ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_50310
Retail
การจัดแสดงสินค้าในร้านค้าปลีก ส่งผลต่อยอดขายหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การจัดแสดงสินค้าที่ดึงดูดใจลูกค้า จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า การจัดแสดงสินค้าที่ดึงดูดใจลูกค้า หมายถึง การจัดแสดงสินค้าที่สวยงาม น่าสนใจ สะดุดตา ง่ายต่อการมองเห็น และสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้เข้ามาดูสินค้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า การจัดเรียงสินค้าที่สะดวกต่อการค้นหา จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว การจัดเรียงสินค้าที่สะดวกต่อการค้นหา หมายถึง การจัดเรียงสินค้าที่เป็นระเบียบ หาเจอได้ง่าย สินค้าประเภทเดียวกันอยู่รวมกัน มีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหา การจัดแสดงสินค้าที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้ามาในร้าน การจัดแสดงสินค้าที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หมายถึง การจัดแสดงสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้ามาในร้าน การจัดแสดงสินค้าที่สื่อถึงเรื่องราวและเอกลักษณ์ของแบรนด์ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ การจัดแสดงสินค้าที่สื่อถึงเรื่องราวและเอกลักษณ์ของแบรนด์ หมายถึง การจัดแสดงสินค้าที่สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกที่จัดแสดงสินค้าให้น่าสนใจ เช่น จัดเรียงสินค้าเป็นระเบียบ แสงสว่างเพียงพอ มีการใช้สีสันที่ดึงดูดใจ มีการตกแต่งร้านด้วย props ต่างๆ จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้านและกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า ร้านค้าปลีกที่จัดเรียงสินค้าตามประเภทสินค้า หมวดหมู่ แบรนด์ หรือการใช้งาน จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว ร้านค้าปลีกที่จัดแสดงสินค้าที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ร้านขายเสื้อผ้าเด็ก จัดแสดงสินค้าเสื้อผ้าเด็กที่มีสีสันสดใส ลวดลายน่ารัก จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือ พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ร้านค้าปลีกที่จัดแสดงสินค้าที่สื่อถึงเรื่องราวและเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น ร้านขายสินค้าของ Apple จัดแสดงสินค้าในบรรยากาศที่เรียบง่าย ทันสมัย สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ Apple จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ ผลลัพธ์: ร้านค้าปลีกที่จัดแสดงสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ มีแนวโน้มที่จะ: มียอดขายสูงกว่า มีลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น มีภาพลักษณ์ที่ดี ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย สรุป: การจัดแสดงสินค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีก ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มยอดขาย ดึงดูดลูกค้า และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50314
Retail
จากรายงานเม็ดเงินโฆษณา 7 เดือนแรกของปี 2023 จากนีลเส็น สื่อวิทยุมีมูลค่าเม็ดเงินอยู่ที่กี่ล้านบาท
a. 1,423 ล้านบาท b. 1,627 ล้านบาท c. 9,032 ล้านบาท d. 2,050 ล้านบาท
คำตอบคือ d. 2,050 ล้านบาท เพราะว่า เพราะจากรายงานเม็ดเงินโฆษณา 7 เดือนแรกของปี 2023 จากนีลเส็น สื่อวิทยุมีมูลค่าเม็ดเงินอยู่ที่ 2,050 ล้านบาท “นีลเส็น” (Nielsen) เปิดรายงานเม็ดเงินโฆษณา (Media Spending) ของ 7 เดือนแรกของปี 2023 มีมูลค่าเม็ดเงินเพิ่มขึ้น +0.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปี 2022 โดยมูลค่าอยู่ที่ 65,093 ล้านาท โดยแบ่งเป็น – สื่อทีวี ยังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนของการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุด อยู่ที่ 57% คิดเป็นมูลค่า 34,483 ล้านบาท – รองลงมาเป็นสื่อดิจิทัล เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้น 6% มูลค่าอยู่ที่ 16,031 ล้านบาท โต 6% – ตามมาด้วยสื่อนอกบ้าน และสื่อการเดินทาง เม็ดเงินโฆษณาโต 23% มูลค่าอยู่ที่ 9,032 ล้านบาท – สื่อวิทยุ เม็ดเงินโฆษณาโต 9% มูลค่าอยู่ที่ 2,050 ล้านบาท – สื่อสิ่งพิมพ์ เม็ดเงินโฆษณาลดลง 7% มูลค่าอยู่ที่ 1,627 ล้านบาท – สื่อโรงภาพยนตร์ เม็ดเงินโฆษณาลดลง 5% มูลค่าอยู่ที่ 1,423 ล้านบาท – สื่อ In-Store เม็ดเงินโฆษณาลดลง 12% มูลค่าอยู่ที่ 447 ล้านบาท เมื่อดูเฉพาะของเดือนกรกฎาคม 2023 โดยภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้น +3% มูลค่าอยู่ที่ 9,790 ล้านบาท
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50318
Retail
อะไรคือกลยุทธ์ที่ Tops Daily ควรนำมาใช้เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดร้านสะดวกซื้อไทย
null
กลยุทธ์ที่ Tops Daily ควรนำมาใช้เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดร้านสะดวกซื้อไทย จากบทความ "Family Mart ปิดตัวในไทย เปลี่ยนเป็น Tops Daily" เราสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ที่ Tops Daily ควรนำมาใช้เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดร้านสะดวกซื้อไทย ดังนี้ 1. ปรับสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคไทย: เน้นสินค้าอาหารสด อาหารพร้อมทาน และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน พัฒนาสินค้า Private Label ของ Tops Daily เอง ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ และนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการ นำเสนอสินค้าที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย 2. เน้นความสะดวก รวดเร็ว ทันสมัย: พัฒนาระบบการชำระเงินที่หลากหลาย สะดวก รวดเร็ว เพิ่มบริการเดลิเวอรี่ สั่งสินค้าออนไลน์ พัฒนาระบบสมาชิก เพื่อมอบสิทธิพิเศษและโปรโมชั่น นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า 3. สร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง: เน้นจุดแข็งของ Tops ในเรื่องอาหารสด อาหารพร้อมทาน พัฒนาเมนูอาหารพร้อมทานที่หลากหลาย อร่อย สะอาด ปลอดภัย เน้นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคายุติธรรม พัฒนากิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ 4. ขยายสาขาอย่างมีกลยุทธ์: เลือกทำเลที่สะดวก เข้าถึงง่าย อยู่ใกล้ชุมชน เน้นขยายสาขาในพื้นที่ที่มีศักยภาพ พัฒนาโมเดลร้านที่เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ และความต้องการของลูกค้า 5. มุ่งเน้นการให้บริการที่ดี: พัฒนาทักษะการให้บริการของพนักงาน เน้นความสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส บริการด้วยใจ สร้างบรรยากาศในร้านให้น่าเข้า 6. สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง: สื่อสารจุดเด่นของ Tops Daily ให้ชัดเจน พัฒนาแคมเปญโฆษณาที่ดึงดูดใจ สร้างกิจกรรมส่งเสริมการขาย สนับสนุนกิจกรรม CSR 7. ศึกษาคู่แข่ง: วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ของคู่แข่ง พัฒนากลยุทธ์ที่เหนือกว่า นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง 8. ติดตามเทรนด์: ศึกษาเทรนด์ใหม่ ๆ ในตลาด Retail พัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ให้ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ สรุป:การประสบความสำเร็จในตลาดร้านสะดวกซื้อไทย Tops Daily จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เน้นสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคไทย พัฒนาช่องทางการจำหน่ายที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย สร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง ขยายสาขาอย่างมีกลยุทธ์ มุ่งเน้นการให้บริการที่ดี สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ศึกษาคู่แข่ง และติดตามเทรนด์
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50320
Retail
จงสรุปบทความ รวมกลุ่มสินค้าที่มีการใช้สื่อดิจิทัลสูงสุด และสื่อดิจิทัลที่แบรนด์เลือกใช้มากที่สุดในไทย
โควิดก็ฉุด ‘สื่อดิจิทัล’ไม่อยู่ โดย ‘สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย)’ หรือ Daat เผยถึงการใช้เม็ดเงินโฆษณาช่วงครึ่งแรกปี 2564 ของสื่อนี้ พบว่า มีการใช้ไป 11,732 ล้านบาท โตขึ้น 8% ส่วนครึ่งปีหลังคาดเม็ดเงินจะอยู่ที่ 11,583 ล้านบาท และเมื่อจบทั้งปีจะมีการใช้เม็ดเงินโฆษณาในสื่อนี้รวม 23,315 ล้านบาท เติบโต 11% พร้อมเผยเทรนด์ต่าง ๆ ของสื่อดิจิทัลที่น่าสนใจ ขณะที่ไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และส่งผลให้หลายธุรกิจจำเป็นต้องตัดงบโฆษณาลง แต่สื่อดิจิทัลกลับยังมีการเติบโตในตัวเลข 2 หลัง เหตุผลก็เพราะว่า -ภาคธุรกิจมีการปรับตัวหันมาให้ความสำคัญสื่อดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มอาหาร กลุ่มของใช้ส่วนตัว กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลุ่มเดลิเวอรี่ ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คน -คนใช้เวลากับดิจิทัลมากขึ้น ทั้งการซื้อของผ่านออนไลน์ การสั่งอาหารทางเดลิเวอรี่ การประชุมออนไลน์ เป็นต้น ทำให้สื่อดิจิทัลได้รับความสนใจ ขณะที่สื่ออื่นผู้บริโภคมีการใช้เวลาลดลง เช่น สื่อทีวี , สื่อ Out Of Home ที่คนออกจากบ้านน้อยลง ก็ทำให้เห็นสื่อพวกนี้น้อยลง ฯลฯ -ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ 5 กลุ่มสินค้าที่มีการใช้สื่อดิจิทัลสูงสุด ได้แก่ รถยนต์ 2,775 ล้านบาท โตจากปีที่ผ่านมา 2% กลุ่มเครื่องดื่มนอนแอลกอฮออล์ 2,671 ล้านบาท โตจากปีที่ผ่านมา 34% กลุ่มสกินแคร์ 2,282 ล้านบาท โตจากปีที่ผ่านมา 19% กลุ่ม Communication 2,195 ล้านบาท โตจากปีที่ผ่านมา 11% กลุ่ม Dairy Product & Dairy Substitute Product 897 ล้านบาท โตจากปีที่ผ่านมา 10% สื่อดิจิทัลที่แบรนด์เลือกใช้มากที่สุด – Facebook 32% เม็ดเงินที่ใช้ 7,424 ล้านบาท – Youtube 18% เม็ดเงินที่ใช้ 4,256 ล้านบาท -Social 9% เม็ดเงินที่ใช้ 2,113 ล้านบาท -Creative 9% เม็ดเงินที่ใช้ 2,074 ล้านบาท -Search 7% เม็ดเงินที่ใช้ 1,666 ล้านบาท -Online Video 7% เม็ดเงินที่ใช้ 1,621 ล้านบาท -Line 6% เม็ดเงินที่ใช้ 1,472 ล้านบาท -Display 6% เม็ดเงินที่ใช้ 1,366 ล้านบาท *Facebook และ Youtube ยังเป็นสื่อดิจิทัลที่แบรนด์เลือกใช้เป็นหลัก โดยเหตุผลที่ส่วนใหญ่เลือกใช้ Facebook ก็เพราะว่า เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถทำการตลาดได้ครบวงจรตั้งแต่การสร้างการรับรู้ การเข้าถึง เพิ่มยอดขาย และอื่น ๆ * ‘สกินแคร์’ เป็นกลุ่มที่ใช้งบโฆษณาผ่าน Facebook มากสุด อยู่ในหลัก 1,000 ล้านบาท ส่วน ‘เครื่องดื่มนอนแอลกอฮออล์’ ใช้ Youtube มากสุด อยู่ราว ๆ 700 ล้านบาท ขณะที่ ‘กลุ่มรถยนต์’ ซึ่งมีการใช้เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลเป็นอันดับ 1 นอกจากสื่อหลัก ยังเลือกใช้ Creative, Search, Online Video และ Display ส่วน Retail ที่มีการใช้เม็ดเงินสูงเช่นกัน เลือกใช้เม็ดเงินไปกับ Affiliate marketing เพื่อเน้นเพิ่มยอดขาย * Tiktok Ad และ E-commerce เป็นสองสื่อใหม่ที่น่าสนใจ สะท้อนจากการใช้เม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้ Tiktok Ad มีการใช้เม็ดเงินโฆษณาอยู่ที่ 193 ล้านบาท โตขึ้น 302% จากปีก่อนที่มีการใช้เม็ดเงินที่ 48 ล้านบาท ส่วน E-commerce มีการใช้เม็ดเงิน 180 ล้านบาท โต 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีการใช้ 106 ล้านบาท หากเจาะลึกลงไปในแต่ละสื่อ จะเห็นแนวโน้มของโฆษณาดิจิทัลที่น่าสนใจ ก็คือ ‘วีดีโอ’ เป็นรูปแบบการโฆษณาที่เติบโตในทุกสื่อดิจิทัล *สำหรับวัตถุประสงค์ในการเลือกใช้ ‘สื่อดิจิทัล’ ของแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อทำการตลาด ส่วนใหญ่ต้องการ ‘สร้างการรับรู้’ (Awareness) และ Lead ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้าง Engagement และเพิ่มยอดขายด้วย สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2564 คาดว่า การฟื้นตัวจะช้า เพราะส่วนใหญ่กังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจและผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย แต่มองว่าไตรมาส 4 น่าจะดีขึ้น จากสถานการร์การระบาดที่น่าจะคลี่คลาย ซึ่งจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยน่าจะกลับมาคึกคัก ขณะที่ ‘สื่อดิจิทัล’ ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับหนึ่ง จากภาพที่เห็นเมื่อช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงครึ่งแรกปี 2564 โดยทิศทางของสื่อนี้มีการนำเรื่องของเทคโนโลยี และ Data เข้ามาใช้ร่วมมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในปี 2564 แม้โควิด-19 จะส่งผลกระทบหนักต่อหลายธุรกิจ แต่สื่อดิจิทัลยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ Daat รายงานว่าในครึ่งแรกของปี 2564 มีการใช้เงินโฆษณาบนสื่อดิจิทัลถึง 11,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และคาดว่าภายในสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 23,315 ล้านบาท เติบโต 11% เหตุผลที่สื่อดิจิทัลยังเติบโตคือ: 1.การปรับตัวของภาคธุรกิจ: หลายธุรกิจหันมาใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค อีคอมเมิร์ซ และเดลิเวอรี่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เวลาบนดิจิทัลมากขึ้น 2.พฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้คนใช้เวลาออนไลน์มากขึ้น เช่น การซื้อของออนไลน์และการสั่งอาหารผ่านแอปเดลิเวอรี่ ทำให้สื่อดิจิทัลมีความสำคัญเพิ่มขึ้น 3.มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากรัฐ: ช่วยหนุนการเติบโตของตลาดโฆษณาดิจิทัล กลุ่มสินค้าที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุด ได้แก่: - รถยนต์ (2,775 ล้านบาท) - เครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ (2,671 ล้านบาท) - สกินแคร์ (2,282 ล้านบาท) แพลตฟอร์มยอดนิยม: - Facebook (32%) เป็นที่นิยมที่สุด เพราะมีศักยภาพในการทำการตลาดครบวงจร - YouTube (18%) รองลงมา โดยเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์เป็นกลุ่มที่ใช้มากที่สุด - นอกจากนี้ TikTok Ads และ E-commerce เป็นสื่อใหม่ที่เติบโตเร็ว โดย TikTok Ads โตถึง 302% จากปีก่อน เทรนด์สำคัญ: การใช้วิดีโอโฆษณาเติบโตในทุกแพลตฟอร์ม ขณะที่เป้าหมายหลักของแบรนด์ในการใช้สื่อดิจิทัลคือการสร้างการรับรู้ (Awareness) และ Engagement แม้เศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2564 จะฟื้นตัวช้า แต่คาดว่าไตรมาส 4 จะดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายกลับมาคึกคัก และสื่อดิจิทัลยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาดโฆษณา
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50326
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ รางวัลของผลงานโฆษณา Destination Menu ในงาน AD STARS 2021
null
ผลงานโฆษณา Destination Menu จาก THAI Airways โดยบริษัท Wunderman Thompson Thailand กวาดไปถึง 4 รางวัลในงานประกวดโฆษณาระดับภูมิภาคเอเชีย AD STARS 2021 ประกอบด้วย: 1. รางวัล Gold (Special – Pivot) 2. รางวัล Silver (Brand Experience & Activation – Use of Brand Experience & Activation) 3. รางวัล Silver (Creative eCommerce – Finance / Services / Entertainment & Leisure / Travel) 4. และรางวัล Crystal (Direct – Finance / Services / Entertainment & Leisure / Travel) บทเรียนจากย่อหน้านี้: - อีกหนึ่งงานประกวดโฆษณา ในระดับภูมิภาคเอเชีย AD STARS 2021 ประกาศผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว - ซึ่งปีนี้ผลงานโฆษณาของไทยก็สามารถคว้ามาได้มากมาย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_50330
Retail
จากบทความ กลุ่ม Gen Z มีความคาดหวังต่อ "ผลตอบแทน" และ "สภาพแวดล้อมการทำงาน" อย่างไร? ธุรกิจ Retail ควรปรับตัวอย่างไรเพื่อดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z ไว้?
null
1. ความคาดหวังของ Gen Z ต่อ "ผลตอบแทน" -เงินเดือน: Gen Z ต้องการเงินเดือนที่สมเหตุสมผลกับทักษะและประสบการณ์ -สวัสดิการ: Gen Z ให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่ส่งเสริม Work-life balance เช่น ประกันสุขภาพ -โอกาสในการเติบโต: Gen Z ต้องการโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ -ความยืดหยุ่น: Gen Z ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น การทำงานระยะไกล 2. ความคาดหวังของ Gen Z ต่อ "สภาพแวดล้อมการทำงาน" -วัฒนธรรมองค์กร: Gen Z ต้องการทำงานในองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง -เทคโนโลยี: Gen Z ต้องการทำงานในองค์กรที่มีเทคโนโลยีทันสมัย -ความหลากหลาย: Gen Z ต้องการทำงานในองค์กรที่มีความหลากหลาย -ความยั่งยืน: Gen Z ต้องการทำงานในองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 3. กลยุทธ์สำหรับธุรกิจ Retail ในการดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z: ออกแบบแพ็กเกจผลตอบแทนที่ตอบสนองความต้องการของ Gen Z: -เสนอเงินเดือนที่สมเหตุสมผล -เสนอสวัสดิการที่ส่งเสริม Work-life balance -สนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ -เสนอความยืดหยุ่นในการทำงาน -สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดึงดูด Gen Z: -สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง -ลงทุนในเทคโนโลยีทันสมัย -ส่งเสริมความหลากหลายในองค์กร -ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน -สื่อสารกับ Gen Z อย่างมีประสิทธิภาพ: -ใช้ช่องทางการสื่อสารที่ Gen Z ใช้ -สื่อสารถึงสิ่งที่ Gen Z ต้องการ -สื่อสารอย่างจริงใจและโปร่งใส ตัวอย่างธุรกิจ Retail ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z: -Amazon: เสนอเงินเดือนที่สูง สวัสดิการที่ครอบคลุม โอกาสในการเติบโต -Nike: มีวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน Work-life balance -IKEA: ส่งเสริมความหลากหลายในองค์กร -Starbucks: ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน บทสรุป:ธุรกิจ Retail ที่ต้องการดึงดูดและรักษาพนักงาน Gen Z ไว้ จำเป็นต้องเข้าใจความคาดหวังของ Gen Z ออกแบบแพ็กเกจผลตอบแทนและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตอบสนองความต้องการของ Gen Z และสื่อสารกับ Gen Z อย่างมีประสิทธิภาพ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50332
Retail
แคมเปญ "SCB M VISA ขออธิษฐานส่งกำลังใจ" มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าใหม่?
null
ไม่ เหตุผล: แคมเปญนี้มุ่งเน้นไปที่การขอบคุณลูกค้าปัจจุบัน: แคมเปญนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 3 ปี ของบัตร SCB M ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแคมเปญนี้มุ่งเน้นไปที่การขอบคุณลูกค้าปัจจุบันที่ใช้บัตร SCB M มาโดยตลอด ข้อความในแคมเปญ เช่น "แทนความห่วงใย และคำขอบคุณที่ไว้วางใจใช้บริการมาตลอด 3 ปี" ก็แสดงให้เห็นถึงเจตนาในการขอบคุณลูกค้าปัจจุบัน สิทธิประโยชน์ในแคมเปญนี้ส่วนใหญ่เหมาะกับลูกค้าปัจจุบัน: สิทธิประโยชน์หลักของแคมเปญนี้คือส่วนลดและเครดิตเงินคืน ซึ่งลูกค้าปัจจุบันจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากส่วนลดเหล่านี้ ลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยใช้บัตร SCB M มาก่อน อาจจะไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแคมเปญนี้ กลยุทธ์การสื่อสารของแคมเปญนี้มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าปัจจุบัน: ช่องทางการสื่อสารหลักของแคมเปญนี้คือช่องทางที่ลูกค้าปัจจุบันของเดอะมอลล์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ใช้เป็นประจำ เช่น อีเมล์, LINE Official Account, เว็บไซต์ ฯลฯ แคมเปญนี้ไม่ได้เน้นการโฆษณาผ่านสื่อสาธารณะมากนัก สรุป: แคมเปญ "SCB M VISA ขออธิษฐานส่งกำลังใจ" มุ่งเน้นไปที่การขอบคุณลูกค้าปัจจุบันมากกว่าการดึงดูดลูกค้าใหม่ หมายเหตุ: แม้ว่าแคมเปญนี้จะมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าใหม่จะไม่ได้รับประโยชน์จากแคมเปญนี้ ลูกค้าใหม่สามารถสมัครบัตร SCB M และเข้าร่วมแคมเปญเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้เช่นกัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50335
Retail
เขียนแนวคิดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ"ร่วมสร้างความเชื่อมั่น: บัซซี่บีส์ x SME เพื่อเสริมสร้างธุรกิจร้านอาหารในยุคโควิด-19"
null
แนวคิดที่เกี่ยวกับการผุดแคมเปญร่วมระหว่างบัซซี่บีส์ (BUZZEBEES) และ SME ในการสนับสนุนระบบ CRM เพื่อช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหารในช่วงวิกฤตโควิด-19 และโปรโมทธุรกิจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถอธิบายได้ดังนี้ 1. การสนับสนุนระบบ CRM (Customer Relationship Management)**: - การใช้เทคโนโลยี CRM เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการข้อมูลลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าของธุรกิจ - ผ่านการใช้ระบบ CRM ธุรกิจร้านอาหารสามารถติดตามและจัดการกับข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ประวัติการสั่งอาหาร, ความชอบของลูกค้า, และการติดต่อ 2. การช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหารในช่วงวิกฤตโควิด-19 - ร้านอาหารมีผลกระทบอย่างมากจากการล็อกดาวน์และมีการจำกัดในการเดินทางของลูกค้าในช่วงวิกฤตโควิด-19 - การใช้ระบบ CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น การจัดแคมเปญการส่งเสริมการขายออนไลน์, การจัดส่งอาหารถึงบ้าน, หรือบริการอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 3. การโปรโมทธุรกิจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย - บัซซี่บีส์และ SME มุ่งเน้นการส่งเสริมธุรกิจร้านอาหารในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย - การใช้แพลตฟอร์มและช่องทางทางการตลาดของบัซซี่บีส์เพื่อโปรโมทธุรกิจร้านอาหาร เช่น การใช้สื่อสังคม, การส่งอีเมลล์แคมเปญ, หรือการใช้แอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้งานมากมาย 4. การสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ระยะยาว - การช่วยเหลือธุรกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19 ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มยอดขายในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เเต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ที่อาจกลับมาเป็นลูกค้าประจำหลังจากสถานการณ์ปกติคืนมา โดยทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือนี้ ธุรกิจร้านอาหารจะได้รับการสนับสนุนในการเติบโตและฟื้นตัว ในขณะที่บัซซี่บีส์และ SME จะได้เสริมสร้างฐานลูกค้าและความไว้วางใจจากธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_50340
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง TikTok Ads Academy ได้ไหม
เมื่อ Social Media อย่าง Facebook, Google, Twitter หรือแม้แต่ Line เองก็ยังมีการยิงโฆษณาเพื่อหารายได้ ฉะนั้นแต่ละแพลตฟอร์มก็ต้องมีแหล่งเรียนรู้การยิงโฆษณาเป็นของตัวเอง แถมยังมี Certification ให้ไปทำแบบทดสอบเพื่อยืนยันว่าตัวเองเป็นมืออาชีพในการยิงโฆษณาในแพลตฟอร์มนั้น TikTok เองก็เหมือนกัน เข้าไปที่ www.tiktokadsacademy-sea.com แล้วเราก็จะได้เจอกับเนื้อหาที่เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการยิงโฆษณาบน TikTok 1. Virtual Classroom แนะนำการทำคอนเทนต์ การสร้างแบรนด์ในแบบของ TikTok การวางแผนการตลาดให้ครบตั้งแต่ต้นจนจบ การทำงานร่วมกับคนทำคอนเทนต์คนอื่นๆในทีม และบอกถึงรายละเอียดงานต่างๆในแต่ละวัน ในแต่ละหัวข้อก็จะมีวีดีโอให้เราดู ซึ่งถ้าดูจบทุกหัวข้อก็ใช่เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงเอง 2. Plug and Play Series ส่วนนี้จะเป็นคู่มือสั้นๆให้เราได้อ่านกันเร็วๆว่าเรามีเป้าหมายทางธุรกิจอะไร ไม่ว่าจะเป็น Launch a Message, Spotlight a Product, Create more with Less, Create a Mood หรือ Dramatize the Product Experience จากนั้นส่วนนี้จะบอกเราว่าแต่ละเป้าหมายธุรกิจมี Tactics อะไรที่เราเล่นได้บ้าง ต้องใช้เครื่องมืออะไร ที่สำคัญคือต้องวางแผนอะไรมาก่อนลงมือทำ 3. TikTok Unboxed ใครที่ชอบฟัง Webminar น่าจะชอบ เพราะ Tiktok บอกหมดทั้ง Customer Insight ที่เราต้องรู้ การทำแบรนด์ให้ถูกใจ การทำคอนเทนต์ที่กระตุ้นให้คนอยากมีปฎิสัมพันธ์ มีส่วนร่วม กรณีศึกษา จนกระทั่งเข้าถึงชุมชนของลูกค้าในแต่ละวงการ ไม่ว่าจะเป็น Finance, Gaming, Consumer Packaged Goods, Food and Beverage และเร็วๆนี้จะมี Ecommerce and Retail ให้ติดตามวันที่ 15 กรกฎาคม 2021 ลงทะเบียนในเว็บฯได้เลย 4. Tiktok Ads Academy Assessment สุดท้าย ใครอยากเป็นมืออาชีพในการยิงโฆษณา TikTok ห้ามพลาดการทดสอบ TikTok Ads Academy Assessment พอลงทะเบียนแล้วก็เริ่มทำแบบทดสอบได้เลย ข้อสอบมี 15 ข้อ ทดสอบได้แค่ 3 ครั้งเท่านั้น ฉะนั้น อย่าทำเพลิน (ใบ้ให้ว่าก็คล้ายๆ Facebook Media Buying น่ะแหละ) แต่แนะนำว่าให้รีบสอบ เพราะ TikTok บอกว่าอีกไม่กี่เดือน ข้อสอบจะทดสอบเราในหัวข้อที่หลากหลายขึ้น (คือยากขึ้นน่ะแหละ) แต่ถ้าสอบผ่าน TikTok จะให้เราดาวน์โหลด Certificate สวยๆไปอวดได้เลย ทั้งหมดนี้คือ TikTok Ads Academy เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนที่อยากยิงโฆษณาบน TikTok ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้ Social Media ตัวอื่นๆเลยครับ บทความนี้เผยแพร่ใน Marketing Oops
เนื้อหาเกี่ยวกับ TikTok Ads Academy ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับการยิงโฆษณาบน TikTok ดังนี้: 1.Virtual Classroom: เป็นการแนะนำการทำคอนเทนต์และการสร้างแบรนด์ในแบบของ TikTok โดยครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนการตลาดจนถึงการทำงานร่วมกับทีมและครีเอเตอร์ มีวิดีโอให้เรียนรู้ในแต่ละหัวข้อ ใช้เวลาเรียนทั้งหมดไม่เกิน 2 ชั่วโมง 2.Plug and Play Series: เป็นคู่มือสั้นๆ สำหรับช่วยวางแผนการตลาด โดยบอกวิธีการทำงานตามเป้าหมายทางธุรกิจที่แตกต่างกัน พร้อมกับเครื่องมือและกลยุทธ์ที่ต้องใช้ 3.TikTok Unboxed: เป็น Webinar ที่สอนเกี่ยวกับการทำแบรนด์ การสร้างคอนเทนต์ และ Customer Insight พร้อมกับกรณีศึกษาในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน เกม อาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค 4.TikTok Ads Academy Assessment: เป็นการทดสอบความสามารถในการยิงโฆษณาบน TikTok มีข้อสอบ 15 ข้อ สามารถสอบได้ 3 ครั้ง ผู้สอบผ่านจะได้รับ Certificate
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50345
Retail
การเติบโตของ E-commerce ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: -E-commerce ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น: ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ทั่วโลก โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แค่ในท้องถิ่น ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลายๆ ร้านค้าได้อย่างง่ายดาย ผู้บริโภคสามารถอ่านรีวิวสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ -E-commerce นำเสนอความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค: ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านค้า ผู้บริโภคสามารถชำระเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ผู้บริโภคสามารถรับสินค้าที่บ้านหรือที่ทำงาน -E-commerce มักมีราคาสินค้าที่ถูกกว่า: ร้านค้าออนไลน์มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่าร้านค้าแบบดั้งเดิม ร้านค้าออนไลน์สามารถเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดได้มากขึ้น -E-commerce กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว: ยอดขาย E-commerce ทั่วโลกเติบโตขึ้น 45.5% ในปี 2020 คาดการณ์ว่า E-commerce จะครองส่วนแบ่ง 10.8% ของยอดขายของชำทั่วโลกในปี 2025 ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมหลายแห่งต้องปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับ E-commerce ได้ ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เปิดร้านค้าออนไลน์ นำเสนอบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน หรือเสนอโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าออนไลน์ ผลลัพธ์: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นจาก E-commerce ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล สรุป: การเติบโตของ E-commerce ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างมาก ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50353
Retail
อธิบายวิถีการทานแบบ Pescetarian ของ Steve Jobs และวิถีการทานแบบนี้ส่งผลต่อธุรกิจอาหารอย่างไร?
พอเอ่ยชื่อ ‘สตีฟ จ็อบส์’ (Steve Jobs) ขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าทั่วโลกต่างก็ชื่นชมยกให้เป็นกูรูแห่งวงการไอที ผู้ที่เห็นอนาคตล่วงหน้าของอุตสาหกรรมนี้ แต่สำหรับ จ็อบส์ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าแห่งนักประดิษฐ์ แต่ไลฟ์สไตล์ของเขากลับเรียบง่าย อย่างที่หลายคนพอจะรู้มาบ้างว่า จ็อบส์ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ที่เดินทางสายพุทธศาสนานิกายเซน (Zen) ซึ่งสิ่งที่เด่นชัดที่สุดของความเรียบง่ายนี้ ก็คงจะเป็นการแต่งตัวคุมโทน เสื้อดำ กางเกงยีนส์ จนกลายเป็นยูนิฟอร์มที่คุ้นตากันไปแล้ว แต่มีอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ของ จ็อบส์ ที่ยังมีใครหลายคนไม่รู้ นั่นคือ วิถีการทานแบบสตีฟ จ็อบส์ ที่เรียกว่า Pescetarian หรือ กลุ่มคนที่นิยมทานแค่เนื้อปลาหรืออาหารทะเลเท่านั้น นอกเหนือไปจากปกติที่ จ็อบส์ จะทานแบบชาว vegetarian (รวมทั้งไข่และนมด้วย) ซึ่งก็เป็นเวลานานพอสมควรที่เขาเลือกทานแบบนี้ ทำความรู้จักกับ Pescetarian รากของคำศัพท์นี้จริงๆ มาจากคำว่า Pesce ที่หมายถึง ปลา + Vegetarian หรือ กลุ่มที่ทานมังสวิรัติ จึงรวมกันเป็นคำว่า Pescetarian หรือบางคนก็เรียกว่า Pesco-Vegetarian ที่จริงคำๆ นี้ถูกนิยามขึ้นมานาน เพียงแต่ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบเอเชีย แต่จะเป็นที่คุ้นเคยบางกลุ่มในโซนยุโรป และตะวันตกมากกว่า พฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มนี้ ก็คือ พวกเขาจะละเว้นการทานเนื้อสัตว์ แต่ยกเว้นเนื้อปลา และอาหารทะเลอื่นๆ ซึ่งบางคนก็จะจำง่ายๆ ว่า Pescetarian คือ กลุ่มที่ไม่กินเนื้อสัตว์บก สตีฟ จ็อบส์ มีความเชื่อเกี่ยวกับ Pescetarian อย่างไร เอาจริงๆ แม้แต่ในยุคของ สตีฟ จ็อบส์ เองสำหรับคำนี้ก็อาจไม่ได้แพร่หลายมากด้วยซ้ำไป เพราะจะมีแค่กลุ่มผู้บริโภคที่เฉพาะทางมากๆ ที่จะรู้จักคำนี้ และส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มบริโภคสายเขียว vegetarian หรือกลุ่มที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากๆ เพราะถ้าดูจากข้อมูลของ Vegetarian Resource Group เปรียบให้เห็นภาพกันชัดๆ ก็คือ เนื้อวัวหนัก 1 ปอนด์ ต้องใช้ปริมาณน้ำมากถึง 2,500 แกลลอน ในขณะที่ถั่วเหลืองต้องใช้ปริมาณน้ำเพียง 250 แกลลอน ซึ่งอันนี้ยังไม่รวมกับผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ด้วย เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอน เป็นต้น ทั้งนี้ การทานแบบ Pescetarian สำหรับ จ็อบส์ เขาเคยพูดให้สัมภาษณ์ว่า การทานแบบนี้มีส่วนช่วยให้ความคิดของเขาสงบนิ่ง รู้สึกไม่วิตกกังวลง่ายเวลาที่ต้องใช้สมาธิคิดไอเดียอะไรสักอย่าง และเขารู้สึกถึงธรรมชาติที่ไม่เบียดเบียนกัน ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจถึงความหมายของ จอบส์ มากขึ้นก็คือ กลุ่มนักบริโภคแบบ Pescetarian ค่อนข้างให้ความสัญกับการสมดุลของธรรมชาติ การไม่เบียดเบียน การไม่สร้างผลกระทบให้กัน อย่าง การเลี้ยงวัว หรือสัตว์อื่น แม้แต่ หมู ก็ทำให้โลกของเราร้อนขึ้นได้เพราะก๊าซคาร์บอน แต่สำหรับการทานเฉพาะปลา หรือสัตว์ทะเลอื่น กลุ่มนี้ (แบบเคร่งครัด) จะคำนึงถึงที่มาของสัตว์ ปริมาณในการหาเนื้อสัตว์ในทะเลในแต่ละครั้ง เพื่อไม่ให้วัฏจักรของสัตว์น้ำทะเลสะดุดเพราะดีมานด์ของคนที่มากขึ้น นอกจากนี้ จ็อบส์ พูดว่า Pescetarian ช่วยให้กระบวนการทำงาน ความคิดของเรา จัดลำดับสมองได้ดี และมีความจำที่ดี นักวิทยาศาสตร์พูดว่า กลุ่ม Pescetarian จัดว่ามีความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจน้อยกว่ากลถ่มที่ทานเนื้อสัตว์อื่น และเป็นวิธีปอปปูล่าที่คนใช้ในการไดเอ็ตกันมากขึ้นด้วย การเติบโตในตลาดของ Pescetarian เป็นอย่างไร ด้วยความที่พฤติกรรมมันเริ่มเปลี่ยนอย่างชัดเจน ตั้งแต่ที่มีการระบาดของไวรัส COVID-19 ผู้คนหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น บริษัทวิจัย Mintel ประเมินโอกาสที่จะเกิดธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นอิงจากกระแสของ Pescetarian ซึ่งล้อมาพร้อมกับกระแสการทานเนื้อสังเคราะห์ (Plant-based meat) ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา กับอังกฤษ เห็นได้ชัดว่าเริมกระแสนี้ตั้งแต่สมัยของ สตีฟ จ็อบส์ และปัจจุบัน (2020) บริโภคที่หันหน้าเข้าสู่ Pescetarian เต็มตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ทุกปีตั้งแต่ 2016 Heather Middleton ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งของ Seafish บริษัทชื่อดังของอังกฤษ พูดถึงเทรนด์นี้ว่า อนาคตจะมีกลุ่ม Pescetarian เพิ่มอีกมากทั่วโลก พอๆ กับกลุ่มที่เป็น Vegetarian ตามกระแสการ ‘ปลอดเนื้อสัตว์’ (meat free) เนื้อสัตว์ที่มาแรงมาก แต่ต้องมาคู่กับความยืดหยุ่นในการทานด้วย ดังนั้น Pescetarianism ดูค่อนข้างจะเดินสายกลาง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เข้าข่ายทารุณกรรมสัตว์ และดีต่อสุขภาพ ถ้าวันนี้จะพูดว่า ผู้บุกเบิกคนแรกๆ ที่ทำให้โลกรู้จักกับคำว่า Pescetarian อย่างกว้างขวาง ก็คงต้องยกให้ สตีฟ จ็อบส์ เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้โลกหมุนกลับธุรกิจเอาใจกลุ่มรักษ์โลก ซึ่งอีกไม่นานเราคงจะเห็นธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับรูปแบบการทานนี้มากขึ้น ที่มา: observer, huffpost, seafoodsource RELATED POSTS: No related posts.
วิถีการทานแบบ Pescetarian ของ Steve Jobs เป็นดังนี้ 1. ทานเนื้อปลาและอาหารทะเล: ทานเนื้อปลาและอาหารทะเลเท่านั้น โดยไม่ทานเนื้อสัตว์บก เช่น หมู ไก่ วัว 2. ทานมังสวิรัติบางประเภท: ทานไข่และนมบางประเภท 3. ทานอาหารเพื่อสุขภาพ: ให้ความสำคัญกับการทานอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ 4. ทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำ: ทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำ ควบคู่ไปกับการทานเนื้อปลา ผลของวิถีการทานแบบ Pescetarian ต่อธุรกิจอาหาร เป็นดังนี้ 1. ธุรกิจอาหารทะเล: - มีโอกาสเติบโต: ความนิยมของอาหารทะเลในกลุ่ม Pescetarian ส่งผลดีต่อธุรกิจอาหารทะเล - เมนูอาหารทะเล: ร้านอาหารควรมีเมนูอาหารทะเลหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า Pescetarian - แหล่งที่มาของอาหารทะเล: ลูกค้า Pescetarian ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของอาหารทะเล ธุรกิจควรเลือกแหล่งอาหารทะเลที่ยั่งยืน 2. ธุรกิจมังสวิรัติ: - มีโอกาสเติบโต: ความนิยมของอาหารมังสวิรัติในกลุ่ม Pescetarian ส่งผลดีต่อธุรกิจมังสวิรัติ - เมนูอาหารมังสวิรัติ: ร้านอาหารควรมีเมนูอาหารมังสวิรัติหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า Pescetarian - ผลิตภัณฑ์มังสวิรัติ: ธุรกิจควรพัฒนาผลิตภัณฑ์มังสวิรัติที่มีคุณภาพ 3. ธุรกิจอาหารปลอดเนื้อสัตว์: - มีโอกาสเติบโต: ความนิยมของอาหารปลอดเนื้อสัตว์ในกลุ่ม Pescetarian ส่งผลดีต่อธุรกิจอาหารปลอดเนื้อสัตว์ - ผลิตภัณฑ์อาหารปลอดเนื้อสัตว์: ธุรกิจควรพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารปลอดเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ - เทรนด์อาหารปลอดเนื้อสัตว์: ธุรกิจควรติดตามเทรนด์อาหารปลอดเนื้อสัตว์ล่าสุด สรุป: วิถีการทานแบบ Pescetarian ของ Steve Jobs ส่งผลต่อธุรกิจอาหารหลายประการ ธุรกิจอาหารควรปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า Pescetarian โดยมุ่งเน้นไปที่อาหารทะเล อาหารมังสวิรัติ และอาหารปลอดเนื้อสัตว์ ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ดี ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาดอาหาร
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50359
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การตั้งเป้าให้เป็นแบรนด์ยั่งยืนของ UNIQLO"
บางทีเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม หรือแม้แต่ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวด้วยซ้ำไป เพียงแต่ยังมีบางมุมบางธุรกิจบางอุตสาหกรรมที่มุ่งมั่นเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว และหยิบยกขึ้นมาเป็น priority แรกๆ มากขึ้นในปัจจุบัน หนึ่งในนั้นก็คือ ‘UNIQLO’ ที่ตั้งเป้าตัวเองให้เป็นองค์กรยั่งยืน เป็นแบรนด์ยั่งยืนมานาน ในระหว่างที่มีการแถลงการณ์ของ คุณทาดะชิ ยาไน (Tadashi Yanai) CEO, Fast Retailing Group บริษัทแม่ของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นอย่าง UNIQLO ได้พูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจว่า “เราจะทิ้งโลกที่เป็นบวก (positive world) ไว้ให้กับลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปได้อย่างไร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลยุทธ์ นโยบายต่างๆ ของแบรนด์สามารถสร้างให้โลกเราน่าอยู่ขึ้นได้อย่างไรบ้าง” แง่มุมนี้ทำให้ฉุดคิดขึ้นมาว่า “นั่นสิ! แล้วถ้าเราไม่ช่วยกัน แบรนด์ไม่ปรับตัว ภาคธุรกิจไม่ใส่ใจ แล้วโลกหลังจากนี้มันจะเป็นยังไงกันนะ” ส่วนเรื่องกลยุทธ์ นโยบายการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรของ UNIQLO คงไม่ต้องเล่าให้มากความ เพราะถ้าย้อนไทมไลน์ไป 20 ปี ในแต่ละปีเราจะเห็นว่า UNIQLO ออกนโยบายช่วยเหลือไม่เว้นปีเลย ทั้งช่วยเหลือผู้ลี้ภัย, บางประเทที่ประสบปัญหาทางการเมือง จนมาล่าสุดก็สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 แต่สิ่งที่สังเกตได้ชัดก็คือ ‘ความต่อเนื่อง’ ของแบรนด์นี้ ซึ่งในระหว่างแถลงวิสัยทัศน์ปี 2021 ของบริษัท Fast Retailing จุดที่เด่นออกมาก็คือ การคิดตลอดเวลา การแชร์ mind-set เรื่องสังคม การปฏิญาณกับแบรนด์ในกระบวนการต่างๆ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบ 100% มีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้และในอนาคต ทั้งยังย้ำเรื่อง ‘Gen Z’ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลในยุคนี้เพราะเติบโตมากับเทคโนโลยี และค่อนข้าง concern มากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือกระบวนการใดๆ ก็ตามที่กระทบต่อสังคม ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาจะทำคือ ‘แชร์ข้อมูลที่รู้ – บอกต่อ – กระจายเสียง’ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ทำให้แบรนด์ต้องคิดมากขึ้น เข้าใจธรรมชาติของคน Gen Z มากขึ้นเพื่อปรับตัว
UNIQLO มีนโยบายสร้างความยั่งยืนให้องค์กรจากการช่วยเหลือต่างๆ ตลอด 20 ปี แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือความต่อเนื่องของแบรนด์ และจุดเด่นของแบรนด์คือ การคิดและแชร์ mind-set เรื่องสังคมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100% และตอกย้ำกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่เติบโตกับเทคโนโลยีและ concern กับเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก ดังนั้น UNIQLO จะแชร์ข้อมูล บอกต่อและกระจายเสียงให้คน Gen Z ปรับตัวมากขึ้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50363
Retail
ข้อใดไม่ใช่แนวโน้มใน Future 100 ประจำปี 2021 ที่วันเดอร์แมน ธอมสัน เอเยนซีในเครือดับบลิวพีพีกรุ๊ปได้เผยแพร่รายงาน
ก. ระดมพลังแฟนคลับ (Mobilizing Fandom) ข. สุขภาพดียารักษาโรค ค. การผันตัวสู่ผู้ประกอบการรายเล็ก (Micropreneurs) ง. บริการการธนาคารที่ไร้อคติ (Unbiased Banking)
คำตอบ คือ ข. เพราะว่า สุขภาพดียารักษาโรค ไม่ใช่แนวโน้มที่ ‘วันเดอร์แมน ธอมสัน’ เอเยนซีในเครือดับบลิวพีพีกรุ๊ป ได้เผยแพร่รายงาน ‘Future 100’ ประจำปี 2021 ซึ่ง 10 แนวโน้มเด่นที่กำลังก่อตัวขึ้น มีดังนี้ 1.การผันตัวสู่ผู้ประกอบการรายเล็ก (Micropreneurs): หมดยุคของการทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เสริมแล้ว ตอนนี้ยุคของสตาร์ทอัพกำลังจะเกิดขึ้น โดยมีแรงกระตุ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคและอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากเลือกการผันตัวเป็นผู้ประกอบการ เป็นก้าวใหม่บนเส้นทางอาชีพของตน 2.สุขภาพดีด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunity Wellness): ผู้คนทั่วโลกไม่เคยให้ความใส่ใจเกี่ยวกับการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของตนมากเท่ากับช่วงเวลานี้มาก่อน โดยในปีนี้เราจะได้เห็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญพากันออกมาบอกวิธีเหล่านี้แก่เราอย่างหลากหลาย ตั้งแต่การใช้ยาแผนโบราณไปจนถึงงานวิจัยสารพันธุกรรม 3.ระดมพลังแฟนคลับ (Mobilizing Fandom): แฟนคลับกลุ่มต่างๆ กำลังเติบโตอย่างเป็นอิสระในตัวเอง ขยับบทบาทจากเดิมที่เพียงแค่บริโภควัฒนธรรมป๊อป สู่การเป็นกระบอกเสียงและผู้สร้างคอนเทนต์ให้กับไอดอลของพวกเขาทั้งในโลกออนไลน์และสังคมโดยรวมทั้งหมด โดยมีแฟนๆ ทั่วโลกของศิลปินเค-ป๊อปเป็นผู้นำเทรนด์ 4.บริการการธนาคารที่ไร้อคติ (Unbiased Banking): อีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวทางเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับทุกๆ คน คือธุรกิจธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารรูปแบบใหม่ (Neobanks) ที่ให้บริการเฉพาะในรูปแบบออนไลน์เท่านั้น อาทิ ซิมบา (Simba) และ กรีนวู้ด (Greenwood) ที่ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นต่างๆ ของผู้บริโภคกลุ่มเล็กๆซึ่งมักจะถูกมองข้ามไป 5.การเล่นเกมผ่านคลาวด์ (Cloud Gaming): ในขณะที่วิดีโอเกมได้กลายเป็นสื่อรูปแบบล่าสุดที่ถูกนำมาเผยแพร่ในแบบออนดีมานด์ (Netflixized) นักลงทุนยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทั้ง แอมะซอน กูเกิ้ล ไมโครซอฟท์ โซนี่ และ เฟซบุ๊ก ต่างก็ตั้งความคาดหวังอย่างสูงกับระบบการเล่นเกมผ่านคลาวด์ 6.การเดินทางแบบไร้การสัมผัส (Touchless Travel): การเดินทางด้วยเครื่องบินกำลังได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ในทุกแง่มุม ตั้งแต่การเช็คอิน การฝากกระเป๋า จนถึงเรื่องห้องน้ำและความบันเทิงในเที่ยวบิน โดยมุ่งให้มีการสัมผัสน้อยที่สุดและมีสุขลักษณะสูงสุดเพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจที่จะเดินทาง 7.แบรนด์ใหญ่จับเทรนด์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Big Brands Go Circular): แบรนด์แฟชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุชชีหรือยูนิโคล่ พากันเข้าสู่ธุรกิจสินค้ามือสอง เนื่องจากผู้บริโภคมีความห่วงกังวลเรื่องความยั่งยืนกันมากขึ้นและเงินในกระเป๋าที่ลดน้อยลง 8.ครัวที่ไม่ปรากฏตัวให้เห็น (Ghost Kitchens): การเติบโตในช่วงที่ผ่านมาของร้านอาหาร ที่เน้นบริการการส่งถึงที่เป็นอันดับแรก ส่งอิทธิพลให้แนวคิดร้านอาหารแบบใหม่มุ่งเน้นการรับประทานภายนอกร้านมากกว่าเดิม 9.เครื่องปรุงที่เสาะหามาจากป่า (Foraged Ingredients): ไม่ใช่เทรนด์ใหม่เรื่องอาหารการกิน แต่เป็นเทรนด์ด้านความงามที่เกิดขึ้นพร้อมกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ โดยสร้างผลิตภัณฑ์จากพืชที่เสาะแสวงมาจากป่า ซึ่งพืชเหล่านั้นให้ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ 10.ไลฟ์คอมเมิร์ช (Live Commerce): การค้าปลีกที่สร้างความบันเทิง (Retail-tainment) กำลังจะบุกโลกออนไลน์ด้วยการสร้างประสบการณ์การซื้อขายที่น่าสนใจและเหมาะสมกับผู้ชม โดยใช้วิดีโอสตรีมมิ่งเพื่อสาธิตและขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ พร้อมกับการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในแบบเรียลไทม์ วันเดอร์แมน ธอมสัน อินเทลลิเจนซ์ หน่วยงานวิจัยและนวัตกรรมของ วันเดอร์แมน ธอมสัน ที่เน้นและให้ความสำคัญในเรื่องของอนาคตซึ่งแนวโน้มที่หลากหลายเหล่านี้จะเผยให้เห็นนวัตกรรมสร้างสรรค์ที่กำลังจะกลายเป็นกระแสหลักควบคู่ไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปใน 10 ด้าน โดยทั้ง 100 เทรนด์ได้รับการกลั่นกรองมาจากกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทั้งด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยี การท่องเที่ยว แบรนดิ้งและการตลาด อาหารและเครื่องดื่ม ความงาม การค้าปลีก สุขภาพ ธุรกิจ และการเงิน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50377
Retail
ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์มากมาย กลยุทธ์ Retailtainment แบบไหนที่จะดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการหน้าร้าน (Physical Store) อีกครั้ง?
null
ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้อย่างสะดวก กลยุทธ์ Retailtainment แบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการหน้าร้านอีกครั้ง ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร น่าจดจำ และเหนือกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ แนวทาง Retailtainment ที่จะดึงดูดลูกค้ากลับมาใช้บริการหน้าร้าน: 1. ผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel): - ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ล่วงหน้า - พนักงานหน้าร้านได้รับการฝึกอบรมให้เข้าใจข้อมูลลูกค้า ช่วยเหลือลูกค้าในการค้นหาสินค้า และแนะนำสินค้าเพิ่มเติม - บริการ Click & Collect ให้ลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์และมารับสินค้าหน้าร้าน - บริการ Try & Buy ให้ลูกค้าลองสินค้าก่อนซื้อ - ระบบชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย 2. เน้นประสบการณ์และความบันเทิง: - จัดกิจกรรมพิเศษ เวิร์คช็อป การแสดง ดนตรีสด เกม หรือการแข่งขัน - สร้างพื้นที่ส่วนกลางที่ลูกค้าสามารถพักผ่อน นั่งเล่น ทำงาน หรือพบปะสังสรรค์ - นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AR/VR เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง - จัดแสดงสินค้าให้น่าสนใจ ดึงดูดสายตา และสร้างแรงบันดาลใจ - ออกแบบพื้นที่ภายในร้านให้สวยงาม สะดวกสบาย และน่าจดจำ 3. มุ่งเน้นการบริการลูกค้า: - พนักงานมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ยิ้มแย้มแจ่มใส และพร้อมให้บริการ - บริการหลังการขายที่ดี ตอบคำถาม แก้ไขปัญหา และรับคืนสินค้า - มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลด โปรโมชั่น และของสมนาคุณให้กับลูกค้า - เก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 4. สร้างชุมชนและความสัมพันธ์: - จัดกิจกรรม CSR ร่วมกับชุมชน - สนับสนุนงานท้องถิ่น - จัดตั้งกลุ่มลูกค้า VIP - สื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแอปพลิเคชั่น ตัวอย่าง Retailtainment ที่ประสบความสำเร็จ: Apple Store: ผสมผสานเทคโนโลยี การออกแบบ และการบริการที่ยอดเยี่ยม Niketown: นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ผสมผสานกีฬา ดนตรี และเทคโนโลยี Disney Store: สร้างบรรยากาศมหัศจรรย์จากภาพยนตร์และตัวละครดิสนีย์ IKEA: นำเสนอสินค้าและบริการที่ครบครันสำหรับบ้าน เน้นการใช้งานจริง และสร้างแรงบันดาลใจ Uniqlo: ออกแบบร้านให้เรียบง่าย สะดวกสบาย ค้นหาสินค้าได้ง่าย และมีบริการ Try & Buy สรุป: กลยุทธ์ Retailtainment ที่ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลต้องผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์ เน้นประสบการณ์และความบันเทิง มุ่งเน้นการบริการลูกค้า และสร้างชุมชน ธุรกิจค้าปลีกที่สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร น่าจดจำ และเหนือกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ จะสามารถดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการหน้าร้านอีกครั้ง
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50378
Retail
แคมเปญ "THE MALL JOY OF GIVING HAPPY FACTORY" เน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าใหม่มากกว่าการรักษาลูกค้าเก่า?
null
ไม่ เหตุผลคือ แคมเปญนี้จัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์: - ศูนย์การค้าเหล่านี้มักมีลูกค้าเก่าอยู่แล้ว - การจัดแคมเปญที่ศูนย์การค้าเหล่านี้จึงมีโอกาสดึงดูดลูกค้าเก่าให้กลับมาใช้บริการมากกว่า กิจกรรมในแคมเปญนี้ส่วนใหญ่เหมาะกับลูกค้าเก่า: - กิจกรรมต่างๆ เช่น การถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาสยักษ์ การร่วมร้องเพลงคริสต์มาส การช้อปสินค้าใน GIFT MARKET ล้วนเป็นกิจกรรมที่ลูกค้าเก่าคุ้นเคยและน่าจะสนใจมากกว่าลูกค้าใหม่ กลยุทธ์การสื่อสารของแคมเปญนี้เน้นไปที่ลูกค้าเก่า: - ช่องทางการสื่อสารหลักของแคมเปญนี้คือเว็บไซต์ Facebook และ Line Official Account ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป - ช่องทางเหล่านี้มีลูกค้าเก่าติดตามอยู่แล้ว สรุป: แคมเปญ "THE MALL JOY OF GIVING HAPPY FACTORY" เน้นไปที่การรักษาลูกค้าเก่ามากกว่าการดึงดูดลูกค้าใหม่ หมายเหตุ: แม้ว่าแคมเปญนี้จะเน้นไปที่ลูกค้าเก่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าใหม่จะไม่ได้รับประโยชน์จากแคมเปญนี้ ลูกค้าใหม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในแคมเปญนี้ได้เช่นกัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50381
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของลอรีอัลในการยกระดับสู่การเป็น Beauty Tech?
null
กลยุทธ์หลักของลอรีอัลในการยกระดับสู่การเป็น Beauty Tech มีดังนี้: 1. มุ่งเน้นไปที่ Digital First: ลอรีอัล มุ่งมั่นที่จะเป็น "Digital-first Company" โดยให้ความสำคัญกับอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 24% ของการทำธุรกิจทั้งหมด และคาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลอรีอัล เพิ่มการลงทุนในสื่อดิจิทัล โดยเฉพาะ Youtube และ TikTok เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ลอรีอัล ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ AR เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เช่น Modiface ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์เสมือนจริง 2. พัฒนา Ecosystem ของตัวเอง: ลอรีอัล ลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลและเทคโนโลยี เพื่อสร้าง Ecosystem ของตัวเอง ลอรีอัล มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาประสบการณ์แบบ Omni Channel Marketing เพื่อผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ลอรีอัล พัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเอง เช่น L'Oréal Paris Beauty Squad เพื่อสร้างชุมชนออนไลน์สำหรับผู้บริโภค 3. เน้น Retailtainment: ลอรีอัล มองว่า Retailtainment เป็นเทรนด์สำคัญในอนาคต ลอรีอัล ใช้ประโยชน์จาก Live Streaming บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ ลอรีอัล พัฒนาเทคโนโลยี VR เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์เสมือนจริง ตัวอย่างกลยุทธ์ Retailtainment ของลอรีอัล: ลอรีอัล เปิดตัว "L'Oréal Beauty Box" กล่องสุ่มสินค้าความงามที่ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อออนไลน์ ลอรีอัล จัดกิจกรรม "Virtual Try-On" ให้ผู้บริโภคสามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์เสมือนจริงผ่านแอปพลิเคชั่น ลอรีอัล ร่วมมือกับ Influencers บนโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ลอรีอัล กลายเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech และประสบความสำเร็จอย่างมาก ยอดขายอี-คอมเมิร์ซของลอรีอัล เติบโตขึ้น 24% ในปี 2020 ลอรีอัล มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากกว่า 1 พันล้านคน ลอรีอัล ได้รับรางวัลมากมายสำหรับการใช้นวัตกรรมดิจิทัล บทสรุป: กลยุทธ์หลักของลอรีอัลในการยกระดับสู่การเป็น Beauty Tech คือ การมุ่งเน้นไปที่ Digital First, พัฒนา Ecosystem ของตัวเอง และเน้น Retailtainment กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ลอรีอัล กลายเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech และประสบความสำเร็จอย่างมาก คำอธิบายเพิ่มเติม: กลยุทธ์ของลอรีอัล นั้นน่าสนใจมาก เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัล ประสบการณ์การช้อปปิ้ง และการสร้างชุมชนออนไลน์ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ลอรีอัล เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและสนุกสนาน และสร้างความภักดีต่อแบรนด์
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50383
Retail
อมาโด้ เปิดตัวบน LazMall เป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น ใช่หรือไม่
null
ใช่ เนื่องจาก อมาโด้ได้จับมือกับ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) เปิดตัว Amado บน Lazada ผู้นำอีคอมเมิร์ซแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ LazMall แพลตฟอร์มห้างสรรพสินค้าเสมือนจริงบนโลกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤศจิกายน นี้ เรียกได้ว่าเป็นร้านค้าปลีกยุคใหม่ (New retail) บนอีมาร์เกตเพลสของ Lazada โดย LazMall รวบรวมแบรนด์ดังกว่า 2,000 ร้าน รวมไปถึง Premium Beauty Mall ในประเทศไทย ประกอบด้วยแบรนด์ความงามระดับพรีเมียมมากกว่า 40 แบรนด์ ซึ่งแบรนด์อมาโด้ได้กลายเป็นแบรนด์วิตามินอาหารเสริมไทยที่เข้าไปเป็นหนึ่งใน Premium Beauty Mall คู่ค้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Lazada นอกจากนี้ LazMall ยังมีกลยุทธ์การสร้างแคมเปญร่วมกัน (Co-campaign) ของ LazMall ด้วยการจับคู่แบรนด์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแคมเปญ รวมทั้งช่วยเพิ่มการรับรู้ต่อแบรนด์และเสริมประสิทธิภาพการขายได้มากขึ้น โดยการนำเอาเทคโนโลยีการจัดการข้อมูล และข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดมาใช้ในการเชื่อมต่อแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละแบรนด์มีโอกาสเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ในขณะที่ Lazada มีเป้าหมายเติมเต็มความต้องการในหมวดความสวยความงามในตลาดออนไลน์ของผู้บริโภคทั่วประเทศ รองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดในกลุ่มดังกล่าว อมาโด้ มีเป้าหมายเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทยเติบโตในทุกๆ ปี จากพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่เสพติดความสะดวกสบายจากการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น โดยมีวิกฤตโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเติบโตมากขึ้น จากข้อมูลสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thai e-Commerce) ประเมินว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในปีนี้น่าจะทะลุ 220,000 ล้านบาท เติบโต 35% ในขณะที่คนไทยใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือเฉลี่ย 9 ชั่วโมงต่อวัน จัดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก และแอปพลิเคชั่นที่คนไทยนิยมใช้งาน 5 อันดับแรก คือ โซเชียลมีเดีย, แชต, เพลง, วิดีโอเพื่อความบันเทิง, และช็อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ E-Commerce เติบโต โดยเฉพาะอีมาร์เกตเพลส (E-Marketplace)
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50391
Retail
กลยุทธ์ทางการตลาดของ JD Central มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าใหม่มากกว่าการรักษาลูกค้าเก่า?
null
ไม่ เหตุผล: กลยุทธ์ของ JD Central มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า: กลยุทธ์ "Value Creation to All Stakeholders" มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กลยุทธ์นี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการรักษาลูกค้าเก่าและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ stakeholders ทั้งหมด JD Central ลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มุ่งเน้นไปที่การรักษาลูกค้าเก่า: โครงการ JOY FARM ช่วยให้เกษตรกรไทยสามารถขายผลิตภัณฑ์บนแพลตฟอร์ม JD Central โครงการนี้ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง JD Central กับเกษตรกร JD Central มีกลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่หลากหลาย: แคมเปญส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น แคมเปญ 6.18, 9.28, 11.11 และ 12.12 กลยุทธ์ Signature Sale Promotion ที่ใช้ Innovation and Technology ระบบโลจิสติกส์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ บริการหลังการขายที่ดี สรุป: กลยุทธ์ทางการตลาดของ JD Central มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า มากกว่าการดึงดูดลูกค้าใหม่ หลักฐานเพิ่มเติม: JD Central ลงทุนในโครงการ CSR ต่างๆ เช่น โครงการ "JD Central ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19" โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า JD Central ใส่ใจต่อสังคมไทย และต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน สรุป: จากหลักฐานทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ทางการตลาดของ JD Central มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า มากกว่าการดึงดูดลูกค้าใหม่
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50392
Retail
ในยุคที่ E-Commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว แบรนด์ค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรปรับตัวอย่างไรเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายออนไลน์
null
"Thailand E-Commerce Outlook" นำเสนอข้อมูล insightful เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทยในยุคดิจิทัล และแนวโน้มของธุรกิจ E-Commerce 1. มุ่งเน้น Omnichannel Strategy: ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ ทุกเวลา ตัวอย่าง: - พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน - ขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ - นำเสนอบริการ Click & Collect และ Click & Delivery 2. วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ตัวอย่าง: - พัฒนาระบบสมาชิก - วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 3. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่: รองรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ตัวอย่าง: ลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น Food Delivery และ FinTech 4. เน้น Media Strategy: เข้าใจ Customer Journey ของผู้บริโภค ดึงดูดความสนใจผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ตัวอย่าง: - ทำการตลาดบน Social Media - ใช้ Influencer Marketing 5. พัฒนาระบบ CRM: เก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง นำไปวิเคราะห์และพัฒนาแคมเปญที่ตรงใจ ตัวอย่าง: - ใช้ระบบ CRM เก็บข้อมูลลูกค้าจากทั้งออนไลน์และออฟไลน์ - วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำ Personalized Marketing 6. พันธมิตร: ร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางการขาย 7. เน้น Customer Experience: มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี สร้างความประทับใจให้ลูกค้า 8. เรียนรู้และปรับตัว: ติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ พัฒนาธุรกิจให้ทันสมัย สรุป: แบรนด์ค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล มุ่งเน้น Omnichannel Strategy วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ เน้น Media Strategy พัฒนาระบบ CRM พันธมิตร เน้น Customer Experience และเรียนรู้และปรับตัว
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50418
Retail
จงสรุป อีคอมเมิร์ซอาลีบาบาเข้าไทย ทุกธุรกิจต้องปรับอะไรบ้าง
แน่นอนว่า การเข้ามาของอาลีบาบา ย่อมทำให้หลายฝ่ายย่อมกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา และผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ในเชิงบวกก็คือ 1.อัตราการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น อัตราการจ้างงานที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC และทั่วประเทศ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเมื่อมีการเข้ามาตั้งศูนย์กระจายสินค้าแล้ว หลายภาคส่วนก็มีความจำเป็นต้องการทรัพยากรบุคคลเพื่อดำเนินการในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคุมดูแลเครื่องจักร การบริหารจัดการ อีกทั้งในด้านการขนส่งสินค้าในปัจจุบันก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานมนุษย์ นี่จึงเป็นโอกาสทำให้จะมีการจัดจ้างแรงงานมากกว่า 10,000 อัตรา ซึ่งเป็นส่วนที่อาลีบาบาจะขอให้รัฐบาลช่วยจัดสรรหาแรงงานให้ นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการค้นหางานในภาคส่วนอุตสาหกรรม การผลิต การเงิน และในส่วนอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องเช่นกัน 2.ราคาสินค้าที่จะถูกลง ในหลายประเภท โดยปกติ สินค้าหลายชนิดที่ถูกนำเข้ามาจากประเทศจีนนั้นจะต้องเสียภาษีศุลกากร ก่อนที่จะมีการนำมาจำหน่ายภายในประเทศ ดังนั้นราคาสินค้าส่วนหนึ่งจะต้องเพิ่มขึ้นจากการเสียภาษี รวมถึงค่าขนส่ง แต่เมื่อมีการเข้ามาของศูนย์กระจายสินค้า Alibaba ในเขตปลอดภาษีนำเข้า จะส่งผลทำให้สินค้าที่เข้ามามีมูลค่าเท่ากับต้นทุนรวมกับค่าขนส่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าสินค้าเหล่านั้นจะมีราคาที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องสงครามราคาบนอีคอมเมิร์ซก็เป็นประเด็นที่น่าห่วง เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เป็นคนกลางด้วย แต่ในส่วนของผู้ผลิตและเจ้าของสินค้า นี่คือโอกาสที่ดี แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า และแบรนด์ ด้วยเช่นกัน 3.รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนแปลง โดยปกติแล้ว สิ่งที่อีคอมเมิร์ซจะส่งผลต่อตลาดก็คือ การตัดช่องทางของพ่อค้าคนกลางออกไป ซึ่งเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของอีคอมเมิร์ซ เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้าและเจ้าของรายย่อย ให้สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดและเข้าถึงลูกค้าได้โดยตัดคนกลางออก เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าคนที่จะได้รับผลกระทบในกรณีนี้จะเป็น พ่อค้าแม่ค้าคนกลางที่นำสินค้าเข้ามาขาย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นผู้ผลิตที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเรื่องการทำตลาด บทบาทของพ่อค้าคนกลางก็จะเปลี่ยนไป ในฐานะของคนที่ต้องทำตลาดผ่านทางออนไลน์ ไม่ใช่กับ Retail ชื่อดังเหมือนในอดีตนั่นเอง แต่จะเป็นเรื่องที่พ่อค้าออนไลน์ต้องยกระดับตนเองในการผลิต Content และโฆษณา บนออนไลน์ หรือช่องทางอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าโดยตรงมากขึ้น นี่จึงเป็นรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับการแข่งขันในตลาด และ Retail ใหญ่ก็ยังอยู่ระหว่างปรับตัวเช่นกัน 4.พฤติกรรมผู้บริโภค
การเข้ามาของอาลีบาบส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ ในเชิงบวกก็คือ 1.อัตราการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 2.ราคาสินค้าที่จะถูกลง ในหลายประเภท 3.รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนแปลง 4.พฤติกรรมผู้บริโภค
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50432
Retail
จงเสนอไอเดีย จุดเด่นของ แคมเปญ THANK YOU FOR STAYING SAVE AND SAFE จากคิง เพาเวอร์ คืออะไร
null
คิง เพาเวอร์ เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้การเปิดให้บริการได้ในวิถีใหม่ เผยแคมเปญ THANK YOU FOR STAYING SAVE AND SAFE ขอบคุณคนไทยร่วมใจอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ แบบครบวงจรทั้งออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมยืนหยัดเคียงข้างคนไทย พนักงาน พันธมิตรทางการค้า ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า “ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับที่ดูแลได้ ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือร่วมใจของคนไทยในการรวมพลัง #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ โดยรัฐบาลคลายล็อคดาวน์ ให้ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารเปิดให้บริการได้อีกครั้ง ภายใต้มาตรการควบคุมโรคระบาด เพื่อให้สังคมและเศรษฐกิจโดยภาพรวมสามารถเดินหน้าต่อ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและสินค้าปลอดอากร ชั้นนำระดับโลก และผู้นำธุรกิจรีเทลเพื่อการท่องเที่ยวชั้นนำของเมืองไทย(Travel Retail) ได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่นดูแลความสะอาด สุขอนามัยภายใต้มาตรการ King Power Care Power และเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างครบวงจรในช่องทางการขายออฟไลน์ผ่านหน้าร้าน พร้อมดำเนินการเชิงรุกต่อเนื่องในช่องทางออนไลน์จากกลยุทธ์ King Power Team Power ผ่าน www.kingpower.com และแอปพลิเคชั่น KINGPOWER ภายใต้แนวคิด ‘ขอบคุณ’ คนไทยที่ทำให้ทุกธุรกิจกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ภายใต้แคมเปญ THANK YOU FOR STAYING SAVE AND SAFE ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน นี้ ที่ลูกค้ามั่นใจได้ถึงความ SAVE และ SAFE ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ โดยการ ‘ขอบคุณ’ ครั้งนี้ ในช่องทางออฟไลน์ ซึ่งเป็นการให้บริการผ่านหน้าร้าน ด้วยการสร้างความ ‘มั่นใจ’ เรื่องความสะอาด เน้นย้ำสุขอนามัย ด้วยการเปลี่ยน เพิ่ม อุปกรณ์เพื่อใช้ในการให้บริการ การบริหารจัดการพื้นที่ ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง และสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างมั่นใจ สะดวกสบายเสมือนอยู่บ้าน รวมถึงการ ‘ขอบคุณ’ ผ่านสิทธิประโยชน์จากการช้อปปิ้งที่เชื่อมโยงระบบออฟไลน์ ที่หน้าร้าน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และออนไลน์เข้าด้วยกันกล่าวคือ ลูกค้าคนไทยสามารถเลือกชมและซื้อสินค้า Home Delivery พร้อมรับส่วนลด On Top 5% และจัดส่งถึงบ้านภายใน 7 วัน รวมถึงเซอร์ไพรส์สุดพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้า ลักซ์ชัวรี แบรนด์ ในราคาดิวตี้ฟรี ด้วยบริการจัดส่งให้ถึงบ้านฟรี พร้อมส่วนลดสูงสุด 20% โดยไม่ต้องมีไฟลท์บิน นอกจากนี้ คิง เพาเวอร์เอาใจลูกค้าคนไทยด้วยโปรโมชั่นรับเกินคุ้ม เมื่อมียอดจองหรือช้อป 20,000 บาทขึ้นไป(สุทธิ( / ใบเสร็จ รับส่วนลด On Top 10% พร้อมผ่อนสบายสูงสุด 10 เดือน พิเศษ ! สำหรับสมาชิก คิง เพาเวอร์ รับคูปองส่วนลด 2,000 บาท (สำหรับช้อป 4,000 บาท/ใบเสร็จ ไม่สามารถใช้กับแผนกน้ำหอมและเครื่องสำอาง) พร้อมเอาใจสายกินด้วยโปรโมชั่นช้อปอิ่มฟรีสูงสุด 300 บาท/ใบเสร็จรับเงิน เมื่อช้อปตามเงื่อนไข ที่ศูนย์อาหารสตรีทฟู้ดส์ Thai Taste Hub ชั้น 3 คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ในส่วนของแคมเปญ THANK YOU FOR STAYING SAVE AND SAFE เพื่อขอบคุณลูกค้าที่อยู่บ้านและไว้วางใจ ช้อปออนไลน์กับ คิง เพาเวอร์ ด้วยการมอบส่วนลดสูงสุด 65% ทั้งเว็บไซต์กับสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ เมื่อช้อปครบ 6,000 บาท (สุทธิ) ในครั้งแรก ลูกค้าจะได้รับส่วนลด 1,000 บาท สำหรับแลกซื้อสินค้าที่ร่วมรายการเมื่อครบ 3,000 บาทในครั้งถัดไป ตั้งแต่วันนี้ถึง 9 มิถุนายน นี้ นอกจากนี้ ในแต่ละสัปดาห์พบโปรโมชั่นจากแบรนด์ดังทุกวันพุธ เริ่มวันพุธแรก 10 มิถุนายน นี้ ตลอดเดือน มิถุนายน โดยสินค้าแบรนด์ดังลดราคาสูงสุด 65% และลดเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้าชิ้นที่ 2 พร้อมรับสิทธิการเป็นสมาชิก คิง เพาเวอร์ ทันที เมื่อช้อปตั้งแต่ 1,000 / 6,000 และ 60,000 บาท ตามลำดับ และจากการขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ภายใต้กลยุทธ์ ‘KING POWER TEAM POWER’ ที่ทำให้พนักงานทุกส่วนเป็น ‘นักขาย’ สินค้าออนไลน์มืออาชีพ ทำให้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ในทุกมิติ เกิดประโยชน์กับทั้งพันธมิตรทางการค้าที่สามารถขายสินค้าได้ พนักงานมีรายได้เสริมหล่อเลี้ยงครอบครัว และลูกค้าสามารถซื้อสินค้าคุณภาพเมื่ออยู่บ้านอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถขยายฐานลูกค้าออนไลน์ของ คิง เพาเวอร์ ให้เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้นหลายเท่า ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สำหรับแผนการขับเคลื่อนในฐานะผู้นำกลุ่มธุรกิจระดับประเทศ ในการเคียงข้างสังคมไทยร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะเดินหน้าตามแผนภายใต้โครงการต่างๆ ที่นาเสนอผ่านนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ตามหลักธรรมาภิบาลที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งของสังคมและชุมชนต่อไป
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50446
Retail
ผู้บริโภคไทยจะกลับไปช้อปปิ้งในรูปแบบเดิม 100% เหมือนก่อน COVID-19 หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล คือ: 1. ความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคไทยคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน ทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยจะยังคงเลือกซื้อของออนไลน์ต่อไป 2. ตัวเลือกที่หลากหลาย: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมีสินค้าให้เลือกมากมาย เมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าทั่วไป 3. ราคา: สินค้าออนไลน์มักมีราคาถูกกว่า เมื่อเทียบกับสินค้าในห้างสรรพสินค้า 4. การเปรียบเทียบราคา: ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลายๆ ร้านค้าได้อย่างง่ายดายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 5. โปรโมชั่นและส่วนลด: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเสนอโปรโมชั่นและส่วนลด ดึงดูดใจผู้บริโภค 6. ความปลอดภัย: ผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยกับระบบการชำระเงินออนไลน์ 7. การเว้นระยะห่างทางสังคม: ผู้บริโภคบางกลุ่ม ยังคงกังวลเรื่องความปลอดภัย 8. การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 9. การลงทุนในเทคโนโลยี: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลงทุนในเทคโนโลยี 10. พฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคไทยมีแนวโน้มช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ห้างสรรพสินค้ายังคงมีบทบาทสำคัญ คือ: 1. ประสบการณ์การช้อปปิ้ง: ผู้บริโภคบางกลุ่มยังต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบดั้งเดิม 2. สินค้าเฉพาะ: สินค้าบางประเภท ผู้บริโภคต้องการเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ 3. การบริการ: ห้างสรรพสินค้าสามารถให้บริการลูกค้า 4. กิจกรรมส่งเสริมการขาย: ห้างสรรพสินค้าสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย 5. การพบปะสังสรรค์: ห้างสรรพสินค้ายังคงเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ สรุป: ผู้บริโภคไทยจะยังคงช้อปปิ้งออนไลน์
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50448
Retail
พฤติกรรมการซื้อสินค้า Low Involvement “ก่อนสถานการณ์ COVID-19” พบว่าอย่างไร
ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ที่ส่งผลกระทบกับผู้คนและภาคธุรกิจต่างๆ ซึ่งการระบาดนี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ทั้งทางโครงสร้างสังคม สภาพจิตใจของผู้บริโภค รวมไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเข้าใจผู้บริโภคในสถานการณ์ช่วงนี้ วันเดอร์แมน ธอมสัน (Wunderman Thompson) และ แดทเทล (DATTEL) ได้ร่วมกันสำรวจพฤติกรรมการซื้อของคนไทยในสถานการณ์ COVID-19 ระหว่างวันที่ 24 – 26 มีนาคม 2563 จำนวน 1,243 คน อายุ 15 – 69 ปี ชาย 32% หญิง 68% ครอบคลุมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด (50 : 50) การศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมถึงปริญญาเอก รายได้ 10,000 – 50,000 บาทขึ้นไป (70% ของผู้ตอบแบบสอบถาม รายได้น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน) ประเทศไทยกังวล “เศรษฐกิจการเงิน” มากที่สุดใน APAC เป็นที่ทราบกันดีว่าไวรัส Corona 2019 หรือ COVID-19 เกิดขึ้นที่ประเทศจีน จากนั้นแพร่กระจายไปทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้กระทบแค่เรื่อง “สุขภาพ” อย่างเดียว หากแต่ส่งผลกระทบต่อสังคม – จิตใจ – เศรษฐกิจทั่วโลก โดยที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และสิ้นสุดลงเมื่อไร ?!? “วันเดอร์แมน ธอมสัน” ทำการศึกษาวิจัยผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 ใน 5 ประเทศ จีน ฮ่องกง ไทย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ด้วยการเก็บข้อมูลบันทึกผล และติดตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคพบว่า ผู้บริโภคใน APAC ส่วนใหญ่กังวลด้าน “เศรษฐกิจ” มากที่สุด โดย 3 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่างคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าสถานการณ์ COVID-19 จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย 49% มองว่าการเกิดขึ้นของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจถดถอย แต่ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวเร็ว 49% มองว่าการเกิดขึ้นของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจถดถอย แต่ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวเร็ว 26% มองว่าเศรษฐกิจจะถดถอยในระยะยาว 26% มองว่าเศรษฐกิจจะถดถอยในระยะยาว 25% มองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวทันทีเมื่อสถานการณ์ COVID-19 สิ้นสุดลง 25% มองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวทันทีเมื่อสถานการณ์ COVID-19 สิ้นสุดลง เมื่อเจาะลึกใน 5 ประเทศ พบว่า “ประเทศจีน” และ “สิงคโปร์” มีความมั่นใจในเสถียรภาพทางเศรษฐของประเทศตนเอง “ประเทศจีน” และ “สิงคโปร์” มีความมั่นใจในเสถียรภาพทางเศรษฐของประเทศตนเอง “ประเทศไทย” เป็นประเทศที่มีความกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน “ประเทศไทย” เป็นประเทศที่มีความกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน โดย 46% ของคนไทยกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอยอย่างต่อเนื่อง และมีเพียง 15% ของคนไทยเท่านั้นที่เห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทันทีที่สถานการณ์ COVID-19 สิ้นสุดลง โดย 46% ของคนไทยกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอยอย่างต่อเนื่อง และมีเพียง 15% ของคนไทยเท่านั้นที่เห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทันทีที่สถานการณ์ COVID-19 สิ้นสุดลง ขณะเดียวกันพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ “Social Media” กับความกังวลต่อการติดเชื้อ ซึ่งความกังวลนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อใช้ “Social Media ” มากขึ้น โดยผู้ที่มีความกังวลเพิ่มสูงขึ้นดังกล่าวมีสัดส่วนมากที่สุดคือ ออสเตรเลีย 43% ออสเตรเลีย 43% ประเทศไทย 14% ประเทศไทย 14% สิงคโปร์ 13% สิงคโปร์ 13% ฮ่องกง 8% ฮ่องกง 8% จีน 3% จีน 3% ขณะที่ “พฤติกรรมการบริโภคสื่อ” (Media Consumption) พบว่า ผู้บริโภคมีการบริโภคสื่อเพิ่มขึ้นในสื่อทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย, ข่าว, การประชุมออนไลน์, ทีวีดิจิทัล, สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มต่างๆ, เกมส์ออนไลน์, หนังสือ, หนังสือพิมพ์ และพอดแคสต์ คราวนี้มาลงเจาะลึกพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคไทย ที่มีต่อสินค้าและบริการ 3 กลุ่มหลัก คือ สินค้าที่ใช้ความพยายามในการซื้อน้อย (Low Involvement) สินค้าที่ใช้ความพยายามในการซื้อน้อย (Low Involvement) สินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ (High Involvement) สินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ (High Involvement) ธุรกิจค้าปลีกและการบริการ (Retail & Services) ธุรกิจค้าปลีกและการบริการ (Retail & Services) โดยเปรียบเทียบออกเป็น 3 ช่วง “ก่อนเกิด COVID-19” – “ระหว่างเกิด COVID-19” (สถานการณ์ในปัจจุบัน) – “หลังสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไป” เพื่อทำความเข้าใจ Insights และ Consumer Behaviors แต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมการซื้อกลุ่มสินค้าเหล่านี้แตกต่างกันออกไปด้วยหลากหลายเหตุผล สินค้าบางชนิดได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก สินค้าบางชนิดอาจแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย พร้อมข้อแนะนำเจ้าของแบรนด์ต่างๆ ควรสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจในสภาวะวิกฤตและในอนาคต Low Involvement : คนซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค – ของใช้ภายในบ้านในปริมาณมากขึ้น และไซส์ใหญ่ขึ้น สินค้า Low Involvement เช่น อาหารและเครื่องดื่ม, สินค้าสุขภาพและความงาม และผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้าน โดยเปรียบเทียบพฤติกรรมการซื้อระหว่าง “ผู้บริโภคไทยที่มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน” และ “ผู้บริโภคไทยที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน” พบว่า ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่ม คือ กลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซื้อสินค้า Low Involvement ผ่านช่องทาง “Offline” หรือ “Physical Store” มากกว่าช่องทาง “Online” ซึ่งมีเพียง 23% เท่านั้นที่เลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Online ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่ม คือ กลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซื้อสินค้า Low Involvement ผ่านช่องทาง “Offline” หรือ “Physical Store” มากกว่าช่องทาง “Online” ซึ่งมีเพียง 23% เท่านั้นที่เลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Online ช่องทางร้านค้าที่ผู้บริโภคนิยมไปซื้อสินค้า Low Involvement (ก่อนสถานการณ์ COVID-19) คือ ร้านสะดวกซื้อได้รับความนิยมสูงที่สุดกว่า 76% ช่องทางร้านค้าที่ผู้บริโภคนิยมไปซื้อสินค้า Low Involvement (ก่อนสถานการณ์ COVID-19) คือ ร้านสะดวกซื้อได้รับความนิยมสูงที่สุดกว่า 76% “ผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ดังนั้นผู้บริโภคกลุ่มนี้จะมีการซื้อสินค้า Low Involvement ช่องทางต่างๆ ทั้งหน้าร้าน และออนไลน์ “น้อยลง” หรือ “หยุดซื้อ” “ผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ดังนั้นผู้บริโภคกลุ่มนี้จะมีการซื้อสินค้า Low Involvement ช่องทางต่างๆ ทั้งหน้าร้าน และออนไลน์ “น้อยลง” หรือ “หยุดซื้อ” แต่ยกเว้น “ร้านสะดวกซื้อ” พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 50% ยังคงไปซื้อสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อ “เท่าเดิม” หรือ “บ่อยขึ้น” แต่ยกเว้น “ร้านสะดวกซื้อ” พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 50% ยังคงไปซื้อสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อ “เท่าเดิม” หรือ “บ่อยขึ้น” “ผู้มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป” ยังคงมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเดิม และมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เท่าเดิม หรือบ่อยขึ้น และใช้จ่ายผ่าน “ช่องทางออนไลน์” มากกว่าเดิม ในช่วงระหว่างที่เกิด COVID-19 เมื่อเทียบกับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน “ผู้มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป” ยังคงมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเดิม และมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เท่าเดิม หรือบ่อยขึ้น และใช้จ่ายผ่าน “ช่องทางออนไลน์” มากกว่าเดิม ในช่วงระหว่างที่เกิด COVID-19 เมื่อเทียบกับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน เมื่อสำรวจอย่างละเอียดพบว่า “สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม” ยังมีการซื้ออย่างต่อเนื่อง และซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้น พร้อมทั้งเลือกขนาดสินค้าใหญ่ขึ้น และจำนวนมากขึ้น “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เป็นสินค้าที่มีการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือ โดยมีแนวโน้มการซื้อเพิ่มขึ้นสูงที่สุดกว่า 52% “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เป็นสินค้าที่มีการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือ โดยมีแนวโน้มการซื้อเพิ่มขึ้นสูงที่สุดกว่า 52% “สินค้าสุขภาพและความงาม” ผู้บริโภคยังคงซื้อสินค้าหมวดหมู่นี้ โดยยาสามัญประจำบ้าน หรือยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งยาถือเป็นสินค้าที่คนนิยมซื้อมากที่สุดทั้งปริมาณที่ซื้อมากขึ้นกว่า 32% ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น 17% และมีจำนวนการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 28% “สินค้าสุขภาพและความงาม” ผู้บริโภคยังคงซื้อสินค้าหมวดหมู่นี้ โดยยาสามัญประจำบ้าน หรือยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งยาถือเป็นสินค้าที่คนนิยมซื้อมากที่สุดทั้งปริมาณที่ซื้อมากขึ้นกว่า 32% ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น 17% และมีจำนวนการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 28% “เครื่องสำอาง” ยังมีการซื้อที่คงที่ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีการใช้จ่ายน้อยลง “เครื่องสำอาง” ยังมีการซื้อที่คงที่ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีการใช้จ่ายน้อยลง “สินค้าประเภทของใช้ภายในบ้าน” ได้รับผลกระทบน้อยจาก COVID-19 และมีการซื้อ “ผลิตภัณฑ์ซักผ้า” และ “กระดาษชำระ” มากขึ้นทั้งปริมาณในการซื้อ (29% และ 24%) ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น (18% เท่ากันทั้งผลิตภัณฑ์ซักผ้าและกระดาษชำระ) และมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น (24% และ 22%) “สินค้าประเภทของใช้ภายในบ้าน” ได้รับผลกระทบน้อยจาก COVID-19 และมีการซื้อ “ผลิตภัณฑ์ซักผ้า” และ “กระดาษชำระ” มากขึ้นทั้งปริมาณในการซื้อ (29% และ 24%) ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น (18% เท่ากันทั้งผลิตภัณฑ์ซักผ้าและกระดาษชำระ) และมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น (24% และ 22%) เมื่อเจาะลึกว่า “ผู้บริโภคมีแบรนด์ในใจหรือไม่ (Brand Preference) – มีโอกาสเปลี่ยนแบรนด์มากน้อยอย่างไร (Brand Switching)” พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแบรนด์ในใจอยู่แล้ว และมีความภักดีต่อแบรนด์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแบรนด์ในใจอยู่แล้ว และมีความภักดีต่อแบรนด์ ตัวอย่างสินค้าที่ผู้บริโภคมี Brand Preference สูง เช่น กระดาษชำระ เป็นกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคมีแบรนด์ในใจสูง โดยกว่า 75% คนส่วนใหญ่มักมีแบรนด์กระดาษชำระอยู่ในใจที่ต้องการซื้อ ตัวอย่างสินค้าที่ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์สูงที่สุด (67% และ 69%) ตัวอย่างสินค้าที่ผู้บริโภคมี Brand Preference สูง เช่น กระดาษชำระ เป็นกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคมีแบรนด์ในใจสูง โดยกว่า 75% คนส่วนใหญ่มักมีแบรนด์กระดาษชำระอยู่ในใจที่ต้องการซื้อ ตัวอย่างสินค้าที่ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์สูงที่สุด (67% และ 69%) อย่างไรก็ตามมีสินค้าบางกลุ่มที่ผู้บริโภคมี Brand Preference น้อย อย่างไรก็ตามมีสินค้าบางกลุ่มที่ผู้บริโภคมี Brand Preference น้อย ตัวอย่างสินค้าที่ผู้บริโภคมีแบรนด์ในใจน้อย เช่น วิตามินและอาหารเสริม พบว่าคนส่วนใหญ่มีแบรนด์ในใจน้อยที่สุด อยู่ที่ 47% เช่นเดียวกับเบียร์ และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นอีกสองกลุ่มสินค้าที่คนมีแบรนด์ในใจน้อย ตัวอย่างสินค้าที่ผู้บริโภคมีแบรนด์ในใจน้อย เช่น วิตามินและอาหารเสริม พบว่าคนส่วนใหญ่มีแบรนด์ในใจน้อยที่สุด อยู่ที่ 47% เช่นเดียวกับเบียร์ และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เป็นอีกสองกลุ่มสินค้าที่คนมีแบรนด์ในใจน้อย กลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคมีโอกาสเปลี่ยนแบรนด์มากที่สุด เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจซื้อ คือ ขนมขบเคี้ยว, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ผลิตภัณฑ์ขนมปังทั้งหลาย กลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคมีโอกาสเปลี่ยนแบรนด์มากที่สุด เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจซื้อ คือ ขนมขบเคี้ยว, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ผลิตภัณฑ์ขนมปังทั้งหลาย โดยสรุปผู้บริโภคส่วนใหญ่ ทั้งกลุ่มที่รายได้น้อยกว่า 30,000 บาท และรายได้มากกว่า 30,000 บาท มีแบรนด์ในใจสำหรับการซื้อสินค้ากลุ่ม Low Involvement อยู่แล้ว และส่วนใหญ่มีความภักดีกับแบรนด์ แต่มีบางประเภทสินค้าที่โอกาสจะ Switching แบรนด์สูง ยิ่งในขณะที่ช้อปปิ้ง ไม่ว่าทางช่องทางหน้าร้าน หรือออนไลน์ หากแบรนด์ในใจไม่มีสินค้าอยู่บนเชล์ฟ ผู้บริโภคก็พร้อมจะเปลี่ยนใจไปแบรนด์อื่นในหมวดเดียวกัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะยังคงหวาดระแวงต่อสถานการณ์ โดยจะไปซื้อสินค้าตามสถานที่ต่างๆ น้อยลง เพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะยังคงหวาดระแวงต่อสถานการณ์ โดยจะไปซื้อสินค้าตามสถานที่ต่างๆ น้อยลง เพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ประกอบกับรายได้ที่ไม่มั่นคงในช่วงที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่คาดการณ์ หรือวางแผนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม และลดการซื้อสินค้าต่างๆ ในอนาคต อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความไม่แน่นอน เขาจึงกังวลต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของตนเอง ประกอบกับรายได้ที่ไม่มั่นคงในช่วงที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่คาดการณ์ หรือวางแผนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม และลดการซื้อสินค้าต่างๆ ในอนาคต อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความไม่แน่นอน เขาจึงกังวลต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของตนเอง 1. ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการในการซื้อสินค้า Low Involvement อย่างต่อเนื่อง หรือต้องการซื้อเพิ่มขึ้น ดังนั้นแบรนด์ไม่ควรหยุดทำการตลาดกับผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่หยุดบริโภคสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ Online หรือ Offline จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะสร้างแบรนด์ของตนให้นั่งอยู่ในใจผู้บริโภค ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อให้แบรนด์ยังอยู่ในสายตาผู้บริโภคอยู่ เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภคเพื่อสร้างการรับรู้และความภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต 2. ช่องทาง Offline ยังคงเป็นช่องทางที่ควรมีและต้องเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อการกระจายสินค้าให้ครบทุกช่องทางและเกิดการซื้อในทุกช่องทาง โดยไม่ควรลดราคาสินค้า แต่ควรเปลี่ยนเป็นการการเพิ่มบรรจุภัณฑ์ หรือจับคู่สินค้าเพื่อความคุ้มค่าในราคาที่สมเหตุสมผลเพื่อเพิ่มยอดขาย 3. พัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ โดยเพิ่ม Call-to-Action เพื่อดึงผู้บริโภคเข้าสู่อีคอมเมิร์ซ ผ่านการสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในรูปแบบการฟรีค่าจัดส่ง หรือซื้อ 1 แถม 1 เพื่อเพิ่มยอดขายในออนไลน์ 4. ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแบรนด์สินค้าที่อยู่ในใจ แต่เมื่อต้องตัดสินใจซื้อ เกือบ 1 ใน 3 เลือกที่จะเปลี่ยนแบรนด์ ดังนั้น แบรนด์ควรกลับสู่การสื่อสารพื้นฐานตามพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคด้วยการสื่อสารถูกที่ ถูกเวลา ถูกเป้าหมาย เลือกสื่อที่สร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์และใช้สื่อที่หลากหลาย นอกจากนี้แทนที่จะสื่อสารแต่เรื่องของแบรนด์และสินค้า ให้เปลี่ยนเป็นมุมมองของผู้บริโภคดูว่าสินค้าของเราจะช่วยให้ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้อย่างไร High Involvement : ผู้บริโภครายได้น้อย “ความจำเป็น” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ – ผู้บริโภครายได้สูง “ความคุ้มค่าในการลงทุน” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ การศึกษาพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มสินค้า “High Involvement” เป็นสินค้าที่ต้องใช้เวลาและข้อมูลการพิจารณามาก เช่น ยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การลงทุนและการประกัน และการท่องเที่ยว โดยศึกษา Insights ผู้บริโภค 2 กลุ่ม คือ “กลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน” และ “กลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน” เพื่อทำความเข้าใจ Insights และพฤติกรรมการซื้อ – การพิจารณาสินค้ากลุ่ม High Involvement พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ ผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่มแต่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ช่วงก่อนเหตุการณ์ COVID-19 ผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าที่ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ (High Involvement) โดยเฉพาะสินค้าประเภทยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และการลงทุน / ประกัน ผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าที่ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ (High Involvement) โดยเฉพาะสินค้าประเภทยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และการลงทุน / ประกัน ผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า High Involvement ในสินค้ายานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และสมาร์ทโฟน และแกดเจ็ต (Gadget) ผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า High Involvement ในสินค้ายานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และสมาร์ทโฟน และแกดเจ็ต (Gadget) ความตั้งใจในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่ม (รายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน กับรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน) ลดลงทุกกลุ่มสินค้า ความตั้งใจในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่ม (รายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน กับรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน) ลดลงทุกกลุ่มสินค้า แต่พบว่า “สินค้าเกี่ยวกับการลงทุน” และ “สินค้าประกัน” มีแนวโน้มการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ ดังนั้นจึงเป็น 2 กลุ่มสินค้า High Involvement ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจาก COVID-19 แต่พบว่า “สินค้าเกี่ยวกับการลงทุน” และ “สินค้าประกัน” มีแนวโน้มการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ ดังนั้นจึงเป็น 2 กลุ่มสินค้า High Involvement ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจาก COVID-19 กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่ามีแนวโน้มซื้อสินค้าประเภทยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่ามีแนวโน้มซื้อสินค้าประเภทยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 ผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มที่จะลดหรือหยุดการซื้อสินค้าและบริการไปก่อน ผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มที่จะลดหรือหยุดการซื้อสินค้าและบริการไปก่อน ผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้า และบริการทุกกลุ่มธุรกิจภายในระหว่าง 1 เดือน – เกิน 1 ปีหลังผ่านพ้น COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าดังต่อไปนี้ ผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้า และบริการทุกกลุ่มธุรกิจภายในระหว่าง 1 เดือน – เกิน 1 ปีหลังผ่านพ้น COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าดังต่อไปนี้ ยานยนต์จะมีแนวโน้มกลับสู่การซื้อปกติในช่วง 3 – 6 เดือนถึง 55% ยานยนต์จะมีแนวโน้มกลับสู่การซื้อปกติในช่วง 3 – 6 เดือนถึง 55% เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มกลับสู่การซื้อปกติโดยเร็วที่สุดในช่วง 1-3 เดือน อยู่ที่ 8% เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มกลับสู่การซื้อปกติโดยเร็วที่สุดในช่วง 1-3 เดือน อยู่ที่ 8% เมื่อทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และความภักดีต่อแบรนด์ พบว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า “ความจำเป็น” คือปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุดคิดเป็น 57% กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า “ความจำเป็น” คือปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุดคิดเป็น 57% เนื่องมาจากการใช้จ่ายที่มีอย่างจำกัด ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เกิดความลังเลในการพิจารณาซื้อสินค้า โดย 52% ไม่มีแบรนด์ที่ชอบเป็นพิเศษ แต่เมื่อเลือกแล้ว คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ 52% เนื่องจากไม่ต้องการเปลี่ยนไปใช้สินค้าและบริการที่ตนเองไม่คุ้นเคย เนื่องมาจากการใช้จ่ายที่มีอย่างจำกัด ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เกิดความลังเลในการพิจารณาซื้อสินค้า โดย 52% ไม่มีแบรนด์ที่ชอบเป็นพิเศษ แต่เมื่อเลือกแล้ว คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ 52% เนื่องจากไม่ต้องการเปลี่ยนไปใช้สินค้าและบริการที่ตนเองไม่คุ้นเคย กลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า “ความคุ้มค่าในการลงทุน” คือสิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญมากที่สุดกว่า 80% กลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า “ความคุ้มค่าในการลงทุน” คือสิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญมากที่สุดกว่า 80% และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีแบรนด์สินค้าอยู่ในใจอยู่แล้ว 69% และเมื่อตัดสินใจซื้อ คนกลุ่มนี้จะมีความภักดีต่อแบรนด์มากกว่าอีกด้วย โดยคิดเป็น 56% และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีแบรนด์สินค้าอยู่ในใจอยู่แล้ว 69% และเมื่อตัดสินใจซื้อ คนกลุ่มนี้จะมีความภักดีต่อแบรนด์มากกว่าอีกด้วย โดยคิดเป็น 56% 1. สินค้าประเภทยานพาหนะ ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุการณ์ COVID-19 แต่ก็เป็นกลุ่มที่จะฟื้นฟูสู่สภาวะปกติไวที่สุดด้วย โดยในตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่แบรนด์รถยนต์และยานพาหนะจะลุกขึ้นมาสร้างการรับรู้ในเชิงบวกต่อแบรนด์ของตนเอง เพื่อที่จะได้ครองใจผู้บริโภค และเมื่อวันที่เขาตัดสินใจซื้ออีกครั้งแบรนด์ที่อยู่ในใจจะเป็นผู้ถูกเลือกในที่สุด ขณะที่หมวดการลงทุนและการประกัน ให้เน้นไปที่การเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้บริโภค เพราะในปัจจุบันพวกเขาเหล่านี้มีความกังวลอย่างมากต่อความไม่แน่นอนทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 2. สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ควรใช้การสื่อสารที่ต่างกัน สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย แบรนด์จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของสินค้าและบริการต่อชีวิตของ สิ่งที่ไม่สามารถขาดได้ในชีวิต และสำหรับผู้ที่มีรายได้มาก แบรนด์จำเป็นต้องแสดงความคุ้มค่าในการลงทุนออกมาให้เห็น 3. เมื่อไรก็ตามที่สินค้ากลุ่ม High Involvement สามารถไปอยู่ในใจของผู้บริโภคแล้ว เมื่อนั้นจะเกิดความภักดีต่อแบรนด์ เป็นความสัมพันธ์ระยะยาวต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคนกลุ่มไหนก็ตาม 4. สำหรับหมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบจากยอดขายหน้าร้านหรือตามชั้นวาง ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ และช่องทางออนไลน์อย่างจริงจัง โดยสร้างการรับรู้ด้วยกลยุทธ์ออนไลน์ที่แข็งแรง จะช่วยหล่อเลี้ยงให้แบรนด์ให้ยังเติบโตต่อไปได้ และผลักดันสินค้าที่มีมูลค่าไม่สูงเพื่อกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายสูงขึ้น 5. รักษากลุ่มผู้ที่มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการ หรือผู้ที่ชะลอการซื้อออกไปก่อน โดยสร้างการพูดถึงโดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง เจาะกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น นำเอาการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ ประกอบกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Marketing Automation เพื่อสร้างการสื่อสารที่ตรงต่อความต้องการผู้บริโภค รักษาฐานผู้ที่ต้องการซื้อเอาไว้ หรือนำกลุ่มผู้บริโภคกลับสู่กระบวนการตัดสินใจอีกครั้ง นอกจากนี้ให้อุดช่องว่างด้วยการทำโปรโมชั่นที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น เงินมัดจำ ผ่อน 0% ส่วนลดพิเศษ เป็นต้น 6. ต้องเริ่มวางแผนฟื้นฟูจากเหตุการณ์ COVID-19 Retail & Services : ร้านปลีก ร้านค้าส่ง และสถานีบริการน้ำมันได้รับผลกระทบน้อยที่สุด กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและบริการ เช่น ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง ร้านอาหาร ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านความงามและสุขภาพ และสถานีบริการน้ำมัน เมื่อเปรียบเทียบ “ความถี่ในการไปใช้บริการ” ระหว่างสองช่วงสถานการณ์นี้ พบว่า ความถี่ในการไปใช้ “ธุรกิจค้าปลีก” และ “การบริการ” ในช่วง COVID-19 ลดลงในทุกธุรกิจ ความถี่ในการไปใช้ “ธุรกิจค้าปลีก” และ “การบริการ” ในช่วง COVID-19 ลดลงในทุกธุรกิจ แต่สำหรับ “ร้านปลีก – ร้านค้าส่ง” และ “สถานีบริการน้ำมัน” ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด (-8.3% และ -13.2%) แต่สำหรับ “ร้านปลีก – ร้านค้าส่ง” และ “สถานีบริการน้ำมัน” ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด (-8.3% และ -13.2%) ขณะที่ “ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย” “ร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพ” และ “ร้านอาหาร” ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีผู้ใช้ลดลงมากถึง -60.8%, -58.1% และ -56.5% ขณะที่ “ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย” “ร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพ” และ “ร้านอาหาร” ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีผู้ใช้ลดลงมากถึง -60.8%, -58.1% และ -56.5% เมื่อเปรียบเทียบ “การใช้จ่าย” ระหว่างสองช่วงสถานการณ์นี้ พบว่า “ร้านค้าปลีก – ร้านค้าส่ง” และ “สถานีบริการน้ำมัน” ยังมีการใช้จ่ายเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม “ร้านค้าปลีก – ร้านค้าส่ง” และ “สถานีบริการน้ำมัน” ยังมีการใช้จ่ายเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามธุรกิจกลุ่มนี้อาจพบความผันผวนได้เช่นกัน เนื่องจากพบว่ากลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนการใช้จ่ายที่น้อยลงอยู่ในธุรกิจดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตามธุรกิจกลุ่มนี้อาจพบความผันผวนได้เช่นกัน เนื่องจากพบว่ากลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนการใช้จ่ายที่น้อยลงอยู่ในธุรกิจดังกล่าวด้วย ในขณะที่ธุรกิจการให้บริการกลุ่มต่างๆ ที่มีการใช้จ่ายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ไปจนถึงการหยุดใช้บริการ ในขณะที่ธุรกิจการให้บริการกลุ่มต่างๆ ที่มีการใช้จ่ายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ไปจนถึงการหยุดใช้บริการ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะกลับสู่สภาวะการใช้จ่ายปกติ โดยเฉพาะร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน ร้านความงามและยา ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย และร้านไลฟ์สไตล์และสุขภาพนั้น ที่สำคัญมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะใช้จ่ายหรือใช้บริการมากขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะกลับสู่สภาวะการใช้จ่ายปกติ โดยเฉพาะร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน ร้านความงามและยา ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย และร้านไลฟ์สไตล์และสุขภาพนั้น ที่สำคัญมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะใช้จ่ายหรือใช้บริการมากขึ้น 1.จำเป็นต้องสร้างฐานลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้าของแบรนด์ให้ยังคงกลับมาใช้บริการปกติ และรักษาการใช้จ่ายเอาไว้ 2. จากการที่ผู้บริโภคออกจากที่อยู่อาศัยน้อยลง ร้านอาหาร ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย และร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพ มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่ เพื่อที่จะรักษาธุรกิจ และการทำกำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อย่างเช่น ร้านอาหารจะเป็นต้องเพิ่มบริการส่งถึงบ้าน และจัดการเรื่องความสะอาดมากขึ้น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ควรสร้างบริการสตรีมภาพยนตร์ออนไลน์แบบเก็บค่าธรรมเนียม และธุรกิจสถานบันเทิงสตรีมคอนเสิร์ตออนไลน์ บาร์เสมือน (Virtual Bar), หรือการบริการส่งเครื่องดื่มถึงบ้าน 3. ร้านขายยาและความงาม ห้างสรรพสินค้า และร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพอาจจะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใด ๆ มากในขณะนี้ แต่ธุรกิจเหล่านี้มีทำเลที่ตั้งในพื้นที่เดียวกัน หรือบริเวณใกล้กันควรวางแผนสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ COVID-19 ร่วมกัน เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก วางแผนการสื่อสารร่วมกันเพื่อดึงคนเข้ามาใช้บริการ และจัดมาตรการช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบในช่วงเหตุการณ์ COVID-19 5 Key Takaways แบรนด์ปรับตัว ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่เพื่อเตรียมความพร้อมในอนาคต 1. ในสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนนี้ แบรนด์ต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวแบบยืดหยุ่นอยู่เสมอ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากการศึกษาพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในประเทศไทยในสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ทราบว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกันออกไปในกลุ่มสินค้าที่แตกต่างกัน และในกลุ่มสินค้าที่เป็นกลุ่มเดียวกัน พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มรายได้ก็แตกต่างกันไปเช่นกัน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่แบรนด์ควรทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เพื่อครองใจผู้บริโภคหลังหมดวิกฤตโรคระบาดนี้ 2. สำหรับแบรนด์ที่เป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกและการบริการ อย่างร้านค้าปลีกร้านค้าส่ง และสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดควรเพิ่ม Loyalty Program ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รักษาฐานลูกค้าต่อไปได้ 3. สำหรับแบรนด์ที่เป็นเจ้าของธุรกิจกลุ่ม FMCG ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 น้อยเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคมีการซื้อตุนสินค้า ดังนั้นควรสร้างการรับรู้เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างแบรนด์ของตนให้เป็น Top of Mind ทำโปรชั่นที่เหมาะสม สร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคในช่วงนี้ เพื่อให้ช่องทางออฟไลน์สามารถรักษายอดขายไว้ 4. สำหรับสินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ (High Involvement) ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วง COVID-19 แบรนด์ จำเป็นต้องปรับการสื่อสารเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เข้าถึงเหตุผลในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มนั้นๆ เน้นเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง และ เน้นความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตสำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย – ปานกลาง ขณะเดียวกัน แบรนด์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์เพื่อรักษากลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อสินค้า ตลอดจนพาผู้บริโภคกลับเข้าสู่กระบวนการการตัดสินใจอีกครั้ง 5. ด้วยนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนตระหนักถึง Social Distancing โดยเว้นระยะห่างระหว่างกัน ทำให้ผู้บริโภคใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโลกออนไลน์มากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น แบรนด์ทุกแบรนด์ในตอนนี้ควรที่จะสร้างโอกาสใหม่ที่จะเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางดิจิทัล เนื่องจากผู้บริโภคอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น มีความเปิดกว้างในการดูสื่อมากขึ้น หากแบรนด์ต่างๆ มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคและปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีก็จะทำให้แบรนด์นั้นสามารถพลิกจากวิกฤตเป็นโอกาสได้ และสามารถสร้างรายได้และครองใจผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและหลังพ้นวิกฤตโรคระบาด “เราทุกคนกำลังเผชิญกับภาวะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยโรคระบายครั้งใหญ่ของโลกอย่าง COVID-19 และได้สร้างผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรม และธุรกิจมากมาย ผลสำรวจที่ทำร่วมกับแดทเทลนี้ ได้เจาะลึกพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคจริง ทั้งช่วงก่อน – ช่วงระหว่าง และหลังสถานการณ์ COVID-19 เพื่อให้แบรนด์และองค์กรได้ทราบถึงข้อมูลเชิงลึก และทำความเข้าใจเพื่อนำมาใช้ในการวางแผนและตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่อไปให้ดีขึ้น ในช่วงสถานการณ์วิกฤตนี้” คุณมัวรีน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย กล่าว ทางด้าน คุณภูวดล ธาราศิลป์, Director of Digital + CRM วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย ขยายความเพิ่มเติมว่า “กลุ่มสินค้า FMCG ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ภายในบ้าน ไม่โดนกระทบมากเมื่อเทียบกับสินค้ากลุ่ม High Involvement และกลุ่ม Retail & Services ดังนั้นแบรนด์ในกลุ่ม FMCG ควรเดินทางสื่อสาร หรือทำแคมเปญต่อไป เพราะถ้าแบรนด์คุณหยุดการสื่อสาร ในขณะที่แบรนด์อื่นยังคงสื่อสารเข้าถึงผู้บริโภคต่อเนื่อง จะทำให้แบรนด์ของคุณเสียโอกาสไป ขณะที่สินค้ากลุ่ม Hight Involvement ควรให้ความสำคัญกับ Data และ Customer Journey พร้อมทั้งยังคงสื่อสาร หรือรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าต่อเนื่อง เพื่อวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว แบรนด์ที่อยู่ใน Top of Mind ผู้บริโภค แบรนด์นั้นจะได้เปรียบ เพราะมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกซื้อแบรนด์นั้น ส่วนธุรกิจ Retail และ Services ต่างๆ ต้องปรับ Business Model เพื่อสร้างการเติบโตใหม่ เช่น ร้านอาหาร เพิ่มช่องทาง Food Delivery หรือสายการบิน ปัจจุบันหยุดเที่ยวบินให้บริการ บางสายการบินหันมาให้บริการ Catering”
พฤติกรรมการซื้อสินค้า Low Involvement “ก่อนสถานการณ์ COVID-19” พบว่า ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่ม คือ กลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซื้อสินค้า Low Involvement ผ่านช่องทาง “Offline” หรือ “Physical Store” มากกว่าช่องทาง “Online” ซึ่งมีเพียง 23% เท่านั้นที่เลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Online ช่องทางร้านค้าที่ผู้บริโภคนิยมไปซื้อสินค้า Low Involvement (ก่อนสถานการณ์ COVID-19) คือ ร้านสะดวกซื้อได้รับความนิยมสูงที่สุดกว่า 76%
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50452
Retail
กลยุทธ์ CRM Privilege แบบ One Stop Solution ของ Buzzebees มีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
กลยุทธ์ CRM Privilege แบบ One Stop Solution ของ Buzzebees มีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีกหลายประการ ดังนี้: 1. ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า: - ระบบ CRM Privilege ของ Buzzebees เก็บข้อมูลการซื้อขายและพฤติกรรมของลูกค้า - ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า - ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดและโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้า 2. ช่วยให้สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: - ระบบ CRM Privilege ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง - ธุรกิจสามารถมอบสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม - ช่วยให้ธุรกิจสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าไว้ 3. ช่วยเพิ่มยอดขาย: - ระบบ CRM Privilege ช่วยให้ธุรกิจสามารถกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำ - ธุรกิจสามารถแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า - ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มยอดขายและผลกำไร 4. ช่วยลดต้นทุน: - ระบบ CRM Privilege ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด - ช่วยให้ธุรกิจประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ 5. ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกก้าวทันยุคดิจิทัล: - ระบบ CRM Privilege ของ Buzzebees เป็นระบบออนไลน์ - ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล - ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถแข่งขันในยุคดิจิทัลได้ ตัวอย่าง: - บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ใช้ระบบ CRM Privilege ของ Buzzebees - บริษัทสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า - บริษัทสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดและโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้า ผลลัพธ์คือ บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า สรุป: กลยุทธ์ CRM Privilege แบบ One Stop Solution ของ Buzzebees ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และก้าวทันยุคดิจิทัล หมายเหตุ: - ธุรกิจค้าปลีกควรเลือกระบบ CRM Privilege ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน - ธุรกิจค้าปลีกควรมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ระบบ CRM Privilege - ธุรกิจค้าปลีกควรติดตามผลและวัดผลของการใช้ระบบ CRM Privilege
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50460
Retail
สรุปบทความเรื่อง ประกาศรายชื่อ Finalist Thailand Zocial Awards 2020 ให้หน่อย
[ข่าวประชาสัมพันธ์] การจัดงาน Thailand Zocial Awards 2020 มีการแจกรางวัลทั้งหมด 192 รางวัล โดยในแต่ละกลุ่มรางวัล มีรายชื่อผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง ดังต่อไปนี้ 1. รางวัลแบรนด์ที่ทําผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมตามกลุ่มธุรกิจ (Best Brand Performance on Social Media) แบ่งตามกลุ่มธุรกิจทั้งหมด 81 รางวัล ประกอบด้วย 1.1. กลุ่มธุรกิจสายการบิน (Airline) ● Air Asia ● Bangkok Airways ● Thai Airways 1.2. กลุ่มธุรกิจยานยนต์ (Automotive) ● KIA ● Mitsubishi Motors ● Toyota Motor Thailand 1.3. กลุ่มธุรกิจธนาคาร (Banking) ● KBank ● Krungthai ● TMB 1.4. กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Beverage-Alcohol) ● Chang World ● Sang Som ● Spy Wine Cooler 1.5. กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ (Beverage) ● M150 Thailand ● NESCAFÉ ● Oishi Drink 1.6. กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (Building and Design Material) ● Jotunthailand ● Scg Brand ● ผลิตภัณฑ์ตราเพชร 1.7. กลุ่มธุรกิจร้านอาหารเครือข่าย (Chain Restaurant) ● Bar B Q Plaza ● KFC ● MK Restaurants 1.8. กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สําหรับผู้บริโภค (Consumer Electronics) ● OPPO ● Samsung ● Vivo 1.9. กลุ่มธุรกิจเครื่องสําอางค์และผลิตภัณฑ์บํารุงผิว (Cosmetics) ● 4U2 Cosmetics ● Bobbi Brown ● L’Oréal Paris 1.10. กลุ่มธุรกิจสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ทําจากนม (Dairy Food Product) ● Dutchie Yoghurt ● Nestlé Ice Cream Th ● Wall’s Thailand 1.11. กลุ่มธุรกิจขนส่ง (Delivery Service Provider) ● Kerry Express ● LINE MAN ● บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 1.12. กลุ่มธุรกิจร้านขนมและเครืNองดืNม (Dessert & Beverage Café) ● Krispy Kreme ● Starbucks ● Swensen’s 1.13 กลุ่มธุรกิจตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Marketplace) ● Lazada ● Shopee ● Zilingo 1.14. กลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการทางการเงิน (Financial Service (Non-Bank)) ● Krungsri First Choice ● KTC ● TrueMoney 1.15. กลุ่มธุรกิจทองคําและอัญมณี (Gold and jewelry) ● Aurora Gold and Jewelry ● Jubilee ● ห้างทองเพชรมังกร 1.16. กลุ่มหน่วยงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ (Government & State Enterprise) ● Amazing Thailand ● กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ● สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ Fan Page 1.17. กลุ่มธุรกิจเครืองใช้ไฟฟ้าในบ้านและสํานักงาน (Home & Office Appliance) ● Carrier ● LG ● Sony 1.18. กลุ่มผลิตภัณฑ์สําหรับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (Home Furnishing Retailer) ● Homepro ● Ikea ● SB Design Square 1.19. กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล (Hospital) ● Bumrungrad International ● โรงพยาบาลศิริราช ● โรงพยาบาลสมิติเวช 1.20. กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Hypermarket & Supermarket) ● Big C ● Tesco Lotus ● Tops 1.21. กลุ่มธุรกิจประกัน (Insurance) ● Dhipaya Insurance ● Muang Thai Life ● Thai Life Insurance 1.22. กลุ่มธุรกิจสินค้าแม่และเด็ก (Mom & Baby) ● Hi Q ● Lamoon ● S26 1.23. กลุ่มธุรกิจสินค้าของใช้ส่วนตัว (Personal Care) ● DENTISTE’ ● Sunsilk ● TRESemmé 1.24. กลุ่มธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สําหรับที่อยู่อาศัย (Property Developer) ● AP Thai ● SC Asset ● Singha Estate 1.25. กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า (Shopping Mall) ● Central Department Store ● Central World ● The Mall 1.26. กลุ่มธุรกิจสินค้าขนมและของหวาน (Snack & Sweets) ● LaysThailand ● Sunsnack kDunk ● Taokaenoi Club 1.27. กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม (Telecommunication) ● AIS ● DTAC ● TrueMove H 2. รางวัลคนบันเทิงบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม (Best Entertainment on Social Media) รวมทั้งหมด 39 รางวัล ประกอบด้วย 2.1. สาขานักแสดงชาย (Actor) ● เจมส์ จิรายุ ● ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ● นาย ณภัทร 2.2. สาขานักแสดงหญิง (Actress) ● เบลล่า ราณี ● ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ● ใหม่ ดาวิกา 2.3. สาขาศิลปินกลุ่ม (Duo or Group Artist) ● BNK48 ● GETSUNOVA ● MEAN BAND 2.4. สาขาศิลปินชาย (Male Artist) ● นนท์ ธนนท์ ● เป๊ก ผลิตโชค ● ไผ่ พงศธร 2.5. สาขาศิลปินหญิง (Female Artist) ● แก้ม วิชญาณี ● ต่าย อรทัย ● ส้ม มารี 2.6. สาขาเพลงไทยแห่งปี (Song) ● กรรม – ป้าง นครินทร์ ● เลิกคุยทั้งอําเภอ – ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ● ชอบแบบนี้ – หนามเตย สะแบงบิน 2.7. สาขาผู้ดําเนินรายการ (MC) ● เจนนี่ ปาหนัน ● หนุ่ม กรรชัย ● โอ๊ต ปราโมทย์ 2.8. สาขาภาพยนตร์ไทย (Thai Movie) ● Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพืNอน ● Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า ● ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ 2.9. สาขารายการข่าว (Thai News Program) ● ทุบโต๊ะข่าว ● เรืองเล่าเช้านี้ ● โหนกระแส 2.10. สาขาละครไทย (Thai Series) ● กรงกรรม ● ใบไม้ที่ปิดปลิว ● หัวใจศิลา 2.11. สาขารายการโทรทัศน์(Thai TV Program) ● 10 Fight 10 ● The Rapper 2 ● เทยเที่ยวไทย The Route 2.12. สาขารายการออนไลน์ (Online Program) ● กันต์เอง ● ตามใจตุ๊ด ● นอนบ้านเพื่อน 2.13. สาขารายการพอดแคสต์ (Podcast) ● Readery Podcast ● The Secret Sauce ● คํานี้ดี 3. รางวัลผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม (Best Social Media Influencers) รวมทั้งหมด 48 รางวัล ประกอบด้วย 3.1. สาขายานยนต์ (Automotive) ● Life Of Cars Bkk – ตามติดชีวิต 4 ล้อ ● Xo Autosport ● จอร์น ไรเดอร์ – John Rider 3.2. สาขาความสวย ความงาม (Beauty) ● Archita Station ● Gamgy Makeup ● สะบัดแปรง 3.3. สาขาการทําอาหาร (Cooking) ● หมีมีหม้อ ● หมูแข็งแรง ● หมูหิว 3.4. สาขาสิ่งแวดล้อม (Environment) ● Greenpeace Thailand ● Pearypie: Make-Up Artist/Theatrical Artis ● ReReef 3.5. สาขาครอบครัวและผู้สูงอายุ (Family & Senior) ● SopitChitchat โสภิตชิทแชท ● ตายายสอนหลาน ● มนุษย์ต่างวัย 3.6. สาขาแฟชั่น (Fashion) ● Maxed Out ● Pipo diy ● WEARTOWORKSTYLE 3.7. สาขาการเงินและการลงทุน (Financial) ● Paul Pattarapon พอล ภัทรพล ● TaxBugnoms ● ลงทุนแมน 3.8. สาขาสุขภาพและการออกกําลังกาย (Fitness & Health) ● Bebe Fit Routine ● Booky HealthyWorld ● Forcejun 3.9. สาขาอาหาร (Food & Dining) ● I’m Mayyr – Blog ● PEACH EAT LAEK ● Starvingtime เรื่องกินเรื่องใหญ่ 3.10. สาขาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี (Gadget & Tech) ● Beartai : แบไต๋ ● Ceemeagain ● LDA ลดา – Ladies of Digital Age 3.11. สาขาเกมมิ่ง (Gaming) ● Heartrocker ● Zbing Z. ● กิต งาย 3.12. สาขาไลฟ์ สไตล์ (Lifestyle) ● Bie The Ska ● Kaykai Salaider Channel ● KyutaeOppa – BehindtheScene 3.13. สาขาพ่อ แม่ และ เด็ก (Parenting & Kids) ● Chujai Family ● Guy Haru Family ● Little Monster 3.14. สาขาสัตว์เลี้ยง (Pet) ● Gluta Story ● Kingdom Of Tigers: ทูนหัวของบ่าว ● เค้าเรียกผมว่าแมว 3.15. สาขาวิจารณ์สังคม (Social Critic) ● ใต้เตียงดารา ● อีเจี๊ยบ เลียบด่วน ● อีจัน 3.16. สาขาท่องเที่ยว (Travel) ● Bie The Ska ● I Roam Alone ● I’m Mayyr – Blog หมายเหตุ: รายชื่อผู้เข้าชิงในแต่ละสาขา ไม่ได้เรียงลําดับตามคะแนนที่ได้ RELATED POSTS: No related posts.
งาน Thailand Zocial Awards 2020 แจกรางวัลทั้งหมด 192 รางวัล นแต่ละกลุ่มรางวัล มีรายชื่อผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง ดังต่อไปนี้ 1. รางวัลแบรนด์ที่ทําผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมตามกลุ่มธุรกิจ (Best Brand Performance on Social Media) แบ่งตามกลุ่มธุรกิจทั้งหมด 81 รางวัล ประกอบด้วย 1.1 กลุ่มธุรกิจสายการบิน (Airline) 1.2 กลุ่มธุรกิจยานยนต์ (Automotive) 1.3 กลุ่มธุรกิจธนาคาร (Banking) 1.4 กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Beverage-Alcohol) 1.5 กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ (Beverage) 1.6 กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (Building and Design Material) 1.7 กลุ่มธุรกิจร้านอาหารเครือข่าย (Chain Restaurant) 1.8 กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สําหรับผู้บริโภค (Consumer Electronics) 1.9 กลุ่มธุรกิจเครื่องสําอางค์และผลิตภัณฑ์บํารุงผิว (Cosmetics) 1.10 กลุ่มธุรกิจสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ทําจากนม (Dairy Food Product) 1.11 กลุ่มธุรกิจขนส่ง (Delivery Service Provider) 1.12 กลุ่มธุรกิจร้านขนมและเครืNองดืNม (Dessert & Beverage Café) 1.13 กลุ่มธุรกิจตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Marketplace) 1.14 กลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการทางการเงิน (Financial Service (Non-Bank)) 1.15 กลุ่มธุรกิจทองคําและอัญมณี (Gold and jewelry) 1.16 กลุ่มหน่วยงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ (Government & State Enterprise) 1.17 กลุ่มธุรกิจเครืองใช้ไฟฟ้าในบ้านและสํานักงาน (Home & Office Appliance) 1.18 กลุ่มผลิตภัณฑ์สําหรับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (Home Furnishing Retailer) 1.19 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล (Hospital) 1.20 กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Hypermarket & Supermarket) 1.21 กลุ่มธุรกิจประกัน (Insurance) 1.22 กลุ่มธุรกิจสินค้าแม่และเด็ก (Mom & Baby) 1.23 กลุ่มธุรกิจสินค้าของใช้ส่วนตัว (Personal Care) 1.24 กลุ่มธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สําหรับที่อยู่อาศัย (Property Developer) 1.25 กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า (Shopping Mall) 1.26 กลุ่มธุรกิจสินค้าขนมและของหวาน (Snack & Sweets) 1.27 กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม (Telecommunication) 2. รางวัลคนบันเทิงบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม (Best Entertainment on Social Media) รวมทั้งหมด 39 รางวัล ประกอบด้วย 2.1 สาขานักแสดงชาย (Actor) 2.2 สาขานักแสดงหญิง (Actress) 2.3 สาขาศิลปินกลุ่ม (Duo or Group Artist) 2.4 สาขาศิลปินชาย (Male Artist) 2.5 สาขาศิลปินหญิง (Female Artist) 2.6 สาขาเพลงไทยแห่งปี (Song) 2.7 สาขาผู้ดําเนินรายการ (MC) 2.8 สาขาภาพยนตร์ไทย (Thai Movie) 2.9 สาขารายการข่าว (Thai News Program) 2.10 สาขาละครไทย (Thai Series) 2.11 สาขารายการโทรทัศน์(Thai TV Program) 2.12 สาขารายการออนไลน์ (Online Program) 2.13 สาขารายการพอดแคสต์ (Podcast) 3. รางวัลผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยม (Best Social Media Influencers) รวมทั้งหมด 48 รางวัล ประกอบด้วย 3.1. สาขายานยนต์ (Automotive) 3.2. สาขาความสวย ความงาม (Beauty) 3.3. สาขาการทําอาหาร (Cooking) 3.4. สาขาสิ่งแวดล้อม (Environment) 3.5. สาขาครอบครัวและผู้สูงอายุ (Family & Senior) 3.6. สาขาแฟชั่น (Fashion) 3.7. สาขาการเงินและการลงทุน (Financial) 3.8. สาขาสุขภาพและการออกกําลังกาย (Fitness & Health) 3.9. สาขาอาหาร (Food & Dining) 3.10. สาขาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี (Gadget & Tech) 3.11. สาขาเกมมิ่ง (Gaming) 3.12. สาขาไลฟ์ สไตล์ (Lifestyle) 3.13. สาขาพ่อ แม่ และ เด็ก (Parenting & Kids) 3.14. สาขาสัตว์เลี้ยง (Pet) 3.15. สาขาวิจารณ์สังคม (Social Critic) 3.16. สาขาท่องเที่ยว (Travel)
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50466
Retail
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มุ่งเน้นพัฒนา ‘มณี free solution’ ไปที่การเพิ่ม value added ให้กับการทำธุรกิจของลูกค้ากลุ่ม SME SCB ควรพิจารณาเพิ่มบริการเสริมด้านใดเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ธุรกิจค้าปลีก (Retail) เติบโตอย่างยั่งยืน
null
1. บริการด้านการตลาดดิจิทัล: - ช่วยให้ SME เข้าถึงเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล เช่น โซเชียลมีเดีย, SEO, SEM - ให้คำปรึกษาและจัดอบรมการใช้งานเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล - วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการซื้อ ช่วยให้ SME เข้าใจลูกค้าและนำเสนอสินค้าได้ตรงใจ - พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับ SME ในการขายสินค้า 2. บริการด้านโลจิสติกส์: - ช่วยให้ SME หาบริษัทขนส่งสินค้าที่เหมาะสม - เสนอราคาพิเศษสำหรับบริการขนส่งสินค้า - พัฒนาระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ - ให้บริการคลังสินค้าสำหรับเก็บสินค้า 3. บริการด้านการเงิน: - ช่วยให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เช่น สินเชื่อ, สินเชื่อออนไลน์ - เสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับสินเชื่อ - ให้บริการ factoring ช่วยให้ SME เข้าถึงเงินทุนได้เร็วขึ้น - พัฒนาระบบการจัดการบัญชีและการเงิน 4. บริการด้านการพัฒนาธุรกิจ: - ให้คำปรึกษาและแนะนำกลยุทธ์ทางธุรกิจ - จัดอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจ - เชื่อมโยง SME กับเครือข่ายพันธมิตร - ช่วยให้ SME เข้าถึงตลาดใหม่ 5. บริการด้านเทคโนโลยี: - ช่วยให้ SME เลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจ - เสนอราคาพิเศษสำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ - พัฒนาระบบ e-commerce สำหรับ SME - ให้บริการ Cloud Computing ตัวอย่างเพิ่มเติม: - บริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย - บริการด้านการประกันภัย - บริการรับทำบัญชี - บริการออกแบบเว็บไซต์ ข้อดีของการเพิ่มบริการเสริม: 1. ช่วยให้ SME เติบโตอย่างยั่งยืน 2. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 3. ดึงดูดลูกค้าใหม่ 4. เพิ่มยอดขาย 5. ลดต้นทุน SCB ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้: 1. ความต้องการของ SME 2. งบประมาณ 3. เทคโนโลยี 4. การแข่งขัน โดย SCB สามารถเริ่มต้นจาก: - ศึกษาความต้องการของ SME กลุ่มธุรกิจค้าปลีก - พัฒนาบริการเสริมที่ตรงใจ - นำร่องทดสอบบริการเสริม พัฒนาบริการเสริมอย่างต่อเนื่อง - การพัฒนาบริการเสริมด้านต่าง ๆ จะช่วยให้ SCB เป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีก และช่วยให้ SME กลุ่มนี้เติบโตอย่างยั่งยืน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50481
Retail
สรุปบทความเรื่อง LVMH ยื่นข้อเสนอเข้าซื้อกิจการ Tiffany & Co. ให้หน่อย
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กลุ่ม LVMH ยื่นข้อเสนอเข้าซื้อกิจการ Tiffany & Co. ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ทำให้ Tiffany & Co. ต้องแบกรับภาษีจากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน ส่งผลให้ยอดขายลดลงอย่างรุนแรง แถมด้วยตลาดหลักอย่างฮ่องกงยังประสบปัญหาความไม่สงบอย่างยาวนาน โดยกลุ่ม LVMH มองว่า Tiffany & Co. จะเป็นช่องทางที่สำคัญในการเข้าสู่ตลาดของสหรัฐฯ ทั้งนี้มีการยืนยันจากเว็บไซต์ของกลุ่ม LVMH ว่า ได้บรรลุข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการของ Tiffany & Co. โดยข้อตกลงดังกล่าวจะทำการซื้อขายในราคา 135 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้นหรือประมาณ 1.47 หมื่นล้านยูโร หรือราว 1.62 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการเข้าซื้อกิจการของ Tiffany & Co. จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของกลุ่ม LVMH โดยเฉพาะในด้านเครื่องประดับ โดย Tiffany & Co. จะปรับเปลี่ยนรูปแบบของกลุ่มธุรกิจนาฬิกาและเครื่องประดับ (Watches & Jewelry) ของ LVMH และช่วยให้กลุ่ม LVMH มีแบรนด์อยู่ในอาณาจักรถึง 75 แบรนด์ โดยหลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการถ่ายโอนการบริหารและคาดว่าธุรกรรมทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในช่วงกลางปี 2020
LVMH ยื่นซื้อกิจการ Tiffany & Co. ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ทำให้ Tiffany & Co. ต้องแบกรับภาษีจากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน ส่งผลให้ยอดขายลดลงอย่างรุนแรง LVMH มองว่า Tiffany & Co.เป็นช่องทางที่สำคัญในการเข้าสู่ตลาดของสหรัฐฯ โดยข้อตกลงซื้อขายในราคา 1.62 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการเข้าซื้อกิจการซึ่งการเข้าซื้อกิจการเข้มแข็งให้ธุรกิจด้านเครื่องประดับ โดยหลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการถ่ายโอนการบริหารและคาดว่าธุรกรรมทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในช่วงกลางปี 2020
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50494
Retail
กลยุทธ์ Coffee-Shopping จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. ดึงดูดลูกค้า -การดึงดูดลูกค้ากลุ่ม Millennials และ Gen Z: กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ชอบการช้อปปิ้งแบบผสมผสาน (Omnichannel) และต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ -การสร้างจุดหมายปลายทาง: ร้านกาแฟภายในร้านค้าปลีกดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ -การเพิ่มระยะเวลาการอยู่ในร้าน: ลูกค้าใช้เวลานานขึ้นในร้าน เพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้า 2. เพิ่มโอกาสในการขาย -การกระตุ้นการซื้อแบบอัตวิสัย: ลูกค้าอาจซื้อสินค้าเพิ่มเติมนอกเหนือจากสินค้าที่ตั้งใจไว้ -การจับคู่สินค้า: ร้านกาแฟสามารถจับคู่กับสินค้าประเภทอื่น ๆ -การเสนอโปรโมชั่น: ร้านค้าปลีกสามารถเสนอโปรโมชั่นร่วมกับร้านกาแฟ 3. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี -การสร้างบรรยากาศ: ร้านกาแฟช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าดึงดูด -การยกระดับแบรนด์: ร้านกาแฟช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและมีระดับ -การสร้างความแตกต่าง: ร้านกาแฟช่วยสร้างจุดเด่นให้กับร้านค้าปลีก 4. เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า -การสร้างชุมชน: ร้านกาแฟสามารถเป็นพื้นที่สำหรับพบปะสังสรรค์ -การสร้างกิจกรรม: ร้านกาแฟสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย -การสร้างความสัมพันธ์: ร้านกาแฟช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Coffee-Shopping ไม่ได้เหมาะกับร้านค้าปลีกทุกประเภท -ขนาดพื้นที่: ร้านค้าปลีกต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับร้านกาแฟ -กลุ่มเป้าหมาย: ร้านค้าปลีกต้องพิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการร้านกาแฟหรือไม่ -งบประมาณ: ร้านค้าปลีกต้องมีงบประมาณสำหรับลงทุนในร้านกาแฟ สรุป กลยุทธ์ Coffee-Shopping มีศักยภาพที่จะเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ร้านค้าปลีกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้กลยุทธ์นี้ คำอธิบายเพิ่มเติม -กลยุทธ์ Coffee-Shopping เป็นเพียงกลยุทธ์หนึ่งที่ร้านค้าปลีกสามารถใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย -ร้านค้าปลีกควรใช้กลยุทธ์อื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การพัฒนาสินค้า การบริการ และช่องทางการขาย -ร้านค้าปลีกต้องติดตามผลลัพธ์ของกลยุทธ์ Coffee-Shopping อย่างต่อเนื่อง และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตัวอย่างร้านค้าปลีกที่ใช้กลยุทธ์ Coffee-Shopping -Kinokuniya Bookstore -B2S Think Space -Central World -Siam Paragon -Mega Bangna
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50504
Retail
รายละเอียด “DON DON DONKI” (ดอง ดอง ดองกิ) สาขาที่ 2 ในประเทศไทยเป็นอย่างไร
หลังจาก “DON DON DONKI” (ดอง ดอง ดองกิ) เปิดให้บริการสาขาแรกของไทยที่ย่านทองหล่อ ไปเมื่อช่วงต้นปี ล่าสุด มีอัพเดทว่า ดองกิ จะขยายสาขาแห่งที่ 2 แล้ว โดยจะเปิดตัวที่ “ศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก” ย่านราชประสงค์ ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ด้วยพื้นที่ราว 4,000 ตร.ม. ณ ชั้น 1 ของศูนย์การค้าดังกล่าว สำหรับ ดองกิ สาขาที่ 2 แห่งนี้ ยังคงคอนเซปต์การเป็น “ร้านขายสินค้าที่พิเศษจากญี่ปุ่น” ทั้งสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นและออกแบบมาเพื่อคนญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารงานโดย Pan Pacific Retail Management (Singapore) Pte. Ltd. จำกัด เป็น บริษัท โฮลดิ้ง ตั้งอยู่ในสิงคโปร์เป็นของกลุ่มแพน แปซิฟิก อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง คอร์ป (PPIH) ซึ่งดำเนินกิจการห้างสรรพสินค้าราคาประหยัดจากญี่ปุ่น ปัจจุบัน ดองกิ ให้บริการในประเทศสิงคโปร์ 5 สาขา, ฮ่องกง 1 สาขา และไทยอีก 1 สาขา ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการเพิ่มเติมอีก 1 สาขา โดยจะเน้นการนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ทั้ง อาหารสด อาหารในครัวเรือน และของใช้ประจำวัน ส่วนศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต บางกอก ราชประสงค์ บริหารงานโดย บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่ตั้งอยู่ย่านราชประสงค์ขนาดพื้นที่ 21 ไร่ ประกอบด้วยอาคาร ศูนย์การค้าฯ มูลค่าโครงการกว่า 4,400 ล้านบาท, อาคารสำนักงาน เดอะ แพลทินัม ทาวเวอร์ มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และโรงแรมระดับ 3 ดาว 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมม็อกซี่ โฮเทล แบงคอก ราชประสงค์ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท จำนวน 532 ห้อง และโรงแรมแฟร์ฟิลด์ บาย แมริออท แบงคอก ราชประสงค์ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท จำนวน 434 ห้อง ซึ่งบริหารโดยแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล โดยปัจจุบัน ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ราชประสงค์ เปิดให้บริการอาคาร M 1 และ M2 ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2562 มีพื้นที่ค้าปลีกรวม 28,000 ตารางเมตร สำหรับอาคาร M3 คาดว่าจะเปิดในปี 2563 มีพื้นที่รวม 6,700 ตารางเมตร
หลังจาก “DON DON DONKI” (ดอง ดอง ดองกิ) เปิดให้บริการสาขาแรกของไทยที่ย่านทองหล่อ ไปเมื่อช่วงต้นปี ล่าสุด มีอัพเดทว่า ดองกิ จะขยายสาขาแห่งที่ 2 แล้ว โดยจะเปิดตัวที่ “ศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก” ย่านราชประสงค์ ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ด้วยพื้นที่ราว 4,000 ตร.ม. ณ ชั้น 1 ของศูนย์การค้าดังกล่าว สำหรับ ดองกิ สาขาที่ 2 แห่งนี้ ยังคงคอนเซปต์การเป็น “ร้านขายสินค้าที่พิเศษจากญี่ปุ่น” ทั้งสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นและออกแบบมาเพื่อคนญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารงานโดย Pan Pacific Retail Management (Singapore) Pte. Ltd. จำกัด เป็น บริษัท โฮลดิ้ง ตั้งอยู่ในสิงคโปร์เป็นของกลุ่มแพน แปซิฟิก อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง คอร์ป (PPIH) ซึ่งดำเนินกิจการห้างสรรพสินค้าราคาประหยัดจากญี่ปุ่น ปัจจุบัน ดองกิ ให้บริการในประเทศสิงคโปร์ 5 สาขา, ฮ่องกง 1 สาขา และไทยอีก 1 สาขา ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการเพิ่มเติมอีก 1 สาขา โดยจะเน้นการนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ทั้ง อาหารสด อาหารในครัวเรือน และของใช้ประจำวัน ส่วนศูนย์การค้าเดอะ มาร์เก็ต บางกอก ราชประสงค์ บริหารงานโดย บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่ตั้งอยู่ย่านราชประสงค์ขนาดพื้นที่ 21 ไร่ ประกอบด้วยอาคาร ศูนย์การค้าฯ มูลค่าโครงการกว่า 4,400 ล้านบาท, อาคารสำนักงาน เดอะ แพลทินัม ทาวเวอร์ มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และโรงแรมระดับ 3 ดาว 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมม็อกซี่ โฮเทล แบงคอก ราชประสงค์ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท จำนวน 532 ห้อง และโรงแรมแฟร์ฟิลด์ บาย แมริออท แบงคอก ราชประสงค์ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท จำนวน 434 ห้อง ซึ่งบริหารโดยแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50510
Retail
เซ็นทรัล รีเทล มีแผนงานและแนวทางอย่างไร และ Omnichannel ส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าอย่างไร
null
กลยุทธ์ "Central of Life" ของเซ็นทรัล รีเทล มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตครบวงจร โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ซึ่งเป็นการผสมผสานช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน กลยุทธ์นี้ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้ 1. Multi-Category: เซ็นทรัล รีเทล นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ครอบคลุมทั้งแฟชั่น ฮาร์ดไลน์ และฟู้ด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย 2. Multi-Format: เซ็นทรัล รีเทล มีรูปแบบการให้บริการที่หลากหลาย ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของบริษัทได้อย่างสะดวก 3. Multi-Market: เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี เพื่อขยายฐานลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจ ตัวอย่างการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล: -การพัฒนาแอปพลิเคชัน Central Retail: แอปพลิเคชั่นนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา เช็คสต็อกสินค้า ชำระเงินออนไลน์ และติดตามสถานะการสั่งซื้อ -การพัฒนาบริการ Click & Collect: ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และไปรับสินค้าที่สาขาของเซ็นทรัล รีเทล ใกล้บ้านได้ -การพัฒนาบริการ Delivery: เซ็นทรัล รีเทล มีบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านลูกค้า -การพัฒนาบริการ Chat & Shop: ลูกค้าสามารถติดต่อพนักงานผ่านช่องทางแชทเพื่อขอข้อมูลสินค้า สั่งซื้อสินค้า หรือสอบถามข้อมูลอื่นๆ -การพัฒนา Social Commerce: เซ็นทรัล รีเทล จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ LINE Omnichannel ส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าดังนี้: -สะดวก: ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของเซ็นทรัล รีเทล ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านช่องทางที่ลูกค้าสะดวก -รวดเร็ว: ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว -หลากหลาย: ลูกค้ามีตัวเลือกในการช้อปปิ้งที่หลากหลาย -ตรงใจ: ลูกค้าสามารถรับสินค้าได้ตามที่ต้องการ whether they want to pick it up in store, have it delivered to their home, or have it shipped to a locker. -เชื่อมต่อ: ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นทรัล รีเทล ได้ทุกช่องทาง และได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50513
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักที่ Miniso ใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความสำเร็จในตลาดจีน?
หลังมีรายงานข่าวว่า ‘MUJI’ แบรนด์สไตล์มินิมอลชื่อดังจากญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับปัญหากำไรลดลงครั้งแรกในรอบ 8 ปี หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ‘Miniso’ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ MUJI ต้องพบกับปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะในตลาดจีน Miniso เป็นแบรนด์สไตล์มินิมอลสัญชาติจีนที่แทบจะถอดแบบ MUJI มาในเรื่องดีไซน์ร้านสินค้าที่เน้นความเรียบง่ายดูดี โดยเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของ Miyake Junya นักออกแบบชาวญี่ปุ่น ร่วมกับ Ye Guofu นักลงทุนจีนในปี 2013 โดยจุดเด่นของแบรนด์ คือ – แม้จะเป็นแบรนด์จีน แต่ใช้คาแรกเตอร์ความเป็นญี่ปุ่นมาสร้างเป็นจุดแข็ง ตั้งแต่การตั้งชื่อ , สไตล์ตกแต่งร้าน , ยูนิฟอร์มของพนักงาน ฯลฯ ทำให้ภาพลักษณ์ดูดี – เน้นดีไซน์สินค้าให้ดูดีและเรียบง่ายเช่นเดียวกับแบรนด์ MUJI (จนหลายคนอาจคิดว่า เป็นสินค้าของ MUJI) – ราคาจับต้องได้ โดยสินค้าในร้านราคาจะอยู่ที่ 10 หยวน ส่วนในไทยตั้งราคาเริ่มต้นไว้ 69 บาท – สินค้ามีความหลากหลาย ตั้งแต่สินค้าเบ็ดเตล็ด , ขนมขบเคี้ยว , เครื่องสำอาง ของแต่งบ้าน , ของใช้ภายในบ้าน ฯลฯ และเน้นสินค้าหมุนเร็ว ซึ่งนโยบายของ Miniso คือ จะเปลี่ยนของบนเชลฟ์ทุกอาทิตย์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นและกลับมาเข้าร้านใหม่เรื่อยๆ จากจุดแข็งดังกล่าว ทำให้ Miniso ประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว โดยยอดขายรวมของ ในปี 2015 อยู่ที่ 750 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะขยับเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 และเพิ่มเป็น 2,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 นอกจากนี้ ยังได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent และ Hillhouse Capital เข้าไปลงทุนใน Miniso ด้วยเม็ดเงิน 146 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตั้งเป้าจะร่วมกันพัฒนาในเรื่อง big data , ร้านค้าอัจฉริยะ และร้านค้าปลีกยุคใหม่ที่ทำงานผ่านระบบดิจิทัล สำหรับก้าวแรกการทำธุรกิจของ Miniso ในไทยเริ่มต้นเมื่อปี 2016 ภายใต้การดำเนินงานของ ‘บริษัท มินิโซ (ไทยแลนด์) จำกัด’ โดยตอนนี้มีสาขาอยู่ 57 แห่ง (ข้อมูลเมื่อ ธันวาคม 2018) ขณะที่ภาพรวมของ Miniso ทั้งหมด มีสาขาประมาณ 3,500 สาขา ใน 80 ประเทศทั่วโลก (MUJI มีสาขาทั่วโลกเพียง 975 แห่ง ) และมีเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 10,000 แห่งใน 100 ประเทศ นอกจากนี้ มีรายงานจากสื่อต่างประเทศว่า Miniso อยู่ระหว่างการเตรียมตัวระดมทุนในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนให้สามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยกำลังพิจารณาว่า จะเข้าตลาดหุ้นของฮ่องกงหรือนิวยอร์ก และคาดว่า จะสามารถระดมทุนได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ทาง MUJI ก็เตรียมไม้เด็ด เพื่อแก้เกมแล้ว ด้วยการตั้งทีมพัฒนาสินค้าขึ้นมาในจีน เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าได้ตรงความต้องการของผู้บริโภค และมีมากกว่าดีไซน์ที่เรียบง่ายสำหรับแก้ปัญหาของก็อปสินค้า รวมถึงก่อนหน้านี้ได้มีการปรับราคาสินค้าในกลุ่มดาวเด่นที่ขายดีลงไปราว 20-30% เช่น เสื้อผ้า , ชุดชั้นใน , เครื่องหอม ฯลฯ เพื่อให้เหมาะกับการแข่งขันและกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ที่มา : miniso muji RELATED POSTS: No related posts.
Miniso ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดจีนด้วยกลยุทธ์หลัก 4 ประการ ดังนี้ 1. ดีไซน์เรียบง่ายสไตล์มินิมอล: Miniso เน้นดีไซน์สินค้าและร้านค้าที่เรียบง่าย สะอาดตา คล้ายกับ MUJI แต่ราคาถูกกว่ามาก สินค้ามีดีไซน์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งของใช้ในบ้าน เครื่องสำอาง เครื่องเขียน ของเล่น ของขวัญ ฯลฯ สไตล์มินิมอลที่เรียบง่ายแต่ทันสมัย ดึงดูดลูกค้าชาวจีนที่ชื่นชอบความเรียบง่ายและความคุ้มค่า 2. ราคาจับต้องได้: Miniso มุ่งเน้นไปที่สินค้าราคาประหยัด โดยตั้งราคาสินค้าเริ่มต้นที่ 10 หยวน (ประมาณ 45 บาท) ทำให้สินค้าของ Miniso เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและกลุ่มคนมีรายได้น้อย กลยุทธ์ราคาย่อมเยาสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าจำนวนมาก 3. ความหลากหลายของสินค้า: Miniso นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า สินค้าใหม่ ๆ ถูกนำเสนออย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ ซึ่งนโยบาย "สินค้าใหม่ทุกอาทิตย์" กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านบ่อยๆ เพื่อดูสินค้าใหม่ๆ และค้นพบสินค้าที่น่าสนใจ 4. กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด: Miniso มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง โฆษณาทางโทรทัศน์ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย Miniso ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและน่าดึงดูดใจ ดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านและใช้จ่ายเงิน กลยุทธ์เหล่านี้ผสมผสานกันอย่างลงตัว ช่วยให้ Miniso ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดจีน กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ MUJI และแบรนด์มินิมอลอื่นๆ ปัจจัยเพิ่มเติมที่ส่งเสริมความสำเร็จของ Miniso ในตลาดจีน: 1. การเข้าถึงตลาด: Miniso ขยายสาขาอย่างรวดเร็วในจีน ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 3,500 แห่ง ทั่วประเทศ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย 2. การเข้าใจผู้บริโภค: Miniso ศึกษาและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนเป็นอย่างดี พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า 3. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: Miniso นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า เช่น การชำระเงินแบบออนไลน์ การจัดส่งสินค้า และระบบสมาชิก ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลให้ Miniso ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดจีน มียอดขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ค้าปลีกที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศ Miniso ยังขยายสาขาไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก กลายเป็นแบรนด์มินิมอลที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก บทสรุป: Miniso ประสบความสำเร็จในตลาดจีนด้วยกลยุทธ์หลัก 4 ประการ คือดีไซน์เรียบง่ายสไตล์มินิมอล ราคาจับต้องได้ ความหลากหลายของสินค้า และกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด ปัจจัยเพิ่มเติม เช่น การเข้าถึงตลาด การเข้าใจผู้บริโภค และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ยังช่วยส่งเสริมความสำเร็จของ Miniso กลยุทธ์ของ Miniso เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ค้าปลีกอื่นๆ ที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดจีน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50520
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 10 ข่าวเด่นน่าสนใจในแวดวงธุรกิจประจำวันที่ 22 – 28 มิถุนายน 2562
null
มาดูกันดีกว่า ว่ามี 10 ข่าวเด่นน่าสนใจในแวดวงธุรกิจประจำวันที่ 22 – 28 มิถุนายน 2562 ข่าวใดบ้าง ซึ่งได้แก่ พลิกโฉมแหนมตุ้มจิ๋วแบบเดิมสู่แพ็กเกจที่ฉีกง่ายและไร้หนังยาง, รวมสุดยอดโฆษณาเจ้าของ Grand Prix จาก Cannes Lions 2019, มองย้อนกลับเมื่อ Elon Musk ไม่เชื่อว่าคนจะล้นโลก แต่คนจะหายไปครั้งใหญ่, จับตาจุดเปลี่ยน ‘ชิเซโด้ ประเทศไทย’ กับการคุมทัพของ ‘MD หญิง’ คนแรกในรอบ 47 ปี, สิงห์ เอสเตท ลงทุนเพิ่ม 10,000 ล้าน เล็งปักหมุด “พม่า-เวียดนาม”, ออฟฟิศดีไซน์เจ๋ง ชวนให้นายพาน้องหมามาทำงานด้วย, ทำไม “Niantic” จึงต้องสร้าง AR เกม“Harry Potter : Wizard Unite”, Suntory เปิดคาเฟ่รูปแบบ O2O ให้ลูกค้า Customize กาแฟได้เองผ่าน LINE, สติกเกอร์ไลน์ช่วยน้อง ร่วมดูแลเด็กกำพร้ากับมูลนิธิเด็กโสสะฯ และ Millennium Auto ยกทัพรถหรู BMW และขบวนรถจากผู้นำอาเชียนสู่ข้อเสนอสุดพิเศษ บทเรียนจากย่อหน้านี้ -สรุปข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 22 – 28 มิถุนายน 2562 -พลิกโฉมแหนมตุ้มจิ๋วแบบเดิมๆ สู่งาน Redesign แพ็กเกจฉีกง่าย-ไร้หนังยาง แก้ปัญหาแกะยาก-ลุคเชย -รวมสุดยอดโฆษณาเจ้าของ Grand Prix จาก Cannes Lions 2019 -มองย้อนกลับ!!!…เมื่อ Elon Musk ไม่เชื่อว่าคนจะล้นโลก แต่คนจะหายไปครั้งใหญ่ -จับตาจุดเปลี่ยน ‘ชิเซโด้ ประเทศไทย’ กับการคุมทัพของ ‘MD หญิง’ คนแรกในรอบ 47 ปี -สิงห์ เอสเตท ไม่หวั่นตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ลงทุนเพิ่ม 10,000 ล้าน เล็งปักหมุด “พม่า-เวียดนาม” -เจ้าตูบถูกใจสิ่งนี้! ตามไปดูออฟฟิศดีไซน์เจ๋ง ชวนให้นายพาน้องหมามาทำงานด้วย -ทำไม “Niantic” จึงต้องสร้าง “Harry Potter : Wizard Unite” AR เกมใหม่ ออกมาขยี้ความสำเร็จ “Pokemon Go” -Suntory เปิดคาเฟ่รูปแบบ O2O ให้ลูกค้า Customize กาแฟได้เองผ่าน LINE – เลือกเวลาไปรับที่ร้านตามสะดวก -ชวนดาวน์โหลด “สติกเกอร์ไลน์ช่วยน้อง” ร่วมดูแลเด็กกำพร้ากับมูลนิธิเด็กโสสะฯ -Millennium Auto ยกทัพรถหรู BMW และขบวนรถจากผู้นำอาเชียนสู่ข้อเสนอสุดพิเศษ -Prada เตรียมพลิกวงการแฟชัน รับเทรนด์รักษ์โลก เล็งผลิตสินค้าเกือบทั้งหมดด้วยพลาสติกรีไซเคิล ภายในปี 2021 -ล้ำไปอีก เมื่อแบรนด์สกินแคร์เอสเค-ทูออกซิงเกิ้ล “Oh Pitera” เพลงรักใหม่ร่วมกับจอห์น เลเจนด์ -จาก ‘แอน บุญช่วย’ สู่ ‘Mickey Mouse Our Floating Dreams’ มนต์เสน่ห์ ‘ไทย’ที่ดิสนีย์ยังยอมรับ -7-Eleven ว่าไง? ‘VGI’ จับมือ ‘เครือสหพัฒน์’ ตั้งบริษัทร่วมทุนเปิด ‘ลอว์สัน’ บนสถานี BTS เพิ่มแนวรุกธุรกิจร้านสะดวกซื้อ -หรือนี่จะเป็นโล้โก้ใหม่? หลัง ‘GUCCI’ เปลี่ยนภาพโปรไฟล์บน Weibo และ WeChat -อยากพิทักษ์โลก! McDonald’s เล็ง “เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์” ไอศกรีมและสลัด จากพลาสติกเป็นกระดาษ -การตลาดเงียบๆ ก็เหยียบ “ร้อยล้าน” ได้!! กับธุรกิจ “ยาหอม ยาอม ยาดม ยาหม่อง” …EP.1 -‘บี๋-อริยะ’ ดึงลูกหม้อเก่า ‘กวิน’ ผู้บริหารไลน์ทีวี ร่วมทัพช่อง 3 -ทำความรู้จัก “คนโด มาริเอะ” สาวญี่ปุ่นที่ยืนหนึ่งในงาน Cannes Lion 2019 -ความบันเทิงออนไลน์ คือ สินค้าฟุ่มเฟือย! “สรรพสามิต” เล็งรีดภาษี เกม-เพลง-หนัง เข้าข่ายทั้งหมด -ไขข้อสงสัย Facebook ใช้ Model อะไร ทำไมถึงตกเราได้อยู่หมัด -แตกเพื่อโต! “MUJI” มีแผนเปิด “Café & Meal MUJI” ในไทย คาดสาขาแรก “สามย่านมิตรทาวน์” -TOYOTA ลงทุนครั้งใหญ่พัฒนา EV ในอินโดนีเซีย หรือนี่คือการส่งสัญญาณ!!! -คนไทยสายเขียว 64% ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ มีเพียง 16% ใช้รักษาโรค -หุ้น ‘Apple’ ร่วง หลัง ‘Jonathan Ive’ หัวหน้าทีมออกแบบที่ร่วมงานมา 30 ปี ประกาศลาออกไปตั้งบริษัทตัวเอง -Nokia ทวงคืน “TOP of Mind” ทุกเซ็กเมนต์ตลาดมือถือไทย ด้วยประสบการณ์ “ยิ่งใช้ ยิ่ง​ดีขึ้นทุกวัน” -Exclusive Deal สร้างโอกาส! “Lawson” ต่อยอด “O2O” เจาะทำเลทองแนวรถไฟฟ้า สู้สมรภูมิโหดร้านสะดวกซื้อ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_50525
Retail
กลยุทธ์การเปิดร้าน Krispy Kreme สาขาแฟลกชิพสโตร์ในย่านไทม์สแควร์ มหานครนิวยอร์ก เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง จะส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างไร? และกลยุทธ์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกประเภทอื่นๆ ได้อย่างไร
null
กลยุทธ์การเปิดร้าน Krispy Kreme สาขาแฟลกชิพสโตร์ในย่านไทม์สแควร์ ส่งผลดีต่อธุรกิจ ดังนี้ - เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้า: ไทม์สแควร์เป็นย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านทั้งกลางวันและกลางคืน การเปิดร้าน 24 ชั่วโมง ทำให้ Krispy Kreme มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า - สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า: การตกแต่งร้านที่สวยงามแปลกตา การโชว์ให้เห็นถึงขั้นตอนการทำโดนัท ป้ายไฟขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา ล้วนเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ดึงดูดความสนใจ กระตุ้นให้ลูกค้าอยากลองเข้าร้าน - สร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย: การเปิดร้านในไทม์สแควร์ มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ทันสมัย มีชื่อเสียงระดับโลก ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับ Krispy Kreme ว่าเป็นแบรนด์ที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย - เพิ่มการจดจำแบรนด์: การออกแบบร้านที่โดดเด่น ป้ายไฟขนาดใหญ่ กลยุทธ์การตลาดที่ไม่เหมือนใคร ล้วนช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ Krispy Kreme ให้กับลูกค้า - รองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า: ในยุคปัจจุบัน ผู้คนมีวิถีชีวิตที่หลากหลาย บางคนทำงานหรือทำธุระจนดึก การเปิดร้าน 24 ชั่วโมง ช่วยรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทำให้ลูกค้าสามารถแวะซื้อโดนัทได้ทุกเมื่อที่ต้องการ กลยุทธ์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกประเภทอื่นๆ ได้ ดังนี้: - ธุรกิจร้านอาหาร: ธุรกิจร้านอาหารสามารถเปิดร้าน 24 ชั่วโมง หรือเปิดให้บริการดึกกว่าปกติ เพื่อรองรับลูกค้าที่หิวดึก หรือลูกค้าที่ต้องการหาอาหารทานหลังเลิกงาน - ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ: ธุรกิจร้านสะดวกซื้อสามารถเปิดร้าน 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าในเวลาฉุกเฉิน หรือต้องการสินค้าในช่วงดึก - ธุรกิจร้านขายยา: ธุรกิจร้านขายยาสามารถเปิดร้าน 24 ชั่วโมง หรือเปิดให้บริการดึกกว่าปกติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อยาในกรณีฉุกเฉิน - ธุรกิจร้านหนังสือ: ธุรกิจร้านหนังสือสามารถเปิดร้าน 24 ชั่วโมง หรือเปิดให้บริการดึกกว่าปกติ เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการอ่านหนังสือในช่วงดึก - ธุรกิจร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: ธุรกิจร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเปิดร้าน 24 ชั่วโมง หรือเปิดให้บริการดึกกว่าปกติ เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าในกรณีฉุกเฉิน หรือต้องการสินค้าในช่วงดึก
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50526
Retail
จงสรุป 6 เหตุผลที่ 3D Mapping จะเปลี่ยนโลกค้าปลีกไปตลอดกาล
6 เหตุผลหลักที่ทำไมผู้ประกอบการค้าปลีกจึงควรนำเทคโนโลยี 3D Mapping มาใช้ #1 ช่วยออกแบบและเลือกทำเลร้าน บางร้านใช้ข้อมูลเกี่ยวกับฟุตบอลมาเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการเลือกที่ตั้งของร้าน นั่นแปลว่า ลูกค้าเป้าหมายจะต้องมีไลฟ์สไตล์ที่เกี่ยวกับฟุตบอล แต่ในอนาคต เทคโนโลยี 3D Mapping ในการเลือกทำเลตั้งร้านใหม่ และยังคงใช้ เทคโนโลยี 3D Mapping เป็นทรัพยากรด้านนวัตกรรมอีกด้วย นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกยังสามารถใช้เทคโนโลยี 3D Mapping วิเคราะห์ดูว่าลูกค้าเดินดูสินค้าประเภทไหนบ้าง และจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเสริมพื้นที่ร้านอย่างไร ไอเดียเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการจัดแสดงสินค้าในร้านได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจัดตำแหน่งห้องลองเสื้อผ้าในมุมที่ลูกค้าหาเจอได้สะดวก นอกนี้ ยังช่วยในการออกแบบร้านเพื่อลูกค้าพิการ เช่น ช่วยวิเคราะห์ว่า มุมไหนควรเป็นทางเดินโล่ง ๆ มุมไหนเป็นจุดโค้ง และมุมอับ และเหมาะสำหรับลูกค้าอื่น ๆ ทุกเพศทุยวัยที่ชื่นชอบในประสบการณ์การจัดพื้นที่ที่แตกต่างกัน #2 เพิ่มยอดขาย เทคโนโลยี 3D Mapping ช่วยให้ผู้ประกอบการค้าปลีกใช้ 3D Modeling สร้างแผนที่ร้านแบบอินเตอร์แอคทีฟ (Interactive Map) หรือ แผนที่นำทางอัจฉริยะ ให้ลูกค้าและพนักงานในร้านมาใช้ ด้วย 3D Modeling จะช่วยให้พนักงานในร้านให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแอพพลิเคชัน 3D Modeling นี้จะช่วยฝึกพนักงานในร้านเรื่องของสินค้าและลูกค้า การเข้าออกภายในร้านของสินค้าและลูกค้า และค้นหาตำแหน่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว แผนที่นำทางที่มี 3D Modeling บนแอพพลิเคชันช่วยเอาสินค้าออกจากชั้นวางสินค้าได้อีกด้วย โดยการสร้างแท็ปบนโฆษณาของร้านพร้อมรายละเอียดว่าสินค้ายังอยู่หรือไม่ และด้วยเทคโนโลยีแผนที่นำทางนี้ ผู้ประกอบการสามารถแนะให้ลูกค้าเดินไปยังสินค้าที่ลูกค้าถามได้ทันที ยิ่งระบบแผนที่นำทางในร้านดีมากเท่าไร Conversion Rate จากโฆษณาแบบดั้งเดิม แบบดิจิทัลและผ่านสามารถโฟนจะสูงขึ้นเท่านั้น #3 สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หลายคนอาจชินกับห้างสรรพสินค้าที่ใช้แผนที่แบบ 2D โดยเฉพาะแถวป้าย Directory ที่แต่ละห้างทำขึ้น สำหรับหลายคน การอ่านแผนที่แบบนี้ไม่ได้ง่ายเลย แต่ในอนาคตการอ่านแผนที่ในห้างจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ร้าน Herald Square ในนิวยอร์กจัดทำระบบแผนที่นำทางผ่านแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนมาครึ่งศตวรรษ แน่นอนว่า เทคโนโลยี 3D Mapping จะทำให้แอพพลิเคชันบนมือถือเป็นประโยชน์มากกว่าเดิม ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเริ่มนำเอาข้อมูลด้านโลเคชันมาใช้ และยิ่งการหาที่จอดรถเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่ายสำหรับนักช้อป โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ใคร ๆ ก็แห่กันมาช้อปที่ห้าง แผนที่นำทางด้วยเทคโนโลยี 3D ที่ผนวกกับข้อมูลการจอดรถในลานจอดรถแบบเรียไทม์ จะทำให้ลูกค้ารู้ว่า ตรงไหนจะหาที่จอดรถได้ทันที #4 ช่วยปรับเลย์เอาท์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละคน วงการค้าปลีก โดยเฉพาะร้านที่เป็นสาขา สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจาก เทคโนโลยี 3D Mapping โดยเฉพาะการดำเนินงานในร้าน และเมื่อไรก็ตามที่เลย์เอาท์ในร้านมีการนำเอาเทคโนโลยี 3D Mapping มาช่วยเสริมประสิทธิภาพ การทดสอบเลย์เอาท์ของร้านก็สามารถทำได้ในทุก ๆ สาขา บางสาขาอาจพบว่า เลย์เอาท์ของร้านเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนทั้งประเทศ แต่ในขณะที่เลย์เอาท์ของบางสาขาอาจเหมาะสำหรับคนท้องถิ่นเท่านั้น #5 ช่วยเสริมประสบการณ์ทีดีทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน เทคโนโลยี 3D Mapping จะนำเอาเทคโนโลยีเสมือนจริง (Virtual Reality) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงได้อย่างน่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น ร้าน Fashion Nova ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกด้านแฟชั่นของ DTC ที่นำเอาเทคโนโลยี 3D Mapping มาช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจที่มีโมเดลแบบ Online-2-Offline Fashion Nova ออกแอพลลิเคชันบนสมาร์ทโฟนให้ลูกค้าได้ลองสินค้าในบรรยากาศต่าง ๆ เช่น จับสินค้าเสมือนจริงลองวางลงบนโต๊ะหรือวัตถุลักษณะต่าง ๆ โดยใช้วิดีโอแบบเรียลไทม์ผ่านกล้องโทรศัพท์ ฟีทเจอร์นี้ช่วยให้ลูกค้าได้ลองจับเสื้อตัวนั้นมาลองใส่ผสมกับตัวนี้ โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินไปหยิบเสื้อผ้าจริง ๆ มาใส่เป็น #6 อนาคตใหม่ของโลกค้าปลีก ทุกอย่างยิ่งทำให้ง่ายก็ยิ่งดี ค้าปลีกยิ่งเปลี่ยนไปเร็วมาก อนาคตของค้าปลีกคือการทำให้นักช้อปเข้าใกล้แหล่งสินค้าผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและร้านค้าที่เป็นร้านจริง ๆ ดูตัวอย่าง เช่น ช่วงที่ DTC เริ่มทำออนไลน์ ยิ่งทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าต่อแบรนด์เป็นไปในทางบวกมากขึ้น เทคโนโลยี 3D Mapping ช่วยให้ผู้ประกอบการค้าปลีกได้เปิดร้านในทำเลทอง ช่วยออกแบบเลย์เอาท์ร้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ช่วยเพิ่มยอดขายหรือผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการเชื่อมระหว่างการใช้สมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีด้านคอมเมิร์ซใหม่ ๆ เทคโนโลยี 3D Mapping ตอกย้ำศักยภาพอันทรงพลังของข้อมูลด้านโลเคชัน อันจะช่วยให้นักเทคโนโลยีที่มีความรู้ความสามารถด้านค้าปลีกเข้ามาช่วยเสริมกำลังให้กับแวดวงนี้กันต่อไป
6 เหตุผลหลักที่ทำไมผู้ประกอบการค้าปลีกจึงควรนำเทคโนโลยี 3D Mapping มาใช้ 1 ช่วยออกแบบและเลือกทำเลร้าน 2 เพิ่มยอดขาย 3 สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 4 ช่วยปรับเลย์เอาท์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละคน 5 ช่วยเสริมประสบการณ์ทีดีทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน 6 อนาคตใหม่ของโลกค้าปลีก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50527
Retail
จงสรุปบทความ จับตาอาณาจักรอสังหาฯ ของ “นักช้อปตัวยง” เจริญ สิริวัฒนภักดี
จากเว็ปไซต์ TCC Group อาจกล่าวได้ว่า จุดเริ่มต้นสำคัญในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ของ TCC Group เกิดขึ้นในปี 2532 จากการเทคโอเวอร์กิจการ พันทิพย์พลาซ่า ของตระกูลบุนนาค ที่ติดจำนองกับธนาคารไทยทนุ และ บงล.ภัทรธนกิจ เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยังได้ที่ดินผืนงามอีก 5 แปลง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ที่ดินตรงข้ามโกดังอี๊สต์เอเชียติ๊ก ถนนเจริญกรุง อันเป็นที่ตั้งของ “เอเชียทีค” ในปัจจุบัน นั่นเอง ต่อมาในปี 2534 เจ้าสัวเจริญเริ่มรุกสู่ธุรกิจโรงแรมเป็นครั้งแรก ด้วยการซื้อกิจการ โรงแรมแม่ปิง ย่านไนท์บาร์ซา จ.เชียงใหม่ แต่ดีลที่ถือเป็นจุดกำเนิดธุรกิจโรงแรมของเสี่ยเจริญจริงๆ เรียกว่าเกิดขึ้นในปี 2537 จากการซื้อกิจการ โรงแรมอิมพีเรียล 7 แห่งของคุณอากร ฮุนตระกูล ตามด้วยการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์หลักคือ “การซื้อ” และ “เทคโอเวอร์” เหมือนเช่นกลุ่มธุรกิจอื่น ขณะที่สยายปีกสู่ธุรกิจโรงแรม TCC Group ยังได้บุกเบิกธุรกิจบริหารศูนย์การประชุมแห่งแรกไทย ภายใต้บริษัท NCC Management and Development โดยบริหาร ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มาแล้วกว่า 2 ทศวรรษ และยังได้รับสิทธิ์บริหารต่ออีก 50ปี ​นอกจากนี้กลุ่ม TCC ยังได้ลงทุนในกิจการของ สโมสรราชพฤกษ์ สนามกอล์ฟและสโมสรกีฬาหรู ซึ่งปัจจุบัน มีกงานบริหารสนามกอล์ฟรวม 5 สนาม
TCC Group เริ่มก่อตั้งกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2532 จากการเทคโอเวอร์กิจการ พันทิพย์พลาซ่า ของตระกูลบุนนาค ที่ได้ที่ดินจำนองจากธนาคารไทยทนุและบงล.ภัทรธนกิจ มูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท รวมทั้งที่ดินที่ตั้งเอเชียทีคในปัจจุบัน ในปี 2534 เจ้าสัวเจริญเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมด้วยการซื้อโรงแรมแม่ปิง ในปี 2537 ธุรกิจโรงแรมของเสี่ยเจริญก่อตั้งจากการซื้อโรงแรมอิมพีเรียล 7 ของคุณอากร ฮุนตระกูล และขยายธุรกิจในและต่างประเทศ ด้วยกลยุทธ์ "การซื้อ" และ "เทคโอเวอร์" TCC Group ขยายธุรกิจไปยังศูนย์การประชุมแห่งแรกของไทย ในบริษัท NCC Management and Development บริหาร ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษและได้รับสิทธิ์บริหารอีก 50 ปี นอกจากนี้ TCC ยังลงทุนในสนามกอล์ฟและสโมสรกีฬาหรูของสโมสรราชพฤกษ์ ที่มีทั้งหมด 5 สนามในปัจจุบัน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50531
Retail
ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส ปรับกลยุทธ์ Food Retails อย่างไร?
“แม้เบียร์จะเป็นธุรกิจหลักของเรา แต่สำหรับธุรกิจอาหารที่มี ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อน เราต้องใจเย็น เพราะเพิ่งเริ่มต้นได้เพียงปีกว่าๆ และยังเล็กมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ของสิงห์” ปิติ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นที่ 4 ของกลุ่มสิงห์ คอร์เปอเรชั่น และแม่ทัพของ บริษัท ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส จำกัด อัพเดทถึงความเคลื่อนไหวของบริษัทนี้ ที่ถือเป็นจิ๊กซอว์ใหม่ในการสร้างการเติบโตให้กับทั้งกลุ่ม และเพื่อให้จิ๊กซอว์ใหม่นี้ เดินต่อได้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม ช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมาจึงได้เริ่ม Reorganization กลุ่มธุรกิจอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดในบริษัทฯ ให้มาอยู่ภายใต้พอร์ตของ ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส ทั้งหมด รวมถึงปรับโครงสร้างองค์กรในหลาย ๆ ส่วน อะไรที่เหมาะกับทิศทางที่กำลังไปในอนาคต ก็ลุยต่อ หากไม่ จำเป็นก็ต้องหยุด โดยปัจจุบัน ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส มีการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก นอกจากนี้ ยังมี ‘Food Innovation Center’ ศูนย์นวัตกรรมและพัฒนาสินค้าด้านอาหาร รวมไปถึงควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี “ตอนนี้ธุรกิจอาหารเป็น 1 ใน 6 เสาหลัก ที่ต้องโฟกัสและบุกเพื่อสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน ตามที่เราทราบกันว่า ธุรกิจอาหารยังไงก็โตเนื่องจากเป็น 1 ในปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตของคน ส่วนเสาหลักธุรกิจอื่นๆ ของเรามี 1. ธุรกิจเบียร์ น้ำดื่ม โซดา 2. บางกอกกล๊าส 3. Regional Business ภายใต้การดำเนินการของ สิงห์ เอเชีย โฮลดิ้ง 4. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในชื่อ สิงห์ เอสเตท 5. ธุรกิจซัพพลายเชน บุญรอดซัพพลายเชน และ 6. ธุรกิจอาหาร ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส” ประกาศเป็น ‘สตาร์ทอัพผู้มา Disrupt วงการธุรกิจอาหาร’ อีกประเด็นที่กลับมาโฟกัส คือ การวิเคราะห์ Core Business ของตัวเองว่า มีจุดแข็งและสามารถต่อยอดได้อย่างไร โดยสิ่งที่ค้นพบ คือ ต้องพัฒนานวัตกรรมสู่ระบบอุตสาหกรรม ซึ่ง Food Innovation Center จะทำหน้าที่พัฒนาและสร้างนวัตกรรมต่างๆ สำหรับตอบสนองเทรนด์ของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ส่วนการพัฒนานวัตกรรมที่นำไปสู่ระบบอุตสาหกรรม ทาง บริษัท เฮสโก โซลูชั่น จำกัด และ บริษัท เฮสโก ฟู้ด จำกัด ที่จากนี้จะต้องเริ่มโฟกัสในการสร้างโปรดักท์ภายใต้แบรนด์ของตัวเองมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมา 90% เป็น OEM การรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์อื่น อย่างปัจจุบันได้นำเมนูเด็ดและขึ้นชื่อของ Est.33 มาผลิตเป็นโปรดักท์ในรูปแบบ ready to eat และ ready to cook นำไปวางจำหน่ายในช่องทางต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และวางเป้าหมายจะพัฒนาแบรนด์ของตัวเองออกมาสู่ตลาดให้ได้ 2-3 แบรนด์ต่อจากนี้ ขณะเดียวกันในส่วนของ Food Retails จะมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ในการวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมในการเลือกทำเลการเปิดร้านของแต่ละแบรนด์ที่มี พร้อมกับเตรียมเพิ่มแบรนด์ในพอร์ต รวมถึงได้จัดตั้ง ‘Trade Factor’ ขึ้นมา สำหรับดูแลเรื่องช่องทางต่างๆ รวมถึงการกระจายสินค้า และสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า ฯลฯ เพื่อให้การทำงานทั้งหมดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ “ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส เป็นเหมือนสตาร์ทอัพ ที่ขนาดองค์กรไม่ใหญ่ แต่การมี back up ดี มีเน็ตเวิร์กแข็งแรง ทำให้เราเป็นสตาร์ทอัพที่มา Disrupt วงการธุรกิจอาหารให้เติบโตไปด้วยกัน เพราะเรามองว่า จะทำให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ไม่เพียงเท่านี้ ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส จะลิงก์กับอีกบริษัทที่ผมดูแล คือ บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ ทำธุรกิจขนส่งในชื่อ BevChain Logistics เป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Product Mix ให้มากขึ้น ช่วยบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น และช่วยต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจให้ครบวงจร คือ เราจะมีทั้งผู้ผลิตสินค้าและบริการ ไปถึงผู้ขนส่ง สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ดีขึ้นด้วย” ตั้งเป้านำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากจัดทัพและปรับยุทธ์ศาสตร์ใหม่ ทาง ปิติ ประกาศว่า ตอนนี้ฟู้ดส์ แฟคเตอร์สพร้อมลุย!! โดยตั้งเป้ารายได้ใน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2565 จะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 8-15% ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารในภาพรวม ซึ่งนอกจากจะสร้างการเติบโตด้วยตัวเองแล้ว ประเด็นสำคัญ คือ การเน้นสร้างเน็ตเวิร์กให้แข็งแรงด้วยการหาพาร์ทเนอร์ เพื่อเติบโตไปพร้อมกัน โดยพาร์ทเนอร์ในที่นี้มีทั้งในลักษณะ ‘ร่วมมือ’ และ ‘ร่วมทุน’ นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในโครงการ ‘Food Valley’ สร้างนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรแห่งแรกของไทยและอาเซียน บนพื้นที่ 2,000 ไร่ ณ จ.อ่างทอง “ระหว่างนี้เราจะทบทวนและปรับแผนตลอด อะไรที่เวิร์คก็จะลุยต่อ อะไรไม่ ก็ต้องกลับไปดู เนื่องจากเราต้องการให้รายได้ทะลุหลักหมื่นล้าน เพราะจริง ๆ เป้าหมายของเราคือ นำฟู้ด แฟ็คเตอร์ส เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ส่วนจะบรรลุเป้
ฟู้ด แฟ็คเตอร์ส กำลังปรับกลยุทธ์ Food Retails ใหม่ ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความเหมาะสมของทำเล: - ศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกทำเล เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค คู่แข่ง สภาพเศรษฐกิจ สภาพการจราจร ฯลฯ - วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data insights) เช่น ข้อมูลประชากร ข้อมูลการใช้จ่าย ข้อมูลการเดินทาง ฯลฯ ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น GIS, AI ฯลฯ - ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มยอดขาย เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าใหม่ สร้างแบรนด์ ฯลฯ 2. เพิ่มแบรนด์ในพอร์ต: - มองหาแบรนด์ที่มีศักยภาพ เติมเต็มช่องว่างในตลาด - พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เทรนด์ของผู้บริโภค จุดแข็งของบริษัท ฯลฯ - พัฒนาแบรนด์ใหม่ หรือ ซื้อกิจการแบรนด์ที่มีอยู่ - ตัวอย่างแบรนด์ในพอร์ตของ Food Factors ณ ปัจจุบัน เช่น Est.33, Greyhound Cafe, 88 Sandwich & Coffee ฯลฯ 3. จัดตั้ง Trade Factor: - บริษัทลูกที่รับผิดชอบดูแลช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า - กระจายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ฯลฯ - ศึกษาและวิเคราะห์ช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ - เจรจาต่อรองกับตัวแทนจำหน่าย พัฒนาความสัมพันธ์กับคู่ค้า - Trade Factor จะช่วยให้ Food Factors เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า 4. พัฒนาสินค้าใหม่: - นำเมนูเด็ดของร้านอาหารในเครือ มาผลิตเป็นสินค้า Ready to Eat และ Ready to Cook - พัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค - ศึกษาเทรนด์ของตลาด วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค - ตัวอย่างสินค้าใหม่ของ Food Factors เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน ขนมขบเคี้ยว ฯลฯ 5. สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า: - เก็บรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นของลูกค้า - พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า - พัฒนาระบบการบริการให้มีประสิทธิภาพ - ตัวอย่างช่องทางการเก็บข้อมูลความคิดเห็นของลูกค้า เช่น แบบสอบถาม รีวิวออนไลน์ ฯลฯ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: - เพิ่มยอดขาย - ขยายฐานลูกค้า - สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก - กลยุทธ์ใหม่นี้ จะช่วยให้ Food Factors เติบโตอย่างยั่งยืนในธุรกิจ Food Retails
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50533
Retail
บอกกลยุทธ์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิควรมี เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เพิ่ม
null
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีศักยภาพสูงในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เพิ่มผ่านกลยุทธ์ Retailtainment ที่มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1. ผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์: - พัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวค้นหาข้อมูลร้านค้า ร้านอาหาร สินค้า และบริการต่างๆ ภายในท่าอากาศยาน - เสนอบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าหน้าร้าน (Click & Collect) - นำเสนอเทคโนโลยี AR/VR เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง - จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์. 2. เน้นประสบการณ์และความบันเทิง: - จัดกิจกรรมพิเศษ เวิร์คช็อป การแสดง ดนตรีสด เกม หรือการแข่งขัน - นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เกม VR, โดรน, หุ่นยนต์ - สร้างพื้นที่ส่วนกลางที่นักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อน นั่งเล่น ทำงาน หรือพบปะสังสรรค์ - ออกแบบพื้นที่ภายในท่าอากาศยานให้สวยงาม สะดวกสบาย และน่าจดจำ 3. มุ่งเน้นการบริการลูกค้า: - พนักงานมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ยิ้มแย้มแจ่มใส และพร้อมให้บริการ - บริการหลังการขายที่ดี ตอบคำถาม แก้ไขปัญหา และรับคืนสินค้า - มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลด โปรโมชั่น และของสมนาคุณให้กับลูกค้า - เก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 4. สร้างชุมชนและความสัมพันธ์: - จัดกิจกรรม CSR ร่วมกับชุมชน - สนับสนุนงานท้องถิ่น - จัดตั้งกลุ่มลูกค้า VIP - สื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแอปพลิเคชั่น ตัวอย่างกลยุทธ์ Retailtainment ที่ประสบความสำเร็จในท่าอากาศยานอื่นๆ: 1. Changi Airport: สนามบินชางฮี สิงคโปร์ มีสวนผีเสื้อ น้ำตก สวนสนุก และโรงหนัง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว 2. Incheon International Airport: สนามบินอินชอน เกาหลีใต้ มีสนามกอล์ฟจำลอง พิพิธภัณฑ์ และสวนน้ำ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว 3. Dubai International Airport: สนามบินดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีสกีรีสอร์ท สวนน้ำ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สรุป: ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถนำกลยุทธ์ Retailtainment มาปรับใช้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เพิ่ม โดยผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์ เน้นประสบการณ์และความบันเทิง มุ่งเน้นการบริการลูกค้า และสร้างชุมชน การนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้ จะช่วยให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวอยากมาเยือน และสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50549
Retail
กลยุทธ์หลักของสยามพิวรรธน์ในธุรกิจค้าปลีกคืออะไร?
null
กลยุทธ์หลักของสยามพิวรรธน์ในธุรกิจค้าปลีกมีดังนี้ 1. เน้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม: สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญกับการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าอยู่เสมอ ผ่านการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ การออกแบบพื้นที่ที่ไม่เหมือนใคร และการจับมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโครงการไอคอนสยาม ซึ่งผสมผสานศิลปะ วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว 2. มุ่งเน้นไปที่ Customer Centric: สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญกับการศึกษาความต้องการของลูกค้า และนำเสนอสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบสารสนเทศทางการตลาด (Marketing Intelligence System) ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และการพัฒนาระบบ Mobile Application เพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบาย 3. ขยายธุรกิจค้าปลีกให้มีความหลากหลาย: สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจค้าปลีกให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ การร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกชั้นนำจากต่างประเทศ และการสนับสนุนดีไซน์เนอร์ไทยและผู้ประกอบการ SME ไทย 4. มุ่งสู่การเป็นผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์: สยามพิวรรธน์มุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ และพันธมิตรชั้นนำในต่างประเทศ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่เป็นคนแรก และสร้างมหาปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน 5. ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืน: สยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนโครงการดีมาร์ค โชว์ โครงการทาเลนต์ไทย แอนด์ ดีไซน์เนอร์รูม และการเปิดร้าน Objects of Desire Store (ODS) เพื่อผลักดันผลงานของนักออกแบบไทยรุ่นใหม่ให้ก้าวไกลสู่ตลาดโลก 6. พัฒนาองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ: สยามพิวรรธน์มีแผนปรับโครงสร้างบริหารและพัฒนาองค์กร เพื่อรองรับการขยายธุรกิจที่โตอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่น การสร้างสยามพิวรรธน์ Next-Gen Leader ปั้นคนรุ่นใหม่เสริมทัพผู้บริหาร และการปรับโครงการสร้างองค์กรด้วยการสร้าง Center of Excellence ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ทำให้สยามพิวรรธน์ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจค้าปลีก กลายเป็นผู้นำในตลาด และได้รับการยกย่องจากองค์กรชั้นนำในต่างประเทศ ตัวอย่างความสำเร็จ: ไอคอนสยามได้รับรางวัลชนะเลิศจากทั้งวงการศูนย์การค้าและการค้าปลีกของโลกพร้อมกัน สยามพารากอนติดอันดับ 1 ใน 10 ของสถานที่ยอดนิยมระดับโลก อันดับ 1 ใน Instagram และอันดับ 6 ใน Facebook สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากผู้ประกอบการต่างประเทศให้ไปร่วมลงทุน หรือเป็นที่ปรึกษาในการทำโครงการ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50554
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "สรุปข่าวเด่นน่าสนใจ 5 ข่าวแรกประจำวันที่ 09 – 15 กุมภาพันธ์ 2562"
สรุปข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 09 – 15 กุมภาพันธ์ 2562 ทั้ง Strong ทั้งแซ่บ! Top 10 Influencer Marketing สาย Fitness ที่แบรนด์สายสุขภาพไม่ควรมองข้าม https://www.marketingoops.com/news/biz-news/top-10-influencer-marketing-fitness/ Gucci ยังพลาด!! รีบปิดแผงขายชุด “Balaclava Knit Top Black” หลังถูกวิจารณ์เหยียดคนผิวดำ https://www.marketingoops.com/news/gucci-balaclava-knit-top-black/ ขยะมีมูลค่า! ญี่ปุ่นผลิตเหรียญรางวัลโอลิมปิก – พาราลิมปิก “Tokyo 2020” จากขยะอิเล็กทรอนิกส์ https://www.marketingoops.com/news/csr-news/tokyo-olympic-and-paralympic-2020-medals-made-from-recycled-electronic-waste/ กรุ๊ปเอ็ม เปิด 4 เทรนด์ที่ต้องตามให้ทัน ใน ‘THAILAND DIGITAL PLAYBOOK 2019’ https://www.marketingoops.com/reports/groupm-trends/ วงการของขลังใช้ดีไซน์หนีการดิสรัพท์ ปลุกกระแสเทรนด์ธุรกิจใหม่ #แฟชั่นสายมู ในหมู่วัยรุ่น คนดัง https://www.marketingoops.com/exclusive/trending-exclusive/leila-amulet-fashion/
สรุปข่าวเด่นน่าสนใจ 5 ข่าวแรกประจำวันที่ 09 – 15 กุมภาพันธ์ 2562 1. ทั้ง Strong ทั้งแซ่บ! Top 10 Influencer Marketing สาย Fitness ที่แบรนด์สายสุขภาพไม่ควรมองข้าม 2. Gucci ยังพลาด!! รีบปิดแผงขายชุด “Balaclava Knit Top Black” หลังถูกวิจารณ์เหยียดคนผิวดำ 3. ขยะมีมูลค่า! ญี่ปุ่นผลิตเหรียญรางวัลโอลิมปิก – พาราลิมปิก “Tokyo 2020” จากขยะอิเล็กทรอนิกส์ 4. กรุ๊ปเอ็ม เปิด 4 เทรนด์ที่ต้องตามให้ทัน ใน ‘THAILAND DIGITAL PLAYBOOK 2019’ 5. วงการของขลังใช้ดีไซน์หนีการดิสรัพท์ ปลุกกระแสเทรนด์ธุรกิจใหม่ #แฟชั่นสายมู ในหมู่วัยรุ่น คนดัง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50555
Retail
อะไรคือจุดเด่นของพื้นที่ Retail ในโครงการสามย่านมิตรทาวน์?
null
พื้นที่ Retail ของโครงการสามย่านมิตรทาวน์มีจุดเด่นหลายประการ ดังนี้ 1. การผสมผสานระหว่างร้านค้าแบบดั้งเดิมและร้านค้าสมัยใหม่: โครงการมีการผสมผสานระหว่างร้านค้าแบบดั้งเดิมที่อยู่คู่กับย่านสามย่านมานาน เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เจ้าดัง ร้านอาหารตามสั่ง ไปจนถึงร้านค้าสมัยใหม่ แบรนด์เนม ร้านอาหารแฟรนไชส์ และร้านกาแฟชื่อดังต่างๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม 2. พื้นที่แห่งการเรียนรู้: โครงการมี Co-Learning Space พื้นที่สำหรับนั่งอ่านหนังสือ ทำงาน ติวสอบ หรือประชุมกลุ่ม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับนักศึกษา นักเรียน และคนวัยทำงาน 3. พื้นที่สำหรับกิจกรรม: โครงการมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น เวิร์คชอป การแสดงดนตรี นิทรรศการ ฯลฯ ตลอดทั้งปี ดึงดูดผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่และสร้างความคึกคักให้กับโครงการ 4. การออกแบบที่ทันสมัย: โครงการออกแบบพื้นที่ Retail ให้มีความโปร่งโล่ง สบายตา เน้นแสงธรรมชาติ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เหมาะสำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย 5. เทคโนโลยีล้ำสมัย: โครงการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ เช่น ระบบจดจำใบหน้า ระบบจองคิวออนไลน์ ฯลฯ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการ 6. การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ: โครงการเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามย่าน เพิ่มความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงพื้นที่ Retail 7. การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: โครงการตั้งอยู่ใจกลางย่านสามย่าน แหล่งรวมนักศึกษา นักเรียน พนักงานออฟฟิศ และประชาชนทั่วไป ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย 8. การเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง: โครงการมีบางส่วนเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย 9. กลยุทธ์ทางการตลาด: โครงการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดึงดูดผู้บริโภค เช่น โปรโมชั่นส่วนลด กิจกรรมส่งเสริมการขาย ฯลฯ 10. การผสมผสานกับส่วนอื่นๆ ของโครงการ: โครงการ Retail เชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ ของโครงการ เช่น อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย โรงแรม ฯลฯ สร้าง synergy และดึงดูดผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่ต่างๆ ของโครงการ สรุป: พื้นที่ Retail ของโครงการสามย่านมิตรทาวน์มีจุดเด่นหลายประการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50558
Retail
วิเคราะห์กลยุทธ์ Omnichannel ของ Beauty Buffet ที่มุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ กลยุทธ์ Omnichannel ส่งผลต่อประสบการณ์การซื้อของลูกค้าในต่างประเทศอย่างไร
null
กลยุทธ์ Omnichannel ของ Beauty Buffet ที่มุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ส่งผลต่อประสบการณ์การซื้อของลูกค้าในต่างประเทศดังนี้: 1. สะดวก: ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า Beauty Buffet ได้หลากหลายช่องทาง ทั้งหน้าร้าน เว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น และโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปที่หน้าร้าน 2. รวดเร็ว: Beauty Buffet มีระบบจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าได้ที่หน้าร้าน หรือให้จัดส่งสินค้าไปที่บ้าน สินค้าจะถูกจัดส่งถึงลูกค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด 3. ครบวงจร: Beauty Buffet มีสินค้าหลากหลายประเภท ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า ทานอาหาร และทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ครบภายในที่เดียว 4. ตรงใจ: Beauty Buffet มีระบบ CRM ที่ช่วยให้บริษัทสามารถจดจำความต้องการของลูกค้า และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า 5. เชื่อมต่อ: Beauty Buffet มีแอปพลิเคชั่นที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสินค้า โปรโมชั่น และกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท ได้อย่างสะดวก ตัวอย่าง: ตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ Omnichannel ของ Beauty Buffet คือ การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นของ Beauty Buffet และสามารถเลือกที่จะรับสินค้าได้ที่หน้าร้าน หรือให้จัดส่งสินค้าไปที่บ้าน สินค้าจะถูกจัดส่งถึงลูกค้าภายใน 3-5 วันทำการ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: - ลูกค้า: Beauty Buffet คาดหวังว่ากลยุทธ์ Omnichannel จะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า - ธุรกิจ: Beauty Buffet คาดหวังว่ากลยุทธ์ Omnichannel จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไร ข้อจำกัด: - เทคโนโลยี: กลยุทธ์ Omnichannel จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด - บุคลากร: กลยุทธ์ Omnichannel จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะที่หลากหลาย ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานจำนวนน้อย บทสรุป: กลยุทธ์ Omnichannel เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง และสามารถสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดีให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Omnichannel จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และบุคลากรที่มีทักษะที่หลากหลาย ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด และมีพนักงานจำนวนน้อย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50571
Retail
"การใช้ Influencer Marketing จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจค้าปลีก (Retail) ได้หรือไม่?"
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย Influencer มีผู้ติดตามจำนวนมากบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งสามารถช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น 2. การสร้างการรับรู้ Influencer สามารถช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า หรือบริการใหม่ ๆ ของธุรกิจค้าปลีก 3. การสร้างความน่าเชื่อถือ Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ติดตาม และโน้มน้าวให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ 4. การสร้าง engagement Influencer สามารถสร้าง engagement กับผู้ติดตาม through การโพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจ กระตุ้นให้เกิดการแชร์ แสดงความคิดเห็น และกดไลค์ 5. การวัดผลลัพธ์ Influencer Marketing สามารถวัดผลลัพธ์ได้ง่าย ผ่าน metrics ต่างๆ เช่น reach, engagement, click-through rate (CTR), conversion rate ตัวอย่าง -ธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางสามารถใช้ Influencer ที่เป็น beauty blogger ในการรีวิวสินค้าใหม่ -ธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าสามารถใช้ Influencer ที่เป็น fashion blogger ในการแนะนำการแต่งตัว -ธุรกิจค้าปลีกอาหารสามารถใช้ Influencer ที่เป็น food blogger ในการรีวิวร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกควรเลือก Influencer ที่เหมาะสมกับแบรนด์ สินค้า และบริการของตน และควรมีกลยุทธ์ Influencer Marketing ที่ชัดเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ข้อควรระวัง -ธุรกิจค้าปลีกควรเลือก Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีภาพลักษณ์ที่ดี -ธุรกิจค้าปลีกควรตรวจสอบเนื้อหาที่ Influencer โพสต์ก่อนเผยแพร่ -ธุรกิจค้าปลีกควรมีกลยุทธ์ Influencer Marketing ที่ชัดเจน สรุป การใช้ Influencer Marketing สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจค้าปลีกได้ แต่ธุรกิจค้าปลีกควรเลือก Influencer ที่เหมาะสม และมีกลยุทธ์ Influencer Marketing ที่ชัดเจน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50577
Retail
การเปิดตัวบริการรับชำระเงินดิจิทัล Alipay+ เป็นการยกระดับสิ่งใดให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC จับมือ แอนท์ กรุ๊ป เปิดตัว อาลีเพย์พลัส (Alipay+) บริการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศแบบครบวงจร หนึ่งในมาร์เก็ตติ้งโซลูชั่นที่เพิ่มความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเอเชีย ทั้งจีน ฮ่องกง มาเลเซีย และเกาหลีใต้ โดยสามารถชำระเงินดิจิทัลผ่านโลคอลโมบายวอลเล็ตที่มีอยู่แล้วได้ง่าย ๆ สะดวกสบาย เหมือนอยู่ในประเทศตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแอป Alipay ของจีน AlipayHK ของฮ่องกง Touch ‘n Go eWallet ของมาเลเซีย และ Kakao Pay ของเกาหลีใต้ สามารถใช้จ่ายกับร้านค้าในเครือ โดยไม่ต้องพกเงินสด หรือแลกเงินไทย ผ่านจุดชำระเงินกว่า 3,000 จุดทั่วประเทศของร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต, ท็อปส์, เพาเวอร์บาย, บีทูเอส, ออฟฟิศเมท, มัตสึคิโยะ, ท็อปส์ วีต้า และมูจิ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายและมีทางเลือกมากขึ้นขณะท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทย ปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมมือกันระหว่างเซ็นทรัล รีเทล และแอนท์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการชำระเงินดิจิทัล อาลีเพย์พลัส (Alipay+) ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินดิจิทัล สำหรับลูกค้าของเซ็นทรัล รีเทล ให้สามารถเข้าถึงบริการที่มีความหลากหลายครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องไปกับพฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันที่นิยมการชำระเงินแบบ Cashless โดยโฟกัสไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียที่มาเที่ยวในประเทศไทย ให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาช้อปปิ้งซื้อสินค้า พร้อมชำระเงินด้วย Alipay+ ผ่าน Local Mobile Wallet กับร้านค้าในเครือ เซ็นทรัล รีเทล ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการยังสามารถรับโปรโมชันและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เซ็นทรัล รีเทล ร่วมกับ ผู้ให้บริการโมบายวอลเล็ตของแต่ละประเทศมอบให้โดยตรง เพื่อนำเสนอประสบการณ์ในการช้อปปิ้งที่เหนือระดับและคุ้มค่ายิ่งขึ้น โดยในอนาคตยังมีแผนที่จะขยายบริการ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งในโซนเอเชีย และยุโรป” นอกจากนี้ การเพิ่มบริการดังกล่าวยังสอดรับกับข้อมูลสถิติด้านการท่องเที่ยวที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนนักท่องเที่ยวโซนเอเชียที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น โดยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยรวมกันมากกว่า 12.46 ล้านคน โดย 5 อันดับแรกมาจากประเทศมาเลเซีย จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดียตามลำดับ พร้อมทั้งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดจะแตะ 25 ล้านคนภายในปีนี้ ในขณะที่ร้านค้าต่าง ๆ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาประเทศไทยเพื่อเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าชั้นนำ ทำให้ไตรมาสที่ 1 มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการผ่านร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ที่ตั้งอยู่ในหัวเมืองใหญ่ย่านแหล่งท่องเที่ยวทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต สามารถสร้างยอดขายจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเกือบ 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 (ก่อนการระบาดของโควิด-19) “การเปิดตัวบริการรับชำระเงินดิจิทัล Alipay+ เป็นการยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้บริโภคในทุกมิติ อันเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อสร้างการเติบโตภายใน 5 ปี และก้าวขึ้นเป็นผู้นำ Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย” ปิยวรรณ กล่าวสรุป ด้าน นายสิทธิพงษ์ กิตติประภาพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป ด้าน Global Merchant Partnership ประจำประเทศไทย บริษัท แอนท์กรุ๊ป เปิดเผยว่า “นับเป็นอีกความร่วมมือครั้งสำคัญของแอนท์กรุ๊ปกับเซ็นทรัล รีเทล ในการร่วมกันนำเสนอบริการที่ทันสมัยและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกค้าของเซ็นทรัล รีเทล ให้สามารถชำระเงินดิจิทัลผ่านมือถือได้อย่างไร้พรมแดน ในขณะเดียวกัน Alipay+ ยังเป็นบริการที่ช่วยให้ร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล สามารถรับการชำระเงินดิจิทัลผ่านมือถือจากกลุ่มนักท่องเที่ยวโซนเอเชียได้มากขึ้น รวมถึงเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับนักช้อปต่างชาติได้เลือกซื้อสินค้าได้อย่างเพลิดเพลิน ผ่าน Alipay+ แพลตฟอร์มการชำระเงินแบบครบวงจรตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการยกระดับการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลให้นักท่องเที่ยวสัมผัสถึงความคล่องตัวเหมือนใช้จ่ายอยู่ในประเทศของตนเอง” “ทั้งนี้ Alipay+ ถือเป็นแพลตฟอร์มของการชำระเงินดิจิทัลได้แบบไร้พรมแดนและเป็นโซลูชันการตลาดที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินการชำระเงินดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราตั้งใจมาช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเหล่านี้ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคระดับภูมิภาคและทั่วโลกกว่า 1 พันล้านคน ผ่านระบบการทำงานที่ง่ายดายและครบจบภายในครั้งเดียว” นายสิทธิพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมกันนี้ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้ใช้บริการ Alipay+ ที่มาจับจ่ายและใช้บริการผ่านร้านค้าในเครือ เซ็นทรัล รีเทล ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน 2566 จะได้รับคูปองส่วนลดพิเศษ Mega Campaign ประกอบไปด้วย ทุกยอดการใช้จ่ายครบ 200 บาท จะได้รับคูปองแทนเงินสดมูลค่า 50 บาท ทุกยอดการใช้จ่ายครบ 2,000 บาท จะได้รับคูปองแทนเงินสดมูลค่า 250 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับ Mega Campaign สำหรับผู้ใช้บริการ Alipay+ เพิ่มเติมได้ที่ www.centralretail.com และ Facebook: Central Retail
เป็นการยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและระบบต่าง ๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลก มาสร้างการเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้บริโภคในทุกมิติ อันเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อสร้างการเติบโตภายใน 5 ปี และก้าวขึ้นเป็นผู้นำ Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50584
Retail
กลยุทธ์การดึงดูดกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผ่าน THE POSSIBILITIES MAKERS ทั้ง 10 คน มีประสิทธิภาพอย่างไร ในแง่ของกลยุทธ์การค้าปลีก
null
1. สร้างการรับรู้และเข้าใจในธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ -การใช้ THE POSSIBILITIES MAKERS ทั้ง 10 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่น สดใส เข้าถึงได้ และชื่นชอบการเดินทาง ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดึงดูดความสนใจ และสร้างการรับรู้ในธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มากกว่าการใช้บุคคลที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย -หนังโฆษณาที่นำเสนอผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ทั้งหนังโฆษณาหลักความยาว 45 วินาที และหนังโฆษณาย่อย 5 เรื่อง ความยาวเรื่องละ 15 วินาที ผ่านสื่อ Social Media ทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง Youtube , Facebook ,Tiktok และ Instagram ช่วยขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ทำให้กลุ่ม Gen Y และ Gen Z คุ้นเคยกับแบรนด์ และจดจำธุรกิจต่างๆ ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ง่ายขึ้น 2. สร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย และตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z -THE POSSIBILITIES MAKERS ทั้ง 10 คน เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่างกันของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกเชื่อมโยง และเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้น -หนังโฆษณาที่นำเสนอในรูปแบบชีวิตจริง เน้นความสนุกสนาน และความเป็นไปได้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่ชอบความท้าทาย ค้นหาประสบการณ์ใหม่ และต้องการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า 3. กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม และสร้างการจดจำกับแบรนด์ -การใช้กลยุทธ์ "ให้รางวัล" ผ่านโปรแกรมสะสมคะแนน ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กระตุ้นให้เกิดการซื้อ และสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ -การใช้ Social Media เป็นช่องทางในการสื่อสาร และสร้างกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้เกิดการจดจำ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ 4. ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีนโยบายส่งเสริมความยั่งยืน สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ THE POSSIBILITIES MAKERS ทั้ง 10 คน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม 5. ส่งเสริมการขายสินค้าและบริการ -กลยุทธ์การดึงดูดกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าและบริการ ดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการ และซื้อสินค้า -หนังโฆษณาที่นำเสนอธุรกิจต่างๆ ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายทราบถึงสินค้าและบริการที่มี กระตุ้นความสนใจ และตัดสินใจซื้อ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50585
Retail
จงสรุปบทความ โลตัส คว้า 3 รางวัล Retail Asia Awards 2023
นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า โลตัส ประสบความสำเร็จอีกครั้งในการเป็นธุรกิจค้าปลีกของไทยที่ได้รับการยกย่องในเวทีโลก โดยเราสามารถคว้า 3 รางวัลจากเวทีระดับโลก Retail Asia Awards 2023 ได้แก่ รางวัล Hypermarket of the Year จากการเปิดตัวโครงการโลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์ สาขาต้นแบบ SMART Community Center ที่รองรับการใช้ชีวิตในแบบสมาร์ทในทุกมิติของคนทุกเจเนอเรชั่น บนพื้นที่รวมกว่า 47,000 ตารางเมตร รูปแบบอาคาร Semi-outdoor โดยมีครบครันทั้งทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่มีสินค้ากว่า 28,000 รายการ รวมถึงสินค้าประเภทอาหารเกือบ 13,000 รายการ ที่คัดสรรมาให้เหมาะกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในย่านราชพฤกษ์ ทั้งสินค้าเกรดพรีเมียม สินค้านำเข้าจากทั่วทุกมุมโลก ไปจนถึงสินค้าที่คัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุดทั่วประเทศไทย และศูนย์การค้าที่รวมแบรนด์ดัง ร้านอาหาร บริการ เอนเตอร์เทนเมนท์อินเทรนด์ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รอบด้าน ทั้งสายกิจกรรม สายสุขภาพ และสายเทคโนโลยี โดยโลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นสาขาต้นแบบในการปรับปรุงโลตัสสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ในอนาคต เพื่อให้โลตัสสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบสมาร์ทของลูกค้าในทุกพื้นที่ที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน
นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย, ประธานคณะผู้บริหาร โลตัส ประเทศไทย กล่าวถึงความสำเร็จของโลตัสที่ได้รับรางวัล Hypermarket of the Year จากรางวัล Retail Asia Awards 2023 ด้วยโครงการโลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์ SMART Community Center รูปแบบอาคาร Semi-outdoor ขนาด 47,000 ตารางเมตร ที่ครอบคลุมทั้งไฮเปอร์มาร์เก็ต, ร้านอาหาร, บริการ และสินค้ากว่า 28,000 รายการ โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์เป็นสาขาต้นแบบในการปรับปรุงและเปิดสาขาใหม่ในอนาคต เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์สมาร์ทของลูกค้าทุกพื้นที่
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50593
Retail
ผลิตภัณ์ปุ้มปุ้ยมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการบุกตลาดต่างประเทศหรือไม่?
null
มี เหตุผล คือ 1. ผลิตภัณฑ์: ปุ้มปุ้ยมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ อาหารพร้อมทานและอาหารพร้อมปรุง ช่วยลดขั้นตอนการจัดเตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุง เหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวก เช่น Real Seafood Snack เป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางสารอาหาร เหมาะกับผู้บริโภคที่รักสุขภาพ และน้ำปลาร้าปรุงรส ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบอาหารอีสาน 2. การพัฒนาสินค้า: 2.1 ปุ้มปุ้ยมีแผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่พัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ 2.2 พัฒนาสินค้ากลุ่ม Local Flavor หรือรสชาติท้องถิ่น 2.3 ทำตามโจทย์ของลูกค้า และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการพัฒนา 3. การตลาด: ปุ้มปุ้ยมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชัดเจน เน้นกลุ่มลูกค้าคนไทย เจ้าของร้านอาหารไทยในต่างประเทศ และขยายไปยังกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งดึง “ครูเต้ย อภิวัฒน์” นักร้องหนุ่มหล่อขวัญใจชาวอีสาน มาเป็นพรีเซนเตอร์ “น้ำปลาร้าปรุงรส” และเข้าร่วมงาน THAIFEX ANUGA ASIA 2023 เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและสร้างการรับรู้ ปุ้มปุ้ยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในการบุกตลาดต่างประเทศ เช่น 1. การแข่งขันจากแบรนด์ท้องถิ่น 2. กฎระเบียบและข้อจำกัดทางการค้า 3. วัฒนธรรมและพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่าง สรุป: ปุ้มปุ้ยมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการบุกตลาดต่างประเทศ แต่ยังต้องติดตามผลและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50598
Retail
จากบทความ "MarTech กับ Customer Experience" อะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีก (Retail) สามารถนำไปประยุกต์ใช้ MarTech เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า (CX) ให้ดียิ่งขึ้น
null
กลยุทธ์ MarTech ที่ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับ CX ให้ดียิ่งขึ้น มีดังนี้: 1. การใช้ Personalization: - การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อสินค้า ประวัติการค้นหา พฤติกรรมออนไลน์ และข้อมูลอื่นๆ ของลูกค้า เพื่อนำมาใช้สร้างประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน - การสื่อสารที่ตรงใจ: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech เพื่อส่งข้อความ โปรโมชั่น และเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละคน - การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech แนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ตัวอย่าง: - ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลใช้ MarTech ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อส่งข้อเสนอส่วนลดและโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน - ร้านค้าปลีกออนไลน์ Lazada ใช้ MarTech ในการแนะนำสินค้าที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า โดยพิจารณาจากประวัติการซื้อสินค้าของลูกค้า 2. การใช้ Real-time Engagement: - การสื่อสารแบบ Real-time: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech สื่อสารกับลูกค้าแบบ Real-time ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น แชทบอท โซเชียลมีเดีย อีเมล์ - การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าแบบทันท่วงที: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech ตอบคำถาม แก้ปัญหา และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าแบบทันท่วงที - การสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่น: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech เชื่อมต่อช่องทางต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นสำหรับลูกค้า ตัวอย่าง: - ร้านค้าปลีกออนไลน์ Shopee ใช้ MarTech ในการตอบคำถามลูกค้าผ่านแชทบอท ห้างสรรพสินค้าโรบินสันใช้ MarTech แจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษผ่านแอปพลิเคชัน 3. การใช้ Data-driven decision making: - การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหา Insight: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการตลาด และข้อมูลอื่นๆ เพื่อหา Insight ที่นำไปใช้พัฒนาธุรกิจ - การตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ข้อมูลที่ได้จาก MarTech เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาด การพัฒนาสินค้า และการบริการต่างๆ - การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ข้อมูลที่ได้จาก MarTech เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน ตัวอย่าง: - ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ใช้ MarTech วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อสินค้า เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าใหม่และปรับกลยุทธ์ทางการตลาด - ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนใช้ MarTech วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อพัฒนาบริการและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า 4. การใช้ Omnichannel Marketing: - การเชื่อมต่อช่องทางต่างๆ เข้าด้วยกัน: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech เชื่อมต่อช่องทางต่างๆ เช่น หน้าร้านค้าออนไลน์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย และหน้าร้านค้าจริง เข้าด้วยกัน - การสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่น: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นสำหรับลูกค้า โดยไม่คำนึงถึงช่องทางที่ลูกค้าใช้ - การเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ MarTech เพิ่มประสิทธิภาพการตลาดโดยใช้ช่องทางต่างๆ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50600
Retail
โปรดสรุปบทความ 5 ด้านสำคัญของธุรกิจห้างร้านที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 2023
จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่เน้นประสบการณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ในปี 2023 ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเลือกมากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหรือช่องทางการซื้อ ร้านค้าปลีกจึงต้องปรับตัว ทั้งในด้านของความยืดหยุ่น การสร้างประสบการณ์การซื้อที่เฉพาะตัว เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม ทั้งออนไลน์และหน้าร้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายของทีมไอทีที่จะต้องก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อช่วยส่งเสริมธุรกิจของร้านค้าปลีกในปีนี้ HPE Aruba Networking ได้ร่วมมือกับ Foresight Factory บริษัทศึกษาเทรนด์ระดับโลก เผย 5 ด้านสำคัญของธุรกิจห้างร้านที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 2023 ซึ่งทีมไอทีและเครือข่ายที่รับผิดชอบในการให้บริการจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยผลการวิจัยได้พบว่าการใช้โมเดลเครือข่ายที่ยืดหยุ่นและรวดเร็วมากขึ้นอย่าง Network-as-a-Service (NaaS) สามารถช่วยลดภาระของบุคคลากรและการใช้งานของเครือข่ายได้ และในขณะเดียวกันสามารถช่วยขยายธุรกิจ และสร้างระบบเครือข่ายที่เน้นผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น 1.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับประสบการณ์ให้ผู้บริโภคในร้านค้า เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับการซื้อสินค้าในร้านค้ารูปแบบเดิมเมื่อร้านค้าต้องการดึงดูดผู้บริโภคมายังหน้าร้าน ร้านค้าจะมีการลงทุนในการใช้เทคโนโลยีเพิ่มเติม โดยผลวิจัยเผยว่าเทคโนโลยี AR และ VR มีแนวโน้มถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค ในด้านของการเข้าใจสินค้า และความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ในการช้อปที่ร้านค้าไปโดยปริยาย 2.การเพิ่มตัวเลือกการจัดส่งสินค้าให้มีความหลากหลาย ความคาดหวังของผู้บริโภคในด้านตัวเลือกการจัดส่งสินค้าที่ตอบโจทย์ตามที่ต้องการกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงการจัดส่งตามความต้องการของผู้บริโภค (on-demand) เวลา (time-shifted) และสถานที่ที่ผู้บริโภคสะดวก (location-flexible) ร้านค้าจึงต้องใช้วิธีผสมผสาน (hybrid) เพื่อจัดส่งสินค้าให้แก่ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งแบบดั้งเดิมจากศูนย์กระจายสินค้า ร้านขายส่งสินค้าขนาดเล็ก การจัดส่งแบบเร็ว grab and go หรือที่ตอบโจทย์ความสะดวก และบริการส่งพัสดุตามความต้องการ โดยการใช้เทคโนโลยี geolocation และการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือ mobile stores ที่ได้รับการพัฒนาที่แม่นยำมากขึ้น จะช่วยให้ร้านค้าสามารถปิดการขายที่บ้านหรือที่ทำงานของผู้บริโภคได้อย่างง่ายดาย 3.การใช้เทคโนโลยีอันสมัยใหม่ภายในหน้าร้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจ เนื่องจากการซื้อขายออนไลน์มีการแข่งขันสูงมากขึ้น วีธีการซื้อของในร้านค้าจึงมีการปรับตัวเช่นกัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องเพิ่มความพึงพอใจและสร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้กับผู้บริโภค แต่ยังต้องดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยหน้าร้านจะกลายเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรม เช่น ห้องลองเสื้อผ้าอัจฉริยะและทางออกที่ชำระเงินอัตโนมัติโดยไม่ต้องผ่านแคชเชียร์ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ในขณะเดียวกัน การเชื่อมโยงของอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายผ่านอินเทอร์เน็ต (IoT) ที่มีเซนเซอร์ สามารถสร้างข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อช่วยในการประหยัดทรัพยากรในการดำเนินงาน และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน 4.การมีข้อมูลสินค้าคงคลังที่อัจฉริยะสามารถช่วยรักษาความจงรักภักดีของผู้บริโภคต่อร้านค้า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อความรวดเร็ว ผู้บริโภคมักคาดหวังให้ธุรกิจขายปลีกส่งมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ได้ในทันทีตามความต้องการ และต้องตรงกับสิ่งที่บริษัทได้ให้สัญญาไว้ ซึ่งการอัพเกรดเทคโนโลยีอัตโนมัติคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการติดตามสินค้าคงคลังให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที โดยหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ใช้ในโกดังและศูนย์กระจายสินค้าจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างชาญฉลาด และทำให้การขายสินค้าออเดอร์สั่งทำพิเศษ (made-to-order) กลายเป็นเรื่องธรรมดา และยังสามารถลดความสูญเสียและสินค้าคงคลังที่เกินจำเป็นลงอีกด้วย 5.จากโชว์รูม สู่ไลฟ์สตรีมมิ่ง การไลฟ์สดจากหน้าร้านค้าจะกลายเป็นเรื่องที่พบบ่อยมากขึ้น เนื่องจากหลาย ๆ แบรนด์ต่างมองหาวิธีการสร้างประสบการณ์แนะนำสินค้ารูปแบบใหม่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงเบื้องหลังของสินค้าในแง่มุมต่าง ๆ การนำเสนอเช่นนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์สินค้าที่สามารถเชื่อมโยงกับชุมชนในพื้นที่ และช่วยให้การใช้พื้นที่ที่เหลืออยู่ในร้านค้าให้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เจอร์รี่ ฮินเคิล ผู้อำนวยการด้านโซลูชัน และการตลาด Aruba กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไลฟ์สตรีม หรือวิธีการจัดส่งใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้สะท้อนความต้องการในการใช้เทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบการขายปลีกที่กำลังเพิ่มขึ้นและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นการมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมที่สามารถสนับสนุนการใช้งานได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน “ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการขายปลีกจะต้องมีความสามารถในการคาดการณ์และมีความมั่นใจในเครือข่ายว่าสามารถยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และทีมไอที ดังนั้น เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ผู้ประกอบการขายปลีกจำเป็นต้องพิจารณาเทคโนโลยีเครือข่ายในการดำเนินงานอีกครั้ง โดยพิจารณาโมเดลเครือข่ายทางเลือก เช่น NaaS ไม่ใช่เพียงแค่เพราะความสามารถในการปรับตัวเมื่อพบความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ยังเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง มั่นคง ปลอดภัย และการดำเนินการได้อัตโนมัติ สามารถรองรับเทคโนโลยีทั้งหมด และใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภครายใหม่และเปลี่ยนให้หน้าร้านกลายเป็นสมาร์ทสโตร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” เจอร์รี่ ฮินเคิล กล่าวปิดท้าย
ในปี 2023 ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นประสบการณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ทำให้ต้องปรับตัวทั้งในด้านการใช้เทคโนโลยีและการสร้างประสบการณ์เฉพาะให้กับลูกค้า HPE Aruba Networking และ Foresight Factory เผย 5 แนวโน้มที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจค้าปลีกในปีนี้ ได้แก่: 1.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AR และ VR เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคในร้านค้า 2.การเพิ่มตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เช่น การจัดส่งแบบ on-demand และ location-flexible 3.การใช้เทคโนโลยีภายในร้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจ เช่น ห้องลองเสื้อผ้าอัจฉริยะและระบบชำระเงินอัตโนมัติ 4.การจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและแม่นยำ 5.การไลฟ์สตรีมมิ่งจากร้านค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคและเพิ่มการใช้พื้นที่ร้านอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับใช้เทคโนโลยีและโมเดลเครือข่ายที่ยืดหยุ่น เช่น Network-as-a-Service (NaaS) ช่วยให้ร้านค้าปลีกปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการแข่งขันในตลาด
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50605
Retail
จงสรุปบทความ จับตาเทรนด์ “24 Hours Lifestyle” วิถีคนเมือง-สังคมคนนอนดึก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทรนด์ “24 Hours Lifestyle” เติบโตมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ มาจาก 1. คนรุ่นใหม่เลือกเป็น “ฟรีแลนซ์” มากขึ้น มากกว่าเป็น “พนักงานประจำ” ส่งผลระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ “Gig Economy” ซึ่งเป็นเทรนด์การทำงานแบบว่าจ้างงานเป็นครั้งๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว SCB EIC รายงานบทความ “Gig Economy : โลกยุคใหม่คนทำงาน” เขียนโดยกัลยรักษ์ นัยรักษ์เสรี ฉายภาพ Gig Economy คือ ฟรีแลนซ์ พาร์ทไทม์ เอาท์ซอร์ส ไปจนถึงคนรับจ้างผ่านแพลตฟอร์ม เช่น คนขับ Uber และคนรับงานผ่าน Upwork หรือ Gigwalk ข้อดีของการทำงานรูปแบบ “Gig Economy” ลักษณะสำคัญของคนทำงานเหล่านี้ คือ มีอิสระ ไม่ว่าจะการเลือกรับงาน หรือเวลาทำงาน โดยได้รับค่าตอบแทนตามจำนวนงานที่ทำ ซึ่งข้อดีของการทำงานในรูปแบบนี้ คือ มีความยืดหยุ่นในเรื่องการทำงาน สามารถบริหารจัดการเวลา และจัดลำดับความสำคัญของงานได้ตามใจ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแลกมาด้วยความไม่มั่นคงจากรายได้ที่ไม่แน่นอน และยังเสี่ยงถูกแย่งงานจากคนอื่นที่มีฝีมือ หรือทักษะแบบเดียวกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทรนด์ “24 Hours Lifestyle” เติบโตมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ มาจาก คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มทำงานเป็น "ฟรีแลนซ์" มากขึ้นเมื่อเทียบกับการทำงานเป็น "พนักงานประจำ" นำไปสู่การเจริญของระบบเศรษฐกิจ "Gig Economy" หรือ ระบบงานแบบว่าจ้างงานเป็นครั้ง ๆ รายงานจาก SCB EIC ระบุว่า Gig Economy มีลักษณะต่าง ๆ เช่น ฟรีแลนซ์, พาร์ทไทม์, และการทำงานผ่านแพลตฟอร์ม เช่น Uber หรือ Upwork โดยมีความยืดหยุ่นในการทำงานแต่เสี่ยงจากความไม่มั่นคงของรายได้และการแย่งงานจากผู้อื่นที่มีทักษะเดียวกัน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50611
Retail
จงสรุปบทความ “7 Food Tech” ปฏิวัติอุตฯอาหารจาก “Farm To Fork”
อย่างในปัจจุบันฝั่ง “การเกษตร” ถือเป็นหนึ่งใน Upstream เริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค “Smart Farming” ขณะเดียวกันเกษตรกรยุคใหม่เป็น “Smart Farmer” ในขณะที่ “ภาคการผลิต” (Midstream) มีการนำระบบการผลิตอัตโนมัติเข้ามาใช้ และส่วน “ปลายน้ำ” (Downstream) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร จำหน่ายในร้านค้าปลีก และการให้บริการผ่านร้านอาหาร ที่ผ่านมาเราจะเห็น disruptor ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพเข้ามาในส่วน “ปลายน้ำ” มากที่สุด ด้วยการสร้าง “เทคโนโลยี แพลตฟอร์ม” โดยส่วนใหญ่มารูปแบบของเทคโนโลยี “Delivery” และ “Booking” ซึ่งเขย่าธุรกิจ Food Retail ไม่น้อย และสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่แสวงหาความสะดวกสุดๆ หรือ “Hyper Convenience”
ฝั่งการเกษตรเข้าสู่ยุค "Smart Farming" ทำให้เกษตรกรเป็น "Smart Farmer" ภาคการผลิตใช้ระบบอัตโนมัติ ส่วนปลายน้ำเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารในร้านค้า และบริการผ่านร้านอาหาร เมื่อมองไปที่ระบบ "ปลายน้ำ", disruptor มักเน้นใช้ "เทคโนโลยี แพลตฟอร์ม" ในรูปแบบของ "Delivery" และ "Booking" ที่เขย่าธุรกิจ Food Retail ไม่น้อย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น.
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50615
Retail
ข้อใดเป็นข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 22 – 28 กันยายน 2561 ของเว็บไซต์ Marketingoops
A. เทคโอเวอร์! ทีวีไดเร็คเข้าซื้อหุ้นสปริงนิวส์ 90.10% มูลค่า 949.22 ล้านบาท ผ่อน 124 เดือน B. TrueMoney แถลง! เหตุผลในการเข้าซื้อ LINE และกลยุทธ์ที่เตรียมใช้หลังจากเข้าบริหารอย่างเต็มตัว C. Flowerite Perfume Collection ติดอันดับบริษัทสุดยอดนวัตกรรมโลก 2018 D. อนันดาฯ นำเทคโนโลยีทันสมัย “Big Data” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง
คำตอบที่ถูกต้องคือ A. เพราะ ข่าว "เทคโอเวอร์! ทีวีไดเร็คเข้าซื้อหุ้นสปริงนิวส์ 90.10% มูลค่า 949.22 ล้านบาท ผ่อน 124 เดือน" เป็นข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 22 – 28 กันยายน 2561 ของเว็บไซต์ Marketingoops สรุปข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 22 – 28 กันยายน 2561 ของเว็บไซต์ Marketingoops - เทคโอเวอร์! ทีวีไดเร็คเข้าซื้อหุ้นสปริงนิวส์ 90.10% มูลค่า 949.22 ล้านบาท ผ่อน 124 เดือน - สำรวจ 2 ปี “บิ๊กซี” ในอาณาจักร “เจ้าสัวเจริญ” และล้วงลึกยุทธศาสตร์รุก-รบค้าปลีกอาเซียน - ทำความรู้จัก “เทน เทน” Format สั้นแค่ 10 นาที LINE x วู้ดดี้ พลิกมิติ “ควิซโชว์” ไทย - CPAll ติด อันดับบริษัทสุดยอดนวัตกรรมโลก 2018 - 10 อันดับ ธุรกิจร้านค้าปลีกในจีน ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด - เมื่อ Big Data เป็นตัวเอกทุกอุตสาหกรรม SME ปรับตัวอย่างไร เพื่อรับมือโลกดิจิทัลที่หมุนแรงและเปลี่ยนไว! - ‘กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน Thailand Future Fund’ โอกาสลงทุนพัฒนาประเทศ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ ดันไทยสู่ศูนย์กลางแห่งอาเซียน - ทเวลฟ์ พลัส คัมแบ็ค! จับมือ BNK48 ปลุกกระแส ไอดอล มาร์เก็ตติ้งเปิดตัว Flowerite Perfume Collection - โรบินสัน ตอกย้ำภาพลักษณ์ 4 ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่น เปิด 4 บริการกลุ่มสินค้า สร้าง Shopping Experience ต่อเนื่อง - เมืองรองฟีเวอร์! เที่ยวแบบคูลๆ ปลุกท่องเที่ยวไทยคึกคัก - คอนเทนต์แบบไหน ทำไปแล้วคุ้มค่า ไม่เสียเวลาคนดู? - Character Marketing กลยุทธ์เด็ดที่แบรนด์ D-nee เลือกใช้ในการรุกตลาดแม่และเด็กในปี 2018 - บทสรุปจากงาน Big Bang โลกกำลังก้าวสู่ยุค Big Data ทั้งการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตผ่านระบบ 5G - TV Direct แถลง! เหตุผลในการเข้าซื้อ Spring News และกลยุทธ์ที่เตรียมใช้หลังจากเข้าบริหารอย่างเต็มตัว - ส่อเค้าวุ่นวาย!!! เมื่อผลการควบรวมกิจการ Uber และ Grab ผิดกฎหมายเจอปรับรวมกว่า 13 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ - TrueMoney เร่งเจาะร้านค้า-จับมือเรือด่วนเจ้าพระยา-MRT-เล็งปล่อยกู้ ตั้งเป้าผู้ใช้งาน 14 ล้านคน - “ต่อ ธนภพ” ชวนทุกคน ออกมาเรียนรู้สีสันใหม่ๆ ในชีวิต สร้างความแตกต่างในแบบของตัวเอง - ห้างฯ กลุ่มเดอะมอลล์ จัด “MIDNIGHT SALE” ลดหนัก แจกใหญ่ ลุ้นรางวัลรวมกว่า 4 ล้านบาท - เปิดใจ ‘เพชร โอสถานุเคราะห์’ ในวันที่ ‘โอสถสภา’ เปลี่ยนจาก ‘บริษัทครอบครัว’ สู่ ‘มหาชน’ และเตรียมบุกตลาดโลก - Cigna ประกันภัยเผย คนไทย “ติดกับดักอายุ” 75% ไม่พร้อมเกษียณ เพราะไม่มีความมั่นคงด้านการเงิน - อนันดาฯ นำเทคโนโลยีทันสมัย “ระบบจอดรถอัตโนมัติ” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง - BEAUTY COTTAGE เปิดตัวแคมเปญ Beauty Cottage X Long-Legged Ladies Cycling Team - อยากพ้นยุค Disrupt ต้อง Transformation ความคิด! กูรูแนะ ผู้นำต้องสร้างความสำเร็จจากมุมมองใหม่ - อาวุธครบมือ! เปิดคลังแสงนวัตกรรมของเอไอเอส ที่ไม่หยุดพัฒนา เพื่อให้คนไทยได้ใช้เครือข่ายคุณภาพมาตรฐานโลก! - “A&W – Burger King” ผู้ท้าชิงในตลาด QSR โตอย่างไรให้แตกต่างจาก “KFC – McDonald’s” ?! - Khaki Field Camouflage คอลเลคชั่นใหม่ของ Hamilton ที่ขาย ‘ความเก๋า’ และ ‘เสน่ห์’ ที่หาได้ยากยิ่งในยุคดิจิทัล - ผ่าแนวคิด ‘TV Direct’ ผ่านมุมมองซื้อ ‘Spring News’ - ไม่ต้องพกเงินสดไปแลกแล้ว หลัง ‘SuperRich SPR’ เปิดบริการ QR code พร้อมให้จองเงินสกุลต่างประเทศแบบออนไลน์ - 4 รูปแบบของ Branded Content ที่ควรจะทำ - “Starbucks” รื้อโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เล็ง “ปลดพนักงาน-ปิดสาขา” เพิ่มความคล่องตัวธุรกิจ - ทางเลือกใหม่ของนักโฆษณาไทย! Flare สื่อ OOH ที่สามารถวิ่งได้รอบเมืองและจัดการ Traffic ได้อย่างง่ายดาย - Facebook เปิดตัว “ช่วงพักโฆษณา” เพิ่มช่องทางให้ผู้ผลิตคอนเทนต์สร้างรายได้ - ทำความรู้จัก “Litecoin” สกุลเงินที่มีความปลอดภัยและเร็วกว่า BitCoin ถึง 4 เท่า - กรุงศรี ออโต้ สร้างเทรนด์ Chat Commerce ให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวผ่าน LINE รับไลฟ์สไตล์ดิจิทัล - ออริจิ้น ผนึก โนมูระ ปั้นคอนโดลักชัวรี่ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” ชู 60 สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับโรงแรม - แปลงโฉม แก้วเซรามิกเรียบๆ เป็นของขวัญแรร์ไอเทมในแบบฉบับดอยตุง - NIKON Z Series : FULL-FRAME MIRRORLESS นวัตกรรมใหม่แห่งโลกการถ่ายภาพจากนิคอน - เตรียมพร็อบให้พร้อม แล้วมาทำชาเลนจ์ใหม่ #Fallingstars - ลุ้นด้วยกันอีกครั้ง! รวมโฆษณาไทยที่ติดโผ Shortlist วันแรกจาก Spikes Asia 2018 - 8 คำถามก่อนที่จะเริ่มทำ Influencer Marketing - อัดหนักกลยุทธ์ออนไลน์-ออฟไลน์ “ตู้บุญเติม” พลิกภาพบริการตู้เติมเงิน สู่ CSR สร้างโอกาสให้เยาวชนไทย - ประตูสู่ประสบการณ์ที่เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้! “AYDA 2018” กระตุกไอเดียคนรุ่นใหม่ เมื่อสังคมถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี - โฮมบายเออร์ กรุ๊ป ลอนช์ Home Dashboard App ติดอาวุธอสังหาฯ บริหารการตลาดแบบเรียลไทม์ - 4 วิธีในการเพิ่ม Traffic เว็บแบบประหยัดงบประมาณ - สูตรลับ โอกาส x ความสำเร็จ รุกตลาดสินค้าออนไลน์ CLMV กับ EXIM BANK - ต่อไป Call me ว่า Dunkin - Philips เปิดแนวรบใหม่เน้นสุขภาพในครัวเรือนรับสัมคมผู้สูงอายุ พร้อมปรับภาพลักษณ์ใหม่ - Cafe Amazon ฉุดไม่อยู่ ขยายพื้นที่ปลูกกาแฟเพิ่ม - พาชม Thailand Mobile Expo 2018 ส่งท้ายปีงานมหกรรมโทรศัพท์ลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ - จัมโบ้ ซีฟู้ด เตรียมเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ที่ไอคอนสยาม - เมื่อแฟนคลับคือพลังที่แบรนด์ไม่อาจมองข้าม! ถอดกรณีศึกษา “Cathy Doll – #พีอาร์ยืนหนึ่ง” - 3 เครื่องมือที่นักการตลาดสาย Data จำเป็นต้องมีไว้ใช้ทำงาน - “ไมโครซอฟท์” ตีโจทย์ SME ไทยห่างเทคโนโลยีเพราะห่วงราคา เปิดกลยุทธ์หั่นราคา ดันคลาวด์ยกระดับธุรกิจ - ถึงยุคศูนย์การค้า ต้องเป็น “ศูนย์รวมการใช้ชีวิต” ที่ตอบโจทย์คนทุกเพศ ทุกวัย - เดอะมอลล์ กรุ๊ป จับมือ วีซ่า เปิดตัวระบบชำระเงินด้วย VISA QR Scan-To-Pay ติ๊ดได้ไร้บัตร เป็นห้างฯ แรกในประเทศไทย - เบื้องหลัง “เซ็นทรัล” ซุ่มเจรจาซื้อหุ้น “Grab ประเทศไทย” ต่อจิ๊กซอว์มุ่งสู่ “Tech Company” - การเลือกบ้านยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นการสร้างสังคมที่พร้อมในอนาคต - โค้งสุดท้าย! 3 โฆษณาไทยที่ติด Shortlist หมวด Entertainment และ Healthcare ของ Spikes Asia 2018 - สวนน้ำแฟนตาเซีย ลากูน ต้อนรับปิดเทอม เปิดประสบการณ์ใหม่ในงาน “Fantasia Lagoon – Big Fun Big Journey” - LINE MOBILE เผยความสำเร็จปรากฏการณ์ “ซิมถูกสุด! หยุดโลก!” ลงทะเบียนถล่มทลายกว่า 30,000 รายใน 5 นาที - ม.ล.จิรเศรษฐ นำทัพ “กรุงเทพประกันชีวิต” สู่องค์กรอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค ด้วย 4 มุมมองหลัก - 12 โฆษณาไทยฟอร์มดี กวาด 32 รางวัลจาก Spikes Asia 2018 GREYnJ คว้า 2 Grandprix - Facebook ถูกแฮกเกอร์โจมตีอีกแล้ว โดยครั้งนี้มีผู้ได้รับผลกระทบราว 50 ล้านคน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50616
Retail
8 คำถามก่อนที่จะเริ่มทำ Influencer Marketing มีอะไรบ้าง
ในตอนนี้นักการตลาดหลาย ๆ ท่านนั้นกำลังสนใจในการทำ Influencer Marketing เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้ Micro Influencer เข้าไปในแผนการตลาดของตนเอง เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจไว้และกระตุ้นให้เกิดผลตอบแทนที่ดีกลับมามากมายให้กับแบรนด์ของตัวเอง แต่การที่จะทำ Influencer ให้ได้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างมาก เพราะถ้าทำไม่ดี หรือวางแผนในการเลือก Influencer ที่ผิดก็อาจจะส่งผลเสียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอย่างน้อยคือไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เช่นลงเงินไปเป็นล้าน แต่ผลตอบแทนกลับไม่คุ้มค่า จนถึงร้ายแรงอย่างมาก โดยการทำให้แบรนด์เสียชื่อเสียง จนเกิดความเสียหายต่าง ๆ นานา I-Love-Fashion-Retail-Influ1 ดังนั้นการใช้ Influencer ที่ดีนั้นควรจะต้องมีการทำให้แน่ใจว่าส Influencer ที่แบรนด์กำลังทำงานด้วยนั้นจะสามารถทำให้แผนการตลาดที่วางเอาไว้นั้นสามารถบรรลุเป้าหมายได้ และทำให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนขึ้นมา ซึ่งการที่จะทำให้ได้ตามนี้นั้นกระบวนการคัดเลือก Influencer และกระบวนการตั้งคำถามในการที่จะทำงานกับ Influencer ที่จะเลือกมานั้นจึงมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งนักการตลาดควรตั้งคำถาม 8 คำถามนี้ 1. เป้าหมายของการทำงานนี้คืออะไร : ขั้นแรกของการทำงานนี้มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้รู้ว่าเป้าหมายของการที่จะทำงาน Influencer Marketing นี้คืออะไร และอยากจะได้อะไรออกมา จะทำให้สามารถระบุกับ Influencer ที่จะทำงานร่วมกันด้วยว่า แบรนด์นั้นมีเป้าหมายอย่างไรในการทำงานนี้ ซึ่งจะทำให้ Influencer นั้นทำงานได้ถูกต้องตามเป้าหมาย หรือรู้ว่าจะวัดผลของความสำเร็จ Campaign ได้อย่างไร 2. กลุ่มเป้าหมายที่อยากจะสื่อสารคือใคร : ต่อมาคือการรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ที่อยากจะสื่อสารด้วยคือกลุ่มไหนกัน มีกี่ Segment มีกี่ความสนใจ และแต่ละกลุ่มเป้าหมายสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำให้แบรนด์นั้นสามารถเลือก Influencer ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายขึ้นมาได้ และจะทำให้รับรู้ด้วยว่าจะต้องใช้ Influencer กี่คนจึงจะเหมาะสมต่อการทำงานทั้งหมดขึ้นมา ThinkstockPhotos-506281723-higlight 3. Influencer มีคนติดตามมากขนาดไหน : เมื่อได้รายชื่อของ Influencer มาแล้ว สิ่งที่ต้องวิเคราะห์ดูคือจำนวนคนที่ติดตาม Influencer นั้น ๆ ว่ามีจำนวนคนติดตามมากน้อยแค่ไหน หรือเวลาทำงานแล้วมีคนสนใจและ Traffic มากแค่ไหน เพราะการที่มีจำนวนมากหรือน้อยย่อมจะทำให้การรับรู้ หรือความเชื่อถือนั้นแตกต่างกันอย่างมา รวมทั้งงบประมาณที่จะใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายผ่าน Influencer นี้มาด้วย 4. คนที่ติดตาม Influencer นั้น เชื่อถือได้หรือไม่ : ตัวเลขเยอะไม่ได้หมายความว่าจะดี ดังนั้นการหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า Influencer ที่มีตัวเลขเยอะ ๆ นั้น เป็นตัวเลขจริงหรือไม่ หรือใช้เงินซื้อมาก เพื่อที่จะไม่หลงกลพลาดในการทำงานกับ Influencer ที่มีคนติดตามจริงเพียงไม่กี่คนนอกนั้นซื้อตัวเลขมาหมด นอกจากนี้ยังต้องดูอัตราการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่ติดตามว่ามีมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย ถ้ามีตัวเลขเยอะ แต่ปฏิสัมพันธ์น้อยก็แสดงว่า ไม่น่าจะทำให้แคมเปญนั้นประสบความสำเร็จได้เลย brand4 5. กลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการตรงกับคนที่ติดตาม Influencer รึเปล่า : สิ่งสำคัญของการทำงาน Influencer Marketing คือการที่คนติดตาม Influencer นั้น ๆ คือกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการเป็นส่วนใหญ่ อย่าเลือกแต่เพียงว่า Influencer เหล่านี้ดัง เพราะอาจจะสื่อสารไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเลย ดังนั้นถ้าสามารถเข้าไปดูว่าใครติดตาม Influencer เหล่านี้ หรือรู้ได้ว่าคนที่ติดตาม Influencer นั้นมีความสนใจตรงกับที่แบรนด์ต้องการหรือไม่ เพื่อจะได้งานที่คุ้มค่าออกมา 6. Influencer เคยทำงานกับแบรนด์มาไหม : สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือการทำงานกับ Influencer หน้าใหม่ ที่ไม่เคยทำงานร่วมกับแบรนด์มาก่อน เพราะอาจจะทำให้งานของคุณนั้นพังได้จากการที่ไม่ระมัดระวังของ Influencer นั้นเอง ดังนั้นการถามและขอตัวอย่างงานที่เคยทำมาดูนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้คุณรู้ว่า Influencer ที่จะทำงานร่วมนั้นทำงานได้มาตรฐานที่คุณวางไว้หรือไม่ 2017-04-29_19-38-24 7. Influencer เคยทำงานกับคู่แข่งมารึเปล่า : ถ้า Influencer เคยทำงานกับแบรนด์มาแล้ว สิ่งที่ต้องระวังตามมาคือการที่ Influencer นั้นเคยทำงานกับคู่แข่งมาก่อนรึเปล่า เพราะถ้าคุณไปจ้างคนที่คู่แข่งเคยทำงานร่วมกันมา จะกลายเป็นว่าแบรนด์คุณไปจ้างคนที่ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเลย เพราะสามารถพูดให้กับใครก็ได้ที่ให้เงินหรือสิ่งตอบแทนนั้น ๆ ขึ้นมา 8. Influencer มีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ : ข้อนี้เป็นข้อที่ควรระวังอย่างมากในการทำงานร่วมกับ Influencer ว่าคนที่ทำงานร่วมนั้นมีการตอบอีเมล์อย่างไร สม่ำเสมอไหม และทำงานร่วมกันเป็นอย่างไรขึ้นมา ซึ่งถ้าการติดต่อในการเริ่มงานนั้นยากมาก ก็เป็นไปได้ว่าในระหว่างการทำงานคุณจะเจออุปสรรคเหล่านี้ในการงานที่จะทำให้คุณแก้ไขงานต่าง ๆ ยากขึ้นไปอีก
นักการตลาดควรตั้งคำถาม 8 คำถาม ดังนี้: 1. เป้าหมายของการทำงานนี้คืออะไร : ขั้นแรกของการทำงานนี้มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้รู้ว่าเป้าหมายของการที่จะทำงาน Influencer Marketing นี้คืออะไร และอยากจะได้อะไรออกมา จะทำให้สามารถระบุกับ Influencer ที่จะทำงานร่วมกันด้วยว่า แบรนด์นั้นมีเป้าหมายอย่างไรในการทำงานนี้ ซึ่งจะทำให้ Influencer นั้นทำงานได้ถูกต้องตามเป้าหมาย หรือรู้ว่าจะวัดผลของความสำเร็จ Campaign ได้อย่างไร 2. กลุ่มเป้าหมายที่อยากจะสื่อสารคือใคร : ต่อมาคือการรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ที่อยากจะสื่อสารด้วยคือกลุ่มไหนกัน มีกี่ Segment มีกี่ความสนใจ และแต่ละกลุ่มเป้าหมายสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำให้แบรนด์นั้นสามารถเลือก Influencer ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายขึ้นมาได้ และจะทำให้รับรู้ด้วยว่าจะต้องใช้ Influencer กี่คนจึงจะเหมาะสมต่อการทำงานทั้งหมดขึ้นมา 3. Influencer มีคนติดตามมากขนาดไหน : เมื่อได้รายชื่อของ Influencer มาแล้ว สิ่งที่ต้องวิเคราะห์ดูคือจำนวนคนที่ติดตาม Influencer นั้น ๆ ว่ามีจำนวนคนติดตามมากน้อยแค่ไหน หรือเวลาทำงานแล้วมีคนสนใจและ Traffic มากแค่ไหน เพราะการที่มีจำนวนมากหรือน้อยย่อมจะทำให้การรับรู้ หรือความเชื่อถือนั้นแตกต่างกันอย่างมา รวมทั้งงบประมาณที่จะใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายผ่าน Influencer นี้มาด้วย 4. คนที่ติดตาม Influencer นั้น เชื่อถือได้หรือไม่ : ตัวเลขเยอะไม่ได้หมายความว่าจะดี ดังนั้นการหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า Influencer ที่มีตัวเลขเยอะ ๆ นั้น เป็นตัวเลขจริงหรือไม่ หรือใช้เงินซื้อมาก เพื่อที่จะไม่หลงกลพลาดในการทำงานกับ Influencer ที่มีคนติดตามจริงเพียงไม่กี่คนนอกนั้นซื้อตัวเลขมาหมด นอกจากนี้ยังต้องดูอัตราการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่ติดตามว่ามีมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย ถ้ามีตัวเลขเยอะ แต่ปฏิสัมพันธ์น้อยก็แสดงว่า ไม่น่าจะทำให้แคมเปญนั้นประสบความสำเร็จได้เลย 5. กลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการตรงกับคนที่ติดตาม Influencer รึเปล่า : สิ่งสำคัญของการทำงาน Influencer Marketing คือการที่คนติดตาม Influencer นั้น ๆ คือกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการเป็นส่วนใหญ่ อย่าเลือกแต่เพียงว่า Influencer เหล่านี้ดัง เพราะอาจจะสื่อสารไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเลย ดังนั้นถ้าสามารถเข้าไปดูว่าใครติดตาม Influencer เหล่านี้ หรือรู้ได้ว่าคนที่ติดตาม Influencer นั้นมีความสนใจตรงกับที่แบรนด์ต้องการหรือไม่ เพื่อจะได้งานที่คุ้มค่าออกมา 6. Influencer เคยทำงานกับแบรนด์มาไหม : สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือการทำงานกับ Influencer หน้าใหม่ ที่ไม่เคยทำงานร่วมกับแบรนด์มาก่อน เพราะอาจจะทำให้งานของคุณนั้นพังได้จากการที่ไม่ระมัดระวังของ Influencer นั้นเอง ดังนั้นการถามและขอตัวอย่างงานที่เคยทำมาดูนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้คุณรู้ว่า Influencer ที่จะทำงานร่วมนั้นทำงานได้มาตรฐานที่คุณวางไว้หรือไม่ 7. Influencer เคยทำงานกับคู่แข่งมารึเปล่า : ถ้า Influencer เคยทำงานกับแบรนด์มาแล้ว สิ่งที่ต้องระวังตามมาคือการที่ Influencer นั้นเคยทำงานกับคู่แข่งมาก่อนรึเปล่า เพราะถ้าคุณไปจ้างคนที่คู่แข่งเคยทำงานร่วมกันมา จะกลายเป็นว่าแบรนด์คุณไปจ้างคนที่ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเลย เพราะสามารถพูดให้กับใครก็ได้ที่ให้เงินหรือสิ่งตอบแทนนั้น ๆ ขึ้นมา 8. Influencer มีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ : ข้อนี้เป็นข้อที่ควรระวังอย่างมากในการทำงานร่วมกับ Influencer ว่าคนที่ทำงานร่วมนั้นมีการตอบอีเมล์อย่างไร สม่ำเสมอไหม และทำงานร่วมกันเป็นอย่างไรขึ้นมา ซึ่งถ้าการติดต่อในการเริ่มงานนั้นยากมาก ก็เป็นไปได้ว่าในระหว่างการทำงานคุณจะเจออุปสรรคเหล่านี้ในการงานที่จะทำให้คุณแก้ไขงานต่าง ๆ ยากขึ้นไปอีก สรุป: การใช้ Influencer ที่ดีนั้นควรจะต้องมีการทำให้แน่ใจว่า Influencer ที่แบรนด์กำลังทำงานด้วยนั้นจะสามารถทำให้แผนการตลาดที่วางเอาไว้นั้นสามารถบรรลุเป้าหมายได้ และทำให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนขึ้นมา การคัดเลือก Influencer และกระบวนการตั้งคำถามในการที่จะทำงานกับ Influencer ที่จะเลือกมานั้นมีความสำคัญอย่างมาก
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50628
Retail
ด้วยปรัชญาของทีเอ็มบี ภายใต้แนวคิด Make THE Difference ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินผ่านช่องทางต่างๆ เพื่ออะไร
ทีเอ็มบี เปิดตัวแคมเปญ “บัญชีทีเอ็มบีเท่านั้นที่ให้คุณมากกว่า”Everyday Everyone Get MORE with TMB ตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าที่ใช้ทีเอ็มบีเป็นประจำจากปัจจุบันที่จำนวน 1.45 ล้านคน เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านคนหลังประสบความสำเร็จจากยอดให้ผู้ใช้บริการช่องทางดิจิทัลเติบโตเพิ่มขึ้น 63% มั่นใจลูกค้าตระหนักรู้ถึงสิทธิประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้น เผยครึ่งปีหลังเน้นใช้สื่อแนวใหม่ เน้นดึงกลุ่มลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิม ให้มาใช้ทีเอ็มบีเป็นประจำเพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้มากกว่า ”พุ่งเป้าขึ้นชั้นเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและบอกต่อมากที่สุดในประเทศไทยภายในปี 2565” นายรูว์ ไฮซแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ด้วยปรัชญาของทีเอ็มบี ภายใต้แนวคิด Make THE Difference เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดเป็นหลัก โดยสินค้าและบริการทางการเงินต่างๆนั้นต้องตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง ผ่านการใช้งานที่ง่าย และสะดวกสบาย ทำให้สามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้เต็มที่ ซึ่งสำหรับกลุ่มลูกค้าบุคคลของทีเอ็มบีตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานั้นถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เรามีกลุ่มลูกค้าที่ใช้บัญชีทีเอ็มบี ออลล์ ฟรี (TMB All Free) คู่กับ ทีเอ็มบี โน ฟิกซ์ (TMB No Fixed) เป็นประจำเพิ่มขึ้น 49% ซึ่งก็ได้ส่งผลให้อัตราการใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ ของทีเอ็มบี เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ได้แก่ ลูกค้าที่มีทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) เพิ่มขึ้น 63% แตะยอด 1.5 ล้านดาวน์โหลด ส่งผลให้ปริมาณการทำธุรกรรมโดยรวมเติบโตขึ้น 129% หรือกว่าเกือบ 12 ล้านครั้งต่อเดือนของการทำธุรกรรมในแต่ละเดือน ซึ่งในการนี้โปรแกรมสะสมคะแนนที่มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับลูกค้าหรือที่เรียกว่าทีเอ็มบี ว้าว (TMB WOW) ก็ได้ส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วกว่า 85 ล้าน WOW และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังมีตัวเลขบ่งชี้ชัดเจนว่า ลูกค้าผู้ใช้งานทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) ผู้สะสมคะแนนว้าว (WOW) และเคยแลกของรางวัล มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมและผลิตภัณฑ์อื่นๆของธนาคารเพิ่มขึ้นอีกด้วย” “เราพบว่าปริมาณลูกค้าที่มาใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของทีเอ็มบีมากกว่าหนึ่งผลิตภัณฑ์นั้นมีจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปลายปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางบัญชีต่างๆมากขึ้น ที่เราเน้นเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่า (Get MORE) เราจึงได้ชูแคมเปญ Everyday Everyone Get MORE with TMB” หรือ “บัญชีทีเอ็มบีเท่านั้นที่ให้คุณได้มากกว่า” ซึ่งเป้าหมายระยะยาวคือ การขยายฐานลูกค้าที่ใช้ทีเอ็มบีเป็นประจำเพิ่มขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์และประโยชน์สูงสุดจากการใช้ และ การออม กับ ทีเอ็มบี นางสาวมิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ส่งเสริมการตลาดลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบี กล่าวเสริมว่า “Everyday Everyone Get MORE with TMB คือสิ่งที่เราทำมาตลอด เพียงครั้งนี้เราพยายามให้มันชัดเจนขึ้นให้ลูกค้าได้ตระหนักถึงสิทธิประโยชน์ทางบัญชีของตัวเองให้ดีขึ้น ในรูปแบบที่ง่ายขึ้น ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทีเอ็มบีใช้ Music Marketing มาเป็นรูปแบบการทำการตลาดเพื่อสร้างความแตกต่าง และมุ่งเจาะกลุ่มเป้ามายไปที่คนรุ่นใหม่ สื่อสารผ่านช่องทางสื่อออนไลน์เป็นหลัก 30% สื่อโทรทัศน์ 30% และสื่ออื่นๆ อีก 40% เป็นรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะรูปแบบการรับรู้ ของลูกค้าเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งก็มั่นใจว่าการสร้างการรับรู้ด้วยการกระตุ้นเตือนให้เห็นถึงสิทธิประโยชน์ เช่นนี้ลูกค้าจะเข้าใจทันทีและคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ทางบัญชีของตัวเองได้ดีขึ้น” สิ่งที่ลูกค้าทีเอ็มบีจะได้มากกว่าในทุกๆ วัน มีอาทิ ลูกค้าทีเอ็มบี ออลล์ ฟรี (TMB All Free) บัญชีที่ให้ทำธุรกรรมฟรีในทุกช่องทางทำให้ลูกค้าประหยัดค่าธรรมเนียมและยังได้รับว้าว (WOW) ทุกการทำธุรกรรมตามปกติ ลูกค้าทีเอ็มบี โน ฟิกซ์ (TMB No Fixed) บัญชีเพื่อออม ถอนได้ ดอกสูง 1.6% ไม่มีค่ารักษาบัญชี ไม่กำหนดระยะเวลาฝาก ซึ่งเรายังเชื่อว่าเป็นบัญชีเพื่อเก็บเพื่อออมที่ดีที่สุดในตลาดขณะนี้ ในขณะที่ทีเอ็มบี ว้าว (TMB WOW) Gamification Platform ล่าสุดก็ได้รับรางวัล Mobile Banking Initiative of The Year – Thailand จาก Asian Banking & Finance Retail Banking Award 2018 นับเป็นรางวัลที่เราได้รับตั้งแต่ปีแรกที่เปิดตัวเลย ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าที่ได้รับ WOWpoint ไปแล้วกว่า 85 ล้าน WOW ปริมาณการนำ WOW มาแลกของรางวัลก็เพิ่มขึ้นทุกๆ ไตรมาส นอกจากนี้ WOW ยังทำให้มี Active User บน Mobile Platform เพิ่มขึ้นอีกกว่า 67% ซึ่งยืนยันว่า TMB WOW เป็น Loyalty Program Platform ที่มีประโยชน์ต่อลูกค้ามากที่สุดในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) แอปพลิเคชันบนมือถือที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายแม้แต่ผู้พิการทางสายตาก็ยอมรับว่าทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) เป็นโมบาย แอปพลิเคชันที่เข้าถึงและใช้งานได้ง่ายและครอบคลุมที่สุด เรียกได้ว่าลูกค้าทีเอ็มบีสามารถทำรายการต่างๆ ได้โดยแทบไม่ต้องไปที่สาขาอีกแล้ว ทั้งรายการปกติ เช่น ฝาก โอน จ่าย แลกของรางวัล ซื้อ-ขายกองทุน และรวมถึงสมัครบัตรเครดิต สมัครสินเชื่อส่วนบุคคล และรวมถึงเรื่องการเปิดบัญชี ด้วยตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้ “ในครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปที่การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาให้ลูกค้าเข้าใจถึงประโยชน์ของบัญชีเงินฝากแต่ละชนิดที่ได้มากกว่าจริง รวมถึงบริการอื่นๆ ที่มั่นใจว่าเมื่อมาเป็นลูกค้าทีเอ็มบีแล้วจะมีความสุข สนุกสนานกับประโยชน์ที่ได้มากกว่าในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการ “เลือกใช้ เลือกออม” ผ่านบัญชีทีเอ็มบี ออลล์ ฟรี (TMB All Free) ทีเอ็มบี โน ฟิกซ์ (TMB No Fixed) ให้การทำธุรกรรมการเงินเป็นเรื่องง่ายบน ทีเอ็มบี ทัช (TMB TOUCH) ทุกเรื่องเงิน ครบ จบ ในทัชเดียว และลูกค้าบุคคลจะได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้นไปอีกกับ ทีเอ็มบี ว้าว (TMB WOW) โปรแกรมสะสมคะแนน WOW จากการทำธุรกรรมเพื่อแลกรับของรางวัลที่หลากหลาย ภายใต้คอนเซปต์ “ยิ่งใช้ ยิ่งว้าว” ด้วยรูปแบบ Gamification ยกระดับการทำธุรกรรมทางธนาคารให้มีสีสันมากขึ้นทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินไม่เป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป” “สำหรับภาพยนตร์โฆษณาชิ้นนี้ เราทำขึ้นเพื่อให้ลูกค้าปัจจุบันของทีเอ็มบีและลูกค้าธนาคารอื่นได้รับรู้และเข้าใจว่าที่ทีเอ็มบีเราออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินมาเพื่อให้ประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งานอย่างจริงใจและใช้งานได้จริงอย่างสะดวกสบายในทุกวัน เพราะเราเชื่อว่าลูกค้าทุกคนต้อง “ได้มากกว่า” ทีเอ็ มบีจึงอยากนำเสนอแนวคิดนี้เพื่อเชิญชวนให้ผู้ใช้งานปัจจุบันและผู้อื่นที่สนใจบริการการเงินให้เข้ามาศึกษาและสมัครใช้บริการของทีเอ็มบีในวันนี้เพื่อให้ตัวเอง “ได้รับมากกว่า” โดยภาพยนตร์โฆษณาชิ้นนี้มีเนื้อหาที่ต้องการสื่อว่าลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆของทีเอ็มบีนั้นได้รับอะไรมากกว่าแบงค์อื่นเยอะ ทั้งเรื่องฟรีค่าธรรมเนียมในทุกช่องทาง ได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่าของบัญชีฝากไม่ประจำ แอปพลิเคชันที่สามารถทำธุรกรรมได้หลากหลาย แถมยังมีคะแนนว้าว (WOW) ให้ในทุกธุรกรรมปกติจากการทำธุรกรรมช่องทางต่างๆ เพื่อสะสมไปแลกของกำนัล หรือสิทธิประโยชน์ ต่างๆ ได้ฟรีอีกมากมายหลากหลายประเภท ซึ่งหากจะต้องให้ลูกค้าของทีเอ็มบี มาเล่าให้ฟังว่าได้มากกว่าอย่างไรบ้างคงจะเล่าให้ฟังแบบธรรมดาไม่ได้ เพราะความพิเศษมันเยอะมาก จึงจำเป็นต้องออกมาแร็พเพื่อเล่าให้ฟังแทน” นางสาวมิ่งขวัญกล่าวทิ้งท้าย
ด้วยปรัชญาของทีเอ็มบี ภายใต้แนวคิด Make THE Difference ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดเป็นหลัก โดยสินค้าและบริการทางการเงินต่างๆ นั้นต้องตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง ผ่านการใช้งานที่ง่าย และสะดวกสบาย ทำให้สามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้เต็มที่
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50629
Retail
จากกรณีศึกษาของธนาคารกสิกรไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ กลยุทธ์ใดที่ธนาคารสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับธุรกิจค้าปลีก (Retail) โดยเฉพาะ?
null
กลยุทธ์ที่ธนาคารสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับธุรกิจค้าปลีก (Retail) โดยเฉพาะ มีดังนี้: 1. พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบครบวงจร: มอบประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ที่ราบรื่นและสะดวกสบายแก่ลูกค้า เสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ผนวกรวมระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและรวดเร็ว นำเสนอระบบติดตามสถานะสินค้าและบริการ พัฒนาระบบ CRM เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้าและนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจ 2. มุ่งเน้นไปที่ Personalization: วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Big Data) เพื่อทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรม นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน มอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ personalized พัฒนาระบบแนะนำสินค้า (Recommendation Engine) 3. พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ: นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม นำเสนอระบบ chatbots ตอบคำถามและให้บริการลูกค้า พัฒนาระบบการชำระเงินแบบ contactless นำเสนอระบบ AR/VR เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เสมือนจริง 4. ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ: ร่วมมือกับร้านค้าปลีกออนไลน์และออฟไลน์ พัฒนาระบบ Marketplace บนแพลตฟอร์ม นำเสนอแคมเปญและโปรโมชั่นร่วมกัน ขยายฐานลูกค้าและสร้าง Ecosystem ของธุรกิจ 5. มุ่งเน้นไปที่ Security และ Compliance: พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้า ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์: ธนาคารสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ เช่น แพลตฟอร์ม Marketplace ที่รวบรวมร้านค้าปลีกออนไลน์และออฟไลน์ไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ธนาคารสามารถนำเสนอบริการสินเชื่อดิจิทัลสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์ม ธนาคารสามารถพัฒนาระบบการชำระเงินแบบ contactless ผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคาร ธนาคารสามารถร่วมมือกับร้านค้าปลีกเพื่อนำเสนอแคมเปญและโปรโมชั่นพิเศษแก่ลูกค้า ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เพิ่มฐานลูกค้าสำหรับธุรกิจค้าปลีก เพิ่มยอดขายสินค้าและบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า พัฒนา Ecosystem ของธุรกิจ ข้อควรพิจารณา: การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลต้องใช้เงินลงทุนสูง การรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ธนาคารจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี ธนาคารต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้า โดยสรุป ธนาคารสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับธุรกิจค้าปลีก (Retail) โดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า กลยุทธ์สำคัญที่ธนาคารควรนำมาใช้ ได้แก่ การพัฒนาแพลต
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50632
Retail
Outlet Mall ในประเทศไทยมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จเหมือนในญี่ปุ่นหรือไม่?
null
ใช่ Outlet Mall ในประเทศไทยมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จเหมือนในญี่ปุ่น เหตุผล คือ: พฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคไทยมีความสนใจสินค้าแบรนด์เนม และสินค้าแฟชั่นมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมราคาประหยัด Outlet Mall ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคมีเงินมากขึ้น การท่องเที่ยว: ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม นักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมซื้อสินค้าแบรนด์เนม Outlet Mall เป็นสถานที่ช้อปปิ้งที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว การขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก: ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการค้าปลีกมองหาช่องทางจำหน่ายใหม่ Outlet Mall เป็นช่องทางจำหน่ายที่น่าสนใจ ตัวอย่าง: Outlet Mall ในประเทศไทยได้รับความนิยมมากขึ้น มีการเปิด Outlet Mall ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น Outlet Mall ที่มีอยู่มีจำนวนผู้เข้าใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น แบรนด์เนมชั้นนำหลายแห่งเข้ามาเปิดร้านใน Outlet Mall แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ Outlet Mall ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม Outlet Mall ในประเทศไทยยังมีอุปสรรค์บางประการ เช่น การแข่งขันจากห้างสรรพสินค้า สินค้าบางรายการมีราคาสูงกว่าในต่างประเทศ การเดินทางไป Outlet Mall ไม่สะดวกสำหรับบางคน สรุป: Outlet Mall ในประเทศไทยมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จเหมือนในญี่ปุ่น แต่ ผู้ประกอบการค้าปลีกจำเป็นต้องพัฒนา Outlet Mall ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เช่น เพิ่มจำนวนร้านค้าแบรนด์เนม นำเสนอสินค้าในราคาที่แข่งขันได้ พัฒนาการคมนาคมให้สะดวก หากผู้ประกอบการค้าปลีกสามารถพัฒนา Outlet Mall ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ Outlet Mall ในประเทศไทยก็มีโอกาสประสบความสำเร็จเหมือนในญี่ปุ่น
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50635
Retail
“4 ความเชื่อ” ที่แบรนด์หวังใช้เป็นกลยุทธ์ดันยอดขายโต ได้แก่อะไรบ้าง
เป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจในทุกวันนี้ บรรดาผู้ผลิต หรือเจ้าของตราสินค้า นักการตลาด รวมไปถึงนักโฆษณา นักสื่อสารการตลาด เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ขณะเดียวกันต้องเจอกับคู่แข่งมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลาย ทั้งแบรนด์เก่า และแบรนด์ใหม่เข้ามาท้าชิงตลาดไม่ขาดสาย ทำให้เจ้าของสินค้า หรือผู้ผลิต นักการตลาด นักโฆษณา หรือนักสื่อสารการตลาด มองว่าปัจจุบันคำว่า “Brand Loyalty” ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว กลายเป็นยุคไร้ Brand Loyalty !! และหันไปให้ความสำคัญกับการสร้างฐาน “ลูกค้าใหม่” เพื่อมาเติมฐานลูกค้าเก่าที่ Switch ไปหาแบรนด์อื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว…เวลานี้เรากำลังอยู่ในยุคสิ้นสุดกับคำว่า Brand Loyalty จริงหรือ ?!? และ “ลูกค้าใหม่” ที่แต่ละแบรนด์ต่างให้ความสำคัญ จนบางครั้งหลงลืม “ลูกค้าเก่า” เป็นกลยุทธ์สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ได้หรือไม่ ?!? 5 สิ่งที่แบรนด์กังวล กระทบต่อยอดขายตก “dunnhumby” บริษัทศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึกทั่วโลก และวิจัยโดยเจาะจงผู้ซื้อจริง (Targeted Research) ให้กับแบรนด์สินค้าชั้นนำมากกว่า 250 แบรนด์ ใน 120 หมวดหมู่ โดย “คุณธีรเดช ดำรงพลาสิทธิ์ ประธานกรรมการฝ่ายมีเดีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้ฉายภาพสิ่งที่แบรนด์ หรือผู้ผลิต และ Retailer ต่างเป็นกังวลต่อสถานการณ์การดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ดังนี้ 1. ปัจจุบันลูกค้าไม่ค่อยใช้จ่ายเงิน ส่งผลให้ยอดขายตก 2. สินค้ามีความหลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้ “พื้นที่การจัดจำหน่าย” เริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ผลิต หรือแบรนด์อยากได้พื้นที่ Display สินค้าของตัวเองมากๆ 3. ช่องทางการจัดจำหน่ายกระจัดกระจาย และคนส่วนใหญ่มักคิดว่า “ช่องทางขายออนไลน์” เข้ามาแทนที่ “ช่องทางขายออฟไลน์” โดยที่ออฟไลน์กำลังตาย แต่ถ้าดูสถิติ Grocery Shopping เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ยอดขายสินค้าจากช่องทางออฟไลน์ อยู่ที่ 99.9% ปัจจุบันยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มาจากช่องทางออฟไลน์ อยู่ที่ 99.8% เพราะฉะนั้นมีแค่ 0.2% เท่านั้นที่ซื้อผ่านออนไลน์ เพราะฉะนั้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ช่องทางขายหลักยังคงเป็น “Physical Store” ขณะที่สัดส่วนยอดขายจาก “ช่องทางออนไลน์” ยังไม่สูงมาก แต่เป็นช่องทางขายที่มีอัตรากาเติบโตสูงถึง 1,000% 4. แบรนด์มีความกังวลว่า เมื่อผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ “Brand Loyalty” จะหายไป และในที่สุดจะไปถึงจุดที่คำว่า “Brand Loyalty” ได้ตายจากโลกนี้ !! ในขณะเดียวกันกังวลด้วยว่า “Retailer” ลดราคาตลอด จนทำให้ผู้ผลิต หรือ Supplier ไม่มีกำไรแล้ว 5. แบรนด์มีความกังวลในพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากในอดีตสื่อทีวี หรือสื่อดั้งเดิมเป็นสื่อหลัก แต่ทุกวันนี้ผู้บริโภครับสื่อดิจิทัลมากขึ้น จนมองว่าต่อไปผู้บริโภคจะหันไปเสพสื่อดิจิทัลกันหมด “4 ความเชื่อ” ที่แบรนด์หวังใช้เป็นกลยุทธ์ดันยอดขายโต เมื่อเจอกับความท้าทายดังกล่าว จนกลายเป็นความกังวล “แบรนด์” และ “นักการตลาด” จึงมองหา Solution ที่จะฝ่าความท้าทายนั้นไปให้ได้ โดยมี 4 ความเชื่อที่มองว่าจะเป็นทางออกของสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ 1. สื่อสารเป็น “Mass Communication” เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีการสื่อสารที่เข้าถึงคนได้มาก และพูดคุยกับลูกค้าด้วยแมสเสจเดียวกันทั้งหมด 2. แบรนด์มีความเชื่อว่าวิธีการทำให้แบรนด์เติบโตได้ดีที่สุด คือ “การสร้างฐานลูกค้าใหม่” 3. แบรนด์มีความเชื่อว่า หลังจากลูกค้าซื้อสินค้าแล้ว ไม่ต้องไปสื่อสาร หรือไม่ต้องไปดูแลลูกค้าแล้ว เพราะถึงอย่างไรลูกค้าที่ซื้อสินค้าเรา เขาอยู่กับเราแล้ว 4. แบรนด์มีความเชื่อว่า “Brand Loyalty” ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว พิสูจน์สิ่งที่แบรนด์เชื่อ “มาถูกทาง” หรือ “หลงทิศ” ?!? เพื่อพิสูจน์ความเชื่อข้างต้นว่าถูกต้อง หรือเป็นสิ่งที่แบรนด์ยุคนี้ต้องเปลี่ยนทัศนคติ “dunnhumby” ได้วิเคราะห์ Big Data (Data Analytics) จากข้อมูลการทำธุรกรรมมากกว่า 600 ล้านครั้งของลูกค้ากว่า 3 ล้านคนทั่วโลกตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แบ่งเป็น 3 ผลการศึกษา ได้แก่ 1. ความเชื่อเรื่อง “Loyal Customer” หรือลูกค้าที่มีความจงรักภักดีกับแบรนด์ ยังสำคัญหรือไม่ หรือไม่จำเป็นต้องดูแลลูกค้ากลุ่มนี้แล้ว และ “Brand Loyalty” ในทุกกลุ่มสินค้า ไม่ใช่แค่สินค้า FMCG ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วจริงหรือ ?! จากการศึกษาพบว่า – 20% ของฐานลูกค้าทั้งหมดของแบรนด์นั้นๆ (Top 20% of Shoppers) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่จัดอยู่ใน “Loyal Customer” มีส่วนช่วยสร้างยอดขายให้กับตราสินค้าในทุกๆ Category โดยเฉลี่ย 70 – 80% หมายความว่าถ้าแบรนด์มีลูกค้า 100 คน จะมี 20 คนที่เป็น Loyal Customer ที่สร้างยอดขายให้กับแบรนด์มากถึง 70 – 80% – แบรนด์เล็กในทุกกลุ่มสินค้า ที่มีส่วนแบ่งการตลาดน้อย กลุ่ม “Loyal Customer” ที่มีสัดส่วน 20% ของฐานลูกค้าทั้งหมด ยิ่งมีส่วนช่วยสร้างยอดขายให้แบรนด์ได้มากกว่า 70 – 80% เพราะฉะนั้นยิ่งแบรนด์เล็กเท่าไร “Loyal Customer” ก็ยิ่งสำคัญกับแบรนด์มากขึ้น เพราะฉะนั้นจากผลการศึกษาและวิเคราะห์ สรุปได้ว่า “Brand Loyalty” ไม่ได้ตายจากโลกใบนี้ โดยกลุ่ม “Loyal Customer” ที่มีสัดส่วน 20% ของฐานลูกค้าทั้งหมด คือ ผู้ที่สร้างยอดขายให้กับแบรนด์ได้มากถึง 70 – 80% ของยอดขายรวมแบรนด์นั้นๆ จึงเป็นกลุ่มลูกค้าที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ และปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มสินค้า ไม่ใช่แค่สินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น 2. เมื่อแบรนด์มี “Loyal Customer” อยู่แล้ว คำถามตามมาคือ “ลูกค้าที่จงรักภักดี” จะอยู่กับแบรนด์เรานานหรือไม่ ?!? พบว่า – “Retention Rate” หรือ “อัตราการคงอยู่ของลูกค้า” ในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50% ของฐานลูกค้าทั้งหมดเมื่อเทียบปีต่อปี เท่ากับว่าภายใน 1 ปี ถ้าแบรนด์ไม่ได้สานสัมพันธ์ หรือไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อสร้างความใกล้ชิด สร้างความผูกพันกับลูกค้ากลุ่มนี้ เขาจะเปลี่ยนไปใช้สินค้ายี่ห้ออื่น – ปรากฏการณ์ Retention Rate ข้างต้น เกิดขึ้นกับ “Loyal Customer” เช่นกัน นั่นหมายความว่าหลังจาก Loyal Customer ซื้อสินค้าแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งไปแล้ว หากแบรนด์นั้นไม่ทำอะไรเลยกับกลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดี ก็มีโอกาสที่ลูกค้ากลุ่มนี้ จะเปลี่ยนใจไปหาแบรนด์อื่น “นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ ยังต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกิจกรรม หรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่ม Loyal Customer โดยต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้ และสร้าง Engagement กับคนกลุ่มนี้” คุณธีรเดช ย้ำสิ่งที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญ 3. ความเชื่อที่ว่าถ้าจะผลักดันให้แบรนด์เติบโต ต้องหา “New Customer” หรือ “New Shopper” ตลอดเวลา เพราะแบรนด์มองว่าที่มาของการเติบโต และการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด มาจากการได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ จากการศึกษาและวิเคราะห์ โดยใช้ข้อมูล 20 กว่าแบรนด์ ใช้เวลา 5 ปี พบว่า – 73% ของการเติบโตของยอดขายแบรนด์ในทุกกลุ่มสินค้า มาจากกลุ่ม “Retained Shopper” หรือ “ลูกค้าเก่า” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความจงรักภักดีในแบรนด์ นั่นหมายความว่ายอดขายแบรนด์ที่เติบโตขึ้น ไม่ได้มาจาก “ลูกค้าใหม่” เป็นหลัก แต่มาจาก “ลูกค้าเก่า” ที่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ “บางแบรนด์ที่ยอดขายตก ปัจจัยหลักมาจากกลุ่ม Loyal Customer หายไป นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าถ้าอยากสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น การรักษาฐานลูกค้า Loyal Customer หรือการดูแลลูกค้ากลุ่มเก่า สำคัญกว่าการสร้างฐานลูกค้าใหม่” ตอกย้ำให้เห็นว่าต้นทุนการรักษาฐานลูกค้าเก่า ต่ำกว่าการสร้างฐานลูกค้าใหม่ เพราะการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ แบรนด์ต้องเริ่มตั้งแต่เข้าไปทำความรู้จัก พยายาม convince ให้สนใจ และเปิดใจทดลองสินค้า ยิ่งในยุคนี้มีทางเลือกมากมาย การดึงความสนใจของผู้บริโภคให้มาพิจารณา และตัดสินใจซื้อ ไม่ใช่เรื่องง่าย มัดใจ “Loyal Customer” อยู่กับแบรนด์ ต้องใช้ Smart Data ทำความรู้จักและเข้าใจลูกค้า กุญแจสำคัญในการรักษาฐานลูกค้ากลุ่ม “Loyal Customer” คือ การสร้าง Engagement กับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการเข้าใจความต้องการ หรือไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อนำเสนอสินค้า-บริการ รวมถึงสิทธิพิเศษ หรือสิทธิประโยชน์ได้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่ง Personalize Offer มีความสำคัญตรงที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น แต่การจะนำเสนอสินค้า-บริการ และสิทธิพิเศษ หรือสิทธิประโยชน์ได้แบบเฉพาะบุคคล จำเป็นอย่างยิ่งที่แบรนด์ต้องใช้ “Smart Data” ที่มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล และรู้ว่าจะเอาข้อมูลนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร เช่น แบรนด์สามารถระบุได้ว่าลูกค้าแต่ละคนเป็นใคร ซื้ออะไร ทำไมจึงซื้อ และเส้นทางที่พวกเขาใช้ในการซื้อสินค้าคือทางไหน “เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นปัจจัยสำคัญและสร้างความแตกต่างเมื่อต้องมีการสื่อสารที่ต้องใช้ข้อมูลจำเพาะสำหรับกลุ่มลูกค้า ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น การส่งจดหมายไปที่บ้าน การกำหนดการเข้าถึงผ่านโปรแกรมการจัดการอัตโนมัติ (Programatic Retargeting) ในช่องทาง Social Media และสื่อโฆษณา ณ จุดขาย ทำให้แบรนด์สามารถ “เชื่อมต่อ” กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตลอด Customer Journey ของลูกค้าแต่ละคน ตั้งแต่ลูกค้าอยู่ที่บ้าน – ระหว่างเดินทาง – อยู่ในสโตร์ เพื่อซื้อสินค้า โดยไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหน แบรนด์สามารถสื่อสาร และส่ง Personalize Offer เพื่อปิดการขายได้ทั้งบนช่องทางออนไลน์ เช่น ให้ Code สำหรับซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ หรือดึงผู้บริโภคให้มาซื้อสินค้าที่สโตร์ เพราะกว่า 98% ของการซื้อสินค้ายังคงมาจากช่องทางออฟไลน์” คุณธีรเดช สรุปทิ้งท้าย การเชื่อมต่อกับผู้บริโภคด้วยวิธีการนี้ นอกจากช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายให้กับแบรนด์แล้ว ยังตอบโจทย์ “ความสะดวก” ที่ผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์ที่ผสานระหว่างออนไลน์ และออฟไลน์ (Integrated Customer Experience)
“4 ความเชื่อ” ที่แบรนด์หวังใช้เป็นกลยุทธ์ดันยอดขายโต ได้แก่ 1. สื่อสารเป็น “Mass Communication” เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีการสื่อสารที่เข้าถึงคนได้มาก และพูดคุยกับลูกค้าด้วยแมสเสจเดียวกันทั้งหมด 2. แบรนด์มีความเชื่อว่า วิธีการทำให้แบรนด์เติบโตได้ดีที่สุด คือ “การสร้างฐานลูกค้าใหม่” 3. แบรนด์มีความเชื่อว่า หลังจากลูกค้าซื้อสินค้าแล้ว ไม่ต้องไปสื่อสาร หรือไม่ต้องไปดูแลลูกค้าแล้ว เพราะถึงอย่างไรลูกค้าที่ซื้อสินค้า เขาอยู่กับตัวเองแล้ว 4. แบรนด์มีความเชื่อว่า “Brand Loyalty” ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50645
Retail
Big C FoodPlace ควรมีกลยุทธ์อย่างไรเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลัก
null
1. กลยุทธ์ด้านสินค้า: ขยายเมนูอาหาร: เพิ่มเมนูอาหารหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหลัก เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีน อาหารมังสวิรัติ อาหารนานาชาติ รวมไปถึงอาหารไทยแบบดั้งเดิม จับเทรนด์อาหาร: นำเสนอเมนูอาหารตามเทรนด์ล่าสุด เพื่อดึงดูดกลุ่มนักเรียน นิสิต และวัยรุ่น เน้นวัตถุดิบสดใหม่: คัดสรรวัตถุดิบสดใหม่ มีคุณภาพ ปลอดภัย และตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า พัฒนาสินค้าเฉพาะ: พัฒนาสินค้าเฉพาะสำหรับ Big C FoodPlace เท่านั้น เพื่อสร้างจุดเด่นและความแตกต่างจากคู่แข่ง 2. กลยุทธ์ด้านราคา: นำเสนอราคาที่แข่งขันได้: กำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยคำนึงถึงราคาของคู่แข่ง จัดโปรโมชั่นและส่วนลด: ดึงดูดลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ สร้างแพ็กเกจอาหาร: ออกแบบแพ็กเกจอาหารสำหรับมื้อต่างๆ เช่น อาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น นำเสนอโปรแกรมสะสมแต้ม: มอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าประจำ 3. กลยุทธ์ด้านการบริการ: พัฒนาระบบการสั่งซื้อและชำระเงิน: พัฒนาระบบการสั่งซื้อและชำระเงินให้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพิ่มบริการเดลิเวอรี่: นำเสนอบริการเดลิเวอรี่ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย: จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การสาธิตการทำอาหาร การชิมอาหาร สร้างบรรยากาศที่สะดวกสบาย: ออกแบบพื้นที่ภายในร้านให้สะดวกสบาย นั่งสบาย เหมาะกับการทานอาหาร ให้บริการ Wi-Fi ฟรี: มอบบริการ Wi-Fi ฟรีแก่ลูกค้า พัฒนาระบบสมาชิก: พัฒนาระบบสมาชิกเพื่อมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้า 4. กลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาด: ใช้สื่อออนไลน์: เน้นการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Twitter ใช้ Influencer Marketing: ร่วมมือกับ Influencer เพื่อโปรโมทร้าน จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายบนโลกออนไลน์: จัดกิจกรรมแจกของรางวัล เกม ร่วมออกงานอีเวนต์: ร่วมออกงานอีเวนต์ต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ: ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ วิทยุ 5. กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน: ลดการใช้พลาสติก: สนับสนุนการลดใช้พลาสติก สนับสนุนสินค้าออร์แกนิค: จำหน่ายสินค้าออร์แกนิค ประหยัดพลังงาน: ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างและระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน จัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ: จัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ 6. กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี: พัฒนาแอปพลิเคชั่น: พัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับสั่งอาหาร ชำระเงิน และติดตามโปรโมชั่น ใช้ระบบ AI: นำระบบ AI มาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พัฒนากลยุทธ์ นำเสนอระบบ Self-checkout: เพิ่มระบบ Self-checkout เพื่อความสะดวกรวดเร็ว 7. กลยุทธ์ด้านการขยายธุรกิจ: ขยายสาขา: ขยายสาขา Big C FoodPlace ไปยังพื้นที่อื่นๆ พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่: พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50647
Retail
บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจด้านใดบ้าง
null
วัน ออริจิ้น จะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income Business) ทั้งหมดให้แก่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และจะเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ภาพรวมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทแบ่งประเภทธุรกิจที่จะลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่ม Accommodation เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2.กลุ่มสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก (Office & Retail) และ 3.กลุ่มธุรกิจอาหาร (Foods) โดยจะให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจ Accommodation 70% และอีก 2 กลุ่มที่เหลือรวมกัน 30% “เราตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้กับเราประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ให้กับเราประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส” นางกมลวรรณ กล่าว นางกมลวรรณ กล่าวอีกว่า เงินทุนที่ใช้ลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรก จะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 2.เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ซึ่งเคยประกาศไปแล้ว ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50652
Retail
การทำ Digital Transformation ของธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งเน้นไปที่ Customer Centric หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: คำพูดของคอลลิน ดินน์: เน้นย้ำว่า Customer Centric เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ธนาคารต้องเข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง การทำ Digital Transformation เกิดขึ้นเพื่อหาให้พบถึงปัญหาของลูกค้า 6 สิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำ Digital Transformation: - ความสามารถในการเข้าใจลูกค้า (Customer centric capability) - วัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ (New Culture of working) เน้น Design Thinking ที่เริ่มต้นจาก Customer Centric - ความรู้ความเข้าใจเรื่องดาต้าของทีมงาน (Data repository) เพื่อนำมาวิเคราะห์และเข้าใจลูกค้า - ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า (Aggressive ambition) มองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า - วิสัยทัศน์ที่ต้องการจะไป (Vision of what you want) กำหนดทิศทางเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า ตัวอย่างการนำ Customer Centric มาใช้: - ธนาคารไทยพาณิชย์พัฒนาระบบและบริการต่างๆ โดยใช้ Design Thinking - ธนาคารไทยพาณิชย์วิเคราะห์ดาต้าเพื่อเข้าใจลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการที่ตรงกับความต้องการ สรุป: จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการทำ Digital Transformation ของธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งเน้นไปที่ Customer Centric เพิ่มเติม: Customer Centric เป็นแนวทางสำคัญในการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล ธนาคารไทยพาณิชย์ให้ความสำคัญกับ Customer Centric และนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานต่างๆ การทำ Digital Transformation ที่ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมี Customer Centric เป็นหัวใจสำคัญ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50654
Retail
จงสรุปบทความ วัตสัน-เทสโก้” ปั้น Signature Campaign ติดตลาด
ในอีกมุมหนึ่ง “โปรโมชั่น” ที่จัดต่อเนื่อง จนกลายเป็น “Signature Campaign” ที่อยู่คู่ Retailer รายนั้นๆ ยังเป็นเครื่องมือสร้าง “แบรนด์” ให้กับ “Retailer” และ “แบรนด์สินค้า” ได้เช่นกัน รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้สินค้าที่ร่วมรายการ ดังเช่นกรณีศึกษา “วัตสัน” ที่มาพร้อมกับ “ชิ้นที่สอง 1 บาท” และ “เทสโก้ โลตัส” กับแคมเปญประจำ “โรลแบ็ค” เป็นสองแคมเปญที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำ จนอยู่ในการจดจำของผู้บริโภคไปแล้ว “ชิ้นที่สอง 1 บาท” แคมเปญสร้างความแตกต่างให้ “วัตสัน” ในยุค Health & Beauty Store แข่งเดือด! เมื่อเอ่ยถึง “วัตสัน” สิ่งหนึ่งที่อยู่ในการรับรู้ และจดจำของคนไทย คือ โปรโมชั่น “ชิ้นที่สอง 1 บาท” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว โดยเริ่มต้นที่วัตสันในต่างประเทศก่อน จากนั้นได้นำมาปรับใช้กับตลาดเมืองไทย ภายใต้ Signature Campaign ดังกล่าว ตอบโจทย์ให้กับทั้ง “วัตสัน” และ “แบรนด์สินค้า”
"โปรโมชั่น" ที่เป็น "Signature Campaign" คู่กับ Retailer เป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ให้กับ Retailer และแบรนด์สินค้า ยังกระตุ้นการทดลองใช้สินค้า ตัวอย่างเช่น "วัตสัน" กับ "ชิ้นที่สอง 1 บาท" และ "เทสโก้ โลตัส" กับแคมเปญ "โรลแบ็ค" เป็นสองแคมเปญที่ยู่ในการจดจำของผู้บริโภคไปแล้ว "วัตสัน" สิ่งหนึ่งที่อยู่ในการรับรู้ และจดจำของคนไทย คือ "ชิ้นที่สอง 1 บาท" ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี ภายใต้ Signature Campaign เพื่อตอบโจทย์ทั้ง "วัตสัน" และ "แบรนด์สินค้า"
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50657
Retail
บริการ SCB EASY Pay จอง-จ่ายซื้อบ้านแสนสิริแบบไร้เงินสด จะส่งผลดีอย่างไรต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) ในประเทศไทย?
null
บริการ SCB EASY Pay จอง-จ่ายซื้อบ้านแสนสิริแบบไร้เงินสด มีศักยภาพที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยหลายประการ ดังนี้: 1. เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการชำระเงิน: - ลูกค้าสามารถชำระเงินค่าจองบ้านหรือคอนโดมิเนียมผ่านคิวอาร์โค้ด โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต - กระบวนการชำระเงินรวดเร็ว ง่ายดาย และสะดวก - ช่วยลดเวลาคิวในการชำระเงิน 2. เพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงิน: - ระบบคิวอาร์โค้ดและเวอร์ชวลเครดิตการ์ดมีความปลอดภัยสูง - ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกมิจฉาชีพฉกชิงเงินสดหรือบัตร 3. ส่งเสริมการใช้จ่ายแบบดิจิทัล: - กระตุ้นให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการใช้จ่ายแบบดิจิทัล - ช่วยลดการใช้เงินสด - สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสังคมไร้เงินสด 4. ขยายฐานลูกค้า: - ดึงดูดลูกค้าที่ชื่นชอบความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย - ขยายโอกาสทางธุรกิจสำหรับร้านค้า 5. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: - ช่วยให้ร้านค้าประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดการเงินสด - ช่วยให้ร้านค้าสามารถติดตามข้อมูลการชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. เสริมสร้างภาพลักษณ์: - แสดงถึงภาพลักษณ์ของธุรกิจที่ทันสมัย - ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการใช้บริการกับธุรกิจที่มีนวัตกรรม ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก: - ร้านค้าปลีกสามารถนำระบบคิวอาร์โค้ดมาใช้เพื่อรับชำระค่าสินค้า - ห้างสรรพสินค้าสามารถนำระบบเวอร์ชวลเครดิตการ์ดมาใช้เพื่อเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ - ธุรกิจออนไลน์สามารถนำระบบคิวอาร์โค้ดมาใช้เพื่อรับชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน โดยสรุป: บริการ SCB EASY Pay จอง-จ่ายซื้อบ้านแสนสิริแบบไร้เงินสด ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชำระเงินในธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภค ร้านค้า และเศรษฐกิจโดยรวม หมายเหตุ: บริการนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพิ่มเติม: ธนาคารไทยพาณิชย์มีแผนที่จะขยายบริการนี้ไปยังธุรกิจอื่นๆ ในอนาคต ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริการนี้ก่อนใช้งาน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50658
Retail
ข้อใดเป็นข้อดีของร้านค้าที่ใช้กรุงศรีมั่งมี QR
1. สามารถโอนเงินเข้าบัญชี e-wallet เข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีหรือเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผูกกับพร้อมเพย์ได้ 2. ไม่ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาบัตรประชาชนมาสมัคร 3. มีค่าธรรมเนียมการสมัคร 4. มีการทอนเงิน
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 1. เพราะว่า เพราะ "สามารถโอนเงินเข้าบัญชี e-wallet เข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีหรือเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผูกกับพร้อมเพย์ได้" เป็นข้อดีของร้านค้าที่ใช้กรุงศรีมั่งมี QR ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง กรุงศรีมั่งมี QR & กรุงศรีมั่งมี App คือ แอปพลิเคชั่นสำหรับร้านค้า เป็นอีกหนึ่งช่องทางการชำระเงินที่เพิ่มความสะดวกสบายในการค้าขาย รับเงินง่ายไม่ต้องห่วงเรื่องพกเงินทอนเยอะ เพิ่มความปลอดภัยให้กับร้านค้าด้วยรหัสผ่านส่วนตัว รองรับทุกระบบการชำระเงินแห่งอนาคต และบริการธุรกรรมทางการเงินต่างๆ แบบไม่เสียค่าธรรมเนียม ตลอดจนลูกค้าก็สามารถช้อปปิ้งเพลิน ไม่ต้องถือเงินจำนวนมาก เพียงใช้แอปของธนาคารใดก็ได้ นำไปสแกนโค๊ดบน กรุงศรีมั่งมี QR จากนั้นก็สามารถโอนเงินเข้าบัญชี E-wallet ของแม่ค้าทันที แม้แม่ค้าจะไม่มีบัญชีธนาคารกรุงศรี ก็สามารถโอนเงินจากแอปเข้าบัญชีออมทรัพย์ได้ง่ายๆ เพียงสมัครใช้ QR และแอปกรุงศรีมั่งมี QR ข้อดีของร้านค้าที่ใช้กรุงศรีมั่งมี QR • รับเงินสะดวก ไม่ต้องทอนเงิน • ไม่มีค่าธรรมเนียมการสมัคร • ไม่มียอดรับชำระขั้นต่ำ และรับเงินได้จาก Mobile Banking ของทุกธนาคาร • สามารถโอนเงินเข้าบัญชี e-wallet เข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีหรือเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผูกกับพร้อมเพย์ได้ • มีข้อความแจ้งเตือนเงินเข้า เมื่อลูกค้าทำการชำระเงิน • สมัครง่ายเพียงนำบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาบัตรประชาชน แนบใบคำขอเปิดใช้บริการ • ดาวน์โหลดแอปได้ง่ายๆ ใช้ได้ทั้ง iOS และ Android • ลงทะเบียนใช้งานบนแอปได้มั่นใจ ปลอดภัยด้วย OTP • สามารถเช็คยอดรับชำระเงินได้ทันทีจากกรุงศรีมั่งมีแอป ดูยอดขายรายวันได้ และดูย้อนหลังได้ถึง 7 วัน นอกจากนี้ กรุงศรียังได้เปิดตัว LINE Sticker มาสคอตของแอปนี้ เป็นน้องกล้วยสายแบ๊วสไตล์ญี่ปุ่น ชื่อ “มั่งมี” ที่มาพร้อมกับคู่หู แมวกวักชื่อ “มาเนกิ” แมวแห่งโชคลาภที่จะช่วยเรียกลูกค้า เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็จะเพิ่มพลังขายดิบขายดี ขายง่าย จ่ายคล่อง โดยกรุงศรีเปิดให้ดาวน์โหลด LINE Sticker Krungsri Mung-Mee ได้ฟรี (หมดเขต 23 พฤษภาคม 2561)
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50662
Retail
ทีมอลล์ และฟอร์ด มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา เปิดตัว “ตู้จำหน่ายรถยนต์อัตโนมัติ” (https://bit.ly/2u6vOqS) ตู้แรกของประเทศจีน ในเฟสแรกของการอัพเกรดประสบการณ์การทดลองขับรถยนต์ให้กับลูกค้าชาวจีน โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ
ทีมอลล์ และฟอร์ด มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา เปิดตัว “ตู้จำหน่ายรถยนต์อัตโนมัติ” (https://bit.ly/2u6vOqS) ตู้แรกของประเทศจีน ในเฟสแรกของการอัพเกรดประสบการณ์การทดลองขับรถยนต์ให้กับลูกค้าชาวจีน “ศูนย์ทดลองขับรถยนต์อัจฉริยะ” หรือ Super Test-Drive Center (https://bit.ly/2IiT4IT) ในกวางโจว เปิดให้ผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้ทดลองขับเป็นเวลา 3 วัน โดยสามารถเลือกได้จากรถยนต์กว่าร้อยคัน ซึ่งรวมถึงโมเดลเอกซ์พลอเรอร์ เอสยูวี (Explorer SUV) มัสแตง (Mustang) เอดจ์ (Edge) และเอเวอเรสต์ (Everest) นายดีน สโตนลีย์ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด ฟอร์ด เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า “เรากำลังหาวิธีช่วยอำนวยความสะดวกและให้ประสบการณ์การทดลองก่อนซื้อที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า” การเปิดตัวนี้เป็นความร่วมมือนำร่องระหว่างอาลีบาบา กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของทีมอลล์ และฟอร์ด นับตั้งแต่การประกาศความร่วมมือในเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา (https://bit.ly/2uIi5v8) โดยวางแผนใช้ประโยชน์จากเอไอ (artificial intelligence) คลาวด์ คอมพิวติ้ง (cloud computing) อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (Internet of Things) และอีคอมเมิร์ซ ในการ “สร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์ด้านยานยนต์ของผู้ใช้งานและลูกค้า” นอกเหนือจากการรับรถยนต์และทดลองขับ ประสบการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นบนแอปพลิเคชั่นอีคอมเมิร์ซบนโทรศัพท์มือถือของอาลีบาบา ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่หน้า “Super Test-Drive” เพื่อค้นหาโมเดลที่พร้อมให้ทดลองขับและเลือกเวลารับรถ หลังจากนั้นถ่ายภาพตนเองเพื่อใช้ยืนยันการจองไปยังศูนย์ทดลองขับรถยนต์ดังกล่าว นายกู้ ว่านกั๋ว ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายยานพาหนะ ทีมอลล์ ออโต้ กล่าวว่า ตู้จำหน่ายรถยนต์อัตโนมัติเป็นความก้าวหน้าล่าสุดในการสนับสนุนค้าปลีกยุคใหม่ หรือ New Retail (https://bit.ly/2ByJ8Zm) ของอาลีบาบา โดยโมเดลค้าปลีกยุคใหม่นั้นให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก รวมทั้งการเข้าถึงบริการต่างๆ เช่น ศูนย์ทดลองขับรถยนต์จะทำให้ลูกค้าเข้าใจรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้รู้สึกสนุกและมีส่วนร่วมกับการซื้อรถมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นายกู้ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนั้น การประยุกต์การวิเคราะห์และการตลาด (https://bit.ly/2pWlNMG) ของอาลีบาบา สามารถนำมาใช้สนับสนุนให้แบรนด์และผู้จำหน่ายสินค้าได้รู้ถึงกลุ่มเป้าหมายและสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ “โดยอาลีบาบามุ่งหวังว่าเทคโนโลยีตู้จำหน่ายอัตโนมัตินี้จะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้โดยรวม” นายเฉา เจิ้นอวี่ ผู้บริหารระดับสูงของ ฉางอาน ฟอร์ด ออโตโมบิล โครงการความร่วมมือของฟอร์ดที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองฉงชิ่ง กล่าวว่า การทดลองขับรถยนต์เป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์การซื้อ อย่างไรก็ตาม การทดลองแบบเดิมที่ตัวแทนจำหน่ายเสนอมักมีข้อจำกัดด้านเวลา พื้นที่ และเส้นทาง นายเฉา กล่าวเสริมอีกว่า “ถ้าเราขยายระยะเวลาการทดลองขับ ลูกค้าจะสามารถตัดสินใจซื้อได้ด้วยความมั่นใจและสะดวกสบายมากขึ้น เราอยากให้ลูกค้าได้ลองใช้รถของเราในชีวิตประจำวัน เพื่อสัมผัสประสบการณ์กับรถอย่างเต็มรูปแบบ และตัดสินใจซื้อที่หน้าร้านของเราในที่สุด” Tmall partnership with Ford gives test-drives a tune-up (1) ประเทศจีนเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2552 ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของยอดขายชะลอตัวลงอย่างมากในปี 2560 (https://bit.ly/2H2sPXE) เหลือเพียง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จาก 13.6% ในปี 2559 ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เปลี่ยนกลยุทธ เพื่อดึงดูดลูกค้าในประเทศที่มียอดขายทั่วโลกเพียง 30% (https://on.mktw.net/2pVPaiy) โดยหนึ่งในกลยุทธดังกล่าว ได้แก่ การร่วมมือกับทีมอลล์ รวมถึงการร่วมมือกับบริษัทต่างๆ เช่น มาเซราติ (Maserati – https://bit.ly/2BrrS7I) อัลฟาโรมิโอ (Alfa Romeo – https://bit.ly/2nLJuYs) และบีเอ็มดับเบิลยู (BMW – https://bit.ly/2BrrS7I) ฟอร์ดเป็นพาร์ทเนอร์พิเศษของทีมอลล์ในเฟสแรกของการเปิดตัวตู้จำหน่ายรถยนต์อัตโนมัติ ในขณะนี้ ทีมอลล์ยังไม่ได้ประกาศพาร์ทเนอร์รายอื่นๆ แต่กำลังพิจารณาเมืองปักกิ่งและเมืองหางโจว ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ดำเนินการสำหรับเฟสต่อๆ ไป
ทีมอลล์ และฟอร์ด มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา เปิดตัว “ตู้จำหน่ายรถยนต์อัตโนมัติ” ตู้แรกของประเทศจีน ในเฟสแรกของการอัพเกรดประสบการณ์การทดลองขับรถยนต์ให้กับลูกค้าชาวจีน “ศูนย์ทดลองขับรถยนต์อัจฉริยะ” หรือ Super Test-Drive Center ในกวางโจว เปิดให้ผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้ทดลองขับเป็นเวลา 3 วัน โดยสามารถเลือกได้จากรถยนต์กว่าร้อยคัน ซึ่งรวมถึงโมเดลเอกซ์พลอเรอร์ เอสยูวี (Explorer SUV) มัสแตง (Mustang) เอดจ์ (Edge) และเอเวอเรสต์ (Everest) นายดีน สโตนลีย์ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด ฟอร์ด เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า “เรากำลังหาวิธีช่วยอำนวยความสะดวกและให้ประสบการณ์การทดลองก่อนซื้อที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า” การเปิดตัวนี้เป็นความร่วมมือนำร่องระหว่างอาลีบาบา กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของทีมอลล์ และฟอร์ด นับตั้งแต่การประกาศความร่วมมือในเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยวางแผนใช้ประโยชน์จากเอไอ (artificial intelligence) คลาวด์ คอมพิวติ้ง (cloud computing) อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (Internet of Things) และอีคอมเมิร์ซ ในการ “สร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์ด้านยานยนต์ของผู้ใช้งานและลูกค้า” นอกเหนือจากการรับรถยนต์และทดลองขับ ประสบการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นบนแอปพลิเคชั่นอีคอมเมิร์ซบนโทรศัพท์มือถือของอาลีบาบา ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่หน้า “Super Test-Drive” เพื่อค้นหาโมเดลที่พร้อมให้ทดลองขับและเลือกเวลารับรถ หลังจากนั้นถ่ายภาพตนเองเพื่อใช้ยืนยันการจองไปยังศูนย์ทดลองขับรถยนต์ดังกล่าว นายกู้ ว่านกั๋ว ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายยานพาหนะ ทีมอลล์ ออโต้ กล่าวว่า ตู้จำหน่ายรถยนต์อัตโนมัติเป็นความก้าวหน้าล่าสุดในการสนับสนุนค้าปลีกยุคใหม่ หรือ New Retail ของอาลีบาบา โดยโมเดลค้าปลีกยุคใหม่นั้นให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก รวมทั้งการเข้าถึงบริการต่างๆ เช่น ศูนย์ทดลองขับรถยนต์จะทำให้ลูกค้าเข้าใจรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้รู้สึกสนุกและมีส่วนร่วมกับการซื้อรถมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นายกู้ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนั้น การประยุกต์การวิเคราะห์และการตลาด ของอาลีบาบา สามารถนำมาใช้สนับสนุนให้แบรนด์และผู้จำหน่ายสินค้าได้รู้ถึงกลุ่มเป้าหมายและสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ “โดยอาลีบาบามุ่งหวังว่าเทคโนโลยีตู้จำหน่ายอัตโนมัตินี้จะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้โดยรวม” นายเฉา เจิ้นอวี่ ผู้บริหารระดับสูงของ ฉางอาน ฟอร์ด ออโตโมบิล โครงการความร่วมมือของฟอร์ดที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองฉงชิ่ง กล่าวว่า การทดลองขับรถยนต์เป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์การซื้อ อย่างไรก็ตาม การทดลองแบบเดิมที่ตัวแทนจำหน่ายเสนอมักมีข้อจำกัดด้านเวลา พื้นที่ และเส้นทาง นายเฉา กล่าวเสริมอีกว่า “ถ้าเราขยายระยะเวลาการทดลองขับ ลูกค้าจะสามารถตัดสินใจซื้อได้ด้วยความมั่นใจและสะดวกสบายมากขึ้น เราอยากให้ลูกค้าได้ลองใช้รถของเราในชีวิตประจำวัน เพื่อสัมผัสประสบการณ์กับรถอย่างเต็มรูปแบบ และตัดสินใจซื้อที่หน้าร้านของเราในที่สุด”
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50671
Retail
สิ่งที่เซ็นทรัลจะได้จากการทำธุรกิจ e-Commerce คืออะไร
ยังคงสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดหย่อนของเทคโนโลยี Internet ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานขององค์กรแบบพลิกโฉม สะท้อนให้เห็นถึงยุคที่ผู้บริโภคมีอำนาจเหนือผู้ให้บริการปละผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่ผู้บริโภคต้องตามล่าหาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ มาสู่การเลือกสิ่งที่ต้องการแล้วปล่อยให้ผลิตภัณฑ์เดินตามหาผู้บริโภค แต่สำหรับยักษ์ใหญ่ของธุรกิจค้าปลีกกลับไม่ได้มองว่าเทคโนโลยีคือตัวที่ต้องปรับเปลี่ยน แต่มองว่าเทคโนโลยีคือ Facility ที่สำคัญอย่างหนึ่งต่างหาก โดย คุณทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ชี้ว่า กลยุทธ์หลักของกลุ่มเซ็นทรัลจะแบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ทั้งการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกไลฟ์สไตล์-บริการ (Lifestyle & Service Retailing), การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ พร้อมกันนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2013-2017 มีอัตราเติบโตเฉลี่ย11% ซึ่งธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัลอยู่ทั้งในยุโรปราว 15% ในเวียดนามอีก 13% และอยู่ในไทยราว 72% แน่นอนว่านี่เป็นการเปิด Master Plan หรืออาจจะเรียกว่าแผนแม่บทของการทำตลาดในอีกระยะเวลา 5 ปีจากนี้ซึ่งดูจากท่าทีคุณทศก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เซ็นทรัลกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ O2O (Online to Offline) หรือที่จากนี้ไปเราจะได้ยินคุ้นหูกับคำว่า “ออมนิแชนเนล (Omni Channel)” และมีการย้ำชัดเจนว่า เซ็นทรัลจะยังคงเป็นศูนย์การค้าที่เป้นห้างสรรพสินค้าสำหรับคนที่ต้องการเดินทางมาจับจ่ายใช้สอย เป้าใหญ่ต้องไปให้ถึง หนึ่งในกลยุทธ์หลักที่คุณทศวางไว้การเติบโตในทุกด้าน โดยเฉพาะการขยายสาขาไปในต่างจังหวัดที่หลายคนมองว่า แทบไม่มีความจำเป็นที่ต้องขยายสาขาแล้วในยุคนี้ ซึ่งเซ็นทรัลตั้งเป้าในอีก 5 ปีจากนี้จะมีธุรกิจอยู่ใน 52 จังหวัดจากปัจจุบันที่มีธุรกิจอยู่เพียง 38 จังหวัดเท่านั้น และคาดว่าจะมีร้านค้าเพิ่มขึ้นถึง 7,509 ร้านค้า จากปัจจุบันที่มีร้านค้าเพียง 4,970 ร้านค้า ตอกย้ำการขยายไปสู่ต่างจัหวัดกับสัดส่วนการขายของเซ็นทรัลที่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เซ็นทรัลมีสัดส่วนการขายที่ กทม.ถึง 80% และต่างจังหวัดเพียง 20% แต่ปัจจุบันสัดส่วนการขายไปขยายตัวในต่างจังหวัดไปถึง 46% ขณะที่สัดส่วนใน กทม.ลดลงเหลือเพียง 54% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก e-Commerce ที่เติบโตขึ้น นอกจากนี้สาขาในต่างประเทศของเซ็นทรัลก็เริ่มเป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในทวีปยุโรป (Europe) ที่มีการเติบโตนับตั้งแต่ 2013 ที่เซ็นทรัลบุกตลาดยุโรปจาถึงปัจจุบันมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 24% ด้วยมูลค่ากว่า 5.1 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญการเปิดตัวห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต โรม (Rinascente Rome) ใจกลางกรุงโรมได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งชาวอิตาลีและบรรดานักท่องเที่ยว ขณะที่เซ็นทรัลในเวียดนามได้รับการตอบรับอย่างดีมาก โดยมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 340% คิดเป้นมูลค่ากว่า 4.4 หมื่นล้านบาท และถือเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม โดยในอีก 5 ปีจากนี้ เซ็นทรัลตั้งเป้าขยายสาขาในเวียดนามให้ครอบคลุม 57 จังหวัด จากปัจจุบันที่มีธุรกิจอยู่ใน 37 จังหวัด และคาดว่าจะมีร้านค้าเพิ่มขึ้นถึง 753 ร้านค้า จากปัจจุบันที่มีร้านค้าเพียง 217 ร้านค้า รวมพื้นที่กว่า 2.5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังพบว่าเซ็นทรัลที่เวียดนามมีลูกค้าเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 1.75 แสนคนต่อวัน สำหรับในปี 2018 นี้ คุณทศคาดการณ์ว่ากลุ่มเซ็นทรัลจะเติบโตเพิ่มขึ้น 14% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.9 แสนล้านบาทหรือราว 1.1 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้เตรียมงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 4.75 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 27.8% ขยายสาขาสู่ความยิ่งใหญ่ อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า คุณทศเชื่อว่า ห้างยังคงสามารถขยายสาขาออกไปได้อีก แม้ว่าโลกนี้ขะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีก็ตาม โดยกลุ่มเซ็นทรัลจะยังลงทุนเพื่อขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยไปขยายสาขาทั้งในส่วนของห้างสรรพสินค้าและโรงแรมในเชนเซ็นทารา สามารถแบ่งออกไปตามแต่ละไตรมาสของปี 2018 ประกอบไปด้วย ไตรมาสที่ 1 เตรียมเปิดห้างสรรพสินค้า ท็อปส์ พลาซา พะเยา (เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา) ช่วงไตรมาสที่ 2 เตรียมเปิดห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โฉมใหม่ ซึ่งคุณทศชี้ว่า ตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการของ World Trade Center มีผู้ค้าบางรายที่เช่าพื้นที่ระยะยาว ทำให้เซ็นทรัลไม่สามารถทำอะไรได้มากมาย แต่สัญญาระยะยาวเหล่านั้นกำลังจะหมดลงในปีนี้ และเมื่อผู้เช่าสัญญาระยะยาวสิ้นสุด เซ็นทรัลเวิร์ลก็จะปรับโฉมใหม่และทำการ Relaunch อีกครั้ง ช่วงไตรมาสที่ 3 จะมีการขยายธุรกิจมากที่สุดทั้งการเปิดตัวห้างโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อมตะ-ชลบุรี ช่วงเดือนกรกฎาคม, การเปิดตัวห้าง ท็อปส์ พลาซ่า สิงห์บุรี ช่วงเดือนสิงหาคม, การเปิดตัวห้างเซ็นทรัล ภูเก็ตแห่งที่ 2 และไตรภูมิ แอทแทรคชั่น ในช่วงเดือนกันยายน และการเปิดตัวโรงแรมเซ็นทารา เวสต์เบย์ เรสซิเดนซ์และสวีท ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ สำหรับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 จะมีการเปิดตัวห้าง ท็อปส์ พลาซา 2 สาขาทั้งที่อำเภอพล ขอนแก่นในช่วงเดือนตุลาคม และที่พัทลุงในช่วงเดือนธันวาคม, การเปิดตัวห้างโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ชัยภูมิ ในช่วงเดือนธันวาคม และพิเศษอย่างยิ่งกับการเปิดตัวห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) แห่งที่ 2 ที่ป่าตอง ภูเก็ตในช่วงเดือนพฤศจิกายน สุดท้ายกับความยิ่งใหญ่ของการเปิดตัวศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอซิตี้ ศูนย์การค้าแห่งแรกของ CPN ในประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวสาขาใหม่ในเวียดนามอีกด้วย ส่งผลให้มีร้านค้าต่างๆ ที่จะเปิดใหม่ทั้งในไทยและเวียดนามมีอีกกว่า 439 แห่ง จับมือพันธมิตรสู่ Platform Digital นอกจากแผนการเติบโตและการขยายตัวแล้ว การร่วมมือกับพันธมิตรก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 4 พันธมิตรใหญ่ที่สำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 3 โครงการประกอบไปด้วย โครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ได้พันธมิตรอย่าง ดุสิตธานี ในการสร้างโครงการมิกซ์ยูสบนถนนสีลม-พระราม 4 หรือจุดที่เป้นโรงแรมดุสิตธานีเดิม และฮ่องกงแลนด์ ในการสร้างโครงการมิกซ์ยูสบนถนนเพลินจิต เมื่อรวมทั้ง 2 โครงการจะกลายเป้นโครงการขนาดใหญ่บนพื้นที่รวมกว่า 1 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้เซ็นทรัลยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง IKEA ในการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยเป็นโครงการเชื่อมโยงระหว่างเซ็นทรัล เวสต์เกตกับ IKEA บางใหญ่ที่เรียกว่าเป้นห้างใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ และโครงการความร่วมมือกับ JD.com ในการสร้าง Platforme-Commerce โดยเฉพาะการร่วมทุนกว่า 1.75 หมื่นล้านบาท กับการสร้างมาร์เก็ตเพลส (Marketplace) ในชื่อ JD.co.th เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าของกลุ่มธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงเปิดโอกาสให้สินค้าไทย และสินค้า SMEs ได้เผยแพร่สู่ตลาดโลก e-Commerce สู่ 2 ธุรกิจใหม่ สิ่งที่เซ็นทรัลจะได้จากการทำธุรกิจ e-Commerce คือ ข้อมูล (Data)โดยเซ็นทรัลจะเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้บนระบบคลาวด์ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าเชิงลึก และสามารถตอบสนองความต้องการ พร้อมมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า และจะตามมาด้วยความภักดี (Loyalty) จะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลผ่านทางแพลตฟอร์มใหม่ของ “เดอะวันการ์ด (The 1 Card)” จนนำไปสู่ ออมนิแชแนล แพลตฟอร์ม (Omni Channel Platform) ที่จะเชื่อมต่อการช้อปปิ้งระหว่างโลกออฟไลน์และออนไลน์แบบไร้รอยต่อ (Seamless) ได้ทุกที่ทุกเวลา จากการที่เซ็นทรัลพัฒนาไปสู่ระบบ e-Commerce จะช่วยให้เซ็นทรัลสามารเข้าทำธุรกิจใหม่อีก 2 ธุรกิจอย่าง e-Logistics ที่เซ็นทรัลเตรียมวางแผนสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศไทย พร้อมบริการออนดีมานด์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และ e่-Finance ที่พร้อมให้บริการด้านการเงินอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งบริการด้าน e-Payment และ e-Financial สำหรับทั้งลูกค้าและซัพพลายเออร์ คุณทศยังกล่าวด้วยว่า “เราไม่ได้มองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา Disrupt อะไรเซ็นทรัล แต่เรามองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยให้เราขายของได้สะดวกมาขึ้น ลูกค้าสามารถหาซื้อของได้ง่ายขึ้น แน่นอว่าการซื้อของออนไลน์ได้รับความนิยม แต่จะไว้ใจได้อย่างไรเพราะเราไม่รู้ว่าเวลามีปัญหาต้องทำอย่างไร ติดต่อใคร แต่เพราะเราคือเซ็นทรัลมีความน่าเชื่อถือ เวลาซื้อสินค้าออนไลน์จากเซ็นทรัลไปแล้วมีปัญหาก็สามารถมาหาเราได้ เซ็นทรัลไม่มีย้ายหนีไปไหนแน่นอน”
คือ ข้อมูล (Data) โดยเซ็นทรัลจะเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้บนระบบคลาวด์ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าเชิงลึก และสามารถตอบสนองความต้องการ พร้อมมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า และจะตามมาด้วยความภักดี (Loyalty) จะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลผ่านทางแพลตฟอร์มใหม่ของ “เดอะวันการ์ด (The 1 Card)” จนนำไปสู่ ออมนิแชแนล แพลตฟอร์ม (Omni Channel Platform) ที่จะเชื่อมต่อการช้อปปิ้งระหว่างโลกออฟไลน์และออนไลน์แบบไร้รอยต่อ (Seamless) ได้ทุกที่ทุกเวลา จากการที่เซ็นทรัลพัฒนาไปสู่ระบบ e-Commerce จะช่วยให้เซ็นทรัลสามารเข้าทำธุรกิจใหม่อีก 2 ธุรกิจอย่าง e-Logistics ที่เซ็นทรัลเตรียมวางแผนสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศไทย พร้อมบริการออนดีมานด์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และ e่-Finance ที่พร้อมให้บริการด้านการเงินอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งบริการด้าน e-Payment และ e-Financial สำหรับทั้งลูกค้าและซัพพลายเออร์
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50672
Retail
รางวัล Best Social Entertainment มีกี่รางวัล
1. 21 2. 26 3. 6 4. 18
คำตอบที่ถูกต้องคือ 4. เพราะว่า รางวัล Best Social Entertainment มีจำนวน 18 รางวัล ได้แก่ 1. Beauty ได้แก่ นุ่น NOBLUK 2. Comedy ได้แก่ บี้ เดอะสกา 3. Game Caster ได้แก่ HEARTROCKER 4. IT & Digital ได้แก่ Cee 5. Kids & Family ได้แก่ Little Monster 6. Lifestyle ได้แก่ Kaykal Salaider 7. Pet ได้แก่ Kingdom of Tiger: ทูนหัวของบ่าว 8. Social critic ได้แก่ อีจัน 9. Actor ได้แก่ เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข 10. Actress ได้แก่ ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต 11. Male Artist ได้แก่ เป๊ก ผลิตโชค อายนบุตร 12. Female Artist ได้แก่ แก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น 13. Duo or Group Artist ได้แก่ บีเอ็นเค 48 14. TV Program ได้แก่ The Mask Singer 15. Online program ได้แก่ เฟ็ดเฟ่ บอยแบรนด์ 16. Thai Movie ได้แก่ ฉลาดเกมส์โกง 17. Thai Series ได้แก่ รากนครา 18. Thai News ได้แก่ เรื่องเล่าเช้านี้ รางวัลพิเศษจำนวน 1 รางวัล 1. Special Awards ได้แก่ โครงการก้าวคนละก้าว
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50673
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคชาวเมียนมาในปี 2018" ให้หน่อยค่ะ
ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดระดับโลกได้วิเคราะห์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเมียนมาในปี 2018 ดังนี้ 1. ตลาดโมเดิร์นรีเทล (Modern Retail) เติบโตสูง เมียนมาเป็นตลาดที่ดึงดูด Retailer จากหลายประเทศให้เข้ามาลงทุน เช่น ญี่ปุ่น ได้มีการขยายธุรกิจรีเทลมาที่เมียนมา อาทิ Aeon, Miniso หรือ Daiso รวมถึงมีแผนการขยาย Fashion Retail แบรนด์ต่างๆ ทำให้พื้นที่รีเทลในเมียนมาเติบโตสูงถึง 28 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยในแต่ละปี มีการขยายตัวของพื้นที่ให้เช่าจาก 150,000 ตารางเมตร ในปี 2013 เป็น 250,000 ตารางเมตรในปี 2018 ส่วนตลาดค้าปลีกในเมียนมาเองก็มีการขยับขยายกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะการเปิดสาขาเพิ่มในเมืองรอง เช่น Grab and Go ร้านสะดวกซื้อที่เปิดตัวในปี 2013 ด้วยจำนวน 10 สาขา ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 200 สาขาในเมืองย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และเนย์ปิดอว์ จากงานวิจัยความเชื่อมั่นของผู้บริโภค พบว่า 54 เปอร์เซ็นต์ของคนเมียนมาไม่มีความกังวล และมีความตั้งใจจะใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมที่จะทำให้ตลาดค้าปลีกเติบโตอย่างคึกคักในปี 2018 2. มองหาสินค้าที่สนองไลฟ์สไตล์มากกว่าแค่ปัจจัยสี่ ข้อมูลวิจัยผู้บริโภคเมียนมาพบว่า คนเมียนมาซื้อสิ่งของที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์มากขึ้น ไม่ได้ซื้อแค่สินค้าที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันเท่านั้น เช่น มีการใช้น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น น้ำยาปรับผ้านุ่ม ครีมนวดผม สบู่เหลว มากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนจัดเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็น และสิ้นเปลือง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 14 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในขณะที่อัตราการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความสะดวกสบาย เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ก็เติบโตสูงเช่นเดียวกัน ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนเกาหลีเป็นสินค้าเครื่องสำอาง ขณะที่ญี่ปุ่น และจีน เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า แม้กระทั่งคอนเทนต์ของโฆษณาก็มีการปรับเปลี่ยนอย่างชัดเจนในเมียนมา จากโฆษณาที่เน้น Hard Sale ขาย Functional Product ความยาว 3 นาที ก็เปลี่ยนมาเน้น Soft Sale คือ ขาย Emotional เป็นไลฟ์สไตล์คอนเทนต์มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ภาพคุ้นชินที่เห็นคนเมียนมานั่งยองตามตั่งเก้าอี้ จิบชากาแฟริมถนนกำลังจะกลายเป็นภาพในอดีต จากผลวิจัยที่ระบุอัตราติดลบ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เมื่อคนเมียนมาหันมานิยมเข้าร้านกาแฟที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยร้านกาแฟแบรนด์ต่างๆ ก็ทยอยเข้ามาเปิดตัวในเมียนมา ไม่ว่าจะเป็น Gloria Jean’s True Coffee Black Canyon Coffee Bean & Tea Leaf เป็นต้น ผลวิจัยระบุอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของร้านกาแฟจาก 6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2013 เป็น 45 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 เช่นเดียวกับธุรกิจที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสกายบาร์ โยคะ หรือฟิตเนส ที่จัดเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงในเมียนมา ขณะที่ผู้ร่วมงานแฟร์อย่างงาน Myanmar Build & Décor งานแต่งบ้าน ไลฟ์สไตล์ดีไซน์ก็มีผู้ร่วมงานมากขึ้น โดยมีจำนวน 5,119 คนในปี 2017 จาก 2,879 คนในปี 2014 เติบโต 80 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลจากบริษัท ไอซีเว็กซ์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการจัดงานแฟร์ และเอ็กซิบิชั่นทุกครบวงจร บริษัทในเครือของบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน)) 3. โกอินเตอร์ จากงานวิจัยของเอ็นไวโรเซลในหลายปีที่ผ่านมา พบว่าคนเมียนมาเริ่มหันมาใส่ใจภาพลักษณ์ และ Status Symbol มากขึ้น มีการใช้สินค้าอิมพอร์ตมากขึ้น เช่น บิสกิต ชาอังกฤษ สปาเกตตี้ ซุปฝรั่ง ซีเรียล สอดคล้องกับ ข้อมูลของไอซีเว็กซ์ ที่ระบุว่า คนเมียนมาชอบไปอีเว้นท์ที่เกี่ยวกับ International Food & Beverage มากขึ้น โดยในปี 2017 มีผู้เข้าร่วมงาน 4,100 คน เติบโตถึง 52 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2014 ที่มีผู้เข้าร่วมเพียง 2,696 คน ในขณะเดียวกัน 47 เปอร์เซ็นต์ของคนเมียนมาที่ใช้ ‘อินเทอร์เน็ต’ มีโอกาสเปิดรับสื่ออินเตอร์มากยิ่งขึ้น โดย VDO Streaming เป็นที่นิยมมากในปี 2017 ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ดูผ่านมือถือ ทำให้ Netflix กำลังขยายธุรกิจไปยังเมียนมา รวมถึงพันธมิตรอย่าง Ooredoo และ Iflix ด้วยเช่นกัน ทำให้คนเมียนมาได้เปิดรับโลกภายนอกมากขึ้น และโกอินเตอร์มากขึ้น รวมถึงเริ่มนิยมเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้น โดยปี 2017 ที่ผ่านมา มีคนเมียนมาเดินทางออกนอกประเทศถึง 3 ล้านคน ซึ่งเมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโอกาสการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉลี่ย 10.6 เปอร์เซ็นต์จนถึงปี 2021 โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ A และ B ในย่างกุ้ง และมัณฑเลย์ นับว่ายังมีโอกาสอีกมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และอัตราการเติบโตของผู้มีรายได้สูง และเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมที่สุดของชาวพม่า
เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคชาวเมียนมาในปี 2018 1. ตลาดโมเดิร์นรีเทลเติบโตสูง ดึงดูด Retailer หลายประเทศให้มาลงทุนและขยายธุรกิจรีเทล ส่วนตลาดค้าปลีกก็มีการเปิดสาขาเพิ่มในเมืองรอง 2. มองหาสินค้าที่สนองไลฟ์สไตล์ ไม่ได้ซื้อแค่สินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน มีการปรับเปลี่ยนคอนเทนต์โฆษณาเป็นไลฟ์สไตล์คอนเทนต์ 3. คนเมียนมาเริ่มหันมาใช้สินค้าอิมพอร์ตมากขึ้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50684
Retail
จงสรุปบทความ 5 เทรนด์ เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ ปี 2018
5 เทรนด์หลัก ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ ปี 2018 คือ 1. ผู้บริโภคจะพึ่งพาการปฎิสัมพันธ์ กับ เทคโนโลยี โดยไม่ต้องอาศัย มนุษย์ (From Human Touch to Human Less) เนื่องจากการลดต้นทุน ปัญหาตลาดแรงงาน และการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าของเทคโนโลยี ทำให้หลายบริษัทหันมาใช้เทคโนโลยีทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ แอพลิเคชั่น และโดรน เป็นต้น ทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเจอพนักงานที่ให้บริการ และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตในญี่ปุ่นที่ไม่มีพนักงาน ได้ใช้เทคโนโลยีในการสแกนสินค้า เก็บตังค์ และนำของใส่ถุงให้ผู้บริโภค โดยอัตโนมัติ หรือ สนามบินสิงคโปร์ Terminal T4 ที่ไม่ใช้พนักงานทำงานแล้ว ผู้โดยสารทำเองหมด ตั้งแต่โหลดกระเป๋าใหญ่เพื่อใส่ท้องเครื่อง สแกนพาสปอร์ต เอ็กซ์เรย์กระเป๋าติดตัว ขึ้นเครื่อง ทุกอย่างใช้ Machine ทั้งหมดเป็นที่แรกในโลก รวมถึงอีกหลายโรงแรม ที่ให้ผู้บริโภคสามารถเช็คอิน เช็คเอาท์เอง โดยอัตโนมัติ และง่ายดาย ซึ่งผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับการ Self service มากขึ้น และชอบที่จะ Control ทุกอย่างด้วยตัวเองมากขึ้น People หรือ Staff จะไม่ใช่ Touchpoint กับผู้บริโภคอีกต่อไป Service mind อาจไม่ใช่จุดขาย แต่ Convenient service ที่ผู้บริโภค control ทุกขั้นตอนได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว จะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคมองหา 2. ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนจากการเชื่อโฆษณา เชื่อรีวิว การบอกต่อ มาเชื่อผู้ช่วยอัจริยะแทน (From Word of Mouth to Word of Mouse) พฤติกรรมผู้บริโภคทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ดูจะ Monitor ตัวเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเดิน กี่ก้าว หลับลึกกี่ชั่วโมง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยกับการหันมาเชื่อเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะพัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีความฉลาด เก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำ และ Real time อย่างที่สมองมนุษย์ทั่วไปประมวลผลไม่ได้ สถิติบ่งบอกถึงการเติบโตของ การใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะว่าโตมาก และรวดเร็ว จาก 390 ล้าน ในปี 2015 เป็น 1.8 พันล้าน ภายใน 2021 อนาคตอันใกล้ ผู้ช่วยอัจริยะถูกพัฒนาให้สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ สื่ออารมณ์ได้ พร้อมแนะนำผู้บริโภคได้ทุกอย่าง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อออกแบบให้เหมาะสมกับผู้บริโภคนั้น จะเป็นจุดขายในอนาคต เช่น เตียงนอนอากาศ (air bed) ที่ใช้เทคโนโลยีในการติดตามกิจกรรมระหว่างวันของผู้บริโภค เพื่อตรวจสอบมวลกล้ามเนื้อการเต้นของหัวใจ มาปรับความแน่นของเตียงให้เหมาะสมกับกิจกรรมในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้บริโภคหลับลึก และหลับดีขึ้น หรือแอพพลิเคชั่น Monitor การวิ่ง ที่ติดตามการวิ่งของนักวิ่ง ว่าวิ่งเท่าไร กี่ก้าว น้ำหนัก ส่วนสูง เพื่อจะแนะนำว่ารองเท้ารุ่นไหนเหมาะกับผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจะเชื่อผู้ช่วยอัจฉริยะมากขึ้น PR หรือ Human Influencer ลดบทบาทลง และ Product จะขายได้เมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้บริโภคที่รู้ลึก รู้จริง ถึงขั้นแนะนำว่าอะไรเหมาะกับผู้บริโภคคนนั้น ๆ บ้าง ในระดับ Individualization 3. ผู้บริโภคเปลี่ยนความเชื่อ ชอบ Engage กับ Game Content งานที่ท้าทายของการโฆษณา (From Plain to Play Content) เมื่อวิถีความเชื่อของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โฆษณาก็ยากที่จะ Engage ผู้บริโภคได้ ถ้าสังเกตคนรอบตัวให้ดีจะพบว่าคนที่เล่นมือถือส่วนใหญ่นั้น ไม่เล่น Facebook ช้อปปิ้ง หรือแชท ก็เล่นเกมส์! สติถิการเล่นเกมส์ผ่านมือถือของผู้บริโภคนั้น เติบโตเฉลี่ยประมาณ 15% ต่อปี โดยปัจจุบันคนไทยมีผู้เล่นเกมส์ประมาณ 20 ล้านคน ส่วนใหญ่เล่นผ่านมือถือ โดยใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3 ชม. ต่อวัน นำมาซึ่งพฤติกรรมใหม่ๆ ของผู้บริโภค คือ การเสพ Content ในรูปแบบเกมส์ หรืออะไรที่ Playful ซึ่งหลายบริษัทหันมาสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านเกมส์ ทำให้ผู้บริโภคสนุก และ Engage กับแบรนด์มากกว่าการโฆษณาที่ผู้บริโภครู้สึกถูกยัดเยียด โดยแบรนด์ที่พัฒนาเกมส์ Content ได้อย่างชาญฉลาด คือ ไนกี้ ออกแอพพลิเคชั่น ชื่อว่า ไนกี้ Challenge โดยผู้เล่นสามารถอวดเพื่อนได้ว่าวันนี้วิ่งไปเท่าไร และ Challenge เพื่อนให้มาแข่งกันได้ เป็นการเล่นเกมส์ โดย Engage แบรนด์ไนกี้เข้ามาในเกมส์อย่างแนบเนียน ในวงการเกมส์เซเลบริตี้ ไม่ใช่ดารา หรือผู้มีชื่อเสียง แต่กลับเป็นตัวละครในเกมส์ ซึ่งเราจะเห็นการใช้เซเลบริตี้ที่มาจากเกมส์ มาเป็นเซเลบริตี้มากขึ้น และความนิยมในเกมส์วีดีโอ ทำให้ถูกจัดมาเป็นการแข่งขันกีฬาประเภทหนึ่ง เรียกว่า Esport โดยสโมสรกีฬาใหญ่ๆ เช่น Manchester city ต่างหันมาสนับสนุน Esport เนื่องจากสถิติการชมกีฬา Traditional sport ไม่ว่าจะเป็น NFL Olympic Premier league มีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันไปนิยม Esport มากขึ้น ทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Esport bar หรือ รูปแบบ Sponsorship ที่หลายแบรนด์เริ่มหันมาพิจารณาเป็น sponsor การแข่งขันวีดีโอเกมส์ หรือ Esport มากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจะ Engage กับ Game content วิธีการ Promote brand จะผ่านเกมส์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกสนุก และท้าทายมากขึ้น 4. ผู้บริโภค เป็นทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ทุกที่ ทุกเวลา เน้นประสบการณ์ที่สด และจริง (From Store to Stream) เมื่อวิถีการซื้อขายเปิดกว้างให้ผู้บริโภคเป็นทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งถ่ายทอดสดได้ Product display ก็ไม่ได้จำกัดที่ร้าน และวิธีการขาย ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการโชว์สินค้านิ่งๆ อีกต่อไป เวทีแฟชั่นโชว์ บ้าน หรือที่สวนผลไม้ ต่างเป็นที่ Display สินค้าได้ ตราบใดที่สามารถให้ประสบการณ์ที่ สด จริง แก่ผู้บริโภคได้ ในแต่ละเดือนมีการพูดคุยซื้อขายผ่าน Market place ถึง 550 ล้านคน มีรายการสินค้าประกาศขายถึง 18 ล้านรายการ ตัวอย่างการขายของผ่าน Livestream โดย Xinda Zhan ที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อที่จ่ายค่าหอยมุกคนละ ประมาณ 300 บาท เลือกซื้อหอยมุก โดยได้เห็นขั้นตอนกระบวนการการเก็บหอยมุกของตัวเอง จนนำมาผ่า และลุ้นว่าหอยที่ตัวเองได้นั้นจะมีมุกกี่เม็ด หรืออาจไม่มีมุกเลย ซึ่งเป็นวิธีการขายที่สร้าง Engagement โดยใช้ Game content ทำให้ผู้บริโภคได้ลุ้น เหมือนร่วมเล่นเกมส์ Xinda สร้างรายได้ 140 ล้านบาท ภายใน 5 เดือนของการขายผ่าน Livesteam ในขณะที่ Physical retail หลายแบรนด์กำลังปรับตัวเข้าสู่การให้ประสบการณ์ Live แก่ผู้บริโภค ซึ่งอาจไม่ใช่การถ่ายทอดสด แต่เป็นการให้ประสบการณ์สดแก่ผู้บริโภคอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น IKEA ที่มีแอพพลิเคชั่นให้ผู้บริโภค นำสินค้าหลายแบบมาลองวางในห้อง ซึ่งผู้บริโภคได้ประสบการณ์สดว่าห้องจะดูอย่างไรกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์อย่าง Yves Saint Laurent ใช้ AR เพื่อสแกนหน้าลูกค้า ให้ลองเครื่องสำอางค์ได้หลายๆ แบบ สร้างประสบการณ์สดว่าหน้าตาเราจะเป็นอย่างไรกับเครื่องสำอางค์สีต่างๆ ดังนั้นProduct ดีอย่างเดียวไม่พอ วิธีการพรีเซนต์ที่ Convince เชื่อถึงความ Real Price ไม่จำเป็นต้องถูก ตราบใดที่เราสามารถทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าสินค้าเหมาะสมกับผู้บริโภคระดับปัจเจก 5. ผู้บริโภค Socialize เทคโนโลยีผ่านหน้าจอ และ Digital Human มากขึ้น
5 เทรนด์หลัก ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ ปี 2018 คือ 1. ผู้บริโภคจะพึ่งพาการปฎิสัมพันธ์ กับ เทคโนโลยี โดยไม่ต้องอาศัย มนุษย์ 2. ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนจากการเชื่อโฆษณา เชื่อรีวิว การบอกต่อ มาเชื่อผู้ช่วยอัจริยะแทน 3. ผู้บริโภคเปลี่ยนความเชื่อ ชอบ Engage กับ Game Content งานที่ท้าทายของการโฆษณา 4. ผู้บริโภค เป็นทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ทุกที่ ทุกเวลา เน้นประสบการณ์ที่สด และจริง 5. ผู้บริโภค Socialize เทคโนโลยีผ่านหน้าจอ และ Digital Human มากขึ้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50706
Retail
จากข้อมูลของ Google พบว่า ในปี 2025 ดิจิทัลจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาค SEA มีมูลค่าสูงถึงกี่แสนล้านดอลลสร์สหรัฐ
SME มีเฮหลัง Google ปล่อยตัวช่วย Google My Business ในการเข้าสู่โลกดิจิทัล ​ ธุรกิจ SME ถือเป็นภาคธุรกิจที่มีจำนวนมากในปัจจุบันและยังเป็นทิศทางการทำธุรกิจของไทยในอนาคต แต่สิ่งที่ SME ประสบปัญหาแทบทุกรายคือเรื่องของเงินลงทุนที่มีอย่างจำกัด นั่นหมายถึงการใช้จ่ายทุกอย่างต้องคุ้มค่าการลงทุน และหลายครั้งที่ SME มักจะลงทุนโดยไม่ได้ผลกลับคืนมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนที่ไม่ตรงหรือเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายหลักของธุรกิจ Google จึงเปิดตัวเครื่องมือใหม่ Google My Business (GMB) ที่จะช่วยให้ธุรกิจที่มีหน้าร้านโดยเฉพาะ SME สามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองได้ง่ายๆ โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ รวมถึงสามารถใช้งานได้บนสมาร์ทโฟน ด้วยวิธีการสร้างเพียงไม่กี่ขั้นตอนและใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที นอกจากนี้ฟังก์ชั่นใน GMB ยังจะช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบได้ง่ายใน Google Search และพร้อมนำทางไปยังร้านผ่าน Google Map จากข้อมูลพบว่าในปี 2025 ดิจิทัลจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาค SEA มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลสร์สหรัฐ โดยประเทศไทยมีมูลค่า 37 ล้านดอลลาร์ เป็นผลมาจากจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในปรพเทศไทยสูงถึง 45 ล้านเครื่อง นอกจากนี้ความเร็วอินเตอร์เน็ตของไทยมีความเร็วเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาครองจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจที่ใช้ระบบดิจิทัลกับธุรกิจที่ไม่ใช้จะพบว่า ธุรกิจที่ใช้ดิจิทัลจะมีรายได้มากกว่า 9% เมื่อคิดเป็นผลกำไรแล้วจะมีมีกำไรมากกว่า 26% และจะช่วยให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 12% ปัจจุบันธุรกิจของไทยที่มีการจดทะเบียนมีอยู่ราว 3 ล้านธุรกิจ ซึ่งมีเพียง 13% เท่านั้นที่ระบบ e-Commerce โดยราว 2 ล้านธุรกิจหรือ 71% เป็นกลุ่มของธุรกิจประเภทร้านขายของ (Retail) และบริการ (Service) และกลุ่มเหล่านี้มากกว่า 80% ยังไม่มีการใช้ดิจิทัลแต่พึ่งพาลูกค้าเดินเข้าร้าน (Walk in) เป็นหลัก ซึ่ง GMB ช่วยให้ธุรกิจที่ยังไม่มีการใช้ดิจิทัลสามารถสร้างตัวตนขึ้นได้ในโลกดิจิทัล โดยเป็นบริการฟรีไม่คิดเงิน และจุดเด่นสำหรับ GMB จะช่วยให้ธุรกิจสามารถถูกค้นหาได้ง่ายใน Google Search และยังปรากฎใน Google Map เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ฟังก์ชั่นการนำทางของ Google Map ได้อีกด้วย สำหรับ GMB เปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 และในช่วงปีที่ผ่านมา GMB มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 120% สำหรับการใช้งานสามารถทำได้ง่ายเพียงดาวน์โหลด GMB กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและถูกต้อง จากนั้นก็ทำการเผยแพร่โดย GMB จะให้ผู้ใช้บริการจดโดเมนฟรี นอกจากยี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ Promotion Post ในการเพิ่มโปรโมชั่นแบบชั่วคราวระยะสั้น การอัพโหลดรูปภาพและการให้เจ้าของร้านสามารถรีวิว รวมถึงสามารถตอบกลับรีวิวของลูกค้าได้อีกด้วย นายไมเคิล จิตติวาณิชย์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด Google ประเทศไทย ยังแนะนำผู้ใช้บริการ GMB โดยเฉพาะในส่วนของการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ทางร้าน โดยแบ่งออกเป็น 4 ข้อทั้งการอัพเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ, การใช้ Promotion Post เพื่อสร้างความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง, ตอบรีวิวลูกค้าทั้งด้านบวกและด้านลบอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ และการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าผ่าน Dashboard เพื่อให้สามารถเข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
2 แสนล้านดอลลสร์สหรัฐ จากข้อมูลของ Google พบว่า: - ในปี 2025 ดิจิทัลจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาค SEA มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลสร์สหรัฐ - โดยประเทศไทยมีมูลค่า 37 ล้านดอลลาร์ เป็นผลมาจากจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในประเทศไทยสูงถึง 45 ล้านเครื่อง - นอกจากนี้ความเร็วอินเตอร์เน็ตของไทยมีความเร็วเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาครองจากประเทศสิงคโปร์
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50707
Retail
แบรนด์เครื่องสำอาง CLOUDA ได้รางวัลอะไร
a. Best Palette Eyeshadow b. Best Perfecting Powder c. Best Perfecting Powder และ Best Palette Eyeshadow d. Best Powder และ Best Palette
คำตอบคือ c. เพราะว่า แบรนด์เครื่องสำอาง CLOUDA (คลาวด้า) คว้ารางวัล Best Perfecting Powder และ Best Palette Eyeshadow มาครอง นางสาวณลันรัตน์ นันท์นนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MPG) เปิดเผยว่า ภาพรวมของ MPG ได้แยกออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ คือ 1. ธุรกิจ Retail และ 2. ธุรกิจ Cosmetics โดยธุรกิจ Retail เป็นจุดแข็งที่บริษัทมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมายาวนาน คือ การบริหารพื้นที่ในศูนย์การค้า ซึ่งถือเป็นทำเลทอง ที่เราจะใช้ทำเลเหล่านี้เพื่อก่อเกิดรายได้ โดยปัจจุบันเรามีทั้งหมด 3 Retail Brands ได้แก่ ร้านแมงป่อง ขายหนังและเพลง จำนวน 13 สาขา ร้าน GIZMAN ขายแก็ดเจ็ต จำนวน 13 สาขา และร้าน STARDUST ขายเครื่องสำอาง จำนวน 8 สาขา และในส่วนของ Retail ยังมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาระบบบริหารจัดการการค้าปลีก และสรรหาพาร์ตเนอร์ในการ Sourcing สินค้าใหม่ๆให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการอัพเดทเทรนด์ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าก่อนใคร นอกจากนี้ในส่วนของ Retail ทั้ง 3 แบรนด์ บริษัทฯได้รุกการทำตลาดออนไลน์ โดยได้พัฒนาศักยภาพของเว็บไซต์เพื่อรองรับ E-commerce และการขายสินค้าผ่านช่องทาง Social Media
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50709
Retail
ในปี 2560 สยามคูโบต้า ครบรอบ 40 ปี ร่วมยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยให้มั่นคง ยั่งยืน ด้วยสิ่งใด
สรุปข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2560 สรุปข่าวเด่นน่าสนใจประจำสัปดาห์ สำหรับแฟนๆ MarketingOops.com ที่พลาดข่าวสารสำคัญๆสัปดาห์ที่ผ่านมา โฆษณาไทย★ยกทัพกวาด 29 รางวัล จากเวที Spikes Asia 2017 ประเทศสิงคโปร์ Cj Worx คว้าเอเจนซี่แห่งปี เบื้องหลังงานคนไทย ฝากไว้ที่เมียนมา โฆษณา Telenor Myanmar โดย Leo Burnett Thailand ยืนยันแล้ว! กรุงเทพฯ จะมี ‘Apple Store’ แห่งแรกของไทย จับตา Apple ขยายตลาดแถบเอเชีย “STYLE” มิติใหม่ของงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ที่ตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่ครบครัน ทั้งสินค้าแฟชั่น ของขวัญ ของใช้ในบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ เมื่อคนไทย “ยังไม่ฟิน” ไปกับ FinTech ใครกันแน่ที่ต้องเป็นฝ่ายปรับตัวในสังคมไร้เงินสด? 40 ปี สยามคูโบต้า ร่วมยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยให้มั่นคง ยั่งยืน ด้วย KUBOTA (Agri) Solutions หรือ เกษตรครบวงจร ศึก Bike Sharing จีน ofo vs. Mobike หวังตีตลาดครองหัวใจคนไทย เทียบฟอร์ม 2 ค่าย ใครแน่กว่ากัน! กรุงศรีคว้า 5 รางวัลยอดเยี่ยมจาก The Asian Banker แนะนำลิงก์เปลี่ยนภาพโปรไฟล์บนเฟซบุ๊ก ถวายอาลัย ในหลวง ร.๙ “สบายดีหรือเปล่า….” ข่าวคราวว่าได้ อันดับ 1 Youtube Ad Leaderboard ผลงานสร้างชื่อครั้งแรกให้แบรนด์ไทย ในภูมิภาค APAC AIS เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร และการเดินทางให้ประชาชนร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เผย Insight การท่องเที่ยวของคนไทย ไปเที่ยวไหน-ค่าใช้จ่ายเท่าไร? บลูพอร์ต หัวหิน จัดนิทรรศการแสตมป์ “ปณิธานพ่อสร้างไว้ สานต่อความเติบใหญ่ให้ชุมชน” งาน RetailEX ASEAN บันไดความสำเร็จความสำเร็จครั้งแรก กับ Internet Retailing Expo ASEAN แบรนด์ก็ดัง แต่ทำไมลอรีอัลขายทิ้ง? ถอดบทเรียนความล้มเหลวของ ‘The Body Shop’ ภาพลักษณ์ดี แต่ขายไม่ดี โตโยต้า ส่งเสริมการศึกษาเพื่อสังคมไทยที่ยั่งยืน มอบทุนการศึกษาครั้งที่ 45 แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย UNICEF LINE Run วิ่งเพื่อเด็กทุกคนได้มี #โอกาสที่เท่าเทียม งานวิ่งการกุศลครั้งประวัติศาสตร์ มีผู้ร่วมกิจกรรมมากกว่า 8,500 คน ณ สวนหลวง ร.9 ASICS นำเสนอชุดออกกำลังกายคอลเลคชั่นแรก ผลิตด้วยผ้าพิมพ์ลายชื่อดังจาก LIBERTY FABRICS GoPro เปิดตัว HERO6 มาพร้อมความละเอียดภาพ ระบบกันภาพสั่น และความสะดวกในการใช้งานแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน อิออน เปิดตัวแอปพลิเคชัน “AEON THAI MOBILE” พร้อมฟังก์ชั่นใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว กับมาตรฐานความปลอดภัย กสิกรไทย คว้า 4 รางวัลจาก The Asian Banker KTB ชวนผู้ประกอบการ SMEs เจาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ CLMV “คุณลุย…เราดัน” ร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผ่าน Line Sticker ชุด “บทเพลงรำลึกถึงพ่อหลวง” โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ TMB ทำกิมมิค CSR เก๋ สร้างเพจให้คนร่วมวิ่ง ระดมทุนช่วยเด็กๆ ที่ต้องผ่าตัดหัวใจด่วน “คิดถึงท่านเหมือนกันใช่ไหม” บริการถ่ายทอด 9 คำสอนของ ‘พ่อ’ผ่านการโทร โดย กสท ททท. ร่วมกับ UNDP เปิดตัว ๔ ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนสู่สาธารณะ เผยแพร่ศาสตร์พระราชาผ่านนิทรรศการ ตลอด ๕ วันเต็ม ยืนหยัดเคียงข้างทุกฮีโร่หมวก! ‘CLEAR’ ต่อยอดแคมเปญ HAT HEROES ยกย่องหัวใจฮีโร่หมวก มอบผลิตภัณฑ์สระผมเคลียร์ เมน แก่ฐานทัพเรือสัตหีบ สหพัฒน์ จัดทัพติวเตอร์ดัง ร่วมติวฟรี “Sahapat Admission” ครั้งที่ 20 เปิดโอกาส ม.ปลาย ทั่วประเทศ ติวเข้มสอบเข้ามหาวิทยาลัย Young Webmaster Camp ครั้งที่ 15 ค่ายเจาะลึกด้านเว็บไซต์เเละวงการดิจิทัล เคล็ดลับปรับพฤติกรรม เลี่ยงความดันโลหิตสูง จากเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ “ดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017” ประกาศผลแข่งสุดยอดเซียนสายพันธุ์ดิจิทัล เนสท์ ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ โชว์ความสำเร็จโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพระดับอินเตอร์ Bangkok Bank InnoHub ในประเทศไทย จัด Demo Day ให้กลุ่มนักลงทุนไทยและต่างชาติ อารียาฯ จัดนิทรรศการภาพ “รำลึกไว้ในความทรงจำ” ช้อปฟินเว่อร์กับช้อปปี้ ในราคาดีที่สุด! กับแคมเปญ “Shopee ถูกที่สุด การันตี” อิ่มเจอิ่มใจกับแลคตาซอย สูตรเจ 3 รสชาติ “ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์” คว้ารางวัล ผลิตภัณฑ์เพื่อเอสเอ็มอีแห่งปี 2017 ธนชาตร่วมเป็นช่องทางการจองหนังสือ ธนบัตร ร.๙ : ๗๐ ปี ใต้ร่มพระบารมี คลังความรู้ที่รวบรวมธนบัตรครบถ้วนในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 เราเป็นได้แค่ผู้เสพเทคโนโลยี? เจาะภารกิจ ThaiWPS ดันไทยสู่ 4.0 พร้อมเป็นฮับอาเซียน เทสโก้ โลตัส ประกาศหยุดช่วงบ่าย 26 ต.ค. ทุกสาขาทั่วประเทศ เปิดโอกาส พนง.ถวายความอาลัย ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตำรวจผสานกรมเจ้าท่าประกาศปิดเส้นทางการจราจรทั้งทางน้ำและทางบกช่วงวันพระราชพิธีฯ ดราม่า อาแปะ งานเข้า! ลูกค้า 100 กว่าราย จ่ายเงินจองตั๋วแล้วแต่ถูกสายการบินยกเลิก บทพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ รัฐเตรียมปรับโฉมภาพลักษณ์รถตุ๊กตุ๊กใหม่เป็น e-TukTuk เน้นใช้ไฟฟ้า Tree of Savior สะท้อนชีวิตคนทำงานจะสำเร็จได้ต้องเริ่มจาก 1 เพราะชีวิตคือการเก็บเลเวล คาดปี 2021 งบโฆษณาดิจิทัลในไทย จะโตขึ้น 28.7% ยืนยันแล้ว ไทยเริ่มขาย iPhone 8 และ 8 Plus วันที่ 3 พ.ย.นี้ นักวิจัยยืนยันคุณสมบัติของน้ำมันมะกอก เคล็ดลับต้านโรคเบาหวานและโรคอ้วน ตอบโจทย์คนอยากมีบ้านแต่ไม่อยากมีภาระ คอนโด ยู เกษตร – นวมินทร์ ช่วยตัดภาระทางการเงิน ให้ผ่อน 899 บ./เดือน นาน 2 ปี “เมพ คอร์ปอเรชั่น” ขึ้นแท่นผู้นำตลาด E-book Marketplace พร้อมเปิดตัวธุรกิจใหม่ พิกซีพี-PIXIPE Soda แบรนด์แฟชั่นระดับตำนาน สร้างสรรค์สู่ผ้าพันคอ “พอเพียง” ร่วมสมทบทุนมูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านม “uberASSIST” บริการทางเลือกใหม่ในการเดินทางที่ดีขึ้นของผู้พิการและผู้สูงอายุ “Pomelo ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปันเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม” อาลีบาบารุกขยายสาขาซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะ “เหอหม่า” ต่อเนื่อง ต่อยอดความสำเร็จของกลยุทธ์ค้าปลีกยุคใหม่ ดิจิทัลเอเจนซี่ไม่ใช่คำตอบของ เดนท์สุ ‘ณรงค์ ตรีสุชน’ แทคทีม ‘เซกิ’ เปิดตัว CDC โมเดลปฏิวัติเอเจนซี่ อาวุธหนักในสังเวียนธุรกิจโฆษณา การบินไทย แจง 2 แนวทางแก้ไขกรณีระบบโหลดราคาผิด รอฟัง ‘อาแปะ’ เอาไง “โอกาสที่ดีมีค่ายิ่ง” โปรเม มอบทุนการศึกษาผ่านมูลนิธิสายธาร เครือเบทาโกร เพื่อพัฒนาเด็กไทยคุณภาพ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์” เปิดตัว “เบบี้ เจอร์นี่ย์” โซนเฟอร์นิเจอร์-ผลิตภัณฑ์สำหรับ “เด็ก” เออาร์ไอพีพร้อมจัดงานใหญ่ส่งท้ายปี COMMART WORK 2017 “บันทึกทางไกล…ถึงพ่อ” (The Journey) ภาพยนตร์สารคดีหาชมยาก ตามรอยเสด็จ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ที่เมืองโลซาน จนถึงเสด็จนิวัติกลับไทย แอร์บีแอนด์บี จับมือ เชฟเอียน กิตติชัย สุดยอดเชฟจากประเทศไทย ร่วมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่สุดพิเศษ จากสุดยอดเมนูแบบไทยๆ ที่ไร้เทียมทาน ออมสินประกาศรางวัลโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง เมกาบางนาจัดทำเข็มกลัดภาพวาดในหลวงรัชกาลที่ 9 ออกแบบโดยศิลปินดัง ครูปาน – สมนึก คลังนอก พีพีทีวีแจกจริง!! พาทัวร์ดูบอลอังกฤษติดขอบสนาม IDE Center by UTCC เปิดโครงการ IDE Accelerator เดินหน้าบ่มเพาะสตาร์ทอัพไทย สานรักจากเอไอเอส ชวนครอบครัวสนุกยกก๊วน กับแรลลี่การกุศล “AIS Family Walk Rally” ครั้งที่ 17 ททท. ร่วมกับ UNDP เปิดตัวชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา ๔ ชุมชน ผ่านนิทรรศการตลอด ๕ วันเต็ม 5 คำแนะนำ ร่วมวันประวัติศาสตร์ ซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ 7 ต.ค. รวมจุดถวายดอกไม้จันทน์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล บีทีเอส–VGI ผนึกกำลังทำโครงการ “ก้าวต่อไป” เปลี่ยน 5 สถานีรถไฟฟ้า รำลึกถึง ‘พ่อ’
ในปี 2560 สยามคูโบต้า ครบรอบ 40 ปี ร่วมยกระดับชีวิตเกษตรกรไทยให้มั่นคง ยั่งยืน ด้วย KUBOTA (Agri) Solutions หรือ เกษตรครบวงจร
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50723
Retail
ในยุคที่ e-Commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมจะอยู่รอดได้อย่างไร?
null
1. มุ่งเน้นไปที่สินค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถหาจุดแข็งของตัวเองโดยมุ่งเน้นไปที่สินค้าเฉพาะกลุ่มที่ e-Commerce อาจไม่สามารถตอบสนองได้ ตัวอย่างเช่น สินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง ต้องการการสัมผัสหรือลองใช้ก่อนซื้อ หรือสินค้าที่มีบริการหลังการขายที่ซับซ้อน 2. ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel) แทนที่จะมอง e-Commerce เป็นคู่แข่ง ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรใช้ประโยชน์จากมันเพื่อสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ราบรื่นไร้รอยต่อ ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ แต่สามารถรับสินค้าหรือลองสินค้าจริงที่หน้าร้านได้ 3. เน้นจุดเด่นของหน้าร้าน หน้าร้านเป็นจุดแข็งที่ e-Commerce ไม่สามารถเทียบได้ ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรใช้ประโยชน์จากจุดนี้เพื่อสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร เช่น การจัดบรรยากาศร้านให้สวยงาม น่าดึงดูด การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การให้บริการลูกค้าที่ประทับใจ 4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เทคโนโลยีสามารถช่วยให้ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ระบบ POS สำหรับการจัดการสินค้าและการชำระเงิน การใช้ระบบ CRM สำหรับการเก็บข้อมูลลูกค้า การใช้ระบบ AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลและการทำนายความต้องการของลูกค้า 5. เน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ในยุคที่ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย ความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการให้บริการที่ประทับใจ การมอบโปรโมชั่นพิเศษ การจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้า ตัวอย่าง -ร้านขายเครื่องดนตรี: ร้านสามารถขายสินค้าออนไลน์ ควบคู่ไปกับการให้บริการลองเครื่องดนตรีจริงที่หน้าร้าน -ร้านขายเสื้อผ้า: ร้านสามารถขายสินค้าออนไลน์ ควบคู่ไปกับการให้บริการตัดเย็บเสื้อผ้าตามสั่ง -ร้านขายอาหาร: ร้านสามารถขายอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ ควบคู่ไปกับการให้บริการนั่งทานที่ร้าน สรุป ธุรกิจ Retail แบบดั้งเดิมสามารถอยู่รอดและเติบโตในยุค e-Commerce ได้ โดยต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งของตัวเอง ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50735
Retail
โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ โรงแรมลักชัวรีระดับพรีเมียมในเครือ พาร์ค ไฮแอท แห่งแรกในประเทศไทย มีความพิเศษน่าสนใจอะไรบ้าง
null
ตอกย้ำความเป็น The retail beacon of Bangkok ของ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี พร้อมแล้วสำหรับการสร้างอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของกลุ่มเซ็นทรัล เตรียมสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศความสมบูรณ์แบบระดับโลกอย่างเต็มขั้น ยิ่งใหญ่สมการรอคอย พร้อมกับการอวดโฉม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ โรงแรมลักชัวรีระดับพรีเมียมในเครือ พาร์ค ไฮแอทแห่งแรกในประเทศไทย แม่เหล็กชิ้นสำคัญที่ร่วมพลิกโฉมวงการลักชัวรี รีเทล และโรงแรมระดับไฮเอนด์ในประเทศไทย ก้าวขึ้นชั้นเวิลด์ คลาส เดสทิเนชั่น (World Class Destination) แห่งใหม่ ใจกลาง Central Bangkok ทุ่มงบกว่า 80 ล้านบาท เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองสุดอลังการ “The Completion of Central Embassy and The Opening of Park Hyatt Bangkok” เนรมิต แสง สี เสียง เต็มรูปแบบ ในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 18:30 น. เป็นต้นไป และพบกับกิจกรรมและความพิเศษอีกมากมายที่เป็น “ครั้งแรก” ในประเทศไทย ต่อเนื่องตลอด 2 เดือนนับจากนี้ เริ่มต้นการเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่เพื่อมอบประสบการณ์นิวลักชัวรีตามแบบฉบับของเซ็นทรัล เอ็มบาสซีเตรียมเนรมิตความอลังการเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความสมบูรณ์แบบของสถาปัตยกรรมไอคอนิคบิลดิ้งระดับโลก ที่เป็น The MostIconic Retail Landmark โดยจะจัดพรมแดงสุดหรู เพื่อต้อนรับแขกระดับเอลิสต์ ทั้งดีไซเนอร์ระดับท็อปของโลก, นางแบบและนักแสดงที่เป็นสไตล์ไอค่อนชื่อดังของเอเชีย คิโกะ มิซูฮาระ (Kiko Mizuhara) ที่จะให้เกียรติบินตรงมาร่วมงาน พร้อมเชื้อเชิญเหล่าพันธมิตร ลูกค้าคนสำคัญ และเซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทย มาร่วมสัมผัสนิยามใหม่แห่งการเฉลิมฉลองสุดพิเศษระดับเวิล์ดคลาส พร้อมชมการสร้างสรรค์โชว์พิเศษกับความมหัศจรรย์ของ แสง สี เสียง ผ่านการแสดงสดโดยวงออร์เคสตรากว่า 30 ชิ้น รวมถึงการแสดงดนตรีสุดสเปเชียลจากศิลปินระดับโลก อาทิ โรเบิร์ต กลาสเปอร์ (Robert Glasper) เจ้าของรางวัลแกรมมี่ สาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมเมื่อปี 2013 พร้อมดื่มด่ำกับบทเพลงดังอย่าง “American Boy” จากนักร้องนักแต่งเพลงเสียงสวย เอสเตล (Estelle) ซึ่งเดินทางมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะในเอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้ซึ่งได้รับการรังสรรค์อย่างมีสไตล์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองไทย ไม่เพียงเท่านั้น ยังเตรียมมอบประสบการณ์พิเศษ “7 special experience programs” ให้กับลูกค้าทุกท่านด้วยกิจกรรมพิเศษต่อเนื่องตลอด 2 เดือนนับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็น The Beach by Snarkitecture ครั้งแรกในเอเชีย กับผลงานอินเทอแอคทีฟ อินสตอลเลชั่นฝีมือ สนาร์คิเทคเจอร์ (Snarkitecture) สตูดิโอออกแบบจากนิวยอร์กที่ได้รับการจัดแสดงมาแล้วทั้งในทวีปอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป ตื่นตาตื่นใจไปกับลูกบอลพลาสติกรีไซเคิลสีขาวกว่า 2.5 แสนลูก เพื่อเปิดประสบการณ์อาร์ตอินสตอลเลชั่นในรูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความผ่อนคลาย ด้วยโครงสร้างสีขาวที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ตกแต่งด้วยเก้าอี้และร่มชายหาดขนาดโอเว่อร์ไซส์ชวนคิดถึงฤดูร้อนริมทะเลในวันพักผ่อน ที่บริเวณชั้น G ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม – 18 มิถุนายนนี้ พร้อมกันนี้ สนาร์คิเทคเจอร์ยังได้มาแชร์แนวคิดและวิธีออกแบบชายหาดลูกบอลแห่งนี้ด้วยตนเอง ในวันที่ 19 พฤษภาคม เวลา 14.00 – 15.00 น. ที่โอเพ่น เฮ้าส์ (Open House) ชั้น 6 เพื่อเน้นย้ำความเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ร่วมสมัย โอเพ่น เฮ้าส์ (Open House) Co-living Space จับมือกับศิลปินนักออกแบบระดับโลกและศิลปินสัญชาติไทย ครีเอท 10 ซิกเนเจอร์ ทอล์ก และเวิร์คช็อป อย่างต่อเนื่อง อาทิ ArchitectureTalk โดย 2 สถาปนิกแห่ง Klein Dytham architecture (KDa) บริษัทออกแบบชั้นแนวหน้าจากญี่ปุ่น ผู้ออกแบบโอเพ่น เฮ้าส์ในเซ็นทรัล เอ็มบาสซี และและร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเองไปกับ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ นักเขียนบทภาพยนตร์ นักเขียน และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังในเวิร์คช็อป “Movie Talk by Ter Nawapol” ที่พร้อมแชร์เบื้องหลังการผลิตภาพยนตร์อย่างหมดเปลือก นอกจากนี้ ยังมีคราฟต์ เวิร์คช็อปที่น่าสนใจอีกมากมายอาทิ Hand-pull screenprint Workshop by The Archivist รังสรรค์ภาพขนาดโปสการ์ดจากเทคนิคสกรีนพริ้นท์แบบง่ายๆ ด้วยสีที่มีกลิ่นทั้ง 5 แบบ ในเวิร์คช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก The Archivist อาร์ท สตูดิโอเลือดไทย ผสมผสานทั้งการใช้สายตาและดมกลิ่น เพื่อครีเอทผลงานสร้างสรรค์ที่มีชิ้นเดียวในโลก, “Illustrate Workshop by Sunday Kids” ติดอาวุธทำความรู้จักเรื่องราวของภาพประกอบและลงมือสร้างลายเส้นด้วยตนเอง,“Origami Workshop by PHANNAPAT” ปัดฝุ่นทักษะศิลปะในวัยเด็กด้วยเวิร์คช็อปพับกระดาษแบบญี่ปุ่นไปกับศิลปินไทยผู้ฝากผลงานศิลปะบนโลกโซเชียลให้กับแบรนด์ระดับโลก หรือจะลองสร้างลวดลายหินอ่อนด้วยเทคนิคการหยดสีลงบนน้ำเพื่อทำให้เกิดลายคลื่นจากญี่ปุ่นโดยนักวาดภาพประกอบมากฝีมือระดับนานาชาติใน “Ceramic Marbling Workshop by Pomme Chan”
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50736
Retail
จงสรุปบทความ ประสบการณ์จากการเยือน IBM Watson Experience
โดยการเยี่ยมชม IBM Watson Center ครั้งนี้ ทางไอบีเอ็มได้พาเราลงลึกกับ IBM Watson นวัตกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของทางไอบีเอ็มที่มีการใช้ Machine Learning Technology ที่มีการประมวลผลโดยวิธีการจำลองกระบวนการคิดของมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี Cognitive ซึ่งมีความสามารถในการทำความเข้าใจภาษา และอารมณ์ที่เกิดขึ้นของมนุษย์ในหลากหลายรูปแบบ จนสามารถตั้งสมมติฐานและเรียนรู้ได้อย่างไม่สิ้นสุด และต่อยอดไปสู่การคิด และการตัดสินใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ท้าทายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเทคโนโลยีออนไลน์ แน่นอนว่าความสามารถดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ไหลเข้าออกอย่างมหาศาลในแต่ละวัน (Big Data) อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คน และองค์กรในทุกอุตสาหกรรม และทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งสำหรับประเทศไทย ทางไอบีเอ็มก็ยังได้มีการเปิดใช้บริการ IBM Watson API ให้กลุ่มธุรกิจเล็กใหญ่ได้ร่วมใช้งานกว่า 30 บริการบนแพลตฟอร์มคลาวด์ไอบีเอ็ม บลูมิกซ์ และคาดว่าจะมีถึง 50 บริการภายในสิ้นปีนี้
โดยการเยี่ยมชม IBM Watson Center เพื่อลงลึกในแพลตฟอร์มนวัตกรรมของ IBM Watson ที่ใช้ Machine Learning Technology และ Cognitive Technology เพื่อทำความเข้าใจภาษาและอารมณ์ของมนุษย์ และมีความสามารถในการตั้งสมมติฐาน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์ Big Data และ IBM ได้เปิดให้บริการ Watson API ให้กับธุรกิจทั่วโลกบนแพลตฟอร์มคลาวด์ บลูมิกซ์ โดยคาดว่าจะมีมากถึง 50 บริการภายในปีนี้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50737
Retail
จงสรุปบทความ เรียนรู้เทคนิค Personalisation สร้างสรรค์กับแบรนด์ระดับโลก
ล่าสุด Domino’s Pizza ร่วมมือกับเอเจนซี่ CP+B พัฒนาแอพพลิเคชั่น Domino’s Tracker ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถติดตามออเดอร์พิซซ่าของตัวเองได้และสร้าง “เหตุการณ์” เพื่อนเตือนว่าพิซซ่ากำลังมาส่งแล้ว ตัวอย่างเช่น เมื่อพิซซ่าของคุณถูกส่งเข้าเตาอบแล้ว คุณสามารถตั้งให้เครื่องเล่นเพลงในบ้านคุณเล่นเพลงขึ้นมาได้ หรือเมื่อพิซซ่าออกมาส่งแล้วคุณอาจตั้งให้ไฟหน้าบ้านสว่างหรือทีวีเปิดเอง คุณสามารถสร้างกิจกรรมมากมายตราบที่กิจกรรมเหล่านั้นเชื่อมต่อออนไลน์อยู่ เทคนิคการตลาดที่ Domino’s Pizza ใช้คือการ Personalised Marketing ซึ่งเป็นเทคนิคสร้างความประทับใจร่วมกับเทคโนโลยีบนโลกออนไลน์ได้ดีที่สุด เพราะโลกธุรกิจทุกวันนี้ทำให้สินค้าและบริการทุกแบบเหมือนๆ กันไปหมด ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ด้วยการ Personalised ทำให้สินค้าและบริการเข้ากับตัวผู้บริโภคได้อย่างพอดิบพอดี เทคนิคนี้ถือเป็นขั้นสุดที่ดีกว่าของ Targeted Marketing คือไม่เพียงสร้างสินค้าและบริการที่เล็งเป้าหมายเฉพาะแต่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภค “ปรุงแต่ง” บริการที่ตนเองต้องการได้ด้วยตัวเอง ด้วยความยุ่งยากในการสร้างบริการจึงจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์มาช่วยเหลือในการสร้างข้อความส่วนบุคคล สร้างหน้าเพจให้ผู้ใช้เข้ามาปรับแต่งบริการของตัวเองมากกว่าการพัฒนาโปรแกรมเน้นขายของ
Domino's Pizza ร่วมมือกับเอเจนซี่ CP+B พัฒนาแอป Domino’s Tracker ให้ผู้สั่งซื้อสามารถติดตามสถานะของออเดอร์พิซซ่าได้ และสร้างเหตุการณ์เพื่อแจ้งเตือนการจัดส่ง เทคนิคการตลาดDomino’s Pizza ใช้เทคนิค Personalised Marketing เพื่อสร้างความประทับใจ โดยเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ เทคนิคนี้เป็นที่นิยมเนื่องจากโลกธุรกิจทำให้สินค้าและบริการมีความเหมือนกัน การ Personalised ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและทำให้เกิดความเข้ากับตัวผู้บริโภคได้อย่างพอดิบพอดี เทคนิค Personalised Marketing, Domino’s Pizza ไม่เพียงแค่สร้างสินค้าเพื่อเล็งเป้าหมายเฉพาะ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคปรุงแต่งบริการตามต้องการเอง ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์เพื่อสร้างข้อความส่วนบุคคลและสร้างหน้าเพจที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งบริการได้เอง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50749
Retail
จงสรุปบทความ Simplecity ความเรียบง่ายที่ไม่ได้มาโดยง่าย แต่มีผลอย่างมากถึงการตลาด
ในงานวิจัยได้ทำการวิจัยผ่านตัวอย่างกว่า 14,000 คนใน 9 ประเทศตั้งแต่ US, UK, Germany, Sweden, China, Japan, India, UAE และ Saudi Arabia ซึ่งให้คะแนน 857 แบรนด์ใน 25 อุตสาหกรรมว่าแบรนด์ไหนมีความเรียบง่าย ทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นหรือทำให้รู้สึกยากขึ้นทั้งนี้คำตอบนั้นมีดังนี้ ความเรียบง่ายนั้นทำให้ดูเรียบหรู กว่า 64% ยอมจ่ายมากกว่าถ้าสินค้านั้นทำให้รู้สึกว่ามีความเรียบง่ายในการใช้งาน ความเรียบง่ายได้ความจงรักภักดีมากกว่า : กว่า 61% จะแนะนำแบรนด์ที่รู้สึกเงียบง่ายให้คนอื่น ความเรียบง่ายทำให้หุ้นดี : บริษัทที่มีความเรียบง่ายนั้นมีพอร์ตหุ้นที่ดีกว่า 433% ความเรียบง่ายสร้างแรงบันดาลใจ : 62%
การวิจัยผ่านตัวอย่าง 14,000 คนจาก 9 ประเทศซึ่งให้คะแนน 857 แบรนด์ใน 25 อุตสาหกรรมว่าแบรนด์ไหนมีความเรียบง่าย ทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นหรือทำให้รู้สึกยากขึ้นทั้งนี้คำตอบนั้นมีดังนี้ 1.ความเรียบง่ายนั้นทำให้ดูเรียบหรู กว่า 64% 2.ความเรียบง่ายได้ความจงรักภักดีมากกว่า 61% 3.บริษัทที่มีความเรียบง่ายนั้นมีพอร์ตหุ้นที่ดีกว่า 433% 4. 62% รู้สึกว่าความเรียบง่ายสร้างแรงบันดาลใจ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50751
Retail
ในปี 2017 สื่อดิจิทัลจะกลายเป็นสื่อหลักที่ใช้ในการโฆษณาแทนสื่อทีวีหรือไม่?
null
ยังไม่ เหตุผล: สัดส่วนการใช้งบโฆษณา: สื่อทีวียังคงเป็นสื่อที่ได้รับงบโฆษณาสูงที่สุดในปี 2017 สัดส่วนการใช้งบโฆษณาสื่อดิจิทัลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่แซงหน้าสื่อทีวี สื่อดิจิทัลมีการคาดการณ์ว่าจะแตะหลักหมื่นล้านบาท แต่สื่อทีวีมีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท พฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคยังใช้เวลากับสื่อทีวีอยู่ 2.30 ชั่วโมงต่อวัน ผู้บริโภคเริ่มย้ายจากทีวีอนาล็อกไปทีวีดิจิทัลมากขึ้น เรตติ้งของทีวีดิจิทัลแซงหน้าทีวีอนาล็อกในบางช่วงเวลา ประเภทของสินค้า: สินค้าบางประเภทยังเหมาะกับการโฆษณาผ่านสื่อทีวีมากกว่าสื่อดิจิทัล สินค้าประเภท FMCG ยังคงใช้งบโฆษณาสื่อทีวีเป็นหลัก ข้อจำกัดของสื่อดิจิทัล: สื่อดิจิทัลมีปัญหาเรื่อง Attention span ของผู้บริโภค สื่อดิจิทัลมีปัญหาเรื่อง Brand safety สรุป: จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าในปี 2017 สื่อดิจิทัลยังไม่กลายเป็นสื่อหลักที่ใช้ในการโฆษณาแทนสื่อทีวี แต่สื่อดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มเติม: สื่อดิจิทัลมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นและอาจแซงหน้าสื่อทีวีในอนาคต นักการตลาดควรใช้งบโฆษณาบนสื่อต่างๆ อย่างเหมาะสมกับประเภทของสินค้าและพฤติกรรมผู้บริโภค ตัวอย่างการใช้งบโฆษณาบนสื่อต่างๆ สำหรับธุรกิจค้าปลีก: สินค้า FMCG: ใช้งบโฆษณาสื่อทีวีเป็นหลัก ควบคู่ไปกับสื่อดิจิทัล สินค้าแฟชั่น: ใช้งบโฆษณาสื่อดิจิทัลเป็นหลัก ควบคู่ไปกับสื่อ Influencer สินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ใช้งบโฆษณาสื่อดิจิทัลเป็นหลัก ควบคู่ไปกับสื่อรีวิว คำแนะนำ: นักการตลาดควรติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ นักการตลาดควรใช้งบโฆษณาบนสื่อต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50758
Retail
จงสรุปบทความ Choco CRM ได้รับเงินทุน Seed Round 300,000 USD เตรียมขยายสู่ทั่วประเทศ
Choco CRM โดยบริษัทฯ ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด นำเสนอโซลูชั่นระบบเชื่อมความสัมพันธ์ลูกค้าสำหรับกลุ่มธุรกิจ SMEs ได้รับเงินทุนสนับสนุน Seed Round ด้วยเงินทุนมูลค่า 300,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งเงินทุนในรอบนี้ทาง Choco จะนำมาลงทุนในส่วนของการพัฒนา Platform ให้แข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมเพิ่มทีมงานเพื่อตอบรับกับแผนการดำเนินงานในอนาคตและบุกตลาด SMEs ทั่วประเทศแบบเต็มตัว เล็งขยายฐานลูกค้าเป็น 3,000 ราย ภายใน 3 ปี เน้นขยายให้บริการระบบ CRM แก่กลุ่มลูกค้าประเภทร้านอาหาร, ร้านตัดผม, ร้านล้างรถ และ retails อื่นๆ ในกรุงเทพฯ, ชลบุรี, เชียงใหม่, และภูเก็ตเป็นหลัก
Choco CRM โดยบริษัท ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ได้รับเงินทุนสนับสนุน Seed Round จำนวน 300,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาระบบ CRM สำหรับกลุ่มธุรกิจ SMEs เงินทุนนี้จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและเพิ่มทีมงานเพื่อสนับสนุนแผนการดำเนินงานในอนาคต โดยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าเป็น 3,000 รายภายใน 3 ปี กลุ่มลูกค้าเป้าหมายประกอบด้วยร้านอาหาร, ร้านตัดผม, ร้านล้างรถ และค้าปลีกอื่นๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ, ชลบุรี, เชียงใหม่, และภูเก็ตเป็นหลัก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50766
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ 5 ข่าวในแวดวงธุรกิจประจำวันที่ 15-21 ตุลาคม 2559
null
มาดูกันว่า 5 ข่าวในแวดวงธุรกิจประจำวันที่ 15-21 ตุลาคม 2559 มีอะไรบ้าง: - เริ่มที่ข่าวแรก รถฟรีทั้งภาครัฐและเอกชน ให้บริการประชาชนเดินทางไปสักการะพระบรมศพ ร.9 - ข่าวที่ 2 รีวิวแนะนำการใช้งานแอพลิเคชั่น “สุขพอที่พ่อสอน” อย่างง่ายๆ - ข่าวที่ 3 รีวิวสร้างภาพโปรไฟล์ติด “โบว์สีดำ” เพื่อไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 - ข่าวที่ 4 รวบรวม 10 แคมเปญโฆษณาเนื้อหาเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 - และข่าวสุดท้าย Paragon Fashion Capital 2016 ฉีกกฏแฟชั่นเดิมๆ สู่สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด บทเรียนจากย่อหน้านี้: เรื่องเด่นข่าวดัง ประจำวันที่ 15-21 ตุลาคม 2559 - รถฟรีทั้ง ‘รัฐ-เอกชน’ ให้บริการประชาชนเดินทางไปสักการะพระบรมศพ ร.9 - รีวิวแนะนำการใช้งานแอพฯ “สุขพอที่พ่อสอน” อย่างง่ายๆ - รีวิวสร้างภาพโปรไฟล์ติด “โบว์สีดำ” เพื่อไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวบรวม 13 แคมเปญโฆษณาเนื้อหาเกี่ยวกับ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”: 1. พระอัจฉริยภาพด้านไอที กับคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของ ในหลวง ร.๙ 2. DAAT แนะนำให้ระงับการลงประกาศโฆษณาในสื่อดิจิทัลอย่างน้อยถึงวันที่ 20 ต.ค. 59 3. สมาคมผู้ดูแลเว็บไทยแนะแนวปฏิบัติสำหรับเวบมาสเตอร์ช่วงแสดงความอาลัยต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 4. พนักงานดีแทครวมใจช่วยรองรับประชาชนเดินทางสู่บริเวณพระบรมมหาราชวัง 5. Jack Ma กล่าวสดุดี ในหลวง ร.๙ เป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือที่สุดในโลก 6. เผยเบื้องหลังการขึ้นป้ายข้างสนามของ “ลิเวอร์พูล” ถวายอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 7. เอไอเอส เปิดให้บริการ Free Wifi ให้กับประชาชนที่มาร่วมถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 8. Facebook แจ้งประกาศเปิดให้บริการโฆษณาในประเทศไทย 21 ต.ค.นี้ อย่างเป็นทางการ 9. “โกลเด้น เพลซ” ร้านค้าปลีกเพื่อคนไทย หนึ่งในโครงการพระราชดำริของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9″ 10. สมาคมป้ายและโฆษณาแจ้งแนวทางในการขึ้นป้ายเพื่อร่วมถวายอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9ในระยะเวลา 30 วัน 11. สวย เรียบ หรู เป็นบุญตาโดยแท้ พระนามบัตรของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” 12. Youtube แจ้งเอเจนซี่ กลับมาเริ่มโฆษณาอีกครั้ง 21 ต.ค. นี้ พร้อมนำรายได้มอบการกุศล 13. Pantip.com ครบรอบ 20 ปี เปิด “Tab คิดถึงพ่อ” พร้อมเปิดตัวหนังสือ “เน็ตเมื่อวานซืน”
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_50767
Retail
แคมเปญ "ประกาศคนหายหน้าเหมือน" ของศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา จำกัด ที่ได้รับรางวัล Adman Awards & Symposium 2016 ประเภท Ad that Works นั้น มีกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Retail หรือไม่?
null
ไม่ แคมเปญ "ประกาศคนหายหน้าเหมือน" มุ่งเน้นไปที่การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์และกระตุ้นให้ผู้คนดำเนินการช่วยเหลือ แคมเปญนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการใดๆ เหตุผล: วัตถุประสงค์: แคมเปญนี้มุ่งหวังที่จะ: - สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ - กระตุ้นให้ผู้คนติดต่อศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา - สนับสนุนให้ผู้คนมีส่วนร่วมในการต่อต้านการค้ามนุษย์ กลุ่มเป้าหมาย: แคมเปญนี้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ช่องทางการสื่อสาร: แคมเปญนี้ใช้สื่อหลายช่องทาง เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อกลางแจ้ง และสื่อโทรทัศน์ ข้อความ: ข้อความของแคมเปญมุ่งเน้นไปที่: - ความโหดร้ายของการค้ามนุษย์ - ผลกระทบต่อเหยื่อ - สิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือ แม้ว่าแคมเปญนี้จะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการโดยตรง แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อ Retail ดังนี้: - สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร: แคมเปญนี้แสดงให้เห็นว่าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการต่อต้านการค้ามนุษย์ - เพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับมูลนิธิ: แคมเปญนี้อาจช่วยดึงดูดผู้บริโภคที่ต้องการสนับสนุนองค์กรที่ทำงานเพื่อสังคม - กระตุ้นให้ผู้คนบริจาค: แคมเปญนี้อาจกระตุ้นให้ผู้คนบริจาคเงินให้กับมูลนิธิ โดยสรุป: แคมเปญ "ประกาศคนหายหน้าเหมือน" มุ่งเน้นไปที่การสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้ผู้คนดำเนินการ แคมเปญนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการใดๆ แต่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ Retail โดยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร เพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับมูลนิธิ และกระตุ้นให้ผู้คนบริจาค
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50769
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ผลงานที่ได้รางวัลในหมวด Design จากงาน Adman Awards & Symposium 2016
null
สำหรับผลงานที่ได้รางวัลในหมวด Design จากงาน Adman Awards & Symposium 2016 มีทั้งหมด 4 ผลงานด้วยกัน ผลงานแรกคือ Behind the leather ของ PETA Asia ได้รับรางวัล Gold Awarded ผลงานที่ 2 The Long-Lasting Uniform ของ Hygiene ผลงานที่ 3 Touchable Ink ของ Touchable Ink และ Samsung และผลงานสุดท้าย คือ Tree 1 ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ซึ่ง 3 ผลงานที่กล่าวมานั้น ได้รับรางวัล Silver Awarded บทเรียนจากย่อหน้านี้ Adman Awards & Symposium ประจำปี 2016 จัดขึ้นภายใต้ธีม “Something Will Never Change” มีผลงานส่งเข้าประกวดถึง 957 ชิ้นงานด้วยกัน ซึ่งมีผลงานที่ได้รางวัลในหมวด Design, Radio, Print, OOH , PR, Branded Content และ Promo & Activation ประจำปี 2016 สำหรับรางวัลในหมวด Best Award ในปี 2016 มีเพียงชิ้นงานเดียวที่ได้ไปนั่นคือ “The Epic Sleep” จาก Agency MONDAY ที่คว้ารางวัล “Best of Print & Out of Home” ไปได้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_50777
Retail
จงสรุปบทความ จัดอันดับ 50 บริษัทนวัตกรรมยอดเยี่ยม จากทั่วโลกปี 2016
Fast Company จัดอันดับ 50 บริษัทปี 2016 ที่พัฒนานวัตกรรมจนสามารถนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลทั้งต่อตัวบริษัทเองและตัวลูกค้า รวมถึงนวัตกรรมที่ถูกพัฒนานั้นยังมีบทบาทในการยกระดับอุตสาหกรรมให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นเป็นวงกว้าง ทั้ง 50 บริษัทนี้แยกย่อยออกไปในหลายภาคธุรกิจ แต่โดยหลักคือแต่ละบริษัทมีการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในด้านอื่นๆอีกมากมายง มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา แอพพลิเคชั่น และ smart device เพื่อพัฒนาวิธีการดูแลสุขภา
ข้อมูลของ Fast Company จัดอันดับ 50 บริษัทปี 2016 ที่นำนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลทั้งในบริษัทเองและลูกค้า และมีบทบาทในการยกระดับอุตสาหกรรม บริษัททั้ง 50 นี้มีลักษณะธุรกิจหลายประเภท แต่ทุกบริษัทมุ่งพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาในด้านอื่นๆอีกมาก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50781
Retail
ตำแหน่งงาน "Event Marketing Executive (Retail)" ของ Sansiri PLC เหมาะสมกับผู้ที่มีประสบการณ์ในงาน Retail หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ ชื่อตำแหน่งงาน Event Marketing Executive (Retail) บ่งบอกถึงความเกี่ยวข้องกับงาน Retail โดยตรง รายละเอียดงาน -"รับผิดชอบงานด้านการวางแผนกลยุทธ์และแนวทางการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย" -"คิดสร้างสรรค์รูปแบบกิจกรรมส่งเสริมการขาย" -"ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" -"ติดตามผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงาน" -"ดูแลงบประมาณของโครงการ" -"เขียนรายงานสรุปผลการจัดกิจกรรม" งานเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับงาน Retail Marketing โดยตรง คุณสมบัติผู้สมัคร -"ปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ การตลาด ประชาสัมพันธ์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง" -"มีประสบการณ์การทำงานด้าน Event Marketing ไม่น้อยกว่า 2 ปี" -"มีประสบการณ์การทำงานในธุรกิจ Retail จะพิจารณาเป็นพิเศษ" คุณสมบัติข้อสุดท้าย ชี้ชัดว่าผู้สมัครควรมีประสบการณ์ในงาน Retail บริษัท Sansiri PLC -เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ -มีโครงการหลากหลายประเภท -หนึ่งในประเภทโครงการคือ Retail เช่น ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า -การที่มีประสบการณ์ในงาน Retail จะช่วยให้เข้าใจกลยุทธ์ แนวทาง และรูปแบบกิจกรรมส่งเสริมการ-ขายที่เหมาะสมกับโครงการ Retail ของ Sansiri ทักษะและความรู้ -"ทักษะการคิดวิเคราะห์" -"ทักษะการสื่อสาร" -"ทักษะการทำงานเป็นทีม" -"ทักษะการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์" ทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงาน Retail Marketing สรุป ตำแหน่งงาน "Event Marketing Executive (Retail)" ของ Sansiri PLC เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ในงาน Retail เพราะ ชื่อตำแหน่งงาน รายละเอียดงาน คุณสมบัติผู้สมัคร บริษัท และ ทักษะที่จำเป็น ล้วนเกี่ยวข้องกับงาน Retail
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50788
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การสร้าง Brand Love ในแบบ King Power" ให้หน่อยค่ะ
ต้องยอมรับว่า ตอนแรกที่เห็น King Power แอบงงที่แบรนด์เลือกมาทางนี้ หากจะย้อนกลับไปดูตั้งแต่ในอดีตถูก Register ด้วยภาพของสาวน้อยหน้าแฉล่มยืนยิ้มหวานไหว้งามอย่างไทยอยู่ในทุกสื่อของแบรนด์ จริง ๆ แม้มาถึงวันนี้ไปสนามบินก็ยังเห็นสาวน้อยคนนี้ส่งยิ้มให้อยู่ ด้วยบุคลิกของแบรนด์นี้ในอดีต ต้องยอมรับว่าดูหรู เล่อค่า สมกับเป็น King Of Duty free ของเมืองไทย แถมดูจะหยิ่ง ๆ และห่างไกลกับผู้บริโภคด้วยซ้ำ ส่วนตัวนั้นไม่ค่อยมีความรู้สึกอะไรกับ King Power เท่าไหร่ เหมือนเป็นแค่สถานที่ช้อปปิ้งที่หนึ่งในการเดินทางเท่านั้น แต่ในหลาย ๆ ปีหลัง เชื่อว่า King Power มีการปรับตัวหลายอย่าง แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือรูปแบบการสื่อสาร จากเดิมไม่เคยใช้ Above The Line ก็เริ่มมี TVC ออกมาหลายเรื่อง เรื่องที่ดูจะเห็นได้ชัดว่าแบรนด์ต้องการขยายฐาน Brand Awareness คือ การเลือกใช้ดาราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ชมพู่ (อารยา) ป้อง (ณวัตร) น้องนายลูกชายหมู (พิมพ์ผกา) TVC ชุดนี้ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย กระชากหัวใจสาวๆ ด้วยเสียงนุ่มๆ จากนาย ผลที่ตามมา คือ ทำให้แบรนด์อ่อนโยนและเป็นมิตรมากขึ้น และล่าสุดกับ TVC 3 นำเสนอภาพ King Power ผ่าน อนันดา แพรี่พาย ใหม่ (ดาวิกา) แคมเปญนี้ดิฉันคิดว่ามีความน่าสนใจมากกับการที่เลือกเอาภาษิตไทยที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาเชื่อมกับ Consumer Insight แล้วเอามาผูกกับ Brand Offering ได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็น “คว้าน้ำเหลว” “ใกล้แค่ปลายจมูก” และ “เจ็บแล้วต้องจำ” พร้อมท่ามีดเสียบอกของใหม่ (ดาวิกา) ทำเอาดิฉันเองคิดถึงความรู้สึกที่ตัวเองเคยเจอมาจริง ๆ เหมือนกัน เวลาที่ดิฉันอุตส่าห์ไปหอบซื้อข้าวซื้อของมาจากเมืองนอก สุดท้ายมาซื้อที่เมืองไทยถูกกว่า นอกจากพาเหรด TVC หลายชุด ทางแบรนด์ยังรุกไม่หยุดที่จะเชื่อมให้แบรนด์เข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการเปิด LINE Official Account ในการเข้าถึงลูกค้า เป็นสติ๊กเกอร์ชุดแรกที่เป็นคาแรกเตอร์หญิงสาวและหนุ่มน้อยคู่หนึ่ง ถ้าถามว่าให้คอมเม้นท์ว่าเป็นอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ทำให้แบรนด์ทะยานขึ้นได้สักเท่าไหร่จากสติ๊กเกอร์ชุดนั้น เพราะหญิงสาวและหนุ่มน้อยนั้น ไม่ได้ถูกนำมาสร้างความจดจำในแบบ 360 องศา แถมยังไม่ได้มีการนำเอาคาแรกเตอร์ทั้ง 2 มาต่อยอดกับโลก Off Line & On Shop & On Ground สักเท่าไหร่ และแล้วจุดพลิกผันในการเดินทางของ Brand ก็เกิดขึ้น หากย้อนไปปี 2010 ทาง King Power ได้ตัดสินใจเข้าซื้อทีมฟุตบอล เลสเตอร์ โดยคุณวิชัย มอบหมายให้บุตรชายคนเล็ก อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เข้าไปบริหารทีม กว่า 6 ปี ที่ทีมเลสเตอร์ผ่าน ร้อนหนาวจนมาถึงวันที่ได้รับชัยชนะ ต้องยอมรับว่าส่วนตัวไม่ได้เป็นคนดูฟุตบอล แต่ด้วยความเชื่อ ความมุ่งมั่น และผลลัพธ์ในการนำทีมเลสเตอร์ของคุณวิชัยและบุตรชาย ทำให้ดิฉันต้องไปตามอ่านที่มาที่ไปกว่าจะมีวันนี้ของทีมเลสเตอร์ อ่านมาถึงตรงนี้ผู้อ่านอย่าพึ่งสับสนนะคะว่า จากเรื่อง Retail Business กลายมาเป็น Sport Content ได้อย่างไร ตามอ่านต่อคะ
King Power ผู้เป็น King Of Duty free ของเมืองไทย มีการปรับตัวด้านรูปแบบการสื่อสาร ต้องการขยายฐาน Brand Awareness ผ่าน TVC หลายเรื่อง เช่น การเลือกใช้ดาราหลายคนเพื่อทำให้แบรนด์เป็นมิตรมากขึ้น หรือแคมเปญที่เอาสุภาษิตไทยมาเชื่อมกับ Consumer Insight แล้วผูกกับ Brand Offering อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีการเปิด LINE Official Account รวมถึงการเข้าซื้อทีมฟุตบอลเลสเตอร์จนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50791
Retail
ขอคำแนะนำเกี่ยวกับงาน ‘แคมโบเดีย อาคิเทค แอนด์ เดคคอว์ 2016’ หน่อยได้ไหม
null
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ส่งไอซีเว็กซ์ (ICVex) มืออาชีพด้านการจัดงานเทรดแฟร์ และเอ็กซ์ซิบิชั่น เดินหน้าส่งเสริมการตลาดในภูมิภาคอาเซียน ขยายฐานจากเมียนมาร์สู่กัมพูชา ลุยงาน ‘แคมโบเดีย อาคิเทค แอนด์ เดคคอว์ 2016’ งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี นวัตกรรม และบริการด้านการก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ออกแบบ ตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ สร้างโอกาสการเติบโต และขยายธุรกิจให้ผู้ประกอบการ และนักลงทุนทั้งไทยและเทศ นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการตลาดเชิงสร้างสรรค์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน บริษัท ครีเอทีฟ อีเว้นท์ อันดับ 7 ของโลก จัดอันดับโดยนิตยสารสเปเชี่ยล อีเว้นท์ แม็กกาซีน ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “หลังจาก ที่อินเด็กซ์ฯ ได้ขยายธุรกิจออกสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศเมียนมาร์ ในหลากหลายธุรกิจ งานเทรดแฟร์ และเอ็กซ์ซิบิชั่น นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในเรื่องของภาคธุรกิจได้อย่างหลากหลาย และด้วยอัตราการเติบโตทาง GDP เศรษฐกิจของประเทศเมียนมาร์ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจด้านเทรดแฟร์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดสูงถึง ร้อยละ 20 โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นดาวรุ่ง อย่าง ธุรกิจด้านวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และอาหาร เป็นต้น” “ในปีนี้ ไอซีเว็กซ์ หนึ่งในเครือของ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ชูกลยุทธ์การขยายธุรกิจ ที่สำคัญออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1. บุกเบิก และขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยการจัดหา และพัฒนาฐานข้อมูลลูกค้าใหม่ และดั้งเดิม (Grabbing new opportunity) เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการตลาดได้เหมาะกับความต้องการ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 2. รุกการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มพื้นที่การเข้าถึงกลุ่มหมายได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด (Media penetration) โดยเน้น และให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ถึงสมาชิกโดยตรงมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์การเลือกใช้สื่อต่างๆ และ 3. สร้างความแตกต่างให้ตลาด เน้นการเข้าถึงผู้ค้าปลีก ตอบสนองทิศทางความต้องการของผู้บริโภคในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Retail market trend) สู่การเพิ่มพื้นที่ตลาดให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง และทางอ้อม รวมถึงเพิ่มมูลค่าการส่งออก ในขณะเดียวกันเป็นการสร้างรายได้ สร้างแรงงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศอีกด้วย ซึ่งงานของไอซีเว็กซ์ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2016 ในประเทศเมียนมาร์ ได้แก่ 1. งานเมียนมาร์ ฟู้ดเบฟ 2559 (Myanmar FoodBev 2016) งานเทรดแฟร์ด้านอาหาร และเครื่องดื่มนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 2. งานเมียนมาร์ รีเทล เอ็กซ์โป 2559 (Myanmar Retail Expo 2016) งานแสดงสินค้าในธุรกิจผู้ประกอบการค้าปลีก 3. งานเมียนมาร์ บิวท์ แอนด์ เดคคอว์ (Myanmar Build & Décor 2016) งานเทรดแฟร์ด้านสินค้า วัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างที่ดีที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์” “ที่สำคัญในปีนี้ อินเด็กซ์ฯ ได้ขยายพื้นที่ตลาดเทรดแฟร์สู่ประเทศกัมพูชา สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชาแบบก้าวกระโดด โดยประมาณการณ์การเติบโตของ GDP อยู่ที่ร้อยละ 7 อย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยนโยบายด้านการค้าที่เสรี เส้นทางคมนาคมต่างๆ ที่ทางรัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่ง คือ ด้านสิ่งทอ การเกษตร การท่องเที่ยว และโดยเฉพาะกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ตกแต่ง ที่มีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศ และเมือง ที่มีการคาดการณ์ การเพิ่ม สูงขึ้นถึง 533.75% ภายในปี พ.ศ. 2561 เนื่องจากผลจากการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่กำลังจะทยอยเกิดขึ้นเร็วๆ นี้” ด้านนางสาวนุชรินทร์ ภารดีวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซีเว็กซ์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทางบริษัท ไอซีเว็กซ์ เข้าไปเปิดตลาดประเทศกัมพูชา ด้วยการประเดิมงานแรกกับงานแคมโบเดีย อาคิเทค แอนด์ เดคคอว์ 2016 (Cambodia Architect and Décor 2016) งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี นวัตกรรม และบริการด้านการก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ออกแบบ ตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจร ที่ใหญ่ที่สุด ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายนนี้ โดยมียอดผู้ประกอบการเข้าร่วมงานเกินเป้าที่ทางไอซีเว็กซ์ ได้ตั้งไว้ถึง 160% ทั้งจากประเทศไทย รวมถึง กัมพูชา ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เกาหลี เยอรมัน และอิตาลี เป็นต้น โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน อาทิ สภาสถาปนิกแห่งประเทศกัมพูชา (Board of Architects Cambodia) และสมาคมผู้ประกอบการรุ่นใหม่แห่งประเทศกัมพูชา (Young Entrepreneurs Association of Cambodia) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนจากประเทศไทย อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เอสซีจี (SCG) บริษัท เฮง เอเชีย จำกัด (HENG ASIA) บริษัท จาร์เค็น จำกัด (JARKEN) ธนาคารกรุงเทพ และบางกอกแอร์เวย์ ซึ่งนอกจากงานแสดงสินค้า ยังได้มีการจัดงานแคมโบเดียส์ อาคิเทค กาล่า ดินเนอร์ (Cambodia’s Architect Gala Dinner) ขึ้น ควบคู่กับงาน เป็นงานสังสรรค์ท่ามกลางคนวงการสถาปนิก และนักออกแบบของกัมพูชาที่มีชื่อเสียง และงานสัมมนาแคมโบเดียส์ ดีไซน์ อินโนเวชั่น เซมินา (Cambodia’s Design Innovation Seminar) งานที่รวบรวมวิทยากรชั้นนำในกัมพูชา และต่างชาติ เข้าร่วมเสวนาเพื่อให้ความรู้ และแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ผนวกกับการจัดงานซีเอสเอ ดีไซน์ คอมพลีชั่น 2016 (CSA 2016 Design Completion) พื้นที่จัดโชว์ผลงานในการออกแบบอาคารในฝันของประเทศกัมพูชา ของนักสถาปัตย์รุ่นใหม่ ซึ่งงานนี้เชื่อว่าจะสามารถตอบรับกับทิศทางการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศกัมพูชาได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ในส่วนของงานแฟร์ในประเทศ ในปลายปีนี้กับการบริหารจัดการงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ (Bangkok International Grand Motor Sale 2016) หรือ Big Motor Sale 2016 มหกรรมยานยนต์ เพื่อขาย ซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างดีเช่นเดียวกัน” นางสาวนุชรินทร์ ภารดีวิสุทธิ์ กล่าวเสริม “นอกจาก ไอซีเว็กซ์ จะดำเนินการจัดงานแฟร์ เพื่อเป็นช่องทางรองรับนักลงทุนจากต่างชาติที่มีความสนใจ ในงานด้านอุตสาหกรรมการก่อสร้าง และการตกแต่งในประเทศกัมพูชาแล้ว อีกหนึ่งธุรกิจที่อินเด็กซ์ฯ ให้ความสำคัญ คือ การมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการหรือ SMEs ไทย ที่ต้องการขยายตลาดส่งออกสินค้า และบริการสู่ต่างประเทศ นั่นคือ การผนึกกำลังกับ บริษัท มัชรูม เทเลวิชั่น ดำเนินงานธุรกิจภายใต้ชื่อ ‘อายุน้อยร้อยล้าน อคาเดมี’ โดยในเดือนมิถุนายนนี้ จะได้มีการจัดทริปธุรกิจ ตะลุยกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ สำหรับผู้ที่สนใจมองหาโอกาสในการทำตลาด ในประเทศกัมพูชา ซึ่งนับว่าเป็นศูนย์กลางแห่งการเติบโต และการลงทุนทางธุรกิจดาวรุ่งแห่งปี 2016 โอกาสทองของผู้ที่อยากเปิดตลาดใหม่ในแดนอาเซียน เพื่อลงพื้นที่จริง สำรวจตลาดจริง และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาครัฐบาล รวมถึงพบปะพูดคุยนักธุรกิจไทย ที่ไปสร้างความสำเร็จในการทำธุรกิจในกัมพูชา เกี่ยวกับภาพรวม ทิศทาง และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ อีกด้วย” นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน กล่าวทิ้งท้าย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50792
Retail
รางวัล The Best Zocial Award มีกี่รางวัล
1. 8 2. 2 3. 9 4. 7
คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เนื่องจาก THAILAND ZOCIAL AWARDS 2016 ถูกจัดขึ้นโดยโดยการร่วมมือของ บริษัท โธธ โซเชียล จำกัด ( Thoth Zocial) และผู้เชี่ยวชสญจากสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากวงการดิจิทัลเมืองไทย โดยมุ่งหวังที่จะร่วมมือกันผลักดันให้ธุรกิจในเมืองไทยสร้างสรรค์ผลงานและความสำเร็จบนโลกดิจิทัล นำไปสู่เป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลออนไลน์และโซเชียลมีเดียในระดับภูมิภาคในอนาคต รางวัล The Best Zocial Award มีทั้งหมด 8 รางวัล
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50809
Retail
จากกลยุทธ์ New Business ของ Samart i-Mobile มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
null
กลยุทธ์ New Business ของ Samart i-Mobile ที่มุ่งเน้นไปที่ Retail Business นั้น เป็นการปรับตัวที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ดังนี้: 1. การพัฒนาจุดแข็งและจุดต่าง: Samart i-Mobile มีจุดแข็งอยู่หลายประการ เช่น ชื่อเสียงแบรนด์ ความรู้ความเข้าใจตลาดไทย และฐานลูกค้า ควรนำจุดแข็งเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างจุดต่างที่ชัดเจนกับคู่แข่ง ตัวอย่างการพัฒนาจุดแข็ง เช่น พัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นเฉพาะกลุ่มที่มีฟีเจอร์โดดเด่น พัฒนาบริการซ่อม iFixed ที่รวดเร็วและมีคุณภาพ พัฒนา Wapp Wapp ให้เป็น e-Commerce ที่เน้นสินค้าไทย พัฒนาบริการ Aging Society ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ พัฒนาบริการ Entertainment ที่มีคอนเทนต์กีฬาหลากหลาย 2. การสร้าง Synergy: Samart i-Mobile มีธุรกิจหลากหลายประเภท ควรสร้าง Synergy ระหว่างธุรกิจเหล่านี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ตัวอย่างการสร้าง Synergy เช่น นำเสนอแพ็กเกจรวมสมาร์ทโฟน i-Mobile กับบริการ BUG 1113 นำเสนอสินค้าสำหรับผู้สูงอายุผ่าน Wapp Wapp นำเสนอคอนเทนต์กีฬาผ่านบริการ i-Sport 3. การนำเทคโนโลยีมาใช้: เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในธุรกิจ Retail Samart i-Mobile ควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน พัฒนาบริการใหม่ ๆ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น พัฒนาระบบ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ พัฒนาระบบ Online Payment พัฒนาระบบ Chatbot สำหรับตอบคำถามลูกค้า 4. การสร้างพันธมิตร: การสร้างพันธมิตรกับธุรกิจอื่น ๆ เป็นวิธีการขยายตลาดและเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ Samart i-Mobile ควรสร้างพันธมิตรกับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ผู้ผลิตสินค้า ตัวอย่างการสร้างพันธมิตร เช่น ร่วมมือกับธนาคารเพื่อนำเสนอบริการผ่อนชำระ ร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อนำเสนอแพ็กเกจรวมค่าบริการ ร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าเพื่อนำเสนอสินค้า Exclusive 5. การติดตามเทรนด์: เทรนด์ Retail มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ Samart i-Mobile ควรติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์อยู่เสมอ ตัวอย่างเทรนด์ Retail เช่น Personalization, Omnichannel Experience, Sustainability โดยสรุป กลยุทธ์ New Business ของ Samart i-Mobile นั้น เป็นการเริ่มต้นที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ การพัฒนาจุดแข็งและจุดต่าง การสร้าง Synergy การนำเทคโนโลยีมาใช้ การสร้างพันธมิตร และการติดตามเทรนด์ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ Samart i-Mobile ประสบความสำเร็จในธุรกิจ Retail
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50813
Retail
จงบอกกลยุทธ์ที่ร้านค้าปลีกควรให้ความสำคัญมากที่สุดเพื่อเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ในใจลูกค้าในยุคดิจิทัลนี้
null
กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับร้านค้าปลีกในยุคดิจิทัลนี้ มีดังนี้: 1. การให้ความสำคัญกับข้อมูลบนโลกออนไลน์: - ร้านค้าปลีกควรมีเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และรองรับการใช้งานบนอุปกรณ์หลากหลาย - ลงทุนในกลยุทธ์ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นของร้านค้าปรากฏในผลการค้นหาของ Google - วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Customer Data) เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า - นำเสนอเนื้อหา (Content) ที่น่าสนใจ ตรงใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 2. การใช้ประโยชน์จากสมาร์ทโฟน: - พัฒนาเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชั่นให้รองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน - ออกแบบโฆษณาและเนื้อหาให้เหมาะกับการใช้งานบนหน้าจอสมาร์ทโฟน - นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟน 3. การใช้ Programmatic Buying: - ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับ Programmatic Buying - ทดลองใช้ Programmatic Buying กับแคมเปญโฆษณาบางส่วน - วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับใช้ Programmatic Buying กับแคมเปญโฆษณาอื่นๆ 4. การลงทุนกับการผลิตวิดีโอ: - พัฒนาเนื้อหาวิดีโอที่น่าสนใจ ตรงใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า - เผยแพร่เนื้อหาวิดีโอผ่านช่องทางต่างๆ เช่น YouTube, Facebook, Instagram - วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับใช้เนื้อหาวิดีโอให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 5. การใช้ Multi-touch Attribution: - ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับ Multi-touch Attribution - ทดลองใช้ Multi-touch Attribution กับแคมเปญการตลาดบางส่วน - วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับใช้ Multi-touch Attribution กับแคมเปญการตลาดอื่นๆ นอกจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่ร้านค้าปลีกควรนำมาพิจารณาเพิ่มเติม เช่น: - การนำเสนอประสบการณ์ Omni-channel ที่ราบรื่น - การพัฒนา Personalization - การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI มาใช้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_50823
Retail
สาเหตุที่การผสมผสานของร้านค้าเป็นปัจจัยหลักในการประสบความสำเร็จของศูนย์การค้า คืออะไร
ปัจจุบันนี้ ร้านค้าในศูนย์การค้าต่างแข่งขันกันอย่างหนัก เพื่อดึงดูดความสนใจลูกค้าและทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ โดยมีการทำการศึกษาจากสถาบันมีชื่อเสียงหลากหลายแห่ง ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย เกี่ยวกับปัจจัยแห่งความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีก ทั้งนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่น่าสนใจ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้ประกอบการอื่นๆได้นำมาประกอบการตัดสินใจ เพื่อผลักดันให้ร้านค้าในห้างสรรพสินค้าของตนประสบความสำเร็จ ที่ตั้งของศูนย์การค้าและความสะดวกสบายในการเดินทางของกลุ่มเป้าหมาย ที่ตั้งของศูนย์การค้าและความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่จะผลักดันให้ร้านค้าประสบความสำเร็จ ในปัจจุบัน ผู้ซื้อมีตัวเลือกมากขึ้น และมีความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อมีความเปลี่ยนแปลงสูง เนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านเวลา จึงทำให้พวกเขาพิจารณาใช้บริการร้านค้าจากที่ตั้งเป็นหลัก ดังนั้น ร้านค้าจึงมีความจำเป็นต้องให้ความสะดวกแก่ลูกค้าของตนเองมากที่สุด คือผลักตัวเองให้เข้าไปอยู่ในที่ๆผู้ซื้ออยู่ คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย แสดงความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า “หนึ่งในปัจจัยแรกของการเลือกที่ตั้งของสาขาของธนาคารฯ คือ การเข้าถึงผู้บริโภค ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกวันนี้คือ เดินห้างเป็นประจำ เพราะอำนวยความสะดวกในทุกเรื่อง สามารถมาเดินช้อปปิ้ง ดูหนัง ทำธุรกรรมการเงิน ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งสถานที่ตั้งและคอนเซปต์ของเซ็นทรัลเอ็มบาสซี เป็นหนึ่งในความโดดเด่นที่ทำให้ธนาคารกสิกรไทย เปิดให้บริการแฟล็กชิฟ เลาจน์ (Flagship Lounge) ของบริการเดอะวิสดอมกสิกรไทย ที่เรียกว่า THE WISDOM Lounge @Central Embassy ซึ่งลูกค้าสามารถมานั่งพักผ่อน จัดประชุม หรือใช้บริการทางการเงินการลงทุนต่างๆ เป็นบริการพิเศษที่ธนาคารฯ มอบให้กับลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทย THE WISDOM Lounge @Central Embassy เปิดให้บริการมาเพียงแค่ปีเดียว แต่มีลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องและการเติบโตของจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 20% ทำให้เห็นว่า เลาจน์แห่งนี้ ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ ด้วยบริการที่เข้าถึงทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต การเดินทางที่สะดวกสบาย และตั้งอยู่ในศูนย์การค้าชั้นนำที่เป็น Luxury Retail” ความใส่ใจในความต้องการของผู้ซื้อ และพฤติกรรมของลูกค้า แน่นอนที่สุดว่าความใส่ใจในความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจบริการ เพราะผู้ซื้อจะยอมใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีประสบการณ์ที่ดีต่อแบรนด์หรือต่อร้านค้านั้นๆ การบริหารร้านค้าในศูนย์การค้านั้น หากดูเผินๆ ก็เหมือนจะเป็นแค่การบริหาร อุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply) แต่ความจริงแล้วต้องใส่ใจถึงความต้องการของ “ผู้ซื้อตัวจริง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกศูนย์การค้าที่ดึงดูดความสนใจของ “ผู้ซื้อตัวจริง” โดยการมอบความสะดวกสบาย นำเสนอคาแรคเตอร์ของศูนย์ฯที่เหมาะสมต่อผู้ซื้อ และมีการผสมผสานของร้านค้าที่เหมาะสมต่อกลุ่มเป้าหมายของตน คุณพัฒนพงศ์ รานุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง Dii Wellness Med Spa ธุรกิจเพื่อสุขภาพชั้นนำของประเทศไทย แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า “ธุรกิจ Wellness ของ Dii ให้ความสำคัญต่อการมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงแก่ลูกค้าซึ่งเป็นระดับ Elite ปรกติแล้ว divana (บริษัทแม่) จะเลือกเฉพาะบ้านโบราณมาสร้างเป็นสปาของแบรนด์ เพราะต้องการอารมณ์ความเป็นธรรมชาติ ที่สงบและมีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยแม้ว่าเราจะได้รับคำเชิญให้เลือกตั้งสาขาในศูนย์การค้ามาตลอด เราก็ไม่เคยตัดสินใจเปิดที่ห้างไหน จนกระทั่งมี เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เกิดขึ้น เพราะนอกเหนือไปจากการมีที่ตั้งที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ และกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับไฮ-เอนแล้ว ก็คือตัวตนของห้าง ตั้งแต่ คอนเซ็ป การออกแบบ และความเป็น One-and-only ในศูนย์สรรพสินค้าแห่งนี้ ที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกได้ทันที โดยสร้างแบรนด์และคอนเซปใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน โดยข้อพิสูจน์ในการตัดสินใจของเรา คือรางวัลต่างๆ ที่ได้รับหลังจากการเปิดสาขาที่นี่ ได้แก่ Medical Spa of The Year จาก Asia Spa 2 ปีซ้อน รางวัล World Luxury Spa Award รางวัล Demark รางวัล Prime Minister’s Awards และรางวัล G-Mark จากประเทศญี่ปุ่น” ในขณะที่ คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำ ประเด็นความเข้าใจและการให้บริการที่เข้าถึง “ผู้ซื้อตัวจริง” ว่า “ลูกค้าของเดอะวิสดอมกสิกรไทย เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีเงินฝากหรือเงินลงทุนกับธนาคารกสิกรไทย ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบริการที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการเงินการลงทุน และไลฟ์สไตล์ที่เป็น Luxury Lifestyle เซ็นทรัล เอ็มบาสซี จึงเป็นพันธมิตรที่ตอบรับการให้บริการที่ลูกค้าของเราต้องการ ซึ่งจากการทำผลสำรวจรายเดือนทั่วประเทศของธนาคาร พบว่า การให้บริการของ THE WISDOM Lounge @Central Embassy ได้รับคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าสูงสุดเป็นอันดับแรกของประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากการบริการและคัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และที่โดดเด่นที่สุดคือ บริการตู้นิรภัยอัจฉริยะ (Intelligent Safe Deposit Box) ที่มีถึง 800 ตู้ ซึ่งมีความทันสมัยที่สุด ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก ด้วยการยืนยันตัวตนถึง 3 ชั้น เริ่มจากการสแกนลายนิ้วมือ การแตะการ์ด และการใส่ PIN Code ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์จะลำเลียงกล่องนิรภัยมาส่งให้ลูกค้าถึงในห้องส่วนตัว โดยลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการตู้นิรภัยได้หลายคนพร้อมๆ กันในห้องส่วนตัวแต่ละห้อง นอกจากนี้ ยังมีบริการห้องประชุมที่เป็นส่วนตัว กันเสียง และมีอุปกรณ์ครบครัน เหมาะสำหรับการประชุม หารือด้านการลงทุน รวมไปถึงบริการสันทนาการต่างๆ เพื่อการผ่อนคลาย” สัดส่วนการผสมผสานของร้านค้าในห้างนั้น ศูนย์การค้าที่ประสบความสำเร็จจะให้ความใส่ใจในการผสมผสานของร้านค้าเป็นพิเศษ เพราะเป็นปัจจัยหลักในการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง หลักการของการผสมผสานของร้านค้านั้นต้องดูจากความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก และจัดแบ่งประเภทของสินค้าให้ครบ (แฟชั่น, อาหารและเครื่องดื่ม, ไลฟ์สไตล์, ดีไซน์, เป็นต้น) ขนาดของร้านค้าต้องใหญ่เพียงพอกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งมีสัดส่วนของแบรนด์ที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจในประเภทของสินค้านั้นๆ รวมถึงการใส่ใจในการจัดวางผู้เช่าอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้นแก่ลูกค้า ดึงดูดความสนใจผู้ซื้อ สร้างความแตกต่างจากศูนย์การค้าอื่นอย่างชัดเจน และผังทางเดินเท้าที่ลื่นไหลที่จะเพิ่มประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้าที่มาเดิน บรม พิจารณ์จิตร กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ กล่าวว่า “เซ็นทรัล เอ็มบาสซีให้ความสำคัญต่อการสร้างประสบการณ์ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง นับตั้งแต่การก่อตั้งห้างเซ็นทรัลสาขาแรกในประเทศไทย เรามุ่งตอบโจทย์การมอบตัวเลือกสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ อีกทั้งหลากหลายและครบถ้วน มาตลอด เพื่อต่อยอดความมุ่งมั่นดังกล่าว เราจึงได้สร้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ขึ้นมา นัยยะสำคัญก็เพื่อผนึกกำลังกับเซ็นทรัลชิดลมที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ก็เพื่อยกระดับศักยภาพการตอบโจทย์ด้านความต้องการของผู้บริโภค ให้หลากหลายมากขึ้นนั่นเอง นอกจากความหลากหลายแล้ว สิ่งที่เราคำนึงถึงเป็นอย่างมาก คือความพิถีพิถันในด้านการจัดวางที่ตั้งร้านค้าภายในห้างที่เหมาะสม สิ่งนี้คือศิลปะในการใช้ชีวิต เพราะในแต่ละวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ผู้บริโภคมีรูปแบบความต้องการที่หลากหลาย การจัดวางที่ตั้งของร้านอาหาร เครื่องแต่งกายแฟชั่น หรือ ร้านหนังสือ จำเป็นต้องมีหลักการที่ละเอียด เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ รายละเอียดงานดีไซน์และองค์ประกอบต่างๆ อาทิ ทางเดิน โทนสีผนัง กระถางต้นไม้ รวมไปถึงระดับโทนแสง และระดับความเย็นสบายของอากาศ องค์ประกอบทั้งใหญ่ และเล็กเหล่านี้ ล้วนมีส่วนต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเราทุกท่านอีกด้วย” RELATED POSTS: No related posts.
ศูนย์การค้าที่ประสบความสำเร็จจะให้ความใส่ใจในการผสมผสานของร้านค้าเป็นพิเศษ เพราะเป็นปัจจัยหลักในการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง หลักการของการผสมผสานของร้านค้านั้นต้องดูจาก 1. ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก 2. จัดแบ่งประเภทของสินค้าให้ครบ (แฟชั่น, อาหารและเครื่องดื่ม, ไลฟ์สไตล์, ดีไซน์, เป็นต้น) 3. ขนาดของร้านค้าต้องใหญ่เพียงพอกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 4. มีสัดส่วนของแบรนด์ที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจในประเภทของสินค้านั้นๆ 5. การใส่ใจในการจัดวางผู้เช่าอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้นแก่ลูกค้า ดึงดูดความสนใจผู้ซื้อ สร้างความแตกต่างจากศูนย์การค้าอื่นอย่างชัดเจน และผังทางเดินเท้าที่ลื่นไหลที่จะเพิ่มประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้าที่มาเดิน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50834
Retail
อะไรคือความท้าทายที่ฟรอเรนซ์ต้องเผชิญในการตื่นตี 3 ครึ่งไปตลาดดอกไม้ทุกวัน?
หัวข้อ เล่าสู่กันฟังกับธุรกิจเก๋และโรแมนติก ขี่จักรยานส่งช่อดอกไม้ไปทั่วเมือง! ​ยากนะที่จะมีสามีภรรยาที่มีความถนัดคนละด้านแต่สามารถทำให้ความถนัดของสองคนมารวมกันและกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินเลี้ยงชีพให้กับคู่รักได้จริง และเรื่องเล่าจากคู่รักชาวอังกฤษนี้จะทำให้คุณเคลิ้มตามและได้ไอเดียใหม่ๆในการลุยธุรกิจเล็กๆของตัวเองได้เลยทีเดียว! เริ่มจากหนุ่มเจมส์ (James Kennedy) ช่างผลิตจักรยานคันเท่ เข้าของเว็บ kennedycitybicycles.cc ได้แต่งงานกับนักจัดดอกไม้อย่างฟรอเรนซ์ (Florence Kennedy) พวกเขาเลยเอาความชอบของสามีมาต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ที่ภรรยาสามารถเป็นตัวตั้งตัวดีได้ันั่นก็คือธุรกิจจัดและส่งดอกไม้ด้วยจักรยาน www.petalon.co.uk สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ชอบดอกไม้แบบ DIY ไร้ผึ้งและขนส่งด้วยยานพาหนะที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจนี้เริ่มจากทุกๆวันฟรอเรนซ์จะตื่นตี 3 ครึ่งไปตลาดดอกไม้เลือกดอกไม้ที่ตัวเองชอบลองจัดและโพสต์ช่อดอกไม้ขึ้นเว็บให้คนเข้ามากดคลิกซื้อตอน 9:30 น. ใครออเดอร์ก็จะมีลูกทีมอีก 2 คนคอยขี่จักรยานไปส่งตามสถานที่ใกล้เคียงซึ่งช่อนึงก็ตก 1,500 บาทแพงนิดแต่เชื่อว่าคนรับที่เป็นคนรักสิ่งแวดล้อมเมื่อได้รับแล้วก็ย่อมประทับใจอย่างแน่นอน ดูวิดีโอบอกเล่าที่มาที่ไปของธุรกิจส่งช่อดอกไม้ด้วยจักรยานได้ที่นี่ สำหรับสาวคนไหนๆที่มีแฟนเป็นหนุ่มฮิปสเตอร์นักปั่น อาจจะประยุกต์ส่งกาแฟ ชนมหวาน ทั่วออฟฟิศด้วยการปั่นจักรยานก็เซ็กซี่ไม่เบา แถมยังมีเงินเข้ากระเป๋าอีกด้วย แหล่งข่าว RELATED POSTS: No related posts.
ความท้าทายที่ฟรอเรนซ์ต้องเผชิญในการตื่นตี 3 ครึ่งไปตลาดดอกไม้ทุกวันประกอบไปด้วย 1. การจัดการกับความเหนื่อยล้าและการขาดการพักผ่อน : การต้องตื่นตี 3 ครึ่งทุกวันต้องการการปรับตัวและอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าได้ ซึ่งส่งผลต่อสมรรถภาพในการทำงานและสุขภาพในระยะยาว 2. สภาพอากาศ : ในบางวัน อาจจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ฝนตกหนัก หนาวจัด หรือร้อนจัด 3. การเดินทางในเวลาที่ไม่สะดวก : ในช่วงเวลาตี 3 ครึ่ง การเดินทางอาจจะไม่สะดวกเหมือนในช่วงเวลากลางวัน 4. ความปลอดภัย : การต้องเดินทางในเวลากลางดึกอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 5. การคัดเลือกดอกไม้ที่มีคุณภาพ : การไปตลาดดอกไม้ในช่วงเช้ามืดต้องใช้ทักษะในการคัดเลือกดอกไม้ที่มีคุณภาพและสดใหม่ 6. ความเครียดในการบริหารเวลา : การต้องทำงานตั้งแต่เช้ามืดจนถึงการจัดดอกไม้และการบริหารจัดการออเดอร์ต้องใช้การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ การเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ทำให้ฟรอเรนซ์ต้องมีความมุ่งมั่นและความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50838
Retail
การสร้างประสบการณ์แห่งความประทับใจให้ผู้บริโภคโดยใช้ Apple Watch มีความสำคัญอย่างไรสำหรับร้านค้าปลีก?
หัวข้อ อัพเดทเทรนด์กับ 4 ห้างค้าปลีกหัวไว! ปรับแอพฯ ให้รองรับ Apple Watch หลังจากโลกได้รู้จักกับ Apple Watch หลายๆ แอพพลิเคชั่นเริ่มมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับดีไวซ์ตัวนี้ ซึ่งบรรดาร้านค้าปลีกที่ทำตลาดด้าน E-commerce ก็เช่นกัน ได้เริ่มปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายกับผู้บริโภคมากขึ้นเช่นกัน กับหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ นับเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ของบรรดาร้านค้าปลีกที่จะลงมาเล่นกับ gadget ของ Apple Watch ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกที่โดดเด่นในการปรับตัว ได้แก่ Amazon, Target, eBay และ Zulily ซึ่งได้มีการอัพเดทแอพฯ เพื่อให้ทำงานเข้ากับ Apple Watch ได้ ลองมาดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง One click to buy ผู้บริโภคมีเวลาน้อยที่จะทำความเข้าใจในการศึกษาการใช้ดีไวซ์บนข้อมือเพื่อการซื้อสินค้า ดังนั้น Amazon จึงได้นำเอารูปแบบ click-to-buy มาใช้ นอกจากนี้ การช้อปปิ้งผ่านดีไวซ์ขนาดเล็กแบบนี้จะต้องทำให้ผู้บริโภคเพลินไปกับการช้อปปิ้งและสามารถกลับมาสั่งสินค้าได้ด้วยแท็บเดียว แต่ดูเหมือนว่ามี Amazon เจ้าเดียวที่มี browse สามารถค้นหาสินค้าได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เกิดการตั้งคำถามว่า “ใครกันจะอยากสั่งซื้อสินค้าบนหน้าจอเล็กๆ เท่านี้ ในเมื่อคุณสามารถทำได้เลยบนมือถือ ซึ่งน่าสนใจมากที่จะได้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป” เป็นคำกล่าวของ Daz McColl หัวหน้าการวางกลยุทธ์แบรนด์ จาก SapientNitro’s global Bookmarking ร้านค้าปลีกใช้ Apple Watch เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งความประทับใจให้เข้าไปอยู่ในความคิดของผู้บริโภค แม้ว่าการซื้อขายจะเกิดขึ้นทีหลังก็ตาม อย่าง Amazon อาจจะกำลังไปสู่ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบแล้ว อีกด้านหนึ่ง Zulily เว็บไซต์ขายสินค้าแบบ flash sale e-commerce ก็ได้มีการปรับกลยุทธ์ในเรื่องนี้ โดยตัว app จะให้ users เพิ่มในส่วน wish lists ได้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทำการ Bookmark สินค้า เพื่อเก็บไว้ดูก่อนในหน้าจอใหญ่ได้ในคราวหน้า Real-time auctions สำหรับแอพฯ eBay ที่ใช้บน Apple Watchจะมีแค่ฟังก์ชั่นเดียว คือติดตามการประมูลที่โดดเด่น และให้คุณได้สามารถเข้าไปร่วมประมูลได้ ซึ่งจะมีเสียงเตือนดังขึ้นที่สมาร์ท วอชของคุณหากว่าคุณประมูลแพ้ หรือถ้าคุณประมูลได้ก็จะมีการแจ้งเตือนเช่นกัน เพียงแต่คุณไม่สามารถ browse ไปที่ตัวสินค้าได้ Smarter shopping lists ด้านห้าง Targetได้ออกแบบแอพฯ เพื่อตอบสนอง Apple Watch ด้วยการทำสิ่งหนึ่งคือ shopping listsลูกค้าสามารถสร้างshopping listsบนiPhone ได้ซึ่งมันจะลิงก์ไปยัง Apple Watch ด้วย นับเป็นการปรับตัวที่น่าสนใจของห้างค้าปลีกทั้งหลาย ซึ่งว่องไวมากในการเข้าใจผู้บริโภคและเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ก้าวเดินจากนี้ไปคงต้องดูอีกหลายๆ แห่งทั้งแอพฯ อื่นๆ และแบรนด์อื่นๆ ว่าจะกล้าที่จะมาเล่นกับตลาดจอเล็กนี้หรือไม่ หากว่าสมาร์ทโฟนยังครองโลกอยู่ในตอนนี้ แหล่งที่มา RELATED POSTS: No related posts.
มีความสำคัญสำหรับร้านค้าปลีกด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. เพิ่มความสะดวกสบาย : Apple Watch สามารถใช้ในการเข้าถึงข้อมูลและการทำรายการได้รวดเร็ว 2. สร้างความผูกพันกับแบรนด์ : การใช้ Apple Watch ในการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจสามารถทำให้ผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดและผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น 3. ปรับตัวเข้ากับไลฟ์สไตล์ : Apple Watch เป็นอุปกรณ์ที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวัน การที่ร้านค้าปลีกรองรับการใช้งาน Apple Watch แสดงถึงการเข้าใจและตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค 4. เพิ่มโอกาสในการขาย : การใช้ Apple Watch เพื่อทำการตลาดและการขายสินค้า 5. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง : การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้สามารถทำให้ร้านค้าปลีกโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง 6. เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ : การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ แสดงให้เห็นว่าแบรนด์มีความนวัตกรรมและทันสมัย โดยรวมแล้ว การสร้างประสบการณ์แห่งความประทับใจให้ผู้บริโภคผ่านการใช้ Apple Watch ไม่เพียงแค่ทำให้การช้อปปิ้งเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวด้วยค่ะ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50844
Retail
ไอเดียของขวัญปีใหม่ ให้อะไรดี
null
สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญปีนี้ดี ลองมาดูข้อมูลเหล่านี้เป็นไอเดียก็ไม่เลวนะ คนออนไลน์ตั้งใจซื้อของขวัญปีใหม่ให้ใครบ้าง? 1. ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 2. กระเช้าของขวัญ 3. ขนม (คุกกี้/ช็อกโกแลต) ข้อมูลสถานที่สุดฮิตที่คนออนไลน์วางแผนจะไปช้อปทั้งสองช่องทางมาฝาก 1. Department Store 2. Retail Store 3. แหล่งช้อปปิ้งทั่วไป 4. ตลาดนัด/ถนนคนเดิน 5. ร้านกิ้ฟท์ชอปทั่วไป Zocial, inc. ได้ทำการสำรวจคนออนไลน์ถึงสิ่งที่เขาจะซื้อให้คนพิเศษในช่วงวันปีใหม่ โดยแบ่งตามกลุ่มคนให้ มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ เมื่อเราถามถึงเหตุผลว่าทำไมต้อง ‘ให้’ ? -กว่า 71% บอกว่าอยากให้ผู้รับมีรอยยิ้มและความสุข -32% อยากเซอร์ไพรส์ผู้รับและอยากให้ประทับใจ ปัจจัยที่คนออนไลน์นึกถึงเวลาซื้อของขวัญสักชิ้นหนึ่ง เรียงลำดับได้ดังนี้ 1. ความประทับใจให้กับคนที่ได้รับ 2. ประโยชน์ใช้สอย 3. ดีไซน์สวย/ดูดีมีสไตล์ 4. ราคา 5. ความสะดวกในการหาซื้อ 6. แบรนด์เนม / พรีเมี่ยม จะเห็นได้ว่าในเทศกาลปีใหม่นี้ คนออนไลน์ให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งโดยคำนึงถึงความประทับใจและรอยยิ้มของคนที่ได้รับเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงความสะดวกในการหาซื้อ หรือสินค้าแบนด์เนมแต่อย่างใด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_50849
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "HomePro expo ครั้งที่ 20" ให้หน่อยค่ะ
แฟนคลับของงานแสดงสินค้าตกแต่งบ้านครั้งมหึมา HomePro expo คงจำกันได้ดีถึงโฆษณาเด่นสะดุดใจในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อปีที่แล้ว ความ minimalist ของ printed ad ในครั้งนั้นทำให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กร่ำลือถึงความลึกล้ำส่งผลให้ยอด traffic และ awareness พุ่งกระฉูดอย่างไม่ธรรมดา สำหรับปีนี้ นอกจาก HomePro expo ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 14-23 พ.ย. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี จะยังเป็นมหกรรมลดราคาและให้ความคุ้มค่าแก่แฟนๆ นักช็อปปิ้งแล้ว พวกเขายังเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดใหม่จาก printed ad มาเป็น billboard แบบดราม่าแทน จะเจ๋งเด็ดแค่ไหนเราลองไปดูกันเลยดีกว่าครับ ช่วงปลายปีนี้ ธุรกิจ retail ทั้งหลายกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายเพื่อการปิดยอดขายให้ได้ตามเป้า เราจึงสังเกตเห็นว่ามีมหกรรมจัดงาน event นอกสถานที่กันอย่างดุเดือด ดังนั้น billboard ของ HomePro Expo ครั้งที่ 20 ชิ้นนี้จึงมีจุดเด่นที่การการกระตุ้นให้ ลูกค้าหยุดและตั้งคำถาม ว่านี้มันอะไร เพื่อกระตุ้นให้จับตามองงาน Event นี้ ส่วนอีกหนึ่งแคมเปญที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะช่วยโปรโมทงานอย่างดีแล้วยังถือเป็นการให้โอกาสเปิดเวทีให้ End user มาประลอง Idea การตกแต่งบ้าน และพัฒนาวงการ interior design คือการจัดประกวดการแต่งห้อง HomePro Champion ผู้ชมสามารถติดตามพวกเขาได้สดๆ ภายในงานหรือตามติดช่อง 1 workpoint เวลา 12.00 น. ทุกวันอาทิตย์เพื่อลุ้นว่าทีมไหนจะเป็นผู้ผ่านเข้ารอบและเป็นแชมเปี้ยนของการแข่งขัน httpv://www.youtube.com/watch?v=9z7GV_3hnog ชัดเจนว่าภาพรวมของงานในปีนี้ยังคงคอนเซปต์มหกรรมสินค้าแต่งบ้านลดราคาพร้อมโปรโมชั่น เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ อาทิ กระเบื้องเซรามิค, พรม ม่าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ประปา โคมไฟ เครื่องครัว อุปกรณ์ทำสวน สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ถ้าคุณๆ อยากจะคุ้มค่าไปกับพวกเขาแล้วล่ะก็ ย้ำอีกครั้ง! HomePro expo ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 14-23 พ.ย. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี “ไม่มางานนี้จะเสียใจ” นะจ๊ะ
HomePro expo ครั้งที่ 20 งานแสดงสินค้าตกแต่งบ้าน ทำโฆษณาเป็น billboard แบบดราม่า "ไม่มาจะเสียใจ" งานนี้มีจุดเด่นที่กระตุ้นให้ลูกค้าหยุดตั้งคำถามว่านี้มันอะไร มีการลดราคาพร้อมโปรโมชั่นเพื่อเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีเปิดโอกาสให้ End user มาประลอง Idea การตกแต่งบ้านโดยจัดประกวดการแต่งห้อง จัดงานระหว่างวันที่ 14-23 พ.ย. 2557 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50851
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "ผลงานของไทยที่ติด SHORTLIST ในงาน SPIKES ASIA 2014"
สำหรับประกาศผลรางวัล SPIKES ASIA 2014 จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 23-26 กันยายน มีผลงานของไทยที่ติด SHORTLIST ดังนี้ 1. 2014 Branded Content & Entertainment Fiction: series or film: ชื่อผลงาน SECRETS แบรนด์ O.P. NATURAL โปรดักส์ ORIENTAL PRINCESS เอเจนซี่ JWT BANGKOK THAILAND Non-Fiction: series or film: ชื่อผลงาน MY BEAUTIFUL WOMAN แบรนด์ THAI WACOAL โปรดักส์ WACOAL เอเจนซี่ CJ WORX THAILAND 2. 2014 Creative Effectiveness ไม่มีคนไทยเข้าชิง 3. 2014 Design Flyers, Tickets, Invitations, Postcards, Calendars, Christmas and Other Greetings Cards: ชื่อผลงาน EFFECTIVE MICROORGANISMS CALENDAR แบรนด์ EMRO ASIA โปรดักส์ EM เอเจนซี่ CREATIVE JUICE\BANGKOK THAILAND Self Promotion: ชื่อผลงาน THE LION’S FANG แบรนด์ STAR REACHERS GROUP โปรดักส์ LEO BURNETT CANNES PREDICTIONS 2014 เอเจนซี่ LEO BURNETT, Bangkok THAILAND Promotional Items: ชื่อผลงาน EFFECTIVE MICROORGANISMS CALENDAR แบรนด์ EMRO ASIA โปรดักส์ EM เอเจนซี่ CREATIVE JUICE\BANGKOK THAILAND FOODS: ชื่อผลงาน EXPIRED ONCE IT TURNS INTO THIS COLOR แบรนด์ BAN KANOM NUNTAWAN โปรดักส์ DESSERT SHOP เอเจนซี่ DENTSU Y&R, Bangkok THAILAND 4. 2014 Digital ไม่มีคนไทยเข้าชิง 5. 2014 Direct Fundraising, charities, appeals, non-profit organisations, public health & safety, public awareness: ชื่อผลงาน GIGABRIGHT แบรนด์ DTAC โปรดักส์ DTAC INTERNET เอเจนซี่ CREATIVE JUICE\BANGKOK THAILAND 6. 2014 Film Food: ชื่อผลงาน GRAPE FLAVOR แบรนด์ MORINAGA & CO. โปรดักส์ HICHEW เอเจนซี่ DENTSU PLUS, Bangkok Cosmetics, beauty, toiletries and pharmacy: ชื่อผลงาน REFLECTION แบรดน์ PROCTER AND GAMBLE (THAILAND) โปรดักส์ OLAY เอเจนซี่ BBDO BANGKOK Retail stores, restaurants & fast food outlets: ชื่อผลงาน A MAN แบรนด์ HOMEPRO PRODUCT CENTER โปรดักส์ HOMEPRO ANNIVERSARY เอเจนซี่ BBDO BANGKOK ชื่อผลงาน A GIRL แบรนด์ HOMEPRO PRODUCT CENTER โปรดักส์ HOMEPRO ANNIVERSARY เอเจนซี่ BBDO BANGKOK Publications & Media: ชื่อผลงาน BLIND TASTE TV แบนรด์ THAILAND ASSOCIATION OF THE BLIND โปรดักส์ THAIRATH TV เอเจนซี่ BBDO BANGKOK Financial Products & Services: ชื่อผลงาน UNSUNG HERO แบรนด์ THAI LIFE INSURANCE โปรดักส์ THAI LIFE INSURANCE เอเจนซี่ OGILVY & MATHER, Bangkok THAILAND Commercial Public Services: ชื่อผลงาน GIVING แบรนด์ REAL MOVE โปรดักส์ TRUEMOVE H เอเจนซี่ OGILVY & MATHER, Bangkok THAILAND 7. 2014 Film Craft Direction: ชื่อผลงาน BE THE ARTIST แบรนด์ LION NATHAN โปรดักส์ STEINLAGER เอเจนซี่ THE SWEET SHOP, Bangkok THAILAND 8. 2014 Healthcare Education & Awareness: ชื่อผลงาน SUPPORTIVE BALLOONS แบรนด์ ASSOCIATION OF PERSONS WITH PHYSICAL DISABILITY INTERNATIONAL โปรดักส์ ASSOCIATION OF PERSONS WITH PHYSICAL DISABILITY INTERNATIONAL เอเจนซี่ THE LEO BURNETT GROUP THAILAND, Bangkok THAILAND 9. 2014 Innovation ไม่มีคนไทยเข้าชิง 10. Radio Shortlist 2014 Food & Drinks: ชื่อผลงาน ACTION TRAILER แบรนด์ MARS THAILAND โปรดักส์ SNICKERS เอเจน BBDO PROXIMITY THAILAND, Bangkok ชื่อผลงาน THRILLER TRAILER แบรนด์ MARS THAILAND โปรดักส์ SNICKERS เอเจน BBDO PROXIMITY THAILAND, Bangkok 11. Promo & Activation Shortlist 2014 ไม่มีประเทศไทยเข้าชิง 12. Printer & Poster Craft Shortlist 2014 Art Direction: ชื่อผลงาน DIVIDED SEA แบรนด์ KURON โปรดักส์ LE’SASHA AIRMAX เอเจนซี่ DENTSU (THAILAND), Bangkok ชื่อผลงาน TWISTER แบรนด์ KURON โปรดักส์ LE’SASHA AIRMAX เอเจนซี่ DENTSU (THAILAND), Bangkok 13. Print Shortlist 2014 Cosmetics & Beauty, Toiletries & Pharmacy: ชื่อผลงาน DIVIDED SEA แบรนด์ KURON โปรดักส์ LE’SASHA AIRMAX เอเจนซี่ DENTSU (THAILAND), Bangkok 14. PR Shortlist 2014 Corporate Reputation & Communication: ชื่อผลงาน GIVING แบรนด์ REAL MOVE โปรดักส์ TRUEMOVE H เอเจนซี่ OGILVY & MATHER, Bangkok 15. Outdoor Shortlist 2014 Small Scale Special Solutions: ชื่อผลงาน EFFECTIVE MICROORGANISMS CALENDAR แบรนด์ EMRO ASIA โปรดักส์ EM เอเจนซี่ CREATIVE JUICE\BANGKOK ชื่อผลงาน REBIRTH OF SOUND แบรนด์ DTAC โปรดักส์ TELECOMMUNICATION เอเจนซี่ DENTSU Y&R, Bangkok 16. Mobile Shortlist 2014 Use of Technology: ชื่อผลงาน THE VIRTUAL FENCE PROJECT แบรนด์ SEUB NAKHASATHIEN FOUNDATION โปรดักส์ SEUB NAKHASATHIEN FOUNDATION เอเจนซี่ CJ WORX, Bangkok Social for Mobile: ชื่อผลงาน THE VIRTUAL FENCE PROJECT แบรนด์ SEUB NAKHASATHIEN FOUNDATION โปรดักส์ SEUB NAKHASATHIEN FOUNDATION เอเจนซี่ CJ WORX, Bangkok 17. Media Shortlist 2014 ไม่มีประเทศไทยเข้าชิง 18. Integrated Shortlist 2014 ไม่มีประเทศไทยเข้าชิง
ผลงานของไทยที่ติด SHORTLIST ในงาน SPIKES ASIA 2014 1. 2014 Branded Content & Entertainment : SECRETS โดย O.P. NATURAL และ MY BEAUTIFUL WOMAN โดย THAI WACOAL 2. 2014 Creative Effectiveness ไม่มีคนไทยเข้าชิง 3. 2014 Design : EFFECTIVE MICROORGANISMS CALENDAR โดย EMRO ASIA, THE LION’S FANG โดย STAR REACHERS GROUP, EFFECTIVE MICROORGANISMS CALENDAR โดย EMRO ASIA และ EXPIRED ONCE IT TURNS INTO THIS COLOR โดย BAN KANOM NUNTAWAN 4. 2014 Digital ไม่มีคนไทยเข้าชิง 5. 2014 Direct : GIGABRIGHT โดย DTAC 6. 2014 Film : ชื่อผลงาน GRAPE FLAVOR โดย MORINAGA & CO, REFLECTION โดย PROCTER AND GAMBLE (THAILAND), A MAN + A GIRL โดย HOMEPRO PRODUCT CENTER, BLIND TASTE TV โดย THAILAND ASSOCIATION OF THE BLIND, UNSUNG HERO โดย THAI LIFE INSURANCE และ GIVING โดย REAL MOVE 7. 2014 Film Craft : BE THE ARTIST โดย LION NATHAN 8. 2014 Healthcare : SUPPORTIVE BALLOONS โดย ASSOCIATION OF PERSONS WITH PHYSICAL DISABILITY INTERNATIONAL 9. 2014 Innovation ไม่มีคนไทยเข้าชิง 10. Radio Shortlist 2014 : ACTION TRAILER + THRILLER TRAILER โดย MARS THAILAND 11. Promo & Activation Shortlist 2014 ไม่มีประเทศไทยเข้าชิง 12. Printer & Poster Craft Shortlist 2014 : DIVIDED SEA + TWISTER โดย KURON 13. Print Shortlist 2014 : DIVIDED SEA โดย KURON 14. PR Shortlist 2014 : GIVING โดย REAL MOVE 15. Outdoor Shortlist 2014 : EFFECTIVE MICROORGANISMS CALENDAR โดย EMRO ASIA และ REBIRTH OF SOUND โดย DTAC 16. Mobile Shortlist 2014 : THE VIRTUAL FENCE PROJECT โดย SEUB NAKHASATHIEN FOUNDATION 17. Media Shortlist 2014 ไม่มีประเทศไทยเข้าชิง 18. Integrated Shortlist 2014 ไม่มีประเทศไทยเข้าชิง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50859
Retail
MR. D.I.Y. พัฒนา Store Format 3 รูปแบบ ได้แก่รูปแบบใดบ้าง
นับตั้งแต่เชนค้าปลีกร้านสินค้าซ่อมแซมบ้าน และสินค้าเบ็ดเตล็ด “MR. D.I.Y.” (มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.) จากมาเลเซีย เข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยเมื่อปี 2016 ถึงวันนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว โดยตั้งเป้าในปี 2023 เปิดเพิ่มอีก 170 สาขา ทำให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขาโดยรวม 727 สาขา ด้วยงบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท จึงถือเป็นตลาดใหญ่รองจากมาเลเซียที่มี 1,000 สาขา ไม่เพียงแต่เดินหน้าเปิดสาขาใหม่ เพื่อปูพรมทั่วประเทศ ขณะเดียวกันดันยอดขายสินค้ากลุ่ม Private Label ภายใต้แบรนด์ “MR. D.I.Y.” รวมทั้งขยายช่องทางการขายสู่ออนไลน์ ทั้งแพลตฟอร์ม e-Marketplace “Shopee” และพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเอง “MRDIY.CO.TH” เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทลายข้อจำกัดด้านสาขาในโลเคชันที่ยังไม่มีร้าน MR. D.I.Y. ไปเปิด นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางจำหน่ายรูปแบบ “ขายส่ง” (Wholesale) ให้กับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการซื้อสินค้าในปริมาณมาก MR. D.I.Y._Stand-alone ไม่หวั่น COVID-19 ลุยขยายสาขาทั่วไทย ปัจจุบัน MR. D.I.Y. ดำเนินธุรกิจใน 10 ประเทศ มีร้านค้าจำนวน 2,700 สาขาทั่วโลก มีรายการสินค้ามากกว่า 15,000 SKUs ต่อสาขา มีจำนวนลูกค้า 340 ล้านค และมีพนักงานมากกว่า 30,000 คน – สำหรับในประเทศไทย MR. D.I.Y. เปิดสาขาแรกในปี 2016 ที่ซีคอน บางแค – ต่อมาในปี 2017 ฉลองครบ 50 สาขาที่ฮาร์เบอร์มอลล์ พัทยา ชลบุรี – ปี 2018 ฉลองครบ 100 สาขาที่เทสโก้ โลตัส บางใหญ่ นนทบุรี – จากนั้นปี 2019 ฉลองครบ 200 สาขาที่เทสโก้ โลตัส พระราม 4 – ปี 2020 ฉลองครบ 250 สาขาที่บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า บางพลี – ถัดมาในปี 2021 ฉลองครบ 300 สาขาที่อาคารกมล สุโกศล และในปีเดียวกันนี้เอง ยังได้เปิดโมเดล MR. D.I.Y. Express – ในปี 2022 ฉลองครบ 500 สาขาที่โลตัส บางกะปิ และตลอดทั้งปีเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 161 สาขา ทำให้โดยรวมมี 557 สาขา ในจำนวนร้านทั้งหมด 557 สาขา ครอบคลุม 72 จังหวัดทั่วประเทศ อยู่ในกรุงเทพฯ และภาคกลาง 50% ตามมาด้วยภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ – ปัจจุบัน MR. D.I.Y. ให้บริการลูกค้ามากกว่า 58 ล้านคนทั่วประเทศไทย – มีพนักงานกว่า 6,500 คนในไทย และสร้างงานมากกว่า 1,100 ตำแหน่งงาน จากการขยายสาขาต่อเนื่อง ทำให้อัตราการเติบโตรายปีสะสม (CAGR) นับตั้งแต่ปี 2017 – 2022 เติบโต 51% และถึงแม้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตนอกบ้านน้อยลง แต่ด้วยแผนธุรกิจของ MR. D.I.Y. เน้นความยืดหยุ่น และคล่องตัว ประกอบกับเป็นสินค้าในชีวิตประจำวัน และของใช้ภายในบ้าน จึงทำให้ผู้บริโภคไทยยังคงมาจับจ่ายที่ร้าน MR. D.I.Y. Thailand 2022 Achievement เปิดสูตรขยายสาขา และกลยุทธ์ดึงลูกค้าช้อปทุกวัน สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2023 “MR. D.I.Y.” ถือเป็นปีแห่งการรุกรอบด้าน แน่นอนว่าหนึ่ง่ในกลยุทธ์สำคัญที่ยังโฟกัสต่อเนื่องคือ การขยายสาขา โดยในปีนี้ เตรียมลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเปิด 170 สาขา ทำให้สาขา MR.D.I.Y. โดยรวมมี 727 สาขาภายในปี 2023 ถือเป็นเชนค้าปลีกที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉลี่ยแล้ว 2 วันต่อการเปิด 1 สาขา กลยุทธ์การเปิดสาขาของ “MR. D.I.Y.” และดึงลูกค้าช้อปทุกวัน ประกอบด้วย 1. พัฒนา Store Format 3 รูปแบบ เพื่อให้สอคดล้องกับโลเคชันและขนาดพื้นที่ มีตั้งแต่กว่า 300 ตารางเมตร จนถึงขนาดกว่า 700 – 800 ตารางเมตร – รูปแบบเปิดในศูนย์การค้า – ไฮเปอร์มาร์เก็ต – รูปแบบ Stand Alone เปิดในทำเลใกล้ย่านที่พักอาศัย-ย่านชุมชน – รูปแบบ MR.D.I.Y. Express โมเดลขนาดเล็ก เปิดในทำเลย่านธุรกิจ (Business Area) สถานีบริการน้ำมัน หรือในทำเลที่มีพื้นที่จำกัด โดยเลือกสินค้าขายดีมาจำหน่าย “ปัจจุบันเราเน้นเปิดรูปแบบ Stand Alone มากขึ้น เนื่องจากเกือบทุกช้อปปิ้งมอลล์มีสาขา MR. D.I.Y. แล้ว และตั้งแต่เกิด COVID-19 ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค เราพบว่าคนเข้าห้างฯ/ศูนย์การค้าน้อยลง เราจึงทดลองรูปแบบ Stand Alone มากขึ้น ปรากฏว่าได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้า ขณะเดียวกันการขยายรูปแบบ Stand Alone มีความยืดหยุ่น และคล่องตัวกว่า ทั้งช่วงเวลาการให้บริการ และสามารถขยายไปในโลเคชั่นที่มีศักยภาพได้ทั่วประเทศ” ​คุณแอนดี้ ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสเตอร์​. ดี.ไอ.วาย. ประเทศไทย เล่าถึงกลยุทธ์การขยายสาขา MR. D.I.Y. Express 2. ราคา และความได้เปรียบของ Economy of Scale สร้างอำนาจต่อรองซัพพลายเออร์ หัวใจสำคัญที่ทำให้ MR. D.I.Y. สามารถทำราคาขายได้ถูก ภายใต้ Value Proposition “Always Low Prices” หรือ “ราคาถูกคุ้มเสมอ” เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกคน (Mass Target) และมีสินค้ามากกว่า 15,000 รายการ ครอบคลุม 10 หมวดหมู่ มาจากการ Sourcing สินค้า และมี “Economy of Scale” ยิ่งมีสาขามากในหลายประเทศ ทำให้การสั่งสินค้าจากผู้ผลิต หรือซัพพลายเออร์ มี Volume ใหญ่ เพื่อกระจายไปยังทุกสาขาที่ MR. D.I.Y. เข้าไปปักหมุดลงทุน ประกอบกับความพร้อมของระบบหลังบ้าน และนำเทคโนโลยีมาใช้บริการจัดการ Data อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถตรวจเช็คได้ว่าสาขาไหน สินค้าประเภทใดมี Low Inventory จะเข้าไปบริหารจัดการสินค้าอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการสินค้าขาด เพราะฉะนั้นด้วยขนาดธุรกิจใหญ่ ทำให้ MR. D.I.Y. มีความได้เปรียบด้าน Economy of Scale ที่สามารถสร้างอำนาจการต่อรองกับผู้ผลิต หรือซัพพลายเออร์ได้สูง MR. D.I.Y. Store ambiance 3. ใช้ Pull Strategy ผ่าน Brand Ambassador และแคมเปญกระตุ้นการขายให้ลูกค้าอยากมาช้อปทุกวัน อีกกลยุทธ์หนึ่งของ MR. D.I.Y. ได้ใช้ Pull Strategy เพื่อดึงลูกค้ามาเดิน-มาช้อปที่ร้านทุกวัน ด้วยการเปิดตัว Brand Ambassador “คุณตั๊ก-บริบูรณ์ พร้อมครอบครัว” ภายใต้ Tagline “The Everyday Store For Everyone” หรือ “ช้อปได้ทุกวัน ครบเพื่อทุกคน ด้วยสินค้ากว่า 15,000 รายการ” ควบคู่กับการทำแคมเปญและโปรโมชั่นตลอดทั้งปี เพื่อดึงให้คนมาช้อปได้ทุกวัน ทุกเทศกาล เช่น – เดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเปิดเรียน ทำแคมเปญต้อนรับเปิดเทอม Fun Back to School – เดือนกรกฎาคม ทำโปรโมชั่น Super Sale ลดราคาสูงสุด 30% – เดือนตุลาคม ทำแคมเปญรับเทศกาลฮาโลวีน – เดือนพฤศจิกายน แคมเปญคริสต์มาส – เดือนธันวาคม แคมเปญส่งมอบความสุขส่งท้ายปี 2023 “ที่มาของคำว่า “ช้อปได้ทุกวัน” เพราะเราอยากให้ร้าน MR. D.I.Y. เป็นร้านที่ไม่ว่าจะวันทำงาน–วันเรียน และวันหยุด ตลอดจนทุกช่วงเทศกาลของไทย เป็นร้านที่ผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายยซื้อของได้ทุกวัน ทุกเทศกาล” คุณแอนดี้ ชิน ขยายความเพิ่มเติม MR. D.I.Y. Thailand Products รุกอีคอมเมิร์ซ – ขายส่ง ปี 2023 เป็นอีกหนึ่ง Milestone สำคัญของ MR. D.I.Y. เนื่องจากได้รุกตลาดอีคอมเมิร์ซครั้งแรกในไทย หลังจากก่อนหน้านี้เปิดตัวไปแล้วที่มาเลเซีย – ผนึกกำลัง Shopee เสริมแกร่งช่องทางการขายออนไลน์ เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2023 – เปิดตัวแพลตฟอร์มช้อปปิ้งของตัวเอง “MRDIY.CO.TH” ในเดือนเมษายน 2023 การขยายช่องทางการขายผ่านออนไลน์ จะมีสินค้ากว่า 1,000 SKUs โดยเลือกรายการสินค้าขายดีมาจำหน่าย และมีการขายแบบ Wholesale หรือขายส่งด้วยโปรโมชั่นสินค้ายิ่งซื้อเยอะ ยิ่งคุ้มเยอะ เช่น ซื้อ 10 ชิ้น ซื้อ 20 ชิ้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อย และผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการซื้อสินค้าบางรายการในจำนวนมาก โดยเฉพาะในหมวด Household และ Hardware เช่น ถ่านก้อน, ไม้แขวนเสื้อ, ถุงขยะ อย่างไรก็ตามการเปิดช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางเสริม ในขณะที่ร้านสาขายังคงเป็นช่องทางการขายหลักของ MR.D.I.Y. เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกให้กับลูกค้าได้ช้อปได้ตลอด 24 ชั่งโมงตามวัน เวลาที่สะดวก และเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น ลูกค้าซื้อสินค้าที่ MR. D.I.Y. สาขาโลตัสบางกะปิเป็นประจำ ถ้าต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เช่น เชียงราย แล้วอยากได้หูฟังกะทันหัน ก็ไปแวะซื้อร้าน MR. D.I.Y. ในเชียงรายได้ และในกรณีที่ลูกค้าคนเดียวกันนี้ ติดภารกิจทำงานจนไม่มีเวลาไปร้าน แต่อยากได้สินค้าอุปกรณ์ในบ้าน แพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Shopee และ MRDIY.CO.TH จะเป็นคำตอบด้านความสะดวกสบาย ส่งให้ถึงบ้านภายใน 3 – 4 วัน MR. D.I.Y. Store ambiance ดันยอดขายสินค้า Private Label อีกกลยุทธ์สำคัญของเชนค้าปลีกคือ การปั้นสินค้า Private Label หรือผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกเอง ซึ่งบทบาทของ Private Label หรือสินค้า House Brand คือ – ตอบโจทย์คุณภาพ และความคุ้มค่าคุ้มราคา (Value for money) – สร้าง Unique Selling Point หรือจุดขายเฉพาะของเชนค้าปลีกนั้นๆ ที่แตกต่างจากร้านค้าปลีกอื่น – สร้าง Store Loyalty ทำให้ลูกค้ามีความภักดีต่อเชนค้าปลีกนั้นๆ เพราะเมื่อสินค้ามีคุณภาพ คุ้มค่าคุ้มราคา และหาซื้อได้เฉพาะเชนค้าปลีกนั้นๆ เพียงเชนเดียว ย่อมทำให้ผู้บริโภคเลือกมาใช้บริการ เพื่อซื้อสินค้า Private Label ของเชนค้าปลีกนั้นๆ สำหรับ MR. D.I.Y. ปัจจุบันมีสินค้า Private Label ครอบคลุมทั้ง 10 กลุ่มสินค้า ภายใต้แบรนด์ MR.D.I.Y. โดยมีจำนวนกว่า 40% ของสินค้าภายในร้าน ซึ่งสินค้าขายดี คือ หลอดไฟ และถ่านก้อน MR.-D.I.Y.-Private-Label กลยุทธ์ผลักดันยอดขายสินค้าแบรนด์ MR. D.I.Y. – ชูคอนเซ็ปต์และสื่อสาร “เลือกฉลาด สมาร์ทเสมอ” – ราคาถูกกว่าแบรนด์ทั่วไป 10 – 15% – การจัดเรียงสินค้า Private Label แบรนด์ MR. D.I.Y. จะตั้งในจุดที่เห็นเด่นชัด เช่น บริเวณเคาน์เตอร์แคชเชียร์ และในแต่ละโซนหมวดหมู่สินค้า จะวางสินค้า แบรนด์ MR. D.I.Y. อยู่ด้านหน้า เพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ชัดเจน และนี่คือคำตอบว่าทำไม “MR. D.I.Y.” สามารถเจาะตลาดไทยได้สำเร็จ ทั้งการขยายสาขากว่า 700 สาขาภายในปี 2023 ทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์ และดึงลูกค้าเข้าร้าน แม้หลายคนแค่มาเดินเล่นๆ ไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไร แต่เมื่อออกจากร้าน ก็ต้องได้สินค้าชิ้น สองชิ้น หรือมากกว่านั้นติดกลับบ้านไปในที่สุด แล้วกลับมาใช้บริการอีกเรื่อยๆ
MR. D.I.Y. พัฒนา Store Format 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. รูปแบบเปิดในศูนย์การค้า – ไฮเปอร์มาร์เก็ต 2. รูปแบบ Stand Alone เปิดในทำเลใกล้ย่านที่พักอาศัย-ย่านชุมชน 3. รูปแบบ MR.D.I.Y. Express โมเดลขนาดเล็ก เปิดในทำเลย่านธุรกิจ (Business Area) สถานีบริการน้ำมัน หรือในทำเลที่มีพื้นที่จำกัด โดยเลือกสินค้าขายดีมาจำหน่าย ซึ่ง Store Format ของ MR. D.I.Y. มีตั้งแต่กว่า 300 ตารางเมตร จนถึงขนาดกว่า 700 – 800 ตารางเมตร
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50862
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ ttb ในการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth?
null
กลยุทธ์หลักของ ttb ในการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth มีดังนี้: 1. นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ ttb มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของกลุ่ม Wealth โดยเฉพาะ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่ ได้แก่: - บัตรเครดิต ttb reserve ทั้งแบบ Signature สำหรับลูกค้าที่มีเงินฝาก 5 ล้านบาทขึ้นไป และแบบ Infinite สำหรับลูกค้าที่มีเงินฝาก 30 ล้านบาทขึ้นไป - สินเชื่อ ttb drive ครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม “รถโดนใจ” สำหรับซื้อและขาย ทั้งรถใหม่และรถมือสอง - แผน Refinance และสินเชื่อบ้านแลกเงิน - กองทุนรวมหลากหลายรูปแบบ - ประกันสุขภาพ ttb easy care plus family ครั้งแรกที่แชร์วงเงินคุ้มครองทั้งครอบครัวครอบคลุมถึงครอบครัวแบบ LGBTQ - ประกัน ttb the treasure plus จ่ายเบี้ย 8 ปีคุ้มครอง 88 ปี รับเงินคืน 8% ทุกปี กรณีเสียชีวิตคุ้มครอง 8 เท่า - ประกันภัย ttb flexi life protect (unit link) 2. มอบประสบการณ์พิเศษเฉพาะลูกค้ากลุ่ม Wealth ttb มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้ากลุ่ม Wealth ผ่านบริการต่างๆ ดังนี้: - บริการ Private Banking โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาทางการเงินแบบครบวงจร - บริการ Concierge ที่ช่วยจัดการเรื่องส่วนตัวต่างๆ เช่น จองตั๋วเครื่องบิน จองร้านอาหาร หาซื้อของขวัญ - กิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่ม Wealth เช่น สัมมนาเกี่ยวกับการลงทุน ทริปท่องเที่ยว 3. ใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้า ttb วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้ากลุ่ม Wealth เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้ารูดบัตรซื้อตั๋วเครื่องบิน ธนาคารจะรู้ว่าควรนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันการเดินทาง 4. ขยายช่องทางการให้บริการ ttb มุ่งขยายช่องทางการให้บริการเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Wealth มากขึ้น โดยลูกค้าสามารถใช้บริการผ่านแอปฯ ttb touch เว็บไซต์ ttb.or.th หรือสาขาธนาคาร 5. จับมือพันธมิตร ttb จับมือพันธมิตรต่างๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายและตรงใจลูกค้ากลุ่ม Wealth มากขึ้น ตัวอย่างพันธมิตร ได้แก่ บริษัทประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ttb คาดหวังว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth เพิ่มขึ้น 30% ในปีนี้ ความเกี่ยวข้องกับ Retail กลยุทธ์ของ ttb ในการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth มีความเกี่ยวข้องกับ Retail ดังนี้ : ลูกค้ากลุ่ม Wealth เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นิยมซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ - ttb มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน คล้ายกับร้านค้าปลีกที่มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอสินค้าที่ตรงใจลูกค้า - ttb ใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ คล้ายกับร้านค้าปลีกที่ใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ตรงใจ - ttb ขยายช่องทางการให้บริการเพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น คล้ายกับร้านค้าปลีกที่ขยายช่องทางการขายเพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น - ttb จับมือพันธมิตรเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย คล้ายกับร้านค้าปลีกที่จับมือพันธมิตรเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50873
Retail
กระเป๋าแบรนด์ Carlyn เป็นของประเทศใด
ก. ประเทศเกาหลี ข. ประเทศอเมริกา ค. ประเทศญี่ปุ่น ง. ประเทศไทย
คำตอบ คือ ก. เพราะว่า Carlyn เป็นกระเป๋าแบรนด์ดังจากเกาหลี ซึ่งเปิดพรีครั้งแรกที่ไทย Carlyn จุดเริ่มต้นจาก 2 สาวเด็กคณะนิติ-กราฟฟิก เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นกระเป๋าดังรายนี้ โดย Lee Seung-hee เรียนคณะนิติศาสตร์ ส่วน Park Ji-won เรียนเอกกราฟิก ทั้งสองคนก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น Carlyn เมื่อปี 2012 เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งเเรก ปี 2014 ณ ย่านชองดัมดง แหล่งช้อปปิ้งแบรนด์หรูและสินค้าแฟชั่น Luxury brand ก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามความฝันหันไปเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์อย่างจริงจังที่ Parsons School of Design ที่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ทำให้ทั้งคู่ได้พบกัน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50879
Retail
การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับภาคธุรกิจค้าปลีก ด้วยการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่เชื่อมแบรนด์และชุมชนบนแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เพื่ออะไร
อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลกในปี พ.ศ. 2566 คาดว่าจะเติบโตขึ้นสูงถึงร้อยละ 10.4 ดันยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกให้สูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งระบุไว้ในรายงาน Global Ecommerce Sale Growth ขณะเดียวกัน มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยคาดว่าจะมีการเติบโตถึง ร้อยละ 13 ในปีนี้ อ้างอิงจากข้อมูลผู้เชี่ยวชาญสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยกล่าวว่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะเติบโตมากกว่า 5 เท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า TikTok ได้เล็งเห็นถึงโอกาสและพร้อมผลักดันการเติบโตด้วยการเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในประเทศไทย การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับภาคธุรกิจค้าปลีกด้วยการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่เชื่อมแบรนด์และชุมชนบนแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ช้อปปิ้งอันน่าตื่นใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งการค้นพบสินค้าใหม่ ๆ การพิจารณาเปรียบเทียบราคา การซื้อสินค้า การรีวิว และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ เสมือนเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมการช้อปปิ้งยุคใหม่ ที่ซึ่งเป็นทั้งชุมทางพาณิชย์ ความบันเทิง และพื้นที่ที่ชาว TikTok ได้เติบโตร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างไวรัลระดับโลกทำให้ความต้องการในการซื้อสินค้าเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ที่ซึ่งลูกค้าสามารถค้นหาแคมเปญโปรโมชั่น คอนเทนต์การขายสินค้า และเข้าถึงสินค้าหลากหลายประเภทที่ถูกรวมไว้ในที่เดียว กรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์ TikTok Shop Lead ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงแบรนด์และพาร์ทเนอร์ร้านค้าต่าง ๆ กับเหล่าครีเอเตอร์และชุมชนของเราอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มได้ค้นพบสินค้าและสั่งซื้อได้ง่าย ๆ ภายในไม่กี่วินาที พร้อมสร้างความสำเร็จทางธุรกิจให้พาร์ทเนอร์ของเรา” คอนเทนต์ความบันเทิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยตัวตนตามแบบฉบับของครีเอเตอร์แต่ละคนที่ไม่ซ้ำใครเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม TikTok ตลอดเวลาทำให้เกิดเทรนด์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “Shoppertainment” “Shoppertainment ใน TikTok จะผสมผสานสิ่งที่ทำให้ TikTok มีเอกลักษณ์ อย่างคอนเทนต์ที่สนุกสนานสร้างความบันเทิง ต่อเนื่องด้วยการซื้อขายสินค้าเพื่อช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจและเชื่อมโยงแบรนด์สินค้า ผู้ค้า และครีเอเตอร์ เข้าสู่ชุมชนของเรา” กรณิการ์ กล่าวเสริม โอกาสที่ไม่สิ้นสุดซึ่งมาพร้อมการเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในประเทศไทย จากรายงาน Marketing Science Global Retail Path to Purchase Study of 2021 ซึ่งจัดทำโดย Material ระบุว่า ชุมชน TikTok ยินดีซื้อสินค้าที่พวกเขาพบเจอบนแพลตฟอร์มากกว่าถึง 1.5 เท่า และผู้ใช้ TikTok ร้อยละ 37 จะซื้อสินค้าที่พบเห็นจากแพลตฟอร์มทันที ประเทศไทยติดอันดับสูงสุดจากทั่วโลกในการเจาะตลาดผู้ใช้ TikTok และมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากถึงร้อยละ 50 ใช้แพลตฟอร์ม TikTok อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อเดือน และด้วยจำนวนผู้ใช้แพลตฟอร์ม TikTok อันมหาศาลนี้ ที่ทำให้ TikTok Shop มอบโอกาสอันไม่สิ้นสุดให้แก่แบรนด์และผู้ค้าในการใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซโซลูชั่น และประสบการณ์ Shoppertainment Shopping Center ของ TikTok Shop จะเป็นศูนย์รวมร้านค้าชั้นเยี่ยมที่ผู้ใช้สามารถค้นพบโปรโมชั่น สินค้าที่หลากหลาย ตลอดจนสามารถบริหารจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดได้อย่างง่ายดายในที่เดียว “การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center จะช่วยให้ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนักช้อปหรือผู้ค้า เข้าถึงพื้นที่การช้อปได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า TikTok Shop Shopping Center จะช่วยยกระดับประสบการณ์ความสนุกสนานในการช้อปปิ้งให้กับเหล่านักช้อปมากขึ้นไปอีกขั้น” กรณิการ์ อธิบาย นอกจากนี้เธอยังเล่าว่า “TikTok Shop Shopping Center ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ค้าสามารถปลดล็อกศักยภาพอีคอมเมิร์ซบน TikTok ได้มากยิ่งขึ้นและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม” การให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าในเรื่องอีคอมเมิร์ซให้กับชุมชนผู้ค้าบน TikTok เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เพื่อวางรากฐานให้ TikTok Shop Shopping Center เติบโตอย่างมั่นคงในประเทศไทย การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center ในครั้งนี้ TikTok มุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เชื่อถือได้ สะดวกสบาย และครบวงจรในหนึ่งเดียว (one-stop shopping experience) สำหรับ TikTok Shop Shopping Center จะอยู่ด้านข้างปุ่ม Home เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ พร้อมช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของร้านค้าบน TikTok Shop ได้ถูกค้นพบง่ายขึ้น สร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนร้านค้าบนแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม TikTok Shop Shopping Center ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบสินค้าที่ถูกใจได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่านฟีเจอร์การค้นหาและการแนะนำข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงกิจกรรมการช้อปปิ้งได้โดยตรง ครบ จบ ในที่เดียว นอกจากนี้ให้ผู้ใช้สามารถเลือกดูคำสั่งซื้อ รถเข็นสินค้า ประวัติการซื้อ แชตกับผู้ค้า และกำหนดรายละเอียดที่อยู่และการชำระเงินได้อีกด้วย ผู้ค้าจะได้รับประโยชน์จากโซลูชั่นอีคอมเมิร์ซ รูปใหม่ผ่าน Shopping Center ด้วยฟีเจอร์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อและเพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง สินค้าใน Shopping Center จะถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นพบสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทั้งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เสื้อผ้าผู้หญิง เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ภายในบ้าน ของตกแต่งบ้าน อาหาร และอื่น ๆ อีกทั้งยังมีแฟลชเซล พร้อมแจ้งเวลานับถอยหลังให้ไม่พลาดสินค้าลดราคาพิเศษในขณะนั้น สำหรับผู้ค้าเองก็สามารถตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินงาน รวมถึงความสำเร็จของการจัดโปรโมชั่นของทางร้านได้ผ่านทางเครื่องมือรายงานข้อมูล ซึ่งจะรายงานข้อมูลทั้งรายรับสะสม ช่องทางที่ผู้ชมสนใจเลือกซื้อสินค้า และเทรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยม ในรูปแบบการรายงานข้อมูลที่อ่านผลง่ายเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน โดยผู้ค้าสามารถเปิดดูข้อมูลรายรับจากแต่ละช่องทางในทุกขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า TikTok ยังคงเดินหน้าส่งเสริมคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลกที่น่าเชื่อถือผ่านการขับเคลื่อนของชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจสู่ความสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง TikTok ในประเทศไทยจะยังคงมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต “เราจะมอบความสนุกสนานให้แก่ชาวไทยอย่างต่อเนื่อง และสร้างความมั่นใจถึงการเติบโตอย่างรับผิดชอบในประเทศ TikTok จะส่งเสริมให้คนไทยค้นพบความสุขและโอกาสการเติบโตมากขึ้น มุ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าครีเอเตอร์ชาวไทยกล้าที่จะทำตามความฝันของตนเอง พร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจในประเทศสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเป้าหมายของผู้คนในชุมชนคืออะไรก็ตาม TikTok คือพื้นที่สำหรับคุณ” กรณิการ์ กล่าวสรุป ลงทะเบียนเพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้ธุรกิจ:
การเปิดตัว TikTok Shop Shopping Center อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับภาคธุรกิจค้าปลีก ด้วยการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ที่เชื่อมแบรนด์และชุมชนบนแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ช้อปปิ้งอันน่าตื่นใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งการค้นพบสินค้าใหม่ ๆ การพิจารณาเปรียบเทียบราคา การซื้อสินค้า การรีวิว และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่น่าสนใจต่าง ๆ เสมือนเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมการช้อปปิ้งยุคใหม่ ที่ซึ่งเป็นทั้งชุมทางพาณิชย์ ความบันเทิง และพื้นที่ที่ชาว TikTok ได้เติบโตร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างไวรัลระดับโลก ทำให้ความต้องการในการซื้อสินค้าเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ที่ซึ่งลูกค้าสามารถค้นหาแก้ไขไม่ได้ แคมเปญ โปรโมชั่น คอนเทนต์การขายสินค้า และเข้าถึงสินค้าหลากหลายประเภทที่ถูกรวมไว้ในที่เดียว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50883
Retail
ร้านขายของชำควรจัดให้มีบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. ความสะดวก บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าจากร้านขายของชำได้โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ร้าน เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่มีเวลา หรือไม่สะดวกออกไปซื้อของด้วยตัวเอง 2. ความรวดเร็ว ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินออนไลน์ได้ โดยไม่ต้องรอคิวที่ร้าน 3. ความหลากหลาย ร้านขายของชำสามารถนำเสนอสินค้าได้หลากหลายมากขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ 4. โอกาสในการเติบโต บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ช่วยให้ร้านขายของชำสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ 5. การแข่งขัน ร้านขายของชำจำนวนมากเริ่มให้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตัวอย่างคำถาม Yes/No เพิ่มเติม -ร้านขายของชำควรจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าฟรีหรือไม่? -ร้านขายของชำควรมีแอปพลิเคชั่นสำหรับสั่งซื้อสินค้าออนไลน์หรือไม่? -ร้านขายของชำควรมีบริการรับสินค้าหน้าร้าน (Pick-up) หรือไม่? -ร้านขายของชำควรมีบริการชำระเงินปลายทางหรือไม่? -ร้านขายของชำควรมีบริการโทรสั่งสินค้าหรือไม่? สรุป บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เป็นสิ่งที่ร้านขายของชำควรพิจารณาจัดให้มี เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ข้อควรพิจารณา -ร้านขายของชำจำเป็นต้องมีระบบการจัดการคำสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ -ร้านขายของชำจำเป็นต้องมีระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย -ร้านขายของชำจำเป็นต้องมีทีมงานที่สามารถให้บริการลูกค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างร้านขายของชำที่ให้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ -แม็คโคร -เทสโก้ โลตัส -บิ๊กซี -ท็อปส์ -ฟู้ดแลนด์ ผลลัพธ์ของการให้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ -แม็คโคร รายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโต 30% -เทสโก้ โลตัส รายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโต 25% -บิ๊กซี รายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโต 20% -ท็อปส์ รายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโต 15% -ฟู้ดแลนด์ รายได้จากช่องทางออนไลน์เติบโต 10% บทสรุป บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางใหม่ที่มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ให้กับร้านขายของชำ ร้านขายของชำควรพิจารณาจัดให้มีบริการนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50906
Retail
สรุป เรื่อง Urban Barn ย้ำ! จะขายเฟอร์นิเจอร์ต้องประกอบให้ด้วย ให้หน่อย
ด้วยนโยบายที่ชัดเจนของอิเกียที่บอกกับลูกค้าทั่วโลกถึงเหตุผลว่าทำไมอิเกียถึงขายของดีไซน์เก๋แต่ราคาแสนถูกได้ เพราะอิเกียเป็นฝ่ายผลิตและจัดส่งไปยังร้านค้าค่างๆ ทั่วโลก และที่เหลือลูกค้าเป็นคนทำเองทั้งหมด ตั้งแต่จ่ายเงิน ขนกลับบ้าน และต่อจนเสร็จเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นงามหนึ่งชิ้น แต่เพราะ Urban Barn แบรนด์ขายเฟอร์นิเจอร์แห่งแคนาดาพบว่าไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่สนุกกับการแบกไม้ชิ้นใหญ่ไปต่อที่บ้าน…เพียงเพราะราคาถูกกว่า พวกเขาจึงออกแคมเปญ ‘No Assembly Required’ ในรูปแบบ guerrilla marketing… ด้วยการวางกล่องเฟอร์นิเจอร์ไว้ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ เพื่อให้คนเห็นว่า เมื่อเฟอร์นิเจอร์ดีๆ ที่ไม่ได้ทำการประกอบ มันก็ไม่ต่างจากกล่องกระดาษธรรมดาๆ ที่เห็นวางข้างทางนั่นเอง ซึ่งนโยบายนี้ก็สอดคล้องกับทั้ง index living mall, SB furniture ของไทยที่เน้นการบริการลูกค้าเป็นสำคัญ ทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า ไม่แน่เมื่ออิเกียมาไทย อาจจะต้องเปลี่ยนนโยบายมาจัดส่งให้ถึงที่ก็เป็นได้ ดูโฆษณาอิเกียไทยได้ที่นี่ (เห็นได้ชัดว่าในคลิปไม่ได้พูดถึงการประกอบเฟอร์นิเจอร์เองแม้แต่น้อย) httpv://youtu.be/NKfNq9qznNw ดูโฆษณาชุดอื่นๆ ที่ขำเอาการได้ที่นี่ [via psfk] RELATED POSTS: No related posts.
อิเกีย มีนโยบายบอกเหตุผลว่าทำไมถึงขายของดีไซน์เก๋แต่ราคาแสนถูกได้ เพราะเป็นฝ่ายผลิตและจัดส่งเอง ที่เหลือลูกค้าเป็นคนทำ ตั้งแต่จ่ายเงิน ขนกลับบ้าน และต่อจนเสร็จเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่ Urban Barn แบรนด์ขายเฟอร์นิเจอร์ในแคนนาดาพบว่าไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่สนุกกับการแบกไม้ชิ้นใหญ่ไปต่อที่บ้าน เพราะราคาถูกกว่า จึงออกแคมเปญ ‘No Assembly Required’ ในรูปแบบ guerrilla marketing ด้วยการวางกล่องเฟอร์นิเจอร์ตามสถานที่สาธารณะ ให้คนเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ดีๆ ที่ไม่ได้ประกอบ ก็เป็นแค่กล่องกระดาษธรรมดาที่วางข้างทาง
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50911
Retail
ระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition นั้นน่าสนใจและมีศักยภาพมาก แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง อะไรคือกลยุทธ์เพิ่มเติมที่ร้านค้าสามารถนำมาใช้ร่วมกับระบบนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
null
กลยุทธ์เพิ่มเติมที่ร้านค้าสามารถนำมาใช้ร่วมกับระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด มีดังนี้: สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากดไลค์และติดตาม Fan Page: - เสนอส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่กดไลค์และติดตาม Fan Page - มอบสิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับแฟนเพจ เช่น สินค้าราคาพิเศษ หรือกิจกรรมพิเศษ - แจกของรางวัลหรือคูปองส่วนลดสำหรับแฟนเพจ - แชร์เนื้อหาที่น่าสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมบน Fan Page ใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้า: - วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า เช่น เพศ อายุ และความสนใจ - นำข้อมูลมาใช้เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับแคมเปญโฆษณา - ปรับแต่งเนื้อหาและโปรโมชั่นให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า - พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจลูกค้า สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า: - โพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นให้เกิดการแชร์และแสดงความคิดเห็น - จัดกิจกรรมบน Fan Page เช่น เกมหรือการแข่งขัน - ตอบคำถามและข้อความของลูกค้าอย่างรวดเร็ว - สร้างชุมชนของลูกค้าบน Fan Page ใช้ระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition ร่วมกับช่องทางอื่น: - เชื่อมต่อระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition กับเว็บไซต์ของร้านค้า - โปรโมตแคมเปญบน Fan Page ผ่านช่องทางอื่น เช่น อีเมลหรือไลน์ - ใช้ระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition ร่วมกับระบบ CRM ติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูล: - วิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญที่ใช้ระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition - ปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามผลลัพธ์ที่ได้ ตัวอย่าง ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นสามารถใช้ระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition ร่วมกับกลยุทธ์ดังต่อไปนี้: - เสนอส่วนลด 10% สำหรับลูกค้าที่กดไลค์และติดตาม Fan Page - แจกคูปองส่วนลดพิเศษสำหรับแฟนเพจ - โพสต์รูปภาพสินค้าใหม่และเทรนด์แฟชั่นล่าสุดบน Fan Page - จัดกิจกรรมหรือการแข่งขันบน Fan Page - เชื่อมต่อระบบ Taggo – Facebook Fan Recognition กับเว็บไซต์ของร้านค้า ผลลัพธ์ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มจำนวนแฟนเพจ เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0