรณ์ POS ชนิดใดบ้างที่จำเป็นสำหรับร้านค้าปลีก? | null | อุปกรณ์ POS ที่จำเป็นสำหรับร้านค้าปลีกมีดังนี้:
1. เครื่อง POS/เครื่องคิดเงิน
- เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้บันทึกการขาย คิดเงิน และพิมพ์ใบเสร็จ เครื่อง POS มีทั้งแบบคอมพิวเตอร์และ iPad/แท็บเล็ต ควรเลือกเครื่อง POS ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ใช้งานง่าย รองรับโปรแกรม POS ที่ต้องการ และเหมาะกับขนาดของธุรกิจ
2. ลิ้นชักเก็บเงิน
- ใช้เก็บเงินสด เหรียญ และเอกสารสำคัญต่างๆ ควรเลือกขนาดลิ้นชักให้เหมาะสมกับจำนวนเงินที่รับในแต่ละวัน และควรมีระบบล็อกเพื่อความปลอดภัย
3. เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ
- ใช้พิมพ์ใบเสร็จสำหรับลูกค้า ควรเลือกเครื่องพิมพ์ที่มีความเร็วในการพิมพ์สูง ทนทาน ใช้งานง่าย และรองรับกระดาษใบเสร็จหลายขนาด
4. เครื่องสแกนบาร์โค้ด
- ใช้สแกนบาร์โค้ดสินค้าเพื่อเพิ่มสินค้าลงตะกร้าและคิดเงิน ช่วยให้การคิดเงินรวดเร็วและแม่นยำ เหมาะกับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมาก
5. อุปกรณ์เสริมอื่นๆ
- เช่น ลิ้นชักเก็บเงินอัตโนมัติ หน้าจอแสดงผลฝั่งลูกค้า เครื่องอ่านบัตรเครดิต เครื่องชั่งน้ำหนัก ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ตัวอย่างอุปกรณ์ POS ที่เหมาะกับร้านค้าปลีก:
เครื่อง POS:
- StoreHub POS
- Wongnai POS
- Ocha POS
ลิ้นชักเก็บเงิน:
- Cashdrawer APG
- Suntech
- Posiflex
เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ:
- Epson TM-T88V
- Bixolon SRP-350II
- Star Micronics TSP100IIIU
เครื่องสแกนบาร์โค้ด:
- Honeywell Voyager 1450g
- Zebra DS2208
- Datalogic Magellan 1100i
นอกจากอุปกรณ์ POS แล้ว ยังมีซอฟต์แวร์ POS ที่มีความสำคัญต่อการบริหารจัดการร้านค้า ซอฟต์แวร์ POS ที่ดีควรมีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น:
- บริหารจัดการสินค้าคงคลัง
- บันทึกข้อมูลการขาย
- วิเคราะห์รายงาน
- จัดการสมาชิก
- เชื่อมต่อกับระบบบัญชี
การเลือกอุปกรณ์ POS ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด เพิ่มยอดขาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
สำหรับร้านค้าปลีกขนาดเล็ก อาจเริ่มต้นด้วยอุปกรณ์ POS พื้นฐาน เช่น เครื่อง POS ลิ้นชักเก็บเงิน เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ และเครื่องสแกนบาร์โค้ด เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ค่อยเพิ่มอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ตามความต้องการ
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกอุปกรณ์ POS:
- ประเภทของธุรกิจ
- ขนาดของธุรกิจ
- งบประมาณ
- ฟีเจอร์ที่ต้องการ
- ความสะดวกในการใช้งาน
- บริการหลังการขาย
- ร้านค้าปลีกควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบราคา และลองใช้งานอุปกรณ์ POS ก่อนตัดสินใจซื้อ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51257 | Retail | สำหรับร้านค้าสายเขียวที่ยังไม่มีพนักงานต้อนรับลูกค้ามากพอและต้องทำทุกอย่างเองตัวคนเดียว สโตร์ฮับมีฟีเจอร์ใด ที่จะช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น | สำหรับร้านพ่อค้าแม่ค้าสายเขียว ร้านขายสมุนไพร ทุกคนที่กำลังหาทางขยับขยาย หรือเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางนี้ต่างก็คงเคยเจอปัญหาการโปรโมทหรือว่าโฆษณา ซึ่งทำได้ยากในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ทำให้การเพิ่มยอดขายหรือว่าทำให้ร้านของคุณเป็นที่รู้จักนั้นอาจจะใช้วิธีทั่ว ๆ ไปเหมือนกับสินค้าประเภทอื่นไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา! ถ้าคุณหันมาใช้ระบบ สโตร์ฮับ POS ตัวช่วยบริหารจัดการร้านค้าบนระบบ Cloud ที่มาพร้อมเครื่องมือทำการตลาดที่จำเป็นมากมาย จะมีอะไรทีประยุกต์ใช้กับร้านสายเขียวได้บ้างไปดูกัญเลยย #1 ระบบสมัครสมาชิก จุดเริ่มต้นของการสร้างยอดขาย ขายสมุนไพร ให้พุ่งกระฉูดลอยถึงดาวก็คือกูทำความรู้จักกับลูกค้าของเราให้ดี ง่าย ๆ โดยการเก็บข้อมูลสมาชิกเช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทร อายุ หรือเพศ เป็นต้น แล้วหลังจากนั้นเมื่อลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำหลาย ๆ ครั้งเข้า เราก็จะได้ข้อมูลเพิ่มด้วยว่าแต่ละคนนั้นมีความชอบความสนใจในสินค้าตัวไหน มียอดค่าใช้จ่ายต่อครั้งเท่าไหร่ และความถี่ในการเข้ามาใช้บริการนั้นเป็นอย่างไร ข้อมูลทั้งหมดนี้นั้นล้วนส่งผลกับการนำไปวิเคราะห์เพื่อทำการตลาดให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้นในอนาคต #2 รายงานยอดขายแบบละเอียด เพราะตัวเราในฐานะเจ้าของร้านควรจะรู้ดีที่สุดว่าสินค้าไหนที่ขายดี สินค้าไหนที่ขายไม่ได้ เทรนด์ของลูกค้าที่มาซื้อของในร้านเป็นอย่างไร หมวดหมู่สินค้าไหนที่เป็นที่นิยม สินค้าไหนได้กำไรเยอะที่สุด หรือแม้แต่ช่วงเวลาไหนที่มีลูกค้าเยอะที่สุดนั้นเป็นช่วงไหนบ้าง ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยากและใช้เวลาใช่ไหม? ยิ่งกับร้านขายสมุนไพรสายเขียวแบบนี้ การแบ่งขายตามน้ำหนักถือเป็นเรื่องปกติ แต่รับรองเลยว่าถ้าคุณใช้ สโตร์ฮับ POS เมื่อไหร่ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะอยู่ในมือคุณทันทีแค่เพียงไม่กี่คลิ้ก! อะไรแบ่งขายไปกี่กรัม กี่ชิ้น มีรายงานครบถ้วน หลังจากนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วว่าจะนำข้อมูลหรือ Data Base นี้ไปต่อยอดได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราก็ยังมีตัวช่วยมาให้คุณด้วยเหมือนกัน #3 เครดิตเงินคืน รู้ไหมว่าเครดิตเงินคืน หรือ แคชแบ็ค นั้นเป็นเทคนิคการตลาดที่ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบมากที่สุด เพราะเหมือนว่าเราได้เงินคืนกลับมาจริง ๆ และสามารถเอาไปใช้เป็นส่วนลดได้ในรอบการซื้อถัด ๆ ไป ซึ่งจะทำให้ร้านค้าได้ลูกค้าคาประจำเพิ่มขึ้นนั่นเอง แน่นอนว่าสโตร์ฮับ POS ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์ที่เรียกว่า Beep Cashback ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ในข้อนี้ ที่สำคัญก็คือสะดวกสบาย เพียงแค่ลูกค้าสแกน QR โค้ดที่ท้ายใบเสร็จและกรอกเบอร์โทรศัพท์ เพียงเท่านี้ก็สามารถสะสมเครดิตเงินคืนได้ผ่านเบอร์แล้วนั่นเอง ส่วนของทางร้านก็สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้เครดิตเงินคืนเป็นกี่เปอร์เซ็นจากยิดซื้อในแต่ละครั้งได้ ถือว่าสะดวกทั้งสองฝั่งเลยจริง ๆ #4 คิวอาร์โค้ดสั่งซื้อสินค้า สำหรับร้านค้าสายเขียวที่ยังไม่มีพนักงานต้อนรับลูกค้ามากพอและต้องทำทุกอย่างเองตัวคนเดียว สโตร์ฮับก็มีฟีเจอร์ คิวอาร์โค้ดสั่งอาหาร หรือ Beep QR ที่จะช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเพียงแค่สแกนบาร์โค้ดอีนเดียว ก็สามารถเห็นรายการสินค้าทั้งหมด รวมถึงรายละเอียดสินค้าแต่ละชิ้น จำนวนสต๊อกที่คงเหลือ ทำให้สามารถสั่งซื้อได้เลยทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานมาแนะนำทุกครั้ง เหมาะสำหรับลูกค้าเก่าที่คุ้นเคยกับสินค้าในร้านแล้ว ถ้าหากต้องการมาซื้อเพิ่มก็เพียงแค่สแกน จ่าย จบ! และใหม่ล่าสุด สามารถเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินผ่านพร้อมเพย์ได้แล้วด้วยนะ #5 ส่งข้อความ SMS อัตโนมัติ อีกหนึ่งฟีเจอร์ยอดฮิตก็คือการส่งข้อความ SMS อัตโนมัติไปหาฐานลูกค้าได้โดยตรง เพราะอย่างที่บอกไปว่าการโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสายเขียวนั้นค่อนข้างมีข้อจำกัดเยอะและราคาแพง ในบางครั้งก็ตรวจสอบไม่ได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ แต่กลับกันถ้าหันมาใช้ฟีเจอร์ StoreHub Engage ของเรา สิ่งที่คุณต้องทำก็มีเพียงแค่ตั้งค่าแคมเปญซึ่งมีให้เลือกทั้งแคมเปญวันเกิด แคมเปญชวนลูกค้าเก่าที่หายไปนานกลับมาใหม่ แคมเปแจ้งเตือนเครดิตเงินคืน และแคมเปญบูสท์ยอดรีวิวในกูเกิล ซึ่งเป็นการตั้งค่าแบบครั้งเดียว เมื่อลูกค้าในฐานข้อมูลมีเงื่อนไขตรงกับที่เราตั้งค่าไว้ ระบบก็จะทำการส่ง SMS ไปยังลูกค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งทางร้านก็สามารถปรับแต่งข้อความได้เองด้วย ซึ่งการวัดผลก็ทำได้ง่ายมากเพราะเรามีแดชบอร์ดที่แสดงผลว่าลูกค้ากี่คนที่กลับมาใช้บริการซ้ำในระยะเวลาแคมเปญ และมียอดซื้อเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ถือว่าตอบโจทย์การทำการตลาดเชิงรุกเป็นอย่างมาก เห็นแบบนี้แล้วหลาย ๆ คนก็คงอยากจะทดลองใช้งานกันแล้วใช่ไหม ขอบอกว่าฟีเจอร์แน่นขนาดนี้ แต่ราคาระบบเราเริ่มต้นเฉลี่ยเพียงแค่ 35 บาทเท่านั้น สามารถรับชมสาธิตการใช้ระบบและทดลองใช้ฟรีได้ตอนนี้เลย! | สโตร์ฮับมีฟีเจอร์ คิวอาร์โค้ดสั่งอาหาร หรือ Beep QR ที่จะช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเพียงแค่สแกนบาร์โค้ดอันเดียว ก็สามารถเห็นรายการสินค้าทั้งหมด รวมถึงรายละเอียดสินค้าแต่ละชิ้น จำนวนสต๊อกที่คงเหลือ ทำให้สามารถสั่งซื้อได้เลยทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานมาแนะนำทุกครั้ง เหมาะสำหรับลูกค้าเก่าที่คุ้นเคยกับสินค้าในร้านแล้ว ถ้าหากต้องการมาซื้อเพิ่มก็เพียงแค่สแกน จ่าย จบ และสามารถเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินผ่านพร้อมเพย์ได้แล้ว | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51259 | Retail | จงเสนอไอเดีย 5 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มไปได้สวยในปี 2020 มีอะไรบ้าง | null | 1. เปิดร้านยำ
เปิดร้านยำ“ยำ” คืออาหารรสแซ่บที่ถูกปากคนไทยและทานกันได้แทบทุกช่วงเวลาของวัน ซึ่งถ้าสังเกตกันดี ๆ จะเห็นว่าการกินยำนั้นเป็นกระแสไปทั่วเมืองมาตั้งแต่ปีที่แล้วคือปี 2019 จนมาถึงปี 2020 กระแสก็ยังไม่ตก แต่กลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ การเปิดร้านยำจึงถือเป็นหนึ่งธุรกิจอาหารที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่
และที่เจ๋งยิ่งกว่าการขายยำนั้นใช้เงินทุนน้อยมาก ๆ แค่มีงบหลักพันก็เริ่มเปิดร้านยำเล็ก ๆ ได้แล้ว เพียงแต่คุณจะต้องใส่ใจในเรื่องของคุณภาพวัตถุดิบ ความสะอาด การบริการ และความสะดวกบายของลูกค้า ซึ่งตรงนี้อาจจะมีบริการสั่งอาหารออนไลน์หรือ food delivery ด้วย
2. เปิดร้านส้มตำ
สังเกตไหมว่า ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็จะมี “ร้านส้มตำ” ให้เลือกทานกันอยู่เสมอ ตั้งแต่รถเข็นไปจนถึงในห้าง นั่นก็เพราะว่าเมนูนี้รสชาติจัดจ้านและโดนใจใครหลายคน อีกทั้งงบประมาณเปิดร้านส้มตำก็น้อยมาก ๆ ซึ่งถ้าขายส้มตำเพียงอย่างเดียว มีงบแค่หลักพันก็ทำได้แล้ว แต่ถ้าอยากขายข้าวเหนียว ไก่ทอด และเมนูอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย แน่นอนว่าก็ต้องใช้งบมากขึ้นไปอีก
ซึ่งกลยุทธ์เปิดร้านส้มตำให้ประสบความสำเร็จในปี 2020 นี้ คุณจะต้องมั่นใจว่าร้านคุณมีส้มตำรสเด็ด มีเรื่องราวที่น่าสนใจ มีเมนูหลากกลายเอาใจลูกค้า เลือกวัตถุดิบให้เป็นตั้งแต่ปลาร้า, น้ำปลา, น้ำตาล, มะนาว, ฯลฯ ใส่ใจในเรื่องของความสะอาด แล้วก็ต้องมีบริการเดลิเวอรี่ให้กับลูกค้าที่ต้องการสั่งส้มตำออนไลน์ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดีในปี 2020 นี้ ลองขายส้มตำดูสิ แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง
3. เปิดร้านข้าวไข่เจียว
“ข้าวไข่เจียว” เมนูที่แสนจะธรรมดาแต่เต็มไปด้วยคุณค่าทางจิตใจ เป็นอาหารที่เราชาวไทยกินกันมาตั้งแต่เด็กและก็ทำง่ายมาก แล้วก็ถือว่าเป็นธุรกิจอาหารที่ลงทุนน้อยเพราะแค่มีเงินหลักพันก็เปิดร้านขายข้าวไข่เจียวได้แล้ว หากคุณกำลังหาไอเดียเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ทำได้ง่าย และสะดวกรวดเร็วสำหรับลูกค้า ร้านข้าวไข่เจียวก็ถือว่าใช้ได้เลย และวิธีเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดก็คือการขายตามตลาดนัด ตลาดในมหาวิทยาลัย หรือจะเป็นย่านคนทำงานก็มีแนวโน้มไปได้สวยเช่นกัน
นอกจากนี้อย่าลืมมีตัวเลือกท็อปปิ้งหลาย ๆ อย่างไว้เอาใจลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าแต่ละคนอาจจะชอบท็อปปิ้งไม่เหมือนกัน อาจจะเป็นแครอท, หมูสับ, ปูอัด, เห็ดหอม หรือมะเขือเทศก็ได้ ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญกับรสชาติ วัตถุดิบ ความสะอาด และการบริการด้วย เมื่อรสชาติข้าวไข่เจียวของคุณกลมกล่อมและทุกอย่างลงตัว ก็จะมัดใจลูกค้าได้ไม่ยาก
4. เปิดร้านชานมไข่มุก
“ชานมไข่มุก” เมนูเครื่องดื่มหวานละมุนลิ้นที่มาพร้อมไข่มุกสุดนุ่มเคี้ยวหนึบถึงใจ และเป็นเครื่องดื่มที่ใครได้ลองแล้วก็ต้องติดใจ
รู้ไหมว่างบในการเปิดร้านชานมไข่มุกแบบลงทุนเองนั้นอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 บาท แต่สำหรับงบในการเปิดแฟรนไชส์ชาไข่มุกนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์ โดยงบคร่าว ๆ น่าจะอยู่ที่ 15,000 หรือมากกว่านั้น แล้วชานมไข่มุกก็เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมาก ๆ สำหรับลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงาน ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างใหญ่มาก ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้เลยว่าหากเปิดร้านชานมไข่มุกมีโอกาสรอดแน่นอนในปี 2020 นี้
และถ้าคุณคิดจะเปิดร้านชาไข่มุกจริงจังละก็ ไหนลองศึกษาข้อมูลดูสิว่าเปิดแบบไหนถึงจะดีที่สุด แฟรนไชส์เจ้าไหนดังที่สุด แบรนด์ไหนมีการตลาดดี แบรนด์ไหนมีเมนูเยอะ หรือว่าแบบไหนมีกำไรต่อแก้วเยอะมากที่สุด หรือจะปรึกษาผู้รู้ที่เคยมีประสบการณ์เพื่อประกอบการตัดสินใจก็ได้ แล้วคุณจะเริ่มต้นทำธุรกิจชาไข่มุกได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
5. เปิดร้านกาแฟ
หากคุณเป็นคอกาแฟที่ชอบดื่มดำรสชาติเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่แล้ว และกำลังคิดจะลงทุนเรื่องธุรกิจแต่ดันไม่รู้ว่าจะเปิดร้านอะไรดีในปี 2020 นี้ ทำไมไม่ลองเริ่มต้นเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ดูล่ะ อาจจะเป็นร้านเล็ก ๆ ในตลาด ร้านตามสถานีรถไฟ ใกล้สถานที่ราชการ หรือใกล้ออฟฟิศก็ได้
โดยส่วนใหญ่แล้วร้านกาแฟแบบบูธหรือเคาน์เตอร์เล็ก ๆ จะใช้เงินลงทุนแค่หลักพันหรือหลักหมื่นเท่านั้น แต่แบบคีออสก์ (Kiosk) จะใช้งบในการเปิดร้านกาแฟราว ๆ หลักแสน หรือถ้าอยากเช่าพื้นที่ในห้าง ในอาคาร หรือว่าเปิดร้านเดี่ยว ๆ ไปเลย ก็อาจจะใช้เงินลงทุนอยู่ที่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน
ทั้งนี้ในการเปิดร้านคาเฟคุณก็สามารถเลือกว่าจะเป็นแบรนด์ของคุณเองหรือจะเปิดแฟรนไชส์ก็ได้ ซึ่งแต่ละแบบล้วนแต่ต้องอาศัยข้อมูลในการตัดสินใจ ดังนั้นดูสิว่าคุณจะเลือกร้านกาแฟแบบที่สร้างมากับมือตั้งแต่เริ่มต้น หรือจะซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51261 | Retail | ในยุค New Normal อะไรคือ 2 สิ่งสำคัญที่ร้านอาหารควรมี เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและอยู่รอดในยุคหลัง COVID-19 | null | จากบทความ "คลายล็อคดาวน์ กทม. กับ 2 สิ่งที่ร้านอาหาร จำเป็นต้องมีในยุค “New Normal”" 2 สิ่งสำคัญที่ร้านอาหารควรมีในยุค New Normal เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและอยู่รอดในยุคหลัง COVID-19 คือ:
1. การสั่งอาหารและจ่ายเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Ordering and Payment)
การสั่งอาหารผ่าน QR Code: ลูกค้าสามารถสแกน QR Code บนโต๊ะเพื่อดูเมนู สั่งอาหาร และชำระเงินผ่านมือถือโดยไม่ต้องสัมผัสเมนูหรือเงินสด
ระบบจ่ายเงินออนไลน์: ร้านอาหารสามารถรองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต, LINE Pay, Ewallet หรือ Mobile Banking เพื่อลดการสัมผัสเงินสด
2. บริการ Food Delivery
เว็บไซต์สำหรับสั่งอาหาร: ร้านอาหารสามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองเพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านมาร์เก็ตเพลส Food Delivery
ระบบจัดการออเดอร์: ร้านอาหารควรมีระบบจัดการออเดอร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อติดตามสถานะการสั่งอาหารและจัดส่งอาหารให้ตรงเวลา
เหตุผลที่ 2 สิ่งนี้สำคัญ:
ความปลอดภัย: การสั่งอาหารและจ่ายเงินแบบไร้สัมผัส และบริการ Food Delivery ช่วยลดการสัมผัสระหว่างบุคคล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ COVID-19
ความสะดวก: ลูกค้าสามารถสั่งอาหารและชำระเงินได้สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องรอคิวนาน
ความยืดหยุ่น: ลูกค้าสามารถเลือกทานอาหารที่ร้านหรือสั่งอาหารกลับบ้านได้
โอกาสทางธุรกิจ: การมีบริการ Food Delivery ช่วยให้ร้านอาหารเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น เพิ่มยอดขาย และสร้างรายได้
ตัวอย่าง:
ร้านอาหาร "A" เปิดให้บริการสั่งอาหารผ่าน QR Code ลูกค้าสามารถสแกน QR Code บนโต๊ะเพื่อดูเมนู เลือกอาหาร และชำระเงินผ่านมือถือโดยไม่ต้องเรียกพนักงาน
ร้านอาหาร "B" มีบริการ Food Delivery ลูกค้าสามารถสั่งอาหารผ่านเว็บไซต์ของร้านอาหาร หรือแอปพลิเคชั่น Food Delivery ต่างๆ
สรุป:การสั่งอาหารและจ่ายเงินแบบไร้สัมผัส และบริการ Food Delivery เป็น 2 สิ่งสำคัญที่ร้านอาหารควรมีในยุค New Normal เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพิ่มความปลอดภัย และอยู่รอดในยุคหลัง COVID-19 | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51265 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ร้านชาไข่มุกสามารถนำไปใช้ได้บ้าง? | null | ในยุคดิจิทัล การมี presence ทางออนไลน์เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจทุกประเภท รวมไปถึงร้านชาไข่มุกด้วย ช่องทางออนไลน์สามารถช่วยให้ร้านเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น เพิ่มการรับรู้แบรนด์ และสร้างยอดขายได้
กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ร้านชาไข่มุกสามารถนำไปใช้ได้มีดังนี้:
- สร้างเว็บไซต์หรือหน้า Landing Page: เว็บไซต์หรือหน้า Landing Page เป็นเหมือนหน้าร้านออนไลน์ของร้านชาไข่มุก บนเว็บไซต์ ร้านสามารถลงรายละเอียดเกี่ยวกับเมนู ราคา โปรโมชั่น สาขา และข้อมูลติดต่อต่างๆ
- สร้าง Content ที่น่าสนใจ: ร้านชาไข่มุกสามารถสร้าง Content ที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาไข่มุก เช่น สูตรชาไข่มุก DIY รีวิวร้านชาไข่มุก เมนูชาไข่มุกใหม่ ข้อมูลเกี่ยวกับชาไข่มุก ฯลฯ Content เหล่านี้จะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่และสร้าง engagement กับลูกค้าปัจจุบัน
- ใช้ Social Media: Social Media เป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการดึงดูดลูกค้า ร้านชาไข่มุกควรมีบัญชี Social Media ของตัวเอง เช่น Facebook, Instagram, Twitter ฯลฯ และใช้ช่องทางเหล่านี้เพื่อโปรโมทร้าน โปรโมชั่น เมนูใหม่ และกิจกรรมต่างๆ
- ทำการตลาดออนไลน์: ร้านชาไข่มุกสามารถใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads ฯลฯ เพื่อยิงแอดโฆษณาร้าน โปรโมชั่น และเมนูใหม่ไปยังกลุ่มเป้าหมาย
- ใช้ Influencer Marketing: ร้านชาไข่มุกสามารถติดต่อ Influencer บน Social Media เพื่อให้ Influencer รีวิวร้าน โปรโมชั่น หรือเมนูใหม่
- ร่วมโปรแกรม Delivery: ร้านชาไข่มุกสามารถร่วมโปรแกรม Delivery กับ Foodpanda, GrabFood, Lineman ฯลฯ เพื่อเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อและขยายฐานลูกค้า
- จัดกิจกรรมออนไลน์: ร้านชาไข่มุกสามารถจัดกิจกรรมออนไลน์ เช่น แจก giveaway เกมตอบคำถาม ฯลฯ เพื่อสร้าง engagement กับลูกค้า
นอกจากกลยุทธ์เหล่านี้แล้ว ร้านชาไข่มุกควร:
- มีภาพลักษณ์ที่ดีบนโลกออนไลน์: รูปภาพและวิดีโอของร้านและเมนูควรมีความน่าสนใจ
- ตอบโต้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว: ร้านควรตอบโต้ข้อความและคอมเมนต์ของลูกค้าบน Social Media อย่างรวดเร็ว
- วิเคราะห์ข้อมูล: ร้านควรวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ Social Media และแคมเปญการตลาดออนไลน์ เพื่อนำมาปรับปรุงกลยุทธ์การดึงดูดลูกค้า | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51269 | Retail | ในยุคหลังโควิด ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง และแพลตฟอร์ม StoreHub ช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร? | สโตร์ฮับ (Storehub) บริษัทเทคสตาร์ทอัพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ Cloud-based SaaS Point of Sales (POS) ได้รับเงินลงทุนกว่า 13.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 500 ล้านบาทในการระดมทุนรอบ pre-Series B นำโดย 500 Global ร่วมกับนักลงทุนรายเดิมอย่าง Vertex Ventures Southeast Asia & India และ OSK รวมถึงนักลงทุนรายอื่น ๆ Wai Hong Fong ประธานกรรมการบริหาร (CEO) และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทสโตร์ฮับ กล่าวว่า ในยุคหลังโควิด การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับยุคนิวนอร์มอล (New Normal) นั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับภาคธุรกิจที่เร่งเดินหน้าเพื่อที่จะกลับมาเปิดกิจการและทำธุรกิจอีกครั้งในขณะที่ปัญหาขาดแคลนแรงงานและความต้องการในด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ที่จะเดินหน้าต่อไปโดยปราศจากเทคโนโลยี “ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘Revenge Travel’ และ ‘Revenge Dining’ หรือปรากฎการณ์การกินเที่ยวให้หายแค้นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ ต่างจับตาดู เพื่อสรรหาวิธีการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจและเพิ่มยอดขายจากลูกค้า แพลตฟอร์มสโตร์ฮับสามารถรับออเดอร์ ชำระเงิน และสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติ นั่นทำให้เราเหมือนกับมีพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 10 คนที่สามารถทำงานให้คได้ตลอด 24 ชั่วโมงตลอดสัปดาห์โดยไม่มีข้อผิดพลาด ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น และมีเวลาเหลือมากพอที่จะไปคิดแผนการขยายธุรกิจ หรือแม้กระทั่งมีเวลาว่างสำหรับครอบครัวมากขึ้น” ซีอีโอ กล่าว “ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘Revenge Travel’ และ ‘Revenge Dining’ หรือปรากฎการณ์การกินเที่ยวให้หายแค้นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ ต่างจับตาดู เพื่อสรรหาวิธีการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจและเพิ่มยอดขายจากลูกค้า แพลตฟอร์มสโตร์ฮับสามารถรับออเดอร์ ชำระเงิน และสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติ นั่นทำให้เราเหมือนกับมีพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 10 คนที่สามารถทำงานให้คได้ตลอด 24 ชั่วโมงตลอดสัปดาห์โดยไม่มีข้อผิดพลาด ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น และมีเวลาเหลือมากพอที่จะไปคิดแผนการขยายธุรกิจ หรือแม้กระทั่งมีเวลาว่างสำหรับครอบครัวมากขึ้น” ซีอีโอ กล่าว ซีอีโอของสโตร์ฮับ กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานี้ สโตร์ฮับมีการทำรายการในระบบไปแล้วกว่า 128 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับมูลค่าเงินเต็มที่ผ่านระบบ (GTV) เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปีที่ผ่านมา และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับธุรกิจร้านอาหาร มีร้านค้าใหม่ที่เข้ามาใช้บริการแพลตฟอร์มเราเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้นทุนในการดึงร้านค้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการนั้นพัฒนาขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในเดือนแรก เพื่อเป็นการตอบรับกับความต้องการที่มากขึ้น สโตร์ฮับจึงได้ขยายทีมงานด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นกว่า 100 คนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันแพลตฟอร์มของสโตร์ฮับมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 15,000 รายทั้งในร้านค้าปลีกและร้านอาหารทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และล่าสุดได้เพิ่มการให้บริการในส่วนของระบบ QR สำหรับสั่งอาหาร ระบบสมัครสมาชิกและสะสมแต้ม รวมถึงระบบสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบอัตโนมัติ และอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการมานั้น สโตร์ฮับได้เป็นส่วนหนึ่งในหลากหลายธุรกิจ SME มากมายในประเทศไทย ตั้งแต่ร้านอาหารและคาเฟ่ เช่น Flash Coffee, Cha Bar BKK, High Tide Eatery ไปจนถึงร้านค้าปลีกอย่าง Bora Korean Mart, Suitcube และยังรวมถึงธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Salondio, OJHAIR และ OnDemand เป็นต้น เมื่อปี 2564 สโตร์ฮับสามารถทำรายได้สุทธิจากการเพิ่มค่าเฉลี่ยการใช้งานต่อลูกค้าหนึ่งรายได้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด การระดมทุนรอบล่าสุดนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งาน รวมถึงเพื่อรักษาฐานลูกค้าและลงทุนในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถเพิ่มมูลค่าการใช้งานจากลูกค้าแต่ละคนได้ | สโตร์ฮับ เน้นย้ำถึงความท้าทายหลัก 2 ประการที่ธุรกิจค้าปลีกเผชิญในยุคหลังโควิด ดังนี้:
1. การขาดแคลนแรงงาน: การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างหนัก ทำให้ธุรกิจค้าปลีกมีปัญหาในการหานักงาน สิ่งนี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้า
2. ความต้องการด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น: ผู้บริโภคหันมาใช้ช่องทางดิจิทัลมากขึ้นในการช้อปปิ้ง สิ่งนี้ทําให้ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องปรับตัวและนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออนไลน์ที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
แพลตฟอร์ม StoreHub นำเสนอโซลูชันที่ช่วยธุรกิจค้าปลีกเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ ดังนี้:
1. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน: StoreHub ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถจัดการงานประจำวัน เช่น การรับออเดอร์ การชำระเงิน และการจัดการสินค้าคงคลัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านระบบอัตโนมัติ สิ่งนี้ช่วยลดความต้องการแรงงาน ช่วยให้พนักงานมีเวลาท่ีจะมุ่งเน้นไปที่การให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น และช่วยลดต้นทุนโดยรวม
2. เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออนไลน์: StoreHub นำเสนอโซลูชันอีคอมเมิร์ซที่ครบวงจร ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ใช้งานง่าย รับออเดอร์และชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ จัดการการจัดส่งสินค้า และสร้างกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล StoreHub ยังมีฟีเจอร์ CRM ท่ีช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ และสร้างแคมเปญท่ีตรง
เป้าหมาย ช่วยให้ร้านค้าสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ รักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน และเพิ่มยอดขาย
ตัวอย่างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากลูกค้า StoreHub:
ร้านอาหาร Flash Coffee เพิ่มยอดขายออนไลน์ 3 เท่าหลังจากใช้ StoreHub
ร้านชา Cha Bar BKK ลดต้นทุนการดำเนินงาน 20%
ร้านอาหาร High Tide Eatery ประหยัดเวลา 30 นาทีต่อวันในการจัดการคำสั่งซื้อ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51270 | Retail | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 5 ธุรกิจลงทุนน้อยที่เริ่มได้ง่าย ๆ ในโลกออนไลน์ | null | มาดู 5 ธุรกิจลงทุนน้อยที่เริ่มได้ง่าย ๆ ในโลกออนไลน์ กันว่ามีอะไรบ้าง เริ่มจากอันแรก การทำ Dropshipping เป็นการขายสินค้าให้คนอื่นที่สามารถบวกกำไรเข้าไปในสินค้านั้นได้ โดยไม่ต้องส่งสินค้านั้นจริง ๆ อันที่ 2 การรับออกแบบและสกรีนเสื้อยืดตามคำสั่งลูกค้า อันที่ 3 การขายสติ๊กเกอร์ โปสเตอร์ หรือการ์ดตามออร์เดอร์ลูกค้า อันที่ 4 การขายสินค้าแฮนด์เมดหรืองานฝีมือ และอันสุดท้าย การขายสินค้าดิจิตอลหรือคอร์สออนไลน์
บทเรียนจากย่อหน้านี้
5 ธุรกิจลงทุนน้อยที่เริ่มได้ง่าย ๆ ในโลกออนไลน์
1. ทำ Dropshipping
Dropshipping หรือ dropship คือ การขายสินค้าให้คนอื่นที่สามารถบวกกำไรเข้าไปในสินค้านั้นได้โดยไม่ต้องส่งสินค้านั้นจริง ๆ ซึ่งถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นตัวกลางขายสินค้าให้กับโรงงาน บริษัท หรือว่าแบรนด์นั่นเอง
ฟังดูแล้วง่ายกว่าการซื้อสต๊อกสินค้ามาตุนไว้ขายในร้าน รับสินค้ามาขาย แพ็คสินค้า หรือว่าจัดส่งสินค้าใช่ไหม เพราะการเปิดร้านเองนั้นจะต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าเยอะเลย ที่สำคัญข้อดีในการทำ dropshipping นั้นคือ ไม่ต้องมานั่งเตรียมสินค้าและจัดส่งทุกอย่างเอง เพียงแค่รับออร์เดอร์ลูกค้าแล้วส่งต่อคำสั่งซื้อให้กับคู่ค้าแล้วทางนั้นก็จะจัดการทุกอย่างเอง
นอกจากนี้ยังสามารถทำ dropshipping ได้พร้อมกันหลาย ๆ เจ้า เพียงแค่ต้องแน่ใจว่ารับมือไหวเท่านั้น เพราะแม้ว่าจะไม่ต้องจัดการแพ็คหรือจัดส่งสินค้าเอง แต่ก็ยังต้องทำการตลาดและพูดคุยกับลูกค้าเองอยู่ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีทั้งซัพพลายเออร์ในไทยและต่างประเทศที่เปิดให้เป็นพาร์ทเนอร์ dropshipping ดังนั้นลองหาข้อมูลและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา เลือกซัพพลายเออร์ที่วางใจได้หรือแบรนด์ที่สินค้าดีมีคุณภาพ จะได้ดูน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าด้วย
dropshipping เป็นธุรกิจลงทุนน้อยที่ให้คุณทดลองทำการตลาดและขายสินค้าออนไลน์ได้ง่าย ๆ ก่อนลงทุนเปิดร้านและขายสินค้าของตัวเองจริง ๆ แต่ก่อนจะทำ dropshipping กับซัพพลายเออร์ไหน ให้ทดลองสั่งสินค้ามาใช้เองก่อนเพื่อดูว่าคู่ค้าน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดและคุ้มค่ากับชื่อเสียงที่จะลงทุนหรือเปล่า
2. รับออกแบบและสกรีนเสื้อยืดตามคำสั่งลูกค้า
ธุรกิจลงทุนน้อยที่เริ่มจากออนไลน์ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การรับออกแบบและสกรีนเสื้อตามออร์เดอร์ลูกค้า ถือว่าเป็นธุรกิจที่มาแรงและได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบัน ข้อดีคือจะได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์และดีไซน์บนเสื้อยืดของแบรนด์หรือร้านเอง ทำให้ธุรกิจไม่ซ้ำกับใครในท้องตลาด และนอกจากจะออกแบบเสื้อยืดลายเก๋ ๆ พร้อมข้อความโดน ๆ แล้ว ยังเพิ่มสินค้าสไตล์สตรีทแนวเท่ ๆ หรือแนวชิค ๆ คูล ๆ เข้ามาในคอลเลคชั่นสินค้าได้ เช่น หมวก, เคสมือถือ, กระเป๋าถือ, กระเป๋าโท้ท, ถุงผ้า, เสื้อฮู้ด และกระโปรง เป็นต้น
ลองหาไอเดียสโลแกนโดน ๆ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า ดูว่าจะขายสินค้าให้กับคนกลุ่มไหน จากนั้นก็คิดคำโดน ๆ ได้เลย เช่น ถ้ากลุ่มลูกค้าเป็นคนรักชาไข่มุก ก็ดูว่ามีคำไหนที่จะโดนใจลูกค้าบ้าง เป็น “Boba for Life” หรือเปล่า หรือว่าถ้ากลุ่มลูกค้าเป็นคนรักแมวก็อาจจะสกรีนรูปแมว หรือคำว่า “ทาสแมว” เป็นต้น จำไว้ว่าลายสกรีนหรือข้อความโดนใจกลุ่มลูกค้า ยังไงธุรกิจออกแบบและสกรีนเสื้อยืดก็มีโอกาสโตแน่นอน
ทั้งนี้เคล็ดลับที่ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายดีขึ้นในการรับออกแบบและสกรีนเสื้อยืดก็คือ ให้ลองหาที่ขายส่งเสื้อยืดและซื้อมาตุนไว้ เพราะยังไงก็ราคาถูกกว่าซื้อมาสกรีนทีละตัวแน่นอน และเพื่อบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลองใช้ระบบ POS หรือโปรแกรมขายหน้าร้านอย่างของสโตร์ฮับที่จัดการได้ตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงระบบหลังบ้าน ให้จัดการสต๊อกและวางแผนร้านได้ง่ายขึ้นหลายเท่าตัว
3. ขายสติ๊กเกอร์ โปสเตอร์ หรือการ์ดตามออร์เดอร์ลูกค้า
หากมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะ หรือถ่ายรูปเก่ง สามารถหันมาเอาดีทางด้านนี้ได้ โดยไม่ต้องสต๊อกสินค้าหรือว่าทำสินค้าออกมากองไว้รอขาย เพียงแต่ต้องรอให้ลูกค้าพรีออร์เดอร์สินค้าแล้วค่อยลงมือทำเท่านั้น ธุรกิจประเภทนี้จึงจัดว่าเป็นธุรกิจลงทุนน้อยและไม่ต้องมีหน้าร้านให้เปลืองงบ ที่สำคัญการธุรกิจออกแบบสติ๊กเกอร์ โปสเตอร์ และการ์ดนี้ยังช่วยให้ออกแบบสินค้าได้ตามใจชอบอีกด้วย
สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจนี้ได้ง่าย ๆ จาก Social Media โดยเปิดเพจ Facebook หรือสร้าง IG ร้าน แสดงตัวอย่างสินค้าอย่างสร้างสรรค์ให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ฝากเพื่อนกดไลค์ กดแชร์ เพื่อให้ร้านเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น หรือถ้าเป็นนักวาดการ์ตูน หรือช่างถ่ายภาพที่มีคนติดตามจำนวนหนึ่งอยู่แล้วก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มทำธุรกิจประเภทนี้
ลองหาดูไอเดียในการออกแบบสติ๊กเกอร์ โปสเตอร์ และการ์ดประเภทต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ดู รับรองว่ามีเทมเพลตดูเยอะแน่นอน แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะดูจากเว็บไหน Pinterest กับ Placeit ก็ถือว่าเจ๋งมาก ๆ เลยทีเดียว แล้วยังแสดงสินค้าได้บนเว็บ Placeit โดยไม่ต้องปริ้นต์สินค้าออกมาจริง ๆ และลงมือถ่ายรูปเองอีกด้วย
4. ขายสินค้าแฮนด์เมดหรืองานฝีมือ
หากเป็นคนที่เก่งเรื่องงานฝีมือ หรือ DIY อาจจะเป็นสบู่ DIY, เทียน DIY, จานรองแก้ว DIY หรือว่าเครื่องปั้นดินเผา ก็ถือว่ามีความสามารถเฉพาะตัวที่จะเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ได้ คือคนที่พัฒนาและจัดหาสินค้าเอง ซึ่งไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นที่ต้องวางแผนและคำนึงในเรื่องของการจัดการสต๊อกสินค้าและการจัดส่งสินค้า
สำหรับธุรกิจลงทุนน้อยข้อนี้ สามารถเริ่มทำได้ง่าย ๆ เริ่มจากรับออร์เดอร์ลูกค้ามาทีละน้อย ๆ จนสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่องจากสินค้าแฮนด์เมด นี่ถือเป็นวิธีที่เรียบง่ายและใช้งบน้อยที่สุด หรือไม่ก็ลองทำสินค้าขึ้นมาแล้วทำเพจ IG หรือฝากขายกับร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ อย่าง Lazada หรือ Shopee ก็ได้ เพื่อให้สินค้ามีโอกาสเข้าถึงลูกค้าในวงที่กว้างขึ้นและเพิ่มโอกาสขายสินค้า
แต่อย่าลืมว่า เริ่มต้นทำทีละน้อย ๆ ก่อน เมื่อมีออร์เดอร์เข้ามามากพอ จะรู้เองว่าเมื่อไหร่ที่ควรมีหน้าร้านและลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายไลน์สินค้า ทั้งนี้อย่าลืมศึกษาข้อมูลและกฎหมายของสินค้าแต่ละประเภทให้ดีด้วย ยิ่งเป็นสินค้าที่ลูกค้ากินได้ สูดดมได้ หรือเป็นสกินแคร์ ยิ่งต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วน
5. ขายสินค้าดิจิตอลหรือคอร์สออนไลน์
สินค้าดิจิตอลอย่างดนตรี คอร์สออนไลน์ หรือเทมเพลต ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร เพราะไอเดียธุรกิจลงทุนน้อยอื่น ๆ ที่เราได้เสนอไปนั้นเป็นสินค้าที่จับต้องได้ ต้องผลิตสินค้าเพิ่มบ่อย ๆ หรือว่าต้องจัดส่งสินค้าเมื่อมีออร์เดอร์เข้ามา ไม่เหมือนธุรกิจออนไลน์ประเภทนี้ที่ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องพวกนี้ให้ปวดหัว ที่สำคัญกำไรสูงมาก ๆ
เคล็ดลับในการทำธุรกิจออนไลน์ลงทุนน้อยประเภทนี้อยู่ที่ตัวสินค้า คือต้องหาให้ได้ว่าสินค้าดิจิตอลตัวไหนที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้ซื้อ และต้องดีแต่ไหนพวกเขาจึงจะเต็มใจจ่ายเพื่อดาวน์โหลดสินค้าดิจิตอลมาใช้งาน
ในปัจจุบันจะเห็นว่าเร้นจ์สินค้าประเภทนี้มีหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่คอร์สเรียนดนตรีออนไลน์ไปจนถึงธุรกิจขายรูปถ่ายออนไลน์ หรือจะเป็นธุรกิจที่ช่วยเสริมสร้างทักษะในการทำงานก็ได้ เช่น SEO, Digital Marketing และ Copywriting เป็นต้น ขอย้ำว่า หากมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านเหล่านี้ สามารถเปลี่ยนเป็นรายได้เสริมเบื้องต้นได้แน่นอน และเมื่อมีฐานลูกค้าออนไลน์แน่นพอแล้ว จะขยายเป็นธุรกิจออนไลน์ด้านนี้แบบเต็มตัวก็ถือว่าเข้าท่าเลย | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51272 | Retail | ร้านขายอาหารสัตว์ควรมีบริการรับฝากสัตว์เลี้ยงหรือไม่? | null | ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ปัจจัยที่ควรพิจารณา:
กลุ่มลูกค้า:
- ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักของร้านเป็นใคร
- ลูกค้ามีไลฟ์สไตล์แบบไหน
- ลูกค้ามีความต้องการใช้บริการรับฝากสัตว์เลี้ยงหรือไม่
ขนาดร้านและพื้นที่:
- ร้านมีพื้นที่เพียงพอสำหรับรองรับบริการรับฝากสัตว์เลี้ยงหรือไม่
- พื้นที่สำหรับรับฝากสัตว์เลี้ยงมีการจัดการอย่างถูกสุขอนามัย ปลอดภัย และสะดวกสบายสำหรับสัตว์เลี้ยงหรือไม่
ทรัพยากร:
- ร้านมีบุคลากรเพียงพอสำหรับดูแลสัตว์เลี้ยงที่รับฝากหรือไม่
- บุคลากรมีทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ในการดูแลสัตว์เลี้ยงหรือไม่
คู่แข่ง:
- ร้านค้าคู่แข่งในบริเวณใกล้เคียงมีบริการรับฝากสัตว์เลี้ยงหรือไม่
- ร้านค้าคู่แข่งมีจุดเด่นและจุดด้อยด้านบริการรับฝากสัตว์เลี้ยงอย่างไร
ความเสี่ยง:
ร้านสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยงที่รับฝากได้หรือไม่
ข้อดีของการมีบริการรับฝากสัตว์เลี้ยง:
- เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ของร้าน เช่น อาหารสัตว์ อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง บริการอาบน้ำตัดขน ฯลฯ
- ดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการ
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
- เพิ่มรายได้ให้กับร้าน
ข้อเสียของการมีบริการรับฝากสัตว์เลี้ยง:
- เพิ่มต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสถานที่ อุปกรณ์ อาหาร พนักงาน ฯลฯ
- เพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง
- อาจเกิดปัญหาการร้องเรียนจากลูกค้า
สรุป:
ร้านขายอาหารสัตว์ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้นอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจว่าจะให้บริการรับฝากสัตว์เลี้ยงหรือไม่ ร้านควรมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีทรัพยากรที่เพียงพอ และมีระบบการจัดการที่ดี เพื่อให้บริการรับฝากสัตว์เลี้ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ตัวอย่าง:
- ร้านขายอาหารสัตว์ขนาดเล็กที่มีพื้นที่จำกัด อาจไม่เหมาะสมที่จะให้บริการรับฝากสัตว์เลี้ยง
- ร้านขายอาหารสัตว์ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม อาจมีความต้องการใช้บริการรับฝากสัตว์เลี้ยง
- ร้านขายอาหารสัตว์ที่ตัดสินใจให้บริการรับฝากสัตว์เลี้ยง ควรมีระบบการจองคิว ระบบการดูแลสัตว์เลี้ยง และระบบการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่ชัดเจน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51278 | Retail | วิธีการทำร้านให้ปังในโซเชียล | null | 10 วิธีสุดสมาร์ท ทำร้านให้ปัง ง่าย ๆ ด้วย Social Media Social media คือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้าง Brand Awareness ผ่านคอนเทนต์ เพราะในปัจจุบันใคร ๆ ก็ใช้ Facebook และ Instagram กันทั้งนั้น ซึ่งจากข้อมูลของ The Flight Digital ในปี 2020 ก็พบว่า 75% ของคนไทยใช้ Social Media นับเป็น 49% ของประชากรทั้งหมด มีผู้ใช้งาน Facebook กว่า 47 ล้านบัญชี และ Instagram 12 ล้านบัญชี Social media คือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้าง Brand Awareness ผ่านคอนเทนต์
1. Facebook Group Facebook Group หรือ กลุ่ม Facebook คือช่องทางที่รวมกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายกัน ความชอบคล้ายกัน มักจะก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อาจจะเป็นกลุ่มคนทำร้านอาหาร, กลุ่มคนเปิดร้านขายของชำ, กลุ่มคนขายเสื้อผ้า, กลุ่มสำหรับ Food Delivery ฯลฯ ในปัจจุบัน Facebook Group ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการและเจ้าของร้านสามารถโปรโมทสินค้าและบริการได้แบบฟรี ๆ
2. ยิงแอด/โฆษณา ภาพจากเฟสบุ๊คคาแรคเตอร์ สตูดิโอ – Characters Studio และเฟสบุ๊ค CHA BAR BKK คาแรคเตอร์ สตูดิโอ – Characters Studio และเฟสบุ๊ค CHA BAR BKK รู้ไหมว่าการยิงแอดโฆษณาบน Facebook และ Instagram
3. Facebook Live ภาพจากเฟสบุ๊ค Choushoes เมื่อมีฐานลูกค้า แฟนเพจ และยอดผู้ติดตามแล้ว คราวนี้มาเริ่มขายของบน Facebook Live กันเลย ! เมื่อมีฐานลูกค้า แฟนเพจ และยอดผู้ติดตามแล้ว คราวนี้มาเริ่มขายของบน Facebook Live กันเลย ! ไม่ว่าจะไลฟ์สดขายเสื้อผ้า ขายต่างหู หรือขายสินค้าประเภทไหนก็ทำได้หมด
4. แฮชแท็ก ภาพตัวอย่างผลการค้นหาแฮชแท็กบน Instagram ผู้ใช้งาน IG สามารถติดตามแฮชแท็กบน Instagram ได้แล้ว นั่นหมายความว่า โพสต์ของคุณจะปรากฏบนหน้าฟีดของพวกเขาแม้ผู้ใช้งานเหล่านั้นจะไม่ได้ติดตาม IG ของร้านคุณก็ตาม
5. IG Story ภาพ IG Story จาก ColourPop Cosmetics, Multy Beauty และ CHA BAR BKK โพสต์คอนเทนต์แนวธรรมชาติ เป็นกันเอง และเป็นภาพจากการใช้งานจริงใน IG Story ของร้าน
6. Influencer Marketing ภาพจากไอจี ISSUE Thailand หากคุณมีงบประมาณ ลองหา Influencer มาโปรโมทสินค้าของคุณดู เพราะ Influencer คือคนที่มียอดผู้ติดตามเยอะ วิธีนี้จึงช่วยให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยโน้มน้าวให้ผู้คนชื่นชอบสินค้าของคุณได้เป็นอย่างดี
7. Location Tag/เช็คอิน ภาพตัวอย่างผลการค้นหาตำแหน่ง (Location)/การเช็คอินบน Instgram Location Tag การแท็กโลเคชั่น หรือว่าการเช็คอิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ผู้คนค้นพบร้านของคุณง่ายขึ้น
8. ความถี่ในการโพสต์ ภาพจาก Hubspot สำหรับความถี่ในการโพสต์บน Facebook นั้น ข้อมูลจาก HubSpot ระบุว่าขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามของเพจร้าน เช่น สำหรับความถี่ในการโพสต์บน Facebook นั้น ข้อมูลจาก HubSpot ระบุว่าขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามของเพจร้าน
9. วันและเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์ น่าเสียดายท่ีไม่มีวันหรือเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Social Media น่าเสียดายท่ีไม่มีวันหรือเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Social Media เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่อยู่และธุรกิจของเรา ดังนั้นอย่ากลัวที่จะทดลองด้วยตัวคุณเอง
10. ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ไหนลองดูซิว่าโพสต์แต่ละโพสต์เป็นยังไงบ้าง มี Engagement ยอดไลค์ หรือว่า Reach เป็นยังไง ไปที่ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของเพจ Facebook และ IG ร้านของคุณได้เลย ไหนลองดูซิว่าโพสต์แต่ละโพสต์เป็นยังไงบ้าง มี Engagement ยอดไลค์ หรือว่า Reach เป็นยังไง ไปที่ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของเพจ Facebook และ IG ร้านของคุณได้เล | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51282 | Retail | เพราะเหตุใดการมีความเคลื่อนไหวบน Social Media และ Google เป็นหนึ่งในวิธีโปรโมทร้านค้า ร้านอาหาร ผ่านโซเชี่ยลแบบประหยัด คุ้มค่า และได้ผลจริง | เปิดร้านค้าออนไลน์ หรือเปิดให้บริการ สั่งอาหารออนไลน์ Food Delivery กันเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ?
ถ้าใช่ ตอนนี้ก็ถึงเวลาทำยอดขายกันแล้ว
แต่ว่าคุณจะทำให้ร้านของคุณเป็นที่รู้จักได้โดยไม่ต้องเสียเงินเยอะ ๆ ยังไง ?
บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ! เพราะวันนี้เรามี 3 วิธีโปรโมทร้านสุดประหยัด ทั้งยังคุ้มค่า และได้ผลจริง รับรองว่าคราวนี้ร้านค้าออนไลน์และบริการ Food Delivery ของร้านคุณจะเป็นที่รู้จักและอยู่ในสายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแน่นอน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย
1. มีความเคลื่อนไหวบน Social Media และ Google
ฟังดูเหมือนจะง่ายใช่ไหมล่ะ ? แต่เท่าที่สั่งเกตแล้ว เราไม่ค่อยเห็นร้านค้ากับร้านอาหารขนาดเล็กให้ความสำคัญกับเรื่องความเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดียและกูเกิ้ลเท่าไหร่
ทำไมไม่ลองหันมาสร้างโอกาสในการขายทางนี้บ้างล่ะ ?
เพราะจริง ๆ แล้วร้านค้าและร้านอาหารของคุณสามารถเพิ่มยอดขายผ่านการเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ได้ แล้วคนไทยเราก็ใช้เวลาบนอินเตอร์เน็ตมากถึงวันละ 9 ชั่วโมงและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ Social Media
เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาที่คุณจะวางแผนกลยุทธ์เพื่อโปรโมทร้านและเริ่มโพสต์ตามแพลตฟอร์มเหล่านี้แล้ว :-
เพจเฟสบุ๊ค (Facebook Page)
ไอจี/อินสตาแกรม (Instagram)
ไอจี สตอรี่ (Instagram Story)
กลุ่มเฟสบุ๊ค (Facebook Group)
ทวิตเตอร์ (Twitter)
ไม่รู้ว่าจะโพสต์อะไรในโซเชียลมีเดียของร้านคุณ ? ไม่ต้องห่วง เพราะคุณสามารถโพสต์คอนเทนต์แนว ๆ นี้ได้
วิดีโอสาธิตการใช้งานสินค้า – โชว์ลูกค้าว่าสินค้าของคุณใช้ยังไง หรือใช้แบบไหนได้บ้าง
วิดีโอ Behind-the-scene – โชว์เบื้องหลังการทำงานให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นว่าร้านคุณใส่ใจและพยายามอย่างหนักเพื่อให้พวกเขาได้สินค้าและบริหารที่ดีที่สุด อาจจะเป็นคลิปการทำงานของทีมงานในร้านแต่ละวัน หรือขั้นตอนการทำ/เลือกวัตถุดิบอาหารแต่ละเมนู เพื่อสร้างคอนเน็คชั่น (Connection) กับลูกค้าของคุณ
Social Proof – แคปหน้าจอหรือแชร์ภาพที่ลูกค้าพูดถึงคุณ
ในส่วนของ Google นั้น ถือเป็นโปรแกรมค้นหา (Search Engine) สุดโปรดของทุกคนอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะหาข้อมูลเรื่องช้อปปิ้ง กินข้าว ดูหนัง หาหมอ ดิกออนไลน์ หรือว่าเรื่องไหน ๆ ก็ต้องถาม Google เป็นที่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ?
โปรไฟล์ร้าน Snaffle's Thailand บน Google My Business
คุณรู้มั้ยว่า . . .
บัญชี Google My Business ของคุณสามารถแสดงผลได้มากกว่า 1,000 ครั้งต่อเดือน ?!
แล้วคุณก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาดูโปรไฟล์ร้านบน Google My Business ของคุณอีกด้วย
ที่สำคัญ 5% ของจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมดยังคลิกเว็บไซต์ร้าน กดโทร และเรียกเส้นทางไปยังร้านด้วย
ซึ่งหมายความว่าคุณมีโอกาสสร้างยอดขายจาก Google My Business มากกว่าครึ่ง !
ดังนั้นทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากบัญชี Google My Business และอัพเดตข้อมูลธุรกิจของร้านคุณให้พร้อมล่ะ ?
ลองโพสต์เนื้อหาบน Google My Business และใส่ข้อมูลดังต่อไปนี้ :-
ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจ – เกี่ยวกับสินค้าหรือเมนูสั่งอาหารออนไลน์ Food Delivery ของร้าน
ข้อมูลสำคัญ – ใส่ข้อมูลต่าง ๆ ของร้านออนไลน์และร้านอาหารของคุณให้ครบ อย่าลืมมีสินค้าแนะนำหรือเมนูน่าลองให้ลูกค้าได้พิจารณากันด้วย
ลิ้งค์ – ลิ้งค์ไปยังหน้าร้านค้าออนไลน์ หรือลิ้งค์สำหรับสั่งอาหารออนไลน์ Food Delivery สำหรับร้านคุณ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมร้านของคุณบน Google My Business กดเข้าไปดูได้ทันที
ยังไม่มีบัญชี Google My Business สำหรับร้านค้าหรือร้านอาหารของคุณ ? สมัครใช้งานเลยที่นี่ !
วิธีสร้างบัญชีร้านใน Google My Business
ภาพจาก Google My Business
2. ใส่แฮชแท็ก # ที่เกี่ยวข้อง
แฮชแท็ก # ในโพสต์ต่าง ๆ จะช่วยให้คนที่สนใจหัวข้อของคุณเจอโพสต์ของคุณง่ายขึ้น
ดังนั้นแฮชแท็ก # จะช่วยให้ร้านค้าออนไลน์และร้านอาหารของคุณ
สร้างแบรนด์ – คิดแฮชแท็กเป็นของร้านคุณเอง เช่น #StoreHub #StoreHubEcommerce #StoreHubShares
ติดต่อสื่อสารกับลูกค้า – ให้คุณใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในโลกออนไลน์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
โปรโมทแคมเปญการตลาดออนไลน์ – เพิ่ม Engagement จัดแคมเปญที่น่าสนใจให้กับลูกค้า เช่น กดไลค์ กดแชร์ หรือคอมเมนต์ เป็นต้น
หากคุณเป็นลูกค้าสโตร์ฮับที่เปิดร้านอาหารอยู่แล้ว ก็แค่เปิดใช้งาน Beep Delivery กับเรา และนี่ก็คือแฮชแท็กที่เราแนะนำให้ใส่ในโซเชียลมีเดียสำหรับร้านคุณที่เปิดใช้งานเมื่อเปิดใช้งาน Beep Delivery กับเรา:
#BeepDelivery #SaveOurStores #FoodDeliveryTH #Saveร้าน #SaveSMEs #StoreHub #สโตร์ฮับ #Saveร้านอาหาร
ยังไม่แน่ใจว่าต้องใช้แฮชแท็กไหน ?
ลองใช้ Hashtag Geenerator หรือดูตามไอจีและโซเชียลมีเดียที่คนดัง ๆ กับคู่แข่งของคุณใช้ได้เลย
ส่วนจำนวนแฮชแท็ก # ที่ดีที่สุดของ Social Media แต่ละแพลตฟอร์ม ก็คือ
Facebook – ใส่ได้สูงสุด 4 แฮชแท็ก
Instagram – ใส่ได้สูงสุด 30 แฮชแท็ก
Twitter – ใส่ได้สูงสุด 4 แฮชแท็ก | เพราะจริง ๆ แล้วร้านค้าและร้านอาหารของคุณสามารถเพิ่มยอดขายผ่านการเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ได้ แล้วคนไทยเราก็ใช้เวลาบนอินเตอร์เน็ตมากถึงวันละ 9 ชั่วโมงและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ Social Media
ไม่รู้ว่าจะโพสต์อะไรในโซเชียลมีเดียของร้านคุณ ? ไม่ต้องห่วง เพราะคุณสามารถโพสต์คอนเทนต์แนว ๆ นี้ได้
วิดีโอสาธิตการใช้งานสินค้า – โชว์ลูกค้าว่าสินค้าของคุณใช้ยังไง หรือใช้แบบไหนได้บ้าง
วิดีโอ Behind-the-scene – โชว์เบื้องหลังการทำงานให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นว่าร้านคุณใส่ใจและพยายามอย่างหนักเพื่อให้พวกเขาได้สินค้าและบริหารที่ดีที่สุด อาจจะเป็นคลิปการทำงานของทีมงานในร้านแต่ละวัน หรือขั้นตอนการทำ/เลือกวัตถุดิบอาหารแต่ละเมนู เพื่อสร้างคอนเน็คชั่น (Connection) กับลูกค้าของคุณ
Social Proof – แคปหน้าจอหรือแชร์ภาพที่ลูกค้าพูดถึงคุณ
ในส่วนของ Google นั้น ถือเป็นโปรแกรมค้นหา (Search Engine) สุดโปรดของทุกคนอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะหาข้อมูลเรื่องช้อปปิ้ง กินข้าว ดูหนัง หาหมอ ดิกออนไลน์ หรือว่าเรื่องไหน ๆ ก็ต้องถาม Google เป็นที่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ?
คุณรู้มั้ยว่า บัญชี Google My Business ของคุณสามารถแสดงผลได้มากกว่า 1,000 ครั้งต่อเดือน ?
แล้วคุณก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาดูโปรไฟล์ร้านบน Google My Business ของคุณอีกด้วย ที่สำคัญ 5% ของจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมดยังคลิกเว็บไซต์ร้าน กดโทร และเรียกเส้นทางไปยังร้านด้วย ซึ่งหมายความว่าคุณมีโอกาสสร้างยอดขายจาก Google My Business มากกว่าครึ่ง
ดังนั้นทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากบัญชี Google My Business และอัพเดตข้อมูลธุรกิจของร้านคุณให้พร้อมล่ะ ?
ลองโพสต์เนื้อหาบน Google My Business และใส่ข้อมูลดังต่อไปนี้ :-
ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจ – เกี่ยวกับสินค้าหรือเมนูสั่งอาหารออนไลน์ Food Delivery ของร้าน
ข้อมูลสำคัญ – ใส่ข้อมูลต่าง ๆ ของร้านออนไลน์และร้านอาหารของคุณให้ครบ อย่าลืมมีสินค้าแนะนำหรือเมนูน่าลองให้ลูกค้าได้พิจารณากันด้วย
ลิ้งค์ – ลิ้งค์ไปยังหน้าร้านค้าออนไลน์ หรือลิ้งค์สำหรับสั่งอาหารออนไลน์ Food Delivery สำหรับร้านคุณ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมร้านของคุณบน Google My Business กดเข้าไปดูได้ทันที | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51288 | Retail | Dots Coffee คืออะไร | Dots Coffee พิสูจน์แล้ว! iPad POS สโตร์ฮับใช้งานง่ายแม้มองไม่เห็น ถ้าคุณไม่เคยรู้จักระบบ POS มาก่อน คุณคิดว่าระบบขายหน้าร้านระบบนี้ใช้งานง่ายแค่ไหน คิดว่ายากหรือซับซ้อนเกินไปสำหรับคนปกติทั่วไปหรือเปล่า ? ถ้าคุณไม่เคยรู้จักระบบ POS มาก่อน คุณคิดว่าระบบขายหน้าร้านระบบนี้ใช้งานง่ายแค่ไหน คิดว่ายากหรือซับซ้อนเกินไปสำหรับคนปกติทั่วไปหรือเปล่า ? รู้หรือไม่ว่า iPad POS สโตร์ฮับของเราใช้งานง่ายแม้มองไม่เห็น ?! รู้หรือไม่ว่า iPad POS สโตร์ฮับของเราใช้งานง่ายแม้มองไม่เห็น ?! ใช่แล้ว ! คุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะเราเพิ่งมีโอกาสสาธิตการใช้งานให้กับร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยร้านนี้คือ Dots Coffee มีผู้ให้บริการเป็นผู้พิการทางสายตาทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งบาริสต้าและผู้จัดการร้านไม่สามารถมองเห็นปุ่มหรือหน้าจอขณะใช้งาน ใช่แล้ว ! คุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะเราเพิ่งมีโอกาสสาธิตการใช้งานให้กับร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยร้านนี้คือ Dots Coffee มีผู้ให้บริการเป็นผู้พิการทางสายตาทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งบาริสต้าและผู้จัดการร้านไม่สามารถมองเห็นปุ่มหรือหน้าจอขณะใช้งาน วันนี้เราจึงมีเรื่องราวอันน่าประทับใจระหว่างการสาธิตใช้งานระบบ POS ฟรีของสโตร์ฮับกับร้าน Dots Coffee มาเล่าให้ฟังด้วย วันนี้เราจึงมีเรื่องราวอันน่าประทับใจระหว่างการสาธิตใช้งานระบบ POS ฟรีของสโตร์ฮับกับร้าน Dots Coffee มาเล่าให้ฟังด้วย Dots Coffee คือใคร ? ภาพจาก Unsplash Dots Coffee คือ ร้านกาแฟ แห่งแรกของโลกที่ให้บริการโดยผู้พิการทางสายตา (Visually Impaired) ทั้งหมด โดยพนักงานหน้าร้านอย่างบาริสต้าและผู้จัดการร้านที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นจะเป็นผู้ให้บริการลูกค้า Dots Coffee คือ ร้านกาแฟ แห่งแรกของโลกที่ให้บริการโดยผู้พิการทางสายตา (Visually Impaired) ทั้งหมด Dots Coffee ร้านกาแฟ แห่งแรกของโลกที่ให้บริการโดยผู้พิการทางสายตา (Visually Impaired) ทั้งหมด โดยพนักงานหน้าร้านอย่างบาริสต้าและผู้จัดการร้านที่มี ความบกพร่องทางการมองเห็น จะเป็นผู้ให้บริการลูกค้า และพี่ ๆ เหล่านี้ก็มีความรู้เรื่องกาแฟเป็นอย่างดี กาแฟแต่ละแก้วที่เสิร์ฟจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นสุดผ่อนคลายและมีรสชาติแสนอร่อยที่เต็มไปด้วยคุณค่า ทุกครั้งที่มาเยือนร้านลูกค้าก็จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันสนุกสนาน อบอุ่น และเป็นกันเองจากการบริการของพี่ ๆ และพี่ ๆ เหล่านี้ก็มีความรู้เรื่องกาแฟเป็นอย่างดี กาแฟแต่ละแก้วที่เสิร์ฟจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นสุดผ่อนคลายและมีรสชาติแสนอร่อยที่เต็มไปด้วยคุณค่า ทุกครั้งที่มาเยือนร้านลูกค้าก็จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันสนุกสนาน อบอุ่น และเป็นกันเองจากการบริการของพี่ ๆ ร้านกาแฟ Dots Coffee ตั้งอยู่ที่ไหน ? ภาพจาก Sustainability @KMUTT ร้านกาแฟ Dots Coffee ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคาร KX – Knowledge Exchange Center พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ย่านฝั่งธนใกล้ ๆ กับสถานี BTS วงเวียนใหญ่และสถานี BTS กรุงธนบุรี ร้านกาแฟ Dots Coffee ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคาร KX – Knowledge Exchange Center พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ย่านฝั่งธนใกล้ ๆ กับสถานี BTS วงเวียนใหญ่และสถานี BTS กรุงธนบุรี จุดเริ่มต้นเรื่องราวของ Dots Coffee กับสโตร์ฮับของเรา ภาพจาก Picjumbo เรื่องราวของร้านกาแฟสุดพิเศษ Dots Coffee กับ สโตร์ฮับ นั้นเริ่มจากการที่ทีมงานของเราได้เดินทางไปสาธิตการใช้งานระบบ POS ฟรีให้กับทางร้าน แต่…ทีมงานของเราไม่รู้มาก่อนว่าร้านกาแฟแห่งนี้ไม่ใช่ร้านทั่วไป จนกระทั่งถึงเวลาเริ่มการสาธิต เรื่องราวของร้านกาแฟสุดพิเศษ Dots Coffee กับ สโตร์ฮับ นั้นเริ่มจากการที่ทีมงานของเราได้เดินทางไปสาธิตการใช้งานระบบ POS ฟรีให้กับทางร้าน แต่…ทีมงานของเราไม่รู้มาก่อนว่าร้านกาแฟแห่งนี้ไม่ใช่ร้านทั่วไป จนกระทั่งถึงเวลาเริ่มการสาธิต จากนั้นคุณกวินก็ถามทีมงานของเราว่า ระบบ POS ของเรามีเสียงพูดหรือฟังก์ชั่นคำสั่งเสียงที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมองหรือสัมผัสหน้าจอหรือเปล่า ? จากนั้นคุณกวินก็ถามทีมงานของเราว่า ระบบ POS ของเรามีเสียงพูดหรือฟังก์ชั่นคำสั่งเสียงที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมองหรือสัมผัสหน้าจอหรือเปล่า ? ทีมงานของเราแปลกใจและเริ่มสงสัยว่าทำไมร้านกาแฟแห่งนี้ถึงจำเป็นต้องใช้ระบบ POS ที่พร้อมฟังก์ชั่นเสียง แต่ทันใดนั้นคุณกวินก็พูดขึ้นมาว่า ทีมงานของเราแปลกใจและเริ่มสงสัยว่าทำไมร้านกาแฟแห่งนี้ถึงจำเป็นต้องใช้ระบบ POS ที่พร้อมฟังก์ชั่นเสียง แต่ทันใดนั้นคุณกวินก็พูดขึ้นมาว่า “ดูพวกเขาสิ จะใช้ระบบ POS ได้ยังไง ?” “ดูพวกเขาสิ จะใช้ระบบ POS ได้ยังไง ?” “ดูพวกเขาสิ จะใช้ระบบ POS ได้ยังไง ?” ทีมงานของเราตกใจและอึ้งไปสักพัก เพราะขณะมองไปที่พนักงานนั้น พวกเขาเห็นบาริสต้า 5 คนกำลังทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์และบาริสต้าเหล่านั้นก็มีความบกพร่องทางการมองเห็นทั้งหมด ทีมงานของเราตกใจและอึ้งไปสักพัก เพราะขณะมองไปที่พนักงานนั้น พวกเขาเห็น บาริสต้า 5 คนกำลังทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์และบาริสต้าเหล่านั้นก็มีความบกพร่องทางการมองเห็นทั้งหมด ภาพจาก Unsplash แต่ทีมงานของเราก็ไม่ยอมแพ้และพยายามหาทางช่วยให้พนักงานเหล่านั้นได้ใช้ระบบ POS สโตร์ฮับอย่างคล่องตัวเหมือนกับลูกค้าอื่น ๆ ทั่วไป แล้วก็โชคดีมากที่ iPad POS ของเรามีฟีเจอร์ VoiceOver ที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง iPad โดยตรง เพราะฟีเจอร์นี้เป็นประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่มองเห็นไม่ชัดหรือมีความบกพร่องทางการมองเห็น สามมารถบอกได้อย่างละเอียดว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่หน้าจอบ้าง แล้วยังใช้งานได้ตามคำสั่งนิ้วอย่างง่ายดายด้วย เมื่อพบทางออกแล้ว ทีมงานสโตร์ฮับของเราทดลองใช้งานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ด้วยฟีเจอร์ VoiceOver เพื่อให้แน่ใจว่าระบบ POS ของเรา User-friendly และใช้งานง่ายสำหรับบาริสต้าที่ร้านกาแฟ Dots Coffee จริง ๆ และเมื่อทีมงานมั่นใจแล้วว่าฟังก์ชั่นระบบ POS ของเราสามารถทำงานร่วมกับ VoiceOver บน iPad ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานของเราก็ให้ทางร้านทดลองใช้งานระบบฟรี 14 วัน หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานระบบ POS ฟรีครบ 14 วันแล้ว ในที่สุด Dots Coffee ก็ตัดสินใจเลือกใช้งาน iPad POS ของสโตร์ฮับที่ร้านกาแฟ โดยให้เหตุผลว่าระบบขายหน้าร้านของเราใช้งานง่ายมากและเป็นมิตรต่อพนักงานที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นของทางร้าน สโตร์ฮับขอบคุณลูกค้า Dots Coffee ภาพจาก Pixabay ทางสโตร์ฮับของเราขอขอบคุณร้าน Dots Coffee เป็นอย่างยิ่งที่วางใจเลือกใช้งานระบบ POS ของเรา เรารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้พิการทางสายตาเหล่านี้ ทางสโตร์ฮับของเราขอขอบคุณร้าน Dots Coffee เป็นอย่างยิ่งที่วางใจเลือกใช้งานระบบ POS ของเรา เรารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้พิการทางสายตา เหล่านี้ นอกจากนี้ Dots Coffee ยังเติมพลังให้ทีมงานสโตร์ฮับของเรามีพลังในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นบาริสต้าของร้านใช้งาน iPad POS ของเราแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้ว่านี่คือ สิ่งที่เรารอคอย แล้วประสบการณ์เช่นนี้ก็มีค่าและมีความหมายสำหรับเรายิ่งกว่าสิ่งไหนเสียอีก นอกจากนี้ Dots Coffee ยังเติมพลังให้ทีมงานสโตร์ฮับของเรามีพลังในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นบาริสต้าของร้านใช้งาน iPad POS ของเราแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้ว่านี่คือ สิ่งที่เรารอคอย แล้วประสบการณ์เช่นนี้ก็มีค่าและมีความหมายสำหรับเรายิ่งกว่าสิ่งไหนเสียอีก อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเส้นทางการใช้งานระบบ POS ร้านกาแฟของ Dots Coffee กับ สโตร์ฮับ เท่านั้น แล้วเราก็หวังว่า iPad POS ของเราจะช่วยให้การขายและการจัดการร้านของ Dots Coffee เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ยังไงทางสโตร์ฮับของเราขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจและติดตามร้าน Dots Coffee ต่อไปด้วยนะคะ โดยสามารถติดตามได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ค่ะ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเส้นทางการใช้งานระบบ POS ร้านกาแฟของ Dots Coffee กับ สโตร์ฮับ เท่านั้น แล้วเราก็หวังว่า iPad POS ของเราจะช่วยให้การขายและการจัดการร้านของ Dots Coffee เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ยังไงทางสโตร์ฮับของเราขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจและติดตามร้าน Dots Coffee ต่อไปด้วยนะคะ โดยสามารถติดตามได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ค่ะ Facebook: เว็บไซต์: เว็บไซต์: ทิ้งท้าย นอกจากระบบขายหน้าร้าน iPad POS ของเราจะมีฟีเจอร์การใช้งานพร้อมระบบหลังบ้านที่ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมแล้ว เรายังพัฒนาระบบ POS ของเราให้ใช้งานง่ายมากที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของร้านสามารถเข้าใจการใช้งานภายในเวลาอันสั้น แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาอบรมพนักงานเป็นเวลานาน ๆ นอกจากระบบขายหน้าร้าน iPad POS ของเราจะมีฟีเจอร์การใช้งานพร้อมระบบหลังบ้านที่ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมแล้ว เรายังพัฒนาระบบ POS ของเราให้ใช้งานง่ายมากที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของร้านสามารถเข้าใจการใช้งานภายในเวลาอันสั้น แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาอบรมพนักงานเป็นเวลานาน ๆ ที่สำคัญต้องขอบคุณ iPad POS ของเราที่ทำให้ระบบใช้งานง่ายแม้มองไม่เห็น ดังนั้นไม่ว่าร้านของคุณจะมีพนักงานทั่วไปหรือมีพนักงานพิเศษอย่างร้านกาแฟ Dots Coffee ก็ใช้งานระบบ POS สโตร์ฮับของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแน่นอน ! ที่สำคัญต้องขอบคุณ iPad POS ของเราที่ทำให้ระบบใช้งานง่ายแม้มองไม่เห็น ดังนั้นไม่ว่าร้านของคุณจะมีพนักงานทั่วไปหรือมีพนักงานพิเศษอย่างร้านกาแฟ Dots Coffee ก็ใช้งานระบบ POS สโตร์ฮับของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแน่นอน ! | Dots Coffee คือร้านกาแฟแห่งแรกของโลกที่ให้บริการโดยทีมงานที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นทั้งหมด โดยบาริสต้าที่ทำงานในร้านนี้มีความรู้เรื่องกาแฟเป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าที่มาเยือนสามารถสัมผัสถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง พร้อมกับกาแฟที่มีรสชาติและกลิ่นหอมกรุ่น
ที่ตั้งของ Dots Coffee
- Dots Coffee ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคาร KX (Knowledge Exchange Center) ในย่านฝั่งธนบุรี ใกล้กับสถานี BTS วงเวียนใหญ่และกรุงธนบุรี
ระบบ POS ที่ช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น
- ร้านกาแฟ Dots Coffee ใช้ระบบ POS (Point of Sale) จาก Storehub ซึ่งมีฟังก์ชัน VoiceOver เพื่อช่วยให้พนักงานที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถใช้งานได้อย่างสะดวก แม้ไม่สามารถมองเห็นหน้าจอหรือปุ่มบนอุปกรณ์ได้ โดยทีมงาน Storehub ได้ทำการสาธิตการใช้งานให้กับร้าน Dots Coffee และหลังจากทดลองใช้งานได้ 14 วัน ร้านกาแฟก็เลือกใช้ระบบนี้เนื่องจากความง่ายในการใช้งาน
สรุป
Dots Coffee ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางอาชีพให้กับผู้พิการทางสายตา แต่ยังช่วยยกระดับการบริการลูกค้าด้วยกาแฟที่มีคุณภาพและบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการทำงานของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51314 | Retail | จากบทความ "ล้วงลึกสูตรจัดการร้าน! อะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของ CHA BAR BKK" มีประเด็นน่าสนใจอะไรบ้างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก (Retail) ได้บ้าง? | null | บทความนี้มีประเด็นน่าสนใจมากมายที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกได้ ดังนี้
1. รู้จักกลุ่มลูกค้า
-ธุรกิจค้าปลีกควรศึกษาและทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างละเอียด
-วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเพศ อายุ อาชีพ ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อสินค้า
-นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตรงใจลูกค้า
2. สินค้าที่มีคุณภาพและแตกต่าง
-สินค้าที่ดีและแตกต่างจากคู่แข่ง จะดึงดูดลูกค้าและสร้างความประทับใจ
-ธุรกิจค้าปลีกควรพัฒนาสินค้าให้มีเอกลักษณ์
-เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ
-ออกแบบสินค้าให้สวยงามและใช้งานง่าย
3. การบริการที่ดี
-พนักงานควรมีรอยยิ้ม ยินดีต้อนรับ และให้บริการลูกค้าอย่างเต็มใจ
-ใส่ใจรายละเอียดและตอบสนองความต้องการของลูกค้า
-มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความประทับใจและทำให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าอีก
4. ระบบจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพ
-การใช้ระบบ POS ช่วยให้จัดการร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-เก็บข้อมูลการขาย วิเคราะห์ยอดขาย สินค้าคงคลัง
-ช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำ
-พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดและโปรโมชั่น
5. การใช้เทคโนโลยี
-ธุรกิจค้าปลีกควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
-พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
-ชำระเงินผ่านช่องทางต่างๆ
-เพิ่มประสบการณ์การช็อปปิ้งให้กับลูกค้า
6. การติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูล
-ธุรกิจค้าปลีกควรติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
-วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
-พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด
-ปรับปรุงสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก
-ร้านขายเสื้อผ้าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงใจ
-ร้านอาหารสามารถใช้ระบบ POS เพื่อจัดการคิวอาหาร
-ซูเปอร์มาร์เก็ตสามารถใช้เทคโนโลยี RFID เพื่อติดตามสินค้าคงคลัง
สรุป
บทความนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการเข้าใจกลุ่มลูกค้า นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและแตกต่าง ให้บริการที่ดี ใช้ระบบจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพ นำเทคโนโลยีมาใช้ และติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51322 | Retail | จะวางแผนในการทำธุรกิจร้านกาแฟได้อยีางไรบ้าง | null | เนื่องจากในปัจจุบันมีร้านกาแฟเปิดใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย การแข่งขันสูงขึ้น ลูกค้ามีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น แผนธุรกิจร้านกาแฟ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะสำหรับร้านกาแฟเปิดใหม่หรือร้านเก่า ก็ต้องหมั่นตรวจสอบแผนธุรกิจของร้านตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณมีจุดแข็งที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าของคุณ แผนธุรกิจร้านกาแฟ ตาม Business Model Canvas ในการวางแผนเจ้าของธุรกิจสามารถทำแผนธุรกิจร้านกาแฟตามกันได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนข้างล่างนี้ 1. ลูกค้าร้านกาแฟ ( Customer Segments ) คนที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณคือลูกค้า คุณต้องเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร 2. การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ( Customer Relationships ) คุณจะต้องมีแผนในการรักษาความสัมพันธ์ลูกค้าของคุณให้พวกเขากลับมาเป็นลูกค้าขาประจำ คุณอาจจะพิจารณาการสร้างระบบลูกค้าสมาชิก เริ่มการเก็บข้อมูลของลูกค้าทั้งเบอร์โทรศัพท์และอีเมล เพื่อใช้ในการติดต่อในอนาคต นอกจากนี้คุณจะให้เครดิตเงินคืนหรือสะส 3. ช่องทางในการขายและติดต่อลูกค้า ( Channels ) ช่องทางในการขายและติดต่อกลุ่มลูกค้าของคุณเป็นอย่างไร ช่องทางในการขายและติดต่อกลุ่มลูกค้าของคุณเป็นอย่างไร ขายแค่หน้าร้าน ขายเดลิเวอรี่ ทั้งสองช่องทางมีการจัดการที่แตกต่างกัน4. พาร์ทเนอร์หลักในการ เปิดคาเฟ่ ( Key Partner ) พาร์ทเนอร์คือกลุ่มคนที่เข้ามามีบทบาทต่อ ธุรกิจร้านกาแฟ5. กิจกรรมหลักของร้านกาแฟ ( Key Activities ) คุณต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่าธุรกิจร้านกาแฟหรือคาเฟ่ของคุณจะให้บริการอะไรบ้าง และมีกิจกรรมอะไรให้กับลูกค้าบ้าง6. ทรัพยากร ( Key Resource ) คุณควรแยกทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในการทำธุรกิจร้านกาแฟออกเป็น 2 ส่วนคือ ทรัพยากรที่คุณมีแล้ว ทรัพยากรที่คุณมีแล้ว ทรัพยากรที่คุณต้องมี ทรัพยากรที่คุณต้องมี โดยทรัพยากรเหล่านี้รวมถึงทรัพยากร คน, ต้นทุน, อุปกรณ์, ที่ดิน, การก่อสร้างตัวร้าน และอื่น ๆ7. ต้นทุน เปิดร้านคาเฟ่ ( Cost Structure ) คุณสามารถมองต้นทุนในการทำธุรกิจเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ต้นทุนในการเพิ่มคุณค่าให้ธุรกิจ ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจคือค่าใช้จ่ายที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้ดำเนินต่อไปเพื่อให้บริการลูกค้าในแต่ละวัน 8. ช่องทางรายได้ ( Revenue Stream ) ร้านกาแฟ ร้านคาเฟ่ของคุณสามารถสร้างรายได้อย่างไรบ้าง โดยทั่วไปร้านกาแฟจะมีรายได้จากการขายสินค้าเป็นหลัก ซึ่งคุณอาจจะต้องวิเคราะห์ว่าแล้วช่องทางการขายสินค้าจะเป็นอะไร 9. Value Proposition ส่วนที่สำคัญที่สุดใน แผนธุรกิจร้านกาแฟ คือการระบุว่า ร้านกาแฟ หรือร้านคาเฟ่ของคุณมีคุณค่าอย่างไรกับกลุ่มลูกค้า คุณต้องตอบให้ได้ว่าร้านกาแฟของคุณให้อะไรกับกลุ่มลูกค้าของคุณ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51328 | Retail | เทคนิคอะไรที่ทำให้การทำหน้าที่แม่และการบริหารจัดการร้านเป็นเรื่องง่าย ? | ฉลองวันแม่กับ 2 เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร พร้อมสุดยอดเคล็ดลับการทำหน้าที่แม่และบริหารร้าน ! ในที่สุดอีกหนึ่งเดือนที่สำคัญที่สุดของเราชาวไทยก็มาถึง ! อย่างที่เรารู้กันดีว่า วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปีนั้นเป็นวันแม่แห่งชาติที่ลูก ๆ ทั้งหลายจะได้แสดงความรักแบบพิเศษกับคุณแม่ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่า แม่ คือ บุคคลต้นแบบแห่งความอดทนและมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเรามากแค่ไหน ในที่สุดอีกหนึ่งเดือนที่สำคัญที่สุดของเราชาวไทยก็มาถึง ! อย่างที่เรารู้กันดีว่า วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปีนั้นเป็นวันแม่แห่งชาติที่ลูก ๆ ทั้งหลายจะได้แสดงความรักแบบพิเศษกับคุณแม่ และเพื่อเฉลิมฉลองวันสำคัญนี้ ทางสโตร์ฮับของเราก็ถือโอกาสพามาทำความรู้จักกับ 2 คุณแม่สุดสตรองที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร แล้วก็เป็นผู้ใช้งานระบบ POS สโตร์ฮับจริง ๆ นั่นก็คือ และเพื่อเฉลิมฉลองวันสำคัญนี้ ทางสโตร์ฮับของเราก็ถือโอกาสพามาทำความรู้จักกับ 2 คุณแม่สุดสตรองที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร แล้วก็เป็นผู้ใช้งานระบบ POS สโตร์ฮับจริง ๆ นั่นก็คือ เจ้าของร้าน afterNOON Café ร้านบิงซูรสชาติดั้งเดิมจากเกาหลีใต้ เจ้าของร้าน Snaffle’s Thailand ร้านชีสเค้กหอมนุ่มอันดับ 1 จากญี่ปุ่น โดยในบทความนี้เราจะมีเคล็ดลับพร้อมตัวช่วยในการดูแลร้านของคุณแม่ทั้ง 2 มาแนะนำ จะได้ส่งต่อพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับคุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ มาดูว่าคุณแม่ทั้ง 2 คนมีเทคนิคอะไรที่ทำให้การทำหน้าที่แม่และการบริหารจัดการร้านพร้อมกันเป็นเรื่องง่าย โดยในบทความนี้เราจะมีเคล็ดลับพร้อมตัวช่วยในการดูแลร้านของคุณแม่ทั้ง 2 มาแนะนำ จะได้ส่งต่อพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับคุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ มาดูว่าคุณแม่ทั้ง 2 คนมีเทคนิคอะไรที่ทำให้การทำหน้าที่แม่และการบริหารจัดการร้านพร้อมกันเป็นเรื่องง่าย 1. คุณแม่หนิง นันท์ชญาน์ นาคจู เจ้าของร้าน afterNOON Café คุณหนิง นันท์ชญาน์ นาคจู คุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟและร้านบิงซูสไตล์เกาหลีแท้ที่เรารู้จักกันในชื่อของ afterNOON Café โดยที่จริงแล้วคุณหนิงอยู่ในวงการบิงซูมาเป็นเวลาหลายปีและเป็นผู้นำเข้าเครื่องทำบิงซูจากเกาหลีใต้โดยตรง ส่วน afterNOON Café เป็นธุรกิจอีกไลน์หนึ่งที่เพิ่งเปิดเสริมเข้ามาเพื่อเป็นโชว์รูมให้กับลูกค้าที่สนใจซื้อเครื่องทำบิงซู และเปิดให้เพื่อนบ้านมาทานบิงซูที่เป็นของแท้แบบออริจินัลได้ในราคาที่ไม่สูง คุณหนิง นันท์ชญาน์ นาคจู คุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟและร้านบิงซูสไตล์เกาหลีแท้ที่เรารู้จักกันในชื่อของ afterNOON Café โดยที่จริงแล้วคุณหนิงอยู่ในวงการบิงซูมาเป็นเวลาหลายปีและเป็นผู้นำเข้าเครื่องทำบิงซูจากเกาหลีใต้โดยตรง ส่วน afterNOON Café เป็นธุรกิจอีกไลน์หนึ่งที่เพิ่งเปิดเสริมเข้ามาเพื่อเป็นโชว์รูมให้กับลูกค้าที่สนใจซื้อเครื่องทำบิงซู และเปิดให้เพื่อนบ้านมาทานบิงซูที่เป็นของแท้แบบออริจินัลได้ในราคาที่ไม่สูง ตอนนี้คุณหนิงเป็นคุณแม่ลูก 2 ที่ยังสาว ยังสวย แล้วก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง โดยลูกสาวคนโตอายุ 4 ขวบ ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 2 ขวบ ซึ่งแน่นอนว่าในการทำหน้าที่แม่และเจ้าของธุรกิจไปพร้อม ๆ กันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคุณหนิงบอกกับเราว่า เวลา คือ อุปสรรคที่สำคัญที่สุด เพราะต้องเลี้ยงลูกและทำงานควบคู่กัน ตอนนี้คุณหนิงเป็นคุณแม่ลูก 2 ที่ยังสาว ยังสวย แล้วก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง โดยลูกสาวคนโตอายุ 4 ขวบ ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 2 ขวบ ซึ่งแน่นอนว่าในการทำหน้าที่แม่และเจ้าของธุรกิจไปพร้อม ๆ กันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคุณหนิงบอกกับเราว่า เพราะต้องเลี้ยงลูกและทำงานควบคู่กัน ส่วนการแบ่งเวลาดูแลลูกและบริหารธุรกิจให้พอดีนั้น คุณหนิงพยายามแบ่งเวลาให้กับลูกมากที่สุด โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนเลี้ยงลูกเป็นหลัก เพราะลูกยังเล็กมากและต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ในส่วนของการดูแลร้านนั้น คุณหนิงจะใช้เวลาตอนลูกไปโรงเรียนเป็นหลัก ส่วนการแบ่งเวลาดูแลลูกและบริหารธุรกิจให้พอดีนั้น คุณหนิงพยายามแบ่งเวลาให้กับลูกมากที่สุด โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนเลี้ยงลูกเป็นหลัก เพราะลูกยังเล็กมากและต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ในส่วนของการดูแลร้านนั้น คุณหนิงจะใช้เวลาตอนลูกไปโรงเรียนเป็นหลัก และแน่นอนว่าความสุขของลูกกับคนในครอบครัวก็มีส่วนช่วยในการทำธุรกิจของคุณหนิงเป็นอย่างมาก เพราะคุณหนิงบอกกับเราว่า และแน่นอนว่าความสุขของลูกกับคนในครอบครัวก็มีส่วนช่วยในการทำธุรกิจของคุณหนิงเป็นอย่างมาก เพราะคุณหนิงบอกกับเราว่า “ถ้าเรามีความสุข ก็จะทำทุกอย่างออกมาได้ดี” “ถ้าเรามีความสุข ก็จะทำทุกอย่างออกมาได้ดี” นอกจากนี้คุณหนิงยังมีตัวช่วยในการบริหารจัดการร้านให้ง่ายขึ้นด้วย นั่นก็คือ ระบบ POS สโตร์ฮับ โดยคุณหนิงบอกว่า “ตอนที่ทำเป็นคาเฟ่โซน สโตร์ฮับช่วยได้เยอะ เพราะไม่ต้องมานั่ง Monitor เรื่องลูกค้าว่ายอดขายวันนี้เป็นยังไง ขายอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะช่วงเย็นที่ต้องกลับไปเลี้ยงลูก สามารถเช็คออนไลน์ได้ว่าตอนนี้มีลูกค้าเข้ามากี่คนแล้ว ซื้ออะไรบ้าง แล้วก็ประมาณการยอดขายได้ว่าเมนูไหนขายดี–ขายไม่ดี รวมถึงเวลามีเมนูใหม่หรือมีอะไรเพิ่มเข้ามา ตอนกลับบ้านก็สามารถเพิ่ม/จัดการสินค้าออนไลน์ได้ผ่านมือถือ” “ตอนที่ทำเป็นคาเฟ่โซน สโตร์ฮับช่วยได้เยอะ เพราะไม่ต้องมานั่ง Monitor เรื่องลูกค้าว่ายอดขายวันนี้เป็นยังไง ขายอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะช่วงเย็นที่ต้องกลับไปเลี้ยงลูก สามารถเช็คออนไลน์ได้ว่าตอนนี้มีลูกค้าเข้ามากี่คนแล้ว ซื้ออะไรบ้าง แล้วก็ประมาณการยอดขายได้ว่าเมนูไหนขายดี–ขายไม่ดี รวมถึงเวลามีเมนูใหม่หรือมีอะไรเพิ่มเข้ามา ตอนกลับบ้านก็สามารถเพิ่ม/จัดการสินค้าออนไลน์ได้ผ่านมือถือ” ส่วนเคล็ดลับในการเป็นแม่ที่ดีและบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไปพร้อม ๆ กันของคุณหนิงนั้นก็คือ “พยายามดูแลลูกให้ดีที่สุดและอยู่ใกล้ชิดลูกให้มากที่สุดในขณะที่เรายังต้องทำธุรกิจเพื่อหาเงินมาดูแลลูก เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ก็คือ ต้องตั้งใจจริง ๆ เวลาที่เป็นแม่ก็คือเป็นแม่ แต่หลังจากที่ลูกไปโรงเรียนหรือว่าหลับแล้ว แม่ก็ต้องทำงานทำธุรกิจหาเงินกันต่อไป” “พยายามดูแลลูกให้ดีที่สุดและอยู่ใกล้ชิดลูกให้มากที่สุดในขณะที่เรายังต้องทำธุรกิจเพื่อหาเงินมาดูแลลูก เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ก็คือ ต้องตั้งใจจริง ๆ เวลาที่เป็นแม่ก็คือเป็นแม่ แต่หลังจากที่ลูกไปโรงเรียนหรือว่าหลับแล้ว แม่ก็ต้องทำงานทำธุรกิจหาเงินกันต่อไป” และตอนนี้คุณหนิงก็วางแผนขยายธุรกิจด้วยเพราะ afterNoon Café คือโชว์รูมของร้านและเพิ่งจะเปิดเป็นคาเฟ่ แต่ในอนาคตคุณหนิงจะเริ่มขายเป็นแพ็คเกจกับเครื่องบิงซู แล้วก็จะขายแฟรนไชส์กับให้ผู้ซื้อใช้โลโก้ของร้านด้วย 2. คุณแม่แอร์ สลิณา มหัทธนารักษ์ เจ้าของร้าน Snaffle’s Thailand คุณแอร์ สลิณา มหัทธนารักษ์ คุณแม่ที่เป็นเจ้าของร้าน Snaffle’s Thailand ร้านชีสเค้กสุดหอมนุ่มละมุนจากญี่ปุ่นและเริ่มทำธุรกิจนี้มาเป็นเวลา 3 – 4 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมีหน้าร้านได้ประมาณ 1 – 2 เดือน เพราะก่อนหน้านี้ออกเป็นร้านป๊อปอัพมาตลอด จะได้ขายก็ต่อเมื่อมีอีเว้นท์เท่านั้น และเวลาขายหน้าร้านลูกค้าก็จะได้ชีสเค้กแช่แข็งไปเนื่องจากทางร้านนำเข้าแบบแช่แข็ง คุณแม่ที่เป็นเจ้าของร้าน Snaffle’s Thailand ร้านชีสเค้กสุดหอมนุ่มละมุนจากญี่ปุ่นและเริ่มทำธุรกิจนี้มาเป็นเวลา 3 – 4 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมีหน้าร้านได้ประมาณ 1 – 2 เดือน เพราะก่อนหน้านี้ออกเป็นร้านป๊อปอัพมาตลอด จะได้ขายก็ต่อเมื่อมีอีเว้นท์เท่านั้น และเวลาขายหน้าร้านลูกค้าก็จะได้ชีสเค้กแช่แข็งไปเนื่องจากทางร้านนำเข้าแบบแช่แข็ง อย่างไรก็ตาม คุณแอร์ไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าของธุรกิจและดูแลร้านเพียงอย่างเดียว เพราะตอนนี้คุณแอร์เป็นคุณแม่ลูก 2 ที่กำลังตั้งท้องลูกคนเล็กได้ 5 เดือนครึ่ง ส่วนลูกคนโตตอนนี้อายุได้ 1 ขวบ 7 เดือนแล้ว ซึ่งในการทำทั้งสองหน้าที่พร้อมกันนั้นคุณแอร์บอกกับเราว่า ไม่มีอุปสรรคในการดูแลร้านเพราะมีพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจหลายคน แต่สำหรับการทำหน้าที่แม่นั้นมีอุปสรรคเล็กน้อยเนื่องจากแพ้ท้องค่อนข้างหนัก สำหรับการแบ่งเวลาในการดูแลธุรกิจและลูกนั้น คุณแอร์บอกว่าตารางการทำงานค่อนข้าง flexible และทำงานกลางคืนได้ เพราะเวลาลูกหลับก็สามารถทำงานได้ ถือว่าคุณแอร์ทำหน้าที่ทั้งสองได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม คุณแอร์ไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าของธุรกิจและดูแลร้านเพียงอย่างเดียว เพราะตอนนี้คุณแอร์เป็นคุณแม่ลูก 2 ที่กำลังตั้งท้องลูกคนเล็กได้ 5 เดือนครึ่ง ส่วนลูกคนโตตอนนี้อายุได้ 1 ขวบ 7 เดือนแล้ว ซึ่งในการทำทั้งสองหน้าที่พร้อมกันนั้นคุณแอร์บอกกับเราว่า ไม่มีอุปสรรคในการดูแลร้านเพราะมีพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจหลายคน แต่สำหรับการทำหน้าที่แม่นั้นมีอุปสรรคเล็กน้อยเนื่องจากแพ้ท้องค่อนข้างหนัก สำหรับการแบ่งเวลาในการดูแลธุรกิจและลูกนั้น คุณแอร์บอกว่าตารางการทำงานค่อนข้าง flexible และทำงานกลางคืนได้ เพราะเวลาลูกหลับก็สามารถทำงานได้ ถือว่าคุณแอร์ทำหน้าที่ทั้งสองได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว และแน่นอนว่าครอบครัวมีส่วนผลักดันในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะคุณแอร์บอกกับเราว่า และแน่นอนว่าครอบครัวมีส่วนผลักดันในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะคุณแอร์บอกกับเราว่า “สามีคือกำลังใจที่ดีและช่วยดูแลเวลาแพ้ท้องหนัก แล้วถ้าลูกไม่งอแงหรือมีความสุข เราก็ไม่มีเรื่องต้องเครียดหรือห่วงมาก ทำให้สามารถจัดการธุรกิจได้เต็มที่” “สามีคือกำลังใจที่ดีและช่วยดูแลเวลาแพ้ท้องหนัก แล้วถ้าลูกไม่งอแงหรือมีความสุข เราก็ไม่มีเรื่องต้องเครียดหรือห่วงมาก ทำให้สามารถจัดการธุรกิจได้เต็มที่” “ สามีคือกำลังใจที่ดีและช่วยดูแลเวลาแพ้ท้องหนัก แล้วถ้าลูกไม่งอแงหรือมีความสุข เราก็ไม่มีเรื่องต้องเครียดหรือห่วงมาก ทำให้สามารถจัดการธุรกิจได้เต็มที่ ” นอกจากนี้คุณแอร์ก็มีระบบ POS สโตร์ฮับเป็นตัวช่วยในการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้นเพราะสามารถเช็คยอดขายและเช็คสต๊อกผ่าน BackOffice หลังร้านปิดได้ทุกวัน ซึ่งฟีเจอร์นี้เองที่ตอบโจทย์การดูแลร้าน Snaffle’s Thailand และจากประสบการณ์การใช้งานระบบ POS สโตร์ฮับกับแบรนด์อื่น ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร และเวลามีปัญหา พนักงานก็สามารถคุยกับทีมงานของสโตร์ฮับได้โดยตรงทันที ซึ่งคุณแอร์ประทับใจในการบริการของทีมเรามาก ๆ นอกจากนี้คุณแอร์ก็มีระบบ POS สโตร์ฮับเป็นตัวช่วยในการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้นเพราะสามารถเช็คยอดขายและเช็คสต๊อกผ่าน BackOffice หลังร้านปิดได้ทุกวัน ซึ่งฟีเจอร์นี้เองที่ตอบโจทย์การดูแลร้าน Snaffle’s Thailand และจากประสบการณ์การใช้งานระบบ POS สโตร์ฮับกับแบรนด์อื่น ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร และเวลามีปัญหา พนักงานก็สามารถคุยกับทีมงานของสโตร์ฮับได้โดยตรงทันที ซึ่งคุณแอร์ประทับใจในการบริการของทีมเรามาก ๆ มากไปกว่านั้นคุณแอร์ยังแนะนำให้เพื่อนที่ทำธุรกิจคาเฟ่ ร้านขายเสื้อผ้า และแบรนด์ Local ต่าง ๆ ใช้ระบบ POS สโตร์ฮับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ! เพราะระบบของเราช่วยลดปัญหาน่าปวดหัวในการบริหารร้านอย่างเช็คสต๊อกสินค้า เวลาเข้า–ออกงานของพนักงาน และยอดเงินได้แม่นยำ มากไปกว่านั้นคุณแอร์ยังแนะนำให้เพื่อนที่ทำธุรกิจคาเฟ่ ร้านขายเสื้อผ้า และแบรนด์ Local ต่าง ๆ ใช้ระบบ POS สโตร์ฮับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ! เพราะระบบของเราช่วยลดปัญหาน่าปวดหัวในการบริหารร้านอย่างเช็คสต๊อกสินค้า เวลาเข้า – ออกงานของพนักงาน และยอดเงินได้แม่นยำ ในส่วนของเคล็ดลับในการเป็นแม่ที่ดีและบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไปพร้อม ๆ กันนั้น คุณแอร์บอกว่า ในส่วนของเคล็ดลับในการเป็นแม่ที่ดีและบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไปพร้อม ๆ กันนั้น คุณแอร์บอกว่า “ต้องให้เวลากับลูกและธุรกิจเพราะทุกอย่างต้องการเวลา ทั้งลูก ทั้งตัวเราเอง ทั้งธุรกิจ ถ้าเรามีความสุข ลูกก็มีความสุข ธุรกิจก็ไปได้ดี” “ต้องให้เวลากับลูกและธุรกิจเพราะทุกอย่างต้องการเวลา ทั้งลูก ทั้งตัวเราเอง ทั้งธุรกิจ ถ้าเรามีความสุข ลูกก็มีความสุข ธุรกิจก็ไปได้ดี” “ ต้องให้เวลากับลูกและธุรกิจเพราะทุกอย่างต้องการเวลา ทั้งลูก ทั้งตัวเราเอง ทั้งธุรกิจ ถ้าเรามีความสุข ลูกก็มีความสุข ธุรกิจก็ไปได้ดี ” และสิ่งที่คุณแอร์อยากฝากบอกคุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจก็นั้นก็คือ และสิ่งที่คุณแอร์อยากฝากบอกคุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจก็นั้นก็คือ “อย่าเครียด เพราะถ้าเราเครียดลูกก็จะรับรู้ไปด้วย ถ้าเครียดเรื่องระบบหลังบ้านก็ใช้สโตร์ฮับ (หัวเราะ)” “อย่าเครียด เพราะถ้าเราเครียดลูกก็จะรับรู้ไปด้วย ถ้าเครียดเรื่องระบบหลังบ้านก็ใช้สโตร์ฮับ (หัวเราะ)” “ อย่าเครียด เพราะถ้าเราเครียดลูกก็จะรับรู้ไปด้วย ถ้าเครียดเรื่องระบบหลังบ้านก็ใช้สโตร์ฮับ (หัวเราะ) ” แล้วตอนนี้คุณแอร์ก็มีแพลนที่จะขยายสาขาภายใน 1 – 2 ปี โดยอาจมีแฟรนไชส์ด้วย เพราะมีหลายคนสนใจและคุณแอร์ก็เชื่อว่าระบบของสโตร์ฮับจะช่วยได้เมื่อร้านมีแฟรนไชส์ แล้วตอนนี้คุณแอร์ก็มีแพลนที่จะขยายสาขาภายใน 1 – 2 ปี โดยอาจมีแฟรนไชส์ด้วย เพราะมีหลายคนสนใจและคุณแอร์ก็เชื่อว่าระบบของสโตร์ฮับจะช่วยได้เมื่อร้านมีแฟรนไชส์ สรุป จะเห็นได้ว่า “เวลา” มีส่วนสำคัญมาก ๆ ในการทำหน้าที่การทำหน้าที่แม่และการทำหน้าที่เจ้าของธุรกิจไปพร้อม ๆ กัน แต่ต้องบอกว่าโชคดีที่คุณแม่หนิงกับคุณแม่แอร์ของเรามีตัวช่วยในการบริหารร้านอย่างระบบ POS ของสโตร์ฮับ ทำให้ประหยัดเวลาในการดูแลร้านและลดเรื่องปวดหัวไปได้เยอะ ดังนั้นการทำทั้ง 2 หน้าพร้อมกันจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับคุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจนั่นเอง ! แล้วคุณละ พร้อมจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเหมือนคุณแม่หนิงกับคุณแม่แอร์หรือยัง ?! จะเห็นได้ว่า มีส่วนสำคัญมาก ๆ ในการทำหน้าที่การทำหน้าที่แม่และการทำหน้าที่เจ้าของธุรกิจไปพร้อม ๆ กัน แต่ต้องบอกว่าโชคดีที่คุณแม่หนิงกับคุณแม่แอร์ของเรามีตัวช่วยในการบริหารร้านอย่างระบบ POS ของสโตร์ฮับ ทำให้ประหยัดเวลาในการดูแลร้านและลดเรื่องปวดหัวไปได้เยอะ ดังนั้นการทำทั้ง 2 หน้าพร้อมกันจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับคุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจนั่นเอง ! แล้วคุณละ พร้อมจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเหมือนคุณแม่หนิงกับคุณแม่แอร์หรือยัง ?! บริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วยสโตร์ฮับ บริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วยสโตร์ฮับ สโตร์ฮับ คลิกที่นี่เพื่อดูว่าสโตร์ฮับสามารถช่วยคุณจัดการธุรกิจได้อย่างไร คลิกที่นี่ | คุณหนิง นันท์ชญาน์ นาคจู คุณแม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟและร้านบิงซูสไตล์เกาหลีแท้ที่เรารู้จักกันในชื่อของ afterNOON Café โดยที่จริงแล้วคุณหนิงอยู่ในวงการบิงซูมาเป็นเวลาหลายปีและเป็นผู้นำเข้าเครื่องทำบิงซูจากเกาหลีใต้โดยตรง ส่วน afterNOON Café เป็นธุรกิจอีกไลน์หนึ่งที่เพิ่งเปิดเสริมเข้ามาเพื่อเป็นโชว์รูมให้กับลูกค้าที่สนใจซื้อเครื่องทำบิงซู และเปิดให้เพื่อนบ้านมาทานบิงซูที่เป็นของแท้แบบออริจินัลได้ในราคาที่ไม่สูง
คุณหนิงเป็นคุณแม่ลูก 2 ที่ยังสาว ยังสวย แล้วก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง โดยลูกสาวคนโตอายุ 4 ขวบ ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 2 ขวบ ซึ่งแน่นอนว่าในการทำหน้าที่แม่และเจ้าของธุรกิจไปพร้อม ๆ กันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคุณหนิงบอกกับเราว่า เวลา คือ อุปสรรคที่สำคัญที่สุด เพราะต้องเลี้ยงลูกและทำงานควบคู่กัน
ส่วนการแบ่งเวลาดูแลลูกและบริหารธุรกิจให้พอดีนั้น คุณหนิงพยายามแบ่งเวลาให้กับลูกมากที่สุด โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนเลี้ยงลูกเป็นหลัก เพราะลูกยังเล็กมากและต้องดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ในส่วนของการดูแลร้านนั้น คุณหนิงจะใช้เวลาตอนลูกไปโรงเรียนเป็นหลัก
และแน่นอนว่าความสุขของลูกกับคนในครอบครัวก็มีส่วนช่วยในการทำธุรกิจของคุณหนิงเป็นอย่างมาก เพราะคุณหนิงบอกกับเราว่า
“ถ้าเรามีความสุข ก็จะทำทุกอย่างออกมาได้ดี”
คุณแอร์ สลิณา มหัทธนารักษ์ คุณแม่ที่เป็นเจ้าของร้าน Snaffle’s Thailand ร้านชีสเค้กสุดหอมนุ่มละมุนจากญี่ปุ่นและเริ่มทำธุรกิจนี้มาเป็นเวลา 3 – 4 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมีหน้าร้านได้ประมาณ 1 – 2 เดือน เพราะก่อนหน้านี้ออกเป็นร้านป๊อปอัพมาตลอด จะได้ขายก็ต่อเมื่อมีอีเว้นท์เท่านั้น และเวลาขายหน้าร้านลูกค้าก็จะได้ชีสเค้กแช่แข็งไปเนื่องจากทางร้านนำเข้าแบบแช่แข็ง
อย่างไรก็ตาม คุณแอร์ไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าของธุรกิจและดูแลร้านเพียงอย่างเดียว เพราะตอนนี้คุณแอร์เป็นคุณแม่ลูก 2 ที่กำลังตั้งท้องลูกคนเล็กได้ 5 เดือนครึ่ง ส่วนลูกคนโตตอนนี้อายุได้ 1 ขวบ 7 เดือนแล้ว ซึ่งในการทำทั้งสองหน้าที่พร้อมกันนั้นคุณแอร์บอกกับเราว่า ไม่มีอุปสรรคในการดูแลร้านเพราะมีพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจหลายคน แต่สำหรับการทำหน้าที่แม่นั้นมีอุปสรรคเล็กน้อยเนื่องจากแพ้ท้องค่อนข้างหนัก สำหรับการแบ่งเวลาในการดูแลธุรกิจและลูกนั้น คุณแอร์บอกว่าตารางการทำงานค่อนข้าง flexible และทำงานกลางคืนได้ เพราะเวลาลูกหลับก็สามารถทำงานได้ ถือว่าคุณแอร์ทำหน้าที่ทั้งสองได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าครอบครัวมีส่วนผลักดันในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะคุณแอร์บอกกับเราว่า
“สามีคือกำลังใจที่ดีและช่วยดูแลเวลาแพ้ท้องหนัก แล้วถ้าลูกไม่งอแงหรือมีความสุข เราก็ไม่มีเรื่องต้องเครียดหรือห่วงมาก ทำให้สามารถจัดการธุรกิจได้เต็มที่” | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51347 | Retail | ร้านค้าปลีกควรใช้ Beep Cashback หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1. Beep Cashback ช่วยให้ร้านค้าปลีกสร้างฐานข้อมูลลูกค้าได้:
- ลูกค้าต้องกรอกเบอร์มือถือเพื่อสมัครเข้าร่วม Beep Cashback
- ร้านค้าสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ ประวัติการซื้อสินค้า ฯลฯ
- ข้อมูลลูกค้าเหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการ และทำการตลาดได้
2. Beep Cashback ช่วยให้ร้านค้าปลีกสร้างความภักดีของลูกค้า:
- ลูกค้าได้รับเงินคืนจากยอดซื้อสินค้า
- เงินคืนนี้สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งถัดไป
- ลูกค้าจะรู้สึกพึงพอใจและอยากกลับมาซื้อสินค้าที่ร้านอีก
3. Beep Cashback ช่วยให้ร้านค้าปลีกเพิ่มยอดขาย:
- ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นเพื่อสะสมเงินคืน
- ลูกค้าอาจจะซื้อสินค้าที่ไม่เคยซื้อมาก่อน
- ลูกค้าอาจจะบอกต่อเพื่อนและครอบครัวเกี่ยวกับร้านค้า
4. Beep Cashback ใช้งานง่ายทั้งสำหรับร้านค้าและลูกค้า:
- ร้านค้าสามารถเปิดใช้งาน Beep Cashback ได้ง่ายๆ ผ่านระบบหลังบ้านของสโตร์ฮับ
- ลูกค้าสามารถสมัครเข้าร่วม Beep Cashback ได้ง่ายๆ เพียงแค่กรอกเบอร์มือถือ
- ลูกค้าสามารถใช้เงินคืนได้ง่ายๆ เพียงแค่สแกน QR Code บนใบเสร็จ
5. Beep Cashback ช่วยให้ร้านค้าปลีกประหยัดเงินและเวลา:
- ร้านค้าไม่จำเป็นต้องพิมพ์บัตรสมาชิก
- ร้านค้าไม่จำเป็นต้องจัดการระบบสมาชิกด้วยตัวเอง
- ร้านค้าสามารถประหยัดเวลาและเงินทุนในการทำการตลาด
ตัวอย่าง:
จากกรณีศึกษาของร้าน SWERB SPECIALTY พบว่า ร้านสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้มากกว่า 1,000 คน
ลูกค้า 80% กลับมาซื้อสินค้าที่ร้านอีก ยอดขายของร้านเพิ่มขึ้น 20%
สรุป:
Beep Cashback เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับร้านค้าปลีกที่ต้องการสร้างฐานข้อมูลลูกค้า สร้างความภักดีของลูกค้า เพิ่มยอดขาย ประหยัดเงินและเวลา ร้านค้าปลีกควรพิจารณาใช้ Beep Cashback เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51351 | Retail | ในช่วงโควิด-19 การทำการตลาดและโฆษณาอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์มากนัก เนื่องจากอะไร | 5 เทคนิค ลดต้นทุน ค่าใช้จ่าย
สำหรับร้านค้าปลีกช่วง โควิด-19 วิกฤต โควิด-19 ทำเอาเศรษฐกิจในประเทศไทยชะลอตัว ธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่? มีคนเข้ามาซื้อของที่หน้าร้านลดลงหรือไม่? รายได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นี่คงเป็นสัญญาณที่กำลังชี้ว่าคุณจะต้องหาทางออกให้กับธุรกิจของคุณให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งสิ่งที่คุณทำได้ก็คือการหาแหล่งรายได้ใหม่ หรือการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในร้านของคุณ ในการเปิดธุรกิจ แน่นอนว่าคุณจะต้องมีค่าดำเนินงาน ซึ่งต้นทุนการดำเนินงานก็คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารธุรกิจ, การบำรุงรักษาในแต่ละวัน, ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และต่อไปนี้คือตัวอย่างของต้นทุนการดำเนินงาน :– ในการเปิดธุรกิจ แน่นอนว่าคุณจะต้องมีค่าดำเนินงาน ซึ่งต้นทุนการดำเนินงานก็คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารธุรกิจ, การบำรุงรักษาในแต่ละวัน, ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และ ต่อไปนี้คือตัวอย่างของต้นทุนการดำเนินงาน :– ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเตอร์เน็ต) เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาด ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าประกันและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกฎหมาย ค่าซ่อมและค่าบำรุงรักษา และวันนี้สโตร์ฮับก็ได้รวบรวม 5 เทคนิคที่คุณสามารถนำเอาไปใช้ได้จริงเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจของคุณ จนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ และวันนี้สโตร์ฮับก็ได้รวบรวม 5 เทคนิคที่คุณสามารถนำเอาไปใช้ได้จริงเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจของคุณ จนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ 1. จัดการสต๊อกสินค้าในคลัง และอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจประเภทสินค้าที่ไม่มีวันหมดอายุ อย่างเช่น เสื้อผ้า ของฝาก คุณอาจจะต้องมีการอัพเดทสต๊อกของคุณอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตแบบนี้ คุณอาจจะไม่ต้องการสั่งซื้อของมาสต๊อกมากนัก เพราะมีโอกาสเสี่ยงในการขายสินค้าไม่ออก ดังนั้นการอัพเดทจำนวนสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณรู้ว่าสินค้าตัวไหนขายดี และตัวไหนขายไม่ดี จะได้ลดการสั่งสินค้าเหล่านั้น ถ้าหากธุรกิจของคุณขายสินค้าที่มีวันหมดอายุ อย่างเช่นการเปิดร้านมินิมาร์ท การอัพเดทสต๊อกยิ่งมีความสำคัญ คุณควรมีระบบที่ช่วยคุณจดวันหมดอายุของสินค้า คุณจะได้สามารถระบายสินค้าที่ใกล้หมดอายุก่อน จะได้ไม่เกิดความเสียหายต่อสต๊อกสินค้าของคุณ คุณอาจจะจัดโปรโมชั่น 1 แถม 1 เพื่อระบายสต๊อกออกไป 2. เวลาก็คือต้นทุน ที่คุณสามารถใช้พัฒนาในส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจ 2. เวลาก็คือต้นทุน ที่คุณสามารถใช้พัฒนาในส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจ เวลาก็เป็นหนึ่งในต้นทุนของร้านคุณ ถ้าหากคุณลดเวลาในการทำสิ่งที่ไม่จำเป็นลงได้ คุณจะได้นำต้นทุนด้านเวลาไปใช้พัฒนาและแก้ไขส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจ วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลและมีประสิทธิภาพสำหรับการจัดการธุรกิจค้าปลีกและการลดต้นทุนการดำเนินงานก็คือ การใช้ระบบ POS ซึ่งเป็นตัวช่วยในการบริหารธุรกิจทั้งหน้าร้านและบนเว็บไซต์ วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลและมีประสิทธิภาพสำหรับการจัดการธุรกิจค้าปลีกและการลดต้นทุนการดำเนินงานก็คือ การใช้ระบบ POS ซึ่งเป็นตัวช่วยในการบริหารธุรกิจทั้งหน้าร้านและบนเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่นระบบ POS ของสโตร์ฮับนั้น จะช่วยลดต้นทุนเวลาของคุณลงไปได้เยอะด้วยฟีเจอร์เหล่านี้:- คุณไม่ต้องเสียเวลานับสต๊อกสินค้าและจดลงกระดาษ ใช้ระบบจัดการสต๊อก แค่คลิกเดียวก็รู้จำนวนสินค้าในร้านทั้งหมด ใช้ระบบ POS ของสโตร์ฮับที่จะช่วยทำบัญชี บริหารทรัพยากรมนุษย์ และดูแลสต๊อกสินค้าในคลัง เพื่อลดเวลาที่ใช้ไปกับงานเอกสาร การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะลดเวลาในการทำงานของลูกน้อง และที่สำคัญเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รายละเอียดแม่นยำมากยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาดที่จะตามมาในภายหลัง คุณจะได้เอาเวลาในส่วนนี้ ไปหาวิธีในการเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางอื่น ๆ ร้านค้าจะได้มีรายได้หลายช่องทาง ซึ่งถือเป็นวิธีหนึ่งที่คุณจะพาธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ 3. ลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและโฆษณา ในช่วงเวลานี้ การทำการตลาดและโฆษณาอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์มากนัก เนื่องจากคนไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย นอกจากว่าคุณจะมีเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ดังนั้นการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลงในช่วงนี้ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา อย่างไรก็ตามคุณควรจะมองหาช่องทางในการโปรโมทร้านค้าของคุณใหม่ ๆ ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย อย่างเช่น การใช้ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube, TikTok เป็นต้น ถ้าหากคุณมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำโฆษณา ช่องทางข้างต้นก็น่าจะเป็นโอกาสในการโปรโมทร้านของคุณได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร ตัวอย่างเช่นร้าน SMAYA ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงชาวมุสลิม เธอบอกกับเราว่า ในช่วงนี้คนไม่ค่อยเข้าหน้าร้านสักเท่าไรนัก เธอเลยไลฟ์บน Facebook มากยิ่งขึ้น ออกคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์ แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะโปรโมทให้คนมาใช้บริการที่หน้าร้าน โดยการแจกเจลล้างมือสำหรับลูกค้าที่เดินเข้ามาที่หน้าร้าน ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ปรับตัวเพื่อพยุงธุรกิจของพวกเขาให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป 4. ลดต้นทุนค่าแรงงาน 4. ลดต้นทุนค่าแรงงาน จัดเวลาการทำงานของพนักงาน คุณควรจัดตารางการทำงานของพนักงานให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น ในเมื่อคุณรู้ว่าธุรกิจของคุณจะมีคนเข้าเยอะหรือน้อยช่วงไหน คุณก็สามารถแบ่งจำนวนพนักงานให้เหมาะสมกับช่วงเวลานั้น ๆ และที่สำคัญคุณควรให้พนักงานเข้าทำงานและออกงานอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันการทำงานล่วงเวลา ซึ่งธุรกิจของคุณจะต้องจ่ายค่าทำงานล่วงเวลา (OT) ให้กับพนักงาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ในกรณีที่คุณต้องการพนักงานเสริม คุณสามารถมองหาพนักงานพาร์ทไทม์แทนที่จะจ้างพนักงานเต็มเวลา เพื่อที่คุณจะได้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายของพนักงานได้ ลดอัตราการลาออก บุคลากรคือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดสำหรับทุก ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก และนี่คือเหตุผลหลักว่าเหตุใดการลาออกของพนักงานจึงมีค่าใช้จ่ายมากมายเมื่อมีพนักงานออกจากบริษัทไป ปัจจัยที่คุณควรคำนึงเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลาออกของพนักงานได้แก่ บุคลากรคือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดสำหรับทุก ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก และนี่คือเหตุผลหลักว่าเหตุใดการลาออกของพนักงานจึงมีค่าใช้จ่ายมากมายเมื่อมีพนักงานออกจากบริษัทไป ปัจจัยที่คุณควรคำนึงเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลาออกของพนักงานได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานใหม่ เช่น การลงประกาศรับสมัคร การสัมภาษณ์ การคัดกรอง การจ้าง ค่าใช้จ่ายในการเตรียมพร้อมพนักงานใหม่ เช่น ระยะเวลาการอบรม ปัจจัยเหล่านี้ (และอื่น ๆ อีกมากมาย) อาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่สูงได้ ปัจจัยเหล่านี้ (และอื่น ๆ อีกมากมาย) อาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่สูงได้ 5. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ แนวคิดรักษ์โลกเป็นผลดีกับทั้งสิ่งแวดล้อมและธุรกิจของคุณ ที่สำคัญแนวคิดรักษ์โลกจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจของคุณได้ไม่น้อยเลย แนวคิดรักษ์โลกเป็นผลดีกับทั้งสิ่งแวดล้อมและธุรกิจของคุณ ที่สำคัญแนวคิดรักษ์โลกจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจของคุณได้ไม่น้อยเลย ลดค่าไฟฟ้าด้วยการใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน เช่น หลอด LED และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (CFL) ซึ่งใช้ได้นานกว่า ประหยัดพลังงานกว่า และให้แสงที่สว่างกว่า ซื้อและใช้กระดาษให้น้อยลง โดยเริ่มจากคิดหาขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษ หมั่นสอดส่องดูแลจุดชำรุดต่าง ๆ ในร้านของคุณ ไม่ว่าจะเป็นท่อประปา, หลอดไฟ และนี่ก็คือ 5 เคล็ดลับการลดต้นทุนสำหรับร้านค้าปลีก ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริงในช่วงวิกฤตแบบนี้ | ในช่วงโควิด-19 การทำการตลาดและโฆษณาอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์มากนัก เนื่องจากคนไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย นอกจากว่าจะมีเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ดังนั้น การลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลงในช่วงนี้ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ควรจะมองหาช่องทางในการโปรโมทร้านค้าใหม่ ๆ ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย อย่างเช่น การใช้ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube, TikTok เป็นต้น ถ้าหากมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำโฆษณา ช่องทางข้างต้นก็น่าจะเป็นโอกาสในการโปรโมทร้านได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51360 | Retail | ระบบ POS ช่วยให้ร้านค้าและร้านอาหารสามารถควบคุมสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ? | null | ใช่ เหตุผล:
การติดตามสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์: เจ้าของร้านสามารถดูจำนวนสต๊อกสินค้าได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอพนักงานนับสต๊อก
การแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้หมด: ระบบ POS จะแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้หมด ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้ทันเวลา
การวิเคราะห์ข้อมูลการขาย: ระบบ POS ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขาย เช่น สินค้า/เมนูไหนขายดี สินค้า/เมนูไหนขายไม่ดี ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตัดสินใจเรื่องการสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลดต้นทุน: ระบบ POS ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าจ้างพนักงานนับสต๊อก ค่าเสียหายจากสินค้าหมด ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสินค้าใหม่
ตัวอย่าง:
ร้านอาหาร A ใช้ระบบ POS ทำให้สามารถติดตามสต๊อกวัตถุดิบได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ร้านอาหาร A สามารถสั่งซื้อวัตถุดิบได้ทันเวลา ไม่ต้องกังวลว่าวัตถุดิบจะหมดกลางคัน
ร้านค้า B ใช้ระบบ POS ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขาย และพบว่าสินค้าบางชนิดขายไม่ดี ร้านค้า B จึงตัดสินใจลดราคาสินค้า ช่วยให้สินค้าหมดเร็ว และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้า
สรุป:
ระบบ POS ช่วยให้ร้านค้าและร้านอาหารสามารถควบคุมสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ร้านค้าและร้านอาหารสามารถลดต้นทุนและเพิ่มกำไร | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51364 | Retail | กลยุทธ์ CRC Thai Watsadu : Build the future ของซีอาร์ซี ไทวัสดุ จะส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์อย่างไร | null | 1. ประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออมนิชาแนล:
กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นและสะดวกต่อลูกค้า ไม่ว่าจะช่องทางออนไลน์ หน้าร้าน หรือโมบายล์แอปพลิเคชัน ลูกค้าสามารถค้นหา เปรียบเทียบ และซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดของช่องทาง
ตัวอย่าง:
-ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าบนเว็บไซต์ไทวัสดุ เปรียบเทียบราคาและรายละเอียดสินค้า เลือกซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ จากนั้นรอรับสินค้าที่สาขาไทวัสดุที่สะดวก หรือเลือกบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน
-ลูกค้าสามารถใช้โมบายล์แอปพลิเคชันของไทวัสดุ สแกน QR Code บนสินค้าในเว็บไซต์เพื่อดูข้อมูลรายละเอียด เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน
2. สินค้าและบริการที่หลากหลาย:
ซีอาร์ซี ไทวัสดุ มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน เครื่องมือช่าง อุปกรณ์สวน อุปกรณ์ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบ้านและการใช้ชีวิต
ตัวอย่าง:
ซีอาร์ซี ไทวัสดุ นำเสนอสินค้าหลากหลายแบรนด์ให้ลูกค้าเลือกซื้อ เปรียบเทียบราคา และค้นหาสินค้าที่เหมาะกับความต้องการได้อย่างง่ายดาย
ซีอาร์ซี ไทวัสดุ นำเสนอบริการเสริมต่างๆ เช่น บริการออกแบบ บริการติดตั้ง บริการขนส่ง และบริการอื่นๆ ที่ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร
ซีอาร์ซี ไทวัสดุ พัฒนารูปแบบสินค้าและบริการใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ราคาที่แข่งขัน:
ซีอาร์ซี ไทวัสดุ มุ่งมั่นนำเสนอสินค้าในราคาที่แข่งขัน โดยใช้อำนาจต่อรองจากซัพพลายเออร์ นำเสนอโปรโมชันและส่วนลดพิเศษต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อมอบความคุ้มค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้า
ตัวอย่าง:
-ซีอาร์ซี ไทวัสดุ มีโปรแกรมสมาชิกที่ลูกค้าสามารถสมัครเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ส่วนลดพิเศษ สะสมคะแนนแลกรับของรางวัล
-ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย
-ซีอาร์ซี ไทวัสดุ นำเสนอโปรโมชันสินค้าราคาพิเศษเป็นประจำ
4. บริการที่สะดวกและรวดเร็ว:
ซีอาร์ซี ไทวัสดุ มุ่งมั่นให้บริการลูกค้าด้วยความสะดวก รวดเร็ว และประทับใจ พัฒนาระบบและกระบวนการทำงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และมุ่งเน้นความพึงพอใจของลูกค้าเป็นอันดับแรก | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51369 | Retail | ร้านอาหารควรใช้ Beep Delivery หรือไม่? | null | ใช่ 1. Beep Delivery ช่วยให้ร้านอาหารมีช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติม:
ลูกค้าสามารถสั่งอาหารผ่านเว็บไซต์ Beep Delivery ของร้าน
ลูกค้าสามารถสั่งอาหารผ่านเว็บไซต์ beepit.com
ร้านอาหารสามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์
2. Beep Delivery ช่วยให้ร้านอาหารเพิ่มยอดขาย:
ลูกค้าสะดวกในการสั่งอาหาร
ลูกค้าสามารถสั่งอาหารได้ทุกที่ทุกเวลา
ร้านอาหารสามารถเสนอโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า
3. Beep Delivery ช่วยให้ร้านอาหารประหยัดต้นทุน:
ค่าธรรมเนียม Beep Delivery เริ่มต้นที่ 2,500 บาทต่อเดือน
ร้านอาหารไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม GP สูง
ร้านอาหารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอาหาร
4. Beep Delivery ช่วยให้ร้านอาหารบริหารจัดการได้ง่าย:
ร้านอาหารสามารถจัดการออร์เดอร์ทั้งหมดผ่านระบบเดียว
ร้านอาหารสามารถติดตามสถานะการจัดส่งอาหาร
ร้านอาหารสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขาย
5. Beep Delivery ช่วยให้ร้านอาหารสร้างแบรนด์:
ร้านอาหารมีเว็บไซต์ของตัวเอง
ร้านอาหารสามารถโปรโมทร้านอาหารบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ร้านอาหารสามารถสร้างฐานลูกค้า
ตัวอย่าง:
จากกรณีศึกษาของร้าน SWERB SPECIALTY พบว่า
ร้านอาหารสามารถเพิ่มยอดขายผ่าน Beep Delivery ได้ 20%
ร้านอาหารสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอาหาร
ร้านอาหารสามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่
สรุป:
Beep Delivery ช่วยให้ร้านอาหารมีช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติม เพิ่มยอดขาย ประหยัดต้นทุน บริหารจัดการได้ง่าย และสร้างแบรนด์ ร้านอาหารควรใช้ Beep Delivery เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_51380 | Retail | จากบทความ "8 วิธี บริหาร Cash Flow ให้การเงินร้านคล่องตัว ไม่ติดขัด" มีข้อแนะนำอะไรบ้างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก (Retail) | null | 1. วิเคราะห์ความเสี่ยงและเตรียมรับมือล่วงหน้า:
ธุรกิจค้าปลีกเผชิญความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ คู่แข่งเพิ่มขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง
เจ้าของธุรกิจควรวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น วางแผนรับมือล่วงหน้า
ตัวอย่าง: เตรียมเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน พัฒนาสินค้า/บริการใหม่ ปรับกลยุทธ์ทางการตลาด
2. ติดตาม Cash Flow หรือกระแสเงินสดเป็นประจำ:
ธุรกิจค้าปลีกควรติดตาม Cash Flow อย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์รายรับ-รายจ่าย
การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เช่น Quickbooks Online, Xero ช่วยให้ติดตาม Cash Flow ได้ง่ายขึ้น
ข้อมูล Cash Flow ช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำ วางแผนการเงิน วางกลยุทธ์ทางการตลาด
3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในร้าน:
วิเคราะห์รายจ่ายของร้าน ค้นหาวิธีลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ตัวอย่าง: เจรจาต่อรองราคากับซัพพลายเออร์ ปิดไฟ/ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน
การลดค่าใช้จ่ายช่วยเพิ่มผลกำไร และทำให้ Cash Flow ดีขึ้น
4. เปลี่ยนของที่ไม่ได้ใช้ในร้านให้กลายเป็นเงิน:
ขายอุปกรณ์ ของตกแต่ง สินค้าคงคลังที่ไม่ได้ใช้
ขายสินค้ามือสอง หรือ ขายของเก่า
การเปลี่ยนของที่ไม่ได้ใช้เป็นเงิน ช่วยให้มีเงินทุนหมุนเวียนในร้าน
5. ติดตามสต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ:
สต๊อกสินค้ามีจำนวนมากเกินไป ส่งผลเสียต่อ Cash Flow
ควรติดตามและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของสต๊อกสินค้า
เลือกใช้ระบบ POS ที่มีโปรแกรมนับสต๊อก ช่วยให้บริหารจัดการสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. มีเงินสำรองจ่าย:
ธุรกิจค้าปลีกควรมีเงินสำรองจ่ายเผื่อกรณีฉุกเฉิน
เงินสำรองจ่าย ควรมีอย่างน้อย 3 เดือนของค่าใช้จ่าย
เงินสำรองจ่าย ช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ แม้เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
7. กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าในร้านเร็วขึ้นด้วยข้อเสนอ:
จัดโปรโมชั่น ส่วนลด ของสมนาคุณ
กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น
เพิ่มยอดขาย และ เงินสดเข้าร้าน
8. โฟกัสที่ Cash Flow แทนกำไร:
ธุรกิจค้าปลีกควรให้ความสำคัญกับ Cash Flow มากกว่ากำไร
Cash Flow ที่ดี ช่วยให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียน
ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ แม้เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก:
ร้านขายเสื้อผ้าวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า นำเสนอสินค้าที่ตรงใจ
ร้านอาหารใช้ระบบ POS จัดการคิวอาหาร
ซูเปอร์มาร์เก็ตใช้เทคโนโลยี RFID ติดตามสินค้าคงคลัง
สรุป:
8 วิธี บริหาร Cash Flow เป็นแนวทางที่ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ช่วยให้การเงินร้านคล่องตัว มีประสิทธิภาพ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52399 | Retail | โครงการพาร์ค สีลม (Park Silom) จะมีร้านอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดให้บริการ ใช่หรือไม่? | null | ไม่
โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้:
1. โครงการพาร์ค สีลม มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนทำงานรุ่นใหม่ในย่านสีลมและสาทรที่มีกำลังซื้อสูง มีวิถีการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ที่มีสมดุลชีวิตการทำงานที่ดี มีสีสันและความสนุกสนานกับชีวิต มีความใส่ใจดูแลตัวเองและสุขภาพที่ดี
2. พื้นที่ค้าปลีกภายในโครงการจะคัดสรรแบรนด์คุณภาพชั้นนำมากกว่า 80 แบรนด์ ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และโซน Wellness, Dining ศูนย์รวมความอร่อย รวบรวมคาเฟ่ ร้านกาแฟ บาร์แอนด์บิสโทร ร้านอาหารโดดเด่นและหลากหลาย ไปจนถึงร้านอาหารคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ และพื้นที่แฮงเอาท์ที่ใหม่ในย่านสีลม
3. โครงการต้องการนำเสนอประสบการณ์การทานอาหารที่มีความพิเศษ เหนือระดับ เน้นไปที่อาหารเพื่อสุขภาพ วัตถุดิบสดใหม่ มากกว่าร้านอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด
ตัวอย่างร้านอาหารภายในโครงการพาร์ค สีลม:
- ร้านอาหารไทย เช่น เบิร์นบุษบา, กับข้าวกับปลา
- ร้านอาหารญี่ปุ่น เช่น Omakase Don by teppen
- ร้านอาหารอิตาเลียน เช่น The Coffee Club
- ร้านอาหารอินเดีย
- ร้านอาหารมังสวิรัติ
- ร้านกาแฟ เช่น KAMUKAMU ,GATTA CAfe' ,Karun Thai Tea
- ร้านเบเกอรี่ เช่น The Baking Bureau, ปังสยาม
- ร้านไอศกรีม เช่น Swensen's
สรุป:
- โครงการพาร์ค สีลม ไม่ได้มีร้านอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดให้บริการ
- โครงการมุ่งเน้นไปที่ร้านอาหารที่มีความพิเศษ เหนือระดับ เน้นไปที่อาหารเพื่อสุขภาพ วัตถุดิบสดใหม่
- โครงการพาร์ค สีลม มุ่งเน้นไปที่การตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในย่านสีลม ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวที่มีเด็ก
- โครงการมีพื้นที่สำหรับเด็กเล่น และบริการรับฝากเด็ก เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถช้อปปิ้งและทานอาหารได้อย่างสะดวก
- โครงการมีบริการจอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52402 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง Fast Retailing ขึ้นเงินเดือนทั่วญี่ปุ่น ได้ไหม | Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo เตรียมขยับค่าแรงให้กับพนักงานฟูลไทม์ในญี่ปุ่นสูงสุด 40% โดยให้เหตุผลว่า เพื่อจูงใจพนักงานให้ทำงานต่อ รวมถึงเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในวันที่อัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวจะมีผลกับพนักงานทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ในสำนักงานใหญ่ พนักงานที่ร้านค้า รวมถึงพนักงานที่เข้าใหม่ก็จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าวด้วย โดยหากเป็นบัณฑิตจบใหม่ จะได้รับเงินเดือน 3 แสนเยน (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยจ่าย 255,000 เยน) ส่วนเงินเดือนของผู้จัดการร้านจะเพิ่มขึ้นเป็น 390,000 เยน จากเดิมที่เคยได้รับเพียง 290,000 เยน ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ นั้น Fast Retailing ระบุว่า จะเพิ่มให้เช่นกัน โดยอัตราที่จะเพิ่มให้สูงสุดคือ 40% ซึ่งผลจากการปรับขึ้นค่าแรง ทั้งพนักงานฟูลไทม์และพาร์ทไทม์นั้น จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของ Fast Retailing ในปีนี้ (เฉพาะในญี่ปุ่น) เพิ่มขึ้น 15% ซึ่งบริษัทระบุว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถแบกรับได้ เนื่องจากที่ผ่านมามีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว นอกจาก Fast Retailing พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่นอีกหลายแห่งที่เตรียมปรับเงินเดือน – ค่าตอบแทนให้พนักงานของตัวเอง เช่น Nippon Life Insurance ที่มีแผนจะขึ้นเงินเดือนให้พนักงานขาย 7% โดยการขึ้นเงินเดือนดังกล่าวมีผลทำให้รายจ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นราว 100 ล้านเยน นอกจากนั้นก็มี Suntory ที่จะเพิ่มค่าแรงอีก 6% เช่นกัน อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) พบว่า ในบรรดาประเทศสมาชิกนั้น ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD โดยอยู่ที่ 39,700 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าแรงเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD นั้นอยู่ที่ 51,600 เหรียญสหรัฐ และสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีตัวเลขดังกล่าวสูงสุด โดยอยู่ที่ 74,700 เหรียญสหรัฐ | Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ขยับค่าแรงให้กับพนักงานฟูลไทม์ในญี่ปุ่นสูงสุด 40% เพื่อจูงใจพนักงานให้ทำงานต่อ เป็นขวัญกำลังใจ นอกจาก Fast Retailing พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่นอีกหลายแห่งที่เตรียมปรับเงินเดือน – ค่าตอบแทนให้พนักงานของตัวเอง เช่น Nippon Life Insurance ข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา พบว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD โดยอยู่ที่ 39,700 เหรียญสหรัฐ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52408 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง Retail Asia Awards 2022 ได้ไหม | โลตัส ฉลองความสำเร็จติดต่อกัน 2 ปีซ้อน จากเวทีระดับภูมิภาค Retail Asia Awards 2022 โดยนิตยสาร RETAIL ASIA สิงคโปร์ ซึ่งโลตัสคว้า 3 รางวัล ได้แก่ Brand Transformation of the Year, Marketing Initiative of the Year และ Sustainability Initiative of the Year สะท้อนการเป็นผู้นำวงการค้าปลีกไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ครอบคลุมทั้งในด้านการสร้างแบรนด์ การตลาด และความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาปรับกลยุทธ์ในธุรกิจโลกยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความแตกต่างกัน ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “โลตัส มีความภาคภูมิใจที่เป็นธุรกิจค้าปลีกของไทยที่ได้รับการยกย่องในเวทีโลกอีกครั้ง โดยเราสามารถคว้า 3 รางวัลจาก Retail Asia Awards 2022 ได้แก่ รางวัล Brand Transformation of the Year จากการเปิดตัว Lotus’s SMART App แอปพลิเคชันใหม่ที่รวมรีวอร์ดโปรแกรมใหม่ “My Lotus’s” และแพลตฟอร์มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์อยู่ในที่เดียว ด้วยแนวคิดการช้อปปิ้งที่ SMART และตรงใจกว่าเดิม (Personalization) ผ่านการใช้เทคโนโลยี AI นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดสินค้าที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย นอกจากจะตอบโจทย์ insight ลูกค้าเฉพาะรายแล้ว ยังใช้งานง่ายขึ้นและสะดวกขึ้นด้วย สะท้อนการทรานส์ฟอร์มแบรนด์โดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับการให้บริการลูกค้า และตอบโจทย์พฤติกรรมการช้อปปิ้งแบบ New Normal ในยุคดิจิทัลด้วย รางวัล Marketing Initiative of the Year จากแคมเปญ “รวมพลังลดครั้งใหญ่ พาไทยฝ่าวิกฤต” โดยการจับมือกับ 40 ซีอีโอ จากหลากหลายแบรนด์ดังในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ลดราคาสินค้าในโลตัสมากกว่า 400 รายการ ลดสูงสุดมากกว่า 50% ยาวนานถึง 2 เดือน ช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ที่นอกจากจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความท้าทายจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 แล้ว ยังเป็นแคมเปญที่สร้างปรากฏการณ์ไวรัล จากการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Co-creation โดยร่วมกับแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย ตั้งรูปหน้าปกแฟนเพจและตั้งค่าสถานะ in a relationship with Lotus’s บนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก สร้างกระแสในโลกออนไลน์ รางวัลที่เราได้รับในครั้งนี้ช่วยการันตีความสำเร็จในการที่โลตัสบรรลุเป้าหมายไปอีกก้าว ในด้านการออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เหมาะสมกับสถานการณ์ และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโลตัสที่เรายึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” นอกจากนั้น โลตัส ยังได้รับรางวัล Sustainability Initiative of the Year จากความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในโครงการรับซื้อผลผลิตตรงจากเกษตรกร (Direct Sourcing) ทั่วประเทศโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจของโลตัสและเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการจะเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ช่วยเหลือเกษตรกรและ SME ไทย ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการรับซื้อตรงจากเกษตรกรนี้ ไม่ใช่เพียงการรับซื้อผลผลิตสำหรับโลตัสเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนพัฒนาความรู้ความสามารถของเกษตรกร เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถให้เกษตรกรสามารถแข่งขันในตลาดและเติบโตในช่องทางอื่น ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย โครงการนี้สะท้อนความสำเร็จในพันธสัญญาที่โลตัสเดินหน้าช่วยเหลือเกษตกรท้องถิ่นให้มีรายได้ที่เป็นธรรมและยั่งยืน และสามารถให้คำแนะนำเกษตรกรพร้อมดูแลควบคุมคุณภาพผลผลิตโดยเฉพาะอาหารสดให้เป็นไปตามมาตรฐาน ส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพสูงส่งตรงถึงมือลูกค้า ทั้งในสาขาและช่องทางออนไลน์ ซึ่งการได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนผลสำเร็จในการทำงานของเราที่สร้างความภาคภูมิใจทั้งกับผู้บริหารและพนักงานโลตัสเอง รวมไปถึงหน่วยงานภายนอกที่เป็นพาร์ทเนอร์และให้การช่วยเหลือสนับสนุนโครงการเหล่านี้ ที่มาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน | โลตัส ฉลองความสำเร็จ จากเวที Retail Asia Awards 2022 คว้า 3 รางวัล ได้แก่ Brand Transformation of the Year จากการเปิดตัว Lotus’s SMART App, Marketing Initiative of the Year จากแคมเปญ “รวมพลังลดครั้งใหญ่ พาไทยฝ่าวิกฤต” และ Sustainability Initiative of the Year จากความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในโครงการรับซื้อผลผลิตตรงจากเกษตรกร (Direct Sourcing) ทั่วประเทศโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52411 | Retail | กลยุทธ์การตลาดแบบ Retailtainment ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านแคมเปญ “คาถาโอเกะ” มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายใด และทำไม? | เซ็นทรัล รีเทล ประเดิมปี 65 ดึง กลัฟ คณาวุฒิ และอ.ช้าง ลุยกลยุทธ์การตลาด “Retailtainment” เปิดตัวแคมเปญ “คาถาโอเกะ” มอบความสุขให้คนไทย เซ็นทรัล รีเทลเปิดตัวแคมเปญคาถาโอเกะ by อ.ช้าง #NewYearNewStart ส่งกลยุทธ์กิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบ Retailtainment ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มาพร้อมความบันเทิง ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยเลือกใช้เพลงเป็นสื่อ (Music Marketing) ในการสร้างสรรค์ปรากฎการณ์ความสนุก โดยได้นักแสดงหนุ่มสุดฮอต และคนดังแห่งปีอย่าง กลัฟ- คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ และ อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ไทยและฮวงจุ้ย มาร่วมกันสร้างความสุขและส่งต่อความเป็นสิริมงคล ด้วยเพลงฟีลกู้ดที่ฟังสนุกติดหูอย่างคาถาโอเกะ ภายใต้แนวคิด “New Year New Start” ของเซ็นทรัล รีเทล โดยเนื้อเพลงจะเป็นการอวยพรด้วยคำที่มีความหมายที่ดี สร้างพลังกาย พลังใจให้ทุกคนได้เริ่มต้นในปีใหม่ ตลอดจนมอบสิ่งที่ดีให้กับคนไทยได้มีรอยยิ้มต้อนรับปีเสือทอง คุณปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ ด้วยแนวโน้มการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค ทำการตลาดแบบเดิมในปัจจุบันนี้จะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เซ็นทรัล รีเทล เอง จึงได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและพบว่าประสบการณ์และความบันเทิงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญมากที่สุดจึงได้พัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบ Retailtainment ในรูปแบบใหม่ผ่านกลยุทธ์โดยใช้เพลงเป็นสื่อ (Music Marketing) ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “คาถาโอเกะ” ซึ่งสอดคล้องกับคนไทยที่มีความชอบและเชื่อเรื่องดวง รวมถึงเรื่องการเสริมโชคชะตา ผ่านการสร้างเพลงคาถาที่ใช้ร้องเพื่อดึงสิ่งดีให้กับตนเองและปรับให้สนุกสนานยิ่งขึ้น ให้ทุกคนสามารถร้อง เล่น เต้น สนุก และแชร์ต่อให้กันได้ แคมเปญ “คาถาโอเกะ” ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง กลัฟ- คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ มาร่วมถ่ายทอดการเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์สนุกสนาน เปรียบเสมือนเป็นอีการ์ดอวยพรที่มีชีวิตรูปแบบใหม่ ที่พร้อมมอบความสุขให้คนไทยทุกคนในเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมั่นใจว่าแคมเปญคาถาโอเกะนี้จะเป็นไวรัลที่ทำให้คนไทยมีความสุข และได้ประสบการณ์ความบันเทิงที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังได้ อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ไทยและฮวงจุ้ย มาร่วมให้คำอวยพรเพื่อความเป็นสิริมงคล ที่สร้างพลังบวกให้ทุกคนได้เริ่มต้นปีใหม่อย่างดี โดยกำหนดออกมาเป็นซีรีส์ในช่วงเทศกาลสำคัญตลอดต้นปี 2565 อยากให้คนไทยทุกคนได้ติดตามความสนุกนี้ไปด้วยกัน” ด้าน กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ กล่าวถึงแคมเปญนี้ว่า “กลัฟรู้สึกดีใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญคาถาโอเกะ เพื่อร่วมส่งต่อความสุขในเทศกาลปีใหม่กับ เซ็นทรัล รีเทล กลัฟขออวยพรให้ทุกคน มีความสุข คิดสิ่งใดก็สมความปรารถนา มีสุขภาพที่แข็งแรง และเริ่มต้นปีใหม่อย่างมีพลังเหมือนคำอวยพรในคาถาโอเกะ ที่อยากให้ทุกคนได้ร้องและเต้นตาม สนุกสนานไปด้วยกันนะครับ เรามาปลุกพลังความสดใสในตัว เพื่อต้อนรับปีใหม่กันนะครับ เริ่มปีโชคดี สุขศรีมีปัง และอย่าลืมฝากติดตามผลงานของกลัฟ และ เซ็นทรัล รีเทล ที่จะมีเซอร์ไพร์สอะไรในเทศกาลต่อ ๆ ไป Happy New Year ทุกคนครับ” ด้าน อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา กล่าวว่า “ในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ มักมีคนถามผมว่าปีหน้าดวงจะดีขึ้นไหม เรื่องโควิด เรื่องการเงินการงาน และความรัก ผมเชื่อว่าหลาย ๆ อย่างในปีหน้าจะดีขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ เช่นเดียวกับแคมเปญของ เซ็นทรัล รีเทล ที่ต้องการให้คนไทยมีพลังกายพลังใจต้อนรับปีใหม่ แบบ New Year…New Start ผมขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข สมหวังดั่งที่ตั้งใจ พร้อมเปิดรับสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาในปีใหม่นี้ Happy New Year… New Start ทุกคนครับ” สำหรับผู้สนใจสามารถรับชม E-Card อวยพร ร้อง เล่น เต้นสนุกในสไตล์หนุ่มกลัฟ ของแคมเปญ คาถาโอเกะ by อ.ช้าง #NewYearNewStart ได้แล้ววันนี้ทางเฟซบุ๊ก ww.facebook.com/ Central Retail และยูทูป Central Retail พร้อมทั้งร่วมกิจกรรมส่งต่อความสุขและแชร์สิ่งดีดีเพื่อสร้างพลังรับปีเสือ ด้วยการดาวน์โหลดวอลเปเปอร์มงคล ติดตามความสนุกได้ทางเฟซบุ๊ก ww.facebook.com/ CentralRetail | กลยุทธ์การตลาดแบบ Retailtainment ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านแคมเปญ “คาถาโอเกะ” มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหลัก 2 กลุ่ม ดังนี้:
1. กลุ่มคนรุ่นใหม่:
- แคมเปญนี้ใช้เพลงเป็นสื่อหลักในการดึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะเพลง “คาถาโอเกะ” ที่มีเนื้อหาสนุกสนาน ติดหู และสื่อถึงความเป็นสิริมงคล
- กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความบันเทิง ฟังเพลง และใช้เวลากับสื่อออนไลน์
- การใช้นักแสดงหนุ่มสุดฮอตอย่าง กลัฟ- คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เป็นตัวแทนของแคมเปญ ก็ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้สนใจและเข้าร่วมกิจกรรม
2. กลุ่มคนไทยที่เชื่อเรื่องดวงชะตา:
- แคมเปญนี้ผสมผสานความเชื่อเรื่องดวงชะตาเข้ากับเพลงคาถาโอเกะ
- กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทย
- การเชิญ อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ไทยและฮวงจุ้ย มาเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ก็ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และดึงดูดกลุ่มคนไทยที่เชื่อเรื่องดวงชะตาให้เข้าร่วมกิจกรรม
เหตุผลที่เลือกกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มนี้:
- กลุ่มคนรุ่นใหม่: เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
- กลุ่มคนไทยที่เชื่อเรื่องดวงชะตา: เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากในประเทศไทย
ทั้งสองกลุ่ม:
- มีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบความบันเทิง
- มีพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์
- มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
โดยสรุป:
กลยุทธ์การตลาดแบบ Retailtainment ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่านแคมเปญ “คาถาโอเกะ” มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนไทยที่เชื่อเรื่องดวงชะตา เพราะกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มนี้มีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบความบันเทิง มีพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ และมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
แคมเปญนี้จึงเป็นการผสมผสานกลยุทธ์การตลาดแบบดั้งเดิมและการตลาดดิจิทัลเข้าด้วยกัน ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52433 | Retail | NEXTBEST แพลตฟอร์ม คืออะไร | รีเทเลเจอร์ บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจค้าปลีก และให้บริการในรูปแบบของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและทีมการตลาดและการขาย โดยอาจารย์อ๋อมนักขาย “สายดาต้า” กูรูการสร้างยอดขาย ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมค้าปลีก และการตลาดมากกว่า 20 ปี เปิดตัว NEXTBEST แพลตฟอร์มสัญชาติไทย เขียนโดย SMEs ช่วย SMEs สร้างยอดขาย ลดต้นทุน เพิ่มกำไรทะลุร้าน (ล้าน!) ย้ำ SMEs ยุคดิจิตอล ต้องเปลี่ยนแฟนคลับเป็นยอดขาย เพิ่มกำไรทะลุล้านได้ง่ายๆ เพียงเข้าใจลูกค้า รู้จักใช้“ดาต้า (ข้อมูลลูกค้า)”เป็นเข็มทิศในการนำทาง แล้วทำการตลาดอย่างถูกต้องและชัดเจน
ซึ่ง “NEXTBEST” เป็นแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือทางการตลาด ที่จะช่วยเสริมศักยภาพและสร้างเขี้ยวเล็บ ทั้งยังป้องกันไม่ให้ SMEs หลงทาง ไม่ต้องลงทุนแบบหว่าน แต่จะทำให้แบรนด์ และผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากของดาต้าที่มีอยู่ไปสื่อสารตรงกับความต้องการของลูกค้า เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม(แฟนคลับ) แล้วเปลี่ยนแฟนคลับให้กลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดี พร้อมบอกต่อ จนเกิดการซื้อซ้ำ จนสามารถสร้างยอดขายออนไลน์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้อย่างแท้จริง และสามารถยืนได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการมองหาสินค้าใหม่ เซอร์วิสใหม่ ลูกค้าใหม่ เพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจไปพร้อมกับการทำการตลาดในทุกๆ วัน โดยไม่ต้องรอการพึ่งพาความช่วยเหลือและการโปรโมทจากทางรัฐหรือแพลตฟอร์มต่างชาติเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
สำหรับผู้ที่สนใจ“NEXTBEST” สามารถติดต่อนัดหมายให้คำปรึกษาฟรีทุกวัน (30 นาที) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID: Retailature Fb Page: อาจารย์อ๋อม นักขายสายดาต้าเว็ปไซต์: www.nextbest.ai www.retailature.com Line ID: Retailature www.calendly.com/retailature เบอร์โทรศัพท์ 099-398-3563
นางสาว วรรณภาณี ทัศนาญชลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้าฝ่ายงานวิเคราะห์ข้อมูลค้าปลีก บริษัท รีเทเลเจอร์ จำกัด, เจ้าของเพจ อจ.อ๋อมนักขายสายดาต้า และอาจารย์พิเศษด้าน Consumer Behavior – คณะสถิติประยุกต์ NIDA กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารบนโลกออนไลน์มีบทบาทกับวิถีชีวิตของเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด กอรปกับสถานการณ์ของการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ที่รุนแรงครอบคลุมทั่วโลก ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งหมด ผู้คนต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตครั้งใหญ่ ลดการพบปะสมาคม ลดการสัมผัสใกล้ชิด การเดินทาง การส่งสินค้า และหลายธุรกิจที่ต้องหยุดชะงัก หรือต้องปรับกระบวนทัพใหม่ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเคยสร้างเม็ดเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างมหาศาลก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน
ทั้งนี้ จากประสบการณ์ที่เคยทำมาร์เก็ตติ้งให้กับองค์กรและแบรนด์ค้าปลีกต่างๆ กว่า 20 ปี อาทิ Amazon.com, Panda Corporation, ไอ.ซี.ซี., ELLE Licensing, ธนาคารทหารไทย (TMB,) สเวนเซนส์ (Swensen’s) ไมเนอร์ฟู้ด, ดีเคเอสเอช, ลีวายส์ (Levi’s,) ตนเองมองว่าถึงเวลาที่ SMEs จะต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี และใช้การสื่อสารแบบออนไลน์ โซเชียมีเดีย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
Small Data ข้อมูลขนาดเล็ก “จิ๋วแต่แจ๋ว” ช่วยเพิ่มแฟนคลับ-ลดต้นทุน- สร้างกำไรให้ SMEs ได้อย่างแท้จริง
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ SMEs อยู่รอดและสามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไปได้นั้น คือ “ดาต้า (ข้อมูลลูกค้า)” หรือ Small Data ซึ่งผ่านการรีเสิร์ซมาแล้ว และ SMEs จะต้องเรียนรู้ให้ไว เพิ่มความยืดหยุ่น ปรับวิธีการทำการตลาดและการขายใหม่ ใช้รูปแบบการทำตลาดที่ถูกต้อง เริ่มจากดาต้าที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความต้องการของลูกค้าบนโลกโซเชียลหรือจากฐานข้อมูลเล็กๆที่มีอยู่ผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างดาต้าหรือฐานข้อมูลลูกค้าในเชิงลึก เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้ามากกว่า การพึ่งพาแพลตฟอร์มโฆษณาเพียงอย่างเดียว
“ดาต้า” สร้างยอดขาย และผลกำไรให้ปังทะลุร้าน (ล้าน!)
ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่ตนเองทำธุรกิจน้ำปลาหวานแบรนด์ “หลานหลง” น้ำปลาหวานแบรนด์จนดังทะลุร้านและมียอดขายหลักล้านต่อเดือน ก็ได้สร้างดาต้าแพลตฟอร์ม เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกแบบเหตุและผลของผู้บริโภคไทย ไว้เป็นฐานข้อมูลของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แล้วนำมาวิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อวางแผนกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาด กลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ด้วยสามารถสร้างยอดขายได้เดือนละหลักล้านบาท ขณะนี้มีแฟนคลับที่เป็นลูกค้าดั้งเดิมกว่า 50,000 คนและลูกค้าใหม่ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดครอบคลุมลูกค้าชั้นดีทั่วประเทศ
ต่อมาตนเองจึงได้พัฒนาเป็น “NEXTBEST” ดาต้าแพลตฟอร์ม หรือเครื่องมือของนักการตลาดยุคใหม่ สัญชาติไทยเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ใช้ AI และ CUSTOMER GENOME ในการสร้างความชาญฉลาดให้กับธุรกิจ เพื่อแบ่งปันข้อมูลและความรู้ให้กับ SMEs รายอื่นๆ โดย AI จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าทั้งภายในและภายนอกระบบ ตั้งแต่การหาเป้าหมายลูกค้าใหม่ไปจนถึงการทำ CRM ซึ่งจะทำให้ SMEs สามารถนำข้อมูลเชิงลึก (Insight) เฉพาะตัวธุรกิจ มาวิเคราะห์เพื่อวางแผนการขายและการตลาด คาดคะเนได้ว่าเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปแล้ว ชิ้นต่อมาที่ซื้อซ้ำ เขาควรจะต้องซื้ออะไรราคาเท่าไหร่ ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ฉับไว และตรงจุดมากยิ่งขึ้น ขยายฐานลูกค้าใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม (แฟนคลับ) และสร้างการสื่อสารกับลูกค้าให้ตรงกับความต้องการให้มากที่สุด เรียกว่า “ถูกที่ ถูกเวลา ตรงกลุ่มเป้าหมาย” เรียกว่าเป็นการ ‘เปลี่ยนแฟนคลับให้กลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีพร้อมบอกต่อ จนเกิดการซื้อซ้ำ’ และลูกค้าใหม่ให้กลายเป็นแฟนคลับติดกระแสเร็วขึ้น จึงจะสามารถช่วยให้ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้ ทำงานอย่างสนุกในสภาพการแข่งขันที่ขับเคี่ยวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
อัตราค่าบริการแพลตฟอร์ม “NEXTBEST” สำหรับลูกค้า SMEs จะเริ่มต้นที่เดือนละ 8,500 บาท และมีบริการเหมาจ่ายทีมขายและการตลาด รวมถึงการแชร์ยอดขายแบบ Revenue Sharing โดยไม่ต้องลงทุนวางระบบราคาสูง SMEs ก็สามารถเริ่มต้นใช้ดาต้าอย่างไร้ข้อจำกัดในเรื่องเงินทุน นอกจากนี้ล่าสุดยังได้ออกแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า Luna Social Commerce แพลตฟอร์มช้อปปิ้งใช้งานบน Line ที่แบ่งยอดขายให้ คนบอกต่อแบบ Friend Get Friend สำหรับลูกค้าที่ต้องการให้เราช่วยทำการตลาดและขายของเชิงรุกให้ Luna จะเป็นแพลตฟอร์มที่เหมือนห้างไทยที่ทางห้างจะสร้างบรรยากาศที่ทำ CRM และดูแลทุกแบรนด์ให้เกิดยอดขาย หากลุ่มเป้าหมายเข้ามาให้ เพราะบางคนไม่อยากขายใน Shopee Lazada ซึ่งการแข่งขันสูงมากแต่การค้นหาสินค้า และการบริการเริ่มไม่เป็นที่พอใจจากลูกค้าเท่าที่ควร
“ถ้าเราทำการตลาดบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง เราจะจ่ายค่าโฆษณาที่ประหยัดลง”
คุณจาริณี กาลาเฮอ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด รัสมิ์ภูมิ คลินิค กล่าวว่า “เดิมที่เราเน้นทำการตลาดบนเฟสบุ๊คอย่างเดียว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Line OA มากมายนัก เก็บข้อมูลด้วยการใช้มือจดบันทึก แล้วทำบรอดแคสต์ส่งถึงลูกค้าทุกคนพร้อมกัน อาจเลือกช่วงอายุได้แต่ไม่สามารถเลือกจากเชิงพฤติกรรมหรือมิติอื่นๆ ที่สร้างยอดขายได้ แล้วการที่เราใช้พนักงาน 1 คนโทรหาลูกค้า 10 คนต่อวันใช้เวลาเยอะ เพราะเราไม่มีเครื่องมือทำ Social CRM ปกติตนเองชอบซื้อของและคุยกับแม่ค้าโดยตรงผ่านไลน์ จึงค่อนข้างมั่นในว่าไลน์มีความน่าเชื่อถือมากกว่า Facebook และคิดว่า database มีสำคัญมาก จะเก็บแบบเดิมๆ แล้วใช้ความรู้สึกในการวิเคราะห์หรือคาดการณ์เองไม่ได้อีกต่อไป จะต้องมีเครื่องมือมาช่วยเก็บและยืนยันได้ดีกว่า เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนก่อนทำการตลาดและการขาย ดังนั้นจึงได้มองหาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาช่วยทำการตลาดผ่านไลน์ (Line Official) แล้วมาลงตัวที่ ‘รีเทเลเจอร์’ และ ‘NEXTBEST’
ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง NEXTBEST เป็นแพลตฟอร์มอัจริยะ ทีมที่ปรึกษาและเพื่อนคู่คิด ที่เข้ามาช่วยในทุกเรื่องตั้งแต่การเก็บข้อมูล ร่วมวิเคราะห์ข้อมูล ทำโปรโมชั่นและสื่อสารให้กับลูกค้าที่อยู่ในไลน์ให้รู้มากยิ่งขึ้น จากผลิตภัณฑ์ที่เราไม่มีเวลาที่จะไปโปรโมทหรือทำการตลาดเลย สามารถสร้างยอดขายโตหลักล้านได้ภายใน 2 เดือน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะทำการตลาดบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง จะทำให้จ่ายค่าโฆษณาที่ประหยัดลง แต่ได้ประสิทธิภาพที่มากขึ้น สามารถวางแผนและสื่อสารตรงกับความต้องการของลูกค้าได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบบ้างในแง่ของเวลาเปิดบริการเพราะต้องปิดร้านไปประมาณ 3 เดือน แต่เมื่อเทียบกับยอดขายโดยรวมแล้ว ธุรกิจของเรามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตมีแผนที่จะขยายไปทำเป็นศูนย์ความงาม One Stop Service ก็อยากทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในการบริการที่จริงใจของเราที่มอบให้กับลูกค้าเสมอมา ตั้งแต่การคัดสรรผลิตภัณฑ์ ราคาที่เหมาะสม รวมถึงการคัดสรรแพทย์ที่ดี อยากให้ลูกค้านึกถึงรัสมิ์ภูมิเป็นอันดับต้นๆ หากถ้าจะเลือกทำอะไร”
คุณณัฐพงษ์ ทองประเสริฐ เจ้าของแบรนด์ HYADA เซรั่มแบรนด์ไทยที่ติดเทรนด์สูงสุดในโลกออนไลน์ ทั้ง Twitter และ Tiktok กล่าวว่า “ด้วยความที่เป็น Skin care การจึงใช้เม็ดเงินหว่านไปกับโฆษณาจึงหนักมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสินค้าประเภทนี้จะต้องอยู่ในกระแสตลอดเวลา แต่พอได้มารู้จัก NEXTBEST สิ่งนี้ทำให้ได้เปิดโลกของดาต้า ซึ่งผมไม่เคยเห็นข้อมูลลูกค้ามากขนาดนี้มาก่อน แรกๆ ก็เริ่มต้นไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อนอะไรหลัง แต่หลังจากที่ได้นำดาต้ามาวางกลกุทยธ์ในการทําคอนเทนต์ ได้ผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก ตอนนี้จึงมองว่าจะต้องหันมาสนใจเรื่องการนำดาต้าแบบ insight มาใช้ในการวางแผนการตลาดและการขายอย่างจริงจัง ขอบคุณ NEXTBEST ทีมที่มีความเป็นมืออาชีพในสายดาต้ามากๆ ที่เข้ามาช่วยกันทำงานตรงนี้ ในอนาคตผมอยากทำระบบตัวแทนและรับบสมาชิก เพื่อลดค่าโฆษณา เพิ่มจำนวนการซื้อซ้ำของลูกค้า ลดค่าเพิ่มเพื่อนลงให้ได้”
คุณจิรัฏฐ์ ว่องพาณิชย์ ผู้บริหารและ Digital Marketing แบรนด์ Takehome Design ร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทย ดีไซน์มินิมอล กล่าวว่า “ความยืดหยุ่นและความไว คือปัจจัยหลักของความสำเร็จของ SMEs ซึ่ง NEXTBEST สามารถตอบโจทย์ได้ตรงมากๆเราเป็นแบรนด์ที่ไม่มีหน้าร้านอาศัยการออกงานแฟร์เพื่อแสดงสินค้า ทำให้การทำตลาดไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการจัดแคมเปญรายเดือนหรือการยิงโฆษณา ปีที่ผ่านมาเราเริ่มด้วยการลงทุนกับที่ไม่มากแต่กลับทำให้เราเห็นลูกค้าผ่าน Social CRM และข้อมูลลูกค้า สามารถทำโปรโมชั่นแบบ personalize ได้หลากหลายและตรงจุด และในปีหน้าเราจะเริ่มลุยทำการขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างแบรนด์ให้แข็งแรงด้วยโมเดลการแชร์ยอดขายกับ NEXTBEST ถือว่า NEXTBEST เปิดโลกให้เรา และปีหน้าเราพร้อมลุยไปด้วยกัน โดยจะวัดผลกันรายไตรมาสเลย”
นางสาว วรรณภาณี กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนั้นทาง NEXTBEST ยังจัด Workshop and Training และคลาสการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและสร้างเขี้ยวเล็บให้กับผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์สูงสุดของดาต้าข้อมูลในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต สร้างผลกำไรและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการมองหาสินค้าใหม่ (New Product) เซอร์วิสใหม่ (New Service) หรือลูกค้าใหม่ (New Customer) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจ ไปพร้อมกับการทำการตลาดในทุกๆ วัน
สำหรับผู้ที่สนใจแพลตฟอร์มและบริการการขายและการตลาดของ NEXTBEST และ LUNA หรือ สนใจการอบรมในแบรนด์หรือองค์กรหรือการเรียนเสริมความรู้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานใดๆ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ บริษัท รีเทเลเจอร์ จำกัด ได้ผ่านทางช่องทาง LINE ID: Retailature Fb Page: อาจารย์อ๋อม นักขายสายดาต้า เว็ปไซต์: www.nextbest.ai, www.retailature.com Line ID: Retailature ติดต่อนัดหมายให้คำปรึกษาฟรี 30 นาที ที่ www.calendly.com/retailature หรือเบอร์โทรศัพท์ Mobile: 099-398-3563 ได้ทุกวัน” | “NEXTBEST” เป็นแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือทางการตลาด ที่จะช่วยเสริมศักยภาพและสร้างเขี้ยวเล็บ ทั้งยังป้องกันไม่ให้ SMEs หลงทาง ไม่ต้องลงทุนแบบหว่าน แต่จะทำให้แบรนด์ และผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากของดาต้าที่มีอยู่ไปสื่อสารตรงกับความต้องการของลูกค้า เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม(แฟนคลับ) แล้วเปลี่ยนแฟนคลับให้กลายเป็นลูกค้าที่จงรักภักดี พร้อมบอกต่อ จนเกิดการซื้อซ้ำ จนสามารถสร้างยอดขายออนไลน์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้อย่างแท้จริง และสามารถยืนได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการมองหาสินค้าใหม่ เซอร์วิสใหม่ ลูกค้าใหม่ เพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจไปพร้อมกับการทำการตลาดในทุกๆ วัน โดยไม่ต้องรอการพึ่งพาความช่วยเหลือและการโปรโมทจากทางรัฐหรือแพลตฟอร์มต่างชาติเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
| null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52436 | Retail | Brand Buffet ขอสรุป 6 บิ๊กดีลแห่งปี 2021 อะไรบ้าง | ปี 2021 แม้ยังต้องเจอกับผลกระทบโควิด-19 อย่างหนักต่อเนื่องจากปีก่อน แต่หลายธุรกิจยังมีความเคลื่อนไหวคึกคักในการ “ซื้อกิจการ-ควบรวมบริษัท” แต่ละบิ๊กดีลมูลค่าหลักหมื่นล้านไปถึงแสนล้าน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้าปลีก โทรคมนาคม พลังงาน ธนาคาร ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังมาแรง Brand Buffet ขอสรุป 6 บิ๊กดีลแห่งปี 2021 ดังนี้ 1. CPN ซื้อกิจการ SF กวาด 19 ศูนย์การค้าเข้าพอร์ต เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ใช้เวลากว่า 3 เดือนนับจากกรกฎาคม 2564 ที่ประกาศซื้อกิจการทั้งหมดของ สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าแบบเปิดของประเทศไทย เช่น เมกา บางนา, เอสพลานาด, ลา วิลล่า, เจ.อเวนิว รวม 19 โครงการ โดยจบดีลตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นทั้งหมดวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ใช้เงินไป 23,568 ล้านบาท ได้หุ้นรวม 96.24% เตรียมเพิกถอนหุ้น SF ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้อนดู CPN เจ้าของอาณาจักรศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งในประเทศไทย เข้าซื้อกิจการ SF เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับ Super Regional Mall นั่นคือ “เมกา บางนา” โครงการที่ประสบความสำเร็จ จิ๊กซอว์ต่อยอดการลงทุนร่วมกับ “อิเกีย” ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกของโลกต่อไปในอนาคตได้ โดยเริ่มปฏิบัติการเข้าซื้อกิจการ SF เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 จากผู้ถือหุ้นใหญ่ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป” (MAJOR) ทั้งหมดจำนวน 647,158,471 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 12 บาท หรือสัดส่วน 30.36% มูลค่า 7,765 ล้านบาท จากนั้นประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) ของ SF ในราคาหุ้นละ 12 บาท ด้วยวงเงินอีก 17,817 ล้านบาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน 25,583 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 CPN เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมจาก 4 กลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร SF คือ 1.กลุ่มคุณอรณพ จันทรประภา 2.กลุ่มคุณพงศ์กิจ สุทธพงศ์ 3.กลุ่มคุณนพพร วิฑูรชาติ 4.กลุ่มคุณสมนึก พจน์เกษมสิน รวม 464,622,917 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 21.79% มูลค่า 5,575 ล้านบาท ปฏิบัติการสุดท้ายตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นทั้งหมดของ SF จากผู้ถือหุ้นทุกรายเป็นเวลา 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน – 18 ตุลาคม 2564 รวม 932,550,343 หุ้น คิดเป็น 43.74% มูลค่า 11,191 ล้านบาท สรุปรวมหุ้น SF ที่ CPN ซื้อมาได้ทั้งหมด 1,964,178,429 หุ้น สัดส่วน 92.13% ส่วนที่ CPN ถืออยู่ก่อนแล้ว 87,589,200 หุ้น สัดส่วน 4.11% รวมจำนวนหุ้นทั้งหมด 2,051,767,629 หุ้น สัดส่วน 96.24% ถือเป็นการปิดดีลซื้อหุ้น SF อย่างเป็นทางการของ CPN รวมการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ SF มูลค่า 23,568 ล้านบาท ได้ศูนย์การค้าเข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโออีก 19 แห่ง รวมพื้นที่ 426,044 ตารางเมตร และที่ดินรอการพัฒนาอีกหลายแปลง และเตรียมเพิกถอนหุ้น SF ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน CPN เป็นเจ้าของศูนย์การค้า 36 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 1.8 ล้านตารางเมตร การเข้าซื้อกิจการ SF ทำให้ได้พอร์ตโฟลิโอในกลุ่ม “คอมมูนิตี้ มอลล์” และที่ดินรอการพัฒนาในทำเลศักยภาพสูงทั้ง CBD ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆ อีกหลายแปลง ตอกย้ำเบอร์หนึ่งธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทย 2. GULF ทุ่ม 4.8 หมื่นล้าน ปิดดีลซื้อ INTUCH นั่งผู้ถือหุ้นใหญ่ 42.25% บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ของ คุณสารัชถ์ รัตนาวะดี มหาเศรษฐีอันดับ 5 จากการจัดอันดับนิตยสารฟอร์บส เอเชีย ปี 2564 และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 35.55% ปิดดีลเข้าซื้อหุ้น INTUCH รวมถือหุ้น 42.25% นับตั้งแต่ปี 2563 GULF ซึ่งอยู่ในธุรกิจพลังงาน ได้ทยอยซื้อหุ้น บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH มาต่อเนื่อง ถึงวันที่ 16 เมษายน 2564 เข้าถือหุ้น INTUCH ด้วยสัดส่วน 18.93% มากเป็นอันดับ 2 รองจาก SINGTEL ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2564 คณะกรรมการ GULF อนุมัติลงทุนในหุ้นสามัญของ INTUCH ทั้งหมด (Tender Offer) หรือไม่เกิน 81.07% ของหุ้นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 65 บาท หลังสิ้นสุดการทำ Tender Offer เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 สรุป GULF ได้หุ้น INTUCH มาเพิ่มอีก 23.32% มูลค่า 48,611 ล้านบาท เมื่อรวมกับหุ้นเดิมในมือ ทำให้ GULF มีหุ้น INTUCH รวม 1,354,752,952 หุ้น หรือสัดส่วน 42.25% ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้น INTUCH อันดับ 1 แซงหน้า SINGTEL ที่ถือหุ้นอยู่ 21% โดยคุณสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้เข้ามาร่วมนั่งเป็นบอร์ด INTUCH ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 GULF ซึ่งทำธุรกิจพลังงาน เข้าซื้อหุ้น INTUCH ด้วยเหตุผลว่าเป็น Holding Company ลงทุนหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 5G เทคโนโลยี ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและธุรกิจอื่นๆ รวมถึงสตาร์ทอัป เช่น Fin Tech, Health Tech, Robotic Ed Tech และ E-commerce ที่มีแนวโน้มเติบโตในยุคดิจิทัล GULF จึงเห็นว่า INTUCH เป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปสู่ยุคดิจิทัล และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้ จึงต้องการเข้ามาลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 3. SCB ปิดดีลซื้อหุ้น Bitkub 51% มูลค่า 1.7 หมื่นล้าน หลังจากเดือนกันยายน 2564 ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) อายุ 115 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2519 ได้ประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ จัดตั้งยานแม่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทน SCB เพื่อทำธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) ปลดล็อกข้อจำกัดจากธุรกิจธนาคาร สู่ Tech Company วางเป้าหมาย 5 ปี ขึ้นชั้นบริษัทระดับภูมิภาค มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) แตะ 1 ล้านล้านบาท บิ๊กดีลของยานแม่ SCBX ในเดือนพฤศจิกายน ที่กลายเป็น Talk of the Town คือการประกาศเข้าลงทุนใน Bitkub ด้วยการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 51% คิดเป็นมูลค่ารวม 17,850 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ที่สำคัญดีลนี้ได้ส่งผลให้ Bitkub ก้าวขึ้นสู่สถานะ “ยูนิคอร์น” ตัวที่ 3 ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ กับมูลค่าบริษัทกว่า 35,000 ล้านบาท หรือเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การตัดสินใจเข้าไปลงทุนใน Bitkub ของ SCBX เพราะเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว หลัง SCBX เข้าไปลงทุนใน Bitkub ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย จะช่วยให้ SCBX เติบโตไปกับโลกใหม่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินและมีแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีหลากหลาย เป็นบริษัทไทยที่ก้าวสู่ International Player แข่งขันกับคู่แข่งในระดับโลกได้ 4. True ควบรวม Dtac มูลค่า 2.5 แสนล้าน ขึ้นเบอร์ 1 ผู้ใช้มือถือ หลังมีกระแสข่าวควบรวมกิจการของ 2 ค่ายโทรคมนาคม เบอร์ 2 และ เบอร์ 3 ของ True และ Dtac มาเป็นระยะ ในที่สุดดีลนี้ก็เป็นจริง เมื่อทั้งบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ True และ บริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน จํากัด (มหาชน) หรือ dtac ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 สรุปดีลควบรวมบริษัทที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนี้ 1.ทรู และ ดีแทค ได้ศึกษาความเป็นไปได้และดําเนินการตามขั้นตอน “ควบรวมบริษัท” ระหว่างกัน ภายใต้ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจํากัด พ.ศ.2535 (การควบบริษัท) และอนุมัติให้ ทรู และ ดีแทค ทำความตกลงเบื้องต้นแบบไม่มีผลผูกพัน (MOU) เพื่อพิจารณาและศึกษาการรวมธุรกิจ 2.ทรู ได้กำหนดอัตราการจัดสรรหุ้น (Swap Ratio) สำหรับการจัดสรรหุ้นใน “บริษัทใหม่” ที่เกิดจากการควบรวมบริษัท ให้ผู้ถือหุ้นเดิม คือ 1 หุ้นเดิมของทรู เท่ากับ 2.40072 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน ดีแทค เท่ากับ 24.53775 หุ้นในบริษัทใหม่ – การจัดสรรหุ้นดังกล่าว จากสมมติฐานว่า หลังการควบรวมบริษัท “บริษัทใหม่” จะมีหุ้นที่ออกมาจำหน่ายแล้วทั้งหมด 138,208,403,204 หุ้น โดยมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยทรู จะถือหุ้น 58% และดีแทค 42% – หากดูมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564 True อยู่ที่ 152,158 ล้านบาท ส่วน Dtac อยู่ที่ 104,775 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมจะมีมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท 3.จัดตั้งบริษัท ซิทริน โกลบอล จำกัด (Citrine Global) จะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้น ทรูและดีแทค โดย “ซิทริน โกลบอล” เป็นบริษัทร่วมทุน (JV) ระหว่าง บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด (ผู้ถือหุ้นทรู) และ Telenor Asia (ผู้ถือหุ้นดีแทค) 4.ซิทริน โกลบอล จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ “ทรู” โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 5.09 บาท และซื้อหุ้น “ดีแทค” ในราคาหุ้นละ 47.76 บาท ทั้งเครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์ สรุปว่าการตัดสินใจควบรวมบริษัทดังกล่าว เป็นการทำเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งต้องการการลงทุนในอีกหลายส่วนทั้งด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ระบบคลาวด์เทคโนโลยี ไอโอที อุปกรณ์อัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ดิจิทัลมีเดียโซลูชั่น และจะมีปรับโครงสร้างเพื่อให้สนับสนุนการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup) โดยการจัดตั้งกองทุน (Venture Capital) มูลค่าประมาณ 100 – 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,300-6,600 ล้านบาท) เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัปไทยและสตาร์ทอัปต่างประเทศ ปัจจุบัน TrueMove H มีฐานลูกค้า 32 ล้านเลขหมาย รวมคลื่นความถี่ 1020 MHz ส่วน Dtac มี 19 ล้านเลขหมาย รวมคืนความถี่ 330 MHz เมื่อควบรวมกันจะมีฐานลูกค้า 51 ล้านเลขหมาย จากเดิมที่เป็นเบอร์ 2 และ 3 ในตลาด จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 มากกว่า AIS ที่มีฐานลูกค้า 43.7 ล้านเลขหมาย (AIS มีคลื่นความถี่รวมมากที่สุด คือ 1420 MHz) แต่การควบรวมกิจการของเบอร์ 2 และ 3 ในกิจการโทรคมฯ ครั้งนี้ ต้องผ่านการพิจารณาของ กสทช. หน่วยงานกำกับดูแลให้ได้ก่อน และคงต้องรอบทสรุปในปี 2565 Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand 5. กรุงศรี เดินหน้าปิดดีล Citi ในไทย คาดมูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท เดือนเมษายน 2564 ได้มีประกาศจาก Citigroup Inc. ที่วางแผนออกจากธุรกิจ Consumer Banking หรือ Retail Banking ใน 13 ตลาด ทั้งภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บาห์เรน จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ รัสเซีย ไต้หวัน เวียดนามและไทย เพื่อลดต้นทุนในธุรกิจ Consumer Banking และหันมาโฟกัสธุรกิจสายสถาบันธนกิจ หรือ ICG (Institutional Clients Group) และวาณิชธนกิจ (Investment Banking) แทน ต่อมาเดือนตุลาคม 2564 ปรากฏชื่อ “ธนาคารกรุงเทพ” และ “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” เข้าร่วมประมูลสินทรัพย์ Consumer Banking ของ Citi ในประเทศไทย ที่คาดว่ามีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 66,000 ล้านบาท) ก่อนสิ้นปี 2564 ในเดือนธันวาคม สื่อต่างประเทศได้รายงานว่า Citigroup Inc. ได้เลือกผู้ที่เสนอราคาประมูลซื้อสินทรัพย์ในส่วน Consumer Banking ในภูมิภาคเอเชียบางประเทศมาเจรจาแล้ว สำหรับในประเทศไทย Citigroup Inc. ได้เลือก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY ในเครือ Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. ของญี่ปุ่น เข้ามาพูดคุยในการซื้อสินทรัพย์ธุรกิจลูกค้ารายย่อยในไทย โดยมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินธุรกิจ Consumer Banking ในไทยจากการประมูลซื้อครั้งอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 66,000 ล้านบาท 6. ปิดดีลประวัติศาสตร์ กลุ่มเซ็นทรัล จับมือ ซิกน่า ซื้อกิจการ Selfridges ในยุโรป 18 แห่ง หลังเป็นกระแสข่าวตลอดเดือนธันวาคม ว่ากลุ่มเซ็นทรัล ของตระกูลจิราธิวัฒน์ เตรียมเข้าซื้อกิจการ ห้างสรรพสินค้า เซลฟริดเจส (Selfridges) อายุกว่า 100 ปี ในที่สุดวันที่ 24 ธันวาคม 2564 กลุ่มเซ็นทรัล ได้ประกาศปิดดีลประวัติศาสตร์ เข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส ในยุโรปทั้งหมด ร่วมกับกลุ่มซิกน่า (Singa Holding) หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจห้างสรรพสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ของยุโรป ในสัดส่วนร่วมทุน 50:50 | สรุป 6 บิ๊กดีลแห่งปี 2021 ได้ดังนี้:
1. CPN ซื้อกิจการ SF กวาด 19 ศูนย์การค้าเข้าพอร์ต เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ของตระกูลจิราธิวัฒน์:
- ใช้เวลากว่า 3 เดือนนับจากกรกฎาคม 2564 ที่ประกาศซื้อกิจการทั้งหมดของ สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ (SF) ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าแบบเปิดของประเทศไทย เช่น เมกา บางนา, เอสพลานาด, ลา วิลล่า, เจ.อเวนิว รวม 19 โครงการ โดยจบดีลตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นทั้งหมดวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ใช้เงินไป 23,568 ล้านบาท ได้หุ้นรวม 96.24% เตรียมเพิกถอนหุ้น SF ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
- ย้อนดู CPN เจ้าของอาณาจักรศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งในประเทศไทย เข้าซื้อกิจการ SF เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับ Super Regional Mall นั่นคือ “เมกา บางนา” โครงการที่ประสบความสำเร็จ จิ๊กซอว์ต่อยอดการลงทุนร่วมกับ “อิเกีย” ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกของโลกต่อไปในอนาคตได้
- โดยเริ่มปฏิบัติการเข้าซื้อกิจการ SF เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 จากผู้ถือหุ้นใหญ่ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป” (MAJOR) ทั้งหมดจำนวน 647,158,471 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 12 บาท หรือสัดส่วน 30.36% มูลค่า 7,765 ล้านบาท จากนั้นประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) ของ SF ในราคาหุ้นละ 12 บาท ด้วยวงเงินอีก 17,817 ล้านบาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน 25,583 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 CPN เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมจาก 4 กลุ่มผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร SF คือ
1.กลุ่มคุณอรณพ จันทรประภา
2.กลุ่มคุณพงศ์กิจ สุทธพงศ์
3.กลุ่มคุณนพพร วิฑูรชาติ
4.กลุ่มคุณสมนึก พจน์เกษมสิน รวม 464,622,917 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 21.79% มูลค่า 5,575 ล้านบาท
- ปฏิบัติการสุดท้ายตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นทั้งหมดของ SF จากผู้ถือหุ้นทุกรายเป็นเวลา 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน – 18 ตุลาคม 2564 รวม 932,550,343 หุ้น คิดเป็น 43.74% มูลค่า 11,191 ล้านบาท
- สรุปรวมหุ้น SF ที่ CPN ซื้อมาได้ทั้งหมด 1,964,178,429 หุ้น สัดส่วน 92.13% ส่วนที่ CPN ถืออยู่ก่อนแล้ว 87,589,200 หุ้น สัดส่วน 4.11% รวมจำนวนหุ้นทั้งหมด 2,051,767,629 หุ้น สัดส่วน 96.24%
- ถือเป็นการปิดดีลซื้อหุ้น SF อย่างเป็นทางการของ CPN รวมการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ SF มูลค่า 23,568 ล้านบาท ได้ศูนย์การค้าเข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโออีก 19 แห่ง รวมพื้นที่ 426,044 ตารางเมตร และที่ดินรอการพัฒนาอีกหลายแปลง และเตรียมเพิกถอนหุ้น SF ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
- ปัจจุบัน CPN เป็นเจ้าของศูนย์การค้า 36 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 1.8 ล้านตารางเมตร การเข้าซื้อกิจการ SF ทำให้ได้พอร์ตโฟลิโอในกลุ่ม “คอมมูนิตี้ มอลล์” และที่ดินรอการพัฒนาในทำเลศักยภาพสูงทั้ง CBD ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆ อีกหลายแปลง ตอกย้ำเบอร์หนึ่งธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทย
2. GULF ทุ่ม 4.8 หมื่นล้าน ปิดดีลซื้อ INTUCH นั่งผู้ถือหุ้นใหญ่ 42.25%:
- บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ของ คุณสารัชถ์ รัตนาวะดี มหาเศรษฐีอันดับ 5 จากการจัดอันดับนิตยสารฟอร์บส เอเชีย ปี 2564 และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 35.55% ปิดดีลเข้าซื้อหุ้น INTUCH รวมถือหุ้น 42.25%
- นับตั้งแต่ปี 2563 GULF ซึ่งอยู่ในธุรกิจพลังงาน ได้ทยอยซื้อหุ้น บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH มาต่อเนื่อง ถึงวันที่ 16 เมษายน 2564 เข้าถือหุ้น INTUCH ด้วยสัดส่วน 18.93% มากเป็นอันดับ 2 รองจาก SINGTEL ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2564 คณะกรรมการ GULF อนุมัติลงทุนในหุ้นสามัญของ INTUCH ทั้งหมด (Tender Offer) หรือไม่เกิน 81.07% ของหุ้นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 65 บาท หลังสิ้นสุดการทำ Tender Offer เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564
- สรุป GULF ได้หุ้น INTUCH มาเพิ่มอีก 23.32% มูลค่า 48,611 ล้านบาท เมื่อรวมกับหุ้นเดิมในมือ ทำให้ GULF มีหุ้น INTUCH รวม 1,354,752,952 หุ้น หรือสัดส่วน 42.25% ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้น INTUCH อันดับ 1 แซงหน้า SINGTEL ที่ถือหุ้นอยู่ 21% โดยคุณสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้เข้ามาร่วมนั่งเป็นบอร์ด INTUCH ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564
- GULF ซึ่งทำธุรกิจพลังงาน เข้าซื้อหุ้น INTUCH ด้วยเหตุผลว่าเป็น Holding Company ลงทุนหลากหลายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 5G เทคโนโลยี ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและธุรกิจอื่นๆ รวมถึงสตาร์ทอัป เช่น Fin Tech, Health Tech, Robotic Ed Tech และ E-commerce ที่มีแนวโน้มเติบโตในยุคดิจิทัล
- GULF จึงเห็นว่า INTUCH เป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปสู่ยุคดิจิทัล และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้ จึงต้องการเข้ามาลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่
3. SCB ปิดดีลซื้อหุ้น Bitkub 51% มูลค่า 1.7 หมื่นล้าน:
- หลังจากเดือนกันยายน 2564 ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) อายุ 115 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2519 ได้ประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ จัดตั้งยานแม่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทน SCB เพื่อทำธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) ปลดล็อกข้อจำกัดจากธุรกิจธนาคาร สู่ Tech Company วางเป้าหมาย 5 ปี ขึ้นชั้นบริษัทระดับภูมิภาค มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) แตะ 1 ล้านล้านบาท
- บิ๊กดีลของยานแม่ SCBX ในเดือนพฤศจิกายน ที่กลายเป็น Talk of the Town คือการประกาศเข้าลงทุนใน Bitkub ด้วยการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 51% คิดเป็นมูลค่ารวม 17,850 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ที่สำคัญดีลนี้ได้ส่งผลให้ Bitkub ก้าวขึ้นสู่สถานะ “ยูนิคอร์น” ตัวที่ 3 ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ กับมูลค่าบริษัทกว่า 35,000 ล้านบาท หรือเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
- การตัดสินใจเข้าไปลงทุนใน Bitkub ของ SCBX เพราะเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว หลัง SCBX เข้าไปลงทุนใน Bitkub ซึ่งให้บริการแพลตฟอร์มด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย จะช่วยให้ SCBX เติบโตไปกับโลกใหม่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินและมีแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีหลากหลาย เป็นบริษัทไทยที่ก้าวสู่ International Player แข่งขันกับคู่แข่งในระดับโลกได้
4. True ควบรวม Dtac มูลค่า 2.5 แสนล้าน ขึ้นเบอร์ 1 ผู้ใช้มือถือ:
- หลังมีกระแสข่าวควบรวมกิจการของ 2 ค่ายโทรคมนาคม เบอร์ 2 และ เบอร์ 3 ของ True และ Dtac มาเป็นระยะ ในที่สุดดีลนี้ก็เป็นจริง เมื่อทั้งบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ True และ บริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน จํากัด (มหาชน) หรือ dtac ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564
- สรุปดีลควบรวมบริษัทที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนี้:
(1) ทรู และ ดีแทค ได้ศึกษาความเป็นไปได้และดําเนินการตามขั้นตอน “ควบรวมบริษัท” ระหว่างกัน ภายใต้ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจํากัด พ.ศ.2535 (การควบบริษัท) และอนุมัติให้ ทรู และ ดีแทค ทำความตกลงเบื้องต้นแบบไม่มีผลผูกพัน (MOU) เพื่อพิจารณาและศึกษาการรวมธุรกิจ
(2) ทรู ได้กำหนดอัตราการจัดสรรหุ้น (Swap Ratio) สำหรับการจัดสรรหุ้นใน “บริษัทใหม่” ที่เกิดจากการควบรวมบริษัท ให้ผู้ถือหุ้นเดิม คือ 1 หุ้นเดิมของทรู เท่ากับ 2.40072 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน ดีแทค เท่ากับ 24.53775 หุ้นในบริษัทใหม่ – การจัดสรรหุ้นดังกล่าว จากสมมติฐานว่า หลังการควบรวมบริษัท “บริษัทใหม่” จะมีหุ้นที่ออกมาจำหน่ายแล้วทั้งหมด 138,208,403,204 หุ้น โดยมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยทรู จะถือหุ้น 58% และดีแทค 42% – หากดูมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564 True อยู่ที่ 152,158 ล้านบาท ส่วน Dtac อยู่ที่ 104,775 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมจะมีมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท
(3) จัดตั้งบริษัท ซิทริน โกลบอล จำกัด (Citrine Global) จะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้น ทรูและดีแทค โดย “ซิทริน โกลบอล” เป็นบริษัทร่วมทุน (JV) ระหว่าง บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด (ผู้ถือหุ้นทรู) และ Telenor Asia (ผู้ถือหุ้นดีแทค)
(4) ซิทริน โกลบอล จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ “ทรู” โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 5.09 บาท และซื้อหุ้น “ดีแทค” ในราคาหุ้นละ 47.76 บาท ทั้งเครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์
- สรุปว่าการตัดสินใจควบรวมบริษัทดังกล่าว เป็นการทำเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งต้องการการลงทุนในอีกหลายส่วนทั้งด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ระบบคลาวด์เทคโนโลยี ไอโอที อุปกรณ์อัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ดิจิทัลมีเดียโซลูชั่น และจะมีปรับโครงสร้างเพื่อให้สนับสนุนการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี (Tech Startup) โดยการจัดตั้งกองทุน (Venture Capital) มูลค่าประมาณ 100 – 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,300-6,600 ล้านบาท) เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัปไทยและสตาร์ทอัปต่างประเทศ
- ปัจจุบัน TrueMove H มีฐานลูกค้า 32 ล้านเลขหมาย รวมคลื่นความถี่ 1020 MHz ส่วน Dtac มี 19 ล้านเลขหมาย รวมคืนความถี่ 330 MHz เมื่อควบรวมกันจะมีฐานลูกค้า 51 ล้านเลขหมาย จากเดิมที่เป็นเบอร์ 2 และ 3 ในตลาด จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 มากกว่า AIS ที่มีฐานลูกค้า 43.7 ล้านเลขหมาย (AIS มีคลื่นความถี่รวมมากที่สุด คือ 1420 MHz) แต่การควบรวมกิจการของเบอร์ 2 และ 3 ในกิจการโทรคมฯ ครั้งนี้ ต้องผ่านการพิจารณาของ กสทช. หน่วยงานกำกับดูแลให้ได้ก่อน และคงต้องรอบทสรุปในปี 2565 Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
5. กรุงศรี เดินหน้าปิดดีล Citi ในไทย คาดมูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท:
- เดือนเมษายน 2564 ได้มีประกาศจาก Citigroup Inc. ที่วางแผนออกจากธุรกิจ Consumer Banking หรือ Retail Banking ใน 13 ตลาด ทั้งภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บาห์เรน จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ รัสเซีย ไต้หวัน เวียดนามและไทย เพื่อลดต้นทุนในธุรกิจ Consumer Banking และหันมาโฟกัสธุรกิจสายสถาบันธนกิจ หรือ ICG (Institutional Clients Group) และวาณิชธนกิจ (Investment Banking) แทน ต่อมาเดือนตุลาคม 2564 ปรากฏชื่อ “ธนาคารกรุงเทพ” และ “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” เข้าร่วมประมูลสินทรัพย์ Consumer Banking ของ Citi ในประเทศไทย ที่คาดว่ามีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 66,000 ล้านบาท)
- ก่อนสิ้นปี 2564 ในเดือนธันวาคม สื่อต่างประเทศได้รายงานว่า Citigroup Inc. ได้เลือกผู้ที่เสนอราคาประมูลซื้อสินทรัพย์ในส่วน Consumer Banking ในภูมิภาคเอเชียบางประเทศมาเจรจาแล้ว สำหรับในประเทศไทย Citigroup Inc. ได้เลือก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY ในเครือ Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. ของญี่ปุ่น เข้ามาพูดคุยในการซื้อสินทรัพย์ธุรกิจลูกค้ารายย่อยในไทย โดยมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินธุรกิจ Consumer Banking ในไทยจากการประมูลซื้อครั้งอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 66,000 ล้านบาท
6. ปิดดีลประวัติศาสตร์ กลุ่มเซ็นทรัล จับมือ ซิกน่า ซื้อกิจการ Selfridges ในยุโรป 18 แห่ง:
- หลังเป็นกระแสข่าวตลอดเดือนธันวาคม ว่ากลุ่มเซ็นทรัล ของตระกูลจิราธิวัฒน์ เตรียมเข้าซื้อกิจการ ห้างสรรพสินค้า เซลฟริดเจส (Selfridges) อายุกว่า 100 ปี ในที่สุดวันที่ 24 ธันวาคม 2564 กลุ่มเซ็นทรัล ได้ประกาศปิดดีลประวัติศาสตร์ เข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส ในยุโรปทั้งหมด ร่วมกับกลุ่มซิกน่า (Singa Holding) หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจห้างสรรพสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ของยุโรป ในสัดส่วนร่วมทุน 50:50 โดยกลุ่มเซ็นทรัล จะลงทุนในส่วนของธุรกิจห้างสรรพสินค้า ที่ไม่รวมอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
- การเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส จากตระกูลเวสตัน (Weston) ครั้งนี้ ประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าทั้งหมด 18 แห่ง อาทิ ห้างสรรพสินค้า เซลฟริดเจส (Selfridges) บนถนนออกซ์ฟอร์ด ในกรุงลอนดอน, แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษ, ห้างสรรพสินค้าดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ประเทศ เนเธอร์แลนด์, ห้างสรรพสินค้า บราวน์ โทมัส (Brown Thomas) และ อาร์นอตส์ (Arnotts) ประเทศไอร์แลนด์
- โดยการร่วมทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนทั้งในธุรกิจห้างสรรพสินค้า อสังหาริมทรัพย์ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งหมด Selfridges กลุ่มเซลฟริดเจส จะเข้ามาเสริมทัพห้างสรรพสินค้าหรูในประเทศท่องเที่ยวชั้นนำ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52440 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง Regional Mall รีโนเวท ได้ไหม | เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้ารีโนเวท “เซ็นทรัล พระราม 2” ให้เป็น Regional Mall อันดับ 1 จับกลุ่มลูกค้ากรุงเทพฯ ตอนใต้ พลิก Landscape เมือง ให้ย่านนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ศักยภาพกรุงเทพฯ ฝั่งใต้ ย่านกรุงเทพฯ ตอนใต้เป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะการคมนาคมที่สะดวก เชื่อมต่อเส้นทางไปจังหวัดต่างๆ ได้หลายเส้น รวมทั้งการขยายตัวของโครงการหมู่บ้านระดับกลาง-ไฮเอนด์ และโรงเรียนนานาชาติ ทำให้การปรับโฉมใหม่ของเซ็นทรัล พระราม 2 ครั้งนี้ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้คน สร้าง Meaningful moment ในทุกครั้งที่มาใช้บริการ โดยเฟสแรก มาพร้อม Mall ambience ใหม่ทั้งศูนย์การค้า นำเสนอ Urbanized lifestyle เติมเต็มคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรและใกล้ชิดกับธรรมชาติ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ครบครันที่สุดแบบไม่ต้องเดินทางเข้าเมืองอีกต่อไป ตอกย้ำการเป็น Landmark Destination ที่ดีที่สุดของทุกพื้นที่” นอกเหนือจากจะเป็นจุดเชื่อม และแหล่งที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยว เช่น วัด อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเซ็นทรัล ก็มีแผนจะทำ Art Wall Map เป็นแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวชุมชนใกล้เคียง เพื่อโปรโมทให้กับผู้ที่เดินทางมาให้ได้รับรู้เพื่อเพิ่มรายได้ต่อให้กับชุมชนอีกด้วย เซ็นทรัล พระราม 2 รีโนเวทรอบนี้ มีอะไรใหม่ สำหรับแนวทางการรีโนเวทของ เซ็นทรัล พระราม 2 นั้น อิงกับเทรนด์การออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ การเชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวเข้ากับศูนย์การค้าแบบ Seamless การออกแบบตกแต่งศูนย์การค้าใหม่แบบ Urbanized lifestyle และอีกหนึ่งไฮไลต์ในอนาคตคือ Largest Green Space in Rama 2 ปอดแห่งใหม่ให้ครอบครัวย่านพระราม 2 ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 40 ไร่ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2565 ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่พักผ่อนกลางแจ้ง และอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น การพลิกโฉมใหม่ของเซ็นทรัล พระราม 2 ในครั้งนี้ นับเป็น Strategic shift ด้วยกลยุทธ์การสร้าง Landmark Destination ทุกหัวมุมเมืองสำคัญของศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนา โดยเซ็นทรัล พระราม 2 จะเป็น Regional mall อันดับ 1 ของกรุงเทพฯ ตอนใต้ ด้วย Mall ambience ใหม่ ที่ยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมดและ สร้าง First impression ให้กับลูกค้าตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาในศูนย์ฯ 5 ไฮไลต์ สู่ความเป็น Retail experience รูปแบบใหม่ พลิก Landscape เมือง ให้ย่านพระราม 2 ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขึ้นแท่น Regional Mall อันดับ 1 กรุงเทพฯ ตอนใต้ 1. ที่สุดของการพลิกโฉม Retail Experiences รวม BU Synergy ครั้งสำคัญของเซ็นทรัล ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่จะมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ Seamless Integration ที่แรกในย่าน พบกับการตกแต่งที่หลากหลายแต่ละแผนกไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็น Beauty Galerie, Young Fashion, Unisex, Kids & Family ฯลฯ โดยแต่ละโซนให้ฟีลการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไป ช้อปก็เพลิน ถ่ายรูปก็เก๋สุดๆ พร้อมบริการพิเศษ Central Personal Shopper โทร 1425 , Tops Supermarket ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมดเป็น Central Food Hall รีโนเวทอัพลุคเพื่อมอบประสบการณ์โกรเซอรี่ระดับพรีเมี่ยม, เอาใจสายสปอร์ตกับ Supersports พื้นที่ไซส์ XL ที่ใหญ่ที่สุด เทียบเท่าเซ็นทรัล เวสต์เกต พร้อม New Concept Store กับ Sport Stimulation Zone ให้ได้ทดลองกีฬารูปแบบใหม่ๆ และเตรียมพบกับ Muji และ Greyhound Cafe หนึ่งเดียวในย่าน 2. ตัวจริงที่สุดของ Food Lifestyle Destination และ High Street Lifestyle Destination ด้วยโซน Tree Chamber แลนด์มาร์กใหม่ ในคอนเซ็ปต์ Shopping Boulevard ตกแต่งด้วยน้ำตกและต้นไม้สีเขียวเพื่อเพิ่มความสดชื่น และเพดานสูงโปร่งกว่า 9 เมตร โดยรวมร้านค้าไลฟ์สไตล์ ร้านอาหารชื่อดัง ได้แก่ Haidilao, Mo-Mo-Paradise, Four Seasons, Camin Cuisine & Cafe, Ben cookie, Van Hart Coffee, The Alley, Brew Bar, Ang Bao เป็นต้น รวมไปถึงศูนย์อาหารที่รวมร้าน Street food ดังหลากหลายใน Food Patio และ Food Court เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชาวพระราม 2 ทุกรูปแบบ และอีกหนึ่ง โซนใหม่ Showcase ในรูปแบบ Sunshine Market – The New Urban Lifestyle Market ที่รวบรวมร้านคาเฟ่ไลฟ์สไตล์และแฟชั่นดังในไอจีไว้ในที่เดียว 3. First-time ever ครั้งแรกในไทย กับบริการใหม่ Cloud Kitchen ครั้งแรกในวงการศูนย์การค้าไทยเพื่อช่วยให้ร้านค้ารายย่อยสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ลงทุนน้อย ไม่ต้องมีหน้าร้าน คืนทุนไว มี On-top service & facilities ที่ได้เพิ่มเติมจากเซ็นทรัลพัฒนา เช่น บริการผ่านช่องการการตลาดอย่าง Chat & Shop และ Grab food เน้นบริการ Delivery หรือ จะมา Pick Up ที่ศูนย์ฯ ได้โดยไม่ต้องเข้าเมือง โดยเฟสแรกมีร้านดังเข้าร่วม อาทิ ซ้งเป็ดพะโล้ ร้านดังในตำนานย่านวังหิน กว่า 30 ปี แกงกะหรี่เฟรดดี้ และล่าเมียว หม่าล่าจีนสไตล์หูหนาน-เสฉวน รวมถึงบริการที่จอดรถที่เป็นมิตรกับกลุ่ม Delivery Rider อีกด้วย 4. ตัวจริงที่สุดของ Family Well-being & Inclusive Community คอมมูนิตี้ของคนรักครอบครัวและสุขภาพ ด้วยโซน Little campus ศูนย์รวมสถาบันการศึกษาในคอนเซ็ปต์ Edutainment เสริมความสนุกพร้อมการเรียนรู้กับ Kidzoona, The Cloud by Fun Planet และพื้นที่ Play area สำหรับกิจกรรมเวิร์คช้อปของเด็กๆ และครอบครัว ร่วมด้วย Fitness first ที่ดีสุดในย่าน ตอบโจทย์คนรักสุขภาพโดยร่วมกับโรงพยาบาลในเครือข่ายเพื่อสร้างคอมมูนิตี้คนรักสุขภาพ โดยในเฟสสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 เตรียมพบกับ Largest Green Space in Rama 2 ปอดแห่งใหม่ให้ครอบครัวย่านพระราม 2 ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 40 ไร่ ร่วมด้วยร้านค้าช้อปปิ้ง โซนสัตว์เลี้ยงหรือ Pet Zone และพื้นที่สันทนาการกลางสวนสาธารณะที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ รวมถึงการเพิ่มเติมบริการห้องละหมาดสำหรับลูกค้าที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อสะท้อนความใส่ใจต่อลูกค้าทุกกลุ่มแบบ Inclusivity 5. เทรนด์การออกแบบ “พื้นที่สีเขียว” ไม่ใช่แค่การออกแบบที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้น ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่ในแง่ “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน ซีพีเอ็น ก็พยายามจะสร้างความยั่งยืนเรื่องพลังงานภายในศูนย์การค้า แล้วสร้างประโยชน์กับชุมชน ผ่าน Zero-Carbon Transportation Hub in South Bangkok ป้ายรถตู้อัจฉริยะพลังงานสะอาด “ติดแอร์” ที่แรกของศูนย์การค้าในประเทศไทย ที่ให้บริการรถตู้วิ่งเข้า-ออก กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ กาญจนบุรี พัทยา ชลบุรี โดยมี ไฮไลท์คือการติดตั้งแผงโซลาร์เซล ผลิตกระแสไฟได้ 7,500 วัตต์ต่อชั่วโมง เพื่อจ่ายกระแสไฟกว่า 45,000 กิโลวัตต์ ใช้เป็นพลังงานหลักตลอดทั้งวันให้กับห้องพักคอยผู้โดยสารระบบคิวรถอัจฉริยะ Intelligent Que สามารถเช็ค-จองคิวรถได้ผ่านจอดิจิทัล พร้อมมอบพลังงานให้ หลอดไฟส่องสว่างและเครื่องปรับอากาศ รวมถึงบริการ Vending Machine ตู้บริการสำหรับอาหาร-ขนม-เครื่องดื่ม ระหว่างรอรถ พร้อมที่ชาร์จแบตเตอรี่สำหรับมือถือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกช่วยลดปัญหาโลกร้อน รวมทั้งปักธงเป็น Zero Waste Mall ในย่านพระราม 2 นำร่องด้วย Digital Billboard ส่งเสริมการติดตั้งจอโฆษณาขนาดใหญ่แบบดิจิทัล เพื่อลดปริมาณขยะจากการผลิตป้ายโฆษณาแบบใช้แล้วทิ้งได้ในระยะยาว พร้อมเตรียมเดินหน้าติดตั้งจุดบริการแยกขยะตามประเภทหรือ Recycle Station สร้างสังคมแห่งการทิ้งดีในอนาคต นอกเหนือจากตัวศูนย์การค้าแล้ว ในแง่ของ “แบรนด์ดิ้ง” ก็มีความน่ารักเล็กๆ ซ่อนอยู่ เมื่อในระยะหลัง CPN จะแอบรีแบรนด์เล็กๆ ดังนั้น เซ็นทรัล พระราม 2 หรือ Central RAMA 2 จึงถูกออกแบบฟ้อนท์ให้แปลกตา ที่บริเวณตัว A เพื่อสื่อถึง โครงสะพานขึงของสะพานพระราม 9 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนพระราม 2 โดยสิ่งที่เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้ารีโนเวท “เซ็นทรัล พระราม 2” ในครั้งนี้ ก็เพื่อเป้าหมายเพิ่มทราฟฟิก ให้มีลูกค้ามาจับจ่ายใช้สอย ใช้ชีวิตภายในศูนย์เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 30% ในโอกาสที่ปี 2564 นี้ เซ็นทรัลพัฒนา จะมีอายุ 40 ปี การผลิกโฉม “เซ็นทรัล พระราม2” นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเบอร์หนึ่งผู้นำศูนย์การค้าไทย ที่เห็นได้เลยว่า ไม่เคยหยุดพัฒนาตามเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค | เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้ารีโนเวท “เซ็นทรัล พระราม 2” ให้เป็น Regional Mall อันดับ 1 อิงกับเทรนด์การออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไป การเชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวเข้ากับศูนย์การค้าแบบ Seamless การออกแบบตกแต่งศูนย์การค้าใหม่แบบ Urbanized lifestyle กลยุทธ์การสร้าง Landmark Destination ทุกหัวมุมเมือง 5 ไฮไลต์ สู่ความเป็น Retail experience รูปแบบใหม่
1. ที่สุดของการพลิกโฉม Retail Experiences รวม BU Synergy ครั้งสำคัญของเซ็นทรัล ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่จะมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ Seamless Integration ที่แรกในย่าน 2. ตัวจริงที่สุดของ Food Lifestyle Destination และ High Street Lifestyle Destination ด้วยโซน Tree Chamber แลนด์มาร์กใหม่ ในคอนเซ็ปต์ Shopping Boulevard ตกแต่งด้วยน้ำตกและต้นไม้สีเขียว
3. First-time ever ครั้งแรกในไทย กับบริการใหม่ Cloud Kitchen ครั้งแรกในวงการศูนย์การค้าไทยเพื่อช่วยให้ร้านค้ารายย่อยสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ลงทุนน้อย ไม่ต้องมีหน้าร้าน
4. ตัวจริงที่สุดของ Family Well-being & Inclusive Community คอมมูนิตี้ของคนรักครอบครัวและสุขภาพ ด้วยโซน Little campus ศูนย์รวมสถาบันการศึกษาในคอนเซ็ปต์ Edutainment เสริมความสนุกพร้อมการเรียนรู้
5. เทรนด์การออกแบบ “พื้นที่สีเขียว” ไม่ใช่แค่การออกแบบที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้น ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่ในแง่ “ฟังก์ชั่น” การใช้งาน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52447 | Retail | ห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งพัฒนาออมนิชาแนลให้ดียิ่งขึ้น เพราะเหตุใด | เป็นที่ทราบกันดีว่า “ห้างสรรพสินค้า” (Department Store) เป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ค้าปลีกที่ถูก Disrupt ทั้งจากการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ การเข้ามาของคู่แข่งใหม่อย่าง Digital Platform การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงการเกิดขึ้นของสถานการณ์ COVID-19 นี่จึงเป็นโจทย์ท้าทายของธุรกิจห้างสรรพสินค้า “ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เป็น Major Player ในธุรกิจห้างฯ มายาวนาน ได้ประกาศ 6 แผนยุทธศาสตร์ เพื่อปรับตัวสู่การเป็นห้างแห่งอนาคต และเป็นห้างสำหรับลูกค้า โดยตั้งเป้า 5 ปี (2564 – 2569) จะมียอดขายเติบโตกว่า 2 เท่า “ตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ห้างฯ ทั่วโลกพยายามปรับโฉมกันใหม่ เราต้องไปในทิศทางดังกล่าวเช่นกัน เพราะทั้งการแข่งขัน พฤติกรรมลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลง และลูกค้าความคาดหวังแตกต่างจากเดิม ไม่ใช่แค่เสนอสินค้าที่ดี ราคาดีเท่านั้น แต่ลูกค้าคาดหวังมากกว่านั้น ดังนั้นเราต้องทรานส์ฟอร์มห้างเซ็นทรัล และโรบินสัน ภายใต้วิสัยทัศน์ เราอยากเป็นห้างสรรพสินค้าของนไทยอย่างแท้จริง และยั่งยืน ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีทั้งจากแบรนด์ไทย และสากล ด้านแฟชั่น และของใช้ในบ้าน ผนวกกับการสร้าง Ecosystem ของห้างที่จะขับเคลื่อนธุรกิจห้างเซ็นทรัล และโรบินสันสู่การเป็นห้างแห่งอนาคตที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเราตั้งเป้าภายใน 5 ปี (ปี 2564 – 2569) ยอดขายจะเติบโตกว่า 2 เท่า” มร. โอลิวิเยร์ บรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้า ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เล่าถึงเป้าหมาย มร. โอลิวิเยร์ บรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้า ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดสถิติการเติบโตกลุ่มธุรกิจห้างฯ เครือเซ็นทรัล ทิศทางธุรกิจห้างเซ็นทรัล และโรบินสันในขณะนี้ คือ กลยุทธ์ “Omnichannel” ใช้ความได้เปรียบด้าน Physical Store ที่มีสาขาทั่วประเทศ และการพัฒนาแพลตฟอร์ม Central App ทำให้ผ่านช่วงเวลาท้าทายจากสถานการณ์ COVID-19 มาได้ และมีผลการดำเนินงานที่เติบโต – ยอดขาย Omnichannel เพิ่มขึ้น 120% (Year to Date) – ยอดดาวน์โหลด Central App กว่า 4 ล้านครั้ง และมียอดขายเพิ่มขึ้น 70% – ช่องทาง Social Commerce เช่น Chat & Shop, Facebook Live มียอดขายเพิ่มขึ้น 100% – Personal Shopper ปัจจุบันมีพนักงานรวมกว่า 1,000 คน สร้างยอดขายเติบโต 300% กางแผน 6 ยุทธศาสตร์ ผลักดันยอดขายโต 2 เท่าภายใน 5 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโตกว่า 2 เท่าภายใน 5 ปี (ปี 2564 – 2569) “ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน” ได้วางกลยุทธ์ 6 ด้านหลักคือ 1. เลือกสรรสินค้าและบริการที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า (The Best In Class Product Assortment & Services) รวมถึงสินค้าที่มีจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน อีกทั้งยังมุ่งนำเข้าสินค้า และแบรนด์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และส่งเสริมให้ห้างเซ็นทรัลและโรบินสันเป็น Destination ในการช้อปปิ้งของลูกค้าในทุกแผนก 2. ปรับปรุงและขยายสาขาเพิ่มความแข็งแกร่ง (The Most Ambitious Program of Store Transformations) ด้วยงบลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ห้างมีความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนในโลเคชั่นนั้นๆ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางให้กับชุมชน (Centrality) โดยจะมีการปรับปรุงห้างในปี 2565 ได้แก่ – ห้างเซ็นทรัลชิดลม ที่จะปรับโฉมใหม่ในปีหน้า – ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว – ห้างเซ็นทรัลพระราม 2 – ห้างโรบินสันฉะเชิงเทรา – ห้างโรบินสันศรีสมาน – ห้างโรบินสันในศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ในจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และอีก 2 สาขาในปีหน้าเช่นกัน 3. ห้างสรรพสินค้า Omnichannel อันดับหนึ่งของไทย (The #1 Omnichannel Retailer in Premium Segment) ห้างเซ็นทรัลและโรบินสันมุ่งพัฒนาออมนิชาแนลให้ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ให้ทั้งทางโลกออฟไลน์หรือในห้าง และทางโลกออนไลน์หรือหน้าเว็บและแอปพลิเคชัน ถูกผสานเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยทุ่มงบด้านเทคโนโลยีกว่า 3,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี พัฒนา CENTRAL APP สู่การเป็น Super App ที่มีบริการต่างๆ จากห้างเซ็นทรัลครบจบในแอปเดียว เสมือนยกทั้งห้างมาไว้บนมือถือ พร้อมเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งและการอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ความต้องการส่วนบุคคลมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาบริการในช่องทาง Social Commerce อันหลากหลายของห้างให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Chat & Shop ช้อปปิ้งผ่าน Line ของห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน และช้อปปิ้งผ่าน Facebook Live และ Inbox ของห้าง รวมถึง Personal Shopper On Demand 1425 บริการโทรช้อปปิ้งกับผู้ช่วยช้อปส่วนตัว พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ๆ มายกระดับความเป็นผู้นำออมนิชาแนลในกลุ่มตลาดพรีเมียม เช่น บริการ e-Ordering เลือกช้อปที่ห้างได้แบบสบายๆ ในจุดเดียว โดยเริ่มที่ห้างเซ็นทรัลสีลมคอมเพล็กซ์ ปลายปีนี้เป็นที่แรก และ Central TV Live ช่องไลฟ์สไตล์สำหรับสายช้อปตัวยงทาง Youtube และ Facebook 4. สร้างความแตกต่างทางการตลาดที่เหนือกว่าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า (The Most Outstanding Marketing Initiatives) ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น นำเสนอผ่านการตลาดที่แตกต่าง เหนือกว่า ตอบสนองได้ดีกว่า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีและความประทับใจให้กับลูกค้า ทั้งการสร้างสรรค์อีเวนต์ ซิกเนเจอร์ระดับประเทศ และในสาขาท้องถิ่น ตลอดจนการทำคอนเทนต์ที่น่าติดตามในโซเชียลมีเดียของห้าง การสื่อสารด้วยสื่อโฆษณาทั้งภายในและภายนอกห้าง รวมทั้งการมีกระบอกเสียงผ่านอินฟลูเอนเซอร์ในระดับประเทศและท้องถิ่นของแต่ละสาขา โดยในปีหน้า ลูกค้าห้างเซ็นทรัล จะได้พบกับความตื่นตาตื่นใจของทั้งกิจกรรมและโปรโมชั่น ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ของห้างเซ็นทรัลตลอดทั้งปี 5. สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า (The Highest Standards of Services) สำหรับห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน “ไม่เคยมีคำว่า “ไม่” สำหรับลูกค้า” (never say “no” to customers) เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้ลูกค้านับตั้งแต่ก้าวแรก ที่เดินเข้ามาในห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน จึงมุ่งพัฒนาบริการของพนักงาน อาทิ การตกแต่งและสร้างบรรยากาศในร้านให้น่าประทับใจ อีกทั้งยังนำโซลูชันต่างๆ มาปรับปรุงขั้นตอนการให้บริการ ตลอดจนการใช้บริการผ่าน Central App และ Personal Shopper ของห้าง ก็จะต้องได้รับความสะดวกสบายและความประทับใจด้วยเช่นกัน 6. มัดใจลูกค้าด้วย Data ที่สมบูรณ์แบบ (The Most Personalized Relationship to Customers) การออกแบบแคมเปญCRM ให้เข้าถึงและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นจากการใช้ดาต้าบนฐานข้อมูล The1 ที่มีสมาชิกกว่า 18 ล้านราย จึงสามารถวิเคราะห์ และนำเสนอโปรโมชั่นพร้อมสิทธิประโยชน์ที่โดนใจลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวมากที่สุด ผ่านการสื่อสารที่ไม่ซับซ้อนเพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับอย่างชัดเจน การขยายสาขาห้างเซ็นทรัล และห้างโรบินสันทั่วประเทศ เฝ้าจับตา Cyptocurrency และ Metaverse เวลานี้หลายกลุ่มธุรกิจ หลายผู้ประกอบการต่างเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุค cyptocurrency ด้วยการเปิดรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ก่อนหน้านี้สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าเครือเซ็นทรัล รีเทลทดลองให้พนักงานในกลุ่มบริษัทใช้ Digital Currency “C-Coin” ซึ่งพัฒนาโดย Central Tech ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ ด้าน Omnichannel, e-Commerce, Customer Relationship, Digital Currency และเทคโนโลยีใหม่ที่จะนำมาใช้กับกลุ่มธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทล เช่นเดียวกับการก้าวสู่ยุค “Metaverse” ที่หลอมรวมกันระหว่างโลกเสมือนจริง กับโลกจริงเข้าด้วยกน และอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น การทำงาน การประชุม ช้อปปิ้ง พักผ่อน ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่างๆ ต่อประเด็นการนำมาสกุลเงินดิจิทัลที่เครือเซ็นทรัล รีเทลพัฒนาขึ้น มาให้บริการกับลูกค้า และเทรนด์ Metaverse นั้น มร. โอลิวิเยร์ บรง กล่าวว่า “เรามีความตระหนักว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมาก แต่ขณะนี้ห้างเซ็นทรัล และโรบินสันยังไม่มีการใช้สกุลเงินดิจิทัลกับลูกค้า แต่ได้สังเกตการณ์ว่าสิ่งไหนเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้น และหากสถานการณ์นั้นสุกงอมมากขึ้น เราจะเห็นชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต ณ วันนี้ เราจัดลำดับความสำคัญ โดยโฟกัสที่การกระจายสรรพกำลัง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันยังคงมอนิเตอร์พัฒนาการสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นว่าจะไปทางไหน” | ห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งพัฒนาออมนิชาแนลให้ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ให้ทั้งทางโลกออฟไลน์หรือในห้าง และทางโลกออนไลน์หรือหน้าเว็บและแอปพลิเคชัน ถูกผสานเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยทุ่มงบด้านเทคโนโลยีกว่า 3,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี (ปี 2564 – 2569) พัฒนา CENTRAL APP สู่การเป็น Super App ที่มีบริการต่างๆ จากห้างเซ็นทรัลครบจบในแอปเดียว เสมือนยกทั้งห้างมาไว้บนมือถือ พร้อมเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งและการอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์ความต้องการส่วนบุคคลมากขึ้น
รวมถึงการพัฒนาบริการในช่องทาง Social Commerce อันหลากหลายของห้างให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Chat & Shop ช้อปปิ้งผ่าน Line ของห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน และช้อปปิ้งผ่าน Facebook Live และ Inbox ของห้าง รวมถึง Personal Shopper On Demand 1425 บริการโทรช้อปปิ้งกับผู้ช่วยช้อปส่วนตัว
พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ๆ มายกระดับความเป็นผู้นำออมนิชาแนลในกลุ่มตลาดพรีเมียม เช่น บริการ e-Ordering เลือกช้อปที่ห้างได้แบบสบายๆ ในจุดเดียว และ Central TV Live ช่องไลฟ์สไตล์สำหรับสายช้อปตัวยงทาง Youtube และ Facebook | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52453 | Retail | ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง SCG HOME Experience ควรมีกลยุทธ์อย่างไรเพิ่มเติม เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายฐานลูกค้าใหม่ | null | 1. กลยุทธ์สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ
-Personalization
พัฒนาระบบ AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า นำเสนอสินค้า บริการ และโปรโมชั่นที่ตรงใจแต่ละบุคคล
-Augmented Reality
นำ AR มาใช้ใน Virtual Store ให้ลูกค้าสามารถลองวางเฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุตกแต่งภายในบ้านเสมือนจริง
-Interactive Workshop
จัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับงาน DIY การตกแต่งบ้าน การออกแบบสวน ให้ลูกค้าได้เรียนรู้และลองทำด้วยตัวเอง
-Loyalty Program
ออกแบบโปรแกรมสะสมแต้ม แลกรับส่วนลด หรือสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าประจำ
2. กลยุทธ์ขยายช่องทางการจำหน่าย
-Marketplace ร่วมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ เพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
-Social Commerce เน้นการขายผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok
-Live Streamine จัด Live ขายสินค้า แนะนำสินค้าใหม่ ตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์
-Click & Collect ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เลือกรับสินค้าที่สาขา
3. กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง
-ขบริการหลังการขาย เสนอบริการติดตั้ง ซ่อมแซม ปรับปรุง โดยช่างผู้ชำนาญ
-Green Solution นำเสนอสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-Community Building จัดกิจกรรมเวิร์คช็อป สัมมนา พบปะผู้เชี่ยวชาญ แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับบ้าน
-Brand Partnership ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ นำเสนอสินค้าและบริการที่ครบวงจร
4. กลยุทธ์ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่
-เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะ นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น กลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มผู้สูงอายุ
-Influencer Marketing ร่วมมือกับ Influencer รีวิวสินค้า บริการ และแชร์ประสบการณ์
-Content Marketing สร้างคอนเทนต์ที่ informativ entertaining เกี่ยวกับบ้านและการตกแต่ง
-Data-driven Marketing วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการ
5. กลยุทธ์ด้านราคา
-Pricing Strategy กลยุทธ์ราคาที่ยืดหยุ่น ผสมผสานราคาปกติ โปรโมชั่น ส่วนลด และ bundling
-Value-based Pricing เน้นเสนอคุณค่าของสินค้า บริการ และประสบการณ์เหนือระดับ
-Price Matching เสนอราคาที่แข่งขันกับคู่แข่ง
6. กลยุทธ์ด้านการพัฒนาบุคลากร
-Training ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้า บริการ เทคโนโลยี และเทรนด์ล่าสุด
-Customer Service เน้นการให้บริการด้วยความประทับใจ ใส่ใจ และแก้ปัญหาให้ลูกค้า
-Empowerment มอบอำนาจให้พนักงานตัดสินใจ ช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
7. กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี
-Omnichannel Integration เชื่อมต่อช่องทางการจำหน่ายออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ
-AI and Big Data วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พัฒนาสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ตรงใจ
-Mobile Application พัฒนแอปพลิเคชันให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อสินค้า และติดตามสถานะการจัดส่ง
-Virtual Reality นำ VR มาใช้ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
8. กลยุทธ์ด้านการวิจัยและพัฒนา
-Market Research ศึกษาตลาด พฤติกรรมลูกค้า และเทรนด์ล่าสุด
-Product Development พัฒนาสินค้าใหม่ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52460 | Retail | ศูนย์การค้าในอนาคตจำเป็นต้องมีพื้นที่ Outdoor หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล ได้แก่
-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง: จากผลสำรวจของ Euromonitor International เทรนด์ Outdoor Oasis กำลังมาแรง ผู้บริโภคโหยหาพื้นที่พักผ่อนกลางแจ้ง และอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น
-ตอบโจทย์ New Normal: การทำงานแบบ Remote Working และ Work From Home ทำให้ผู้คนใช้เวลากับหน้าจอมากขึ้น ผู้บริโภคจึงต้องการพื้นที่ Outdoor เพื่อผ่อนคลาย
-สร้างประสบการณ์ใหม่: พื้นที่ Outdoor ดึงดูดลูกค้าด้วยบรรยากาศที่แตกต่างจาก Indoor
-เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: พื้นที่ Outdoor รองรับกิจกรรมหลากหลาย ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่
-สร้างจุดเด่นให้กับศูนย์การค้า: พื้นที่ Outdoor ช่วยให้ศูนย์การค้าแตกต่างจากคู่แข่ง
-ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง: พื้นที่ Outdoor menawarkan พื้นที่สีเขียว และอากาศบริสุทธิ์
-รองรับเทรนด์สุขภาพ: กิจกรรมกลางแจ้งส่งเสริมสุขภาพกายและใจ
-สร้าง Community: พื้นที่ Outdoor menawarkan พื้นที่สำหรับพบปะสังสรรค์
-ดึงดูดนักท่องเที่ยว: พื้นที่ Outdoor menawarkan ประสบการณ์ unique
-เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: พื้นที่ Outdoor ช่วยลดการใช้พลังงาน
ตัวอย่าง:
-เซ็นทรัล อีสต์วิลล์: ศูนย์การค้า Semi-Outdoor แห่งแรกของไทย
-เซ็นทรัล ศรีราชา: ออกแบบพื้นที่ Outdoor ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
-เมกาบางนา: menawarkan สวนขนาดใหญ่ พื้นที่สำหรับปิคนิค
-ไอคอนสยาม: menawarkan พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
สรุป:พื้นที่ Outdoor กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของศูนย์การค้าในอนาคต menawarkan ประสบการณ์ใหม่ ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค และสร้างโอกาสทางธุรกิจ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52469 | Retail | จากกลยุทธ์ “Beyond Coffee” ของ Café Amazon อะไรคือไอเดียหรือแนวทางใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ Retail อื่น ๆ ได้บ้าง? | null | กลยุทธ์ “Beyond Coffee” ของ Café Amazon นำเสนอแนวทางใหม่ ๆ ที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ Retail หลายประการ ดังนี้
1. มุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐาน:
การคัดสรรวัตถุดิบ: Café Amazon ให้ความสำคัญกับแหล่งปลูกและกระบวนการคัดสรรวัตถุดิบ ตัวอย่างเช่น โครงการจัดหาเมล็ดกาแฟจากชุมชน (CCS) และโครงการวิจัยและพัฒนาการปลูกและผลิตกาแฟฯ ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ตรวจสอบแหล่งที่มา และสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น
การพัฒนาสินค้า: Café Amazon พัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น การออกผลิตภัณฑ์ Home Use อย่าง Café Amazon Drip Coffee และ Café Amazon Cold Brew ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
2. พัฒนาศักยภาพของพนักงาน:
การฝึกอบรม: Café Amazon มีศูนย์ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะของพนักงานทั้งด้านการชงกาแฟและการบริการ ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการจัดฝึกอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อหน้าที่ ส่งเสริมการบริการที่ดี และสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับลูกค้า
3. ขยายสาขาและเข้าถึงลูกค้า:
การขยายสาขา: Café Amazon ขยายสาขาอย่างรวดเร็วทั้งในไทยและต่างประเทศ ครอบคลุมหลากหลายทำเล ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการขาย
การใช้ช่องทางออนไลน์: Café Amazon มีแอปพลิเคชันให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินออนไลน์ ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการพัฒนาช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและเข้าถึงลูกค้า
4. ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม:
การใช้วัสดุรีไซเคิล: Café Amazon มีโมเดลร้าน “Circular Living” ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลในการตกแต่งร้าน ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการใช้วัสดุรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการลดใช้พลังงาน
การสนับสนุนชุมชน: Café Amazon มีโครงการ “Café Amazon for chance” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาสได้มีงานทำ ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น พัฒนาโครงการเพื่อสังคม และสร้างความยั่งยืน
5. สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ:
การออกแบบร้าน: Café Amazon ออกแบบร้านให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย และเหมาะกับการนั่งทำงาน ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการออกแบบร้านให้ดึงดูดใจลูกค้า สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และตอบโจทย์การใช้งาน
การบริการ: Café Amazon เน้นการบริการที่รวดเร็ว ยิ้มแย้มแจ่มใส และใส่ใจลูกค้า ธุรกิจ Retail อื่น ๆ สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้โดยการฝึกอบรมพนักงานให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม สร้างความประทับใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52471 | Retail | Pet Humanization หมายถึงอะไร | a. เจ้าของทารุณสัตว์เลี้ยง
b. เจ้าของไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเจ้าของ
c. เจ้าของหวงสัตว์เลี้ยง
d. สัตว์เลี้ยงมีพฟติกรรมแปลกๆ | คำตอบคือ b. เพราะว่า ด้วยโครงสร้างสังคม – ครอบครัว และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้คนหันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น โดยเฉพาะสุนัข และแมว ซึ่งทุกวันนี้การปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เป็นแค่ “สัตว์เลี้ยง” หากแต่เป็น “สมาชิกในครอบครัว” ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Pet Humanization” คือ เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ได้มองว่าตัวเองคือเจ้าของ แต่เป็น “พ่อ/แม่” ของสัตว์เลี้ยงมากกว่า หรือที่เรียกว่า “Pet Parents” ดูแลเอาใจใส่เหมือนลูก พร้อมทุ่มเท ทั้งเงิน และการเลี้ยงดู จนแทบไม่ต่างจากมนุษย์ ตั้งแต่อาหารการกิน ดูแลสุขภาพ หาของเล่น เสื้อผ้า จัดมุมพักผ่อน/ที่นอนในบ้าน หรือบางบ้าน ก็มีห้องให้น้องหมา – น้องแมวโดยเฉพาะ รวมทั้งพาไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ Morgan Stanley นิยามพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก หรือเป็นสมาชิกในครอบครัวไว้ว่า “Petriarchy” หรือที่เราเรียกว่า “ทาสหมา” – “ทาสแมว” เจ้าของทั้งรักทั้งหลงในความน่ารัก น่าเอ็นดู และดูแลเอาใจใส่ นำไปสู่การใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยผลักดันแนวโน้ม “Pet Humanization” ขยายตัว แนวโน้ม “Pet Humanization” ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มาแล้วก็ไป แต่นับวันจะยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น และกลายเป็น “Mainstream” โดยมี ปัจจัยหลักหนุนคือ คนโสดมากขึ้น ปัจจุบันในหลายประเทศทั่วโลก ประชากรแต่งงานช้าลง และเป็นโสดมากขึ้น อย่างในประเทศไทย EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ฉายภาพว่าปัจจุบันคนไทยเป็นโสดกันมากขึ้น จากจำนวนการแต่งงานที่ลดลง และการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52481 | Retail | กลยุทธ์ “JD Central” มีอะไรบ้าง | ถึงวันนี้ครบ 3 ปีเต็มของแพลตฟอร์ม “JD Central” (เจดี เซ็นทรัล) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซร่วมทุนระหว่าง “JD.com” หนึ่งในยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากจีน กับ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” เข้ามาท้าชิง ท่ามกลางการแข่งขันของสมรภูมิอีคอมเมิร์ซดุเดือด ที่ห่ำหั่นกันทั้งโปรโมชั่น และราคา เพื่อแย่งชิงทั้งฐานลูกค้า และพาร์ทเนอร์ร้านค้า มาดูสถิติ และกลยุทธ์ “JD Central” กันว่ามีอะไรน่าสนใจ ?!? 1. รีแบรนด์ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคไทยมากขึ้น และ Brand Awareness เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา JD Central รีแบรนด์ ทั้งโลโก้ และ Tagline จากเดิม “ช้อปของดี การันตีของแท้” ปรับเป็น “จอยชัวร์ ตัวจริง” เพื่อสื่อสารถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการช้อป ได้มีความมั่นใจว่าได้ของแท้ และบริการที่ดี เนื่องจาก Consumer Insight หนึ่งของลูกค้าที่ซื้อสินค้าออนไลน์ กว่า 80% กลัวได้ของปลอม – ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินธุรกิจในไทย นับตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน อัตราการเติบโตกว่า 955% – รีแบรนด์ ทำให้ผู้บริโภคมีการรับรู้ (Brand Awareness) และเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มสูงขึ้น 48% – มากกว่า 300% ของผู้ซื้อใหม่ มาช้อปสินค้าแฟชั่น และสินค้าสุขภาพและความงาม – มีนักช้อปผู้ชายหน้าใหม่เข้ามาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น 130% ซึ่งโดยปกติฐานลูกค้าหลักที่มาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิง แต่คาดว่ามาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลให้คนใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น จึงทำให้ลูกค้าผู้ชาย ซื้อ FCMG เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 2. ขยายกลุ่มสินค้า FMCG – สุขภาพและความงาม เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ ตลอดระยะเวลา 3 ปี กลุ่มสินค้าขายดีบนแพลตฟอร์ม “JD Central” คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นประเภทสินค้าที่สามารถสร้างยอดขายเชิง Value แต่ขณะเดียวกัน JD Central ต้องการขยายฐานลูกค้ากลุ่มกว้าง และเพิ่มความถี่ในการมาช้อปบนแพลตฟอร์ม จึงได้ขยาย Category ไปยัง “กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค” (FMCG : Fast Moving Consumer Goods) และ “สินค้าสุขภาพและความงาม” (Health & Beauty) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ตอบโจทย์ 3 ด้านหลักคือ – สร้างฐานลูกค้าใหม่ – สินค้า FMCG และ Health & Beauty ช่วยเพิ่มความถี่ในการจับจ่าย – เพื่อผลักดันแพลตฟอร์มเข้าไปอยู่ใน “ชีวิตประจำวัน” ของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง เห็นได้สถิติจากการทำแคมเปญการตลาด “จับจ่าย FRIYAY” ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเกี่ยวกับบ้านและไลฟ์สไตล์ (Home & Living) ทุกวันศุกร์ – JD Central มีการเติบโตของฐานลูกค้าที่มาซื้อสินค้า FMCG มากกว่า 450% – มีลูกค้าซื้อสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยว และกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 นอกจากผู้บริโภคจะใช้บริการ Food Delivery แล้ว ขณะเดียวกันทำอาหารรับประทานเองมากขึ้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นกิจกรรมในเวลาที่อยู่บ้าน – มันฝรั่งแบรนด์ MR.POTATO เป็นสินค้าแบรนด์น้องใหม่มาแรงบนแพลตฟอร์ม JD Central โดยพบพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าว่า จะซื้อมันฝรั่งนี้ คู่กับเครื่องดื่มโคล่า ซึ่งเป็น Insight สำคัญที่ JD Central มองว่าสามารถต่อยอดทำด้านกลยุทธ์การขายต่อไป 3. รักษาจุดแข็ง และฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ JD Central ได้ทำแคมเปญ “Crazy Monday” เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าไอทีและ Gadget ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การสร้างความสะดวก และความบันเทิง ตอบรับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านในยุค New Normal ผลจากการทำแคมเปญดังกล่าว ทำให้ยอดซื้อสินค้ากลุ่มนี้ เพิ่มขึ้น – จำนวนลูกค้าที่มาซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 35% – ในไตรมาส 3 และคาดการณ์ไตรมาส 4 ของปี 2564 ยอดการซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้น 27% สะท้อนได้ว่าผู้บริโภคยินดีจ่าย หรือลงทุนกับสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น โดยเฉพาะเวลามีแบรนด์ หรือแพลตฟอร์มนำเสนอส่วนลด เช่น คูปองลด 10% 4. “มือถือ – แท็บเล็ต” สร้างยอดขายเชิงมูลค่า – “สินค้าอุปโภคบริโภค” สร้างยอดออเดอร์อันดับ 1 การเติบโตของสินค้าบนแพลตฟอร์ม JD Central แบ่งเป็น Top Category เชิงยอดขาย อันดับ 1 : โทรศัพท์มือถือ – แท็บเล็ต และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (เติบโตถึง 130%) อันดับ 2 : สินค้าอุปโภคบริโภค อันดับ 3 : สินค้าแม่และเด็ก Top Category ยอดออเดอร์ / จำนวนผู้ใช้งาน อันดับ 1 : สินค้าอุปโภคบริโภค อันดับ 2 : โทรศัพท์มือถือ – แท็บเล็ต อันดับ 3 : เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อันดับ 4 : สินค้าสุขภาพและความงาม ขณะที่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้งบนแพลตฟอร์ม JD Central โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,700 บาท 5. กลยุทธ์ Q4 ลุยบริการ “On-demand Delivery” สั่งปุ๊ป รับสินค้าภายใน 30 นาที สำหรับกลยุทธ์ในช่วงไตรมาส 4/2564 JD Central เตรียมแผนไว้ 4 กลยุทธ์คือ – เปิดตัวฟีเจอร์ “Instant Joy” เป็นบริการ On-demand Delivery เพื่อจัดส่งภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมงหลังจากลูกค้ากดสั่งซื้อ จากปัจจุบันความเร็วในการจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซในไทย มีทั้งบริการ Next Day Delivery คือ จัดส่งในวันถัดไปหลังจากที่สั่งซื้อ ไปจนถึง 2 – 3 วัน แต่สำหรับบริการ On-demand Delivery เมื่อลูกค้ากดสั่งซื้อ สามารถรับสินค้าภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง โดยเริ่มทดลองใช้บริการแล้วในบางพื้นที่ และสินค้าบางกลุ่ม เช่น กลุ่มสินค้า FMCG และสินค้าขนส่งได้ง่าย และมีแผนขยายบริการนี้กับสินค้ากลุ่มอื่น เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสด ดังนั้นนอกจากการพัฒนาโลจิสติกส์สำหรับการจัดส่งทั่วไปแล้ว ต่อไป JD Central มีแผนทำโลจิสติกส์สำหรับบริการ Instant Joy มากขึ้น – ขยายความร่วมมือพันธมิตรธุรกิจไปยังกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มประกัน ร้านอาหาร สปา เพื่อเป็นช่องทางนำเสนอแพ็คเกจ e-Voucher กลุ่มธุรกิจบริการดังกล่าว เช่น จองแพ็คเกจโรงพยาบาล หรือซื้อกรมธรรม์ – จองประกันต่างๆ บนแพลตฟอร์มบนแพลตฟอร์ม JD Central – เพิ่มแบรนด์สินค้าจากต่างประเทศ ทั้งแบรนด์จีน และจากประเทศอื่น เนื่องจาก JD มีพาร์ทเนอร์กับแบรนด์จีนหลายราย จึงนำเข้ามาเพื่อเป็นแบรนด์ทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการสินค้าในราคาย่อมเยา และมีประกันหลังการขาย และสินค้าแฟชั่น เป็นสินค้า Cross Border จากต่างประเทศ ขณะเดียวกันเพิ่มโอกาสแบรนด์ไทยส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่ม Food & Beverage และสินค้า OTOP ของไทย – เพิ่มโซลูชั่นการตลาด ด้วยการจับมือกับ Facebook แนะนำเครื่องมือ Manage Partner Ads (MPA) สำหรับผู้ประกอบการ SME ใช้ในการยิงโฆษณา เพื่อกระตุ้นยอดขายของแบรนด์และร้านค้า พร้อมทั้งจับมือกับ Google เตรียมนำเครื่องมือด้านการตลาดมาสนับสนุนผู้ขายบนแพลตฟอร์ม 6. เตรียมขยับสู่โมเดล “O2O” ทิศทางค้าปลีกทั่วโลก ไม่ว่าจะอีคอมเมิร์ซ หรือออฟไลน์ คือ การขยับสู่โมเดล “Omnichannel” หรือ “O2O” เชื่อมต่อประสบการณ์ช้อปปิ้ง “ออนไลน์ – ออฟไลน์” เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ หนึ่งในยุทธศาสตร์ของ JD.com คือ O2O เช่นกัน ดังจะเห็นได้ในจีน JD.com มีเชนซูเปอร์มาร์เก็ต “7FRESH” เปิดตัวในปี 2018 และในปีถัดมาเปิดอีกโมเดล “7FRESH LIFE” ค้าปลีกที่ผสมระหว่างคอนเซ็ปต์ร้านสะดวกซื้อ + ร้านขายอาหารสด + ร้านอาหารเข้าด้วยกัน หรือล่าสุดลงทุนเปิดตัว JD Mall ห้างสรรพสินค้าขนาด 42,000 ตารางเมตรในเมืองซีอานพร้อมประสบการณ์แบบ Immersive ด้วยโซนต่าง ๆ ที่มีลูกเล่นหลากหลายไว้ดึงดูดใจลูกค้า แน่นอนว่า “JD Central” กำลังมุ่งไปในแนวทาง “O2O” เช่นกัน “การแข่งขันตลาดอีคอมเมิร์ซ ไม่สามารถอยู่บนออนไลน์อย่างเดียว แต่ต้องมีช่องทางการขายอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อไปสู่รูปแบบ Omnichannel หรือ O2O ทำให้สร้างประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น ซึ่ง JD Central มีแผนทำ O2O ครบด้าน ทั้งซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์ และออฟไลน์ได้ เป็นหนึ่งในโฟกัสกลยุทธ์หลักของเรา โดยเบื้องต้นมีแผนเจาะเป็นโลเคชั่น โดยเอาตัวเราไปอยู่ใกล้ผู้บริโภคให้มากที่สุด เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าเราได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น” คุณก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD Central ฉายภาพทิศทางต่อไปของแพลตฟอร์ม JD Central คุณก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD Central จัดแคมเปญ 928 Birthday Fest ครบรอบ 3 ปี ในโอกาสครบรอบ 3 ปี JD Central ได้จัดแคมเปญ “928 Birthday Fest” ประกอบด้วย – ส่วนลดสูงสุด 90% ตลอด 3 วัน – รับ JD POINTS มูลค่า 928 บาททุกออเดอร์ เมื่อช้อปครบ 99 บาท โดยสินค้าจัดส่งถึงบ้าน ไม่มีการยกเลิกหรือคืนสินค้า ลูกค้าจะได้รับ JD POINTS มูลค่า 928 บาท | 1. รีแบรนด์ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคไทยมากขึ้น และ Brand Awareness เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา JD Central รีแบรนด์ ทั้งโลโก้ และ Tagline จากเดิม “ช้อปของดี การันตีของแท้” ปรับเป็น “จอยชัวร์ ตัวจริง” เพื่อสื่อสารถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการช้อป ได้มีความมั่นใจว่าได้ของแท้ และบริการที่ดี เนื่องจาก Consumer Insight หนึ่งของลูกค้าที่ซื้อสินค้าออนไลน์ กว่า 80% กลัวได้ของปลอม – ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินธุรกิจในไทย นับตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน อัตราการเติบโตกว่า 955% – รีแบรนด์ ทำให้ผู้บริโภคมีการรับรู้ (Brand Awareness) และเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มสูงขึ้น 48% – มากกว่า 300% ของผู้ซื้อใหม่ มาช้อปสินค้าแฟชั่น และสินค้าสุขภาพและความงาม – มีนักช้อปผู้ชายหน้าใหม่เข้ามาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น 130% ซึ่งโดยปกติฐานลูกค้าหลักที่มาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิง แต่คาดว่ามาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลให้คนใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น จึงทำให้ลูกค้าผู้ชาย ซื้อ FCMG เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
2. ขยายกลุ่มสินค้า FMCG – สุขภาพและความงาม เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ ตลอดระยะเวลา 3 ปี กลุ่มสินค้าขายดีบนแพลตฟอร์ม “JD Central” คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นประเภทสินค้าที่สามารถสร้างยอดขายเชิง Value แต่ขณะเดียวกัน JD Central ต้องการขยายฐานลูกค้ากลุ่มกว้าง และเพิ่มความถี่ในการมาช้อปบนแพลตฟอร์ม จึงได้ขยาย Category ไปยัง “กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค” (FMCG : Fast Moving Consumer Goods) และ “สินค้าสุขภาพและความงาม” (Health & Beauty) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ตอบโจทย์ 3 ด้านหลักคือ – สร้างฐานลูกค้าใหม่ – สินค้า FMCG และ Health & Beauty ช่วยเพิ่มความถี่ในการจับจ่าย – เพื่อผลักดันแพลตฟอร์มเข้าไปอยู่ใน “ชีวิตประจำวัน” ของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง เห็นได้สถิติจากการทำแคมเปญการตลาด “จับจ่าย FRIYAY” ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเกี่ยวกับบ้านและไลฟ์สไตล์ (Home & Living) ทุกวันศุกร์ – JD Central มีการเติบโตของฐานลูกค้าที่มาซื้อสินค้า FMCG มากกว่า 450% – มีลูกค้าซื้อสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยว และกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 นอกจากผู้บริโภคจะใช้บริการ Food Delivery แล้ว ขณะเดียวกันทำอาหารรับประทานเองมากขึ้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นกิจกรรมในเวลาที่อยู่บ้าน – มันฝรั่งแบรนด์ MR.POTATO เป็นสินค้าแบรนด์น้องใหม่มาแรงบนแพลตฟอร์ม JD Central โดยพบพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าว่า จะซื้อมันฝรั่งนี้ คู่กับเครื่องดื่มโคล่า ซึ่งเป็น Insight สำคัญที่ JD Central มองว่าสามารถต่อยอดทำด้านกลยุทธ์การขายต่อไป 3. รักษาจุดแข็ง และฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ JD Central ได้ทำแคมเปญ “Crazy Monday” เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าไอทีและ Gadget ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การสร้างความสะดวก และความบันเทิง ตอบรับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านในยุค New Normal ผลจากการทำแคมเปญดังกล่าว ทำให้ยอดซื้อสินค้ากลุ่มนี้ เพิ่มขึ้น – จำนวนลูกค้าที่มาซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 35% – ในไตรมาส 3 และคาดการณ์ไตรมาส 4 ของปี 2564 ยอดการซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้น 27% สะท้อนได้ว่าผู้บริโภคยินดีจ่าย หรือลงทุนกับสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น โดยเฉพาะเวลามีแบรนด์ หรือแพลตฟอร์มนำเสนอส่วนลด เช่น คูปองลด 10% 4. “มือถือ – แท็บเล็ต” สร้างยอดขายเชิงมูลค่า – “สินค้าอุปโภคบริโภค” สร้างยอดออเดอร์อันดับ 1 การเติบโตของสินค้าบนแพลตฟอร์ม JD Central แบ่งเป็น Top Category เชิงยอดขาย อันดับ 1 : โทรศัพท์มือถือ – แท็บเล็ต และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (เติบโตถึง 130%) อันดับ 2 : สินค้าอุปโภคบริโภค อันดับ 3 : สินค้าแม่และเด็ก Top Category ยอดออเดอร์ / จำนวนผู้ใช้งาน อันดับ 1 : สินค้าอุปโภคบริโภค อันดับ 2 : โทรศัพท์มือถือ – แท็บเล็ต อันดับ 3 : เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อันดับ 4 : สินค้าสุขภาพและความงาม ขณะที่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้งบนแพลตฟอร์ม JD Central โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,700 บาท 5. กลยุทธ์ Q4 ลุยบริการ “On-demand Delivery” สั่งปุ๊ป รับสินค้าภายใน 30 นาที สำหรับกลยุทธ์ในช่วงไตรมาส 4/2564 JD Central เตรียมแผนไว้ 4 กลยุทธ์คือ – เปิดตัวฟีเจอร์ “Instant Joy” เป็นบริการ On-demand Delivery เพื่อจัดส่งภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมงหลังจากลูกค้ากดสั่งซื้อ จากปัจจุบันความเร็วในการจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซในไทย มีทั้งบริการ Next Day Delivery คือ จัดส่งในวันถัดไปหลังจากที่สั่งซื้อ ไปจนถึง 2 – 3 วัน แต่สำหรับบริการ On-demand Delivery เมื่อลูกค้ากดสั่งซื้อ สามารถรับสินค้าภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง โดยเริ่มทดลองใช้บริการแล้วในบางพื้นที่ และสินค้าบางกลุ่ม เช่น กลุ่มสินค้า FMCG และสินค้าขนส่งได้ง่าย และมีแผนขยายบริการนี้กับสินค้ากลุ่มอื่น เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสด ดังนั้นนอกจากการพัฒนาโลจิสติกส์สำหรับการจัดส่งทั่วไปแล้ว ต่อไป JD Central มีแผนทำโลจิสติกส์สำหรับบริการ Instant Joy มากขึ้น – ขยายความร่วมมือพันธมิตรธุรกิจไปยังกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มประกัน ร้านอาหาร สปา เพื่อเป็นช่องทางนำเสนอแพ็คเกจ e-Voucher กลุ่มธุรกิจบริการดังกล่าว เช่น จองแพ็คเกจโรงพยาบาล หรือซื้อกรมธรรม์ – จองประกันต่างๆ บนแพลตฟอร์มบนแพลตฟอร์ม JD Central – เพิ่มแบรนด์สินค้าจากต่างประเทศ ทั้งแบรนด์จีน และจากประเทศอื่น เนื่องจาก JD มีพาร์ทเนอร์กับแบรนด์จีนหลายราย จึงนำเข้ามาเพื่อเป็นแบรนด์ทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการสินค้าในราคาย่อมเยา และมีประกันหลังการขาย และสินค้าแฟชั่น เป็นสินค้า Cross Border จากต่างประเทศ ขณะเดียวกันเพิ่มโอกาสแบรนด์ไทยส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่ม Food & Beverage และสินค้า OTOP ของไทย – เพิ่มโซลูชั่นการตลาด ด้วยการจับมือกับ Facebook แนะนำเครื่องมือ Manage Partner Ads (MPA) สำหรับผู้ประกอบการ SME ใช้ในการยิงโฆษณา เพื่อกระตุ้นยอดขายของแบรนด์และร้านค้า พร้อมทั้งจับมือกับ Google เตรียมนำเครื่องมือด้านการตลาดมาสนับสนุนผู้ขายบนแพลตฟอร์ม 6. เตรียมขยับสู่โมเดล “O2O” ทิศทางค้าปลีกทั่วโลก ไม่ว่าจะอีคอมเมิร์ซ หรือออฟไลน์ คือ การขยับสู่โมเดล “Omnichannel” หรือ “O2O” เชื่อมต่อประสบการณ์ช้อปปิ้ง “ออนไลน์ – ออฟไลน์” เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ หนึ่งในยุทธศาสตร์ของ JD.com คือ O2O เช่นกัน ดังจะเห็นได้ในจีน JD.com มีเชนซูเปอร์มาร์เก็ต “7FRESH” เปิดตัวในปี 2018 และในปีถัดมาเปิดอีกโมเดล “7FRESH LIFE” ค้าปลีกที่ผสมระหว่างคอนเซ็ปต์ร้านสะดวกซื้อ + ร้านขายอาหารสด + ร้านอาหารเข้าด้วยกัน หรือล่าสุดลงทุนเปิดตัว JD Mall ห้างสรรพสินค้าขนาด 42,000 ตารางเมตรในเมืองซีอานพร้อมประสบการณ์แบบ Immersive ด้วยโซนต่าง ๆ ที่มีลูกเล่นหลากหลายไว้ดึงดูดใจลูกค้า แน่นอนว่า “JD Central” กำลังมุ่งไปในแนวทาง “O2O” เช่นกัน “การแข่งขันตลาดอีคอมเมิร์ซ ไม่สามารถอยู่บนออนไลน์อย่างเดียว แต่ต้องมีช่องทางการขายอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อไปสู่รูปแบบ Omnichannel หรือ O2O ทำให้สร้างประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น ซึ่ง JD Central มีแผนทำ O2O ครบด้าน ทั้งซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์ และออฟไลน์ได้ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52485 | Retail | กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัล รีเทล ในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์มีอะไรบ้าง? | null | กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัล รีเทล ในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์มีดังนี้:
1. การนำเสนอแพลตฟอร์มออนไลน์ที่หลากหลายและสะดวก:
แอปพลิเคชัน CENTRAL: รวบรวมสินค้าจากห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล ทั้งหมด ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้หลากหลาย ตลอด 24 ชั่วโมง
แอปพลิเคชัน Tops Online: ช้อปสินค้าอาหารกว่า 20,000 รายการ ส่งตรงถึงบ้าน
บริการ Click & Collect: ซื้อสินค้าออนไลน์แล้วไปรับสินค้าเองได้ที่จุดบริการมากกว่า 120 จุด
บริการ Shop & Drive Thru: สั่งซื้อสินค้าแล้วมารับของโดยไม่ต้องลงจากรถ
2. การนำเสนอบริการที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น:
บริการ Chat & Shop: พูดคุยกับพนักงานขายเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้า
บริการ Personal Shopper: ผู้ช่วยส่วนตัวที่ช่วยเลือกสินค้าและแนะนำโปรโมชั่น
บริการ Virtual Try-On: ลองสินค้าเสมือนจริงผ่านเทคโนโลยี AR
3. การนำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดที่ดึงดูดใจ:
แคมเปญ ‘เซ็นทรัล รีเทล 9.9 เมกา เฟสติวัล’: ลดสูงสุด 90% สินค้าทุกหมวดหมู่กว่า 1 ล้านรายการ
โปรโมชั่นเด็ดโดนใจ: เสนอส่วนลดและสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก The 1
คะแนน The 1: สะสมคะแนนเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษ
4. การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ราบรื่น:
ระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและหลากหลาย: รองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต, บัตรเดบิต, โอนเงิน, เก็บเงินปลายทาง
ระบบการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว: จัดส่งสินค้าภายใน 2-3 ชั่วโมงในบางพื้นที่
บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ: รับประกันสินค้า เปลี่ยนคืนสินค้า เคลมสินค้า
5. การติดตามเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภค:
วิเคราะห์ข้อมูลการช้อปปิ้ง: นำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์: ปรับปรุงฟีเจอร์และการใช้งานให้สะดวกยิ่งขึ้น
นำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ๆ: ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล
กลยุทธ์เหล่านี้ของเซ็นทรัล รีเทล ช่วยดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ราบรื่น สะดวก และคุ้มค่า
เพิ่มเติม:
- เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์และบริการต่าง ๆ เช่น การใช้ AI เพื่อแนะนำสินค้าที่ตรงใจลูกค้า
- เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing และ Social Media Marketing
- เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญกับการสร้าง Omni-Channel Experience เชื่อมต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
สรุป:
เซ็นทรัล รีเทล มุ่งมั่นนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านแพลตฟอร์ม บริการ โปรโมชั่น และเทคโนโลยี | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52487 | Retail | ทำไมเซ็นทรัลพัฒนาถึงกล้าจ่ายค่าเช่าพื้นที่ Block A สยามสแควร์สูงถึง 5,902 ล้านบาท | null | มีหลายสาเหตุที่ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาตัดสินใจจ่ายค่าเช่าพื้นที่ Block A สยามสแควร์สูงถึง 5,902 ล้านบาท ดังนี้
1. ศักยภาพของทำเลสยามสแควร์:
ทำเลทอง: สยามสแควร์เป็นย่านการค้าใจกลางเมืองที่มีผู้คนสัญจรไปมาหนาแน่น ประมาณ 400,000 – 500,000 คนต่อวัน
จุดหมายปลายทางยอดนิยม: ดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ครบครัน: มีทั้งรถไฟฟ้า สถานศึกษา ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร หอศิลป์ ฯลฯ
กลุ่มเป้าหมายหลากหลาย: โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
ศักยภาพการเติบโต: คาดว่าจะกลับมาคึกคักหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย
2. กลยุทธ์ของเซ็นทรัลพัฒนา:
การเติมเต็มจิ๊กซอว์: เพิ่มเติมพอร์ตโฟลิโอในย่านใจกลางเมือง
การขยายฐานลูกค้า: เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่
การต่อยอดความได้เปรียบ: ดึง Know How จากสยามฟิวเจอร์มาพัฒนาโครงการ
การเสริมสร้างความแข็งแกร่ง: รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ Retail
3. แนวโน้มของตลาดค้าปลีก:
การเติบโตของ Omnichannel: ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ความต้องการประสบการณ์: ผู้บริโภคต้องการมากกว่าแค่การช้อปปิ้ง
การแข่งขันที่รุนแรง: ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาด
4. มุมมองต่ออนาคต:
เซ็นทรัลพัฒนา: มั่นใจว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ
นักวิเคราะห์: มองว่าราคาค่าเช่าสูง แต่มีศักยภาพที่จะคืนทุนได้
5. รายละเอียดอื่นๆ:
สัญญาเช่า: 30 ปี
ขนาดพื้นที่: 7 ไร่
พื้นที่ก่อสร้าง: 5 ไร่ 3 งาน 89 ตารางวา
รูปแบบโครงการ: ยังไม่มีการเปิดเผย
การออกแบบ: เน้นสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกับสยามสแควร์
การเชื่อมต่อ: เชื่อมต่อกับอาคาร Siamscape และ Block B
โดยสรุป เซ็นทรัลพัฒนาตัดสินใจจ่ายค่าเช่าพื้นที่ Block A สยามสแควร์สูงถึง 5,902 ล้านบาท เพราะเล็งเห็นศักยภาพของทำเล กลยุทธ์ของบริษัท แนวโน้มของตลาดค้าปลีก และมุมมองต่ออนาคต โครงการนี้ถือเป็นการขยายฐานลูกค้า เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ Retail ของเซ็นทรัลพัฒนา
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม เช่น รูปแบบโครงการ กลยุทธ์ทางการตลาด และการตอบรับจากผู้บริโภค โครงการนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและกลยุทธ์ของเซ็นทรัลพัฒนา | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52492 | Retail | สถานีบริการน้ำมันจะมีร้านขายยา ใช่หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
สถานีบริการน้ำมันกำลังพัฒนาเป็น "ศูนย์กลางของชุมชน" (Community Hub) ศูนย์กลางชุมชนมักมีร้านขายยา สถานีบริการน้ำมันมีพื้นที่เพียงพอสำหรับร้านขายยา ร้านขายยาจะดึงดูดลูกค้าเพิ่มเติมให้กับสถานีบริการน้ำมัน ร้านขายยาจะเพิ่มรายได้ให้กับสถานีบริการน้ำมัน
ตัวอย่างร้านขายยาที่อาจจะอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน:
- ร้านขายยาทั่วไป
- ร้านขายยาแผนโบราณ
- ร้านขายยาสัตว์
ข้อดีของการมีร้านขายยาในสถานีบริการน้ำมัน:
สะดวกสำหรับลูกค้า: ลูกค้าสามารถซื้อยาได้โดยไม่ต้องเดินทางไปยังร้านขายยาอื่น
เพิ่มรายได้ให้กับสถานีบริการน้ำมัน: ร้านขายยาจะดึงดูดลูกค้าเพิ่มเติมให้กับสถานีบริการน้ำมัน
เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ: ร้านขายยาจะเพิ่มตัวเลือกสินค้าและบริการให้กับลูกค้า
ข้อเสียของการมีร้านขายยาในสถานีบริการน้ำมัน:
พื้นที่จำกัด: สถานีบริการน้ำมันอาจมีพื้นที่จำกัดสำหรับร้านขายยา
การแข่งขัน: ร้านขายยาในสถานีบริการน้ำมันอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันจากร้านขายยาอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง
สรุป:
- สถานีบริการน้ำมันมีแนวโน้มที่จะมีร้านขายยาในอนาคต
- ร้านขายยาจะสะดวกสำหรับลูกค้า เพิ่มรายได้ให้กับสถานีบริการน้ำมัน และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการ
- สถานีบริการน้ำมันจำเป็นต้องพิจารณาพื้นที่จำกัดและการแข่งขันก่อนที่จะเปิดร้านขายยา | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52499 | Retail | ข้อเสนอแนะจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย: สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเสนอข้อเสนอใดบ้างต่อภาครัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงวิกฤตนี้? | หัวข้อ ล็อคดาวน์-เคอร์ฟิว ถล่มค้าปลีก ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นดิ่งสุดในรอบ 16 เดือน ติดลบ 70% กระทบ 100,000 ร้านค้า - Brand Buffet
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยสถานการณ์ค้าปลีกวิกฤตหนัก ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนกรกฏาคม 2564 ดิ่งจุดต่ำสุด ในรอบ 16 เดือน ติดลบถึง 70% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2.7 แสนล้านบาท กว่า 100,000 ร้านค้า เตรียมปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานกว่าล้านคน ขอภาครัฐติดสปีดมาตรการเยียวยาเข้มข้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการพยุงการจ้างงาน รวมทั้งเร่งสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจ และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ
คุณฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาน่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ารุนแรงกว่าระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ มาตรการล็อคดาวน์และเคอร์ฟิวในเดือนสิงหาคมที่ปัจจุบันได้ขยายจังหวัดคุมเข้มสูงสุดเป็น 29 จังหวัด ส่งผลให้ภาคค้าปลีกต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2566”
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) อยู่ที่ระดับ 16.4 ลดต่ำสุดในรอบ 16 เดือน คิดเป็นความเชื่อมั่นติดลบ 70% และการลดลงของยอดขายสาขาเดิมเดือนกรกฏาคมปีนี้ Same Store Sale Growth (SSSG) เกิดจากทั้ง Spending Per Bill หรือ Per Basket Size และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ลดลงพร้อมกันทั้งคู่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก สะท้อนถึงการฟื้นตัวต้องใช้เวลา สมาคมฯ คาดว่าภาคการค้าปลีก และบริการครึ่งปีหลังจะทรุดหนัก การเติบโตโดยรวมปีนี้มีแนวโน้มจะติดลบทั้งปี ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ยืนอยู่ที่ระดับ 27.6 ต่ำกว่าดัชนีเดือนเมษายนปี 2563 ที่ระดับ 32.1 สะท้อนถึงความวิตกกังวลในความไม่ชัดเจนต่อแนวทางการกระจายการฉีดวัคซีนที่ภาครัฐยังมีความล่าช้า และมาตรการการเยียวยาที่ไม่เข้มข้นมากพอ รวมทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อที่ภาครัฐประกาศที่จะอัดฉีดเพิ่มเติมไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ยังมีดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ บทสรุปประเด็นสำคัญของ “การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและการจ้างงานต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ระลอกใหม่ จากมุมมองผู้ประกอบการ” ในเดือนกรกฎาคม 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ “ทั้ง 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐนี้ ทางสมาคมฯ ขอให้ภาครัฐพิจารณาและให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะภาคค้าปลีกและบริการกำลังทรุดหนัก และมีแนวโน้มที่อาจจะต้องปิดกิจการอีกกว่าแสนราย ซึ่งจะกระทบการเลิกจ้างงานกว่าล้านคน รัฐบาลควรเร่งเรียกความเชื่อมั่นกลับมาโดยเร็วที่สุด” คุณฉัตรชัยกล่าวทิ้งทาย
| จากบทความที่คุณได้ให้มา ข้อเสนอแนะจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทยต่อภาครัฐมีดังนี้
1. เร่งมาตรการเยียวยาให้เข้มข้นและรวดเร็ว : สมาคมฯ ขอให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเยียวยาที่มีความเข้มข้นและเร็วขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์และเคอร์ฟิว
2. เร่งสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อ : ขอให้ภาครัฐผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งอนุมัติสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ
3. กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ : สมาคมฯ เสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพและตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
4. พิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องปิดกิจการ : ขอให้ภาครัฐพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มจะต้องปิดกิจการกว่า 100,000 ราย เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการจ้างงานที่มีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน
การดำเนินการตามข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยให้ภาคค้าปลีกสามารถฟื้นตัวและประคับประคองธุรกิจได้ในช่วงวิกฤตนี้ค่ะ. | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52505 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง Apple เลื่อนแผนเปิดออฟฟิศ ได้ไหม | แอปเปิล (Apple) ออกมาประกาศเลื่อนแผนการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศอย่างน้อยหนึ่งเดือน หลังพบการระบาดของไวรัส Covid-19 สายพันธุ์เดลต้าที่กลับมาเพิ่มสูงในสหรัฐอเมริกา จากเดิมที่คาดว่าพนักงานแอปเปิลจะได้กลับเข้าออฟฟิศในต้นเดือนกันยายน ทางบริษัทได้แจ้งพนักงานแล้วว่า กำหนดการดังกล่าวจะเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคมแทน ซึ่งกำหนดการเหล่านี้อาจเลื่อนออกไปได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าไวรัสมีการระบาดมากน้อยแค่ไหน โดยทางแอปเปิลบอกว่า จะแจ้งพนักงานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน ที่ผ่านมา แอปเปิลเองก็ไม่ต่างจากบริษัทจำนวนมากที่มีการเลื่อนกำหนดการกลับเข้าออฟฟิศอยู่หลายครั้ง แต่สำหรับกรณีนี้ต้องบอกว่า แอปเปิลเป็นบริษัทแรกที่ออกมาเปลี่ยนนโยบายการกลับเข้าออฟฟิศเพราะไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างเช่น Facebook, Microsoft, Google ยังไม่มีการประกาศเพิ่มเติมแต่อย่างใด นอกจากนั้น สำหรับพนักงานใน Apple store ทางบริษัทยังระบุว่าให้กลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งแล้ว เพื่อความปลอดภัย หลังจากที่เมื่อต้นเดือนมีรายงานว่า Apple Store บางสาขาในสหรัฐอเมริกา เริ่มอนุญาตให้ลูกค้าและพนักงานไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยตอนที่เข้าร้าน | แอปเปิล ประกาศเลื่อนแผนการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศอย่างน้อยหนึ่งเดือนจาก การระบาดของไวรัส Covid-19 สายพันธุ์เดลต้า สำหรับพนักงานใน Apple store กลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัย | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52509 | Retail | ซีพี ออลล์ จะสามารถรักษามาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ไว้ได้หรือไม่? | null | มีโอกาส เหตุผล:
1. ซีพี ออลล์ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน:
ซีพี ออลล์ ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก FTSE4Good Index ประจำปี 2021 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
ซีพี ออลล์ ได้คะแนน ESG สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและค่าเฉลี่ยของประเทศไทย
ซีพี ออลล์ มีนโยบายและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการดำเนินงานด้าน ESG
ซีพี ออลล์ มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง
2. ซีพี ออลล์ มีการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม:
ซีพี ออลล์ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงาน น้ำ และทรัพยากร
ซีพี ออลล์ พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ซีพี ออลล์ ลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน
3. ซีพี ออลล์ มีการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย:
ซีพี ออลล์ มีการสื่อสารกับลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และชุมชน เกี่ยวกับ ESG
ซีพี ออลล์ มีการเปิดเผยข้อมูล ESG
ซีพี ออลล์ มีการร่วมมือกับภาคีต่างๆ ในการดำเนินงานด้าน ESG
4. ซีพี ออลล์ มีการบริหารจัดการความเสี่ยง:
ซีพี ออลล์ มีการประเมินและจัดการความเสี่ยงด้าน ESG
ซีพี ออลล์ มีแผนรับมือกับความเสี่ยงด้าน ESG
ซีพี ออลล์ มีระบบการควบคุมภายในที่เข้มงวด
อย่างไรก็ตาม ซีพี ออลล์ ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น:
การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
โดยสรุป ซีพี ออลล์ มีโอกาสที่จะรักษามาตรฐานการดำเนินงานด้าน ESG ไว้ได้ แต่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52516 | Retail | กลยุทธ์ “Intensive Omni-channel” ของ Central Village ในการฝ่าวิกฤต COVID-19 ประสบความสำเร็จหรือไม่? อธิบาย | null | กลยุทธ์ “Intensive Omni-channel” ของ Central Village ประสบความสำเร็จ
หลักฐานที่สนับสนุน:
1. ยอดขายออนไลน์เติบโต:
- กลยุทธ์ “Intensive Omni-channel” เน้นการดันยอดขาย Online Shopping Platform ผ่าน Live streaming และบริการ “Luxury Outlet Chat & Shop On Demand”
- ผลลัพธ์ที่ได้คือ ยอดขายออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 145% จากไตรมาสที่ 4 ปี 2563
2. Traffic ลูกค้าอยู่ในระดับดี:
- แม้จะมี COVID-19 แต่ Traffic ลูกค้าที่มาใช้บริการ Central Village ยังอยู่ในระดับดี
- สาเหตุหลักมาจากกลยุทธ์ “Intensive Omni-channel” ที่ช่วยดึงดูดลูกค้าทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์
3. ฐานลูกค้าที่หลากหลาย:
- กลยุทธ์ “Intensive Omni-channel” ช่วยให้ Central Village เข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
ฐานลูกค้าหลักๆ ประกอบด้วย:
- คนไทย (70%)
- Expat (30%)
- ลูกค้าต่างจังหวัด
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ:
1. การผสานจุดแข็งของช่องทางออนไลน์และออฟไลน:
- Central Village ผสานจุดแข็งของ Online Shopping Platform กับสาขาของศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่มีอยู่ทั่วประเทศ
- กลยุทธ์นี้ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์
- ลูกค้าสามารถเลือกช้อปผ่านช่องทางที่สะดวกที่สุด
2. การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย:
- Central Village นำเสนอสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกกว่า 220 แบรนด์
- นอกจากนี้ ยังมีบริการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Tops Market, พื้นที่สำหรับเล่นกีฬา และจุด Meeting สำหรับกลุ่ม Super car
- การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ช่วยดึงดูดลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
3. การทำแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด:
- Central Village ทำแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด เช่น “Super Brand Grand Sale 2021”
- แคมเปญเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ามาช้อป
- ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
บทสรุป:
- กลยุทธ์ “Intensive Omni-channel” ของ Central Village ประสบความสำเร็จ
- ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความสำเร็จ คือ การผสานจุดแข็งของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์, การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย, และการทำแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด
- กลยุทธ์นี้ ช่วยให้ Central Village ฝ่าวิกฤต COVID-19 และรักษายอดขาย Traffic และฐานลูกค้าไว้ได้ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52520 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง MINISO เปิดร้าน TOP TOY ได้ไหม | Photo Credit: MINISO เป็นเชนค้าปลีกที่เติบโตสวนวิกฤต COVID-19 และเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง สำหรับเชนร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติจีน “MINISO” ที่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 364 สาขา เท่ากับโดยเฉลี่ยในทุกวันจะมีสาขาใหม่ เปิดเพิ่มขึ้น 1 สาขา ทำให้โดยรวมมีสาขา 4,587 สาขา ใน 95 ประเทศทั่วโลก ในขณะที่รายได้ไตรมาส 3/2021 (สิ้นสุดมีนาคม 2021) อยู่ที่ 2,229.4 ล้านหยวน หรือ 340.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 37% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของงบการเงินปีก่อน แต่ลด 3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2021 ส่วนกำไร อยู่ที่ 626.5 ล้านหยวน หรือ 95.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของงบการเงินปีก่อน แต่ลด 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปัจจัยที่ทำให้ “MINISO” ยังคงเติบโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ที่สร้างผลกระทบในหลายอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก มาจาก 3 กลยุทธ์หลักคือ Photo Credit : Facebook MINISO 1. แผน “X Strategy” ปั้นแบรนด์ใหม่ – เปิดร้านของเล่น “TOP TOY” ขยายอาณาจักรธุรกิจเป็นมากกว่าร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ จากจุดเริ่มต้นการเป็นร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์ ดีไซน์เรียบง่าย ราคาถูก มีสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ในเลือก จนสามารถแจ้งเกิดได้ทั้งในจีน และอีกกว่า 90 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชน อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก อย่างไรก็ตาม เป้าหมายใหญ่ของกลุ่มบริษัท “MINISO” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นเชนร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์เท่านั้น หากแต่ในปี 2021 ต้องการสร้างอาณาจักรค้าปลีกให้เติบโต และแข็งแกร่ง ภายใต้แผน “X Strategy” นั่นคือ การกระจายธุรกิจ และยกระดับเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกชั้นนำ ที่สามารถปั้นแบรนด์ย่อยที่หลากหลาย เพื่อเข้าไปจับตลาดที่แตกต่างกัน อย่างเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 “MINISO” เปิดตัวค้าปลีก Sub-brand ชื่อ “TOP TOY” เป็นร้านขายของเล่น เพื่อเจาะตลาดเด็ก คนรุ่นใหม่ และเหล่านักสะสม วางยุทธศาสตร์บุกตลาดจีนก่อน เปิดสาขาแรกที่เมืองกวางโจว และภายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เปิดไปแล้ว 25 สาขา โดยสินค้าที่จำหน่ายใน TOP TOY ปัจจุบันมีกว่า 2,000 รายการ ที่มีตั้งแต่ราคา 9 ดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงหลักพันดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ 70% เป็นสินค้าลิขสิทธิ์ และอีก 30% ทางกลุ่ม MINISO ผลิตเอง หรือสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ต่างๆ มากกว่า 200 แบรนด์ Photo Credit: MINISO เหตุผลที่ “MINISO” แตกแบรนด์ร้านค้าปลีกของเล่น เพราะเล็งเห็นว่าตลาดของเล่นในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence รายงานว่า ปัจจุบันตลาดของเล่นในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก และคาดการณ์ว่าภายในปี 20222 ตลาดของเล่นในจีน จะกลายเป็นตลาดใหญ่สุดในโลก ด้วยมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่แปลกที่ทำไมหนึ่งในแบรนด์ของเล่นรายใหญ่ระดับโลกอย่าง “LEGO” จึงวางแผนเปิดร้านใหม่ในจีน รองรับการเฟื่องฟูของตลาดของเล่น ขณะที่แผนขยายสาขาใหม่ในปี 2021 สำหรับตลาดจีน เตรียมเปิด 100 สาขา พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจำหน่ายของเล่นอัตโนมัติ (Vending Machine) 1,000 เครื่อง และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เตรียมเปิดร้าน “TOP TOY” นอกประเทศจีน โดยตามแผนสาขาต่างประเทศแห่งแรกคือที่สิงคโปร์ เนื่องจาก MINISO เห็นความต้องการมหาศาล และโอกาสธุรกิจตลาดของเล่น โดยเป้าหมายใหญ่ของเชนร้าน TOP TOY คือ เป็นผู้นำตลาดร้านขายของเล่น-ของสะสม Photo Credit: MINISO 2. ลุยออนไลน์ และพัฒนาโมเดล “O2O” ภายใต้แผน “X Strategy” นอกจากสร้าง Brand Portfolio ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบ Physical Store แล้ว ในอีกด้านหนึ่งที่ MINISO ดำเนินการควบคู่กันคือ การรุกสร้างช่องทางออนไลน์ให้แข็งแกร่ง ทั้งภายใต้เชน MINISO และเชน TOP TOY โดยช่องทางออนไลน์ครอบคลุมทั้ง Online Store ของตัวเอง รวมถึงการเปิดร้านบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และแพลตฟอร์ม Social Media รายใหญ่ของจีน เช่น Tmall, JD, Douyin, WeChat mini-programs ขณะเดียวกันรุกสร้างช่องทางอีคอมเมิร์ซ MINISO ในตลาดต่างประเทศ ในไตรมาส 3/2021 MINISO มีรายได้จากช่องทางอีคอมเมิร์ซ 26.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 86% หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 7.7% ของรายได้รวมบริษัท ในขณะที่รายได้จากโมเดล O2O (online to offline) 10.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 3.1% ของรายได้รวม Robin Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และหัวหน้าฝ่ายอีคอมเมิร์ซ บริษัท MINISO กล่าวว่า ธุรกิจออนไลน์ได้เร่งตัวขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 และจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการพัฒนา MINISO ซึ่งการเติบโตของช่องทางนี้ สะท้อนถึงความพยายามในการพัฒนาโมเดลการตลาด Omni-channel “นอกจากสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่แล้ว MINISO ยังได้เพิ่มช่องทางดิจิทัลอื่น เช่น ใช้แอปฯ Social Media สื่อสารกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด พัฒนาระบบสมาชิกขั้นสูง ติดตั้งเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ และ Live Streaming ขายสินค้าทั้งในจีน และนอกประเทศจีน” Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand 3. จีนฟื้นตัวเร็วจาก COVID-19 และขยายฐานธุรกิจด้วยแนวคิด “Think Smaller” เปิดสาขาในประเทศขนาดเล็ก – ตลาดเกิดใหม่ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ MINISO ยังเติบโต คือ ประเทศจีนสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบสถานการณ์ COVID-19 ได้เร็ว ทำให้เศรษฐกิจของประเทศ และธุรกิจกลับมาได้เร็ว ขณะเดียวกัน จากเดิม MINISO ขยายไปยังเมืองใหญ่ในจีน และประเทศที่เป็นตลาดหลักก่อน แต่แผนจากนี้จะเปิดสาขาในเมืองขนาดเล็กลงของจีน และไปยังตลาดเกิดใหม่ในต่างประเทศ โดยสาขาใหม่ของ MINISO ในจีน เกือบ 70% เปิดในเมือง Tier 3 และ Tier 4 ของประเทศ เช่นเดียวกับตลาดนอกจีน ให้ความสนใจประเทศขนาดเล็ก และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ด้วยแนวคิด “Think Smaller” โดยเพิ่งเปิดสาขาในไอซ์แลนด์ มอลตา นิวแคลิโดเนีย หมู่เกาะคานารี และตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม และ ลาว เพื่อทำให้ MINISO เป็นเชนค้าปลีกที่มีสาขาครอบคลุมทั้งเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก Photo Credit: Facebook MINISO Thailand “เราพยายามสร้างฐานตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่พัฒนาตลาดใหม่ และตลาดในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับธุรกิจให้เข้ากับตลาดท้องถิ่นนั้นๆ ด้วยเช่นกัน” Vincent Huang รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ MINISO กล่าวถึงการขยายฐานธุรกิจ จากการเดินทางขยายสาขารูปแบบ Physical Store ทั้งในจีน และนอกประเทศจีน ภายใต้เชนค้าปลีก MINISO เชนร้านค้าปลีก TOP TOY หรือในอนาคตอาจปลุกปั้นมีแบรนด์ร้านค้าปลีกขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้าง Ecosystem ค้าปลีกเจาะตลาดต่างๆ ที่มีโอกาสธุรกิจ ควบคู่ไปกับการรุกช่องทางอีคอมเมิร์ซ และพัฒนาโมเดล O2O เพื่อไปสู่เป้าหมายใหญ่ คือ การยกระดับเป็นผู้นำแพลตฟอร์ม “New Retail” ในระดับโลก | MINISO เปิดสาขาใหม่ 364 สาขา ปัจจัยที่ MINISO เติบโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 มาจาก 3 กลยุทธ์หลักคือ
1. แผน “X Strategy” ปั้นแบรนด์ใหม่ – เปิดร้านของเล่น “TOP TOY” ขยายอาณาจักรธุรกิจเป็นมากกว่าร้านสินค้าไลฟ์สไตล์
2. ลุยออนไลน์ และพัฒนาโมเดล “O2O”
3. จีนฟื้นตัวเร็วจาก COVID-19 และขยายฐานธุรกิจด้วยแนวคิด “Think Smaller” แผนจากนี้จะเปิดสาขาในเมืองขนาดเล็กลงของจีน และไปยังตลาดเกิดใหม่ในต่างประเทศ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52521 | Retail | ใน 5 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารกรุงไทย มีมาตรการใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีก? | null | ใน 5 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารกรุงไทย มี 2 มาตรการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีก ดังนี้:
1. มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้:
- กลุ่มเป้าหมาย: ลูกค้าธุรกิจที่มีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน
- วัตถุประสงค์: ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถลดภาระทางการเงินชั่วคราว ในช่วงที่รอให้ธุรกิจฟื้นตัว
- วิธีการ: ลูกค้าโอนทรัพย์สินชำระหนี้กับธนาคาร และได้รับสิทธิซื้อทรัพย์คืนในอนาคต
ประโยชน์:
- ธุรกิจค้าปลีกมีสภาพคล่องมากขึ้น
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถรักษาการจ้างงานและประคองธุรกิจต่อไปได้
- ธุรกิจค้าปลีกมีเวลาปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19
ตัวอย่าง:
- ร้านขายเสื้อผ้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยอดขายลดลง significantly
- เจ้าของร้านตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์อาคารร้านค้าให้กับธนาคารเพื่อชำระหนี้
- ธนาคารให้สิทธิเจ้าของร้านซื้ออาคารร้านค้าคืนในอนาคต
- เจ้าของร้านมีเวลาปรับรูปแบบธุรกิจ เช่น ขายสินค้าออนไลน์ พัฒนาระบบ delivery
2. มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู:
- กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ประกอบการทุกประเภท including ธุรกิจค้าปลีก
- วัตถุประสงค์: สนับสนุนเงินทุนเพื่อฟื้นฟูกิจการ
เงื่อนไข:
- อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี ใน 2 ปีแรก
- ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
- ได้รับยกเว้นดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
- ค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. นานสูงสุด 10 ปี
ประโยชน์:
- ธุรกิจค้าปลีกมีเงินทุนหมุนเวียน
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถขยายธุรกิจ
ตัวอย่าง:
- ร้านขายอาหารออนไลน์ ต้องการขยายธุรกิจ
- เจ้าของร้านขอสินเชื่อฟื้นฟูจากธนาคารกรุงไทย
- เงินทุนจากสินเชื่อช่วยให้เจ้าของร้านขยายพื้นที่ร้าน ซื้ออุปกรณ์ใหม่ และจ้างพนักงานเพิ่ม
นอกจาก 2 มาตรการข้างต้นแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังมีมาตรการอื่นๆ ที่ช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีกโดยอ้อม เช่น:
- สินเชื่อธุรกิจเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ (Start Smart Loan): สนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการหน้าใหม่
- สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง (SME Smart Loan): สนับสนุนเงินทุนแก่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
- สินเชื่อเพื่อพัฒนาธุรกิจ (SME Re-Up Loan): สนับสนุนเงินทุนแก่ธุรกิจเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจ
- ธนาคารกรุงไทยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีกให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ธุรกิจค้าปลีกสามารถติดต่อธนาคารกรุงไทยเพื่อขอรับคำปรึกษาและข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ หรือ Krungthai Contact Center 02-111-1111 | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52535 | Retail | จงเสนอไอเดีย 5 เหตุผล ที่ MUJI ลงทุนเปิดร้านขนาดใหญ่ | null | 1. ประเทศไทยเป็น Strategic Market และคนไทยชอบสินค้าญี่ปุ่น
แผนระยะกลางของ MUJI ในระดับโลก คือ วางยุทธศาสตร์ภายในปี 2024 จะเปิดสาขาในญี่ปุ่นเพิ่มอีก 100 สาขา จากปัจจุบันมี 443 สาขา และ 50 สาขาในจีน จากปัจจุบันมีมากกว่า 270 สาขา ซึ่งประเทศจีน เป็น Strategic Country สำคัญของ MUJI นอกประเทศญี่ปุ่น
2. ร้านใหญ่เติมเต็มความหลากหลายสินค้า และบริการ สร้างประสบการณ์ได้ครบวงจร
ในยุคอีคอมเมิร์ซที่ลูกค้าช้อปที่ไหนก็ได้ ทุกที่ทุกเวลา ทำให้บทบาทของ Physical Store ไม่ใช่ทำหน้าที่ขายสินค้าอย่างเดียว แต่ยังต้องเป็นช่องทาง “สร้างประสบการณ์” ให้กับผู้บริโภค
3. ดึงลูกค้าใช้เวลาในร้านนานขึ้น และเพิ่มความถี่การใช้บริการ
ทุกวันนี้ชีวิตในแต่ละวันของผู้บริโภคมีกิจกรรมมากมาย และหลากหลาย และยิ่งในปัจจุบันผู้บริโภค 1 คนใช้ชีวิตอยู่บนสื่อดิจิทัลต่างๆ โดยเฉลี่ยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน อีกทั้งการเกิดขึ้นของ COVID-19 ทำให้คนใช้เวลานอกบ้านน้อยลง และลดการไปในที่คนหนาแน่น
4. จากโซนใจกลางเมือง ขยายสู่รอบนอกเมือง – ปริมณฑล เพิ่มการเข้าถึงลูกค้ากว้างขึ้น
เดิมทีสาขา MUJI กระจุกตัวอยู่เฉพาะในโซนใจกลางเมืองเป็นหลัก แต่ถ้าสังเกตสาขาใหม่ขนาดใหญ่ของ MUJI เน้นปักหมุดในทำเลกรุงเทพฯ รอบนอกทั้ง 4 ทิศ
5. ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
นอกจากการนำเสนอความเรียบง่าย ประหยัดทรัพยากร และมุ่งเน้นความเป็นธรรมชาติแล้ว หนึ่งวิสัยทัศน์ของ MUJI คือ “การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน” (Become part of the community) ผ่านสินค้า บริการ สาขา การสร้างความร่วมมือ และให้การสนับสนุนคนในท้องถิ่น/ในชุมชน
ปัจจุบันนอกจากการเดินหน้าเปิดสาขาขนาดใหญ่แล้ว “MUJI” ในไทย ได้เพิ่มช่องทางออนไลน์ ให้บริการผ่านเซ็นทรัลออนไลน์ และแพลตฟอร์ม LAZADA เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52547 | Retail | เซ็นทรัล รีเทล สามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปปิ้งในวันศุกร์มากขึ้น | null | 1. ขยายกลุ่มเป้าหมาย: เซ็นทรัล รีเทล
อาจจะขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงาน โดยจัดกิจกรรมพิเศษและโปรโมชั่นที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เช่น จัดคอนเสิร์ตศิลปินที่โด่งดัง จัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับแฟชั่น เสนอส่วนลดพิเศษสำหรับสินค้าที่วัยรุ่นและคนวัยทำงานนิยม
2. เพิ่มความหลากหลายของสินค้า:
เซ็นทรัล รีเทล อาจจะเพิ่มความหลากหลายของสินค้า โดยนำสินค้าแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาจำหน่าย
หรือจัดบูธสินค้าพิเศษในวันศุกร์ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีความสนใจหลากหลาย
3. พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้ง:
เซ็นทรัล รีเทล อาจจะพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้ง โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น เกมชิงรางวัล การแสดงดนตรี หรือบริการพิเศษสำหรับลูกค้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและน่าดึงดูด
4. เพิ่มช่องทางการชำระเงิน:
เซ็นทรัล รีเทล อาจจะเพิ่มช่องทางการชำระเงิน รองรับการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เช่น Mobile Wallet QR Code เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบความสะดวก
5. พัฒนาระบบการขนส่ง:
เซ็นทรัล รีเทล อาจจะพัฒนาระบบการขนส่ง เสนอบริการจัดส่งสินค้าฟรี หรือบริการ Click & Collect
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า
6. ร่วมมือกับพันธมิตร:
เซ็นทรัล รีเทล อาจจะร่วมมือกับพันธมิตร เช่น แบรนด์สินค้าบริษัทขนส่ง ธนาคาร เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน เสนอโปรโมชั่นพิเศษ หรือมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า
7. personalize ประสบการณ์การช้อปปิ้ง:
เซ็นทรัล รีเทล อาจจะใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้า เสนอโปรโมชั่น สินค้า และบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน
โดยสรุป เซ็นทรัล รีเทล สามารถดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปปิ้งในวันศุกร์มากขึ้นโดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นการดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปปิ้งในวันศุกร์มากขึ้นจะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้กับเซ็นทรัล รีเทล | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52549 | Retail | เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่อง"สั่งอาหารที่สถานี: การจับมือระหว่าง OR และ LINE MAN ในโลกของ Cloud Kitchen" | null | ในยุคที่เทคโนโลยีและการบริการออนไลน์ก้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจและแพลตฟอร์มการออกแบบบริการก็กำลังก่อตั้งสัมพันธ์ใหม่โดยที่ไม่ต้องพบหน้ากันอย่างตรงไปตรงมา เป็นไปได้ที่สุดในยุคนี้ คือเรื่องราวของ "OR และ LINE MAN" ที่เข้าพักใจกันในโลกของความสะดวกสบายและการบริการที่รวดเร็วของยุคดิจิทัล จับมือกันเพื่อเปิดตัว "Cloud Kitchen" ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station แห่งแรก นำเสนอประสบการณ์ทางการกินที่สะดวกสบายและเร็วกว่าเดิมเต็มไปด้วยความสนุกและความอร่อยในทุกขณะของชีวิตประจำวันของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทย
แม้ว่ากลิ่นของน้ำมันจะรุนแรงไปในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station แห่งหนึ่ง แต่ปัจจุบันนี้กลิ่นหอมที่หวานเย็นและอร่อยของอาหารจานด่วนที่อุ่นใจกำลังกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ผ่านแอปพลิเคชัน LINE MAN ที่เชื่อมโยงกับความสะดวกสบายในการสั่งอาหารออนไลน์ ด้วยการร่วมมือกับ OR นักท่องเที่ยวและชาวบ้านก็สามารถพบเจอรสชาติที่น่าตื่นเต้นและบรรยากาศที่เข้ากันได้กับวิถีชีวิตของเราได้อย่างง่ายดาย
วันหนึ่งในช่วงเย็นที่ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสีเป็นสีส้มสวยงาม เมื่อเดินผ่านทางที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ตั้งอยู่ ก็จะได้พบกับความสดใหม่ของ OR Kitchen และ LINE MAN Cloud Kitchen ที่กำลังแสงสดใสกับเสียงเพลงที่เปิดเล่นอย่างน่าประทับใจ เหมือนเปิดเพลงรับทุกท่านเข้าสู่โลกของรสชาติและความอร่อย
แม้ว่าการสั่งอาหารออนไลน์จะเป็นเรื่องที่น่าสนุกและสะดวกสบายอยู่แล้ว แต่การพบกับ "OR และ LINE MAN Cloud Kitchen" ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station นั้น คือประสบการณ์ใหม่ที่ท้าทายทุกความคิดเดิมๆ เป็นการผสมผสานระหว่างการเดินทางและการสั่งอาหารในหนึ่งแพลตฟอร์ม ที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสความสุขและความอร่อยได้อย่างไม่ต้องพลาดลอยมาติดต่อกัน
ด้วยรสชาติที่อร่อยและการบริการที่ดีจาก OR และ LINE MAN Cloud Kitchen นี้ สถานีบริการน้ำมัน PTT Station จึงกลายเป็นจุดพักระหว่างการเดินทางที่สนุกสุดๆ ที่ทุกคนต้องมาลองสัมผัสเองในแต่ละวัน เพื่อให้ได้พบกับความอร่อยและความสุขที่ไม่มีวันหมดลงในทุกเมนูที่นำเสนอ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52556 | Retail | นิยามของผู้บริโภค Flexitarian คืออะไร | ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีความหลากหลายของพฤติกรรม และไลฟ์สไตล์ จาก Segmentation แยกย่อยกลายเป็น Fragmentation อย่างภายใต้กลุ่ม Healthy Lifestyle ยังแตกออกมาเป็นหลายกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือ “Flexitarian” (Flexible + Vegetarian) ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของไลฟ์สไตล์ดูแลใส่ใจสุขภาพ ที่นับวันฐานผู้บริโภคกลุ่มนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นิยาม Flexitarian และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่มนี้ นิยามของผู้บริโภค Flexitarian คือ ผู้บริโภครับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นเป็นครั้งคราว และลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น ภายใน 1 อาทิตย์ รับประทานมังสวิรัติ 1 – 2 วัน หรือใช้วิธีบริโภคเป็นบางมื้ออาหาร เช่น เลือกรับประทานมังสวิรัติในมื้อเย็น ส่วนวันอื่น หรือมื้ออื่นๆ ยังคงบริโภคเนื้อสัตว์เช่นเดิม SCB EIC จัดทำรายงานอิทธิพลของผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian ต่อธุรกิจร้านอาหาร ระบุงานวิจัยโดย Humane Research Council พบว่า 5 ใน 6 ของกลุ่มคนรับประทานมังสวิรัติ และ Vegan ล้มเลิกความตั้งใจกลางคัน สาเหตุจากการบริโภคแบบ Full-time นั่นคือ การรับประทานอาหารจากพืชผักในทุกวัน ทุกมื้ออาหาร ซึ่งต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก จึงทำได้ยาก และรบกวนวิถีชีวิตประจำวัน เช่น ตัวเลือกอาหารกลุ่มนี้ยังน้อย เมนูจำเจ ไม่อร่อยนัก ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้คนจึงหันมาบริโภคแบบ Flexitarian หรือการบริโภคมังสวิรัติเป็นครั้งคราว แต่ยังไม่ถึงกับเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ไปเลย ทุกวันนี้แนวโน้มการบริโภคแบบ Flexitarian กำลังได้รับความนิยมในทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป แถบเอเชีย โดย Mintel ฉายภาพยว่าในกลุ่มประเทศยุโรป ที่มีรายได้ของเนื้อเทียมที่ทำจากพืช (เช่น เห็ด มะเขือม่วง เต้าหู้ ถั่ว เป็นต้น) เติบโตถึง 451% (จาก 2014 ถึง 2018) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชาวมังสวิรัติและวีแกนเพิ่มขึ้นถึง 440% ในปี 2012 ถึง 2016 นอกจากนี้ “เนสท์เล่” (Nestle) ฉายภาพว่าปัจจุบันในประเทศไทย มีผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian ราว 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 17 – 18 ล้านคน จากประชากรไทย 67 – 68 ล้านคน ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ Flexitarian ทำให้เกิดตลาด “Plant-based Foods” ทั่วโลก คือ อาหาร – เครื่องดื่มที่ทำจากพืช ผัก ผลไม้ เห็ดต่างๆ รวมถึงธัญพืช และถั่วที่ให้โปรตีนสมบูรณ์ ปัจจุบันสินค้าในกลุ่มนี้ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลักคือ มีการคาดการณ์ว่า ตลาด Plant-based Foods ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 30% และในตลาดดังกล่าว มีผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารต่างๆ เริ่มนำวัตถุดิบประเภทนี้ นำไปพัฒนาเป็นเมนูอาหารสูตรประจำร้านแล้ว ในขณะที่ภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย ตลาด Plant-based Foods โต 20% ซึ่งขณะนี้แนวโน้มดังกล่าว ขยายมายังตลาดเอเชียมากขึ้น รวมทั้งประเทศไทย โดยผลสำรวจ Euromonitor ประมาณการณ์มูลค่าตลาด Plant-based Meat ในไทยอยู่ที่ 900 ล้านบาท และมีการเติบโต 20% ต่อปี Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand Pain Point ของผู้บริโภค Flexitarian และตลาด Plant-based Foods ในไทย ในขณะที่นับวันผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดโลก และในไทย ทว่าที่ผ่านมาผู้บริโภคกลุ่มนี้ในไทย ที่มีความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ Plant-based Foods โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ Plant-based Meat และ Plant-based Ready to Eat กลับมี Pain Point จากการบริโภคอาหารมังสวิรัติเช่นกัน นั่นคือ เพราะที่ผ่านมาตลาด Plant-based Meat และ Plant-based Ready to Eat ในไทยยังเป็น Niche Market ทั้งแบรนด์ที่ทำตลาด ความหลากหลายของสินค้าน้อย ยังไม่แพร่หลาย และช่องทางการขายจำกัด ไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Retail หรือแบรนด์ Plant-based Meat ที่ขายเข้าร้านอาหาร (B2B) ซึ่งร้านอาหารก็ยังไม่มีเมนูอาหารจาก Plant-based มาเป็นทางเลือกมากนัก ปัจจัยเหล่านี้กลายเป็น “ข้อจำกัด” ของตลาด Plant-based Foods ในไทย ดังนั้นหากทลาย 3 กำแพงอุปสรรคดังกล่าวได้สำเร็จ ตลาด “Plant-based Foods” ในไทยขยายจาก Niche Market สู่ Mass Market อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเวลานี้ ในตลาด Plant-based Foods ในไทย ที่มี Food Tech Startup พัฒนาสินค้าและทำตลาดนี้ เริ่มมียักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหาร กระโดดเข้าสู่ตลาดนี้ด้วยเช่นกัน อย่างเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว “ซีพีแรม” เปิดตัวกลุ่มสินค้า Plant-based Food รูปแบบ Ready to Eat ภายใต้แบรนด์ VG for Love ในราคาเฉลี่ย 39 – 45 บาท เริ่มต้นขายผ่านเซเว่น อีเลฟเว่น ออนไลน์ และแม็คโครก่อน จากนั้นจะขยายเข้าสาขาของเซเว่น อีเลฟเว่นทั้งกว่า 12,000 สาขา ล่าสุด “เนสท์เล่ ประเทศไทย” นำแบรนด์ Plant-based Foods “Harvest Gourmet” (ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์) ผลิตจากโรงงานในมาเลเซีย เข้ามาทำตลาดในไทย โดยเริ่มต้นเจาะตลาด B2B ด้วยการสร้างพันธมิตรในธุรกิจร้านอาหารก่อน กลยุทธ์ “Harvest Gourmet” สร้างประสบการณ์ Plant-based Food ผ่านร้านอาหาร – จับตาเตรียมเปิดตัวพาร์ทเนอร์ “เชนร้านอาหารรายใหญ่” ก่อนหน้านี้ “เนสท์เล่” มีผลิตภัณฑ์ Plant-based Foods มาระยะหนึ่งแล้ว ในสหรัฐอเมริกา ใช้แบรนด์ Sweet Earth และตลาดยุโรป ใช้แบรนด์ Garden Gourmet ทำตลาด ขณะที่ตลาดเอเชีย ทำตลาด Plant-based Meat ภายใต้แบรนด์ “Harvest Gourmet” โดยปัจจุบันแบรนด์นี้เปิดตัวแล้วที่จีน ออสเตรเลีย ล่าสุดประเทศไทย และหลังจากนี้เตรียมวางจำหน่ายในสิงคโปร์ และมาเลเซีย ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะใช้ฐานการผลิตที่มาเลเซีย ส่วนแผนนำมาผลิตในไทย ยังไม่มีแผน เนื่องจากโรงงานที่มาเลเซีย สามารถรองรับความต้องการของตลาดในภูมิภาคนี้ได้ ในช่วงแรก ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาทำตลาดในไทย มี 5 รายการ คือ เนื้อเบอร์เกอร์ เนื้อบดละเอียด ไก่ย่างรมควัน ไก่ชุบเกล็ดขนมปัง และมีทบอล ซึ่งมีส่วนประกอบหลักจากโปรตีนพืช ได้แก่ พืชตระกูลถั่วจากธรรมชาติ แต่งสีจากบีทรูทสกัดเข้มข้น และแครอทสกัดเข้มข้น พร้อมทั้งเพิ่มเนื้อสัมผัสให้ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำมันมะพร้าว เพื่อให้มีลักษณะไขมันแทรก ทำให้ได้รสชาติเสมือนเนื้อจริง เหตุผลสำคัญที่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เลือกนำ Harvest Gourmet มาทำตลาดในไทย ประกอบด้วย 3 เหตุผลหลักคือ เนสท์เล่ คาดหวังว่าด้วยการพัฒนารสชาติ สี เนื้อสัมผัส ให้ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ จะแก้ Pain Point ของผู้บริโภคที่ต้องการรับประทาน Plant-based Foods และช่วยเพิ่มความถี่ในการรับประทานมากขึ้น จากเดิมผู้บริโภคกลุ่มนี้จะรับประทานอาหาร Plant-based Foods อย่างน้อย 1 วันต่ออาทิตย์ วิสัยทัศน์ Good Food, Good Life จึงมีพันธกิจการพัฒนานวัตกรรมอาหาร และสิ่งแวดล้อม โดยเนสท์เล่ ระดับโลก มีเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้เป็น 0 ในปี 2050 เนื่องจากวัตถุดิบที่มาจากพืช ผลิตก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าฟาร์มปศุสัตว์ และการทำเกษตรกรรมใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าการทำปศุสัตว์ ดังนั้นการผลิต Plant-based Food จึงเป็นอีกทางที่ตอบโจทย์พันธกิจ ทั้งด้านนวัตกรรมอาหาร และสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่ เนสท์เล่ แบ่งธุรกิจออกเป็น 2 ขา คือ 1. B2C ผู้บริโภคทั่วไป และ 2. B2B โดยในส่วนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล เข้าไปตามผู้ประกอบการในทุกขนาดธุรกิจ ตั้งแต่ธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม ร้านเบเกอรี่ ออฟฟิศ และห้องรับรอง โรงเรียน – สถาบัน ครัวกลาง และอุตสาหกรรม สำหรับกลยุทธ์การทำตลาด Harvest Gourmet ในประเทศไทย เริ่มต้นจากเจาะตลาดธุรกิจร้านอาหารก่อน ด้วยการสร้างพันธมิตรธุรกิจในกลุ่มนี้ ซึ่งเหตุผลที่เนสท์เล่ ประเทศไทย เลือกทำตลาด B2B ก่อน เนื่องจากเป้าหมายปีแรกของการทำตลาด Plant-based Foods ในไทย คือ การสร้าง Awareness ให้ผู้บริโภคไทยรู้จัก ทดลองรับประทาน และคุ้นเคยกับแบรนด์ – อาหารที่ทำจากวัตถุดิบประเภทนี้อย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างในไทย เพราะถึงแม้เวลานี้ คนไทยหันมาบริโภค Plant-based Foods มากขึ้น แต่ยังถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับตลาดไทย ขณะเดียวกันยังมีผู้บริโภคบางส่วน มี Perception ว่าอาหารประเภทนี้ไม่อร่อย ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์ไม่ประทับใจกับอาหารประเภทนี้จากที่ผ่านมาก็ตาม ดังนั้นการผลักดันสินค้า Harvest Gourmet เข้าช่องทางร้านอาหารก่อน เพื่อให้ร้านอาหารครีเอทออมาเป็นเมนูที่หลากหลาย จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคในการรับประทานอาหาร Plant-based Food ที่มีรสชาติถูกปาก และความหลากหลายของเมนู ประกอบกับ Win ในฝั่งธุรกิจร้านอาหารเช่นกัน เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมองหาทางเลือกมากขึ้น ดังนั้นการมีเมนูกลุ่ม Plant-based Foods ให้บริการที่ร้าน จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่ม Flexitarian และส่งเสริมภาพลักษณ์ของร้านอาหารนั้นๆ ให้ดูเป็นร้านที่มีอาหารทางเลือกที่เข้ากับยุคสมัยให้กับลูกค้า นอกจากนี้ทาง เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล จะมีทีมเชฟที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร ไปร่วมพัฒนา Exclusive Menu ให้กับแต่ละร้านพาร์ทเนอร์ด้วยเช่นกัน เพื่อให้แต่ละร้านมีเมนูทำจาก Harvest Gourmet ที่แตกต่าง และมีเอกลักษณ์เฉพาะร้าน และในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ “Harvest Gourmet” เตรียมเปิดตัวพันธมิตรธุรกิจเชนร้านอาหารรายใหญ่ ที่มีสาขาหลักร้อยสาขา ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อว่าเชนร้านอาหารใหญ่ “ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ธุรกิจร้านอาหาร หันมาให้ความสำคัญกับเมนูโปรตีนจากพืชมากขึ้น โดยมีเมนูมังสวิรัติ และโปรตีนจากพืชเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยสร้างทัศนคติใหม่ๆ ที่ดีให้กับผู้บริโภค โดยผลสำรวจในต่างประเทศ เผยให้เห็นว่า ผู้บริโภคชื่นชอบร้านอาหารที่นำเสนอเมนู Plant-based เพราะมีอาหารทางเลือกเพื่อผู้รักสุขภาพมากขึ้น และยังทำให้ร้านมีภาพลักษณ์ดูทันสมัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ส่วนแผนการขยายเข้าช่องทางค้าปลีก ต้องรอดูการตอบรับของตลาด และความพร้อมของผู้บริโภค” คุณเครือวัลย์ วรุณไพจิตร ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร และ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ประจำภูมิภาคอินโดไชน่า สรุปทิ้งท้าย คุณเครือวัลย์ วรุณไพจิตร ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร และ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ประจำภูมิภาคอินโดไชน่า | นิยามของผู้บริโภค Flexitarian คือ ผู้บริโภครับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นเป็นครั้งคราว และลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น ภายใน 1 อาทิตย์ รับประทานมังสวิรัติ 1 – 2 วัน หรือใช้วิธีบริโภคเป็นบางมื้ออาหาร เช่น เลือกรับประทานมังสวิรัติในมื้อเย็น ส่วนวันอื่น หรือมื้ออื่นๆ ยังคงบริโภคเนื้อสัตว์เช่นเดิม | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_52564 | Retail | รายงาน Future 100 ประจำปี 2021 เผยให้เห็นถึงแนวโน้มอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีก และทำไมแนวโน้มเหล่านี้จึงมีความสำคัญ | null | การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ:
-ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซที่มีประสิทธิภาพ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย และมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกและรวดเร็ว
การเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซ:
-ผู้บริโภคใช้โซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาและซื้อสินค้ามากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องสร้างกลยุทธ์โซเชียลคอมเมิร์ซที่มีประสิทธิภาพ ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อดึงดูดลูกค้า และสร้างโอกาสในการขายสินค้า
การเติบโตของร้านค้าปลีกแบบผสมผสาน (Omnichannel Retail):
-ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องสร้างกลยุทธ์ Omnichannel Retail ที่เชื่อมต่อช่องทางการขายต่างๆ เข้าด้วยกัน
การเติบโตของการชำระเงินแบบดิจิทัล:
-ผู้บริโภคหันมาใช้การชำระเงินแบบดิจิทัลมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องรองรับรูปแบบการชำระเงินแบบดิจิทัลที่หลากหลาย
การเติบโตของการจัดส่งสินค้าแบบวันเดียว (Same-day Delivery):
-ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่รวดเร็ว ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องนำเสนอตัวเลือกการจัดส่งสินค้าแบบวันเดียว
การเติบโตของการช้อปปิ้งแบบมีส่วนร่วม (Experiential Retail):
-ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าจดจำ
การเติบโตของการค้าปลีกแบบยั่งยืน:
-ผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องนำเสนอสินค้าและบริการที่ยั่งยืน
การเติบโตของการค้าปลีกแบบเฉพาะกลุ่ม (Personalized Retail):
-ผู้บริโภคต้องการสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของตน ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย
แนวโน้มเหล่านี้มีความสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจความต้องการของลูกค้า:
-แนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคต
ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกพัฒนากลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ:
-แนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกพัฒนากลยุทธ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคต
ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่มยอดขาย:
-แนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า
ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัล:
-แนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกอยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัล | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |