ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_38604 | Retail | ผลประกอบการครึ่งปีแรก ปี 2564 ของปั๊มน้ำมันเจ้าใหญ่ ปตท. ได้กำไรมากน้อยแค่ไหน ในปีที่โควิด-19 ระบาดหนัก และการเดินทางของคนลดลง | สถานการณ์โควิด-19 ในปี 2564 มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา คนบางส่วนจำเป็นต้องลดการเดินทางไปทำงาน Brand Inside ชวนส่องงบการเงินของ 3 ปั๊มน้ำมันเจ้าใหญ่ ได้แก่ ปตท. พีที และบางจาก ว่ามีรายได้ และกำไรมากน้อยแค่ไหน ในปีที่โควิด-19 ระบาดหนักอีกครั้ง
ภาพจาก PTTOR
PTTOR กวาดรายได้ 2.37 แสนล้าน กำไร 7.2 พันล้านบาท
เริ่มกันที่เจ้าแรก คือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ผู้ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นปั๊มน้ำมันเบอร์ 1 ของไทย ที่สามารถสร้างรายได้จากการขาย และการบริการ 237,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ของปี 2563 ที่สร้างรายได้ 214,454 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 7,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,418 ล้านบาท เมื่อช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2563
สัดส่วนรายได้ 237,168 ล้านบาท ของ PTTOR นี้ แบ่งเป็น รายได้จากกลุ่มธุรกิจน้ำมันมากที่สุด ในสัดส่วน 91% กลุ่มธุรกิจ Non-oil 3.4% กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 5.4% และอื่นๆ อีก 0.2%
สำหรับกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ซึ่งเป็นรายได้หลัก PTTOR มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น 2,027 แห่ง เพิ่มขึ้น 84 แห่ง เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (รวมสถานีบริการน้ำมันทั้งในไทย และเมียนมา) ส่วนสถานีบริการ LPG มีทั้งสิ้น 214 แห่ง (ไม่รวมสถานีบริการ LPG ที่ตั้งอยู่ที่เดียวกับสถานีบริการน้ำมัน) ลดลง 23 แห่ง เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
น้ำมันอากาศยาน สัดส่วนการขายลดลงมากที่สุด
ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 PTTOR ขายน้ำมันไปได้ทั้งสิ้น 11,452 ล้านลิตร ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยสัดส่วนการขายหากแยกเป็นผลิตภัณฑ์จะพบว่า น้ำมันอากาศยาน มีสัดส่วนการขายที่ลดลงมากที่ที่สุด จากเดิม 15.8% ในปีที่แล้ว เหลือเพียง 7.2% ในปีนี้
ส่วนน้ำมันดีเซลมีสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้นจาก 40.2% เป็น 46.3% และน้ำมันเบนซินมีสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้นจาก 21.4% เป็น 24.7%
กำไรสุทธิของ PTTOR ที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ภาครัฐมีการบังคับใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2563 ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจน้ำมันและ กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2564 จะพบว่า PTTOR มีรายได้จากการขายและบริการ 118,708 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2564 ส่วนกำไรสุทธิ ทำได้ 3,225 ล้านบาท ลดลงจาก 4,003 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 หรือคิดเป็นสัดส่วนที่ลดลงกว่า 19.4%
มาตรการควบคุมโควิด-19 กระทบธุรกิจน้ำมัน
ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 กลุ่มธุรกิจน้ำมันได้รับผลกระทบจาก มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจำกัดเฉพาะในบางจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด เป็นปัจจัยกดดัน ให้ปริมาณขายรวมลดลง 6.2% ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำมันเบนซิน ดีเซล LPG เป็นต้น เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ที่รายได้ปรับตัว ลดลงตามความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง
ภาพจาก PTG
PTG รายได้ 6.5 หมื่นล้าน กำไร 1,032 ล้านบาท
ต่อกันที่เจ้าที่ 2 ซึ่งนับว่าเป็นเบอร์ 2 ของปั๊มน้ำมันในประเทศไทย อย่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ที่ช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 ทำรายได้ 65,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่สร้างรายได้ 51,378 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27.6%
ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 1,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ซึ่งทำกำไรสุทธิได้ราว 717 ล้านบาท
ด้านสถานีบริการน้ำมันของ PTG ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 1,902 แห่ง และสถานีบริการ LPG อีก 212 แห่ง และในช่วงครึ่งปีแรกนี้ PTG ขายน้ำมันไปได้แล้ว 2,626 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจน้ำมันคิดเป็นสัดส่วน 96.2% ของรายได้จากการขายและบริการทั้งหมด
ตัวเลขรายได้ 65,573 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 ที่เพิ่มขึ้น 27.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นเพราะรายได้ธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้น 24.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จากราคาขายของน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.5% รวมถึงปริมาณการขายน้ำมันในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 ที่เพิ่มขึ้น 8.4% ตามจำนวนของสถานีบริการนำ้มันที่เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจ Non-oil คือธุรกิจ LPG ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจการให้บริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ และธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น 33.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการขยายสาขาของธุรกิจในกลุ่มนี้ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 1,008 สาขา
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2564 จะพบว่า รายได้จากการขายและการให้บริการ อยู่ที่ 33,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าเป้าหมายราว 8-12% โดยมีสาเหตุหลักจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มกลับมามีความรุนแรงนับตั้งแต่เดือนเมษายน | บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ผู้ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นปั๊มน้ำมันเบอร์ 1 ของไทย ที่สามารถสร้างรายได้จากการขาย และการบริการ 237,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ของปี 2563 ที่สร้างรายได้ 214,454 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 7,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,418 ล้านบาท เมื่อช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2563
สัดส่วนรายได้ 237,168 ล้านบาท ของ PTTOR นี้ แบ่งเป็น รายได้จากกลุ่มธุรกิจน้ำมันมากที่สุด ในสัดส่วน 91% กลุ่มธุรกิจ Non-oil 3.4% กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 5.4% และอื่นๆ อีก 0.2%
สำหรับกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ซึ่งเป็นรายได้หลัก PTTOR มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น 2,027 แห่ง เพิ่มขึ้น 84 แห่ง เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (รวมสถานีบริการน้ำมันทั้งในไทย และเมียนมา) ส่วนสถานีบริการ LPG มีทั้งสิ้น 214 แห่ง (ไม่รวมสถานีบริการ LPG ที่ตั้งอยู่ที่เดียวกับสถานีบริการน้ำมัน) ลดลง 23 แห่ง เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
น้ำมันอากาศยาน สัดส่วนการขายลดลงมากที่สุด
ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 PTTOR ขายน้ำมันไปได้ทั้งสิ้น 11,452 ล้านลิตร ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยสัดส่วนการขายหากแยกเป็นผลิตภัณฑ์จะพบว่า น้ำมันอากาศยาน มีสัดส่วนการขายที่ลดลงมากที่ที่สุด จากเดิม 15.8% ในปีที่แล้ว เหลือเพียง 7.2% ในปีนี้
ส่วนน้ำมันดีเซลมีสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้นจาก 40.2% เป็น 46.3% และน้ำมันเบนซินมีสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้นจาก 21.4% เป็น 24.7%
กำไรสุทธิของ PTTOR ที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ภาครัฐมีการบังคับใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2563 ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจน้ำมันและ กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2564 จะพบว่า PTTOR มีรายได้จากการขายและบริการ 118,708 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2564 ส่วนกำไรสุทธิ ทำได้ 3,225 ล้านบาท ลดลงจาก 4,003 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 หรือคิดเป็นสัดส่วนที่ลดลงกว่า 19.4%
มาตรการควบคุมโควิด-19 กระทบธุรกิจน้ำมัน
ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 กลุ่มธุรกิจน้ำมันได้รับผลกระทบจาก มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจำกัดเฉพาะในบางจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด เป็นปัจจัยกดดัน ให้ปริมาณขายรวมลดลง 6.2% ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำมันเบนซิน ดีเซล LPG เป็นต้น เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ที่รายได้ปรับตัว ลดลงตามความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38605 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจค้าปลีกต้องติดตามความต้องการของลูกค้าอย่างใกล้ชิด และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน | null | บทเรียนจาก Synnex, SIS และ SVOA: การเติบโตในยุค Work and Learn from Home
- ณ ร้านขายคอมพิวเตอร์ใจกลางเมือง
"คุณลูกค้าครับ โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุดจาก ASUS เข้าแล้วนะครับ" พนักงานขายหนุ่มเอ่ยทักทายลูกค้าที่มาเยี่ยมร้าน "กำลังมีโปรโมชั่นซื้อพร้อมอุปกรณ์เสริม ลดราคา 10% อยู่ด้วยนะครับ"
"โอ้ น่าสนใจจัง" ชายวัยกลางคน พนักงานออฟฟิศที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊คใหม่ เอ่ยตอบ "ผมกำลังหาโน้ตบุ๊คสำหรับ Work from Home อยู่พอดี"
"งั้นรุ่นนี้เหมาะเลยครับ" พนักงานขายอธิบายต่อ "สเปคแรง เล่นเกมก็ลื่น ดูหนังก็คมชัด แบตเตอรี่ก็อึด ทนทาน ใช้งานได้ทั้งวัน"
ชายคนนั้นพยักหน้า "ผมขอลองใช้ดูก่อนได้ไหมครับ"
พนักงานขายรีบนำโน้ตบุ๊คมาให้ลองใช้ทันที ชายคนนั้นลองพิมพ์ ลองเล่นเกม ลองดูหนัง รู้สึกประทับใจในประสิทธิภาพของเครื่อง
"เอาล่ะครับ ผมตัดสินใจซื้อแล้ว" ชายคนนั้นพูด "ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ"
- ในห้องประชุมของ Synnex
"ยอดขายครึ่งปีแรกของเราเติบโต 6% ครับ" ประธานบริษัท Synnex รายงานต่อคณะกรรมการ "เป็นผลมาจากความต้องการสินค้าไอทีที่เพิ่มสูงขึ้นจากกระแส Work from Home"
"ยอดขายโน้ตบุ๊คพุ่งสูงถึง 80% เลยครับ" ผู้บริหารฝ่ายขายเสริม "โดยเฉพาะรุ่นที่เหมาะกับการทำงานและเรียนออนไลน์"
"เรายังมีสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ที่เติบโตดี เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริม" ผู้บริหารฝ่ายการตลาดกล่าวเพิ่มเติม "เรามองภาพรวมครึ่งปีหลังยังสดใส คาดว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่อง"
- ในสำนักงานใหญ่ของ SIS
"ยอดขายครึ่งปีแรกของเราอยู่ที่ 15,314 ล้านบาท" ประธานบริษัท SIS กล่าว "เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 31%"
"กลุ่มสินค้าที่เติบโตดีที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ" ผู้บริหารฝ่ายขายอธิบาย "โดยเฉพาะแบรนด์ Xiaomi ที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางผู้ผลิต"
"อย่างไรก็ตาม เรายังมีปัญหาขาดแคลนสินค้าบางรายการ" ผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อกล่าวเพิ่มเติม "โดยเฉพาะกลุ่มโน้ตบุ๊คและชิปคอมพิวเตอร์"
"เรากำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหาขาดแคลนสินค้า" ประธานบริษัท SIS กล่าว "และเรามองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด เช่น ธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งและไอโอที"
- ในห้องทำงานของ SVOA
"ยอดขายครึ่งปีแรกของเราอยู่ที่ 3,958 ล้านบาท" ประธานบริษัท SVOA กล่าว "เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 19%"
"กลุ่มสินค้าที่เติบโตดีที่สุดคือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค และอุปกรณ์เสริม" ผู้บริหารฝ่ายขายอธิบาย "เนื่องจากความต้องการใช้งาน Work from Home"
"เรายังมีการกระจายธุรกิจไปยังกลุ่มอื่น ๆ เช่น การวางระบบ บริการดิจิทัล และโซลูชันด้านไอที" ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจกล่าวเพิ่มเติม "เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า"
"เรามองอนาคตของ SVOA ด้วยความมั่นใจ" ประธานบริษัท SVOA กล่าว "เราจะพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล"
บทสรุป
เรื่องราวของ Synnex, SIS และ SVOA สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจค้าส่งสินค้าไอทีในประเทศไทย during the COVID-19 pandemic กระแส Work from Home | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38607 | Retail | การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไส้เลื่อนขาหนีบทุกคนหรือไม่? | null | ไม่ มีเหตุผลดังนี้:
ขนาดของไส้เลื่อน: การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีขนาดไส้เลื่อนไม่ใหญ่มาก (ประมาณ 2-3 เซนติเมตร)
ภาวะฉุกเฉิน: ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไส้เลื่อนค้าง ปากถุงไส้เลื่อนรัดลำไส้ขาดเลือด
เพศ: เพศชายมักมีกล้ามเนื้อหน้าท้องหนากว่าเพศหญิง ส่งผลต่อความยากง่ายในการผ่าตัด
ประสบการณ์ของศัลยแพทย์: ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดแบบแผลเดียวจะต้องมีความชำนาญสูง
โรคประจำตัว: ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง อาจมีความเสี่ยงในการผ่าตัดมากกว่า
ความต้องการของผู้ป่วย: ผู้ป่วยบางรายอาจต้องการแผลผ่าตัดที่มีขนาดเล็กที่สุด แม้จะต้องแลกด้วยระยะเวลาการผ่าตัดที่นานกว่า
ข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว:
- แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 1-2 เซนติเมตร
- เจ็บแผลน้อย
- ฟื้นตัวเร็ว
- กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็ว
- มีรอยแผลเป็นน้อย
ข้อจำกัดของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว:
- ใช้เวลานานกว่าการผ่าตัดผ่านกล้องทั่วไป
- มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
- ศัลยแพทย์ต้องมีความชำนาญสูง
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยทุกคน
สรุป: การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเดียว เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไส้เลื่อนขาหนีบที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่มีภาวะฉุกเฉิน และต้องการแผลผ่าตัดที่มีขนาดเล็ก | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38608 | Retail | กลยุทธ์ของ Haier ในการขยายตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย มีอะไรน่าสนใจบ้าง อะไรคือสิ่งที่ร้านค้าปลีก (Retailer) สามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้บ้าง? | null | กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Haier:
-Multi-brand strategy: Haier มีแบรนด์รอง (sub-brand) หลากหลายเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น Casarte สำหรับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ และ Candy สำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไป กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Haier เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้นและครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ในตลาด
-Product innovation: Haier มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยี IoT และ Smart Home มาผนวกรวมกับสินค้า ทำให้สินค้ามีความล้ำสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
-Integrated marketing: Haier ทุ่มงบการตลาดแบบครบวงจร สื่อสารผ่านทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์ เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง
-Omnichannel experience: Haier ผสมผสานช่องทางการจำหน่ายแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าผ่านช่องทางที่สะดวกที่สุด
-Data-driven decision making: Haier วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
สิ่งที่ร้านค้าปลีก (Retailer) สามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้:
-ขยายฐานลูกค้า: ร้านค้าปลีกควรมีกลยุทธ์เพื่อเข้าถึงลูกค้าในทุกเซ็กเมนต์ อาจจะทำ sub-brand หรือมีสินค้าหลากหลายประเภทเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
-พัฒนาสินค้าให้ทันสมัย: ร้านค้าปลีกควรนำเสนอสินค้าที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
-ผสมผสานช่องทางการจำหน่าย: ร้านค้าปลีกควรมีทั้งหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวก
-วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: ร้านค้าปลีกควรวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
-ร้านค้าปลีกสามารถนำเสนอบริการ Smat Sharing AC คล้ายกับ Haier เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการเช่าเครื่องปรับอากาศแทนการซื้อ
-ร้านค้าปลีกสามารถจัดทำ IoT Smart Home Zone ในหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้สินค้า
-ร้านค้าปลีกสามารถใช้ influencer marketing บนแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Gen Z
สรุป:
กลยุทธ์ของ Haier มีหลายอย่างที่ร้านค้าปลีกสามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้า และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38614 | Retail | ยอดขายสินค้าออนไลน์ของอาลีบาบาในไตรมาส 2 ปี 2564 เติบโต 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ใช่หรือไม่? | null | ใช่ ยอดขายสินค้าออนไลน์ของอาลีบาบาในไตรมาส 2 ปี 2564 เติบโต 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหตุผล
อาลีบาบารายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 รายได้รวมอยู่ที่ 205,740 ล้านหยวน (ราว 1,053,311 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
รายได้จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซของอาลีบาบา ซึ่งรวมถึง Taobao, Tmall, Lazada และ AliExpress เติบโต 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อาลีบาบามีจำนวนลูกค้าประจำต่อปี (Annual active consumers) ในอีโคซิสเท็มของอาลีบาบาทั่วโลกในรอบ 12 เดือน เมื่อสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45 ล้านคนเมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบ 12 เดือน เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564
-การเติบโตของยอดขายสินค้าออนไลน์ของอาลีบาบา ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย เช่น
การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในจีน
-การขยายฐานลูกค้าของอาลีบาบา
-กลยุทธ์การลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เช่น Community Marketplaces, เถาเป่า ดีลส์, Local Consumer Services และลาซาด้า
-การลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับมาร์เก็ตเพลสค้าปลีกในจีน เช่น Idle Fish และเถาเป่า ไลฟ์
-การสนับสนุนผู้ขายของบริษัท
สรุป
ยอดขายสินค้าออนไลน์ของอาลีบาบาในไตรมาส 2 ปี 2564 เติบโต 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอาลีบาบาในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38615 | Retail | ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ธันวาคม 2564 ของธนาคารแห่งประเทศไทย อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคค้าปลีกปรับลดลง? | 1.
ความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอคำสั่งซื้อ
2. มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอคำสั่งซื้อ
3. ราคาวัตถุดิบ อาทิ เหล็ก อลูมิเนียมและพลาสติก ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
4. ราคาเหล็กในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น | คำตอบได้แก่ 3. ราคาวัตถุดิบ อาทิ เหล็ก อลูมิเนียมและพลาสติก ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
เหตุผล:
- บทความระบุชัดเจนว่า กลุ่มค้าปลีกมีความเชื่อมั่นปรับลดลง "จากองค์ประกอบด้านต้นทุน"
- บทความไม่ได้พูดถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอคำสั่งซื้อ โดยตรงกับภาคค้าปลีก
- แม้บทความจะพูดถึงความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรง แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าส่งผลต่อภาคค้าปลีกโดยตรง
- บทความไม่ได้พูดถึงราคาเหล็กในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง โดยตรงกับภาคค้าปลีก
ข้ออื่นๆ ผิดเพราะ:
- พูดถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งส่งผลต่อภาคธุรกิจก่อสร้างและอสังหาฯ
- พูดถึงความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลต่อหลายภาคธุรกิจ แต่บทความไม่ได้ระบุชัดเจนว่าส่งผลต่อภาคค้าปลีกโดยตรง
- พูดถึงราคาเหล็กในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของบางสินค้า แต่บทความไม่ได้ระบุชัดเจนว่าส่งผลต่อภาคค้าปลีกโดยตรง
หมายเหตุ:
- ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ เป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการในแต่ละภาคธุรกิจ
- ดัชนีที่ปรับลดลง แสดงว่า ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในธุรกิจลดลง
- สาเหตุที่ดัชนีปรับลดลง อาจมาจากหลายปัจจัย ในกรณีนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคค้าปลีกปรับลดลง คือ ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38641 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ....เรื่องราวของน้ำ สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์การทำงานในยุคโควิด-19 ที่พนักงานหลายคนเริ่มมองหางานใหม่ที่มีเงินเดือนสูงขึ้น สวัสดิการที่ดีกว่า และโอกาสในการเติบโตมากกว่า | null | ร้านค้าปลีกยุคโควิด: บททดสอบของ "มนต์เงิน" กับ "ความมั่นคง"
ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงเทพ พนักงานขายสาวนามว่า "น้ำ" กำลังยืนงุนงงกับจดหมายลาออกที่วางอยู่บนโต๊ะ ท่ามกลางบรรยากาศการจับจ่ายซื้อของที่คึกคักของลูกค้า เธอเพิ่งตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำมานานกว่า 3 ปี ด้วยเหตุผลที่หลายคนอาจไม่เข้าใจ
น้ำเริ่มต้นทำงานที่ร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังแห่งนี้ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนต่างประหยัด ร้านค้าหลายแห่งต้องปิดตัวลง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบ น้ำจึงทุ่มเททำงานอย่างหนัก แม้จะได้ค่าจ้างไม่สูงนัก แต่เธอก็พอใจกับงานและบรรยากาศการทำงานที่อบอุ่น
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังมานี้ น้ำเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่ เงินเดือนที่ได้ก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เธอเริ่มมองหางานใหม่ที่มีเงินเดือนสูงขึ้น สวัสดิการที่ดีกว่า และโอกาสในการเติบโตมากกว่า
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนทยอยลาออกไปหางานใหม่ น้ำก็เริ่มลังเล เธอคิดทบทวนถึงอนาคตของตัวเอง ถามตัวเองว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า?"
ในที่สุด น้ำตัดสินใจลาออกจากงาน เธอรู้ดีว่ามันเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ
หลังจากลาออก น้ำใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการหางานใหม่ เธอส่งใบสมัครไปยังร้านค้าปลีกหลายแห่ง สัมภาษณ์งานมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนตอบรับ
น้ำเริ่มท้อแท้ เธอเริ่มสงสัยว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือเปล่า เธอคิดถึงเพื่อนร่วมงาน คิดถึงบรรยากาศการทำงานที่เก่า คิดถึงความมั่นคง
แต่แล้ว โชคชะตาก็พลิกผัน เมื่อเธอได้รับข้อเสนอจากร้านค้าปลีกออนไลน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่เสนอให้สูงกว่าที่เธอเคยได้รับมาก เธอยังได้รับสวัสดิการครบถ้วน และมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
น้ำตัดสินใจรับข้อเสนอ เธอเริ่มต้นทำงานใหม่ด้วยความตั้งใจและความมุ่งมั่น เธอเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด น้ำก็ประสบความสำเร็จในงานใหม่ เธอมีรายได้ที่มั่นคง มีความสุขกับงานที่ทำ และมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38642 | Retail | ในภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2564 JD CENTRAL มียอดดาวน์โหลดและติดตั้งแอปโตกี่เปอร์เซ็นต์ | ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เรียกว่าแข่งกันดุเดือด มีเทศกาลที่บอกว่าลดราคากันตลอดทุกเดือน ต้องยกให้ Lazada และ Shopee ที่จัดแคมเปญกันตลอด ทำให้หลายคนมีคำถามว่า น้องใหม่ที่มีอายุได้ 3 ปี อย่าง JD CENTRAL จะแข่งขันไหวหรือไม่ ทั้งที่เป็นความร่วมมือระหว่าง JD.com ยักษ์อีคอมเมิร์ซจากจีนอีกหนึ่งราย กับ CENTRAL เจ้าพ่อห้างสรรพสินค้าของไทย มาวันนี้ JD CENTRAL เลยประกาศรีแบรนด์ในรอบ 3 ปี พร้อมกับเตรียมบุกตลาดทั่วประเทศแบบเข้มข้นมากขึ้น และยืนยันว่างานนี้ แข่งขันกับ 2 เจ้าใหญ่ได้แน่นอน ก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD CENTRAL บอกว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตสูงมาก เฉลี่ย 20% ต่อปีต่อเนื่อง แต่ตลาดยังมีสัดส่วนประมาณ 8% ของตลาดค้าปลีกโดยรวมที่มีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท เท่ากับว่ายังเติบโตได้อีกมาก และเป็นโอกาสของผู้เล่นในตลาด JD CENTRAL บอกว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตสูงมาก เฉลี่ย 20% ต่อปีต่อเนื่อง แต่ตลาดยังมีสัดส่วนประมาณ 8% ของตลาดค้าปลีกโดยรวมที่มีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท เท่ากับว่ายังเติบโตได้อีกมาก และเป็นโอกาสของผู้เล่นในตลาด สำหรับ JD CENTRAL ที่ผ่านมา สามารถเจาะตลาดกลุ่มคนเมืองได้เป็นอย่างดี ในภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2564 JD CENTRAL มียอดดาวน์โหลดและติดตั้งแอปโต 94% ยอดขายโตพุ่ง 80% ยอดการซื้อต่อครั้งโต 40% แต่ยอมรับว่ากลุ่มต่างจังหวัดทั่วประเทศ และกลุ่มออฟไลน์ ยังต้องพัฒนาอีกมาก 1 2564 JD CENTRAL 94% 80% 40% จากการศึกษาพฤติกรรมของนักช้อปกลุ่มนี้กว่า 1,000 คนพบว่านักช้อปมีความกังวล ‘เรื่องความไว้วางใจ‘ เป็นหลัก โดยสิ่งที่นักช้อปกังวล 3 อันดับแรกเมื่อต้องซื้อสินค้าออนไลน์ ได้แก่ 1,000 ‘ ‘ 3 สินค้าไม่ตรงปก 79% 79% สินค้าเสียหาย 56% 56% ขนส่งล่าช้า 38% 38% หากพิจารณาการแข่งขันอีคอมเมิร์ซที่ผ่านมาจะเน้นใน 3 มิติต่อไปนี้ การแข่งขันด้านความครบครันของสินค้า การสร้างความบันเทิงต่างๆ รวมไปถึง การแข่งขันด้านราคาที่ค่อนข้างดุเดือด อย่างไรก็ตาม กลับยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค JD CENTRAL จึงใช้กลยุทธ์ “จอยชัวร์ ตัวจริง” เน้นเรื่องความชัวร์ ทั้งเรื่องความน่าเชื่อถือ ของแท้คุณภาพดี รวมไปจนถึงสินค้าที่มีขายเฉพาะบน JD CENTRAL เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถ ช้อปปิ้งได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา กับสินค้าราคาดึงดูดใจทั้ง local brand และ international brand จากทั้งในและนอกประเทศ จอยชัวร์กับการบริการที่ดี การขนส่งที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และบริการหลังการขาย ทั้งหมดนี้เพื่อมุ่งสู่การเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดจากผู้บริโภค JD CENTRAL จึงใช้กลยุทธ์ “ ” เน้นเรื่องความชัวร์ JD CENTRAL local brand international brand 1 ก่อลาภ บอกว่า JD CENTRAL จะทำการรีแบรนด์ โดยปรับเปลี่ยน 3 จุดหลัก ปรับ Brand’s tagline เป็น “จอยชัวร์ ตัวจริง” ปรับ เป็น จอยชัวร์ ตัวจริง ปรับโลโก้ของ JD CENTRAL ให้ดูร่วมสมัยขึ้น JD CENTRAL โปรโมท “JOY” ในฐานะแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของ JD CENTRAL เพื่อสร้างการจดจำเกี่ยวกับแบรนด์ และสร้าง brand recall ให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อมัดใจนักช้อปทั่วประเทศ “JOY” JD CENTRAL brand recall JD CENTRALการันตีคุณภาพสินค้าและบริการ เพื่อประสบการณ์การช้อปที่ดีที่สุดของผู้บริโภค หากพบสินค้าปลอมรับประกันคืนเงิน 3 เท่า มั่นใจว่าสามารถเจาะตลาดกลุ่มนักช้อปได้มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อสร้างการเติบโตที่มากขึ้นในปีนี้ 3 | มียอดดาวน์โหลดและติดตั้งแอปโต 94% ยอดขายโตพุ่ง 80% ยอดการซื้อต่อครั้งโต 40% | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38652 | Retail | การเข้าซื้อกิจการ MGM ของ Amazon จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ Amazon ใช่ หรือ ไม่ | null | ใช่ เหตุผล:
การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่: MGM มีคลังภาพยนตร์และรายการทีวีที่ใหญ่, มีชื่อเสียง, และเป็นที่รู้จักทั่วโลก ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ให้กับ Amazon Prime Video
การเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า: คอนเทนต์ของ MGM จะช่วยเพิ่มเวลาที่ลูกค้าใช้บนแพลตฟอร์ม Amazon Prime Video
การเสริมสร้างแบรนด์: การเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง James Bond จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ Amazon
การเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า: Amazon สามารถใช้คอนเทนต์ของ MGM
การขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่: MGM มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ Amazon ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่
ตัวอย่าง:
- Amazon สามารถนำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์หรือรายการทีวีของ MGM บนแพลตฟอร์มการค้าปลีก
- Amazon สามารถนำเสนอแพ็กเกจรวม Prime Video และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ MGM
- Amazon สามารถนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบผสมผสาน (Omnichannel)
ข้อควรระวัง:
- การเข้าซื้อกิจการ MGM มีมูลค่าสูง
- Amazon อาจต้องใช้เวลาในการผนวกรวม MGM เข้ากับธุรกิจของตน
- มีการแข่งขันสูงในตลาดสตรีมมิ่ง
สรุป:
การเข้าซื้อกิจการ MGM ของ Amazon มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ Amazon
Amazon จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า เสริมสร้างแบรนด์ เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า และขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ อย่างไรก็ตาม Amazon จำเป็นต้องบริหารจัดการกับข้อควรระวังต่างๆ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38671 | Retail | การล้มละลายของ Arcadia Group สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในยุคดิจิทัลหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
Arcadia Group เป็นธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่มีแบรนด์ สินค้า หลากหลาย กลุ่มลูกค้าหลักคือวัยรุ่นและวัยทำงาน ช่องทางการขายหลักคือหน้าร้าน การ ปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลทำได้ช้า คู่แข่ง ทาง ออนไลน์ มี ความ คล่องตัว มากกว่า พฤติกรรม ผู้บริโภค เปลี่ยน ไป ช้อป ออนไลน์ มากขึ้น
ตัวอย่าง ความท้าทาย ของ ธุรกิจ ค้าปลีก แบบ ดั้งเดิม ใน ยุค ดิจิทัล:
ต้นทุนการดำเนินงานสูง
การเข้าถึงลูกค้าจำกัด
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายทำได้ยาก
การ แข่งขัน กับ ธุรกิจ ออนไลน์ ที่ มี ต้นทุน ต่ำ และ ความ คล่องตัว สูง
ผล กระทบ จาก การ ล้มละลาย ของ Arcadia Group:
พนักงาน กว่า 13,000 คน ต้อง ตกงาน
เจ้าหนี้ สูญเสีย เงิน
ห้างสรรพสินค้า มี โอกาส ปิด ตัว มากขึ้น
ธุรกิจ ค้าปลีก ออนไลน์ มี โอกาส เติบโต มากขึ้น
บทเรียน ที่ ธุรกิจ ค้าปลีก แบบ ดั้งเดิม ควร เรียนรู้:
ต้อง ปรับตัว ให้ เข้ากับ ยุค ดิจิทัล
ต้อง พัฒนาระบบ ออนไลน์ ให้ มี ประสิทธิภาพ
ต้อง เข้าใจ พฤติกรรม ผู้บริโภค ยุคใหม่
ต้อง หา จุด แข็ง ของ ตัวเอง เพื่อ แข่งขัน กับ ธุรกิจ ออนไลน์
สรุป: การ ล้มละลาย ของ Arcadia Group สะท้อน ให้ เห็น ถึง ความ ท้าทาย ของ ธุรกิจ ค้าปลีก แบบ ดั้งเดิม ใน ยุค ดิจิทัล
ธุรกิจ ค้าปลีก แบบ ดั้งเดิม ต้อง ปรับตัว ให้ เข้ากับ ยุค สมัย เพื่อ อยู่ รอด และ เติบโต | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38679 | Retail | สรุปบทความเรื่อง Mark & Spencer ทยอยเปิดหน้าร้านออนไลน์อีก 46 ประเทศ ให้หน่อย | ในปีงบประมาณล่าสุด Mark & Spencer ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 94 ปี ค้าปลีกรายนี้จึงต้องปรับตัวอย่างหนัก หนึ่งในนั้นคือการเตรียมลงทุนเปิดหน้าร้านออนไลน์อีก 46 แห่ง จนมีหน้าร้านออนไลน์ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ Mark & Spencer ลุยออนไลน์ รายงานข่าวแจ้งว่า Mark & Spencer เตรียมเปิดหน้าเว็บไซต์ใหม่ใน 46 ประเทศ เช่นไอซ์แลนด์ และอุซเบกิสถาน เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ และการทยอยเปิดเว็บไซต์ใหม่ครั้งนี้ทำให้ Mark & Spencer มีหน้าร้านออนไลน์ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศทั่วโลก สำหรับสินค้าที่ Mark & Spencer จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศต่างๆ ครอบคลุมทั้งเครื่องแต่งกาย และของใช้ในบ้าน โดยบริษัทมีการดูแลเรื่องการจัดส่งสินค้าเอง รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน Mark & Spencer จะพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce ในหลากหลายประเทศให้เหมาะสมกับผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ เช่นภาษา และพฤติกรรมการใช้งาน โดยในการประกาศผลประกอบการครั้งล่าสุด บริษัทแจ้งว่ายอดขายออนไลน์เติบโตถึง 75% สวนทางกับยอดขายหน้าร้านที่ลดลง ทั้งนี้ในการแจ้งผลประกอบการประจำปีล่าสุด Mark & Spencer ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 94 ปี เนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ยอดขายหน้าร้านลดลงอย่างหนัก แต่ในช่วงเวลานั้น ยอดขายออนไลน์ในสหราชอาณาจักร และที่อื่นๆ ทั่วโลกกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว สรุป ถือเป็นการปรับตัวที่ดีของ Mark & Spencer เพราะการรอให้คนเข้ามาซื้อสินค้าที่หน้าร้านเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอแล้ว ประกอบการการลงทุนหน้าร้านออนไลน์น่าจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าการต้องไปเปิดสาขาในประเทศต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ Mark & Spencer ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ก็ประกาศปลดพนักงาน 7,000 คน ไปแล้ว อ้างอิง // BBC ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related แบรนด์ COS ในเครือ H&M เตรียมเปิดช้อปออนไลน์บนTmall In "News" ปลดพนักงานไม่ช่วย Marks & Spencer ขาดทุน 87.6 ล้านปอนด์ เป็นครั้งแรกในรอบ 94 ปี In "Article" ZARA เตรียม Go Online ตาม Uniqlo หรือตลาด Fast Fashion ในไทยจะต้องเพิ่มช่องทางมากกว่าสโตร์ In "News" | ปีงบล่าสุด Mark & Spencer ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 94 ปี เนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 ต้องปรับตัวอย่างหนักและเตรียมเปิดหน้าเว็บไซต์ใหม่ใน 46 ประเทศ จนมีหน้าร้านออนไลน์ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ สินค้าที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ครอบคลุมเครื่องแต่งกาย และของใช้ในบ้าน บริษัทดูแลเรื่องการจัดส่งสินค้าเอง จะพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce ในหลากหลายประเทศให้เหมาะสมกับผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ เช่นภาษา การประกาศผลประกอบการครั้งล่าสุดยอดขายออนไลน์เติบโตถึง 75% สวนทางกับยอดขายหน้าร้านที่ลดลง การรอให้คนเข้ามาซื้อสินค้าที่หน้าร้านเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38683 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ทีวี ไดเร็คเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทที่สามารถปรับตัวจากธุรกิจแบบดั้งเดิมสู่ธุรกิจดิจิทัล | null | ทีวี ไดเร็ค: ราชาโฮมช้อปปิ้ง สู่ Tech Company ยุคดิจิทัล
ตัวละคร
คุณทรงพล ชัญมาตรกิจ: ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน)
คุณอาทิตย์ น้อยเจริญ: ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอบีพีโอ จำกัด (ABPO) ในเครือ ทีวี ไดเร็ค
ณ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน)
คุณทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กำลังนั่งทบทวนกลยุทธ์เพื่ออนาคตของบริษัท ทีวี ไดเร็ค เคยเป็นราชาโฮมช้อปปิ้งที่ครองใจคนไทยมายาวนาน แต่ในยุคดิจิทัลที่ผู้คนหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ทีวี ไดเร็คจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่
"เราต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของทีวีโฮมช้อปปิ้ง" คุณทรงพลพูดกับ คุณอาทิตย์ น้อยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอบีพีโอ จำกัด (ABPO) ในเครือ ทีวี ไดเร็ค "เราต้องผสานออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า"
คุณอาทิตย์พยักหน้าเห็นด้วย "ผมคิดว่า ABPO สามารถช่วยทีวี ไดเร็คบรรลุเป้าหมายนี้ได้" เขากล่าว "เรามีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซที่ทรงพลัง"
กลยุทธ์ Harmonized Channel
ทีวี ไดเร็คประกาศใช้กลยุทธ์ Harmonized Channel มุ่งเน้นการผสานช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ประกอบด้วย 4 แกนหลัก ดังนี้
1. ทีวีโฮมช้อปปิ้ง: ทีวี ไดเร็คยังคงให้ความสำคัญกับช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้ง แต่จะปรับรูปแบบรายการให้ดึงดูดผู้ชมมากขึ้น
2. อีคอมเมิร์ซ: ทีวี ไดเร็คจะพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และขยายช่องทางการขายไปยังแพลตฟอร์มอีคcommerce ต่างๆ เช่น Shopee, Lazada และ JD Central
3. โซเชียลคอมเมิร์ซ: ทีวี ไดเร็คจะใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อเข้าถึงลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย
4. ร้านค้าปลีก: ทีวี ไดเร็คจะปรับปรุงร้านค้าปลีก TVD Shop ให้มีความทันสมัยและน่าดึงดูด
ก้าวสู่ Tech Company
นอกจากกลยุทธ์ Harmonized Channel แล้ว ทีวี ไดเร็คยังมีแผนที่จะก้าวสู่ Tech Company โดยลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ เช่น Food Ordering และ Blockchain Technology
| null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38685 | Retail | กลยุทธ์ "บุกเข้าร้านค้าปลีก" ของอิชิตัน กรุ๊ป มีประสิทธิภาพแค่ไหน? อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์นี้? มีกลยุทธ์อื่นใดเพิ่มเติมที่อิชิตัน กรุ๊ป สามารถใช้เพื่อเข้าถึงร้านค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น? | null | กลยุทธ์ "บุกเข้าร้านค้าปลีก" ของอิชิตัน กรุ๊ป มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยทั่วประเทศ กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการวางสินค้าบนชั้นวาง (shelf placement) กระตุ้นยอดขาย และสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภค
จุดแข็ง:
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง: กลยุทธ์นี้ช่วยให้ อิชิตัน กรุ๊ป เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเลือกสินค้าวางจำหน่ายในร้าน
กระตุ้นยอดขาย: การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น "ขับทั้งบ้านหน้าบานรับทอง" ช่วยกระตุ้นให้พ่อค้าแม่ค้าซื้อสินค้า อิชิตัน กรุ๊ป มากขึ้น
สร้างการรับรู้แบรนด์: การมีสินค้าวางจำหน่ายในร้านค้าปลีกจำนวนมาก ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ อิชิตัน กรุ๊ป ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
จุดอ่อน:
ค่าใช้จ่ายสูง: กลยุทธ์นี้ require งบประมาณสูงสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
การแข่งขันสูง: กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วไปในตลาด อิชิตัน กรุ๊ป จำเป็นต้องหาจุดเด่นเพื่อให้สินค้าของตนโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
ผลลัพธ์ไม่แน่นอน: ผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค และกลยุทธ์ของคู่แข่ง
กลยุทธ์เพิ่มเติม:
การใช้เทคโนโลยี: อิชิตัน กรุ๊ป สามารถใช้เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการซื้อ และเทรนด์ตลาด ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การสร้างความสัมพันธ์กับร้านค้า: อิชิตัน กรุ๊ป สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าปลีก ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การอบรมพนักงาน การจัดเวิร์คชอป และการให้บริการหลังการขาย
การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของร้านค้า: อิชิตัน กรุ๊ป สามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของร้านค้าปลีก เช่น สินค้าที่มีอัตรากำไรสูง สินค้าที่มีความต้องการสูง และบริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว
สรุป:
กลยุทธ์ "บุกเข้าร้านค้าปลีก" เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ อิชิตัน กรุ๊ป จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยี การสร้างความสัมพันธ์กับร้านค้า และการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของร้านค้า จะช่วยให้ อิชิตัน กรุ๊ป เข้าถึงร้านค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38694 | Retail | ธุรกรรมซื้อขายที่ผ่าน CBRE ปี 2563 พบว่าอย่างไร | CBRE บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ คาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยปี 2564 มีการฟื้นตัวในระดับที่แตกต่างกัน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้ายในปีนี้จากความผันผวนทางเศรษฐกิจหลังโควิดระบาดปี 2563 ที่ผ่านมา ตลาดที่พักอาศัยจะมีการฟื้นตัวไม่เท่ากัน ตลาดคอนโดมิเนียมและตลาดบ้าน ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์จะอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกัน ตลาดโลจิสติกส์ขึ้นนำ ตลาดอาคารสำนักงานต้องรับมือกับซัพพลายใหม่จำนวนมาก ส่วนตลาดโรงแรมและพื้นที่ค้าปลีกจะฟื้นตัวช้ากว่า ตลาดที่พักอาศัยโดยรวมในกรุงเทพฯ ยังชะลอตัวในปี 2564 และมีความเสี่ยงเนื่องจากโควิดระบาดรอบใหม่ ทำให้ผู้ซื้อชาวไทยและต่างชาติใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น การเปิดตัวโครงการใหม่มีไม่มากจะเป็นโครงการย่านรอบนอกใจกลางเมืองและชานเมือง ราคาที่ดินอยู่ในระดับที่พัฒนาได้และทำให้ราคาขายเริ่มสมเหตุสมผลมาากขึ้น ปี 2564 ผู้พัฒนาโครงการยังให้ความสำคัญกับยูนิตที่แล้วเสร็จแต่ยังมีเหลือขายในมือ แต่ก็ยังมองหาทำเลใหม่ๆ พร้อมให้ความสำคัญกับสภาพคล่องทางการเงินด้วย ตลาดที่พักอาศัยแนวราบจะเป็นตลาดหลักสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ๆ เนื่องจากต้องการลดความเสี่ยงและความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมมีอยู่ แต่งบประมาณน้อยลง ผู้พัฒนาโครงการจึงเปลี่ยนไปพัฒนาโครงการขนาดเล็กเพื่อลดขนาดการลงทุนและทำให้ผ่านเกณฑ์อนุมัติเงินทุนจากธนาคารง่ายขึ้น อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ CBRE ประเทศไทย มองว่า ธุรกรรมซื้อขายที่ผ่าน CBRE ปี 2563 พบว่า ตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่เป็นกลุ่มเฉพาะ ยังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากลูกค้าที่อยู่อาศัยเองและกลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะที่พักอาศัยที่บริหารโดยเครือโรงแรมและบ้านหรูที่ต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานขึ้น ตลาดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่มียอดขายมากขึ้นในปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุนในไทยโดยเฉพาะชาวจีนยังให้ความสนใจในทุกระดับ แต่ยอดขายกลุ่มนี้จะกลับมาก็ต่อเมื่อสามารถเดินทางเข้าไทยได้ ตลาดอาคารสำนักงาน CBRE มองว่าหลายองค์กรกำลังคิดทบทวนเรื่องการออกแบบสถานที่ทำงานและการใช้พื้นที่ที่มีลักษณะการทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น คือใช้พื้นที่สำนักงานรูปแบบเดิมผสมกับการทำงานระยะไกลแบบยืดหยุ่นมากขึ้น จำนวนซัพพลายใหม่ที่จะเพิ่มเข้าสู่ตลาด ปี 2564 คาดว่าจะแล้วเสร็จจำนวน 334,000 ตารางเมตร ทำให้พื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ ขยับขึ้นไปที่ 9.49 ล้านตารางเมตร ภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอน เจ้าของอาคารมีการเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จของอาคารเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขัน ค่าเช่าโดยรวมในตลาดจะทรงตัว ตลาดจะเปลี่ยนไปสู่การเป็นตลาดของผู้เช่าโดยเฉพาะผู้เช่ารายใหญ่ที่ใช้พื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ ตลาดพื้นที่ค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกไทยได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ปี 2563 ยอดผู้ใช้บริการลดลงอย่างมากและความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ลดลงเช่นกัน มีการทบทวนแผนการลงทุนมากขึ้น มีการเสนอสัญญาเช่าที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ผู้ค้าปลีกจะลดขนาดและปรับรูปแบบพื้นที่เช่าเพื่อลดค่าใช้จ่ายและทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ธนาคารกำลังย้ายไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์และต้องการพื้นที่สาขาน้อยลง ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะให้ความสำคัญการบริการส่งอาหารมากขึ้น ร้านขายสินค้าแฟชั่นมีช่องทางจัดจำหน่ายหลากหลายขึ้น มีการเปลี่ยนสถานะจากเช่าแบบถาวรเป็นชั่วคราว และพัฒนาร้านค้าในขนาดเล็กลงเช่น ป๊อปอัปสโตร์ เพื่อรักษาผลกำไรในช่วงสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ในกรุงเทพฯ คือหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวมาไทยลดลงจาก 40 ล้านคนในปี 62 เป็นต่ำกว่า 7 ล้านคนในปี 63 CBRE คาดว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะคืนสู่ระดับเดียวกับปี 62 ได้ในปี 65 ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของวัคซีนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศนักท่องเที่ยว จีน รัสเซีย ญี่ปุ่นและอินเดีย เจ้าของโรงแรมจะหันไปมุ่งเน้นที่ตลาดท่องเที่ยวในประเทศ อาศัยรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศอย่างเดียว ต้องหาหนทางใหม่ๆ เช่นการทำแพคเกจการทำงานจากโรงแรม เช่น Work from Hotel หรือ Staycation ตลาดพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการแพร่ระบาดที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคปรับตัวเข้าสู่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น ซัพพลายเชนจากผู้ผลิตในจีนหลายรายพิจารณาย้ายฐานการผลิตมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า นักลงทุนเริ่มสนใจซื้อโรงงานมากกว่าเช่าโรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ โควิดเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นตลาดของผู้เช่าและผู้ซื้อมากขึ้น ผู้เช่ามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น อสังหาริมทรัพย์จะถูกนำออกมาขายมากขึ้นเป็นโอกาสดีที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องการถือเงินสด ขณะเดียวกันนักลงทุนก็กำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์ที่ยอมลดราคา อสังหาริมทรัพย์น่าห่วง ตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นตัวจานกว่าจะหมดโควิด คนมองหาพื้นที่ทำงานที่บ้านมากขึ้น อสังหาริมทรัพย์น่าห่วง ตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นตัวจานกว่าจะหมดโควิด คนมองหาพื้นที่ทำงานที่บ้านมากขึ้น | ธุรกรรมซื้อขายที่ผ่าน CBRE ปี 2563 พบว่า ตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่เป็นกลุ่มเฉพาะ ยังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากลูกค้าที่อยู่อาศัยเองและกลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะที่พักอาศัยที่บริหารโดยเครือโรงแรมและบ้านหรูที่ต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานขึ้น ตลาดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่มียอดขายมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุนในไทยโดยเฉพาะชาวจีนยังให้ความสนใจในทุกระดับ แต่ยอดขายกลุ่มนี้จะกลับมาก็ต่อเมื่อสามารถเดินทางเข้าไทยได้ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38706 | Retail | KKP Research ปรับคาดการณ์ GDP ไทย 2021 ลดลง เหลือโต 2.0% จากโควิดระลอกใหม่ อะไรคือผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) ในประเทศไทย | null | ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยจะเผชิญกับผลกระทบหลายประการจากการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทย 2021 ลงเหลือ 2.0% ดังนี้:
1. กำลังซื้อชะลอตัว:
- ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ
- ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย
- ผู้บริโภคจะมุ่งเน้นไปที่การซื้อสินค้าจำเป็น
2. การท่องเที่ยวซบเซา:
- นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
- ร้านค้าปลีกในแหล่งท่องเที่ยวต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลง
3. ธุรกิจออนไลน์เติบโต:
- ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
- ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล
4. การแข่งขันรุนแรง:
- ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
- ธุรกิจค้าปลีกต้องหาวิธีดึงดูดลูกค้า
5. ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้น:
- ต้นทุนวัตถุดิบ
- ต้นทุนการขนส่ง
- ค่าแรง
6. ธุรกิจขนาดเล็กต้องปิดตัว:
- ธุรกิจขนาดเล็กมีสายป่านที่สั้น
- ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอที่จะอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม ยังมีธุรกิจค้าปลีกบางประเภทที่อาจได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่ได้รับผลกระทบเลย เช่น:
- ร้านขายยา
- ร้านขายอาหาร
- ร้านขายสินค้าออนไลน์
ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ดังนี้:
1. มุ่งเน้นไปที่การขายสินค้าจำเป็น
2. พัฒนาธุรกิจออนไลน์
3. หาวิธีดึงดูดลูกค้า
4. ลดต้นทุนการดำเนินงาน
5. ปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล
ภาครัฐควรมีนโยบายช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีก เช่น:
- ลดภาษี
- สนับสนุนเงินทุน
- พัฒนาทักษะแรงงาน
โดยสรุป ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายหลายประการจากการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทย 2021 ลงเหลือ 2.0% ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่ออยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38711 | Retail | Gojek แพลตฟอร์มเรียกรถและส่งอาหารรายใหญ่ของประเทศใด | A. ไทย
B. อินโดนีเซีย
C. พม่า
D. ลาว | คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เนื่องจาก Gojek เป็นแพลตฟอร์มเรียกรถและส่งอาหารรายใหญ่ของอินโดนีเซียครับ การควบรวมกิจการกับ Tokopedia ได้สร้างความสนใจในตลาดและทำให้มูลค่าของกิจการรวมสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจของอินโดนีเซียในช่วงที่ผ่านมานี้ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38712 | Retail | ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ ส่งผลต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจค้าปลีกอย่างไร? | null | ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ ส่งผลต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจค้าปลีก ในหลายแง่มุม ดังนี้:
1. การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค:
ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เพื่อเข้าใจถึงพฤติกรรมการซื้อของ
ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เพื่อคาดการณ์ความต้องการสินค้าในแต่ละพื้นที่
ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการค้นหาสินค้าของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ
2. การปรับกลยุทธ์ราคา:
ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับราคาสินค้าตามข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มผลกำไร
ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดสินค้าตามข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ เพื่อดึงดูดลูกค้า
3. การปรับกลยุทธ์การสื่อสาร:
ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำเสนอโฆษณาและข้อความทางการตลาดที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
ธุรกิจค้าปลีกสามารถสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์
4. การปรับกลยุทธ์การจัดจำหน่าย:
ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับรูปแบบการจัดจำหน่ายสินค้าให้เหมาะสมกับข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์
ธุรกิจค้าปลีกสามารถพัฒนาบริการจัดส่งสินค้าแบบเรียลไทม์
เหตุผล:
ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าใจถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว
ธุรกิจค้าปลีกที่ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ จะสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ธุรกิจค้าปลีกที่ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ จะสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:
ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง เริ่มใช้ข้อมูลการเดินทางของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์ความต้องการสินค้าในแต่ละพื้นที่
ร้านค้าออนไลน์หลายแห่ง เริ่มใช้ข้อมูลการค้นหาสินค้าของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ
ธุรกิจค้าปลีกหลายแห่ง เริ่มใช้ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับราคาสินค้าและนำเสนอโปรโมชั่น
ข้อจำกัด:
ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ อาจมีความคลาดเคลื่อน
ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องมีเครื่องมือและบุคลากรที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38718 | Retail | จากบทความข้างต้น ธุรกิจค้าปลีก (Retail) จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รอบใหม่นี้อย่างไรบ้าง และอะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกควรนำมาใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้? | null | ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รอบใหม่นี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้:
-ยอดขายสินค้าประมงและอาหารทะเล: ผู้บริโภคอาจชะลอการบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเล ส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกประเภทนี้
-การชะลอตัวของการใช้จ่าย: ผู้บริโภคอาจลดการใช้จ่ายในร้านค้าปลีก เลือกซื้อเฉพาะสินค้าจำเป็น
-การชะลอตัวของการท่องเที่ยว: ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร
-การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคอาจหันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
กลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกควรนำมาใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 รอบใหม่นี้:
-ปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค: เน้นการขายสินค้าออนไลน์ พัฒนาระบบ Omnichannel
-สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค: เน้นมาตรการด้านความปลอดภัย สุขอนามัย
-นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ: เน้นสินค้าจำเป็น สินค้าราคาประหยัด
-บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
-ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ตัวอย่างเพิ่มเติม
-ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก:
เน้นการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram
ร่วมโครงการกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่
เสนอโปรโมชั่นส่วนลด
-ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่:
พัฒนาระบบ Click & Collect
นำเสนอสินค้าผ่าน Live Streaming
เน้นบริการ Personal Shopper
โดยสรุป ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ COVID-19 รอบใหม่นี้ มุ่งเน้นการขายสินค้าออนไลน์ สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ และบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38719 | Retail | จากบทความ เทรนด์การตลาดปี 2020 อะไรคือสิ่งที่ธุรกิจค้าปลีก (Retail) จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค | null | บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึง 8 เทรนด์การตลาดที่ธุรกิจต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ซึ่งล้วนส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกทั้งสิ้น ดังนี้:
1. การให้ความสำคัญกับสุขภาพ:
ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่ส่งเสริมสุขภาพมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องปรับพอร์ตสินค้าให้สอดคล้องกับเทรนด์นี้
ตัวอย่าง:
วางจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อโรค
เน้นขายผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมจากวิตามิน
ขยายไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น อาหารออร์แกนิค ผลิตภัณฑ์มังสวิรัติ
2. การเติบโตของตลาดออนไลน์:
การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ และพัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:
ลงทุนสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง
ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีอยู่
พัฒนาระบบ Omnichannel เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และออฟไลน์
3. การใช้เทคโนโลยี:
เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีให้กับลูกค้า
ตัวอย่าง:
นำระบบ AI มาใช้เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
ใช้ระบบ Big Data เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้า
พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่สะดวกและปลอดภัย
4. การให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า:
ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับราคาสินค้ามากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องหาวิธีลดต้นทุนและเสนอราคาสินค้าที่แข่งขันได้
ตัวอย่าง:
พัฒนาระบบซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพ
เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อลดต้นทุนสินค้า
ออกโปรโมชั่นและส่วนลดต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า
5. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์:
ผู้บริโภคเริ่มมองหาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่พิเศษและน่าจดจำ ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศการช้อปปิ้งที่ดึงดูดใจ และเสนอบริการที่แตกต่าง
ตัวอย่าง:
ออกแบบร้านค้าให้สวยงามและสะดวกสบาย
จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่สร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า
เสนอบริการพิเศษ เช่น บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน
6. การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม:
ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องเลือกจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล หรือสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ตัวอย่าง:
เลือกจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล
งดใช้ถุงพลาสติก
สนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
7. การให้ความสำคัญกับชุมชน:
ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับธุรกิจที่สนับสนุนชุมชน ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยเหลือชุมชน | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38754 | Retail | จากการที่ Systems 2000 มุ่งเน้นไปที่กลุ่มตลาดเอ็นเตอร์ไพร์สที่กำลังเติบโต Systems 2000 มีกลยุทธ์อย่างไรเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ | null | กลยุทธ์เพิ่มเติมของ Systems 2000 เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มเอ็นเตอร์ไพร์ส:
1. พัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้า:
-ศึกษาความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเอ็นเตอร์ไพร์สแต่ละประเภท
-พัฒนาโซลูชั่นที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
-เสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรที่รวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ
2. นำเสนอบริการที่เหนือกว่า:
-เสนอบริการให้คำปรึกษาและออกแบบระบบ
-เสนอบริการติดตั้งและดูแลรักษา
-เสนอบริการฝึกอบรม
3. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า:
-จัดกิจกรรมพบปะสังสรรค์กับลูกค้า
-จัดสัมมนาและเวิร์คชอป
-เสนอบริการหลังการขายที่ดี
4. พัฒนาช่องทางการขาย:
-พัฒนาเว็บไซต์และช่องทางออนไลน์
-ขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย
-เข้าร่วมงานอีเวนต์และ выстав
5. กลยุทธ์ด้าน Marketing:
-โปรโมทสินค้าและโซลูชั่นผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
-สร้าง Brand Awareness
-สร้างความน่าเชื่อถือ
6. กลยุทธ์ด้าน Partnership:
-ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
-ร่วมมือกับผู้ให้บริการโซลูชั่นอื่นๆ
7. กลยุทธ์ด้าน Pricing:
-เสนอราคาที่แข่งขันได้
-เสนอแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย
-เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด
8. กลยุทธ์ด้าน Content Marketing:
-ผลิตเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและโซลูชั่น
-เผยแพร่เนื้อหาผ่านช่องทางออนไลน์
-สร้างความน่าสนใจดึงดูดลูกค้า
9. กลยุทธ์ด้าน Social Media:
-ใช้ Social Media ในการโปรโมทสินค้าและโซลูชั่น
-สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
-ตอบคำถามและให้ข้อมูลลูกค้า
10. กลยุทธ์ด้าน Thought Leadership:
-แบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้าและโซลูชั่น
-สร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นผู้นำ
โดยสรุป
Systems 2000 ควรมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เน้นการพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นำเสนอบริการที่เหนือกว่า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า พัฒนาช่องทางการขาย กลยุทธ์ด้าน Marketing กลยุทธ์ด้าน Partnership กลยุทธ์ด้าน Pricing กลยุทธ์ด้าน Content Marketing กลยุทธ์ด้าน Social Media และกลยุทธ์ด้าน Thought Leadership ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ Systems 2000 จะสามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่มเอ็นเตอร์ไพร์สได้อย่างมีประสิทธิภาพ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38755 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ....เศรษฐกิจเปรียบเสมือนคลื่นใหญ่ มีขึ้นมีลง ธุรกิจต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ | null | เกลียวคลื่นเศรษฐกิจจีน พลิกผันสู่บทเพลงใหม่ : บทเรียนจากการเติบโตไตรมาส 3 ปี 2020
ณ กรุงปักกิ่ง ใจกลางมหานครอันพลุกพล่าน เสียงระฆังปิดการซื้อขายดังก้องกังวาน เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างเก็บกวาดร้านรวง เตรียมตัวกลับบ้านหลังผ่านวันที่ยาวนาน เฉินหลี่ เจ้าของร้านขายของชำขนาดย่อม มองดูผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน
ปีนี้ช่างโหดร้าย ยอดขายของร้านเธอลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผลพวงจากโรคระบาด COVID-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เฉินหลี่นึกย้อนไปถึงช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ร้านของเธอคึกคักไปด้วยลูกค้า สินค้าบนชั้นวางแทบไม่ทันจะเพียงพอต่อความต้องการ แต่ทว่าเมื่อโรคระบาดมาเยือน ผู้คนต่างหวาดกลัว ต่างกักตัวอยู่บ้าน เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉินหลี่พยายามหาวิธีปรับตัว เธอลดต้นทุนสินค้า หางานเสริมทำ พยายามขายสินค้าออนไลน์ แต่ก็ยังไปได้ไม่สวย เธอนั่งถอนหายใจ มองดูจอโทรทัศน์ที่รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ของจีน
ตัวเลขบนหน้าจอแสดงให้เห็นถึงสัญญาณบวก เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว GDP เติบโต 4.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา แม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เฉินหลี่เริ่มมีความหวังอีกครั้ง เธอบอกกับตัวเองว่า เศรษฐกิจดีขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจของเธอ วันต่อมา เฉินหลี่ตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส เธอกวาดร้าน เตรียมสินค้าใหม่ ๆ จัดเรียงอย่างสวยงาม เธอยิ้มแย้มแจ่มใสกับลูกค้าที่มาซื้อของ
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ลูกค้าของเฉินหลี่เริ่มทยอยกลับมา ยอดขายของร้านเริ่มดีขึ้น เฉินหลี่ดีใจมาก เธอกลับมามีความหวังอีกครั้ง เธอรู้ดีว่า เศรษฐกิจจีนเปรียบเสมือนคลื่นใหญ่ ซัดเข้าซัดออก บางครั้งก็รุนแรง บางครั้งก็สงบ แต่ตราบใดที่คลื่นยังไม่ซัดจนพังทลาย เธอก็ยังมีโอกาสที่จะลุกขึ้นสู้และฝ่าฟันอุปสรรคไปได้
บทเรียนจากเรื่องราวของเฉินหลี่ สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจจีน แม้จะเผชิญกับวิกฤต แต่จีนก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือ ธุรกิจขนาดเล็กต้องรู้จักปรับตัว หาวิธีเอาชนะความท้าทาย และพร้อมที่จะคว้าโอกาสเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง เฉินหลี่ เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ประกอบการรายย่อยนับล้านคนในจีน เรื่องราวของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความอดทน ที่สำคัญคือ เธอไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรค เธอรู้ดีว่า ตราบใดที่เธอยังมีความหวัง เธอก็ยังมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38760 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง Marks & Spencer เตรียมปลดพนักงาน ได้ไหม | Marks & Spencer ค้าปลีกสัญชาติอังกฤษ หรือ M&S ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1884 จนป่านนี้ก็ล่วงเวลามาถึง 136 ปีแล้ว มีหน้าร้านมากถึง 1,463 แห่ง ใน 57 ประเทศทั่วโลก พนักงานราว 7.8 หมื่นคน ล่าสุด เตรียมปลดพนักงานราว 950 ตำแหน่ง ซึ่งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการจัดการร้านหลังวิกฤตโควิด-19 กระทบรุนแรง Marks & Spencer ค้าปลีกสัญชาติอังกฤษ หรือ M&S ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1884 จนป่านนี้ก็ล่วงเวลามาถึง 136 ปีแล้ว มีหน้าร้านมากถึง 1,463 แห่ง ใน 57 ประเทศทั่วโลก พนักงานราว 7.8 หมื่นคน ล่าสุด เตรียมปลดพนักงานราว 950 ตำแหน่ง ซึ่งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการจัดการร้านหลังวิกฤตโควิด-19 กระทบรุนแรง ก่อนหน้านี้ ทั้ง Boots และ John Lewis ค้าปลีกรายใหญ่ของอังกฤษก็เพิ่งจะประกาศปลดพนักงานไปรวมแล้วราวๆ 5,000 ตำแหน่ง หลังโควิดระบาดหนักจนผลักให้คนหันไปชอปปิงออนไลน์แทน ก่อนหน้านี้ค้าปลีกทั้งหลายก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับค่าเช่าราคาแพง ภาษีธุรกิจ แถมยังมีผลกระทบจาก Brexit อีก พอเจอโควิดเข้าไปก็ถือว่ากระทบอย่างหนักหน่วง Boots ประเทศอังกฤษน่าห่วง ยอดขายลด 72% เตรียมปลดพนักงาน 4 พันคน ทั้งที่สำนักงาน-สาขา Boots ประเทศอังกฤษน่าห่วง ยอดขายลด 72% เตรียมปลดพนักงาน 4 พันคน ทั้งที่สำนักงาน-สาขา Sacha Berendji ผู้อำนวยการด้านค้าปลีก, ปฏิบัติการ และอสังหาริมทรัพย์แห่ง Marks and Spencer ระบุว่า ต้องการให้ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้โครงสร้างองค์กรมีการจัดการที่ปรับตัวมากขึ้น Berendji ระบุว่า ตลอดห้วงยามแห่งภาวะวิกฤตนี้ จะทำให้เราเห็นว่าเราทำงานเร็วขึ้นและยืดหยุ่นขึ้นอย่างไร ด้วยการเพิ่มอำนาจให้ทีมมากขึ้น สิ่งแรกที่เราต้องจัดการคือ ให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหลายผ่านกระบวนการให้คำปรึกษาต่างๆ Sacha Berendji ผู้อำนวยการด้านค้าปลีก, ปฏิบัติการ และอสังหาริมทรัพย์แห่ง Marks and Spencer ระบุว่า ต้องการให้ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้โครงสร้างองค์กรมีการจัดการที่ปรับตัวมากขึ้น Berendji ระบุว่า ตลอดห้วงยามแห่งภาวะวิกฤตนี้ จะทำให้เราเห็นว่าเราทำงานเร็วขึ้นและยืดหยุ่นขึ้นอย่างไร ด้วยการเพิ่มอำนาจให้ทีมมากขึ้น สิ่งแรกที่เราต้องจัดการคือ ให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหลายผ่านกระบวนการให้คำปรึกษาต่างๆ ทั้งนี้ Marks and Spencer ไม่ได้จัดจำหน่ายสินค้าแค่เสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย แต่ยังมีอาหารด้วย ซึ่งยอดขายเสื้อผ้าก็ตกต่ำลงมากที่สุดถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้านี้ในอัตราที่สูงมากถึง 84% ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อเสื้อผ้าที่มีความเป็นทางการ ราคาแพง มาใช้เสื้อผ้าที่ใส่สบายขึ้นและราคาถูกลงแทน ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อเสื้อผ้าที่มีความเป็นทางการ ราคาแพง มาใช้เสื้อผ้าที่ใส่สบายขึ้นและราคาถูกลงแทน ช่วงที่มีการ Lockdown บริษัทให้คนพักงานเป็นจำนวนมากถึง 27,000 คน หลายคนก็เริ่มกลับมาทำงานแล้ว แต่ Steve Rowe ซึ่งเป็น CEO ระบุว่า พฤติกรรมการชอปปิงของลูกค้าอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล บางคนก็อาจจะฟื้นพฤติกรรมเดิมได้ แต่บางคนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเลย ขณะเดียวกัน ค้าปลีกเริ่มปรับตัวและมองหาการเพิ่มยอดขายออนไลน์มากขึ้น ช่วงที่มีการ Lockdown บริษัทให้คนพักงานเป็นจำนวนมากถึง 27,000 คน หลายคนก็เริ่มกลับมาทำงานแล้ว แต่ Steve Rowe ซึ่งเป็น CEO ระบุว่า พฤติกรรมการชอปปิงของลูกค้าอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล บางคนก็อาจจะฟื้นพฤติกรรมเดิมได้ แต่บางคนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเลย ขณะเดียวกัน ค้าปลีกเริ่มปรับตัวและมองหาการเพิ่มยอดขายออนไลน์มากขึ้น | Marks & Spencer ค้าปลีกสัญชาติอังกฤษ ไม่ได้จัดจำหน่ายสินค้าแค่เสื้อผ้า แต่ยังมีอาหารด้วย ซึ่งยอดขายเสื้อผ้าตกต่ำลงมากที่สุดเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าในอัตรา 84% จากผู้บริโภคที่เปลี่ยนพฤติกรรม มาใช้เสื้อผ้าที่ใส่สบายขึ้นและราคาถูกลงแทน บริษัทให้คนพักงานเป็นจำนวน 27,000 คน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38765 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง H&M ประกาศปิดสาขา ได้ไหม | โควิดทำปิดหน้าร้าน ยอดขายออนไลน์พุ่ง H&M แบรนด์ค้าปลีกเสื้อผ้าชื่อดังประกาศปิดสาขาหน้าร้าน 250 แห่งทั่วโลกในปีหน้า เหตุเพราะโควิดทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์แทน ในแถลงการณ์ของ H&M ระบุว่า ในช่วงที่โควิดระบาด ผู้คนหันมาช้อปปิ้งผ่านออนไลน์กันมากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทางแบรนด์ต้องปิดสาขาหน้าร้านชั่วคราว ปรากฏว่า ยอดการสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์พุ่งสูงขึ้นราว 80% เมื่อเทียบกับยอดขายของหน้าร้านปกติ แผนปิดสาขาหน้าร้าน 250 แห่งในครั้งนี้ คิดเป็นเพียง 5% ของจำนวนหน้าร้านทั้งหมดของ H&M ที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 5,000 แห่งทั่วโลก วิกฤตค้าปลีกเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะมีโควิด อย่างปีที่ผ่านมา H&M ได้สั่งปิดหน้าร้านไปกว่า 160 แห่ง และโฟกัสไปที่ออนไลน์มากขึ้น นอกจากนั้นในวิกฤตโควิด มีหลายแบรนด์ค้าปลีกที่ได้ยื่นขอล้มละลายจำนวนมาก เช่น ค้าปลีกรายแรกที่ล่มสลายในยุคโควิด J. Crew แบรนด์เสื้อผ้าอเมริกันยื่นขอล้มละลายแล้ว | จากสถานการณ์โควิดทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ส่งผลให้ H&M ประกาศปิดสาขาหน้าร้าน 250 แห่งทั่วโลก คิดเป็น 5% จาก 5,000 แห่งทั่วโลก ยอดการสั่งซื้อผ่านออนไลน์พุ่งสูงขึ้นราว 80% | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38769 | Retail | บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี ได้เปิดตัวบริการใด ที่พร้อมช่วยเหลือลูกค้ากรณีน้ำมันหมด ผ่านการคิดค่าบริการ 100 บาท หรือใช้คะแนน PT Max Card 100 คะแนน พร้อมจ่ายค่าน้ำมันตามจริง | นอกจากชูเรื่องน้ำมันสดใหม่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PT ยังพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องเพื่อขึ้นสู่เบอร์หนึ่งในตลาด พร้อมส่งกลยุทธ์ใหม่เพื่อเพิ่มจำนวนบัตรสมาชิกแตะ 15 ล้านราย และต่อยอดธุรกิจด้านอื่นๆ ฐานสมาชิกที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ปัจจุบันจำนวนฐานสมาชิกของธุรกิจต่างๆ มีความสำคัญมากขึ้น เพราะธุรกิจเหล่านั้นสามารถเข้าใจพฤติกรรม และความชื่นชอบของลูกค้า ก่อนนำเสนอสินค้า หรือบริการ รวมถึงโปรโมชั่นต่างๆ ให้ถูกต้องกับแต่ละบุคคลที่สุด ทำให้บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี จึงเดินหน้าทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีฐานสมาชิกกว่า 14 ล้านราย พร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และลูกค้าสัมพันธ์ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี เล่าให้ฟังว่า หากเทียบฐานบัตรสมาชิกกับธุรกิจอื่นๆ บัตร PT Max Card มีจำนวนผู้ถือบัตรเป็นอันดับ 2 ของตลาด โดยสิ้นปี 2562 ปิดที่ 12.6 ล้านราย และสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 15 ล้านราย “เรายอยากทำให้บัตร PT Max Card เป็นมากกว่าแค่บัตรสมาชิกเพื่อสะสมแต้มเวลาลูกค้าเข้ามาเติมน้ำมัน ดังนั้นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ เข้าไปจำนวนมาก โดยเฉพาะการร่วมมือกับธุรกิจอื่นเพื่อนำคะแนนไปแลกเปลี่ยน ลูกค้าจึงหันมาสมัครบัตรดังกล่าวจนในแต่ละปีสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย 2.5 ล้านราย/ปี ได้” เสริมบริการเติมน้ำมันฉุกเฉินกระตุ้นยอด ล่าสุดบมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี ได้เปิดตัวบริการใหม่ PT Max Service ที่พร้อมช่วยเหลือลูกค้ากรณีน้ำมันหมด ผ่านการคิดค่าบริการ 100 บาท หรือใช้คะแนน PT Max Card 100 คะแนน พร้อมจ่ายค่าน้ำมันตามจริง โดยลูกค้าเพียงติดต่อมาที่เบอร์ 1614 และเจ้าหน้าที่จากสถานีบริการน้ำมันที่ใกล้เคียงจะเข้าไปบริการทันที “เรากำหนดระยะให้บริการไว้ที่ 10 กม. เพราะถ้าไกลกว่านั้นลูกค้าอาจต้องรอนานเกินไป ส่วนค่าบริการ 100 บาทนั้นนอกจากจะช่วยป้องกันการแกล้งโทรแจ้งเหตุแล้ว ยังช่วยให้ค่าบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนั้นสมเหตุผล เนื่องจากปัจจุบันค่าบริการตรงนี้ของบริษัทอื่นสูงกว่าที่ควรจะเป็น และถ้าเราทำได้ดี ลูกค้าก็เชื่อใจในเรามากว่าเดิม” ทั้งนี้ PT Max Service ยังมีบริการติดต่อช่วยเหลือฉุกเฉินกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ซึ่งบริการนี้จะคิดค่าบริการตามจริง ผ่านการที่บมจ.พีทีจี เอนเนอยี เป็นคนกลางในการติดต่อ ที่สำคัญการที่บริษัทให้บริการนี้ได้ เนื่องจากมีสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 2,000 แห่ง โดยเป็นสาขาที่จะเปิดในปีนี้ถึง 200 แห่ง ส่งธุรกิจใหม่เพิ่มความครบวงจร ในทางกลับกันบมจ.พีทีจี เอนเนอยี ยังเดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ในกลุ่มค้าปลีก เช่นธุรกิจจำหน่ายก๊าซหุงต้ม ซึ่งตัวธุรกิจนี้จะกระจายอยู่ตามสาขาของสถานีบริการน้ำมัน ปัจจุบันมีแล้ว 150 สาขา ที่สำคัญด้วยการเป็นแบรนด์ใหม่ในตลาด ทำให้กลุ่มพ่อค้า-แม่ค้าเชื่อใจ ผ่านการที่ตัวถังค่อนข้างใหม่ “ตอนนี้ทางกลุ่มเริ่มขยายธุรกิจใหม่ออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ Fast-Fit, ร้านกาแฟ และค้าปลีกอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และอาศัยสาขาสถานีบริการน้ำมันที่บริษัทเป็นเจ้าของเองเกือบ 90% มาใช้ประโยชน์ให้สูงที่สุด จนสามารถเป็นมากกว่าธุรกิจขายน้ำมันได้” สำหรับแนวคิดการพัฒนาสถานีบริการน้ำมันของบมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี จะใช้จุดเด่นในแต่ละธุรกิจเป็นตัวดึงดูด เช่นร้านกาแฟพันธุ์ไทย, Max Mart หรืออื่นๆ เพื่อดึงผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการ ต่างกับคู่แข่งที่พยายามสร้างเป็นชุมชน และหาบริการอื่นๆ มาเชื่อมต่อผู้บริโภค สรุป ปัจจุบันในแง่จำนวนสถานีบริการน้ำมัน บมจ.พีทีจี เอนเนอยี ที่ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน PT เป็นเบอร์หนึ่งในแง่จำนวนไปแล้ว แต่ถ้ามองในเรื่องยอดขายกลุ่มค้าปลีก บริษัทยังเป็นเบอร์สองอยู่ แต่หากการเดินหน้ายังตามแผนแบบนี้อยู่ ก็ไม่แน่ที่สถานีบริการน้ำมัน PT จะกลายเป็นผู้เล่นเบอร์หนึ่งของตลาดในอนาคตก็เป็นได้ | บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี ได้เปิดตัวบริการใหม่ PT Max Service ที่พร้อมช่วยเหลือลูกค้ากรณีน้ำมันหมด ผ่านการคิดค่าบริการ 100 บาท หรือใช้คะแนน PT Max Card 100 คะแนน พร้อมจ่ายค่าน้ำมันตามจริง โดยลูกค้าเพียงติดต่อมาที่เบอร์ 1614 และเจ้าหน้าที่จากสถานีบริการน้ำมันที่ใกล้เคียงจะเข้าไปบริการทันที ทั้งนี้ PT Max Service ยังมีบริการติดต่อช่วยเหลือฉุกเฉินกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ซึ่งบริการนี้จะคิดค่าบริการตามจริง ผ่านการที่บมจ.พีทีจี เอนเนอยี เป็นคนกลางในการติดต่อ ที่สำคัญการที่บริษัทให้บริการนี้ได้ เนื่องจากมีสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 2,000 แห่ง โดยเป็นสาขาที่จะเปิดในปี 2563 ถึง 200 แห่ง | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38770 | Retail | อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความล่าช้าของดีลซื้อกิจการ Tiffany & Co. โดย LVMH และผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกของทั้งสองบริษัทมีอะไรบ้าง | null | ดีลซื้อกิจการ Tiffany & Co. มูลค่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย LVMH ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าหรู ล่าช้าออกไปจากกำหนดเส้นตายเดิมที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกของทั้งสองบริษัทดังนี้:
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความล่าช้า:
- การพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแล: หน่วยงานกำกับดูแลจากฝรั่งเศสและไต้หวัน ใช้เวลานานในการพิจารณาดีลนี้ LVMH จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการยุโรปด้วยคะแนนเสียง 8 ใน 10 เสียง
- การฟ้องร้องคดี: Tiffany & Co. ฟ้องร้อง LVMH ต่อศาลใน Delaware ว่า LVMH จงใจยืดเวลาดีลนี้ออกไปเพื่อต้องการยกเลิกข้อเสนอ
- สถานการณ์ COVID-19: ธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 ส่งผลต่อ LVMH และ Tiffany & Co.
ผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก:
LVMH:
- ความเสี่ยงทางการเงิน: LVMH อาจต้องจ่ายค่าปรับหากดีลล่าช้าต่อไป
- ความเสียหายต่อชื่อเสียง: ดีลที่ล่าช้าอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของ LVMH
- สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ: LVMH อาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจจากการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ของ Tiffany & Co. ล่าช้า
Tiffany & Co.:
- ความไม่แน่นอนทางธุรกิจ: อนาคตของ Tiffany & Co. ยังไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับผลของดีล
- ผลกระทบต่อพนักงาน: พนักงานของ Tiffany & Co. อาจเผชิญกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของงาน
- สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ: Tiffany & Co. อาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจจากการไม่ได้ร่วมมือกับ LVMH
โดยรวมแล้ว ดีลที่ล่าช้าส่งผลเสียต่อธุรกิจค้าปลีกของทั้ง LVMH และ Tiffany & Co. LVMH ต้องการเร่งรัดกระบวนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล และ Tiffany & Co. ต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของบริษัท | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38773 | Retail | H&M ยุติความสัมพันธ์กับผู้ผลิตใยสังเคราะห์จากจีน เพราะเหตุใด | A. ทำให้ครอบครัวแตกแยก
B. มีความเกี่ยวข้องกับโรงงาน Huafu
C. มีข้อมูลเผยแพร่ออกมาว่า มีการบังคับใช้แรงงานจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียง
D. ชาวอุยกูร์กว่าล้านคนถูกทรมานในค่ายปรับทัศนคติในจีน | คำตอบ คือ C.
H&M ยุติความสัมพันธ์กับผู้ผลิตใยสังเคราะห์จากจีน เนื่องจากมีข้อมูลเผยแพร่ออกมาว่า มีการบังคับใช้แรงงานจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียงซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตรายใหญ่
รายงานจากสถาบัน think tank อย่าง ASPI (Australian Strategic Policy Institute) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2020 ชี้ให้เห็นว่า H&M คือหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับประโยชน์จากการบังคับใช้แรงงานผ่านผู้ผลิตเส้นด้าย dyed yarn (เส้นด้ายที่ผ่านกระบวนการย้อมสีก่อนนำไปทอผ้าต่อ มีราคาสูงเพราะบวกราคาย้อมสีไปแล้ว)
ทั้งนี้ H&M ระบุว่าไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับโรงงาน Huafu ใน Anhui ที่อยู่ในซินเจียง ตามลิสต์ที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่ามีการบังคับใช้แรงงาน แต่ H&M ก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้องทางอ้อมกับ Shangyu ใน Zhejiang ซึ่งก็เป็นของ Huafu Fashion แต่ H&M ก็ยืนยันว่า Shangyu ไม่ได้มีการบังคับใช้แรงงาน
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศข้อจำกัดในการนำเข้าเสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผม และสินค้าเทคโนโลยีต่างๆ ที่มาจากบริษัทจีน โดยเฉพาะสินค้าที่บังคับใช้แรงงานในมณฑลซินเจียงด้วย นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ H&M ต้องออกมาประกาศชัดเจนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัทที่เข้าข่ายบังคับใช้แรงงานในจีน ทั้งนี้ก็เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากการพยายามแบนสินค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็พยามสร้างความมั่นใจกับผู้บริโภคว่าแบรนด์ไม่ได้ผลิตจากแรงงานที่ถูกบังคับและทรมานในซินเจียง | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38785 | Retail | จากผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก ธุรกิจค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับสถานการณ์ | null | กลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกควรปรับใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19:
1. เน้นการขายออนไลน์:
- พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นสำหรับการขายสินค้า
- ร่วมแพลตฟอร์ม E-Commerce
- นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย
- พัฒนาระบบการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย
- พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
2. พัฒนาแผนสำรอง:
- เตรียมแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
- พัฒนาระบบการทำงานจากระยะไกล
- พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าแบบสำรอง
3. พัฒนาระบบ Omnichannel:
- ผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์
- เสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น
- นำเสนอข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน
- พัฒนาระบบการชำระเงินและจัดส่งสินค้าที่เชื่อมต่อกัน
4. เน้นความปลอดภัยและสุขอนามัย:
- ทำความสะอาดร้านค้าและจุดสัมผัสต่างๆ เป็นประจำ
- จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ
- ควบคุมจำนวนผู้เข้าใช้บริการ
- รณรงค์ให้พนักงานและลูกค้าสวมหน้ากากอนามัย
- พัฒนาระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส
5. ปรับกลยุทธ์ด้านราคา:
- เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด
- พัฒนาระบบการจองสินค้าล่วงหน้า
- พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าแบบเหมาจ่าย
6. พัฒนากลยุทธ์ด้าน Marketing:
- เน้นการโฆษณาสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
- พัฒนาระบบ CRM
- วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า
- นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ
7. พัฒนาทักษะพนักงาน:
- ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการ
- ฝึกอบรมพนักงานให้ใช้เทคโนโลยีใหม่
- ฝึกอบรมพนักงานให้บริการลูกค้าด้วยความประทับใจ
8. พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า:
- สื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
- เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ
- จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
- พัฒนาระบบสมาชิก
9. พัฒนาความสัมพันธ์กับพันธมิตร:
- ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
- พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้า
- พัฒนาระบบการชำระเงิน
โดยสรุป ธุรกิจค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เน้นการขายออนไลน์ มุ่งเน้นไปที่สินค้าจำเป็น พัฒนาระบบ Omnichannel เน้นความปลอดภัยและสุขอนามัย ปรับกลยุทธ์ด้านราคา พัฒนากลยุทธ์ด้าน Marketing พัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า พัฒนาความสัมพันธ์กับพันธมิตร และพัฒนาแผนสำรอง ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ ธุรกิจค้าปลีกจะสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38788 | Retail | กลยุทธ์ออนไลน์ของ L Brands มีอะไรบ้าง และทำไมกลยุทธ์เหล่านั้นถึงประสบความสำเร็จ | null | กลยุทธ์ออนไลน์ของ L Brands
1.การเพิ่มช่องทางออนไลน์:
- L Brands ลงทุนในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตนเอง
- พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ
- ขยายการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่นๆ เช่น Amazon และ Tmall
2.การปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์:
- สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น
- นำเสนอรูปภาพสินค้าคุณภาพสูง
- ให้ข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน
- จัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ
3.การใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย:
- สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
- แบ่งปันเรื่องราวของแบรนด์และโปรโมทสินค้า
4.การนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูดใจ:
- สร้างวิดีโอแนะนำสินค้า
- เขียนบทความเกี่ยวกับแฟชั่นและเคล็ดลับการดูแลตนเอง
เหตุผลที่กลยุทธ์ออนไลน์ประสบความสำเร็จ
- ตอบสนองความต้องการลูกค้า: ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งออนไลน์ได้สะดวกและรวดเร็ว
- ประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดึงดูด: มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจด้วยการจัดส่งที่รวดเร็วและบริการลูกค้าที่ดี
- การใช้เทคโนโลยี: ใช้ปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อปรับปรุงประสบการณ์
- การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง: สร้างความน่าสนใจผ่านเนื้อหาและการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ออนไลน์
- ยอดขายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น: ยอดขายออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง
- การเติบโตของฐานลูกค้า: ดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์
- การปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์: ทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและเข้าถึงง่าย
บทสรุป
กลยุทธ์ออนไลน์ของ L Brands ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้ดี
ประเด็นสำคัญเพิ่มเติม
- L Brands เป็นตัวอย่างของธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัว
- กลยุทธ์ออนไลน์สามารถนำไปใช้กับธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ
- ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องลงทุนในกลยุทธ์ออนไลน์เพื่อแข่งขันในตลาดปัจจุบัน | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38798 | Retail | สรุปบทความเรื่อง Lord & Taylor ห้างสรรพสินค้าแก่เก่าที่สุดในสหรัฐอเมริกายื่นล้มละลาย ให้หน่อย | เป็นขาลงของธุรกิจค้าปลีกจริงๆ เพราะล่าสุด Lord & Taylor ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาได้ยื่นคุ้มครองล้มละลายแล้ว หลังแผนการฟื้นฟูกิจการสะดุดเพราะโรค COVID-19 ระบาด ยุคมืดที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ Lord & Taylor ก่อตั้งโดยชายชาวอังกฤษอพยพ 2 คนที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1826 ปัจจุบันมีสาขา 38 แห่ง และพันกงาน 651 คน แต่ด้วยมีหนี้ที่ต้องชำระทั้งสิ้น 137.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทตัดสินใจยื่นคุ้มครองล้มละลายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (ตามเวลาสหรัฐอเมริกา) เหตุที่ต้องยื่นคุ้มครองล้มละลาย เพราะก่อนหน้านี้บริษัทอยู่ระหว่างเดินหน้าแผนฟื้นฟูกิจการ แต่สุดท้ายแล้วการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ห้างสรรพสินค้าไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ ยิ่งรัฐบาลขอร้องให้ประชากรอยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้ Lord & Taylor ปิดสาขาชั่วคราวมาตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563 การยื่นคุ้มครองล้มละลายของ Lord & Taylor เป็นอีกกรณีของธุรกิจค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าที่ไม่สามารถปรับตัวให้ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ไปได้ เพราะก่อนหน้านี้มีทั้ง J. Crew Group และ Neiman Marcus ได้ยื่นคุ้มครองล้มละลายไปก่อนหน้านี้แล้ว ขณะเดียวกัน Startup อย่าง Le Tote ผู้ให้บริการเช่าเครื่องแต่งกายหรูผ่านออนไลน์ และเจ้าของสิทธิ์ในการใช้แบรนด์, สาขา รวมถึงเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของ Lord & Taylor ได้ยื่นคุ้มครองล้มละลายเช่นกัน แม้ในปี 2562 บริษัทจะมีรายได้กว่า 235.5 ล้านดอลลาร์ สรุป การเข้ามาของโรค COVID-19 ทำให้ทุกอย่างของวงการค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าพังไปหมด โดยเหลือแค่รายที่ปรับตัวได้ทัน เช่นเดินหน้าทำตลาดออนไลน์ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งคือผู้อยู่รอด ดังนั้นคงต้องจับตาว่าจะมีห้างสรรพสินค้า หรือค้าปลีกรายได้ที่ต้องยื่นล้มละลายอีกหรือไม่ อ้างอิง // Bloomberg ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related แบรนด์เสื้อผ้า Brooks Brothers ยื่นล้มละลาย หลังประสบปัญหาทางการเงิน และถูก COVID-19 ซ้ำเติม In "News" อาการหนัก! บริษัทในสหรัฐอเมริกายื่นขอล้มละลายกว่า 700 แห่งในเดือนที่ผ่านมา In "Article" J.C. Penney เตรียมปลดพนักงาน 1,000 คน และปิดสาขา 152 แห่ง หลังยื่นล้มละลายเมื่อเดือนพ.ค. In "News" | Lord & Taylor ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ของอเมริกาได้ยื่นคุ้มครองล้มละลาย เพราะโรค COVID-19 ปัจจุบันมีสาขา 38 แห่ง และพันกงาน 651 คน แต่ด้วยมีหนี้ที่ต้องชำระทั้งสิ้น 137.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทตัดสินใจยื่นคุ้มครองล้มละลาย ป็นอีกกรณีของธุรกิจค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าที่ไม่สามารถปรับตัวให้ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ไปได้ สรุป การเข้ามาของโรค COVID-19 ทำให้ทุกอย่างของวงการค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าพังไปหมด โดยเหลือแค่รายที่ปรับตัวได้ทัน เช่นเดินหน้าทำตลาดออนไลน์ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38800 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์หลักที่ทำให้ Amazon ประสบความสำเร็จ | null | กลยุทธ์หลักที่ทำให้ Amazon ประสบความสำเร็จ มีดังนี้:
1. มุ่งเน้นไปที่ลูกค้า:
- นำเสนอสินค้าหลากหลาย
- ราคาถูก
- สะดวกในการสั่งซื้อ
- จัดส่งรวดเร็ว
- บริการหลังการขายดีเยี่ยม
2. ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง:
- ขยายหมวดหมู่สินค้า
- ขยายช่องทางการจำหน่าย
- ขยายตลาด
3. ลงทุนในเทคโนโลยี:
- พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้า
- พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้า
- พัฒนาระบบการชำระเงิน
- พัฒนาระบบการบริการลูกค้า
4. บริหารจัดการคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ:
- เลือกพื้นที่ตั้งคลังสินค้า strategically
- ใช้ระบบจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
- บริหารจัดการสต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
5. เน้นการขายสินค้าออนไลน์:
- ลงทุนในเว็บไซต์
- ลงทุนในแอปพลิเคชั่น
- ลงทุนในโฆษณาออนไลน์
6. พัฒนาธุรกิจบริการ:
- Amazon Web Services (AWS)
- Amazon Prime
- Amazon Kindle
7. ควบรวมกิจการ:
- Whole Foods Market
- Zappos
- Twitch
8. สร้างแบรนด์:
- สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
- สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้า
- สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ทันสมัย
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เหล่านี้ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ
- คู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์มีจำนวนมาก
- เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
- พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
- Amazon จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ
พัฒนาสินค้าและบริการใหม่
- ขยายตลาด
- ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่
- เพื่อรักษาความสำเร็จในระยะยาว
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- ศึกษาคู่แข่ง
- ศึกษาเทคโนโลยีใหม่
- ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค
- ปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38809 | Retail | จากข้อมูลของ China Beige Book อะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนควรใช้เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ถดถอย | null | จากข้อมูลของ China Beige Book ธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนควรใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ถดถอย:
1. มุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุน:
ธุรกิจค้าปลีกควรหาทางลดต้นทุนการดำเนินงาน
ธุรกิจค้าปลีกควรทบทวนค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด
ธุรกิจค้าปลีกควรมองหาเทคโนโลยีที่จะช่วยลดต้นทุน
2. มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพ:
ธุรกิจค้าปลีกควรปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ธุรกิจค้าปลีกควรมองหา ways to improve their supply chain
ธุรกิจค้าปลีกควรใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
3. มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า:
ธุรกิจค้าปลีกควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า
ธุรกิจค้าปลีกควรนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
4. มุ่งเน้นไปที่การขยายช่องทางการจำหน่าย:
ธุรกิจค้าปลีกควรขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังออนไลน์
ธุรกิจค้าปลีกควรใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ
ธุรกิจค้าปลีกควรใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
5. มุ่งเน้นไปที่การสร้างแบรนด์:
ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างความภักดีต่อแบรนด์
ตัวอย่าง:
Alibaba มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย
JD.com มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ
Pinduoduo มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอสินค้าและบริการในราคาประหยัด
สรุป:
ธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนควรใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ถดถอย กลยุทธ์เหล่านี้รวมถึงการมุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การขยายช่องทางการจำหน่าย และการสร้างแบรนด์ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38812 | Retail | หลอดกระดาษไมโล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองจากองค์กรใด | ไมโล ยูเอชที แบรนด์แรกของไทยที่นำหลอดกระดาษมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูเอชที นำร่องใน 2 สูตร ได้แก่ ไมโล ยูเอชที สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย
นวัตกรรมหลอดกระดาษไมโล ชูจุดเด่น โค้งงอได้ ไม่มีกลิ่นกระดาษ ดื่มแล้วรสชาติอร่อยไม่เปลี่ยน
ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก ผลิตจากกระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าลดการใช้หลอดพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านหลอด ภายในปี 2564
ผลิตภัณฑ์ไมโล เครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ เปิดตัวหลอดกระดาษรักษ์โลก นำร่องในไมโล ยูเอชที 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการนำหลอดกระดาษมาใช้ในผลิตภัณฑ์กลุ่มยูเอชที ชูจุดเด่นด้วยนวัตกรรมที่ทำให้หลอดกระดาษโค้งงอได้ ไม่มีกลิ่นกระดาษ เมื่อดื่มแล้วทำให้รสชาติความอร่อยไม่เปลี่ยน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ 100% ที่ได้รับการรับรองจาก FSC
วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า การนำนวัตกรรมหลอดกระดาษโค้งงอได้มาใช้กับไมโล ยูเอชที ครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของเนสท์เล่ในการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ปลอดขยะ ตอกย้ำพันธกิจระดับโลกของเนสท์เล่ที่มุ่งมั่นเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ภายในปี 2568
ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัวไมโลหลอดกระดาษครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับแผนการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 ของภาครัฐ โดยนำร่องในผลิตภัณฑ์ไมโล ยูเอชที สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย และวางแผนขยายการผลิตให้ครอบคลุมครบทุกรสชาติและทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของไมโล ยูเอชที ภายในต้นปี 2564 ตั้งเป้าการเปลี่ยนมาใช้หลอดกระดาษจะช่วยลดการใช้หลอดพลาสติก ได้มากกว่า 100 ล้านหลอด ภายในปี 2564 หรือหากนำปริมาณหลอดพลาสติกที่ถูกทดแทนมาเรียงต่อกันจะคิดเป็นระยะทาง 15,000 กิโลเมตร หรือ ระยะทางจากแม่สายถึงเบตง 8 รอบ
“หลอดกระดาษไมโลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองจากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Forest Stewardship Council (FSC) เป็นการใช้วัสดุที่มาจากแหล่งผลิตกระดาษที่สามารถทดแทนได้และมีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังมั่นใจได้ว่าหลอดกระดาษไมโลปลอดภัย เพราะผลิตจาก
เยื่อกระดาษบริสุทธิ์ 100% ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผลิตภายใต้มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด มาพร้อมนวัตกรรมที่ทำให้หลอดกระดาษ มีความยืดหยุ่นทำให้โค้งงอได้ ไม่มีกลิ่นกระดาษ จึงไม่มีผลกระทบต่อรสชาติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”
อย่างไรก็ตาม นายไชยงค์ เสริมว่า แม้หลอดกระดาษไมโลจะสามารถย่อยสลายเองได้ แต่เนสท์เล่รณรงค์
ให้ดันหลอดกระดาษกลับเข้าไปในกล่องหลังจากดื่มหมด โดยไม่ต้องแยกทิ้ง เพราะจะทำให้หลอดกระดาษสามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้พร้อมกล่องไมโล ลดปริมาณขยะชิ้นเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผลิตภัณฑ์ไมโล ยูเอชที สูตรน้ำตาลน้อยกว่า 30% และ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ที่มาพร้อมหลอดกระดาษ
วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ | ได้รับการรับรองจากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Forest Stewardship Council (FSC) เป็นการใช้วัสดุที่มาจากแหล่งผลิตกระดาษที่สามารถทดแทนได้และมีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังมั่นใจได้ว่าหลอดกระดาษไมโลปลอดภัย เพราะผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ 100% ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผลิตภายใต้มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด มาพร้อมนวัตกรรมที่ทำให้หลอดกระดาษ มีความยืดหยุ่นทำให้โค้งงอได้ ไม่มีกลิ่นกระดาษ จึงไม่มีผลกระทบต่อรสชาติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38833 | Retail | กลยุทธ์ใหม่ของ Walmart ในการจับมือกับ Thredup จะช่วยให้ Walmart ประสบความสำเร็จในตลาดการช็อปปิ้งออนไลน์สินค้าแฟชั่นได้หรือไม่? | null | ช่วยได้ เนื่องจากกลยุทธ์ใหม่ของ Walmart ในการจับมือกับ Thredup จะช่วยให้ Walmart ประสบความสำเร็จในตลาดการช็อปปิ้งออนไลน์สินค้าแฟชั่น เป็นดังนี้
1. เทรนด์ตลาด:
ตลาดสินค้าแฟชั่นมือสองกำลังเติบโต คาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 1.5 เท่าของตลาดสินค้าแฟชั่นมือหนึ่งภายในปี 2028 ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับราคาและความยั่งยืนมากขึ้น สินค้าแฟชั่นมือสองตอบโจทย์ทั้งราคาที่ย่อมเยากว่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2. จุดแข็งของ Thredup:
- Thredup เป็นเว็บไซต์ขายสินค้าแฟชั่นมือสองชั้นนำ มีฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านคน
- Thredup มีระบบคัดกรองสินค้าที่มีคุณภาพ
- Thredup มีระบบการจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
3. กลยุทธ์ใหม่:
- การจับมือกับ Thredup ช่วยให้ Walmart เข้าถึงสินค้าแฟชั่นมือสองกว่า 750,000 ชิ้น จากหลากหลายแบรนด์
- การขายสินค้าแฟชั่นมือสอง จะทำให้ Walmart ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น
- การขายสินค้าแฟชั่นมือสอง ช่วยให้ Walmart เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
- การจับมือกับ Thredup ช่วยให้ Walmart พัฒนาเว็บไซต์ให้กลายเป็นศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นขนาดใหญ่
4. อุปสรรค:
- Walmart ยังมีภาพลักษณ์ของร้านขายสินค้าราคาประหยัด อาจจะไม่ดึงดูดลูกค้าที่มองหาสินค้าแฟชั่นมือสองที่มีคุณภาพ
- Walmart ยังไม่มีประสบการณ์ในตลาดสินค้าแฟชั่นมือสอง
- คู่แข่งในตลาดสินค้าแฟชั่นมือสองมีจำนวนมาก
สรุป:
กลยุทธ์ใหม่ของ Walmart ในการจับมือกับ Thredup มีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาดการช็อปปิ้งออนไลน์สินค้าแฟชั่น แต่ Walmart จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ พัฒนาเว็บไซต์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38840 | Retail | หากหยวนดิจิทัลสามารถทดแทนเงินหยวนแบบดั้งเดิมได้เต็มรูปแบบ ธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง | null | หากหยวนดิจิทัลสามารถทดแทนเงินหยวนแบบดั้งเดิมได้เต็มรูปแบบ ธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนจะต้องเผชิญกับสิ่งต่อไปนี้:
1. การเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระเงิน:
- ธุรกิจค้าปลีกจะต้องปรับระบบการชำระเงินเพื่อรองรับการชำระเงินด้วยหยวนดิจิทัล
- ลูกค้าอาจจะนิยมใช้หยวนดิจิทัลมากกว่าเงินสดหรือบัตรเครดิต
- ธุรกิจค้าปลีกจะต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานและจัดการหยวนดิจิทัล
2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค:
- ผู้บริโภคอาจจะใช้จ่ายเงินมากขึ้น
- ผู้บริโภคอาจจะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
- ธุรกิจค้าปลีกจะต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
3. การเพิ่มขึ้นของการแข่งขัน:
- ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์จะได้รับประโยชน์จากหยวนดิจิทัล
- ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ได้
4. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย:
- อาจจะมีอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับหยวนดิจิทัล
- ธุรกิจค้าปลีกจะต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเพื่อป้องกันข้อมูลของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกก็มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากหยวนดิจิทัลเช่นกัน
1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน:
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถลดต้นทุนการจัดการเงินสดและบัตรเครดิต
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถติดตามธุรกรรมได้ง่ายขึ้น
2. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน:
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ได้รวดเร็วขึ้น
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้าได้
3. ขยายฐานลูกค้า:
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้หยวนดิจิทัล
- ธุรกิจค้าปลีกสามารถขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
โดยสรุป หยวนดิจิทัลจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีน ธุรกิจค้าปลีกจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38841 | Retail | ช่วงแรกๆ การเปิดตัว Jio นั้น ได้ใช้โปรโมชั่นล่อตาล่อใจผู้ใช้บริการในประเทศอินเดียว่าอย่างไร | Brand Inside พามาทำความรู้จักกับค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของ India ที่เปิดตัวเพียงแค่ 4 ปีกลับมีผู้ใช้งานอันดับต้นๆ ของอินเดีย ทำให้บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Facebook ได้ลงทุนในบริษัทด้วย
Reliance Jio India
ภาพจาก Shutterstock
หากพูดถึงธุรกิจโทรคมนาคมแล้ว ประเทศอินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการเติบโตของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ถ้าหากใครสักคนที่จะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในอินเดียแล้ว ตลาดนี้ย่อมไม่ง่ายเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีการแข่งขันที่สูง แต่ทำไม Jio ถึงเป็นค่ายมือถือที่ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปี แต่ทำให้วงการโทรคมนาคมของอินเดียปั่นป่วน จนท้ายที่สุดค่ายมือถือรายนี้ได้กลายเป็น 1 ใน 3 ผู้ให้บริการที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียไปแล้ว
มารู้จัก Jio สักหน่อย
สำหรับเจ้าของ Jio นั้นคือ Reliance Industries เป็นบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของประเทศอินเดีย ธุรกิจหลักๆ คือทำโรงกลั่นน้ำมัน โดยเจ้าของบริษัทคือ Mukesh Ambani ซึ่งความมั่งคั่งของเขาใน 1-2 ปีที่ผ่านมาเบียดกับ Jack Ma ของ Alibaba สลับกันเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของทั้ง 2 ว่าของใครจะขึ้นลงมากกว่ากัน
ก่อนหน้านี้กลุ่ม Reliance ก็มีธุรกิจโทรคมนาคมอยู่แล้วชื่อว่า Reliance Communications ซึ่งเป็นของน้องชาย Mukesh Ambani ชื่อว่า Anil Ambani โดยเกิดจากเรื่องการแบ่งสมบัติของบิดาที่เสียชีวิตกระทันหัน ซึ่งการแบ่งสมบัติที่จบไม่ค่อยสวยมากนัก คือน้องชายได้กิจการเช่น ด้านการเงิน โทรคมนาคม โรงไฟฟ้า ไป ขณะที่พี่ชายได้กิจการของโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิม
Reliance ได้ซื้อกิจการบริษัท Infotel Broadband Services Limited ซึ่งมีใบอนุญาตคลื่นความถี่ 22 รัฐของอินเดียในช่วงปี 2010 แต่ให้บริการได้เฉพาะ 4G โดยปี 2015 ทาง Reliance ได้ประกาศว่าจะเข้าสู่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมทำให้เกิดการจับตามองว่า Mukesh Ambani จะทำอะไรหลังจากนี้
Mukesh Ambani
Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries และ Jio – ภาพจาก Flickr ของ World Economic Forum
เปิดตัว Jio ด้วยของฟรี
ช่วงแรกๆ การเปิดตัว Jio นั้นได้ใช้โปรโมชั่นล่อตาล่อใจผู้ใช้บริการในประเทศอินเดียว่าสามารถโทรฟรีข้ามเครือข่ายไม่ต้องเสียเงินสักรูปี และเสียเงินค่า Data นิดเดียวในช่วงเปิดตัว ทำให้เพียงแค่เปิดตัวเพียงเดือนแรกมีผู้ใช้งานแล้วถึง 16 ล้านราย และภายใน 84 วันมีลูกค้าทันที 50 ล้านราย
ไม่เพียงแค่นั้นในช่วงโปรโมชั่นยังมีการลดราคาโทรศัพท์มือถือพร้อมซิมที่สามารถใช้บริการ 4G และบริการอื่นๆ ของ Jio ได้ทันที ราคาเพียงแค่ 599-699 รูปีเท่านั้น นอกจากนี้ Jio ยังเคลมว่าเครือข่ายของบริษัทนั้นเป็น 4G ทำให้สามารถบริการได้ดีกว่ารายอื่นๆ
นอกจากนี้ความแตกต่างของ Jio เมื่อเทียบกับกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมของอินเดียคือค่า Data ที่มีราคายั่วยวนลูกค้าอย่างมาก โดยราคาแพ็คเกจปัจจุบันแบบเติมเงินนั้น เพียงแค่ลูกค้าจ่าย 10 รูปี หรือประมาณ 4.3 บาทสามารถได้ Data ถึง 1 Gb ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ถูกขนาดนี้ทำให้ลูกค้าจากผู้ให้บริการอื่นๆ ย้ายเข้ามาจำนวนมาก
ล่าสุด Jio เองเริ่มหันมาทำธุรกิจอินเตอร์เน็ตบ้าน โดยเน้นเทคโนโลยีไฟเบอร์ออพติกอย่างเดียว และราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นยังถือว่าถูกมาก และมีแพ็คเกจความเร็วเสนอให้ลูกค้าได้มากกว่าด้วย
Reliance Jio Mobile Phone India
โทรศัพท์มือถือรองรับ 4G ของ Jio ที่มีราคาถูกมากๆ – ภาพจาก Shutterstock
ค่ายอื่นๆ เริ่มล้มหายตายจาก
เมื่อ Jio เข้ามาในตลาดทำให้ผู้ให้บริการเจ้าใหญ่ๆ เช่น Airtel ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง SingTel หรือแม้แต่ Vodafone เดือดร้อนทันที เพราะว่าราคาแพ็คเกจ หรือโปรโมชั่นต่างๆ กลับไม่สามารถแข่งขันกับทาง Jio ได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นไม่นานนักคือผู้ให้บริการรายเล็กๆ ที่อยู่ตามรัฐต่างๆ ของอินเดียต้องขอล้มละลาย หรือไม่ก็ขายกิจการ
ขณะเดียวกันผู้ให้บริการรายใหญ่ของอินเดียหลายๆ รายเองก็ต้องเริ่มลงมาเล่นเกมสงครามราคากับ Jio ด้วยเช่นกัน เพราะไม่งั้นแล้วลูกค้าจะเริ่มหนีออกจากบริษัทมากขึ้น ผลที่ตามมาคือแม้แต่ผู้ให้บริการใหญ่ๆ เองก็ไปไม่รอด เนื่องจากสายป่านยาวไม่เท่ากับ Jio
ท้ายที่สุดต้องเกิดการควบรวมกิจการ เช่น กรณีของ Vodafone ต้องขอควบรวมกิจการกับ Idea เพื่อเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ หรือแม้แต่เบอร์ 1 ในอดีตอย่าง Airtel ที่แข็งแกร่งเองก็ต้องซื้อกิจการของ Telenor India รวมไปถึงคู่แข่งอื่นๆ อย่าง TATA
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ตามมาคือหนี้ของกลุ่มโทรคมนาคมในอินเดียสูงมาก ซึ่งล่าสุด Vodafone Idea เองต้องขอเลื่อนการจ่ายค่าคลื่นสัญญาณ และคดียังอยู่ในชั้นศาล เนื่องจากไม่งั้นแล้วเงินหมุนเวียนในกิจการโทรคมนาคมจะลดลงอย่างมาก สร้างความสะพึงกลัวให้กับสถาบันการเงินในอินเดียอีกทอดหนึ่งด้วยว่า
India Airtel
Airtel ซึ่งเป็น 1 ในคู่แข่งรายใหญ่ของ Jio – ภาพจาก Shutterstock
Jio ยังมีของดีอื่นๆ อีก
ไม่ใช่แค่ฐานลูกค้าของ Jio ที่มี 388 ล้านคนเท่านั้น แต่ในมุมของ Mukesh Ambani ต้องการผลักดัน Jio เป็นมากกว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ปัจจุบัน Jio มีแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ เช่น E-commerce รวมไปถึงความบันเทิงต่างๆ เช่น การชมละครอินเดีย ทีวีออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติของชาวอินเดียในอนาคต เนื่องจากราคาค่า Data ในการใช้อินเตอร์เน็ตที่ถูกลง จาก Jio ที่เป็นผู้ให้บริการทำลายกำแพงนี้ลง
แต่จริงๆ แล้ว 1 ในเป้าหมายที่ Jio เน้นมากในช่วงที่ผ่านมาคือเรื่องของ E-commerce ที่ Jio พยายามแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่าง Flipkart ที่มี Walmart เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมไปถึง Amazon ที่กำลังพยยายามทิ้งห่างแพลตฟอร์มของทั้ง 2 ขณะเดียวกันยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ แทรกมาแข่งขันเช่น PayTM ด้วย
อาณาจักรของ Jio มีดีขนาดนี้ย่อมทำให้นักลงทุนต่างๆ เริ่มจับตามอง
และ Facebook ก็เข้ามาลงทุน
สิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมดทำให้ Facebook เริ่มสนใจในกิจการของ Jio และจากข่าวลือก็กลายเป็นข่าวจริง เมื่อบริษัทได้รายงานว่ายักษ์ใหญ่ Social Network ได้ประกาศลงทุนในกิจการของ Jio สัดส่วน 9.99% เป็นมูลค่า 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ Jio มีมูลค่ากิจการมากถึง 65,950 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.13 ล้านล้านบาท
คาดว่า Facebook มอง Jio และลงทุนคือเป็นผู้ที่ Disrupt วงการโทรคมนาคมในประเทศอินเดีย ทำให้คนอินเดียหลักร้อยล้านคนเข้าถึงบริการต่างๆ หรือเข้าถึงโลกอินเตอร์เน็ตง่ายขึ้น ซึ่งตอบสนองกับความต้องการที่จะขยายธุรกิจของ Facebook เอง นอกจากนี้ยังมีของแถมคือ Platform ของ Jio เองที่ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง เนื่องจากเป็นกิจการของคนอินเดียเอง ต่างกับ Flipkart หรือ Amazon
นอกจากนี้ถ้าหาก Jio ทำการ IPO บริษัทออกมา จะทำให้มูลค่ากิจการใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Airtel หรือแม้แต่ Vodafone Idea อย่างมาก ทำให้นักลงทุนสถาบันหลายๆ แห่งเริ่มที่สนใจซื้อกิจการของ Reliance Industries เพื่อที่ถ้าหาก Jio ออกมา IPO จะทำให้มูลค่าหุ้นที่ถือไว้มีส่วนต่างมากกว่ามารอซื้อในช่วง IPO
ท้ายที่สุดทุกคนรอวันที่ Mukesh Ambani จะประกาศที่นำ Jio ออกมา IPO ในเร็วๆ นี้ ขณะที่ผู้ให้บริการรายอื่นกลับเจ็บตัวเข้าขั้นไม่รอด | ช่วงแรกๆ การเปิดตัว Jio นั้น ได้ใช้โปรโมชั่นล่อตาล่อใจผู้ใช้บริการในประเทศอินเดียว่า สามารถโทรฟรีข้ามเครือข่ายไม่ต้องเสียเงินสักรูปี และเสียเงินค่า Data นิดเดียวในช่วงเปิดตัว ทำให้เพียงแค่เปิดตัวเพียงเดือนแรกมีผู้ใช้งานแล้วถึง 16 ล้านราย และภายใน 84 วันมีลูกค้าทันที 50 ล้านราย
ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงโปรโมชั่นยังมีการลดราคาโทรศัพท์มือถือพร้อมซิมที่สามารถใช้บริการ 4G และบริการอื่นๆ ของ Jio ได้ทันที ราคาเพียงแค่ 599-699 รูปีเท่านั้น นอกจากนี้ Jio ยังเคลมว่าเครือข่ายของบริษัทนั้นเป็น 4G ทำให้สามารถบริการได้ดีกว่ารายอื่นๆ
นอกจากนี้ ความแตกต่างของ Jio เมื่อเทียบกับกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมของอินเดียคือค่า Data ที่มีราคายั่วยวนลูกค้าอย่างมาก โดยราคาแพ็คเกจปัจจุบันแบบเติมเงินนั้น เพียงแค่ลูกค้าจ่าย 10 รูปี หรือประมาณ 4.3 บาทสามารถได้ Data ถึง 1 Gb ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ถูกขนาดนี้ทำให้ลูกค้าจากผู้ให้บริการอื่นๆ ย้ายเข้ามาจำนวนมาก | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38846 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจค้าปลีกในยุค New Normal นี้จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป | null | บทเรียนจากวิกฤต: การปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกในยุค New Normal
ณ ร้านขายของชำขนาดย่อมในชุมชนแห่งหนึ่ง คุณลุงวัย 60 ปี กำลังจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางอย่างเชื่องช้า เสียงเพลงลูกทุ่งเก่าๆ ดังก้องจากวิทยุเครื่องเก่า
บรรยากาศภายในร้านดูเงียบเหงา ลูกค้ามีเพียงประปรายต่างจากอดีตที่ร้านของเขาเคยคึกคักไปด้วยผู้คน...
คุณลุงถอนหายใจเบาๆ นึกถึงวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเขาอย่างหนัก ลูกค้าหายไปเป็นครึ่ง รายได้หดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเคยคิดว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมนี้จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ แต่ดูเหมือนว่าความจริงจะโหดร้ายกว่าที่เขาคิด
"สมัยนี้คนนิยมสั่งของออนไลน์กันมากขึ้น" คุณลุงบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาเคยเห็นคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านใช้โทรศัพท์มือถือสั่งซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ต่างๆ รู้สึกเสียดายที่ลูกค้าเก่าๆ หลายคนเริ่มหันไปใช้บริการเหล่านั้นแทนที่จะมาซื้อของที่ร้านของเขา
แต่คุณลุงไม่ยอมแพ้ เขารู้ดีว่าเขาต้องปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดในยุค New Normal นี้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ศึกษาช่องทางการขายของออนไลน์ พยายามสร้างบัญชีในโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทร้านของเขา...
ในตอนแรกมันไม่ใช่เรื่องง่าย คุณลุงรู้สึกกังวลและสับสน แต่ด้วยความพยายามอย่างหนัก เขาเริ่มเข้าใจวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ค่อยๆ เรียนรู้วิธีการถ่ายรูปสินค้า เขียนข้อความโฆษณา และตอบคำถามลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์...
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการลองผิดลองถูก คุณลุงเริ่มมีลูกค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ยอดขายเริ่มกลับมาดีขึ้น เขาเริ่มรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง รู้สึกดีใจที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้
เรื่องราวของคุณลุงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกในยุค New Normal นี้จำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไป การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้และสร้างช่องทางการขายออนไลน์เป็นสิ่งที่ธุรกิจค้าปลีกทุกขนาดควรพิจารณา | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38848 | Retail | สรุปบทความเรื่อง จีนประกาศ GDP ไตรมาส 1 ถดถอยที่ -6.8% ให้หน่อย | GDP ไตรมาสแรกของจีนออกมาแล้วโตติดลบ 6.8% แย่กว่านักวิเคราะห์คาดไว้ ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลออกมา สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ได้รายงานตัวเลขการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรก ถดถอยลดลง -6.8%
เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่ผ่านมา และถดถอยมากกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ -6.5% ยังเป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจรายไตรมาสครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1992 นับตั้งแต่มีการเก็บสถิติในประเทศจีน สาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้กระทบในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจจีน ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตที่ห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงักไป รวมไปถึงการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขค้าปลีกของจีนลดลงมากถึง 19% ขณะที่ภาคการผลิตนั้นลดลง 8.4% การถดถอยทางเศรษฐกิจจีนครั้งนี้ ทำให้คาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนออกมาชุดใหญ่ หลังจากไม่กี่วันที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนได้ออกนโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือ RRR การลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางลงอีก 0.2% เป็นต้น เศรษฐกิจจีนหลังจากการปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นความท้าทายหลังจากนี้คือการนำภาคธุรกิจกลับมาดำเนินธุรกิจให้ได้ไวที่สุด ซึ่งเป็นความท้าทายของรัฐบาลจีนอย่างมาก ขณะที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับมุมมองจากสภาหอการค้าอเมริกันในจีน ผลสำรวจเกือบๆ 25% คาดว่าธุรกิจจะกลับมาเป็นปกติในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ขณะที่อีก 22% นั้นมองว่าเศรษฐกิจจีนกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติแล้ว ส่วน 40% มีมุมมองจะยังคงการลงทุนในจีนเท่าเดิมก่อนหน้าการระบาดของ COVID-19 และไม่มีการปรับลดคนงานด้วย คาดการณ์ GDP ของจีนในปีนี้นั้นทางด้าน ING คาดว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะยังเติบโต 4% ขณะที่ ABN Amro มองว่าเติบที่ 3% ที่มา – BBC, CNBC, France 24 ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related เศรษฐกิจจีน GDP ไตรมาส 2 กลับมาโต 3.2% ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ In "Article" GDP จีนไตรมาส 3 โตเหลือ 6% ต่ำสุดในรอบ 27 ปีครึ่ง ผลจากภาคการผลิตอ่อนแอ In "News" China Beige Book มองเศรษฐกิจจีนปีนี้ถดถอย ชี้ GDP ไตรมาส 2 เป็นการปั่นตัวเลขครั้งใหญ่สุด In "Article" | GDP ไตรมาสแรกของจีนติดลบ 6.8% น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ -6.5% เป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจรายไตรมาสครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1992 จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 หลังจากการปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นความท้าทายหลังจากนี้คือการนำภาคธุรกิจกลับมาดำเนินธุรกิจให้ได้ไวที่สุด คาดการณ์ GDP ของจีนในปีนี้นั้นทางด้าน ING คาดว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะยังเติบโต 4% ขณะที่ ABN Amro มองว่าเติบที่ 3% | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38851 | Retail | จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างหนัก กลยุทธ์แบบ Omnichannel ที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกอยู่รอดได้จริงหรือไม่ | null | กลยุทธ์แบบ Omnichannel สามารถช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกอยู่รอดได้จริง แต่ไม่ใช่ทางออกเดียว
ข้อดีของกลยุทธ์ Omnichannel:
-เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น: ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
-เพิ่มโอกาสในการขาย: ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
-สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี: ลูกค้าสามารถเลือกช่องทางการซื้อสินค้าที่สะดวกที่สุด
-เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง: ธุรกิจสามารถติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์
ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์ Omnichannel:
-Central Retail: พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Central Online และ Robinhood มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
-Siam Piwat: พัฒนาโครงการ Siam Paragon Online มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบผสมผสาน เน้นการนำเสนอสินค้าและบริการระดับพรีเมียม
-CP Group: พัฒนาธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ 7-Eleven Delivery มุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย สะดวกรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Omnichannel ไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับทุกธุรกิจ
ข้อจำกัดของกลยุทธ์ Omnichannel:
-ต้องลงทุนเพิ่ม: ธุรกิจต้องลงทุนในระบบออนไลน์ พนักงาน และโลจิสติกส์
-ต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ: ธุรกิจต้องบริหารจัดการช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้สอดคล้องกัน
-ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า: ธุรกิจต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ
กลยุทธ์อื่นๆ ที่สามารถช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกอยู่รอด:
-เน้นสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้า: ธุรกิจต้องศึกษาความต้องการของลูกค้าและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ
-ปรับราคาสินค้าให้เหมาะสม: ธุรกิจต้องปรับราคาสินค้าให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ
-เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: ธุรกิจต้องลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
-สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: ธุรกิจต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
สรุป:กลยุทธ์แบบ Omnichannel เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ทางออกเดียวสำหรับธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38858 | Retail | OR มุ่งเน้นธุรกิจค้าปลีกเพื่อขยายรายได้หลักจากธุรกิจน้ำมัน ใช่หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผลคือ OR (PTT Oil and Retail Business) ตั้งเป้ามีรายได้จากธุรกิจ Non-Oil เป็น 30% ของรายได้รวมภายในปี 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลักในการขยายรายได้จากธุรกิจค้าปลีกเพื่อให้ลดความพึ่งพารายได้จากธุรกิจน้ำมัน
ธุรกิจค้าปลีกที่หลากหลายของ OR ประกอบด้วย:
1.ร้านกาแฟอเมซอน: OR มีแผนขยายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยล่าสุดได้เปิดสาขาแรกที่เมืองหนานหนิง ประเทศจีน และเตรียมบุกเวียดนาม
2.ร้านค้าสะดวกซื้อ: OR มีร้านค้าสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน PTT Station
3.ร้านกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ: OR มีร้านกาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น Coffee World และ Inthanin Coffee
4.ร้านแฟรนไชส์: OR มีร้านที่ซื้อแฟรนไชส์มา เช่น Auntie Anne's และ Texas Chicken
5.ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า: OR มีธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในปั๊มน้ำมัน PTT Station
การลงทุนอย่างต่อเนื่อง
- OR ตั้งเป้าขยายสาขา “กาแฟอเมซอน” ให้ครบ 10,000 สาขาภายในปี 2568
- ลงทุน 105 ล้านบาท ร่วมกับ CRG เพื่อขยายสาขา “กาแฟอเมซอน” ในเวียดนาม
- ลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ร้านอาหาร ธุรกิจสุขภาพ และอีคอมเมิร์ซ
สรุป
OR มุ่งเน้นการขยายธุรกิจค้าปลีกเพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้จากธุรกิจ Non-Oil และลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจน้ำมันอย่างต่อเนื่อง | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38867 | Retail | กลุ่มบริษัทใดเป็นผู้ชนะการประมูลในการซื้อกิจการของ Tesco ในอาเซียน ปี ค.ศ.2020 | A. Central Group
B. กลุ่ม CP
C. เดอะมอลล์กรุ๊ป
D. TCC Group | ข้อที่ถูกต้องคือ B.
เนื่องจาก Tesco ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ “เทสโก้ โลตัส” ในประเทศไทย ได้แจ้งกับนักลงทุนว่า กลุ่ม CP เป็นผู้ชนะการประมูลในการซื้อกิจการของ Tesco ในอาเซียน ซึ่งมูลค่าในการซื้อกิจการครั้งนี้อยู่ที่ 10,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 335,415 ล้านบาท โดยดีลนี้ต้องผ่านขั้นตอนของหน่วยงานกำกับดูแลของไทยและมาเลเซีย คาดว่าขั้นตอนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลัง
CP, Central ถูกเชิญเข้าประมูลซื้อ Tesco Lotus ส่วน TCC Group สนใจซื้อทั้งไทยและมาเลเซีย
เผยโฉมผู้สนใจซื้อ “เทสโก้ โลตัส” แล้ว มี CP และ Central รวมถึง TCC คาดประมูลต้นปีหน้า
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ Tesco ในอาเซียน คือในประเทศไทย และมาเลเซีย นั้นจะเป็น CP Group และ CPALL ถือหุ้นฝ่ายละ 40% เท่ากัน โดยบริษัทได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์ว่าใช้เงินไม่เกิน 95,981 ล้านบาท ขณะที่เหลืออีก 20% จะเป็นทางบริษัท ซี พี เมอร์แชนไดซิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CPF อีก 20% ซึ่งจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 47,800 ล้านบาท
ในปี 1998 นั้น CP Group ได้ขายกิจการ “โลตัส” ให้กับกลุ่ม Tesco เป็นมูลค่าประมาณ 180 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงกิจการค้าปลีกอย่าง “แม็คโคร” เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนั้น ก่อนที่ทาง CP จะซื้อกิจการค้าส่งอย่าง แม็คโคร กลับมาในเดือนมิถุนายนปี 2013 มูลค่า 189,000 ล้านบาท และดีล Tesco Lotus ที่เกิดขึ้นล่าสุด
ด้าน Tesco หลังจากที่ได้เม็ดเงินจากการขายกิจการในไทยและมาเลเซียเรียบร้อยแล้วจะนำเงินบางส่วนมาปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้นของ Tesco คาดว่าจะอยู่ราวๆ 6,478 ล้านเหรียญสหรัฐ และเม็ดเงินอีกบางส่วนไปลดหนี้ของบริษัท หลังจากนี้บริษัทจะโฟกัสไปที่ธุรกิจในสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ และยุโรปตอนกลาง | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38872 | Retail | ในขณะที่ไวรัส COVID-19 ระบาดหนัก จีนเชื่อว่าเศรษฐกิจยังไปได้เพราะอะไร | A. Homebody Economy
B. จีนมีวัคซีน COVID-19 เพียงพอ
C. จีนใช้เศรษฐกิจพอเพียง
D. สามารถควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้ | คำตอบได้แก่ A. เพราะว่า สำนักข่าว Xinhua ที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลจีนและเป็นหนึ่งในสำนักข่าวที่สหรัฐฯมองว่าทำงานเหมือนกระบอกเสียงรัฐบาลจีน ก็ออกมาบอกว่าจีนยังโตได้ดีเพราะเศรษฐกิจติดบ้าน หรือที่เรียกว่า Homebody Economy แม้คนไม่ออกจากบ้านไปไหน ก็เกิดการใช้จ่ายได้
ซินหัวมองว่าไวรัสระบาดทำให้อุตสาหกรรมในจีนหยุดชะงักแค่ชั่วคราวเท่านั้น หลายภาคส่วนยังทำงานปกติ เช่น ในด้านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การศึกษา สาธารณสุข หรือแม้แต่ค้าปลีกอื่นๆ ก็ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้
ซินหัวยกคำว่า homebody economy ขึ้นมา เพื่อจะอ้างว่า มีการให้บริการสตรีมมิ่งแบบตามความต้องการสูงขึ้น (เพราะคนไม่สามารถออกจากบ้านไปไหนได้ จึงเลือกเอนเตอร์เทนตัวเองอยู่ที่บ้าน) การชอปปิงออนไลน์ การส่งอาหารเดลิเวอรี่ การศึกษาออนไลน์ การทำงานจากบ้าน การเล่นเกม เหล่านี้ล้วนทำให้ผู้คนสะดวกสบายมากขึ้นเมื่ออยู่ในบ้านของตัวเอง โดยยกตัวอย่างยอดซื้อขายเกี๊ยวแช่เย็นผ่าน JD.com ที่สูงขึ้นมาก
ยอดสั่งซื้ออาหารเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่านับตั้งแต่ 25 มกราคมเป็นต้นมาซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลจีนมีคำสั่งปิดเมืองหลายแห่งเพื่อป้องกันไวรัสระบาด นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่ายอดซื้อสินค้าประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร ก๋วยเตี๋ยว น้ำมันสำหรับทำอาหาร ผลิตภัณฑ์นม เหล่านี้มียอดขายเพิ่มสูงถึง 154% นับตั้งแต่ 24 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์
อาหารสดก็มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากอย่างก้าวกระโดด ยอดสั่งอาหารสดจากแอปฯ ส่งอาหาร Missfresh ก็พุ่งขึ้นถึง 300% เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
นอกจากนี้ Tencent บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนก็ยกระดับการให้บริการคน ทำให้คนสามารถทำงานจากบ้านได้สะดวกขึ้น ประชุมง่ายขึ้น สอนหนังสือออนไลน์ได้ ลำพังแค่แอปฯ WeChat ก็ตอบโจทย์ชีวิตคนหลายอย่าง สามารถเช็คสุขภาพได้ ตามข่าวการระบาดของไวรัสได้ ไปจนถึงร่วมบริจาคหรือสั่งซื้อหน้ากากอนามัยก็ได้ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38875 | Retail | การปิดฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของฮ่องกงมากน้อยเพียงใด? | null | ใช่ ส่งผลกระทบอย่างมาก เหตุผล:
1. ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ:
ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากฮ่องกงและต่างประเทศ เป็นสวนสนุกที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีเครื่องเล่น คาเฟ่ ร้านอาหาร และการแสดงที่หลากหลาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย
2. การปิดสวนสนุกส่งผลเสียต่อ:
รายได้: สูญเสียรายได้จากค่าเข้าชม บัตรสมาชิก อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าที่ระลึก
ภาพลักษณ์: ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของฮ่องกง
ธุรกิจในบริเวณใกล้เคียง: ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรมในบริเวณใกล้เคียงได้รับผลกระทบ
เศรษฐกิจโดยรวม: ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมของฮ่องกง
3. ตัวอย่าง:
คุณ A วางแผนไปเที่ยวฮ่องกงกับครอบครัว คุณ A จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และวางแผนการเดินทางล่วงหน้า หนึ่งในกิจกรรมหลักของครอบครัวคือการไปฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ การปิดสวนสนุกทำให้คุณ A ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง
4. ข้อมูลสถิติ:
ในปี 2019 ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์มีนักท่องเที่ยวเข้าชม 7.5 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวของฮ่องกงคิดเป็น 4.5% ของ GDP
5. ผลกระทบระยะยาว:
- อาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวในฮ่องกง
- ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงการท่องเที่ยวของฮ่องกง
- ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวอาจต้องปรับตัว
สรุป:
การปิดฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ชั่วคราว ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวของฮ่องกง ส่งผลเสียต่อรายได้ ภาพลักษณ์ ธุรกิจในบริเวณใกล้เคียง และเศรษฐกิจโดยรวม ผลกระทบระยะยาวต่อจำนวนนักท่องเที่ยวและชื่อเสียงการท่องเที่ยวของฮ่องกงยังต้องติดตามต่อไป
หมายเหตุ:
ข้อมูลในคำตอบอ้างอิงจากบทความ "ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ถูกรัฐบาลสั่งปิดชั่วคราว ยังไม่มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการ" และแหล่งข้อมูลอื่นๆ คำตอบนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับข้อมูลใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38889 | Retail | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ Easy Mall บนแอปพลิเคชัน SCB EASY | null | ผู้บริโภคยุคใหม่เน้นการบริการที่ตอบสนองรวดเร็วทันใจมากขึ้น เพราะความต้องการของคนยุคนี้สำเร็จได้แค่ปลายนิ้วคลิก ธนาคารไทยพาณิชย์จึงพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ Easy Mall บนแอปพลิเคชัน SCB EASY เพื่อตอบสนองโมเมนต์ Now ของลูกค้าให้ชอปปิ้งได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง และจับมือกับพันธมิตร บริษัท เจ.ไอ.บี คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (J.I.B.) ด้วย
J.I.B. ถือเป็นผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีชั้นนำของไทย ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในเรื่องธุรกิจ E-Commerce ปี 2018 J.I.B. ทำรายได้สูงมากว่า 9,000 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 700 – 800 กว่าล้านบาท มี 150 สาขาทั่วไทย เปิดบริการออนไลน์ 24 ชั่วโมง ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งและสั่งซื้อออนไลน์และได้รับสินค้าเร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง
แอปพลิเคชัน SCB EASY พยายามรักษาฐานลูกค้าที่ทะลุ 10 ล้านราย รวมถึงการต่อยอดสร้างประสบการณ์ด้านการชำระเงิน ให้สามารถเข้าซื้อสินค้าผ่าน SCB EASY ได้แบบเรียลไทม์ผ่านฟีเจอร์น้องใหม่ Easy Mall นอกจากนี้ SCB ยังเปิดตัวระบบชำระเงินออนไลน์ที่เรียกว่า SCB PayWise ที่จะเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างร้านค้าและลูกค้าให้เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ด้วย ระบบการชำระเงินนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตัดเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่สามารถ ชำระผ่านทางบัตรเครดิตแบบเต็มจำนวน หรือจะผ่อนชำระได้ทั้งบัตรเครดิต และบัตร Speedy Cash ของไทยพาณิชย์ได้อีกด้วย สำหรับช่วงเปิดตัวนี้ สินค้าส่งฟรีไม่มีขั้นต่ำ ตลอด 24 ชั่วโมง | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38897 | Retail | จากกรณีการ์ดคริสต์มาสของเทสโก้ที่มีข้อความจากนักโทษในจีน ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรมีมาตรการอย่างไรเพื่อป้องกันปัญหานี้ | null | มาตรการที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรมีเพื่อป้องกันปัญหานี้
ตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน: ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่าโรงงานผลิตสินค้าของตนไม่มีการใช้แรงงานนักโทษ
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรทำการตรวจสอบโรงงานผลิตสินค้าเป็นประจำ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรตรวจสอบเอกสารและใบอนุญาตของโรงงานผลิตสินค้า
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรสัมภาษณ์พนักงานของโรงงานผลิตสินค้า
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรสุ่มตรวจสินค้าจากโรงงานผลิตสินค้า
กำหนดจรรยาบรรณ: ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรมีจรรยาบรรณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้แรงงาน
- จรรยาบรรณควรห้ามการใช้แรงงานนักโทษในทุกๆ รูปแบบ
- จรรยาบรรณควรระบุถึงมาตรการลงโทษสำหรับซัพพลายเออร์ที่ละเมิดจรรยาบรรณ
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรเผยแพร่จรรยาบรรณให้กับสาธารณชน
ให้ความรู้แก่พนักงาน: ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับปัญหาการใช้แรงงานนักโทษ
- พนักงานควรทราบถึงวิธีการระบุสินค้าที่ผลิตโดยใช้แรงงานนักโทษ
- พนักงานควรทราบถึงวิธีการรายงานสินค้าที่ผลิตโดยใช้แรงงานนักโทษ
ให้ความร่วมมือกับองค์กร: ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรให้ความร่วมมือกับองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาการใช้แรงงานนักโทษ
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับซัพพลายเออร์ของตนแก่องค์กร
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตสามารถสนับสนุนงานขององค์กร
ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้: ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรให้ความสำคัญกับปัญหาการใช้แรงงานนักโทษ
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรจัดสรรทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหานี้
- ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรติดตามความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหานี้
ตัวอย่าง
- เทสโก้สามารถร่วมมือกับองค์กรอย่าง Fair Labor Association (FLA) เพื่อตรวจสอบโรงงานผลิตสินค้าของตน
- เทสโก้สามารถจัดทำระบบการตรวจสอบสินค้าแบบสุ่ม โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- เทสโก้สามารถให้การฝึกอบรมแก่พนักงานเกี่ยวกับปัญหาการใช้แรงงานนักโทษ ผ่านระบบ e-learning
- เทสโก้สามารถบริจาคเงินสนับสนุนองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาการใช้แรงงานนักโทษ
สรุป
ซุปเปอร์มาร์เก็ตมีบทบาทสำคัญในการป้องกันปัญหาการใช้แรงงานนักโทษ ซุปเปอร์มาร์เก็ตควรมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน กำหนดจรรยาบรรณ ให้ความรู้แก่พนักงาน ให้ความร่วมมือกับองค์กร และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38925 | Retail | การเติบโตของอีคอมเมิร์ซส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของลอรีอัลหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
1) ยอดขายอีคอมเมิร์ซของลอรีอัลเติบโตอย่างรวดเร็ว:
ยอดขายอีคอมเมิร์ซของลอรีอัลเติบโตถึง 47.5% ในไตรมาส 3 ของปี 2562 คิดเป็น 13.5% ของยอดขายรวม แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
2) ลอรีอัลมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งสำหรับอีคอมเมิร์ซ:
- ลอรีอัลจับมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ เช่น Lazada
- ลอรีอัลมีเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของตัวเองสำหรับการขายสินค้าออนไลน์
- ลอรีอัลมีการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์
3) อีคอมเมิร์ซช่วยให้ลอรีอัลเข้าถึงลูกค้าใหม่:
- อีคอมเมิร์ซช่วยให้ลอรีอัลสามารถขายสินค้าในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
- อีคอมเมิร์ซช่วยให้ลอรีอัลสามารถเข้าถึงลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกล
4) อีคอมเมิร์ซช่วยให้ลอรีอัลสามารถลดต้นทุน:
- อีคอมเมิร์ซช่วยให้ลอรีอัลไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน
- อีคอมเมิร์ซช่วยให้ลอรีอัลสามารถลดต้นทุนการดำเนินงาน
ตัวอย่าง:
- ลอรีอัลประเทศไทย ร่วมกับ Lazada เปิดตัว L'Oréal Official Store บน LazMall
- ลอรีอัลประเทศไทย นำเสนอแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าออนไลน์
- ลอรีอัลประเทศไทย ลงทุนในเทคโนโลยี AR เพื่อให้ลูกค้าสามารถลองสินค้าออนไลน์
สรุป:
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของลอรีอัล ช่วยให้ลอรีอัลสามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ เพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38972 | Retail | ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยปี 2018 มูลค่า 1,445 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอย่างไร | พูดคุยกับ ONETOUCH แบรนด์ถุงยางอนามัยสัญชาติไทย กับทุกประเด็นในการทำการตลาดถุงยางในประเทศไทยที่เป็นประเทศศีลธรรม? พร้อมเป้าหมายใหญ่ต้องการล้มยักษ์แบรนด์ถุงยางอินเตอร์ จากผู้ผลิต มาเป็นคนสร้างแบรนด์ ในประเทศไทยถ้าพูดถึงตลาดถุงยางอนามัย หรือเรียกกันสั้นๆ กันติดปากว่าถุงยาง อาจจะดูเคอะเขินไปบ้าง เพราะเป็นเรื่องของเพศสัมพันธ์ที่เมืองไทยดูไม่ค่อยพูดกันแบบเปิดเผยมากนัก การทำการตลาดก็ดูจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งตลาดถุงยางในไทยมีผู้เล่นรายใหญ่ที่รู้จักกันดีก็คือ Durex แบรนด์ถุงยางสัญชาติอังกฤษที่ทำตลาดยาวนานหลายสิบปี รวมถึงแบรนด์มาแรงอย่าง Okamoto จากประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ในตลาดยังมีแบรนด์ไทยแท้อย่าง ONETOUCH ที่ขอสู้ท่ามกลางแบรนด์ยักษ์จากต่างชาติด้วยเช่นกัน Brand Inside ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “กัณห์ กุลอัฐภิญญา” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) เจ้าของแบรนด์ ONETOUCH ที่จะมาเล่าถึงความเป็นมาของแบรนด์ การทำตลาด รวมไปถึงฉายภาพตลาดถุงยางนปัจจุบันอย่างเจาะลึก ซึ่งใครที่อยู่สายการลงทุน หรือคอหุ้นจะพอคุ้นเคยกับไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้อยู่บ้าง เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตถุงยางให้กับแบรนด์อื่นๆ หรือ OEM แต่ที่หันมาสร้างแบรนด์ ONETOUCH ก็เพื่อต้องการให้คนไทยได้มีถุงยางมีคุณภาพใช้ ในราคาที่เข้าถึงได้ เพราะช่วงนั้นเกิดปัญหาคนติดเชื้อ HIV เพิ่มสูงขึ้นในไทย “ไทยนิปปอนฯ เป็นผู้รับจ้างผลิตถุงยางมาโดยตลอด อยู่เบื้องหลังแบรนด์ดังๆ ทั่วโลก แล้วตอนนั้นช่วงปี 1999 ประเทศไทยเจอวิกฤตปัญหาคนติดโรคเอดส์สูงขึ้นในประวัติการณ์ ด้วยความที่ไทยนิปปอนฯ มีประสบการณ์มา 5 ปีแล้ว เลยอยากช่วยสังคมบ้าง อยากทำถุงยางที่ดี มีคุณภาพ คิดว่าทำไมจะทำแบรนด์ของคนไทยไม่ได้ จึงเริ่มทำแบรนด์ ONETOUCH ขึ้นมา อยากให้คุณภาพถุงยางดีที่สุด ราคาที่เหมาะสมที่สุด เทคโนโลยีตอบโจทย์คนที่ไม่อยากใช้ถุงยาง” โดยที่ชื่อแบรนด์ ONETOUCH มาจากประโยค The One และ Only Touch มีจุดมุ่งหมายที่อยากให้ผู้บริโภคเข้าถึงสัมผัสที่มองหา ซึ่งแต่ละคนจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องการคุมกำเนิด เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย ทำการตลาดถุงยาง… ในประเทศศีลธรรม? อย่างที่ทราบกันว่าประเทศไทยค่อนข้างมีความละเอียดอ่อนในหลายๆ ประเด็น ยิ่งเรื่องเพศสัมพันธ์ยังไม่ค่อยเปิดกว้างมากเท่าไหร่นัก การทำการตลาดก็ยากมากขึ้นไปอีก อีกทั้งถุงยางอนามัยยังจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ด้วย จึงไม่สามารถโฆษณาอะไรมากได้ “การทำการตลาดในประเทศไทยมีความยากอยู่พอสมควร เพราะถุงยางจัดอยู่ในหมวดหมู่เครื่องมือแพทย์จะต้องมีข้อจำกัดอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ให้คนในประเทศได้ใช้สินค้าที่ผ่านขั้นตอนละเอียด บ่งบอกได้ว่าคุณภาพสินค้าในไทยจึงดีเป็นพิเศษ” นอกจากนี้ยังมีเรื่องความยากในเรื่องของการสื่อสารผ่านโฆษณา จริงๆ โฆษณาในแต่ละหมวดหมู่มีความยากง่ายของตัวเอง ถ้าพูดถึงเครื่องมือแพทย์หลายคนจะรู้สึกว่าดูห่างไกลจากตัวเองมาก ซึ่งจริงๆ แล้วการใช้ถุงยางเป็นเหมือนสินค้าทั่วไป แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ทำให้เวลาสื่อสารกับผู้บริโภคเหมือนกับถุงยางเป็นยาชนิดหนึ่ง ทำให้เข้าถึงคนยาก กัณฑ์ได้บอกว่า แต่จริงๆ แล้วภาครัฐก็เปิดรับเรื่องนี้อยู่พอสมควร เรื่องช่องทางการสื่อสารก็ไม่ค่อยควบคุม เวลาก็ไม่ได้กำหนดมากนัก แต่เรื่องของเนื้อหาจะไม่สามารถพูดสรรพคุณของสินค้าแบบตรงๆ ได้ ต้องพูดอ้อมๆ เน้น Emotional สร้างแบรนด์เพื่อสร้างความมั่นใจ “ถุงยางเป็นเรื่องของความรับผิดชอบของทุกคน ความท้าทายอยู่ที่ทำให้คนไม่ใช้ถุงยางมาใช้ให้ได้” อย่างที่บอกไปว่า ONETOUCH เป็นแบรนด์สัญชาติไทยแท้ อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าแบรนด์ใหญ่ที่เป็นแบรนด์นอกอีก ทำให้ผู้บริโภคอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจในคุณภาพ ความท้าทายของ ONETOUCH จึงอยู่ที่ “การสร้างแบรนด์” เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ “แต่ก่อนให้ความสำคัญกับเรื่องสินค้าเป็นหลัก ไม่ค่อยได้สร้างแบรนด์มากนัก ตอนนี้จึงต้องมาใส่ใจเรื่องแบรนด์มากขึ้น ก็เลยมาคิดว่าถุงยางเป็นเรื่องของใครบ้าง… แต่ก่อนอาจจะคิดว่าคิดถึงถุงยางต้องเป็นเรื่องเซ็กซี่ แต่สมัยนี้พบว่าไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ถุงยางเป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของคนที่ดูแลตัวเอง ดูแลความรู้สึกของผู้อื่น ถ้าเจ็บป่วยขึ้นมาทำให้คนรอบข้างยุ่งยากไปอีก นั่นคือถุงยางเป็นเรื่องของความรับผิดชอบของตัวเอง สังคม ครอบครัว” พอได้เรื่องแนวคิดอะไรมาแล้ว จะเห็นว่าเมื่อหลายปีก่อน ONETOUCH เคยทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ เป็นการทำร่วมกับ “แซลมอน” เป็นวิดีโอไวรัลเพื่อทำให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น หรือการสร้างแบรนด์เลิฟนั่นเอง ซึ่งก็พบว่าวิธีการนี้ได้ผล ผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจแบรนด์ ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ONETOUCH มีการเติบโตในเรื่องของส่วนแบ่งตลาด และในเรื่องของการรับรู้ที่มีต่อแบรนด์มีมากขึ้น คนรู้จักแบรนด์ ONETOUCH มากขึ้น “แต่ก่อนไปถามคนอาจจะไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ตอนนี้คนรู้จักมากขึ้นแล้ว” กัณฑ์เสริมว่า “Perception ถุงยางกับเครื่องสำอางใกล้เคียงกัน พอราคาถูกคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าจะดีหรือไม่ แต่เรามีความตั้งใจให้คนได้ใช้ถุงยางที่มีคุณภาพในราคาจับต้องได้ ต้องให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ ให้คนหันมาใช้” คนไทยชอบกลิ่น-บาง หันไปซื้อออนไลน์มากขึ้น มาดูที่ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยปี 2018 มูลค่า 1,445 ล้านบาท มีการใช้จำนวน 77 ล้านชิ้น ส่วนแบ่งการตลาดแบ่งเป็น Durex 49% ONETOUCH 27% Okamoto 12% และ Playboy 7% โดยที่กลุ่มถุงยางที่มีกลิ่นมีการโตสูงที่สุด 35% ส่วนกลุ่มความบาง 0.03 ก็มีการเติบโตมากขึ้นเช่นกันอยู่ที่ 6.9% “ภาพรวมตลาดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการหดตัวในเรื่องจำนวนการใช้ติดลบ 2.9% แต่ในเรื่องของมูลค่าหดลงเล็กน้อย แสดงว่าคนเริ่มหันมาใช้ถุงยางมีราคาสูงขึ้น สถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้หลายอย่าง ผู้บริโภคอาจจะไปซื้อออนไลน์มากขึ้นเพราะสะดวกสบาย หรือผู้บริโภคสรรหาวิธีการป้องกันวิธีการอื่น เช่น ยาคุมกำเนิด หรืออาจจะไม่ใช้ถุงยางเลย ยอมรับความเสี่ยงมากขึ้น” กัณฑ์เสริมว่า จริงๆ พฤติกรรมคนไทยเริ่มเปิดกว้างกับถุงยางอนามัยมากขึ้นแล้ว สามารถซื้อในร้านค้าปลีกโดยไม่เคอะเขินแล้ว แต่ด้วยการซื้อขายบนออนไลน์ต้องบอกว่า “ราคา” เป็นเรื่องน่าสนใจ มีโปรโมชั่นที่ถูกกว่า อีกทั้งบางคนเป็นการซื้อแบบมีการวางแผนล่วงหน้า การสต็อคล่วงหน้าไว้ด้วย ทำให้ช่องทางออนไลน์เติบโต ซึ่งมูลค่าตลาดนี้ยังไม่รวมช่องทางออนไลน์เข้าไป ต้องทำให้คนไม่อยากใช้ถุงยาง ต้องใช้ให้ได้! กัณฑ์บอกว่า ความยากยิ่งกว่าการแข่งขันในตลาดก็คือ “ต้องจูงใจคนที่ไม่อยากใช้ถุงยาง มาใช้ถุงยางให้ได้” เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เป็นเรื่องยาก บางครั้งต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาล มีแคมเปญยืดอกพกถุง การเปลี่ยนความคิดคนเป็นสิ่งยิ่งใหญ่มาก “พฤติกรรมของผู้บริโภคทุกคนต้องการไม่ใส่ถุงยางมากกว่า เทคโนโลยีที่ดีที่สุดคือ “ความบาง” ตอนนี้ยางธรรมชาติสามารถทำบางที่สุดได้ที่ 0.03 ที่เห็นในต่างประเทศที่มีความบางมากกว่านั้นไม่ได้ทำจากยางธรรมชาติ แต่ยางธรรมชาติเป็นสัมผัสที่ดีที่สุด แบรนด์จึงพัฒนาจากยางธรรมชาติ ทิศทางการโตของตลาดไม่ต่างจากเดิมมาก แต่ตลาดออนไลน์จะคึกครื้น” ทางแบรนด์เคยลองทำสำรวจ พบว่าคนพอใจกับยางธรรมชาติ มีความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่า จึงอยากพัฒนายางธรรมชาติมากกว่า ให้มีความไต่ระดับความบางลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ ONETOUCH สินค้าทั้งหมด 10 รายการ แบ่งกลุ่มถุงยาง 5 ประเภท ได้แก่ ผิวบาง, Texture (มีปุ่ม), ฟังก์ชั่นพิเศษ เช่น ใส่สารลดการรู้สึกสัมผัส, มีกลิ่น เช่น สตรอเบอร์รี่ และไซส์พิเศษ ส่วนช่วงที่ขายดีที่สุดเป็นช่วงวันหยุดยาว ได้แก่ เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ และลอยกระทง จะเห็นว่าช่วงนี้จะมีการลดราคาเป็นพิเศษ แต่ที่ครองแชมป์ที่สุดคือวันลอยกระทง เพราะเป็นวันที่คนได้ออกจากบ้านได้ตอนกลางคืน มีบรรยากาศโรแมนติก อยู่ในช่วงฤดูหนาว แต่ถ้าช่วงไหนที่มีปัญหาสังคม ยอดขายก็จะหดตัวไปด้วย หวังล้มยักษ์ ขึ้นเบอร์ 1 ในตลาด การเป็นแบรนด์ถุงยางไทย สู้กับแบรนด์นอกได้อย่างไร? เป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะแบรนด์นอกทำตลาดในไทยมายาวนาน แต่ ONETOUCH ก็ขอท้าทายตัวเองด้วยการตั้งเป้าล้มยักษ์ให้ได้ “แน่นอนว่าเราหวังขึ้นเบอร์หนึ่งในตลาด แต่เจ้าตลาดอยู่มายาวนานกว่า การเป็นแบรนด์ไทยเป็นข้อดีอยู่แล้ว เป็นเจ้าภาพดีอยู่แล้ว สามารถรู้อินไซต์ว่าคนไทยชอบอะไร ปรับเปลี่ยนสินค้าให้คนในประเทศ มีความรวดเร็วในการขยับตัว อีกทั้งคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์มาก ถือเป็นโอกาสที่ดี” ซึ่ง ONETOUCH มีราคาถูกกว่า Durex ประมาณ 30% กัณฑ์มองว่าเป็นราคากำลังดี จำนวนชิ้นคงที่ อยากให้เป็นถุงยางที่ให้คนไทยได้ใช้ แบรนด์คนไทยเพื่อคนไทย เป็นจุดที่พึงพอใจ มีสินค้าคุณภาพ ราคากลางๆ ทิศทางต่อไป ONETOUCH จะเจาะกลุ่มวัยมิลเลเนียมมากขึ้น เป็นกลุ่มที่ไม่ทำอะไรตามที่คนอื่นทำมา แต่ก่อนคนส่วนใหญ่จะนึกถึง หรือใช้แต่ Durex แต่ตอนนี้พฤติกรรมเปลี่ยนไป มีการเปิดรับมากขึ้น เลือกถุงยางตามความต้องการมากขึ้น กัณฑ์บอกว่า ด้วยโมเมนตั้มแบบนี้สามารถลุ้นอันดับหนึ่งได้สบายๆ ในปีนี้ ONETOUCH คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด 32% แล้วเพิ่มเป็น 35% ในปี 2020 “สำหรับความท้าทายที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องของการเป็นแบรนด์ไทย ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะ แม้เราจะอยู่มานานแต่เพิ่งมาสร้างแบรนด์ ต้องทำให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค ต้องเรียนรู้อีกมาก ทั้งเรื่องความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน และกฎหมายเรื่องการสื่อสาร ยิ่งเพิ่มความท้าทายเข้าไปอีก” แต่อยากจะสื่อว่า “ถุงยางแสดงถึงความรับผิดชอบ อยากให้พกในกระเป๋ากัน อยากให้คนเห็นว่าคนพกเป็นคนมีความรับผิดชอบ” ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related ถุงยาง PLAYBOY ย้ายบ้าน… ภายใต้บริษัทคนไทย เจ้าของเดียวกับ ONETOUCH In "News" ศึกษาตลาดถุงยางอนามัย 1,400 ล้านบาทที่กำลังหดตัว หลังภาครัฐไม่กระตุ้น-กรอบกฎหมายไม่เอื้อ In "News" Tokyo Olympic 2020 คือโอกาสสำคัญของผู้ผลิตถุงยางอนามัย Okamoto และ Sakami In "News" | ส่วนแบ่งการตลาดเป็นดังนี้
1. Durex 49%
2. ONETOUCH 27%
3. Okamoto 12%
4. Playboy 7%
โดยที่กลุ่มถุงยางที่มีกลิ่นมีการโตสูงที่สุด 35% ส่วนกลุ่มความบาง 0.03 ก็มีการเติบโตมากขึ้นเช่นกันอยู่ที่ 6.9% “ภาพรวมตลาดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการหดตัวในเรื่องจำนวนการใช้ติดลบ 2.9% แต่ในเรื่องของมูลค่าหดลงเล็กน้อย แสดงว่าคนเริ่มหันมาใช้ถุงยางมีราคาสูงขึ้น สถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้หลายอย่าง ผู้บริโภคอาจจะไปซื้อออนไลน์มากขึ้นเพราะสะดวกสบาย หรือผู้บริโภคสรรหาวิธีการป้องกันวิธีการอื่น เช่น ยาคุมกำเนิด หรืออาจจะไม่ใช้ถุงยางเลย ยอมรับความเสี่ยงมากขึ้น” | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38978 | Retail | พูดเกี่ยวกัวการเปิดอินไซต์ 5 ตลาด E-commerceในเอเชีย | null | การเปิดอินไซต์เกี่ยวกับ 5 ตลาด E-commerce ในเอเชียโดยบริษัทการขนส่งด่วนระหว่างประเทศดีเอชแอล (DHL) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่สำคัญและการเติบโตของอุตสาหกรรม E-commerce ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย
1. จีน
จีนยังคงเป็นตลาด E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ผู้บริโภคชาวจีนมีความนิยมในการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ซึ่งรวมถึง Alibaba, JD.com และอื่นๆ ตลาด E-commerce ในจีนได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เช่น ระบบการชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. ฮ่องกง
ตลาด E-commerce ในฮ่องกงมีความเฉพาะเจาะจง เนื่องจากผู้บริโภคมักมีความคาดหวังสูงต่อบริการออนไลน์ ข้อมูลที่พบว่าประชากรถึง 48% อ่านรีวิวสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความน่าเชื่อถือในการให้บริการ นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดนี้ยังมีการเน้นที่ค่าจัดส่งฟรีและโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า
3. ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นมีความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งมีความคาดหวังสูงเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าและบริการ E-commerce ในญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีที่สนับสนุนการช็อปปิ้งออนไลน์ เช่น การใช้ AI ในการแนะนำสินค้า
4. เกาหลีใต้
ในเกาหลีใต้ ตลาด E-commerce มีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะกับผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Coupang และ Gmarket แม้ว่าการซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศจะยังคงเป็นที่นิยม แต่การซื้อสินค้าจากต่างประเทศกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจาก Amazon และ eBay ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภค
5. อินเดีย
ตลาด E-commerce ในอินเดียมีการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นท้องถิ่น เช่น Flipkart และ Snapdeal การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวอินเดียให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและความน่าเชื่อถือเป็นหลัก นอกจากนี้การเติบโตของสมาร์ทโฟนและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังทำให้ E-commerce ในอินเดียมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มและโอกาสในอนาคต
- การเติบโตของตลาด E-commerce: คาดว่ามูลค่าของตลาด E-commerce ระหว่างประเทศทั่วโลกจะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสในการขยายตลาด
- การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า: ผู้บริโภคมีความคาดหวังที่สูงในด้านคุณภาพสินค้าและบริการ การให้บริการที่ดีและโปร่งใสจะช่วยสร้างความพึงพอใจและเพิ่มความเชื่อมั่น
- เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การใช้เทคโนโลยีในการช็อปปิ้งออนไลน์ เช่น AI และการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการพัฒนา E-commerce
โดยรวมแล้ว ตลาด E-commerce ในเอเชียมีศักยภาพที่สูงและยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการควรใช้โอกาสนี้ในการขยายธุรกิจของตนให้เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้มากขึ้น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38995 | Retail | ทอท.ได้จำหน่ายเอกสารการยื่นข้อเสนอการดำเนินงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ทั้ง 3 สนามบิน (ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่) ระหว่างวันที่ 5 – 25 เม.ย. 62 มีผู้สนใจซื้อเอกสาร รวมทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่บริษัทใดบ้าง | ผลการคัดเลือกผู้ประกอบการกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร หรือ Duty Free สนามบินสุวรรณภูมิ และการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในอาคารผู้โดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึง Duty Free ของสนามบินภูมิภาค 3 แห่ง ที่ภูเก็ต, เชียงใหม่ และ หาดใหญ่
KING POWER ผู้ประกอบการรายเดิมชนะการคัดเลือกทั้งหมด เป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ได้ดำเนินกิจการทั้งหมดต่อไป โดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้มีการประชุมคณะกรรมการ และมีมติอนุมัติให้ KING POWER ได้เป็นผู้รับสิทธิ
Photo : Shutterstock
KING POWER เสนอผลตอบแทน 2.3 หมื่นล้านบาท ระยะเวา 10 ปี 6 เดือน
สำหรับผลตอบแทนที่ KING POWER เสนอคือ 15,419,000,000 บาท (Minimum Guarantee) เป็นผลตอบแทนขั้นต่ำรายปี กำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 ก.ย. 63 – 31 มี.ค. 74
ส่วนการอนุมัติการคัดเลือกผู้ประกอบการกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร 3 สนามบินภูมิภาค คือ ภูเก็ต, เชียงใหม่ และ หาดใหญ่ KING POWER ชนะการประมูล เสนอผลตอบแทน 2,331,000,000 บาทต่อปี กำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 ก.ย. 63 – 31 มี.ค. 74
การอนุมัติการคัดเลือกผู้ประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ KING POWER ชนะการประมูล เสนอผลตอบแทน 5,798,000,000 บาทต่อปี กำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 ก.ย. 63 – 31 มี.ค. 74
เมื่อรวม 3 สัมปทานที่ KING POWER ชนะการประมูล ทอท. จะได้รับผลตอบแทนรวม 23,548,000,000 บาทต่อปี
duty free1
Photo : Shutterstock
ผู้ประกอบการ Duty Free ไทย ยังมีรายเดียว
ก่อนหน้านี้สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้พยายามยื่นหนังสือถึง ทอท. ขอให้มีการทบทวนรายละเอียดการประมูลผู้ประกอบการ Duty Free โดยเสนอว่า ทอท. ควรได้รับค่าตอบแทนจากสัมปทานประมาณ 30-40% ซึ่งเป็นระดับที่ Duty Free ทั่วโลกจัดส่งให้กับสนามบิน เพราะ ผู้ประกอบการ Duty Free ไม่ต้องสร้างอาคารห้างสรรพสินค้าเอง ไม่ต้องหาลูกค้า เพราะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาอยู่แล้ว
อีกทั้งควรมีการแยกย่อยสัมปทานในสนามบินหลัก โดยเฉพาะ สุวรรณภูมิ ให้มีมากกว่า 1 รายเพื่อสร้างการแข่งขัน หลีกเลี่ยงการผูกขาดเพียงรายเดียว และควรกำหนดระยะเวลาสัมปทานให้สั้นลงเหลือ 5-7 ปี เพราะ 10 ปีเป็นระยะเวลาที่นานเกินไป
แต่สุดท้ายข้อเสนอดังกล่าวก็ไม่ได้รับการทบทวนแต่อย่างใด
Photo: AOT
อ่านรายละเอียดการประมูล 3 สัมปทาน
รายละเอียดการยื่นข้อเสนอ การดำเนินงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ วันที่ 1 – 18 เม.ย. 62 มีผู้สนใจซื้อเอกสาร 5 ราย
บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
แต่มีผู้มายื่นซอง 3 ราย
บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้าการบิน
กรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท โฮเต็ล ล็อตเต้ จำกัด และบริษัท บางกอกแอร์เวย์สโฮลดิ้ง จำกัด
บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED
วันที่ 27 พ.ค. มีการนำเสนอผลงาน และวันที่ 31 พ.ค. ได้เปิดซอง ซึ่งผู้ได้คะแนนรวมสูงสุดคือ KING POWER และวันที่ 19 มิ.ย. บอร์ด ทอท. ได้อนุมัติผล กำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 ก.ย. 63 – 31 มี.ค. 74 อันดับการเสนอผลตอบแทน มีดังนี้
อันดับ 1 บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิที่คะแนนสูงสุด คือ 94.30 คะแนน และเสนอ
ค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 15,419,000,000.- บาท
อันดับ 2 กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) คือ 83.10 คะแนน และ
เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 8,516,653,333.- บาท
อันดับ 3 บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED คือ 78.85 คะแนน และเสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 7,255,000,000.- บาท
Photo: AOT
ทอท.อนุมัติผลการคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ทอท.ได้จำหน่ายเอกสารการยื่นข้อเสนอการดำเนินงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ทั้ง 3 สนามบิน ระหว่างวันที่ 5 – 25 เม.ย. 62 มีผู้สนใจซื้อเอกสาร รวมทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่
บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด
มีผู้มายื่นข้อเสนอ 3 ราย
บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้าการบิน กรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานภูมิภาค) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท โฮเต็ล ล็อตเต้ จำกัด และบริษัท บางกอกแอร์เวย์สโฮลดิ้ง จำกัด
บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED
5 มิ.ย. กำหนดนำเสนอผลงาน 10 มิ.ย. เปิดซองเสนอค่าตอบแทน 19 มิ.ย. บอร์ด ทอท. อนุมัติผลการคัดเลือก
อันดับ 1 บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิที่คะแนนสูงสุด คือ 96.10 คะแนน และเสนอ
ค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 2,331,000,000.- บาท
อันดับ 2 บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED คือ 86.72 คะแนน และเสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 2,012,000,000.- บาท
อันดับ 3 กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานภูมิภาค) คือ 84.74 คะแนน และ
เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 2,108,635,888.- บาท
Photo: AOT
การอนุมัติผลการคัดเลือกผู้ประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ทอท.ได้จำหน่ายเอกสารการยื่นข้อเสนอระหว่างวันที่ 1 – 18 เมษายน 2562 โดยมีผู้สนใจซื้อเอกสาร รวมทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่
บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด
มีผู้ยื่นข้อเสนอ 2 ราย
บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
29 พ.ค. กำหนดนำเสนอผลงาน 31 พ.ค. เปิดซองค่าตอบแทน 19 มิ.ย. บอร์ดอนุมัติผล
อันดับ 1 บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิที่คะแนนสูงสุด คือ 95.20 คะแนน และเสนอ
ค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 5,798,000,000.- บาท
อันดับ 2 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) คือ 80.81 คะแนน และเสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนปีละ 3,003,000,000.- บาท
ทอท. ยืนยันว่า ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีเงื่อนไขระบุว่า จะมีการควบคุมราคาอาหารและเครื่องดื่มของผู้ประกอบการรายย่อยไม่ให้สูงเกิน 20% เมื่อเทียบกับราคาในท้องตลาด | 1. บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
2. บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
3. บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
4. บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_38998 | Retail | รัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนจะเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถุงพลาสติกในประเทศให้เร็วที่สุดภายในวันที่ 1 เมษายน 63 โดยจะร่วมมือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่ออะไร | ปัจจุบัน กระแสการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และญี่ปุ่นที่มีการใช้งานพลาสติกปริมาณมากเป็นอันดับสองรองเพียงสหรัฐฯ ก็เริ่มจะขยับตัวในเรื่องนี้ไปอีกขั้น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังจะเริ่มเก็บค่าใช้ถุงพลาสติกในร้านค้าก่อนการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนจะเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถุงพลาสติกในประเทศให้เร็วที่สุดภายในวันที่ 1 เมษายน 63 โดยจะร่วมมือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อกำหนดนโยบายนี้ให้ชัดเจน เช่น ถุงพลาสติกแบบใดที่จะต้องเก็บเงินตามนโยบายนี้ เป้าหมายของการออกนโยบายครั้งนี้คือเพื่อลดจำนวนขยะพลาสติกในมหาสมุทรโลก ซึ่งคาดว่าจะเป็นหัวข้อหลักในการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นในโอซาก้าในเดือนนี้ โดยนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe เคยกล่าวว่าเขาอยากให้ญี่ปุ่นเป็นผู้นำของโลกในด้านการลดขยะพลาสติกที่ทิ้งลงมหาสมุทร แม้ว่าญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีส่วนมากในการสร้างกองขยะพลาสติกในมหาสมุทร แต่ในแง่การใช้แพคเกจจิ้งที่เป็นพลาสติกต่อคนนั้น ญี่ปุ่นมียอดใช้เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยถุงพลาสติกในญี่ปุ่นนั้นมีปริมาณการใช้งานต่อปีราว 2 แสนตันหรือ 2% ของปริมาณพลาสติกทั้งหมด ถ้าขึ้นค่าใช้ถุงพลาสติกก็จะช่วยให้ญี่ปุ่นลดขยะพลาสติกได้ไม่น้อย ตอนนี้ผู้ค้าปลีกหลายรายในญี่ปุ่นก็เริ่มมาตรการเก็บค่าใช้ถุงพลาสติกบ้างแล้ว หรือบางแห่งก็เปลี่ยนเป็นใช้วัสดุทางเลือกอย่างเช่นกระดาษ โดยซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเป็นกลุ่มแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงก็ยินดีทำตามแผนของรัฐบาล เพราะตอนนี้มีซุปเปอร์หลายแห่งใน 10 เมืองของญี่ปุ่นเริ่มนโยบายเก็บค่าถุงพลาสติกแล้ว ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเพราะลูกค้า 70% นำถุงมาเอง เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีสัดส่วนน้อยกว่า 30% Takaharu Iwasaki ประธานของซุปเปอร์มาร์เก็ต Life ในญี่ปุ่นระบุว่า “ถ้าทุกร้านใช้ค่าธรรมเนียมเหมือนกัน ก็จะทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น” นอกจากการลดใช้ถุงพลาสติกแล้ว ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน ญี่ปุ่นก็วางแผนจะทำโพเดียมสำหรับรับเหรียญรางวัลจากพลาสติกรีไซเคิลอีกด้วย เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาของพลาสติกในโลกปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น สรุป ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องที่ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก การที่ญี่ปุ่นซึ่งกำลังจะจัดงานโอลิมปิกออกนโยบายจะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และสร้างความตระหนักรู้ทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกหันมาสนใจปัญหานี้เพิ่มขึ้นด้วย | รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เพื่อจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกในประเทศและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีความร่วมมือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเภทของถุงพลาสติกที่จะต้องเก็บค่าธรรมเนียม
เหตุผลหลักในการดำเนินนโยบายนี้มีดังนี้:
1.ลดขยะพลาสติก: เป้าหมายของการเก็บค่าธรรมเนียมคือการลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งจะช่วยลดจำนวนขยะพลาสติกในมหาสมุทรโลกได้ โดยญี่ปุ่นมีอัตราการใช้พลาสติกต่อคนสูงเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ
2.สร้างความตระหนักรู้: การออกนโยบายนี้ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก
3.ร่วมมือกับผู้ค้าปลีก: รัฐบาลได้เริ่มสนับสนุนให้ผู้ค้าปลีกเก็บค่าธรรมเนียมนี้ และหลายแห่งก็เริ่มดำเนินการไปแล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือมีลูกค้านำถุงมาใช้เองเพิ่มขึ้นอย่างมาก
4.มาตรการอื่น ๆ: นอกจากการเก็บค่าธรรมเนียม ยังมีการวางแผนทำโพเดียมสำหรับรับเหรียญรางวัลจากพลาสติกรีไซเคิลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เพื่อสร้างการรับรู้และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลดการใช้พลาสติก
โดยสรุป นโยบายการเก็บค่าธรรมเนียมถุงพลาสติกในญี่ปุ่นไม่เพียงแต่จะช่วยลดขยะพลาสติก แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้นำในการลดขยะพลาสติกและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับโลกในอนาคต | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39003 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เราทุกคนต้องร่วมมือกันลดการใช้พลาสติกและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม | null | ครีม Olay รีฟิล : บทพิสูจน์ความงามที่ยั่งยืน
ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาชิดลม กรุงเทพมหานคร ฝูงชนกำลังเลือกซื้อสินค้าหลากหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ นางสาวมินตรา หญิงสาววัย 25 ปี กำลังยืนมองครีมบำรุงผิวหน้า Olay Regenerist Whips บนชั้นวางสินค้า
เธอหยิบครีมขึ้นมาดู พลิกอ่านฉลากด้านหลังอย่างตั้งใจ ครีมตัวนี้เป็นสูตรที่เธอใช้เป็นประจำ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอก็คือ แพ็คเกจจิ้งแบบรีฟิล ที่เป็นสีขาวเรียบง่าย ต่างจากแบบเดิมที่เป็นขวดพลาสติก
"น่าสนใจดี" มินตราพึมพำกับตัวเอง เธอนึกถึงข่าวสารเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน
"นี่คงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่รักษ์โลกอย่างเรา"
มินตราตัดสินใจซื้อครีม Olay Regenerist Whips แบบรีฟิล พร้อมกับขวดบรรจุแบบรีฟิลแยกต่างหาก
พนักงานขายสาวอธิบายให้เธอฟังว่า ขวดบรรจุแบบรีฟิลนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ช่วยลดขยะพลาสติกได้อย่างมีนัยสำคัญ
มินตราใช้ครีม Olay Regenerist Whips แบบรีฟิลเป็นประจำ ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกับแบบขวดพลาสติกทุกประการ เธอรู้สึกพึงพอใจกับผลิตภัณฑ์และรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดขยะพลาสติก
วันหนึ่ง มินตราไปเยี่ยม คุณยายสมศรี คุณยายของเธอที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด คุณยายสมศรีกำลังนั่งคัดแยกขยะพลาสติกอยู่หน้าบ้าน มินตราจึงเข้าไปช่วยคุณยาย
"ยายทำอะไรอยู่คะ?" มินตราถาม
"ยายกำลังคัดแยกขยะพลาสติกอยู่" คุณยายตอบ "สมัยก่อนเราไม่ค่อยมีขยะพลาสติกมากมาย แต่เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะไปหมด ยายเป็นห่วงโลกของเรา กลัวว่าลูกหลานจะไม่มีที่อยู่"
มินตราฟังคุณยายพูดแล้วรู้สึกเศร้าใจ เธอเล่าให้คุณยายฟังเกี่ยวกับครีม Olay Regenerist Whips แบบรีฟิลที่เธอใช้
"ดีมากลูก" คุณยายยิ้ม "ยายดีใจที่ลูกตระหนักถึงปัญหานี้ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"
มินตราและคุณยายคุยกันต่อเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติกและแนวทางแก้ไข ทั้งสองคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การลดการใช้พลาสติกเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน
"เราต้องช่วยกันรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหานี้" มินตราพูด "และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น"
คุณยายพยักหน้า "จริงลูก โลกของเราเป็นของพวกเราทุกคน เราต้องช่วยกันดูแลรักษาไว้"
มินตราและคุณยายใช้เวลากันทั้งบ่าย คัดแยกขยะพลาสติกและพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม พวกเธอมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง โลกของเราจะมีขยะพลาสติกน้อยลง และผู้คนจะตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39008 | Retail | Index Living Mall เดินหน้าเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออะไร | null | เพื่อรองรับการเติบโตของสังคมเมืองดันความต้องการใช้ของตกแต่งบ้านเพิ่มขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความต้องการเฉพาะตัว นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกของตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าและสนับสนุนให้ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกการแต่งบ้านและการใช้ชีวิต เพื่อความลงตัวทางด้านดีไซน์ ฟังก์ชัน คุณภาพ และราคาที่ครอบคลุมประชาชนทุกคน ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นที่หนึ่งในใจเรื่องธุรกิจ
เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย” การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจร้านค้าปลีกของตกแต่งบ้านที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น โดย ILM จะมุ่งนำเสนอสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมการออกแบบและการผลิตที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลและสามารถเข้ากับที่อยู่อาศัยได้อย่างลงตัวผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายร้านค้าปลีกของบริษัทฯ งานโครงการ ตัวแทนจำหน่าย ออนไลน์และส่งออกต่างประเทศ ทั้งนี้ บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกของตกแต่งบ้านครบวงจรที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน โดยร้านค้าปลีกในประเทศไทยมีจำนวน 4 แบรนด์หลัก ซึ่งครอบคลุมลูกค้าทุกระดับ ภายใต้ชื่อ Index Living Mall,Trend Design, Winner และ Youniqueที่มีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ทำให้สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ กล่าวว่า ปัจจุบัน Index Living Mall และ Index Furniture Centerมีจำนวนทั้งหมด 36 สาขา ซึ่งครอบคลุมกว่า 21 จังหวัดทั่วประเทศไทย และบริษัทฯ ยังเป็นผู้ให้บริการธุรกิจให้เช่าและบริการพื้นที่เช่า ภายใต้แบรนด์ The Walk, Little Walk และ Index Mallจำนวน 9 สาขา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีจุดแข็งด้านแบรนด์ร้านค้าปลีกและแบรนด์สินค้าเป็นที่จดจำและได้รับความนิยม (Brand Awareness)ด้วยนวัตกรรมและการออกแบบที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกระดับโดยในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวบริการ “Younique Customized Furniture 4.0” ซึ่งเป็นบริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและดีไซน์ได้เองตามความต้องการ และลูกค้าสามารถปรับขนาดของเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดดังกล่าวได้อย่างอิสระช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งครอบคลุมทั่วประเทศไทย การขายสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์ (On-line) | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39018 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "Ecotopia" ให้หน่อยค่ะ | กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ก้าวไปอีกขั้นของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดความยั่งยืนเพื่อโลกของเรา โดย “Ecotopia” เมืองแห่งคนรักษ์โลก ติดอันดับ Asia’s 20 Coolest Retailers เป็นหนึ่งใน 20 ร้านค้าปลีกที่เยี่ยมยอดที่สุดเอเชีย จาก Inside Retail สื่อธุรกิจรีเทลชั้นนำของเอเชีย ซึ่งคัดเลือกแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ แตกต่าง สร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจจากทั่วภูมิภาคเอเชีย “Ecotopia” ได้รับการยกย่องในประเภทความยั่งยืน (Sustainability/department store) เป็นแหล่งรวมสินค้าสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำโมเดลการขับเคลื่อนธุรกิจของสยามพิวรรธน์ ภายใต้กลยุทธ์ร่วมกันรังสรรค์และสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ก้าวไปอีกขั้นของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดความยั่งยืนเพื่อโลกของเรา โดย “ เมืองแห่งคนรักษ์โลก ติดอันดับ เป็นหนึ่งใน 20 ร้านค้าปลีกที่เยี่ยมยอดที่สุดเอเชีย จาก Inside Retail สื่อธุรกิจรีเทลชั้นนำของเอเชีย ซึ่งคัดเลือกแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ แตกต่าง สร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจจากทั่วภูมิภาคเอเชีย “ Ecotopia” ได้รับการยกย่องในประเภทความยั่งยืน (Sustainability/department store) เป็นแหล่งรวมสินค้าสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำโมเดลการขับเคลื่อนธุรกิจของสยามพิวรรธน์ ภายใต้ กลยุทธ์ร่วมกันรังสรรค์และสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย อุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ Ecotopia ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน Asia’s 20 Coolest Retailers จาก Inside Retail นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ-ของ Ecotopia ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ‘Ecotopia’ เกิดจากความตั้งใจในการ สร้างสังคมคนรักษ์โลก และร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกของเรา (Together, We Co-Create a Better World) ด้วยแนวทางและวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลดการสร้างขยะ เพิ่มการใช้ซ้ำ ทำความรู้จักกับธรรมชาติในมุมมองใหมรวมถึง การสร้างคุณค่าของเหลือใช้ให้กลับมามีประโยชน์ขึ้นอีกครั้ง Ecotopia ยังเป็นแหล่งรวมผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ที่มีความหลากหลายมากที่สุด สามารถค้นหาได้ง่าย จบในที่เดียวอีกด้วย กล่าวว่า “เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ Ecotopia ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน Asia’s 20 Coolest Retailers จาก Inside Retail นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ-ของ Ecotopia ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ‘Ecotopia’ เกิดจากความตั้งใจในการ สร้างสังคมคนรักษ์โลก และ ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกของเรา (Together, We Co-Create a Better World) ด้วยแนวทางและวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลดการสร้างขยะ เพิ่มการใช้ซ้ำ ทำความรู้จักกับธรรมชาติในมุมมองใหมรวมถึง การสร้างคุณค่าของเหลือใช้ให้กลับมามีประโยชน์ขึ้นอีกครั้ง Ecotopia ยังเป็นแหล่งรวมผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ที่มีความหลากหลายมากที่สุด สามารถค้นหาได้ง่าย จบในที่เดียวอีกด้วย การจัดอันดับในครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของพันธกิจด้านความยั่งยืนของสยามพิวรรธน์ ภายใต้แนวคิดในการร่วมกันรังสรรค์ และการสร้างคุณค่าที่มีประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ซึ่งเป็นหลักการที่ได้ปลูกฝังเข้าไปอยู่ในโมเดลธุรกิจและการดำเนินการทุกๆ วัน ในทุกโครงการ” การจัดอันดับในครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของพันธกิจด้านความยั่งยืนของสยามพิวรรธน์ ภายใต้ แนวคิด ใน การร่วมกันรังสรรค์ และการสร้างคุณค่าที่มีประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ซึ่งเป็นหลักการที่ได้ ปลูกฝังเข้าไปอยู่ในโมเดลธุรกิจและการดำเนินการทุกๆ วัน ใน ทุกโครงการ” Inside Retail ระบุว่า “Ecotopia” เป็นแบรนด์ที่ปฏิวัติวงการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ มุ่งเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในด้านวิถีทางการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน Ecotopia ไม่เพียงแต่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงวิธีการใช้ประโยชน์สูงสุดจากผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น นอกจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับ refill แล้ว ยังอนุญาตให้ลูกค้านำบรรจุภัณฑ์มา refill เองได้ การให้ความรู้ด้านการทำครัวแบบปราศจากของเสีย รวมทั้งการเปิดพื้นที่สำหรับกิจกรรม Workshop รักษ์โลก เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนขยะเป็นงานศิลป์ หรือนำไปเป็นวัสดุสำหรับการทำสวนแบบออร์แกนิค ถือเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับคนรักษ์โลก รวมพลังผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน สร้างความแตกต่างได้ในทุกๆ วัน Inside Retail ระบุว่า “Ecotopia” เป็นแบรนด์ที่ปฏิวัติวงการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ มุ่งเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในด้านวิถีทาง การใช้ชีวิตแบบยั่งยืน Ecotopia ไม่เพียงแต่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงวิธีการใช้ประโยชน์สูงสุดจากผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น นอกจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับ refill แล้ว ยังอนุญาตให้ลูกค้านำบรรจุภัณฑ์มา refill เองได้ การให้ความรู้ด้านการทำครัวแบบปราศจากของเสีย รวมทั้งการเปิดพื้นที่สำหรับกิจกรรม Workshop รักษ์โลก เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนขยะเป็นงานศิลป์ หรือนำไปเป็นวัสดุสำหรับการทำสวนแบบออร์แกนิค ถือเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับคนรักษ์โลก รวมพลังผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน สร้างความแตกต่างได้ในทุกๆ วัน “Ecotopia” ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ รวบรวมผลิตภัณฑ์รักษ์โลกกว่า 300 แบรนด์ โดยแบ่งเป็น 8 โซนไฮไลท์สำคัญ คือ “Ecotopia” ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ รวบรวมผลิตภัณฑ์รักษ์โลกกว่า 300 แบรนด์ โดย แบ่งเป็น 8 โซนไฮไลท์สำคัญ คือ โซน Hygiene เน้นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุที่ย่อยสลายได้ โซน Hygiene เน้นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุที่ย่อยสลายได้ โซน Zero Waste สามารถนำบรรจุภัณฑ์มา Refill เพื่อช่วยลดขยะให้กับโลกได้ โซน Zero Waste สามารถนำบรรจุภัณฑ์มา Refill เพื่อช่วยลดขยะให้กับโลกได้ โซน Green แหล่งรวมต้นไม้ฟอกอากาศ และอุปกรณ์ทำสวน โซน Green แหล่งรวมต้นไม้ฟอกอากาศ และอุปกรณ์ทำสวน โซน Healthy โซนอาหารเพื่อสุขภาพที่คัดเลือกวัตถุดิบออร์แกนิคจากธรรมชาติ โซน Healthy โซนอาหารเพื่อสุขภาพที่คัดเลือกวัตถุดิบออร์แกนิคจากธรรมชาติ โซน Beautiful รวมผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายทั้งสินค้าออร์แกนิค และ Personal care ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ โซน Beautiful รวมผลิตภัณฑ์ความงามหลากหลายทั้งสินค้าออร์แกนิค และ Personal care ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ โซน Up-cycled ผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำมารีไซเคิลใหม่ โซน Up-cycled ผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำมารีไซเคิลใหม่ โซน Stylish รวมแฟชั่นที่ทำมาจากฝ้ายออร์แกนิค, เศษผ้า โซน Stylish รวมแฟชั่นที่ทำมาจากฝ้ายออร์แกนิค, เศษผ้า โซน Kind รวบรวมงานฝีมือและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างสรรค์จากวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนและชาวบ้าน โซน Kind รวบรวมงานฝีมือและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างสรรค์จากวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนและชาวบ้าน ทั้งนี้ Ecotopia ได้เป็นหนึ่งใน Asia’s 20 Coolest Retailers ซึ่งมีร้านค้าแบรนด์ดังที่มีคอนเซ็ปท์พิเศษจากนานาประเทศที่ร่วมในลิสต์ อาทิ Pop Mart และ I Do จากจีน Musinsa และ Gentle Monster จากเกาหลีใต้ Seeson จากเวียดนาม และ Ambush แบรนด์จากญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดบูธีคช้อปที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ Ecotopia ได้เป็นหนึ่งใน Asia’s 20 Coolest Retailers ซึ่งมีร้านค้าแบรนด์ดังที่มีคอนเซ็ปท์พิเศษจากนานาประเทศที่ร่วมในลิสต์ อาทิ Pop Mart และ I Do จากจีน Musinsa และ Gentle Monster จากเกาหลีใต้ Seeson จากเวียดนาม และ Ambush แบรนด์จากญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดบูธีคช้อปที่เซี่ยงไฮ้ | Ecotopia ธุรกิจร้านค้าปลีกแนวคิดความยั่งยืนเพื่อโลก ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ จำหน่ายผลิตภัณฑ์รักษ์โลกกว่า 300 แบรนด์ โดยแบ่งเป็น 8 โซนดังนี้
1. Hygiene ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้
2. Zero Waste นำบรรจุภัณฑ์มา Refill เพื่อลดขยะให้กับโลก
3. Green แหล่งรวมอุปกรณ์ทำสวน ต้นไม้ฟอกอากาศ
4. Healthy อาหารเพื่อสุขภาพจากวัตถุดิบออร์แกนิค
5. Beautiful ผลิตภัณฑ์ความงามที่เป็นสินค้าออร์แกนิคและมีสารสกัดจากธรรมชาติ
6. Up-cycled ผลิตภัณฑ์จากการรีไซเคิล
7. Stylish แฟชั่นที่ทำจากเศษผ้าและฝ้ายออร์แกนิค
8. Kind งานฝีมือและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างสรรค์จากวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้กลับคืนชุมชน
Ecotopia เป็นหนึ่งใน 20 ร้านค้าปลีกที่เยี่ยมยอดที่สุดในเอเชียจาก Asia’s 20 Coolest Retailers เพราเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ แตกต่าง และได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าสำหรับผู้บริโภคที่รักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39032 | Retail | แผนงานของมันนิกซ์ในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเติบโตอีกกว่า 1.5 เท่าเมื่อเทียบจากปี 2565 ด้วยกลยุทธ์ใด | A. Digital CX
B. Best CX Business Model
C. Best Fintech For Digital
D. อีโคซิสเต็ม F.I.R.E. | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ D. ด้วยกลยุทธ์สร้าง “อีโคซิสเต็ม F.I.R.E.” ที่ทำงานสอดประสานกัน เดินหน้าตอบสนองความต้องการสินเชื่อบนแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมตอกย้ำความเป็นแบรนด์คู่คนทำมาหากินที่แตกต่างอย่างเข้มแข็ง ประกอบไปด้วย
F – Finance (มีเงินใช้) พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้สินเชื่อนาโนฟินนิกซ์ติดปีกและสินเชื่อบุคคลฟินนิกซ์อิกไนท์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น เช่น การให้วงเงินหรือคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงที่แตกต่างกันจากข้อมูลของลูกค้า พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าสินเชื่อเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัวสู่กว่า 1 ล้านราย โดยตั้งเป้าเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าคนทำมาหากินในต่างจังหวัดเพิ่มเติม
I – Intel (เข้าใจตัวเอง) เปิดตัวรายงานสุขภาพทางการเงินเชิงลึกที่สะท้อนพฤติกรรมทางการเงินของลูกค้า พร้อมวัดผลเป็นคะแนนและให้คำแนะนำที่เข้าใจง่ายกว่าใคร โดยใช้พลังเอไอและแมชชีนเลิร์นนิงเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าใจพฤติกรรมตนเองได้ชัดเจน ช่วยสร้างเสริมวินัยทางการเงินในระยะยาว
R – Reward (เร่งสร้างวินัย) ต่อยอดระบบเกมให้รางวัล (gamification) ให้หลากหลายยิ่งขึ้น จากความสำเร็จของเกมล่าดาว เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกค้ามีวินัยและรักษาเครดิตดีอย่างต่อเนื่อง โดยให้เป็นของรางวัลต่างๆ อาทิ ของขวัญพิเศษหรือวงเงินเพิ่ม พร้อมทั้งมอบสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าหรือบริการจากพันธมิตรในราคาประหยัดกว่าใครผ่านแอปฟินนิกซ์ เพื่อช่วยลดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน
E – Empowerment (เสริมรายได้และความรู้) ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรจากสายธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้ลูกค้าของแอปฟินนิกซ์ให้มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ต่อไป โดยตั้งเป้าสร้างโอกาสเสริมอาชีพให้ลูกค้าเพิ่มเป็น 30,000 ราย พร้อมให้ความรู้เรื่องการเงินที่ย่อยง่ายและเข้าใจได้เร็วในช่องทางต่างๆ ของแอปฟินนิกซ์ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39035 | Retail | จอ LED ของ Samsung เหมาะกับการใช้งานในร้านค้าปลีกหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
ดึงดูดความสนใจ: จอ LED ของ Samsung มีความคมชัดสูง สีสันสดใส และความสว่างที่ปรับได้ ช่วยให้สามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าและนำเสนอสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพิ่มยอดขาย: การใช้จอ LED ในร้านค้าปลีกสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ โดยการนำเสนอข้อมูลสินค้า โปรโมชั่น และวิดีโอที่น่าสนใจ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
ปรับแต่งได้: จอ LED ของ Samsung มีหลายขนาด รูปแบบ และฟังก์ชั่นให้เลือกใช้งาน allowing retailers to customize their displays to meet their specific needs.
ใช้งานง่าย: จอ LED ของ Samsung ใช้งานง่าย ไม่ต้องใช้ทักษะทางเทคนิคมาก
ประหยัดพลังงาน: จอ LED ของ Samsung ประหยัดพลังงาน ช่วยให้ร้านค้าปลีกประหยัดค่าใช้จ่าย
ทนทาน: จอ LED ของ Samsung ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
ตัวอย่างการใช้งานจอ LED ของ Samsung ในร้านค้าปลีก:
ใช้แสดงสินค้า: จอ LED สามารถใช้แสดงรูปภาพและวิดีโอของสินค้า ช่วยให้ลูกค้าเห็นสินค้าได้ชัดเจน
ใช้แสดงโปรโมชั่น: จอ LED สามารถใช้แสดงโปรโมชั่นและส่วนลด ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้า
ใช้แสดงข้อมูล: จอ LED สามารถใช้แสดงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เช่น ราคา สรรพคุณ และวิธีใช้งาน
ใช้แสดงวิดีโอ: จอ LED สามารถใช้แสดงวิดีโอเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือบริษัท ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
ใช้เป็นป้ายบอกทาง: จอ LED สามารถใช้เป็นป้ายบอกทาง ช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น
ข้อควรพิจารณา:
ราคา: จอ LED ของ Samsung มีราคาค่อนข้างสูง
การติดตั้ง: จอ LED จำเป็นต้องติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญ
การบำรุงรักษา: จอ LED จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
สรุป:จอ LED ของ Samsung เหมาะกับการใช้งานในร้านค้าปลีก เพราะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้า เพิ่มยอดขาย ปรับแต่งได้ ใช้งานง่าย ประหยัดพลังงาน และทนทาน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39038 | Retail | จากกลยุทธ์ของ Starbucks ในการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และคนมีกำลังซื้อสูง อะไรคือประเด็นสำคัญที่ร้านค้าปลีกอื่นๆ ควรเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้? | null | จากกลยุทธ์ของ Starbucks ในการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และคนมีกำลังซื้อสูง มีประเด็นสำคัญที่ร้านค้าปลีกอื่นๆ ควรเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ดังนี้:
1. เข้าใจกลุ่มลูกค้า:
ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และความชอบของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
พัฒนากลยุทธ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
2. เน้นสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง:
พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
สร้างบรรยากาศในร้านที่ดึงดูดลูกค้า
มอบบริการที่ประทับใจ
3. พัฒนาช่องทางการขายที่หลากหลาย:
ขยายช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์
มอบความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า
พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้งานง่าย
4. สร้างความภักดีในแบรนด์:
พัฒนาโปรแกรมสมาชิกที่คุ้มค่า
มอบสิทธิพิเศษและส่วนลด
สร้างกิจกรรมส่งเสริมการขาย
5. ติดตามเทรนด์และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง:
ศึกษาทเรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
พัฒนาสินค้าและบริการให้ทันสมัย
ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างการนำไปประยุกต์ใช้:
-ร้านค้าปลีกสามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น สินค้าที่มีความยั่งยืน สินค้าที่แสดงถึงตัวตน หรือสินค้าที่เหมาะกับการถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย
-ร้านค้าปลีกสามารถสร้างบรรยากาศในร้านที่ดึงดูดลูกค้า เช่น ร้านที่มีการตกแต่งที่ทันสมัย มีมุมถ่ายรูป หรือมีกิจกรรมให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก
-ร้านค้าปลีกสามารถขยายช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดีย
-ร้านค้าปลีกสามารถพัฒนาโปรแกรมสมาชิกที่คุ้มค่า เช่น มอบส่วนลด สะสมแต้ม หรือสิทธิพิเศษต่างๆ
การเรียนรู้และนำกลยุทธ์ของ Starbucks ไปประยุกต์ใช้ จะช่วยให้ร้านค้าปลีกสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ เพิ่มยอดขาย และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสินค้า บริการ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตัวเอง | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39039 | Retail | การเปิดตัวแอปพลิเคชัน Gourmet Market ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป จะช่วยเพิ่มยอดขายของ Gourmet Market ได้หรือไม่? | null | มีโอกาสสูงที่การเปิดตัวแอปพลิเคชัน Gourmet Market จะช่วยเพิ่มยอดขายของ Gourmet Market เหตุผล:
1. เทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์: ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง เปรียบเทียบราคาสินค้าได้ง่าย มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย
2. กลยุทธ์ Omni-Channel: ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น
3. จุดเด่นของแอปพลิเคชัน Gourmet Market: ระบบ AI คัดเลือกสินค้าที่ผู้ใช้ชอบ ฟังก์ชั่น Gamification เพิ่มความสนุกในการจับจ่าย ส่งสินค้าเร็วภายใน 1 ชั่วโมง สินค้ากว่า 50,000 รายการ คัดเลือกสินค้าโดยพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญ
4. กลุ่มเป้าหมาย: เจาะกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง กลุ่มที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป
5. การขยายฐานลูกค้า: เข้าถึงลูกค้าใหม่ที่ไม่สะดวกไปหน้าร้าน เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า
6. การสร้างแบรนด์: เสริมสร้างภาพลักษณ์ของ Gourmet Market เพิ่มการรับรู้แบรนด์
7. ข้อมูลลูกค้า: เก็บข้อมูลพฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้า นำมาวิเคราะห์และพัฒนาสินค้าและบริการ
8. คู่แข่ง: ค้าปลีกออนไลน์รายอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น:
- การแข่งขันในตลาด: ค้าปลีกออนไลน์มีการแข่งขันสูง
- กลยุทธ์การตลาด: Gourmet Market จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดลูกค้า
- การบริการลูกค้า: บริการลูกค้าต้องมีประสิทธิภาพ
- การพัฒนาแอปพลิเคชัน: Gourmet Market จำเป็นต้องพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่อง
สรุป: การเปิดตัวแอปพลิเคชัน Gourmet Market มี โอกาสสูงที่จะช่วยเพิ่มยอดขายของ Gourmet Market | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39048 | Retail | การที่ Adidas ยุติความร่วมมือกับ Kanye West มีผลกระทบอย่างไรต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และยอดขายของสินค้าในตลาดค้าปลีก และ Adidas มีแผนการอย่างไรในการฟื้นฟูภาพลักษณ์และยอดขายหลังจากเหตุการณ์นี้? | null | การที่ Adidas ยุติความร่วมมือกับ Kanye West มีผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และยอดขายของสินค้าในตลาดค้าปลีก เนื่องจาก Kanye West หรือที่รู้จักในชื่อ Ye เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลในวงการแฟชั่นและดนตรี การร่วมมือกับ Kanye West ในการออกแบบและผลิตรองเท้า Yeezy ทำให้ Adidas ได้รับความนิยมและยอดขายที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของ Kanye West และผู้ที่ชื่นชอบรองเท้าสนีกเกอร์
เมื่อ Adidas ยุติความร่วมมือกับ Kanye West ภาพลักษณ์ของแบรนด์อาจได้รับผลกระทบในทางลบ เนื่องจากการสูญเสียบุคคลที่มีอิทธิพลและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง นอกจากนี้ ยอดขายของรองเท้า Yeezy อาจลดลงเนื่องจากความนิยมของสินค้าลดลง อย่างไรก็ตาม Adidas ยังมีโอกาสในการฟื้นฟูภาพลักษณ์และยอดขายของแบรนด์โดยการใช้กลยุทธ์ต่างๆ
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ Adidas สามารถใช้คือการสร้างความร่วมมือกับนักออกแบบหรือศิลปินคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลในวงการแฟชั่นและดนตรี เพื่อสร้างความตื่นเต้นและความสนใจจากผู้บริโภค นอกจากนี้ Adidas ยังสามารถเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพและดีไซน์ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า
อีกกลยุทธ์หนึ่งคือการใช้การตลาดดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ในการโปรโมตสินค้าและแบรนด์ โดยการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่าเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค นอกจากนี้ Adidas ยังสามารถใช้การตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) โดยการจัดกิจกรรมและอีเวนต์ที่น่าสนใจเพื่อสร้างความประทับใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
สุดท้ายนี้ Adidas ยังสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดที่เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นที่ยอมรับในสายตาของผู้บริโภค การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมสามารถช่วยให้ Adidas ฟื้นฟูภาพลักษณ์และยอดขายของแบรนด์ได้ในระยะยาว | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39049 | Retail | กลุ่มลูกค้าเงินฝากของ TTB ธนาคารมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่างกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี | หลังจาก กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1% ต่อปี จนธนาคารกรุงเทพนำร่อง ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเป็นรายแรก ล่าสุด TTB หรือธนาคารทีเอ็มบีธนชาตก็ประกาศเช่นกัน หลังจาก กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1% ต่อปี จนธนาคารกรุงเทพนำร่อง ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเป็นรายแรก ล่าสุด TTB หรือธนาคารทีเอ็มบีธนชาตก็ประกาศเช่นกัน ทีเอ็มบีธนชาติหรือ TTB ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกุ้เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกินไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าสินเชื่อรายย่อยให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ พร้อมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มผลตอบแทนและส่งเสริมการออม ทีเอ็มบีธนชาติหรือ TTB ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกุ้เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกินไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าสินเชื่อรายย่อยให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ พร้อมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มผลตอบแทนและส่งเสริมการออม ด้านปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาติหรือทีทีบี ระบุว่า หลังจากที่ กนง. ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% เพื่อสอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยขาขั้นดังกล่าว TTB พิจารณาแล้วได้มีการปรับดอกเบี้ย ดังนี้ ด้านปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาติหรือทีทีบี ระบุว่า หลังจากที่ กนง. ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% เพื่อสอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยขาขั้นดังกล่าว TTB พิจารณาแล้วได้มีการปรับดอกเบี้ย ดังนี้ ปรับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.20
ปรับอัตราดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 0.25% และ
ปรับอัตราดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี 0.25% โดยการปรับดอกเบี้ยขึ้นนี้จะมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ปรับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.20 ปรับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.20 ปรับอัตราดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 0.25% และ ปรับอัตราดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 0.25% และ ปรับอัตราดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี 0.25% โดยการปรับดอกเบี้ยขึ้นนี้จะมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ปรับอัตราดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี 0.25% โดยการปรับดอกเบี้ยขึ้นนี้จะมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ขณะที่กลุ่มลูกค้าเงินฝาก ธนาคารมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่าง 0.15%-0.80% ต่อปี รวมถึงบัญชีเงินฝากพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 6 เดือนและได้รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเงินฝากที่เน้นการออมในบัญชีดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง ถอนได้ก่อนกำหนดไม่ลดดอกเบี้ย และเริ่มฝากขั้นต่ำได้ที่ 5,000 บาท โดยธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 1.80% เป็น 2.50% มีผล 1 ตุลาคม 65 เป็นต้นไป ขณะที่กลุ่มลูกค้าเงินฝาก ธนาคารมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่าง 0.15%-0.80% ต่อปี รวมถึงบัญชีเงินฝากพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 6 เดือนและได้รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเงินฝากที่เน้นการออมในบัญชีดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง ถอนได้ก่อนกำหนดไม่ลดดอกเบี้ย และเริ่มฝากขั้นต่ำได้ที่ 5,000 บาท โดยธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 1.80% เป็น 2.50% มีผล 1 ตุลาคม 65 เป็นต้นไป กนง. มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75% เป็น 1% มีผลทันที กนง. มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75% เป็น 1% มีผลทันที | อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่าง 0.15%-0.80% ต่อปี รวมถึงบัญชีเงินฝากพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกๆ 6 เดือนและได้รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเงินฝากที่เน้นการออมในบัญชีดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง ถอนได้ก่อนกำหนดไม่ลดดอกเบี้ย และเริ่มฝากขั้นต่ำได้ที่ 5,000 บาท โดยธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 1.80% เป็น 2.50% มีผล 1 ตุลาคม 65 เป็นต้นไป | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39055 | Retail | จากกลยุทธ์ของ Lotte Group ในการลงทุนสร้าง Lotte Eco Smart City ที่โฮจิมินห์ อะไรคือประเด็นสำคัญที่นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกควรเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้? | null | จากกลยุทธ์ของ Lotte Group ในการลงทุนสร้าง Lotte Eco Smart City ที่โฮจิมินห์ มีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกควรเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ดังนี้:
1. มองหาโอกาสในตลาดใหม่:
- ศึกษาศักยภาพของตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
- มองหาประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโต และประชากรวัยหนุ่มสาว
- พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ
2. กระจายความเสี่ยง:
- ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง
- ลงทุนในหลายประเทศ
- เลือกประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง
3. พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า:
- ผสมผสานสินค้าและบริการที่หลากหลาย
- เน้นความสะดวกสบาย
- มอบประสบการณ์ที่แตกต่าง
4. ใส่ใจสิ่งแวดล้อม:
- พัฒนาโครงการที่ยั่งยืน
- ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน
- รักษาพื้นที่สีเขียว
5. ร่วมมือกับพันธมิตร:
- หาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ
- แบ่งปันความเสี่ยงและทรัพยากร
- ขยายขีดความสามารถ
ตัวอย่างการนำไปประยุกต์ใช้:
- นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกสามารถมองหาโอกาสในประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม อินเดีย หรืออินโดนีเซีย
- นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกสามารถพัฒนาโครงการแบบ Mixed-use ที่ผสมผสานสินค้าและบริการที่หลากหลาย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน และที่พักอาศัย
- นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกสามารถใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน น้ำ และวัสดุ
- นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกสามารถร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาโครงการ การจัดการ การตลาด
การเรียนรู้และนำกลยุทธ์ของ Lotte Group ไปประยุกต์ใช้ จะช่วยให้นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกประสบความสำเร็จในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนธุรกิจค้าปลีกควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสินค้า บริการ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และประเทศที่ลงทุน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39062 | Retail | 4 แกนหลักขับเคลื่อนกลยุทธ์ New SMART Retail: มีอะไรบ้าง | null | Inspiring fresh & food destination: ศูนย์รวมอาหารและอาหารสดชั้นนำ
- ยกระดับแผนกอาหารสดแบบครบวงจร เน้นสินค้าคุณภาพ ความปลอดภัย และความหลากหลาย
- ขยายตัวเลือกอาหารพร้อมทาน ร้านอาหาร และร้านดังในท้องถิ่น
- มุ่งมั่นนำเสนอสินค้าราคาประหยัด ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าครองชีพ
SMART life solutions: เทคโนโลยีตอบโจทย์ลูกค้า มอบประสบการณ์ Omni-channel ไร้รอยต่อ
- เปิดตัว Lotus's SMART App แอปพลิเคชั่นรวมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและโปรแกรม MyLotus's
- เชื่อมต่อสาขากว่า 2,300 แห่งกับออนไลน์แพลตฟอร์ม รองรับการช้อปปิ้งออนไลน์ทั้งแบบ On-Demand และ Next-Day
- พัฒนาระบบ AI มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษที่ตรงใจลูกค้าแต่ละราย
Personalized value that goes beyond price: ความคุ้มค่าที่มากกว่าราคาประหยัด
- โปรแกรม MyLotus's มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษเฉพาะบุคคล
- แคมเปญ "ราคามายโลตัส" มอบสินค้าราคาพิเศษกว่า 500 รายการ
- มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์คุ้มค่าเหนือราคา ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
Everyday sustainability: แพลตฟอร์มแห่งโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SME และเกษตรกร
- สนับสนุนช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านสาขาและออนไลน์ของโลตัส
- พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผ่านโครงการอบรม สัมมนา และพื้นที่ทดลองขาย
- รับซื้อผักผลไม้ตรงจากเกษตรกร ส่งเสริมสินค้า GI
- ร่วมกับ CP Origin พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพิ่มโอกาสเข้าถึงพื้นที่ขาย
กลยุทธ์ New SMART Retail ของโลตัส ผสมผสานเทคโนโลยี ประสบการณ์ Omni-channel และความคุ้มค่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ช่วยให้โลตัสก้าวขึ้นเป็นผู้นำค้าปลีกยุคใหม่ มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39065 | Retail | กลยุทธ์การสร้าง Super Ecosystem ของธนาคารกสิกรไทย ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) หรือไม่ | null | ใช่ กลยุทธ์การสร้าง Super Ecosystem ของธนาคารกสิกรไทย ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) อย่างมาก
เหตุผล:
1. ขยายฐานลูกค้า:
ธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้ากว่า 20 ล้านราย กลยุทธ์ Super Ecosystem ดึงดูดลูกค้าใหม่ผ่านพันธมิตรหลากหลายกลุ่ม เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการของธนาคาร
2. เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการ:
Super Ecosystem มอบโซลูชั่นครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มเดียว เพิ่มโอกาสในการ cross-selling สินค้าและบริการ
3. เข้าถึงข้อมูลลูกค้า:
ธนาคารกสิกรไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจ มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น
4. เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า:
Super Ecosystem ช่วยให้ธนาคารกสิกรไทยใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น สร้างความไว้วางใจ เชื่อมโยงลูกค้ากับธนาคารระยะยาว
5. ตัวอย่าง:
- ลูกค้าสามารถสมัครสินเชื่อ K Kwik ผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee
- ชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน K PLUS บน LINE BK
- ซื้อสินค้าผ่าน K+ market
6. ผลลัพธ์:
- ธนาคารกสิกรไทยมีรายได้จากธุรกิจ Non-Banking เพิ่มขึ้น
- ฐานลูกค้า K PLUS เติบโตอย่างต่อเนื่อง
- ลูกค้ามี engagement กับธนาคารมากขึ้น
7. ความท้าทาย:
- การจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัย
- รักษาคุณภาพการบริการ across ทุกช่องทาง
- ปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
8. สรุป:
กลยุทธ์ Super Ecosystem ของธนาคารกสิกรไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นพัฒนา Super Ecosystem อย่างต่อเนื่อง
9. คำแนะนำ:
- พัฒนาระบบ Ecosystem ให้ครอบคลุมทุกความต้องการ
- มอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น
- รักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
10. ผลลัพธ์ระยะยาว:
- ธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้นำด้าน Super Ecosystem ในภูมิภาค
- ขยายธุรกิจค้าปลีก (Retail)
- สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39068 | Retail | ปี 2021 Revlon มียอดขายรวมกี่ล้านดอลลาร์ | Revlon แบรนด์ลิปสติก และเครื่องสำอางชั้นนำของโลก เตรียมยื่นขอล้มละลายภายในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวตามตลาดที่เปลี่ยนไป และการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ตลาดเครื่องสำอางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ Revlon กับลิปสติกที่ช่วยอะไรไม่ได้ สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Revlon แบรนด์เครื่องสำอางที่มีลิปสติกเป็นสินค้าเรือธง เตรียมยื่นขอล้มละลายภายในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าหนี้ต่าง ๆ เพื่อหารือเรื่องหนี้สินมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2022 และหากนับถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2022 ทางบริษัทมีหนี้สินระยะยาวรวมกว่า 3,310 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Revlon คือหนึ่งในแบรนด์เครื่องสำอางที่ปรับตัวตามตลาดไม่ได้ เพราะแม้ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาด แต่ด้วย Revlon ที่มีรายได้ยึดอยู่กับสินค้าเครื่องสำอาง และปัจจุบันมีแบรนด์เครื่องสำอางออนไลน์เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก ทำให้ยากที่ Revlon จะเติบโตทางธุรกิจได้ ปี 2021 Revlon มียอดขายรวม 2,078 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9.2% แต่ไม่เทียบเท่าปี 2019 ที่ทำได้ 2,400 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้ในปี 2021 แบ่งเป็นแบรนด์ Revlon 727 ล้านดอลลาร์, แบรนด์ Elizabeth Arden 532 ล้านดอลลาร์, แบรนด์อื่น ๆ ในเครือ 419 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจน้ำหอม 399 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ลอรีอัล กลุ่มแบรนด์เครื่องสำอางอันดับ 1 ของโลก รายงานภาพรวมตลาดเครื่องสำอางปี 2021 ว่ามีมูลค่ารวม 1.44 แสนล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 5% ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวครองสัดส่วน 57.5% รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 21% กับกลุ่มเมคอัพ 15.5% และสุดท้ายที่น้ำหอม 6% สรุป เมื่อแบรนด์เครื่องสำอางที่ยึดติดรายได้จากกลุ่มเมคอัพ เช่น ลิปสติก หรือรองพื้น ต่างประสบปัญหาจากวิกฤตโรคโควิด-19 เพราะความจำเป็นในการใช้งานน้อยลง ต่างกับกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ถึงไม่ออกไปไหน แต่สุขภาพผิวต้องดีเช่นเดิม ดังนั้นต้องดูว่าการยื่นล้มละลายของ Revlon ครั้งนี้จะออกมาในรูปแบบไหน อ้างอิง // Reuters, Revlon | ในปี 2021 Revlon มียอดขายรวมประมาณ 2,078 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ราว 9.2% อย่างไรก็ตาม ยอดขายนี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับยอดขายในปี 2019 ที่ทำได้ประมาณ 2,400 ล้านดอลลาร์ โดยยอดขายในปี 2021 แบ่งเป็นแบรนด์ต่าง ๆ ดังนี้:
- แบรนด์ Revlon: 727 ล้านดอลลาร์
- แบรนด์ Elizabeth Arden: 532 ล้านดอลลาร์
- แบรนด์อื่น ๆ ในเครือ: 419 ล้านดอลลาร์
- ธุรกิจน้ำหอม: 399 ล้านดอลลาร์
สาเหตุหลักที่ทำให้ Revlon ประสบปัญหาคือการเปลี่ยนแปลงในตลาดเครื่องสำอางและผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทเมคอัพลดลง เนื่องจากความจำเป็นในการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ลดน้อยลง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกลับมีความต้องการสูงขึ้น | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39074 | Retail | จากบทความข้างต้น อะไรคือกลยุทธ์ที่ร้านสะดวกซื้อเกาหลีนี้นำมาใช้เพื่อบุกตลาดอาเซียน | null | กลยุทธ์ที่ร้านสะดวกซื้อเกาหลีนี้นำมาใช้เพื่อบุกตลาดอาเซียนมีดังนี้:
1. นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น:
-วางจำหน่ายสินค้าเกาหลี เช่น ต๊อกบกกีสำเร็จรูป รามยอนสำเร็จรูป สาหร่ายเกาหลี ไปจนถึงเครื่องปรุงต่างๆ
-ศึกษาวัฒนธรรมและพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคในท้องถิ่น
-พัฒนาสินค้าเฉพาะสำหรับตลาดอาเซียน
2. เน้นความสะดวกสบายและประสิทธิภาพ:
-นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ
-พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้า
-เพิ่มบริการต่างๆ เช่น บริการรับ-ส่งพัสดุ
3. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง:
-ตกแต่งร้านให้ดูทันสมัย ดึงดูดใจ
-จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
-นำเสนอบริการเสริม เช่น บริการกาแฟ
4. ใช้ประโยชน์จากกระแส K-Pop และซีรีส์เกาหลี:
-นำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ K-Pop และซีรีส์เกาหลี
-จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ K-Pop และซีรีส์เกาหลี
-ดึงดูดแฟนคลับ K-Pop และซีรีส์เกาหลี
5. ร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น:
-ร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น
-หาพันธมิตรทางธุรกิจ
-ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของพันธมิตร
ตัวอย่าง
-GS25 ร้านสะดวกซื้อเกาหลีในเวียดนาม นำเสนอสินค้าอาหารเวียดนามแบบดั้งเดิม
-CU ร้านสะดวกซื้อเกาหลีในมาเลเซีย นำเสนอบริการชำระเงินผ่านมือถือ
-EMart24 ร้านสะดวกซื้อเกาหลีในมาเลเซีย นำเสนอบริการรับ-ส่งพัสดุ
โดยสรุป
ร้านสะดวกซื้อเกาหลีนี้นำกลยุทธ์ที่หลากหลายมาใช้เพื่อบุกตลาดอาเซียน เน้นการนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น เน้นความสะดวกสบายและประสิทธิภาพ สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง ใช้ประโยชน์จากกระแส K-Pop และซีรีส์เกาหลี และร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39075 | Retail | การขยายธุรกิจคาเฟ่ของปั๊มน้ำมัน เช่น เชลล์ คาเฟ่ เป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันหรือไม่ | null | ใช่ เหตุผล
1. ตอบสนองต่อเทรนด์การบริโภค:
ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ต้องการความสะดวก รวดเร็ว ต้องการแวะพักระหว่างการเดินทาง
กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ร้านกาแฟมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน
2. เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้:
ขยายฐานลูกค้า ดึงดูดลูกค้าใหม่ เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าอื่นๆ เพิ่มรายได้จากธุรกิจนอนออยล์
3. เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์:
สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ ดึงดูดลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายคลึงกัน
4. เพิ่มการแข่งขัน:
ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันสูง ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ การขยายธุรกิจคาเฟ่ ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมีความน่าสนใจ
5. ตัวอย่าง:
เชลล์ คาเฟ่ มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว มีจำนวนสาขามากกว่า 1,200 แห่งใน 16 ประเทศทั่วโลก
เชลล์วางแผนขยายสาขา Shell Café เพิ่มเติมในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม: กลยุทธ์นี้ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ตำแหน่งที่ตั้งของปั๊มน้ำมัน กลุ่มเป้าหมาย การแข่งขันในพื้นที่
สรุป:
การขยายธุรกิจคาเฟ่ของปั๊มน้ำมัน เช่น เชลล์ คาเฟ่ เป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ตอบสนองต่อเทรนด์การบริโภค เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ และเพิ่มการแข่งขัน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39086 | Retail | ยูโอบี ควรใช้กลยุทธ์อย่างไร เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายธุรกิจบัตรเครดิตในประเทศไทยหลังจากการควบรวมกิจการกับซิตี้กรุ๊ป | null | ยูโอบี ควรใช้กลยุทธ์ดังนี้:
1. รักษาฐานลูกค้าเดิมของซิตี้กรุ๊ป:
- รักษาสิทธิประโยชน์: ยูโอบี ควรรักษาสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิตซิตี้กรุ๊ปเดิมไว้
- การสื่อสาร: ยูโอบี ควรสื่อสารกับลูกค้าซิตี้กรุ๊ปอย่างชัดเจน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
- บริการ: ยูโอบี ควรให้บริการลูกค้าซิตี้กรุ๊ปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องหยุดชะงัก
2. ขยายฐานลูกค้าใหม่:
- นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย: ยูโอบี ควรนำเสนอผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
- ช่องทางการสมัคร: ยูโอบี ควรเพิ่มช่องทางการสมัครบัตรเครดิตให้สะดวก
- การตลาด: ยูโอบี ควรทำการตลาดบัตรเครดิตอย่างเชิงบวก
3. เสริมสร้างจุดแข็ง:
- เทคโนโลยี: ยูโอบี ควรนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาบริการบัตรเครดิต
- ฐานข้อมูล: ยูโอบี ควรใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลลูกค้าของซิตี้กรุ๊ป
- พันธมิตร: ยูโอบี ควรจับมือกับพันธมิตร เพื่อนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่หลากหลาย
4. รับมือกับคู่แข่ง:
- ธนาคารอื่น: ยูโอบี ควรศึกษาและวิเคราะห์กลยุทธ์ของธนาคารอื่น
- Fintech: ยูโอบี ควรเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันจาก Fintech
ตัวอย่าง:
- ยูโอบี นำเสนอโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าซิตี้กรุ๊ปที่สมัครบัตรเครดิตใหม่
- ยูโอบี พัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับการสมัครและใช้งานบัตรเครดิต
- ยูโอบี จับมือกับร้านค้าเพื่อนำเสนอส่วนลดและสิทธิพิเศษ
สรุป:
ยูโอบี มีโอกาสเติบโตในธุรกิจบัตรเครดิตในประเทศไทยหลังจากการควบรวมกิจการกับซิตี้กรุ๊ป แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน รักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ เสริมสร้างจุดแข็ง และรับมือกับคู่แข่ง | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39110 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "ทำไมองค์กรต้องใช้บริการ Consulting Firm" ให้หน่อยค่ะ | คำถามแรก ทำไมองค์กรต้องใช้บริการ Consulting Firm พชร เริ่มต้นจากหน้าที่ของ Consulting Firm คือเข้าไปช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ สร้างการเติบโต เพิ่มผลกำไร วางแผนด้านกลยุทธ์ การตลาด การเงิน เทคโนโลยี รวมไปถึงลงไปช่วยทำงานด้วย ฟังดูแล้วเหมือนบริษัทที่ปรึกษาจะทำทุกอย่าง ใช่หรือไม่ นั่นเพราะบริษัทที่ปรึกษา จะมีมุมมองที่แตกต่าง ไอเดียที่แปลกใหม่ หลายครั้งองค์กรต่างๆ อาจจะ “หมดมุข” เพราะอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ มานาน แต่ Consulting Firm มีประสบการณ์ที่แตกต่างจากหลากหลายอุตสาหกรรม สามารถช่วยในจุดนี้ได้ดี หรือบางองค์กรอาจจะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่อง “เวลา” หรือ “บุคลากร” เพราะงาน Transformation ไม่ได้สร้างรายได้ให้บริษัท ดังนั้น ผู้บริหารและทีมงานสามารถโฟกัสที่ธุรกิจและการแข่งขันได้เต็มที่ และให้ที่ปรึกษาทำงานส่วนนี้ให้ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องมีประสิทธิภาพ ต้องรวดเร็ว และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น บริษัทที่ปรึกษาก็ไม่เป็นภาระกับองค์กร ไม่ต้องจ้างต่อ | เหตุผลที่องค์กรต้องใช้บริการในบริษัท Consulting Firm เพราะเป็นบริษัทที่มีหน้าที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ และการเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์และไอเดียต่างจากหลายอุตสาหกรรม ผู้บริหารและทีมงานสามารถโฟกัสที่ธุรกิจและการแข่งขันได้เต็มที่ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น บริษัทที่ปรึกษาก็ไม่เป็นภาระกับองค์กร | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39112 | Retail | จริงหรือไม่ที่ Miniso กำลังแซงหน้า Uniqlo และ Muji ในตลาดค้าปลีก | null | ใช่ เหตุผล:
1. การเติบโตของจำนวนหน้าร้าน
Miniso ขยายจำนวนหน้าร้านจาก 4,222 แห่งในปี 2020 เป็น 4,749 แห่งในปี 2021
ในขณะที่ Uniqlo ขยายจำนวนหน้าร้านจาก 2,288 แห่งในปี 2020 เป็น 2,379 แห่งในปี 2021
และ Muji ขยายจำนวนหน้าร้านจาก 974 แห่งในปี 2020 เป็น 1,034 แห่งในปี 2021
2. สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ
Miniso มีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 12% ในปี 2020 เป็น 21% ในปี 2021
Uniqlo มีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 48% ในปี 2020 เป็น 49% ในปี 2021
Muji มีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2020 เป็น 25% ในปี 2021
3. กลยุทธ์ราคา
Miniso เน้นขายสินค้าราคาประหยัด ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
Uniqlo เน้นขายสินค้าคุณภาพดี ราคาปานกลาง
Muji เน้นขายสินค้าเรียบง่าย เน้นฟังก์ชั่น ราคาค่อนข้างสูง
4. กลยุทธ์สินค้า
Miniso นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท เปลี่ยนสินค้าใหม่บ่อย ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำ
Uniqlo เน้นขายสินค้าหลัก เช่น เสื้อยืด กางเกงยีนส์ เน้นคุณภาพและความคุ้มค่า
Muji เน้นขายสินค้าเรียบง่าย เน้นฟังก์ชั่น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา
Uniqlo และ Muji มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งกว่า Miniso
Uniqlo และ Muji มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นกว่า Miniso
Uniqlo และ Muji มีสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ดังนั้น ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า Miniso กำลังแซงหน้า Uniqlo และ Muji ในตลาดค้าปลีก
อนาคตของ Miniso ขึ้นอยู่กับ
กลยุทธ์การขยายธุรกิจ
กลยุทธ์สินค้า
กลยุทธ์ราคา
ความสามารถในการแข่งขันกับ Uniqlo และ Muji
สรุป:
Miniso กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
Miniso กำลังขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
Miniso มีกลยุทธ์ราคาที่ดึงดูดลูกค้า
Miniso มีกลยุทธ์สินค้าที่ดึงดูดลูกค้า
ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา
อนาคตของ Miniso ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และความสามารถในการแข่งขัน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39113 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์ที่ McDonald's ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน? | null | McDonald's ใช้กลยุทธ์หลายอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ดังนี้
1. การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน:
- McDonald's มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้กลายเป็นวัสดุที่รีไซเคิลได้หรือผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืนภายในปี 2025
- ปัจจุบัน 80% ของบรรจุภัณฑ์ผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืน
- McDonald's ใช้กระดาษรีไซเคิลหรือเส้นใยที่ยั่งยืนสำหรับแพกเกจจิ้งที่ผลิตจากกระดาษเกือบทั้งหมด (99.6%)
- มีการทดลองใช้หลอดกระดาษและภาชนะที่ทำจากไม้ในบางประเทศ
- กำลังพัฒนาฝาปิดเครื่องดื่มที่ทำจากเส้นใย และ แก้วที่ใช้ซ้ำ ได้อีกด้วย
2. การใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน:
- McDonald's ใช้เมล็ดถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน 100%
- วัตถุดิบอื่นๆ อย่างเนื้อวัว เนื้อปลา และกาแฟที่สรรหามาอย่างยั่งยืนเกิน 98% ของทั้งหมด
3. การลดการใช้พลังงาน:
- McDonald's มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 36% ภายในปี 2030
- มีการติดตั้งระบบไฟ LED และอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในสาขาต่างๆ
- McDonald's สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน
4. การจัดการขยะ:
- McDonald's มุ่งมั่นที่จะลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ลง 30% ภายในปี 2025
- มีการคัดแยกขยะและรีไซเคิลขยะในสาขาต่างๆ
- McDonald's สนับสนุนการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
5. การมีส่วนร่วมของชุมชน:
- McDonald's สนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมความยั่งยืน
- McDonald's ทำงานร่วมกับ NGOs และหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน
- กลยุทธ์เหล่านี้ของ McDonald's มีผลกระทบต่อ Retail ดังนี้:
6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี:
- การที่ McDonald's มุ่งมั่นด้านความยั่งยืนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ และดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
7. สร้างโอกาสทางธุรกิจ:
- การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนสามารถช่วย McDonald's ประหยัดต้นทุนในระยะยาว
8. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง:
- McDonald's เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
สรุป
กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของ McDonald's ช่วยให้แบรนด์สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39135 | Retail | กลยุทธ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Central Retail มีอะไรน่าสนใจบ้าง และกลยุทธ์เหล่านี้จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยอย่างไร? | null | กลยุทธ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Central Retail มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้:
1. การรวมกิจการค้าปลีกทั้งหมด: Central Retail จะรวบรวมกิจการค้าปลีกทั้งหมดในเครือเข้าด้วยกัน เช่น ร้านสะดวกซื้อ Familymart ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและ Robinson ไทวัสดุ เพาเวอร์บาย ฯลฯ กลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน, เพิ่มอำนาจต่อรองกับคู่ค้า, เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ, และสร้าง synergies ระหว่างธุรกิจต่างๆ
2. การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ: Central Retail มีแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า, เพิ่มโอกาสในการเติบโต, และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดในประเทศ
3. การระดมทุน: Central Retail คาดว่าจะระดมทุนได้มากถึง 61,200 ล้านบาท เงินทุนที่ได้จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ, ชำระหนี้, และเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
4. การปรับโครงสร้างองค์กร: Central Retail ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัว กลยุทธ์นี้จะช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
5. การนำเทคโนโลยีมาใช้: Central Retail ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) big data และ e-commerce กลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า, เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน, และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ผลของกลยุทธ์เหล่านี้ต่อธุรกิจค้าปลีกในไทย:
1. การแข่งขันที่รุนแรง: การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Central Retail จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกในไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางอาจได้รับผลกระทบ
2. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค: กลยุทธ์ต่างๆ ของ Central Retail จะส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น, สะดวกสบายมากขึ้น, และคาดหวังประสบการณ์ที่ดีขึ้น
3. การพัฒนาของธุรกิจค้าปลีก: กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาของธุรกิจค้าปลีกในไทย ธุรกิจค้าปลีกจะมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า, การนำเทคโนโลยีมาใช้, และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
4. โอกาสสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก: ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มของ Central Retail ในการเข้าถึงลูกค้าและขยายธุรกิจ
5. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ: กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยสร้างงาน, กระตุ้นเศรษฐกิจ, และ meningkatkan GDP ของประเทศ
โดยสรุป กลยุทธ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Central Retail มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ กลยุทธ์เหล่านี้จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยหลายด้าน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39149 | Retail | การลงทุนของ SK Group ใน VinCommerce แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
-SK Group ลงทุนกว่า 12,700 ล้านบาท: แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพของธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม SK Group ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ไม่ได้ทุ่มทุนมหาศาลแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล
-VinCommerce เป็นธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม: VinCommerce ครอบคลุมตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ในเวียดนามไปกว่า 80% SK เลือกที่จะลงทุนในผู้นำตลาด แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาด
-เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว: เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก
-ประชากรเวียดนามมีจำนวนมาก: เวียดนามมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน เป็นกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่สำหรับธุรกิจค้าปลีก
-ประชากรเวียดนามมีวัยหนุ่มสาว: คนวัยทำงานมีกำลังซื้อสูง เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจค้าปลีก
-เวียดนามจัดการโควิดได้ดี: เศรษฐกิจเวียดนามได้รับผลกระทบจากโควิดน้อยกว่าประเทศอื่น
-มีบริษัทเกาหลีหลายเจ้าลงทุนในเวียดนาม: แสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจของตลาดเวียดนาม
-Samsung ลงทุนในเวียดนาม: Samsung เป็นบริษัทชั้นนำของโลก เลือกที่จะตั้งโรงงานในเวียดนาม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศ
สรุป:
การลงทุนของ SK Group ใน VinCommerce แสดงให้เห็นถึง ความมั่นใจ ใน ศักยภาพ ของ ธุรกิจค้าปลีก ใน เวียดนาม | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39163 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "MUJI สาขาจีน ไม่เปลี่ยนใจ ยืนยันใช้ฝ้ายจากซินเจียง" ให้หน่อยค่ะ | MUJI แบรนด์แฟชั่นค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งรายที่เปิดเผยไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า MUJI สาขาจีนจะยังใช้สินค้าที่ผลิตจากฝ้ายซินเจียงต่อไป โดย Global Times ที่เปรียบดั่งกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนโควทคำพูดผู้แทน MUJI สาขาในจีนระบุว่า บริษัทเราจะยังใช้ฝ้ายจากซินเจียงต่อไป ทั้งนี้ สินค้าจาก MUJI ที่แสดงใน Tmall ระบุไว้ในแผ่นป้ายติดสินค้าชัดเจนว่าเป็นฝ้ายจากซินเจียง แต่ยังไม่แน่ชัดว่า MUJI จะยังใช้ฝ้ายจากซินเจียงสำหรับเสื้อผ้าที่ขายในญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นหรือไม่ ในแถลงการณ์ระบุว่า ได้ให้ความสนใจต่อรายงานที่เกี่ยวกับประเด็นการเหยียดเชื้อชาติว่าด้วยเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยและการบังคับใช้แรงงานในซินเจียงแล้ว รู้สึกกังวลอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเว็บไซต์ของบริษัท MUJI สาขาจีนได้ระบุป้ายที่สินค้าว่าเป็นฝ้ายจากซินเจียงสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างไรก็ดี ทาง MUJI ไม่ได้ตอบข้อซักถามกับ Nikkei Asia กรณีที่ว่าสำหรับสินค้าในญี่ปุ่นหรือที่ผลิตขายในประเทศอื่นๆ ใช้ฝ้ายจากซินเจียงหรือไม่ แต่ก็ทำให้หุ้นตกลงไป 6.8% MUJI ระบุว่า ทางบริษัทจะสอบถามไปยังบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานให้พัฒนาสภาพการทำงานและระมัดระวังมาตรการที่ไม่เหมาะสม เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทานของสินค้า MUJI หากมีมาตรการไม่เหมาะสม ทางบริษัทจะสอบถามไปยังซัพพลายเออร์ทันทีเพื่อความถูกต้องและยุติสัญญาจนกว่าจะมีการพัฒนาแนวทางในการผลิตสินค้าที่ดีขึ้น จีนเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับ MUJI ถือเป็นสัดส่วน 17% ของยอดขาายนับตั้งเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายนในปีงบประมาณ 2019 ข้อมูลจากเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน ระบุว่า MUJI มีหน้าร้านอยู่ในจีนมากถึง 274 แห่ง รัฐบาลชาติตะวันตกทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อังกฤษและแคนาดาล้วนออกแถลงการณ์ตอบโต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในซินเจียงแต่ญี่ปุ่นไม่ได้เข้าร่วมด้วย MUJI ไม่ใช่แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นรายเดียวที่ไม่คว่ำบาตรจีนเรื่องนี้ แต่ยังมี Asics ด้วยที่ยังคงยินดีใช้ฝ้ายคุณภาพสูงจากซินเจียงต่อไป | MUJI แบรนด์แฟชั่นค้าปลีกจากญี่ปุ่น ให้ความสนใจกับรายงานเรื่องประเด็นการเหยียดเชื้อชาติว่าด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยและการบังคับใช้แรงงานในซินเจียง ทำให้รู้สึกกังวลและเว็บไซต์ของบริษัทในสาขาจีนระบุป้ายที่สินค้าว่าเป็นฝ้ายจากซินเจียง แต่ไม่ได้ถาม Nikkei Asia ว่าใช้ฝ้ายจากซินเจียงผลิตสินค้าหรือไม่ ทำให้หุ้นตกลง 6.8%
เพราะจีนเป็นตลาดที่สำคัญของ MUJI และไม่คว่ำบาตรจีนต่อประเด็นที่เกิดขึ้น จึงยินดีใช้ฝ้ายจากซินเจียงต่อไป | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39165 | Retail | กลยุทธ์การเจาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมของ JerHigh Meat as Meals เหมาะสมกับเทรนด์ตลาดในปัจจุบันหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
เทรนด์ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง:
- ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น และให้ความสำคัญกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
- อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมได้รับความนิยมมากขึ้น เน้นคุณภาพ ส่วนผสม และโภชนาการ
- ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า
กลยุทธ์ของ JerHigh Meat as Meals:
- เน้นความเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม โดยใช้เนื้อไก่แท้ 50% ไม่มีผลพลอยได้จากสัตว์
- มีสูตรอาหารหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของสุนัขสายพันธุ์ต่างๆ
- วางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวาง
- มีกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดใจ เช่น การใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียง
- กล้าการันตี หากสุนัขไม่กิน ยินดีคืนเงิน
ตัวอย่าง:
เทรนด์: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
กลยุทธ์: JerHigh Meat as Meals เน้นคุณภาพ ส่วนผสม และโภชนาการ โดยใช้เนื้อไก่แท้ 50% ไม่มีผลพลอยได้จากสัตว์ และมีสูตรอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพสุนัข
ข้อดีของกลยุทธ์:
- ตอบโจทย์เทรนด์ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม
- ดึงดูดใจผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
- เพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า
ข้อจำกัดของกลยุทธ์:
- ราคาของอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมค่อนข้างสูง
- ผู้บริโภคบางกลุ่มอาจยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ JerHigh
- คู่แข่งในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมมีจำนวนมาก
สรุป: กลยุทธ์การเจาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมของ JerHigh Meat as Meals เหมาะสมกับเทรนด์ตลาดในปัจจุบัน มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ต้องเผชิญกับคู่แข่งในตลาดที่เข้มข้น | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39167 | Retail | กฎหมายใหม่ของญี่ปุ่นที่มุ่งลดการใช้พลาสติก ส่งผลต่อธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศญี่ปุ่นอย่างไร? | a. ธุรกิจร้านสะดวกซื้อต้องเลิกให้บริการเดลิเวอรี่
b. ธุรกิจร้านสะดวกซื้อต้องเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการหีบห่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
c. ธุรกิจร้านสะดวกซื้อต้องจ้างพนักงานเพิ่มเพื่อจัดการกับขยะพลาสติก
d. ธุรกิจร้านสะดวกซื้อต้องหาวิธีลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นจากบริการเดลิเวอรี่ | ข้อที่ถูกต้องคือ d. เนื่องจาก
กฎหมายใหม่ของญี่ปุ่นกำหนดให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต้องลดการแจกจ่ายหลอดและช้อนส้อมแบบใช้แล้วทิ้ง และพิจารณาทางเลือกแบบใหม่ในการให้บริการอาหาร มาตรการนี้ส่งผลต่อธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศญี่ปุ่น ดังนี้
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อต้องหาวิธีลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นจากบริการเดลิเวอรี่:
ร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาบริการเดลิเวอรี่หรือการซื้ออาหารกลับไปทานที่บ้าน ซึ่งการมีหีบห่อจะช่วยให้การขนส่งสะดวกขึ้น กฎหมายใหม่นี้ทำให้ร้านสะดวกซื้อต้องหาวิธีลดการใช้พลาสติกในบริการเดลิเวอรี่ เช่น เปลี่ยนมาใช้ภาชนะที่สามารถรีไซเคิลได้หรือย่อยสลายได้ คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับหีบห่อ สนับสนุนให้ลูกค้าพกภาชนะมาเอง
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อไม่จำเป็นต้องเพิ่มราคาสินค้า:
กฎหมายใหม่ไม่ได้กำหนดให้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อต้องเพิ่มราคาสินค้า ร้านสะดวกซื้อสามารถหาวิธีลดต้นทุนการผลิตหรือหาวิธีอื่น ๆ ชดเชยค่าใช้จ่ายในการหีบห่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อไม่จำเป็นต้องเลิกให้บริการเดลิเวอรี่:
กฎหมายใหม่ไม่ได้ห้ามธุรกิจร้านสะดวกซื้อให้บริการเดลิเวอรี่ ร้านสะดวกซื้อสามารถหาวิธีลดการใช้พลาสติกในบริการเดลิเวอรี่
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานเพิ่ม:
กฎหมายใหม่ไม่ได้กำหนดให้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจ้างพนักงานเพิ่ม ร้านสะดวกซื้อสามารถหาวิธีจัดการกับขยะพลาสติกที่มีอยู่โดยไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39168 | Retail | MUJI ตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ที่จะเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าประเภทอาหารในร้านค้าเป็น 30% จาก 10% | null | ไม่ถูกต้อง เหตุผลคือ
1. ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์แบรนด์:
- MUJI ขึ้นชื่อเรื่องความมินิมอล เรียบง่าย เน้นฟังก์ชันการใช้งาน อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์แบรนด์เมื่อขยายไปยังสินค้าประเภทอาหาร
- ลูกค้าอาจสับสนกับคู่แข่งในตลาดอาหารที่มีสินค้าหลากหลาย
- อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า MUJI ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่สินค้าหลักอย่างเสื้อผ้าและของใช้ในบ้าน
2. ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ:
- MUJI ไม่มีประสบการณ์โดยตรงในธุรกิจอาหาร
- การจัดการสินค้าคงคลัง การขนส่ง การควบคุมคุณภาพอาหารมีความซับซ้อน
- จำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีทักษะเพิ่มเติม
- อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน
3. การแข่งขันที่รุนแรง:
- ตลาดอาหารมีความอิ่มตัว มีคู่แข่งหลากหลาย
- MUJI อาจสูญเสียลูกค้าเก่า
- ยากที่จะดึงดูดลูกค้าใหม่
4. กลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้า:
- การเพิ่มโซนอาหารอาจไม่ได้ดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านบ่อยขึ้น
- ลูกค้าอาจซื้ออาหารที่ร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ต
- MUJI จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าเพิ่มเติม
5. ความเสี่ยงด้านกำไร:
- อัตรากำไรของสินค้าประเภทอาหารอาจต่ำกว่าสินค้าหลัก
- MUJI อาจสูญเสียรายได้โดยรวม
อย่างไรก็ตาม:
- กลยุทธ์นี้มีข้อดีบางประการ เช่น เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ ดึงดูดลูกค้าใหม่
- MUJI จำเป็นต้องศึกษาตลาด วิเคราะห์คู่แข่ง พัฒนากลยุทธ์อย่างรอบคอบ
- การทดลองในบางสาขาก่อนขยายวงกว้างอาจเป็นแนวทางที่ดี
สรุป:
MUJI ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจขยายธุรกิจไปยังสินค้าประเภทอาหาร | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39170 | Retail | Uniqlo จะรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ของแบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าโลกได้อย่างไร | null | Uniqlo ควรพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้
1. พัฒนาช่องทางออนไลน์:
เพิ่มการลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์
พัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว
นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายบนช่องทางออนไลน์
2. ขยายตลาดในเอเชีย:
เพิ่มจำนวนสาขาในประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
พัฒนาสินค้าที่เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคในเอเชีย
พัฒนากลยุทธ์การตลาดที่เหมาะกับตลาดเอเชีย
3. นำเทคโนโลยีมาใช้:
นำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
นำหุ่นยนต์มาใช้ในคลังสินค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยและสะดวก
4. พัฒนาสินค้าอย่างยั่งยืน:
ใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตสินค้า
พัฒนาระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สนับสนุนโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
5. พัฒนากลยุทธ์ด้านราคา:
เสนอราคาสินค้าที่แข่งขันได้
พัฒนากลยุทธ์การส่งเสริมการขาย
เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ
ตัวอย่าง:
Uniqlo สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันที่ให้ลูกค้าสามารถลองเสื้อผ้าเสมือนจริง
Uniqlo สามารถร่วมมือกับ influencer ในเอเชียเพื่อโปรโมทสินค้า
Uniqlo สามารถใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการ
ผลลัพธ์:
รักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ของแบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าโลก
เพิ่มยอดขาย
เพิ่มฐานลูกค้า
เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39173 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสการเติบโตสูง | null | รุ่งอรุณแห่งโออาร์: การเดินทางสู่ผู้นำค้าปลีก
ณ ตึกสูงระฟ้าใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่รายล้อมไปด้วยตึกรามบ้านช่อง บรรยากาศภายในห้องประชุมของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เต็มไปด้วยความคึกคัก เหล่าผู้บริหาร นักลงทุน และสื่อมวลชน ต่างจับจ้องไปที่เวทีที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คุณจิราพร ขาวสวัสดิ์ กำลังประกาศการเข้าซื้อขายหุ้นของโออาร์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก
“โออาร์ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ” คุณจิราพรกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่จะนำพาโออาร์สู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำค้าปลีกในภูมิภาค”
โออาร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2561 จากการรวมตัวกันของ บริษัท ปตท. การค้าปลีก จำกัด และ บริษัท ปตท. น้ำมันอากาศยานและการค้าปลีก จำกัด มุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจค้าปลีกที่ครบวงจร ภายใต้กลยุทธ์ “Retailing Beyond Fuel” ที่มุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจจากสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ไปสู่ธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ที่หลากหลาย
คุณนภัสสร พนักงานขายหน้าใส ประจำร้าน Café Amazon สาขาหนึ่ง รู้สึกตื่นเต้นกับข่าวการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของโออาร์ “โออาร์มีโอกาสเติบโตสูงมากค่ะ” เธอกล่าว “ดิฉันมั่นใจว่าร้าน Café Amazon จะขยายสาขาไปได้อีกไกล และดิฉันก็จะเติบโตไปพร้อมกับบริษัทด้วยค่ะ”
คุณชัยวัฒน์ ลูกค้าประจำ ร้าน PTT Mart รู้สึกประทับใจกับสินค้าและบริการของโออาร์ “โออาร์มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย สะดวก ซื้อง่าย พนักงานก็บริการดีครับ” เขากล่าว “ผมชอบมาช้อปปิ้งที่นี่เป็นประจำครับ”
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของโออาร์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ก้าวสำคัญสำหรับบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อ ธุรกิจค้าปลีกไทย อีกด้วย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
บทสรุป
การเดินทางของโออาร์เพิ่งเริ่มต้น ยังมีอีกหลายบททดสอบรออยู่ข้างหน้า แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด และความมุ่งมั่นของพนักงาน โออาร์มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำค้าปลีกในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39182 | Retail | อะไรคือผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจค้าปลีกไทย และสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเสนอแนวทางแก้ไขอย่างไร? | null | ผลกระทบของโควิด-19:
ดัชนีค้าปลีกติดลบ: ในปี 2563 ดัชนีค้าปลีกไทยติดลบ 12% คิดเป็นมูลค่า 5 แสนล้านบาท และคาดการณ์ว่าไตรมาส 1/2564 ดัชนีค้าปลีกไทยจะยังติดลบอยู่ที่ 7-8%
การว่างงานเพิ่มขึ้น: ธุรกิจค้าปลีกเป็นฐานรากสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย มีผู้ประกอบการในระบบ 1.3 ล้านราย และสร้างงานโดยตรงกว่า 6.2 ล้านคน การที่ดัชนีค้าปลีกติดลบส่งผลให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น
รายได้ลดลง: รายได้ของผู้ประกอบการค้าปลีกและ SME ลดลง
SME ทยอยปิดตัว: ธุรกิจ SME ทยอยปิดตัวลง
หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น:
กำลังซื้อลดลง:
แนวทางแก้ไขของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย:
เพิ่มการจ้างงานรายชั่วโมง: เพิ่มทางเลือกการจ้างงานแบบรายชั่วโมงในช่วงพีคของเวลาการให้บริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ลดอัตราการว่างงาน และสร้างการจ้างงานใหม่
ให้สินเชื่อ Soft Loan ผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก: เพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้า-SME ลดการเกิดภาวะหนี้สูญ
เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนำเข้าสินค้าอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศ: สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน
ลดภาษีนำเข้าแบบขั้นบันไดในสินค้าไลฟ์สไตล์ชั่วคราว: กระตุ้นการบริโภคในประเทศ
ให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่และซูเปอร์มาร์เก็ตร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: เพิ่มทางเลือกสินค้า และกระจายรายได้ไปยังผู้ผลิตสินค้ารายเล็ก
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง:
- ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
- ช่วยเหลือร้านค้าปลีกและ SME
- กระตุ้นการบริโภค
- ลดการว่างงาน
- เพิ่มรายได้
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย
บทวิเคราะห์:
แนวทางแก้ไขของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือทั้งด้าน อุปสงค์ และ อุปทาน
- ด้านอุปสงค์ มาตรการต่างๆ เช่น การลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ชั่วคราว และการให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่และซูเปอร์มาร์เก็ตร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
- ด้านอุปทาน มาตรการต่างๆ เช่น การเพิ่มการจ้างงานรายชั่วโมง การให้สินเชื่อ Soft Loan ผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนำเข้าสินค้าอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศ จะช่วยลดภาระต้นทุน เพิ่มสภาพคล่อง และสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันให้กับธุรกิจค้าปลีกไทย
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกไทยยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นโยบายของรัฐบาล และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
สรุป:
ธุรกิจค้าปลีกไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 สมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้เสนอแนวทางแก้ไข 5 ประการ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีกและ SME ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39189 | Retail | มาตรการป้องกันโควิด-19 ของธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในไทยมีอะไรบ้าง? | a. ชำระค่าสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น ลดการสัมผัส
b. พนักงานทุกคนต้องตรวจวัดอุณหภูมิ เปลี่ยนชุด รองเท้า และผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อก่อนเข้าทำงาน
c. ควบคุมอุณหภูมิสินค้าอาหารทะเลสดตลอดทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงมือผู้บริโภค
d. จัดทำสัญลักษณ์การเว้นระยะห่าง 1 เมตร (social distancing) ระหว่างรอคิวชำระค่าสินค้า | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ c. เพราะว่า ควบคุมอุณหภูมิสินค้าอาหารทะเลสดตลอดทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงมือผู้บริโภค เหตุผล คือ
-มีการคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบอาหารทะเลสดจากพื้นที่ปลอดภัยที่ได้รับรองมาตรฐานจากกรมประมง
-ตรวจสอบคุณภาพ ควบคุมสุขลักษณะในกระบวนการผลิต
-สามารถยืนยันความปลอดภัยจากห้องปฏิบัติการ และตรวจสอบกลับได้ถึงแหล่งที่มาของสินค้า
-มาตรการเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมอุณหภูมิสินค้าอาหารทะเลสด
-พนักงานทุกคนต้องตรวจวัดอุณหภูมิ เปลี่ยนชุด รองเท้า และผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อก่อนเข้าทำงาน
เหตุผล
-พนักงานทุกคนต้องตรวจวัดอุณหภูมิทุกวันก่อนปฏิบัติงาน
-สวมหน้ากากอนามัยและใส่ถุงมือตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน
-มาตรการเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับสุขอนามัยส่วนบุคคลของพนักงา
-จัดทำสัญลักษณ์การเว้นระยะห่าง 1 เมตร (social distancing) ระหว่างรอคิวชำระค่าสินค้า
เหตุผล
-มีการจัดเตรียมถุงมือ เจลแฮลกอฮอล์ที่คีบที่ผ่านการฆ่าเชื้อไว้บริการลูกค้า
-มาตรการนี้เกี่ยวข้องกับการลดการสัมผัสระหว่างลูกค้า
-ชำระค่าสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น ลดการสัมผัส
เหตุผล
-มีการติดตั้งเครื่องพ่นเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ หรือเจลล้างมือบริเวณทางเข้า-ออกร้าน และบริเวณโซนสินค้าอาหารสด
-มาตรการนี้เกี่ยวข้องกับการลดการสัมผัสระหว่างลูกค้า | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39197 | Retail | กลยุทธ์ "M LIFESTORE" ของเดอะมอลล์ จะช่วยให้เดอะมอลล์แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกได้อย่างไร | null | กลยุทธ์ "M LIFESTORE" ของเดอะมอลล์ จะช่วยให้เดอะมอลล์แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกได้ดังนี้:
1. ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า:
สินค้า: M LIFESTORE นำเสนอสินค้าหลากหลาย ครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
บริการ: M LIFESTORE นำเสนอบริการที่ครบวงจร สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ประสบการณ์: M LIFESTORE มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ ผสมผสานความบันเทิงและธรรมชาติ
2. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง:
การรีแบรนด์: M LIFESTORE เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งโลโก้ ดีไซน์ และบรรยากาศ สร้างความแปลกใหม่และดึงดูดลูกค้า
การผสานเทคโนโลยี: M LIFESTORE นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาบริการและประสบการณ์การช้อปปิ้ง
การจับมือกับพันธมิตร: M LIFESTORE จับมือกับพันธมิตรชั้นนำ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย
3. ขยายฐานลูกค้า:
กลุ่มลูกค้าใหม่: M LIFESTORE มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น กลุ่มคนสูงอายุ
กลุ่มลูกค้าออนไลน์: M LIFESTORE พัฒนาช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่ช้อปปิ้งออนไลน์
กลุ่มลูกค้าต่างชาติ: M LIFESTORE นำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว
ตัวอย่าง:
- M LIFESTORE นำเสนอสินค้าออร์แกนิคเพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ
- M LIFESTORE พัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์เพื่อความสะดวกของลูกค้า
- M LIFESTORE จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า
สรุป:
กลยุทธ์ "M LIFESTORE" ของเดอะมอลล์ จะช่วยให้เดอะมอลล์แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกได้ โดยการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และขยายฐานลูกค้า | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39198 | Retail | เทคโนโลยี GIS สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจค้าปลีกหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผลดงนี้
1.การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก:
GIS ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า คู่แข่ง และตลาด โดยสามารถระบุพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น วิเคราะห์การเดินทางของลูกค้า และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสาขา
2.การค้นหาทำเลที่เหมาะสม:
GIS ช่วยค้นหาทำเลโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเข้าถึง, การแข่งขัน, ค่าเช่า และโครงสร้างพื้นฐาน
3.การลดต้นทุนและเวลา:
GIS ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจขยายสาขาอย่างมีประสิทธิภาพ
4.ตัวอย่างการใช้งานจริง:
เซ็นทรัลพัฒนาการ และ เทสโก้ ใช้ GIS ในการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรและประสิทธิภาพของสาขา
ข้อจำกัด:
GIS ขึ้นอยู่กับคุณภาพของข้อมูล และธุรกิจต้องลงทุนในระบบและบุคลากรที่มีความชำนาญ
สรุป:
GIS เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกในการวิเคราะห์ข้อมูลและหาทำเลที่เหมาะสม ซึ่งช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39252 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์ของ Amazon ในการรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 และผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก? | null | Amazon ใช้กลยุทธ์หลัก 3 ประการในการรับมือกับ COVID-19 และผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก:
1. เน้นการจัดส่งสินค้าที่จำเป็น: Amazon มุ่งเน้นไปที่การจัดส่งสินค้าที่จำเป็น เช่น ของใช้ภายในบ้าน น้ำยาทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และอุปกรณ์ทางการแพทย์ สิ่งนี้ช่วยให้ Amazon ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในช่วงที่ไม่สามารถออกไปซื้อของด้วยตนเองได้
2. เพิ่มกำลังการผลิตและพนักงาน: Amazon เพิ่มกำลังการผลิตและจ้างพนักงานชั่วคราวเพิ่มอีกกว่า 1 แสนตำแหน่ง เพื่อรองรับความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้น
3. ดูแลความปลอดภัยของพนักงาน: Amazon เพิ่มความถี่การทำความสะอาดสถานที่ทำงานเป็นประจำ และให้พนักงานปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing Amazon ยังสั่งซื้อหน้ากากอนามัยหลายล้านชิ้นให้พนักงานที่ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Amazon ประสบความสำเร็จในช่วง COVID-19 ดังนี้:
ยอดขาย: Amazon มีรายได้เพิ่มขึ้น 26% ในปี 2020
ส่วนแบ่งตลาด: Amazon เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ของสหรัฐอเมริกาจาก 38% ในปี 2019 เป็น 41% ในปี 2020
การรับรู้แบรนด์: Amazon ได้รับการยกย่องจากลูกค้าสำหรับการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและเชื่อถือได้
ผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก:
การเติบโตของ E-Commerce: COVID-19 เร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ E-Commerce มากขึ้น
การปิดตัวของร้านค้าปลีก: ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมหลายแห่งต้องปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับ E-Commerce ได้
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อของออนไลน์มากขึ้นแม้หลังจาก COVID-19
สรุป: กลยุทธ์ของ Amazon ในการรับมือกับ COVID-19 ช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จและขยายส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจค้าปลีก กลยุทธ์เหล่านี้ยังส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกโดยรวม โดยเร่งให้ E-Commerce เติบโตและนำไปสู่การปิดตัวของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม
คำอธิบายเพิ่มเติม:
กลยุทธ์ของ Amazon เน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าในช่วง COVID-19
Amazon ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพนักงานเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
Amazon ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงาน
กลยุทธ์ของ Amazon ช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จและขยายส่วนแบ่งตลาด
COVID-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกโดยเร่งให้ E-Commerce เติบโต | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39255 | Retail | การนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยอย่างไร? | null | การนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยหลายด้าน ดังนี้:
1. การลดต้นทุน: ร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานแคชเชียร์ ทำให้สามารถลดต้นทุนค่าแรงได้
2. เพิ่มประสิทธิภาพ: เทคโนโลยีที่ใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ ช่วยให้สามารถจัดการสต็อคสินค้า บันทึกข้อมูลการซื้อขาย และวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพิ่มความสะดวกสบาย: ลูกค้าสามารถชำระเงินค่าสินค้าได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอคิว
4. ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แปลกใหม่: ร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ เป็นรูปแบบใหม่ของธุรกิจค้าปลีก ที่ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แปลกใหม่
5. การแข่งขันที่รุนแรง: การเกิดขึ้นของร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ จะทำให้ธุรกิจค้าปลีกมีความการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
6. ผลกระทบต่อพนักงาน: ร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ จะส่งผลกระทบต่อพนักงานแคชเชียร์ อาจทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน
7. โอกาสสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก: ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ มาพัฒนาร้านของตัวเอง
8. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ: ร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ จะช่วยสร้างงานใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่ม GDP ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดบางประการของร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ ดังนี้:
การลงทุน: การลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ มีค่าใช้จ่ายสูง
ปัญหาทางเทคนิค: เทคโนโลยีที่ใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ อาจเกิดปัญหาทางเทคนิคได้
ความกังวลด้านความปลอดภัย: ลูกค้าอาจกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว
โดยสรุป การนำเทคโนโลยีมาใช้ในร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในไทยหลายด้าน ทั้งด้านบวกและด้านลบ ธุรกิจค้าปลีกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39256 | Retail | สรุปบทความเรื่อง Grab ซื้อกิจการ Bento Invest ให้หน่อย | Grab แพลตฟอร์มให้บริการด้านรถโดยสาร, ส่งอาหาร, ส่งพัสดุ ดูจะขยับขยายมาสู่ธุรกิจบริการทางการเงินมากขึ้น โดยล่าสุด Grab ที่สิงคโปร์ได้ซื้อกิจการ Bento Invest สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มจัดแผนการลงทุนอัตโนมัติ หรือ Robo Advisor ด้วยมูลค่าดีลที่ไม่มีการเปิดเผย Bento จะเปลี่ยนชื่อบริการเป็น GrabInvest เพื่อให้สอดคล้องกับแบรนด์ของ Grab โดยจะเข้ามาปรากฏเป็นบริการตัวหนึ่งในแอป Grab เฉพาะที่สิงคโปร์ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จากนั้นเตรียมขยายสู่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป บริการ GrabInvest เป็นการรับบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Wealth Management) โดยได้รับอนุญาตจากทางการสิงคโปร์แล้ว แนวคิดคือให้บริการจัดแผนการลงทุนโดยคิดค่าธรรมเนียมที่ถูก โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดพอร์ตโฟลิโอ หรือที่เรียกกันว่า Robo Advisor GrabInvest จะเป็นบริการทางการเงินตัวที่ 5 ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Grab Financial โดยบริการก่อนหน้านี้ได้แก่ GrabPay, GrabRewards, GrabFinance (สินเชื่อ) และ GrabInsure (ประกันภัย) การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้สะท้อนว่า Grab ต้องการสร้างแพลตฟอร์มให้เป็นกระเป๋าเงินของผู้ใช้งาน ผ่านบริการทางการเงินและบริการในชีวิตประจำวันที่เชื่อมต่อเข้าหากัน ซึ่งมีตัวอย่างแล้วจากบรรดาผู้ให้บริการ FinTech ในจีนนั่นเอง ที่มา: The Strait Times ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related MUFG ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ลงทุนใน Grab มูลค่ามากกว่า 21,817 ล้านบาท In "News" ขายรถออนไลน์มาแน่ SoftBank ลงทุนใน Carro ขึ้นแท่นยูนิคอร์นขายรถมือสอง เจ้าแรกในอาเซียน In "Article" Robo advisor โอกาสที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงของภาคสถาบันการเงิน In "Analysis" | สรุปเรื่อง Grab ซื้อกิจการ Bento Invest ได้ดังนี้
Grab แพลตฟอร์มให้บริการด้านรถโดยสาร, ส่งอาหาร, ส่งพัสดุขยายมาสู่ธุรกิจบริการทางการเงิน:
- Grab ที่สิงคโปร์ได้ซื้อกิจการ Bento Invest สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มจัดแผนการลงทุนอัตโนมัติ หรือ Robo Advisor Bento จะเปลี่ยนชื่อบริการเป็น GrabInvest เพื่อให้สอดคล้องกับแบรนด์ของ Grab เข้ามาปรากฏเป็นบริการตัวหนึ่งในแอป Grab เฉพาะที่สิงคโปร์ จากนั้นเตรียมขยายสู่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
- แนวคิดคือ ให้บริการจัดแผนการลงทุนโดยคิดค่าธรรมเนียมที่ถูก Grab ต้องการสร้างแพลตฟอร์มให้เป็นกระเป๋าเงินของผู้ใช้งาน ผ่านบริการทางการเงินและบริการในชีวิตประจำวันที่เชื่อมต่อเข้าหากัน | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39262 | Retail | การปิดหน้าร้าน 119 แห่ง ของ Bose ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกหรือไม่? | null | ใช่ การปิดหน้าร้าน 119 แห่ง ของ Bose ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก
เหตุผล:
การลดลงของยอดขายหน้าร้าน:
- Bose เองก็ยอมรับว่า ยอดขายออนไลน์ของ Bose นั้นเติบโตขึ้น
- หมายความว่า ยอดขายหน้าร้านมีสัดส่วนที่ลดลง
- เมื่อปิดหน้าร้าน 119 แห่ง ยอดขายหน้าร้านก็จะยิ่งลดลง
- ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก
การสูญเสียโอกาสในการขาย:
- หน้าร้านเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงลูกค้า
- ลูกค้าบางกลุ่มยังชอบไปลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
- เมื่อปิดหน้าร้าน ก็สูญเสียโอกาสในการขาย
การสูญเสียงาน:
- พนักงานในหน้าร้าน 119 แห่ง ที่ถูกปิด
- จะต้องตกงาน
- ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค:
- ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
- ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม
- ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัว หันมาเน้นการขายออนไลน์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม:
การปิดหน้าร้าน อาจช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ช่วยให้ Bose มุ่งเน้นไปที่การขายออนไลน์มากขึ้น
ซึ่งอาจช่วยเพิ่มผลกำไร Bose ยังมีหน้าร้านอีก 130 แห่ง ในประเทศอื่นๆ หมายความว่า Bose ยังไม่ได้ถอนตัวจากธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม เพียงแต่ปรับขนาดธุรกิจให้เล็กลง
สรุป:
การปิดหน้าร้าน 119 แห่ง ของ Bose ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก แต่ Bose ก็มีกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39272 | Retail | การทำธุรกิจต้องใช้ Big Data เพื่อช่วยในการวิเคราะห์การตลาดอย่างไรบ้าง | null | จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่เข้าสู่ยุค Accelerated change คือ การที่โลก เทคโนโลยี และความต้องการของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักการตลาดและทุกธุรกิจต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกและต้องใช้ Big Data เพื่อช่วยในการวิเคราะห์
- ช่วยเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า สามารถรู้ได้ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าอย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าดังกล่าว ความต้องการของลูกค้า
- ช่วยคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดในอนาคต การใช้ Big Data จะช่วยให้องค์กรจับกระแสและกลายเป็นผู้นำเทรนด์ในอนาคตได้
- ช่วยแก้ปัญหาและรับมือ องค์กรสามารถคาดการณ์หรือดูแนวโน้มของปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรของตัวเองได้ อันนำไปสู่เรื่องการปรับตัวของธุรกิจ รวมไปถึงยุทธศาสตร์ขององค์กรด้วย
นักการตลาดต้องทำ Big Data ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะเป็นเครื่องมือ เมื่อลงทุน Big Data แล้ว บริษัทต่างๆ ต้องใช้ Big Data ที่มีมาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ภาคการผลิตหรือพัฒนาสินค้า ต้องรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร ซึ่งไม่ได้แบ่งแค่เพศหรืออายุ แต่ต้องเซ็กเมนต์แยกย่อย ถ้าไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริง แน่นอนว่าธุรกิจจะสู่ความหายนะ
นอกจากนี้มองว่า Big Data บริษัทต่างๆ ต้องใช้เพิ่มขึ้น แต่ประเทศไทยกลับไม่มีนักวิเคราะห์ดาต้าทำงาน และประเทศไทยยังไม่ได้สู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกฎหมายที่ยังไม่ได้สนับสนุนธุรกิจต่างๆ ก้าวสู่ดิจิทัล | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39277 | Retail | การจับมือกันระหว่าง Aeon กับ Ocado จะช่วยให้ Aeon สามารถบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มยอดขายอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นได้หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล คือ :
1. Ocado มีเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ล้ำหน้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ:
- Ocado มีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอัจฉริยะ (OSP) ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- Ocado มีระบบคลังสินค้าอัตโนมัติที่ทันสมัย ช่วยให้สามารถจัดการสินค้าคงคลังและจัดส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ
- Ocado มีทีมวิศวกรและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์สูง สามารถช่วย Aeon พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวญี่ปุ่น
2. Aeon มีเครือข่ายร้านค้าปลีกที่แข็งแกร่ง:
- Aeon มีร้านค้าปลีกกว่า 300 แห่งทั่วญี่ปุ่น
- Aeon มีฐานลูกค้าที่ทาดาชิ
- Aeon มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกมายาวนาน
3. การจับมือกันครั้งนี้จะช่วย Aeon ขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้อย่างรวดเร็ว:
- Aeon สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและประสบการณ์ของ Ocado
- Aeon สามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Ocado
- Aeon สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง เช่น Walmart
4. ตลาดอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นมีศักยภาพสูง:
- ตลาดอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นมีมูลค่ากว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ตลาดอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นมีอัตราการเติบโตสูง
- ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
5. Aeon มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน:
- Aeon ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายอีคอมเมิร์ซเป็น 600 พันล้านเยนภายในปี 2573
- Aeon ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายอีคอมเมิร์ซเป็น 1 ล้านล้านเยนภายใน 5 ปี
- Aeon ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
อย่างไรก็ตาม Aeon ยังมีอุปสรรคบางประการที่ต้องเอาชนะ เช่น:
- การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซที่รุนแรง
- พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- กฎระเบียบและข้อจำกัดทางกฎหมาย
โดยสรุป Aeon มีโอกาสสูงที่จะบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มยอดขายอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่น การจับมือกันกับ Ocado จะช่วยให้ Aeon พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง ขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากขึ้น | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39278 | Retail | ภาพรวม IKEA ปีที่ผ่านมา รายได้เพิ่มขึ้น แต่กำไรหด 10% เพราะเหตุใด | null | ผลประกอบการของ IKEA ในปีที่ผ่านมา พบว่าแม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น แต่กำไรก็ลดลง 10% ซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้:
สรุปผลประกอบการ
- รายได้: เพิ่มขึ้น 5.3% เป็น 3.91 หมื่นล้านยูโร
- กำไรจากการดำเนินงาน: ลดลง 10% เป็น 2.03 พันล้านยูโร
ปัจจัยที่ทำให้กำไรลดลง
1.การลงทุนในช่องทางออนไลน์:
- IKEA ใช้เงินลงทุนมากขึ้นในการพัฒนาระบบการขายออนไลน์ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น แต่ก็มีผลให้ยอดขายออนไลน์เติบโตถึง 50% ซึ่งยังคิดเป็น 10% ของยอดขายทั้งหมด
2.การลงทุนในพลังงานสะอาด:
- บริษัทได้ลงทุนในพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อสร้างภาพลักษณ์การรักษ์โลกและคาดหวังว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต อย่างไรก็ตาม การลงทุนในด้านนี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในระยะสั้นสูงขึ้น
3.การขยายสาขาและพนักงาน:
- แม้ว่าจะมีการเปิดสาขาใหม่ แต่ IKEA ก็มีการปรับโครงสร้างการจ้างงาน โดยมีแผนที่จะลดจำนวนพนักงาน 7,500 ตำแหน่ง เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.ยอดขายหน้าร้าน:
- ยอดขายจากช่องทางหน้าร้านเติบโตเพียง 0.7% ซึ่งไม่สามารถรองรับการเติบโตของค่าใช้จ่ายได้ ทำให้กำไรที่ลดลงเป็นผลจากการที่การเติบโตของรายได้ไม่เพียงพอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
สรุป
แม้ว่า IKEA จะมีรายได้ที่เติบโต แต่การลงทุนที่สูงในช่องทางออนไลน์และพลังงานสะอาด รวมถึงการลดจำนวนพนักงาน ทำให้กำไรลดลง 10% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การดำเนินงานที่เน้นการเติบโตในระยะยาวมากกว่าผลกำไรในระยะสั้น | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39285 | Retail | "ธุรกิจค้าปลีกไทยในภูมิภาคเอเชีย ทางด้านยอดขาย" อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศจีนมียอดขายสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย? | 1. การนำเทคโนโลยีมาผสานธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน
2. การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
3. การขยายสาขาธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชีย
4. การมีประชากรจำนวนมาก | คำตอบคือ 1. เพราะว่า
ตัวเลือก:การนำเทคโนโลยีมาผสานธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน
เหตุผลสนับสนุน: ระบุว่าจีนก้าวสู่ "New Retail" ซึ่งเป็นการผสานธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ตัวอย่างเทคโนโลยีที่ใช้ เช่น การสแกนใบหน้าเพื่อชำระเงิน, รถเข็นอัจฉริยะ
ตลาดอีคอมเมิร์ซจีนมีขนาดใหญ่และเติบโตเร็ว คิดเป็น 47% ของตลาดอีคอมเมิร์ซดิจิทัลทั่วโลก
เหตุผลที่ไม่สนับสนุน: ตัวเลือกอื่นๆ ก็มีส่วนทำให้ยอดขายสูงเช่นกัน
ตัวเลือก:การขยายสาขาธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชีย
เหตุผลสนับสนุน: ไม่ได้กล่าวถึงการขยายสาขาธุรกิจไปยังต่างประเทศ จีนมีประชากรภายในประเทศจำนวนมาก
ตัวเลือก:การมีประชากรจำนวนมาก
เหตุผลสนับสนุน: จีนมีประชากรภายในประเทศจำนวนมาก ประชากรจำนวนมากหมายถึงฐานลูกค้าที่กว้าง
เหตุผลที่ไม่สนับสนุน: ตัวเลือกอื่นๆ ก็มีส่วนทำให้ยอดขายสูงเช่นกัน
ตัวเลือก:การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
เหตุผลสนับสนุน: ไม่ได้กล่าวถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เศรษฐกิจจีนเติบโตดีโดยไม่ต้องพึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ข้อที่ถูกต้อง:การนำเทคโนโลยีมาผสานธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน
เหตุผลที่ข้อถูกต้อง: ให้ความสำคัญกับ "New Retail" ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จีนใช้อย่างประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างเทคโนโลยีที่นำมาใช้ล้วนทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตลาดอีคอมเมิร์ซจีนมีขนาดใหญ่และเติบโตเร็ว แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในประเทศจีน | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39320 | Retail | การบุกตลาดสหรัฐอเมริกาของ Alibaba ในรูปแบบ B2B จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกาหรือไม่? | null | ใช่ การบุกตลาดสหรัฐอเมริกาของ Alibaba ในรูปแบบ B2B มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา
เหตุผล:
1. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า:
Alibaba มีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านรายในกว่า 190 ประเทศ ซึ่งหมายความว่า ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกาจะมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ทั่วโลก
การเข้าถึงลูกค้าใหม่เหล่านี้ จะช่วยขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ
2. เพิ่มตัวเลือกช่งทางการขาย:
ธุรกิจค้าปลีกขาดกลางในสหรัฐอเมริกา จะสามารถขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม Alibaba เพิ่มเติมจากช่องทางเดิม เช่น ร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ หรือหน้าร้าน
ตัวเลือกช่องทางการขายที่หลากหลาย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า และเพิ่มยอดขาย
3. ลดต้นทุนการดำเนินงาน:
Alibaba เสนอบริการต่างๆ มากมาย เช่น การชำระเงิน การจัดส่งสินค้า และการตลาด ซึ่งจะช่วยลดภาระงานและต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกขนาดกลาง
ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสินค้าและบริการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องระบบสนับสนุนหลังการขาย
4. เข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย:
Alibaba เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา จะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบวิเคราะห์ข้อมูล
เทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลาง เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น และพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ
5. สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ:
การเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ และช่องทางการขายใหม่ๆ จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา มีโอกาสในการขยายธุรกิจ
ธุรกิจสามารถขยายสาขาไปยังต่างประเทศ หรือ พัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดใหม่
อย่างไรก็ตาม:
ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Alibaba อย่างละเอียด
ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบและวัฒนธรรมการค้าบนแพลตฟอร์ม
ธุรกิจต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับการแข่งขันจากผู้ขายรายอื่นบนแพลตฟอร์ม
โดยสรุป: การบุกตลาดสหรัฐอเมริกาของ Alibaba ในรูปแบบ B2B มีศักยภาพที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา ธุรกิจที่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม Alibaba ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จและขยายธุรกิจได้ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39323 | Retail | กลยุทธ์ New Retail ของ Class Cafe มีอะไรบ้าง และแต่ละกลยุทธ์มีผลลัพธ์อย่างไร? | null | Class Cafe นำกลยุทธ์ New Retail มาปรับใช้กับธุรกิจกาแฟของตน ดังนี้
1. การผสานออนไลน์และออฟไลน์:
- แอปพลิเคชัน Class Cafe: ลูกค้าสามารถสั่งซื้อกาแฟและอาหารล่วงหน้า ตรวจสอบโปรโมชั่น ชำระเงินออนไลน์ สะสมแต้ม และติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ
- บริการ Delivery: จับมือกับ GrabFood, Foodpanda และ Lineman เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการทานกาแฟและอาหารที่บ้าน
- การใช้ Social Media: โปรโมทแบรนด์ สื่อสารกับลูกค้า เผยแพร่กิจกรรม และสร้าง Community
ผลลัพธ์:
- เพิ่มช่องทางการสั่งซื้อและชำระเงิน สะดวก รวดเร็ว
- ขยายฐานลูกค้า เข้าถึงลูกค้าที่ไม่สะดวกมาหน้าร้าน
- เพิ่มยอดขาย
- สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
- เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์
2. การจับมือกับพันธมิตร:
- จับมือกับ Air Asia: มอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้า Class Cafe ที่จองตั๋วเครื่องบินกับ Air Asia
- จับมือกับแสนสิริ: นำเสนอเมนูพิเศษสำหรับลูกค้าแสนสิริ และจัดกิจกรรมร่วมกัน
- จับมือกับ OKA HAUS: เปิดสาขา Class Cafe ภายในโครงการ OKA HAUS พระราม 4 เจาะกลุ่มลูกค้าสายสื่อสารมวลชน
- จับมือกับสถานศึกษา สถาบันด้านสุขภาพ และกลุ่มคนรักบิ๊กไบค์: จัดกิจกรรมพิเศษ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเฉพาะ
ผลลัพธ์ คือ
- เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
- ขยายฐานลูกค้า
- เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้
- เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์
- สร้าง Community
3. การนำเทคโนโลยีมาใช้:
- ระบบ Face Recognition: จดจำใบหน้าลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมการสั่งซื้อ และนำเสนอเมนูที่ตรงใจ
- Data Analytics: วิเคราะห์ข้อมูลการสั่งซื้อ พฤติกรรมลูกค้า และนำมาพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาด
- ระบบ Wi-Fi ฟรี: ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้ Co-Working Space
ผลลัพธ์:
- มอบประสบการณ์ส่วนตัว (Personalization) ให้กับลูกค้า
- พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจลูกค้า
- เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
- ดึงดูดลูกค้า
4. การให้ความสำคัญกับ Community:
- กิจกรรม Workshop: จัดกิจกรรม Workshop เกี่ยวกับกาแฟ การชงกาแฟ และธุรกิจ
- กิจกรรม CSR: ร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม
- การสนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรม: สนับสนุนศิลปินท้องถิ่น จัดแสดงผลงานศิลปะ
ผลลัพธ์:
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
- เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์
- สร้าง Community
- ดึงดูดลูกค้า
5. การขยายสาขา:
- แผนขยายสาขาในภาคตะวันออก: ศรีราชา ชลบุรี EEC
- แผนขยายสาขาในภาคอีสาน: อุดรธานี ขอนแก่น
ผลลัพธ์:
- ขยายฐานลูกค้า
- เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์
สรุป:
กลยุทธ์ New Retail ของ Class Cafe ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ ขยายฐานลูกค้า เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ สร้าง Community และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
Class Cafe เป็นตัวอย่างที่ดีของธุรกิจกาแฟท้องถิ่นไทยที่ประสบความสำเร็จด้วยการนำกลยุทธ์ New Retail มาปรับใช้ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39326 | Retail | กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (PFPO) มีความแตกต่างกันอย่างไร? | null | กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) และ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (PFPO) เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่มีรายละเอียดและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ประเภทของอสังหาริมทรัพย์:
- IFF: ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงไฟฟ้า ทางหลวง สนามบิน ท่าเรือ โรงพยาบาล
- PFPO: ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม
2. ลักษณะการลงทุน:
- IFF: ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มักมีระยะเวลาการลงทุนยาวนาน 15-25 ปี
- PFPO: ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ระยะเวลาการลงทุน 5-10 ปี
3. ผลตอบแทน:
- IFF: ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอน มาจากค่าเช่าระยะยาว และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
- PFPO: ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และความต้องการพื้นที่เช่า
4. ความเสี่ยง:
- IFF: ความเสี่ยงด้านการก่อสร้าง ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
- PFPO: ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านผู้เช่า และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
ตัวอย่างกองทุน:
1. IFF: กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF)
2. PFPO: ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ บัวหลวง เค.อี. รีเทล (BKER)
สรุป:
- IFF: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน และสามารถรับความเสี่ยงด้านการก่อสร้าง ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
- PFPO: เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า และสามารถรับความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านผู้เช่า และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทุนรวม ควรศึกษาข้อมูลของกองทุนแต่ละกองอย่างละเอียด เปรียบเทียบผลตอบแทน ความเสี่ยง และนโยบายการลงทุนก่อนตัดสินใจ
ในส่วนของ Retail:
1. IFF: มักลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ Retail เช่น ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า
2. PFPO: มักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Retail เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Retail เช่น:
1. เทรนด์การค้าปลีกออนไลน์
2. พฤติกรรมผู้บริโภค
3. การแข่งขันในธุรกิจ Retail
โดยสรุป กองทุนรวม IFF และ PFPO เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่มีรายละเอียดและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนแต่ละกองอย่างละเอียด เปรียบเทียบผลตอบแทน ความเสี่ยง และนโยบายการลงทุนก่อนตัดสินใจ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39337 | Retail | “ไอคอนสยาม” สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ World Retail Awards 2019 ในสาขาใด ใน “World Retail Hall of Fame 2019” ของสภาการค้าปลีกโลก (World Retail Congress) | “ชฎาทิพ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ได้รับ เกียรติสูงสุดในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่ได้รับการจารึกชื่อในหอเกียรติยศของสภาการค้าปลีกโลก (World Retail Hall of Fame 2019)
ไอคอนสยาม” คว้ารางวัลชนะเลิศ โครงการที่ออกแบบดีที่สุดในโลกจาก World Retail Awards 2019 สาขา Best Store Design of the Year ตอกย้ำความสำเร็จของการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ระดับชาติ การผนึกกำลังหัวใจคนไทยหลายภาคส่วน ร่วมกับผู้มีฝีมือจากทั่วโลก
“เราต้องการให้โครงการต่างๆ ของเรา สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าตื่นตาตื่นใจ สร้างคุณค่าและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่มาเยี่ยมเยือน และเราปรารถนาให้สยามพิวรรธน์เป็นบริษัทไทยที่นำพาเกียรติยศและการยอมรับนับถือในเวทีโลก มาสู่คนไทยและประเทศไทยของเรา”
วันนี้ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ “ไอคอนสยาม” อภิมหาโครงการเมืองสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ประกาศความสำเร็จอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของวงการค้าปลีกไทยบนเวทีระดับโลก เมื่อ “ชฎาทิพ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้ถูกจารึกชื่อใน “World Retail Hall of Fame 2019” ของสภาการค้าปลีกโลก (World Retail Congress) ในฐานะผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงและมีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางและการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกในระดับโลก อีกทั้ง “ไอคอนสยาม” คว้ารางวัลชนะเลิศ “World Retail Awards 2019” ในฐานะเป็นโครงการที่ออกแบบดีที่สุดในโลก (Best Store Design of the Year) ณ งานมอบรางวัล World Retail Awards ประจำปี 2019 ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ พิพิธภัณฑ์การเดินเรือแห่งชาติ เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีบุคคลชั้นนำในแวดวงค้าปลีกจากทั่วโลกเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
ทั้งนี้ การจารึกชื่อ World Retail Hall of Fame เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 เป็นการประกาศเกียรติคุณระดับสูงสุด เพื่อเชิดชูผู้ประกอบกิจการในวงการค้าปลีกที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมที่ล้ำสมัยมากที่สุด ตลอดจนเป็นผู้ที่มีบทบาทและทรงอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนวงการค้าปลีกมากที่สุด ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นที่จะทำความฝันให้เป็นจริงได้ และดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด เป็นแรงบันดาลใจและแบบอย่างให้ผู้อื่น โดยในปี 2019 นี้ ยังมีผู้ได้รับการจารึกชื่อในหอเกียรติยศของสภาการค้าปลีกโลก ได้แก่ Cath Kidston–Founder of Cath Kidston, Dick Boer–Former President and CEO of Ahold Delhaize และ Rodney McMullen–Chairman and CEO of The Kroger Co.
โดยในอดีตผู้ที่เคยถูกจารึกชื่อในหอเกียรติยศสภาค้าปลีกโลก อาทิ Ingvar Kamprad–Founder of IKEA, Jack Ma–Alibaba, Michael Gould–Bloomingdales, Burt Tansky–Neiman Marcus, Sir Stuart Rose–Marks & Spencer, Sir Paul Smith–Paul Smith, Martha Stewart, Jacques Levy–Sephora, Tadashi Yanai–Uniqlo, Jo Loves–Founder Jo Malone, Richard Liu–JD.com เป็นต้น
บนเวทีเดียวกันนี้ “ไอคอนสยาม” อภิมหาโครงการเมืองสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสยามพิวรรธน์เป็นหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ World Retail Awards 2019 ในสาขา Best Store Design of the Year เป็นโครงการที่มีการออกแบบดีที่สุดในโลก สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมร่วมกับทีมงาน นักออกแบบ บริษัท เออร์เบิ้น อาร์คิเทค จำกัด โดยความสำเร็จจากการรับรางวัลในครั้งนี้คณะกรรมการได้กล่าวว่า “ไอคอนสยาม คือ โครงการที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ที่ได้สร้างสรรค์และนำพาการออกแบบค้าปลีกให้ก้าวไปสู่อนาคตและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการ เป็นโครงการที่ผสมผสานรูปแบบค้าปลีก ที่พักอาศัย และความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยร่วมมือกับศิลปินและช่างฝีมือจากทั่วประเทศไทยและจากทั่วโลก ตลอดจนร่วมมือทำงานกับชุมชนโดยรอบ และผู้ประกอบการร้านค้า ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ในการสร้างโครงการที่มิใช่มีแค่เรื่องของธุรกิจค้าปลีก หากแต่เป็นโครงการที่นำทั้งวัฒนธรรม นวัตกรรม และศิลป์มาไว้ร่วมกันอย่างเยี่ยมยอด”
นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “ตลอด ระยะเวลา 60 ปี สยามพิวรรธน์มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการสร้างต้นแบบ และนำมาตรฐานใหม่ๆ มาพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก เพื่อให้งานของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด เราสร้างปรากฏการณ์ปฏิวัติวงการไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศไทยแต่รวมถึงวงการค้าปลีกของโลก ให้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จและพลิกเกมส์ครั้งยิ่งใหญ่ (Game Changer) ครั้งแล้วครั้งเล่า”
นางชฎาทิพ กล่าวว่า “การพัฒนาโครงการไอคอนสยามจนสำเร็จ ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ (New Paradigm) ในการทำธุรกิจในรูปแบบ ‘Shared Values’ หรือการสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นร่วมกันทุกฝ่าย และ ‘Co-Creation’ หรือการร่วมกันรังสรรค์ ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมและในสเกลที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน สร้างผลประโยชน์ให้แผ่กระจายไปในวงกว้างทั้งระดับชุมชน สังคม และประเทศ”
“ความสำเร็จของไอคอนสยามในวันนี้ เกิดจากจากการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ระดับชาติอย่างแท้จริง ซึ่งต้องขอขอบคุณหัวใจคนไทยหลายภาคส่วน ผู้มีความรู้ความสามารถจากชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ภาคธุรกิจ ภาคราชการ ศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ รวมถึงผู้คนจากนานาสาขาอาชีพจากทั่วประเทศ และผู้ชำนาญการในด้านต่างๆ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากหลากหลายประเทศที่รักเมืองไทย ซึ่งรวมแล้วเป็นทีมผู้ร่วมสร้างสรรค์นับพันคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความปรารถนาที่จะช่วยกันสร้างสัญลักษณ์ใหม่ให้เป็นตัวแทนจินตนาการแห่งยุค เสริมสร้างให้คนไทยภาคภูมิใจในความเป็นไทย และช่วยกันสืบทอดความงดงามของความเป็นไทยในทุกมิติสู่ชนรุ่นหลัง อีกทั้งให้คนทั่วโลกที่มาเยือนรู้สึกหลงรักและประทับใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น”
“ความภาคภูมิใจประการหนึ่งของสยามพิวรรธน์คือการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยบนเวทีโลก และการประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเราคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์และมีความรู้ความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก รางวัลอันทรงเกียรตินี้ไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับนับถือของนานาประเทศมากขึ้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศ ความสำเร็จและความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน เสมือนเป็นการนำเอาธงชาติไทยไปโบกสะบัดบนเวทีโลกร่วมกัน” นางชฎาทิพ กล่าว
สยามพิวรรธน์ จะเดินหน้าดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์และจุดยืนที่แตกต่างของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อสร้างสรรค์โครงการที่ยิ่งใหญ่ร่วมกับทุกฝ่าย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งแผ่กระจายความเจริญรุ่งเรือง อำนวยประโยชน์ให้กับบรรดาธุรกิจที่อยู่โดยรอบ ดูแลสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน สร้างประโยชน์ให้สังคมไทยในวงกว้าง สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน สังคม และประเทศ และที่สำคัญคือการสร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้กับประเทศ และนำพาประเทศไทยไปชนะใจคนทั้งโลก | คว้ารางวัลชนะเลิศ World Retail Awards 2019 ในสาขา Best Store Design of the Year ใน “World Retail Hall of Fame 2019” ของสภาการค้าปลีกโลก (World Retail Congress)
โดยไอคอนสยามเป็นโครงการที่มีการออกแบบดีที่สุดในโลก สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมร่วมกับทีมงาน นักออกแบบ บริษัท เออร์เบิ้น อาร์คิเทค จำกัด โดยความสำเร็จจากการรับรางวัลในครั้งนี้ คณะกรรมการได้กล่าวว่า “ไอคอนสยาม คือ โครงการที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ที่ได้สร้างสรรค์และนำพาการออกแบบค้าปลีกให้ก้าวไปสู่อนาคตและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการ เป็นโครงการที่ผสมผสานรูปแบบค้าปลีก ที่พักอาศัย และความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยร่วมมือกับศิลปินและช่างฝีมือจากทั่วประเทศไทยและจากทั่วโลก ตลอดจนร่วมมือทำงานกับชุมชนโดยรอบ และผู้ประกอบการร้านค้า ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ในการสร้างโครงการที่มิใช่มีแค่เรื่องของธุรกิจค้าปลีก หากแต่เป็นโครงการที่นำทั้งวัฒนธรรม นวัตกรรม และศิลป์มาไว้ร่วมกันอย่างเยี่ยมยอด” | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39339 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม | null | พลังสีเขียวของเทสโก้ โลตัส: บทเรียนแห่งการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม
ณ กรุงเทพมหานคร ใจกลางห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยผู้คนมากมายต่างจับจ่ายซื้อของ ท่ามกลางสินค้าหลากหลายชนิด บรรจุภัณฑ์พลาสติกและโฟมถูกกองสูงเป็นภูเขา สร้างความกังวลให้กับ "นวล" หญิงสาวผู้ทำงานในแผนก CSR ของเทสโก้ โลตัส
นวล มองดูขยะเหล่านี้ด้วยความกังวล เธอตระหนักดีถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นทุกวัน เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้
"เราต้องทำอะไรสักอย่าง!" นวลคิด
นวลนำเสนอแผนงานต่อคณะกรรมการบริษัท เสนอให้เทสโก้ โลตัส ยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์โฟมทั้งหมด แทนที่ด้วยถาดเธอร์โมฟอร์มที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100%
"มันเป็นไอเดียที่ดี!" ประธานกรรมการเอ่ย "แต่มันจะยากลำบากมาก เราต้องเผชิญกับแรงกดดันจากลูกค้า คู่แข่ง และ suppliers"
นวล เข้าใจดี แต่เธอไม่หวั่นไหว เธออธิบายถึงผลกระทบของโฟมต่อสิ่งแวดล้อม ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการลดขยะพลาสติก
"เราต้องเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง!" นวล ย้ำ "เราต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ธุรกิจก็สามารถทำเพื่อสิ่งแวดล้อมได้"
หลังจากการถกเถียงอย่างยาวนาน คณะกรรมการบริษัทตัดสินใจเห็นด้วยกับนวล เทสโก้ โลตัส ประกาศนโยบายใหม่ ยกเลิกการใช้โฟมทั้งหมดภายในปี 2562
นโยบายนี้สร้างความฮือฮา ลูกค้าบางส่วนไม่พอใจ บ่นว่าถาดเธอร์โมฟอร์มมีราคาแพงและย่อยสลายยาก
นวล และทีมงานของเธอ ตระหนักดีถึงความท้าทาย พวกเขาจึงลงมือสร้างสรรค์แคมเปญรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับลูกค้า พวกเขาจัดเวิร์คช็อปสอนวิธีการแยกขยะ แจกถุงผ้าให้กับลูกค้า และนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของโฟมต่อสิ่งแวดล้อม
ความพยายามของพวกเขาเริ่มส่งผล ลูกค้าเริ่มเข้าใจและสนับสนุนนโยบายใหม่ หลายคนเริ่มนำถุงผ้ามาช้อปปิ้ง แยกขยะอย่างถูกวิธี ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี เทสโก้ โลตัส สามารถลดการใช้โฟมลงได้อย่างมาก ประหยัดพลาสติกไปกว่า 400 ตันต่อปี
นโยบายนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับห้างสรรพสินค้าอื่นๆ หลายแห่งเริ่มทยอยงดใช้โฟมและบรรจุภัณฑ์พลาสติก
"เรารู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้!" นวล กล่าว "มันแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจก็สามารถทำเพื่อสิ่งแวดล้อมได้ เราต้องร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานของเรา" | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39346 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "เครื่องมือเพิ่ม Solution ให้ลูกค้า KBank" ให้หน่อยค่ะ | KBank เตรียมเครื่องมือเพิ่ม Solution ให้ลูกค้าอย่างไร? KBank เตรียมเครื่องมือเพิ่ม Solution ให้ลูกค้าอย่างไร? ปัจจุบันลูกค้าไม่ต้องการธนาคาร ถึงไม่มีแบงก์ก็อยู่ได้สบาย ดังนั้นต้องเข้าไปสร้างความหมายในชีวิตลูกค้า คือเมื่อคนคิดจะซื้อ- ขายของ แบงก์ต้องไปอยู่ตรงนั้นให้คนรับ-จ่ายเงินได้ ปัจจุบันลูกค้าไม่ต้องการธนาคาร ถึงไม่มีแบงก์ก็อยู่ได้สบาย ดังนั้นต้องเข้าไปสร้างความหมายในชีวิตลูกค้า คือเมื่อคนคิดจะซื้อ- ขายของ แบงก์ต้องไปอยู่ตรงนั้นให้คนรับ-จ่ายเงินได้ ธนาคารจึงมีเครื่องมือให้ลูกค้าหลากหลายที่เชื่อมช่องทางทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ แพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เช่น แอปพลิเคชั่น โมบายแบงก์กิ้งอย่าง K PLUS ที่ช่วยให้คนไทยรับ-จ่ายเงินง่ายขึ้น การเกิดกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) เป็นต้น ธนาคารจึงมีเครื่องมือให้ลูกค้าหลากหลายที่เชื่อมช่องทางทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ แพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน เช่น แอปพลิเคชั่น โมบายแบงก์กิ้งอย่าง K PLUS ที่ช่วยให้คนไทยรับ-จ่ายเงินง่ายขึ้น การเกิดกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) เป็นต้น “ตอนนี้เรามีฐานลูกค้า K PLUS กว่า 11 ล้านราย ทำให้รู้ว่าใครเป็นใคร มีข้อมูล เพศ อาชีพ อายุ และรู้พฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อที่แบงก์จะรู้ใจลูกค้ามากขึ้น โดยใช้ AI อย่าง KADE มาตอบสนองความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม” “ตอนนี้เรามีฐานลูกค้า K PLUS กว่า 11 ล้านราย ทำให้รู้ว่าใครเป็นใคร มีข้อมูล เพศ อาชีพ อายุ และรู้พฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อที่แบงก์จะรู้ใจลูกค้ามากขึ้น โดยใช้ AI อย่าง KADE มาตอบสนองความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม” ฝั่ง SME มี K PLUS Market ที่มีลูกค้าเข้ามาชมสินค้ากว่า 120,000 รายต่อวัน ขายสินค้ากว่า 32,000 SKU บนมือถือ จึงเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ SME ขนาดเล็กที่มีสินค้าคุณภาพได้เจอกับลูกค้าหลักสิบล้านคนบน K PLUS ผ่าน Ecosystem ของธนาคาร เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการได้นำเสนอสินค้า พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าผู้ซื้อสามารถใช้คะแนนบัตรเครดิตเพื่อช้อปปิ้งได้ด้วย | KBank มีเครื่องมือที่เชื่อมช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น K PLUS แอปพลิเคชั่นโมบายแบงก์กิ้งที่ช่วยให้ลูกค้ารับและจ่ายเงินง่ายขึ้น และ K PLUS Market แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ SME ขนาดเล็กเจอกับลูกค้าของ K PLUS ผ่านระบบ Ecosystem ของธนาคาร ให้ผู้ประกอบการนำเสนอสินค้าและเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้าสามารถใช้คะแนนบัตรเครดิตเพื่อช้อปปิ้งได้ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39354 | Retail | นิยามคำว่า New Retail ของ Alibaba คืออะไร | ปกติถ้าพูดถึงวงการค้าปลีก จะมี 2 คำที่เป็นท่ามาตรฐานในการอธิบายคือ “ออฟไลน์” (offline) กับ “ออนไลน์” (Online)
ค้าปลีกออฟไลน์ คือการซื้อของจากหน้าร้าน เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต
ค้าปลีกออนไลน์ คือการซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น (รู้จักกันดีในนาม “อีคอมเมิร์ซ”)
แต่ในยุคนี้ แค่ออฟไลน์หรือออนไลน์อย่างเดียวไม่พอ เพราะต่างก็มีจุดแข็ง-จุดอ่อนกันทั้งคู่ ลองนึกภาพว่าถ้าลูกค้าหาซื้อสินค้าบนออนไลน์ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องออกไปหาซื้อสินค้าจากร้านค้าออฟไลน์อยู่ดี หรือถ้ามองในมุมของคนขาย การมีหน้าร้านออฟไลน์อย่างเดียว ก็ทำให้ไม่สามารถติดตามและจัดเก็บข้อมูลการซื้อของลูกค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในการทำธุรกิจได้
พูดง่ายๆ คือ การแบ่งโลกของค้าปลีกออกเป็น “ออฟไลน์ กับ ออนไลน์” คือโลกเก่าไปแล้ว
ค้าปลีกยุคนี้ต้อง NEW RETAIL
คำถามก็คือ New Retail คืออะไร?
New Retail แนวคิดยุคใหม่ที่อาจเป็นอนาคตของวงการค้าปลีก
New Retail เป็นคำที่ใช้ครั้งแรกและคิดค้นโดยแจ๊ค หม่า เจ้าพ่อแห่ง Alibaba ผู้เตรียมส่งไม้ต่อกิจการให้กับทายาทตัวจริงอย่างแดเนียล จาง ซีอีโอคนปัจจุบัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว New Retail เป็น 1 ใน 5 กลยุทธ์ของ Alibaba ที่ประกอบไปด้วย New Finance, New Manufacturing, New Technology และ New Energy
แต่บทความนี้จะพูดถึงเฉพาะเรื่อง “New Retail” เท่านั้น
นิยามคำว่า New Retail ของ Alibaba คือการนำเอาค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์มาผสมผสานกัน โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ เพื่อทำให้ค้าปลีกไร้เส้นแบ่งระหว่างออฟไลน์กับออนไลน์อีกต่อไป
เราอาจเรียก New Retail ในภาษาไทยได้ว่า “ค้าปลีกยุคใหม่” หรือ “ค้าปลีกรูปแบบใหม่”
อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น ค้าปลีกยุคใหม่ที่ Alibaba เสนอ คือการนำเอาเทคโนโลยีเข้าไปเสริมพลังให้กับร้านค้าออฟไลน์แบบเดิม ทำให้ลูกค้าเมื่อเดินเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Alibaba คือร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่า โดยภายในร้านได้มีการนำเอาออฟไลน์กับออนไลน์เข้ามาผสมผสานกัน ดังนี้
มีการนำเอา QR Code มาใช้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถ track ตัวสินค้ากลับไปยังที่มาของจุดผลิต องค์ประกอบของสินค้า หรือรายละเอียดต่างๆ เช่น วันหมดอายุของสินค้า หรือถ้าเป็นส่วนประกอบอาหาร อาจแสดงตัวอย่างเมนูพร้อมกับสูตรในการทำอาหารขึ้นมาในสมาร์ทโฟน
มีการใช้ระบบอัตโนมัติในหลายขั้นตอน อย่างเช่น ระบบนำสินค้ามาเงินอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งแรงงานมนุษย์ในการคิดเงินสินค้า นอกจากนั้น ลูกค้าของเหอหม่าก็ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด เพราะจ่ายเงินได้ด้วย QR Code หรือล้ำหน้าไปกว่านั้น ลูกค้าก็สามารถจ่ายเงินได้ด้วยใบหน้า (Face Payment)
มีป้ายราคาแบบดิจิทัล ทำให้ทางร้านปรับเปลี่ยนราคา หรือโปรโมชั่นได้อย่างเรียลไทม์
มีการทำระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร ลูกค้าของร้านเหอหม่า เมื่อเดินเข้ามาในร้าน (ออฟไลน์) เพื่อเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ ของสด สามารถสั่งให้ทางร้านส่งของแบบเดลิเวอรี่ไปให้ถึงหน้าบ้าน (ออนไลน์) ได้เลย ซึ่งร้านเหอหม่ารับประกันว่าส่งถึงบ้านภายใน 30 นาที (แต่บ้านของลูกค้าต้องอยู่ห่างจากสาขาไม่เกินรัศมี 3 กิโลเมตร)
ลองดูคลิปด้านล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่าของ Alibaba ที่เป็นหนึ่งในต้นแบบแนวคิดของ New Retail (3 นาทีจบ)
จะเห็นได้ว่า New Retail หรือค้าปลีกยุคใหม่คือ การผสมผสานของค้าปลีกออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ พูดง่ายๆ คือในออฟไลน์มีออนไลน์ ส่วนในออนไลน์ก็มีออฟไลน์ ผสานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อตอบโจทย์ค้าปลีกในโลกยุคใหม่ที่ไร้เส้นแบ่งระหว่างโลกออฟไลน์กับออนไลน์
เบื้องหลังของ New Retail
การผสมผสานออฟไลน์กับออนไลน์ตามแนวคิด New Retail เอาเข้าจริงแล้วเบื้องหลังของเรื่องนี้คือ เทคโนโลยี และการจัดการข้อมูล
ถ้าดูจากต้นขั้วแนวคิดอย่าง Alibaba นอกเหนือจากร้านซุปเปอร์มาเก็ตเหอหม่าที่ทาง Alibaba จัดการเองทั้งหมด ตั้งแต่หน้าร้าน การจัดการสินค้า โลจิสติกส์ ไปจนถึงเรื่องการตลาด แนวคิดแบบ New Retail ยังได้มีการนำไปใช้กับร้านค้าปลีกรายเล็ก-รายย่อย (คนไทยเรียกว่า ร้านโชห่วย) ในชุมชนด้วย
สิ่งที่ Alibaba ทำกับร้านโชห่วยในจีน คือการนำเอาเทคโนโลยีไปใช้ใส่ในร้านออฟไลน์แบบเดิม ตั้งแต่ระบบการคิดเงิน การสต็อคสินค้า การสั่งซื้อสินค้า ไปจนถึงการเก็บ “ข้อมูล” ของลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อของในร้านแบบเรียลไทม์
ร้านโชห่วยที่นำเอาแนวคิด New Retail ของ Alibaba มาใช้ จึงไม่จำเป็นต้องสต็อคสินค้าจำนวนมากอีกต่อไป เพราะมีข้อมูลในมือแบบเรียลไทม์ และสามารถติดตามการขายได้ตลอดเวลา ทำให้ทางร้านลดต้นทุนไปได้มาก
ดังนั้น พูดได้เลยว่า การจัดการข้อมูลและเทคโนโลยี คือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง จากค้าปลีกยุคเก่าให้กลายมาเป็นค้าปลีกยุคใหม่ตามแนวคิดแบบ New Retail
ลองดูคลิปด้านล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจการนำแนวคิด New Retail ของ Alibaba ไปใช้ในร้านโชห่วยจีน (บรรยายภาษาอังกฤษ)
ความ “ใหม่” ในมุมผู้ประกอบการ
New Retail คือการเพิ่มพลังให้กับผู้ประกอบการในโลกค้าปลีกยุคใหม่
แน่นอนว่า เทคโนโลยีและการจัดการข้อมูลคือเบื้องหลังความสำเร็จ และถือเป็น “เครื่องมือ” ที่จะทำให้ผู้ประกอบการร้านค้าวิ่งตามทันโลกค้าปลีกยุคใหม่
เครื่องมือต่างๆ ที่ผู้ประกอบการจะนำไปใช้ในการปรับตัวให้เข้าสู่ New Retail มีตั้งแต่การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อยอดการขายสินค้า (Consumer Analytics) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนั้น การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในร้านค้าค้าปลีก ยังจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการการขายได้อย่างครบวงจรด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในร้านขายเครื่องสำอางที่ตั้งอยู่ห้างสรรพสินค้าของจีน มีการนำเอากระจกวิเศษ (Magic Mirror) ซึ่งเป็นกระจกที่ใช้เทคโนโลยี VR มาติดตั้ง โดยลูกค้าสามารถเข้ามาทดลองแต่งหน้าของตัวเองผ่านกระจกวิเศษได้แบบเรียลไทม์ และเมื่อลูกค้าสนใจสินค้าตัวนั้นๆ ก็สามารถซื้อที่หน้าร้านออฟไลน์ได้เลย หรือหากสินค้าที่หน้าร้านหมด ลูกค้าก็สามารถสั่งสินค้าตัวนั้นผ่านออนไลน์ให้ไปส่งที่บ้านได้เลยเช่นเดียวกัน
ด้วยแนวคิดของ New Retail นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการร้านค้ามีประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า และมีความแม่นยำในการขายมากขึ้นเพราะมีข้อมูลลูกค้า และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์จำนวนมากอีกแล้ว
ค้าปลีกยุคใหม่ที่นำเอาเทคโนโลยี Magic Mirror มาใช้ในการขายสินค้า Photo: Alibaba
ความ “ใหม่” ในมุมผู้บริโภค
New Retail คือการเติมประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคในโลกค้าปลีกยุคใหม่
ผู้บริโภคยุคก่อน เมื่อต้องการสินค้า ต้องวิ่งเข้าไปหาในร้านค้าออฟไลน์เพื่อเลือกซื้อสินค้า ในยุคถัดมาเมื่อมีอินเทอร์เน็ต รวมถึงบริการบนออนไลน์เริ่มได้รับความนิยมและแพร่หลาย การซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นเป็นหนึ่งในทางเลือกนอกเหนือจากการซื้อจากร้านค้าออฟไลน์
แต่ไม่ว่าจะออฟไลน์หรือออนไลน์มีจุดอ่อนทั้งคู่ ยกตัวอย่างเช่น หากหน้าร้านออฟไลน์ไม่มีสินค้า ลูกค้าซื้อวันนั้นไม่ได้ วันหน้าก็ต้องกลับมาซื้อใหม่ ทำให้ประสบการณ์ขาดตอน หรือในออนไลน์ที่ pain point หลักของผู้บริโภคส่วนใหญ่คือความไม่มั่นใจในตัวสินค้า เพราะไม่ได้จับ ไม่ได้สัมผัส หรือทดลองใช้สินค้าจริงก่อน
แนวคิดแบบ New Retail จึงตอบโจทย์ เพราะจะเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์การซื้อสินค้าผ่านออฟไลน์และออนไลน์ให้กับผู้บริโภคอย่างไร้รอยต่อ เพราะหากหน้าร้านออฟไลน์ไม่มีสินค้า ทางร้านอาจใช้เทคโนโลยีเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ ให้ลูกค้าทดลองสินค้าในร้านแบบเรียลไทม์ หลังจากนั้นเมื่อลูกค้าพึงพอใจ ก็สั่งสินค้าให้ไปส่งที่บ้านแบบเดลิเวอรี่ ส่วนการขายผ่านออนไลน์ หากลูกค้าไม่มั่นใจในตัวสินค้า อาจมีการทำหน้าร้านในบางสาขา (ไม่จำเป็นต้องมีสาขาเยอะก็ได้) เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้ไปสัมผัสและทดลองใช้ตัวสินค้า และเมื่อต้องการสินค้าตัวนั้น จะทำการสั่งซื้อสินค้าจากหน้าร้านออฟไลน์ หรือสั่งผ่านออนไลน์ให้มาส่งที่บ้านก็ได้ทั้งนั้น
นี่คือประสบการณ์ใหม่ของผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องแยกระหว่าง “ออฟไลน์” กับ “ออนไลน์” อีกต่อไป เพราะการซื้อสินค้าจากออฟไลน์หรือออนไลน์ย่อมได้สินค้าและประสบการณ์ที่เหมือนกันแทบทุกประการ
ทั้งหมดนี้คือภาพของ New Retail หรือค้าปลีกยุคใหม่ ที่นับวันจะยิ่งทวีคูณความสำคัญ และอาจเป็นอนาคตของวงการค้าปลีก
ลองดูคลิปด้านล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจแนวคิด New Retail ของ Alibaba เพิ่มเติม (คำบรรยายภาษาอังกฤษ) | นิยามคำว่า New Retail ของ Alibaba คือ การนำเอาค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์มาผสมผสานกัน โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ เพื่อทำให้ค้าปลีกไร้เส้นแบ่งระหว่างออฟไลน์กับออนไลน์อีกต่อไป อาจเรียก New Retail ในภาษาไทยได้ว่า “ค้าปลีกยุคใหม่” หรือ “ค้าปลีกรูปแบบใหม่”
ค้าปลีกยุคใหม่ที่ Alibaba เสนอ คือ การนำเอาเทคโนโลยีเข้าไปเสริมพลังให้กับร้านค้าออฟไลน์แบบเดิม ทำให้ลูกค้าเมื่อเดินเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Alibaba คือ ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่า โดยภายในร้านได้มีการนำเอาออฟไลน์กับออนไลน์เข้ามาผสมผสานกัน ดังนี้
- มีการนำเอา QR Code มาใช้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถ track ตัวสินค้ากลับไปยังที่มาของจุดผลิต องค์ประกอบของสินค้า หรือรายละเอียดต่างๆ เช่น วันหมดอายุของสินค้า หรือ ถ้าเป็นส่วนประกอบอาหาร อาจแสดงตัวอย่างเมนูพร้อมกับสูตรในการทำอาหารขึ้นมาในสมาร์ทโฟน
- มีการใช้ระบบอัตโนมัติในหลายขั้นตอน อย่างเช่น ระบบนำสินค้ามาเงินอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งแรงงานมนุษย์ในการคิดเงินสินค้า นอกจากนั้น ลูกค้าของเหอหม่าก็ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด เพราะจ่ายเงินได้ด้วย QR Code หรือล้ำหน้าไปกว่านั้น ลูกค้าก็สามารถจ่ายเงินได้ด้วยใบหน้า (Face Payment)
- มีป้ายราคาแบบดิจิทัล ทำให้ทางร้านปรับเปลี่ยนราคา หรือโปรโมชั่นได้อย่างเรียลไทม์
- มีการทำระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร ลูกค้าของร้านเหอหม่า เมื่อเดินเข้ามาในร้าน (ออฟไลน์) เพื่อเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ ของสด สามารถสั่งให้ทางร้านส่งของแบบเดลิเวอรี่ไปให้ถึงหน้าบ้าน (ออนไลน์) ได้เลย ซึ่งร้านเหอหม่ารับประกันว่าส่งถึงบ้านภายใน 30 นาที (แต่บ้านของลูกค้าต้องอยู่ห่างจากสาขาไม่เกินรัศมี 3 กิโลเมตร) | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39359 | Retail | IKEA ปรับกลยุทธ์รุกออนไลน์ รับมือวิกฤติค้าปลีก อะไรคือกลยุทธ์หลัก 2 ประการของ IKEA ในการปรับตัวรับมือวิกฤติค้าปลีก? | a. พัฒนาระบบสมาชิก และ ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น การติดตั้งซ่อมแซม
b. เน้นการขยายสาขาขนาดใหญ่ในใจกลางเมือง และ พัฒนาระบบสมาชิก
c. เน้นการขายสินค้าราคาประหยัด และ ขยายสาขาไปยังต่างประเทศ
d. ปรับรูปแบบการขาย เน้นช่องทางออนไลน์ และ ทดลองให้บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์ | คำตอบที่ถูกต้องคือ d. เนื่องจาก
IKEA ปรับกลยุทธ์หลัก 2 ประการ ดังนี้
-ปรับรูปแบบการขาย เน้นช่องทางออนไลน์:
เปิดสาขาขนาดเล็กใจกลางเมือง ลูกค้าไม่สามารถซื้อสินค้าที่ร้านได้ แต่ต้องสั่งซื้อออนไลน์เท่านั้น
พัฒนาระบบ e-commerce ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์
ทดลองให้บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์ ️
-ทดลองให้บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์:
IKEA ทดลองให้บริการเช่าเฟอร์นิเจอร์ ️
จับมือกับ TaskRabbit ผู้ให้บริการติดตั้งและซ่อมแซมสิ่งของภายในบ้าน
ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ได้อธิบายกลยุทธ์หลักของ IKEA ในการปรับตัวรับมือวิกฤติค้าปลีก:
เน้นการขยายสาขาขนาดใหญ่ในใจกลางเมือง และ พัฒนาระบบสมาชิก: ไม่ได้เน้นการขยายสาขาขนาดใหญ่ แต่เน้นการเปิดสาขาขนาดเล็ก และไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาระบบสมาชิก
พัฒนาระบบสมาชิก และ ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น การติดตั้งซ่อมแซม: ไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาระบบสมาชิก และการลงทุนในธุรกิจติดตั้งซ่อมแซม มุ่งเน้นไปที่การจับมือกับ TaskRabbit
เน้นการขายสินค้าราคาประหยัด และ ขยายสาขาไปยังต่างประเทศ: ไม่ได้เน้นการขายสินค้าราคาประหยัด และไม่ได้กล่าวถึงการขยายสาขาไปยังต่างประเทศ | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39362 | Retail | สรุปบทความเรื่อง GDP จีนไตรมาสแรกปี 2019 โต 6.4% ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ ให้หน่อย | GDP ไตรมาส 1 ปี 2019 ของประเทศจีนเติบโตสูงถึง 6.4% ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ โดยได้ผลดีจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนเปิดเผยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนว่าไตรมาสแรก GDP ของจีนเติบโตที่ 6.4% เท่ากับไตรมาส 4 ของปี 2018 ที่ผ่านมา ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.3% โดยได้ภาคการผลิตที่ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันภาคค้าปลีกก็กลับมาเติบโตได้อีกเช่นกัน เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ได้ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตอยู่ในช่วง 6 ถึง 6.5% ในปีนี้ และได้กล่าวในงาน Boao Forum Asia ว่า “รัฐบาลจีนมีเครื่องมือไว้รองรับถ้าหากเศรษฐกิจภายในประเทศย่ำแย่ลง” ผลของ GDP ไตรมาสที่ 1 นี้เป็นผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลจีนเริ่มมองเห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2019 ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายภาคส่วนมีอาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง สาเหตุสำคัญยังมาจากเรื่องของสงครามการค้า ทำให้รัฐบาลจีนต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบการเงินโดยการลด RRR รวมไปถึงการลดภาษี ฯลฯ Yifan Hu นักเศรษฐศาสตร์จาก UBS Global Wealth Management กล่าวกับ CNBC ในเรื่องนี้ว่า นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเริ่มส่งผลแล้ว แม้ว่าจะมีการเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า แต่เธอก็คาดว่าจีนจะยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ขณะเดียวกัน Credit Suisse ประมาณการ GDP ของประเทศจีนในปีนี้จะเติบโตที่ 6.3% สำหรับผลของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะส่งผลต่อเนื่องไปสู่ไตรมาส 2 แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่หลังจากปลายไตรมาส 3 แล้วผลของนโยบายดังกล่าวจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีเท่าเดิม | GDP ไตรมาส 1 ปี 2019 ของจีนเติบโต 6.4% ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.3% โดยได้ภาคการผลิตที่ฟื้นกลับมาและภาคค้าปลีกก็กลับมาเติบโต หลังจากที่รัฐบาลจีนเริ่มมองเห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2019 ค่อนข้างน่าเป็นห่วง สาเหตุมาจากสงครามการค้า แม้ว่าจะมีการเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า แต่คาดว่าจีนจะยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39371 | Retail | Tesco ในอังกฤษ มีแพ็คเกจจิ้งอะไรใหม่ | null | Tesco ประเทศอังกฤษ ทำการทดลองงดใช้แพ็คเกจจิ้งพลาสติกในกลุ่มผัก และผลไม้เป็นเวลา 1 เดือน มีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์ อีกหนึ่งทิศทางในวงการค้าปลีกที่มีนโยบายในการลดขยะจากแพ็คเกจจิ้ง และกำจัดขยะพลาสติกที่เป็นประเด็นใหญ่ไปทั่วโลก ล่าสุด Tesco ในประเทศอังกฤษได้เริ่มทดลองไม่ใช้แพ็คเกจจิ้งที่เป็นพลาสติกสำหรับกลุ่มผัก และผลไม้ก่อน จะเลือกสินค้าจำนวน 45 รายการ เช่น แอปเปิ้ล, หัวหอม, เห็ด และพริกไทย เป็นต้น จะเริ่มทดลองจำหน่ายใน Tesco Extra ในเมือง Watford และ Swindon เป็นเวลา 1 เดือน ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายที่ Tesco ได้ประกาศไว้เมื่อปีที่แล้วว่าจะงดใช้แพ็คเกจจิ้งที่รีไซเคิลยากให้หมดภายในปี 2019 และทำแพ็คเกจจิ้งทั้งหมดทั้งสโตร์ให้สามารถรีไซเคิลได้ภายในปี 2025 ต้องบอกว่าวงการค้าปลีกนั้นมีส่วนในการผลิตขยะมากมายมหาศาล ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ต่างมีส่วนในการสร้างขยะพลาสติกมากถึง 800,000 ตัน/ปี ในขณะที่ผู้บริโภคต้องการความยั่งยืนมากขึ้น ทาง Tesco เองก็หวังว่าการทดลองครั้งนี้จะได้รับความนิยมจากลูกค้า โดยที่จะติดตามผลอย่างต่อเนื่อง Source ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Tesco Lotus ไม่น้อยหน้า ประกาศเลิกใช้แพ็คเกจจิ้งโฟมทุกชนิด เริ่ม 1 ก.ค. 62 In "News" Burberry ประกาศงดใช้แพ็คเกจจิ้งพลาสติกทั้งหมดภายในปี 2025 In "News" Pepsi เตรียมเปลี่ยนแพ็คเกจจิ้ง Aquafina จากขวดพลาสติก สู่กระป๋องอะลูมิเนียม | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39372 | Retail | จงเสนอไอเดีย 3 มิติ ที่ตลาดค้าปลีกในโลกออฟไลน์ต้องมีการปรับตัว คืออะไรบ้าง | null | สินค้าต้องเป็น 3D ก็คือ Differentiation ต้องแตกต่างจากคนอื่น คนไทยมีจุดอ่อนที่ชอบทำอะไรที่ฮิตตามๆ กันก็ไม่ต่างจากคู่แข่ง ข้อเสียคือขายแล้วไม่ได้ราคา Distinct ตัวเองเก่งเรื่องอะไร ถ้าทำหม้อแกงเหมือนๆ กัน ต้องดูว่าเก่งเรื่องรสชาติ แพ็คเกจจิ้ง ดึงจุดเด่นออกมา ทำให้คนจำเราได้ เป็นเหตุผลที่ทำให้คนมาหาเรา Demand ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายกลักคือใคร ปัญหาของค้าปลีกคือจะขายทุกคนบนโลก ต้องขายแฟนพันธ์แท้ รู้จักดีมานด์ของแฟนพันธุ์แท้ก่อน ต้องทำ 3D ให้กลมกล่อม ถ้าผู้ประกอบการหาเจอ ทำธุรกิจอย่างไรก็รอด ปกติพลาด ไม่รู้จักลูกค้า ไม่รู้ว่าตัวเองเด่นเรื่องอะไร
และจะขายแต่โปรดักส์ไม่ได้ ต้องมีบริการด้วย ส่งง่ายขึ้น กินง่ายขึ้น คือการขายประสบการณ์ ถามว่าทำไมคนต้องมาซื้อหน้าร้าน ต้องมีประสบการณ์อำนวยความสะดวก ประสบการณ์ คือการติดต่อ การพูดคุย ความสัมผัส ความรู้สึก มันใหญ่กว่าบริการ ทำยังไงให้สะดวกขึ้น ปรับวิธีการส่ง ลูกค้ายอมจ่ายมากขึ้นเพื่อได้ความสะดวก
การปรับระบบการทำงาน
ปัญหาที่พบบ่อยในผู้ประกอบการรีเทลในไทยคือทำงานหลังบ้านไม่ค่อยเป็น หลายๆ เจ้าทำเหมือนกันคือจ้างคนอื่นมาทำ จะเห็นว่าร้านค้าในยุคนี้มีหน้าตาเหมือนๆ กันหมด สินค้าเหมือนๆ กันหมด
การทำธุรกิจที่ดีต้องมีระบบที่ดี
ต้องมีระบบจัดส่ง มีพาร์ทเนอร์ การจ่ายเงิน คิวอาร์โค้ด ยุคนี้อาจจะเน้นเพย์เมนต์เยอะหน่อย เพราะเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด ถ้าไม่มีระบบเอื้ออำนวยลูกค้าก็ไม่สะดวก ถ้าจ่ายเงินยากลูกค้าก็ไม่เอา และหลายคนใช้เครดิต ระบบโลจิสติกส์ที่ลูกค้าต้องการได้เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อำนวยความสะดวกโอกาสการขายก็ลดลง ยุคนี้ลูกค้ารอไม่เป็น ขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องเพิ่มยอดขายด้วยการจัดส่ง และการจ่ายเงิน
ผันตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ
และสุดท้ายคือผู้ประกอบการต้องหาความรู้เพิ่มเติม ในยุคโซเชียลมีเดียมีการหาข้อมูลง่าย ถ้ารู้งูๆ ปลาๆ จะคุยกับลูกค้าไม่ได้ ต้องผันตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้า และบริการของตัวเอง ต้องรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ต้องเปลี่ยนจากแม่ค้าเป็น Expert ให้คำแนะนำลูกค้าได้ ต้องมีทีมที่ดี หรือต้องมีเครือข่าย มีพาร์ทเนอร์ ยุคนี้ทำอะไรคนเดียวไม่ได้แล้ว ต้องรู้ว่าอ่อนอะไร จะหาความร่วมมือจากที่ไหน ต้องมีการปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าติดกับความสำเร็จเก่าๆ ต้องมีความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_39378 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....การแข่งขัน เป็นสิ่งที่ดีต่อผู้บริโภค | null | ดิวตี้ฟรีสนามบิน: เกมพลิกเมื่อผู้บริโภคมีอำนาจ
ณ ใจกลางสนามบินสุวรรณภูมิ ผู้คนมากมายกำลังเดินช้อปปิ้งที่ดิวตี้ฟรี ซึ่งเป็นร้านค้าปลอดอากรขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด ท่ามกลางความคึกคัก สายตาของ มิน พนักงานขายสาววัย 25 ปี จับจ้องไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังต่อแถวซื้อสินค้าแบรนด์เนมราคาแพง
มินถอนหายใจเบาๆ นึกย้อนไปถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่นี่มีเพียง คิง เพาเวอร์ ผู้ประกอบการรายเดียวที่ได้รับสัมปทานบริหารดิวตี้ฟรี สินค้ามีราคาสูงและหลากหลายจำกัด ผู้บริโภคอย่างเธอมีทางเลือกน้อย
แต่เมื่อไม่นานมานี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ตัดสินใจยกเลิกระบบสัมปทานแบบผูกขาด โดยแบ่งสัญญาออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่:
1.กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free)
2.กิจกรรมเชิงพาณิชย์ (Retail, F&B, Service และ Bank)
3.กิจการให้บริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Duty Free Pick-up Counter)
การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้ามาแข่งขัน ส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างมหาศาล สินค้ามีราคาถูกลงและมีตัวเลือกมากขึ้น
มินรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสใหม่นี้ เธอลาออกจากคิง เพาเวอร์ มาสมัครงานกับ บริษัท เอส เอ็ม เอส ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ที่เพิ่งเข้ามาบริหารพื้นที่ดิวตี้ฟรีบางส่วน
ในตอนแรก มินรู้สึกกังวลกลัวว่าจะปรับตัวเข้ากับระบบใหม่ไม่ได้ แต่เมื่อเธอได้เริ่มทำงาน กลับพบว่าบรรยากาศการทำงานที่นี่อบอุ่นและเป็นกันเอง พนักงานทุกคนมีโอกาสเสนอแนะความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์
ที่สำคัญ มินได้เรียนรู้เทคนิคการขายใหม่ๆ จากทีมผู้เชี่ยวชาญที่บริษัทจ้างมาฝึกอบรม ซึ่งทำให้มินสามารถช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สินค้าที่เธอแนะนำล้วนได้รับความสนใจจากลูกค้า ยอดขายของเธอก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
มินรู้สึกภูมิใจกับตัวเอง และรู้สึกขอบคุณที่ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบ เธอมองไปรอบๆ ดิวตี้ฟรีอีกครั้ง
จากนี้ไป ผู้บริโภคอย่างเธอมีอำนาจ
พวกเขาสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ตนต้องการ ในราคาที่เหมาะสม
และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |