ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_39411
Retail
สรุปบทความเรื่อง อุตสาหกรรมค้าปลีกยังถูก Disrupt อย่างต่อเนื่อง ให้หน่อย
อุตสาหกรรมค้าปลีกยังคงมีข่าวเรื่องการถูก Disruption อย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่จากช่องทางออนไลน์ แต่ขยายไปช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย ล่าสุดเข้าหาลูกค้าถึงออฟฟิศ! มีกรณีศึกษาจากวงการรีเทลอีกหนึ่งเคส เมื่อบริการเช่าเสื้อผ้าออนไลน์ในนิวยอร์กอย่าง Rent the Runway ได้เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ WeWork ที่เป็น Co-working office ทั้งคู่ถือเป็น Disruptor ของวงการทั้งสิ้น โปรเจ็คต์นี้ได้มีความร่วมมือกันโดยที่ Rent the Runway จะติดตั้งจุดที่ให้ลูกค้าบริการตัวเองตัวเอง สามารถออเดอร์สินค้า และนำสินค้ามาคืนได้ที่จุดนี้ มีการใช้เทคโนโลยี และแอปพลิเคชั่น ทำการติดตั้งที่ WeWork ทั้ง 15 จุด ตั้งอยู่ใน 6 เมืองด้วยกัน ได้แก่ Chicago, Los Angeles, Miami, New York City, San Francisco และ Washington, D.C. จากเดิมที่ Rent the Runway ได้ให้สมาชิกเข้าถึงจุด drop-off สินค้าของบริษัทใน 5 จุดในเมือง New York City, Chicago, San Francisco, Washington, D.C. และ Los Angeles การขยายจุด drop-off เข้าสู่ WeWork ถือเป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เป็นการ Disrupt ในอุตสาหกรรมรีเทลที่ไม่จำเป็นจะต้องเปิดช้อปอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงในพื้นที่ต่างๆ และ WeWork ก็มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานออฟฟิศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อยู่แล้วด้วย อีกทั้งยังช่วยขยายตลาดได้เร็วขึ้น เพราะมีหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา แถมสมาชิก WeWork จะได้รับส่วนลดสมาชิก Rent the Runway ด้วย สำหรับ Rent the Runway ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 เป็นแพลตฟอร์มใช้เช่าเสื้อผ้าผู้หญิงแบบออนไลน์ เริ่มจากชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ และได้ขยายสู่เสื้อผ้าที่สามารถใส่ในชีวิตประจำวัน ใส่ทำงาน ใส่เที่ยวได้ รวมถึงมีแผนที่จะเพิ่มโอกาสการเช่าชุดให้มากขึ้นด้วยโมเดลสมาชิกรายเดือน ในขณะเดียวกันการร่วมมือกันครั้งนี้ก็เป็นการบุกตลาดรีเทลของ Wework ด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายนได้เปิดตัว WeMrkt ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกเล็กๆ ในย่าน Manhattan ที่สินค้าเมอร์เชนไดร์สต่างๆ ที่คัดเลือกมาเฉพาะสมาชิกโดยเฉพาะ และมีแผนที่จะขยายไปยังโลเคชั่นอื่นๆ เพิ่มเติม Source ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related มาดูว่า 15 แบรนด์ใหญ่ มีวิธีการปฏิวัติวงการค้าปลีกอย่างไรบ้าง In "News" Social Distancing ระยะ “ห่าง” ระหว่างลูกค้า การปรับตัวของธุรกิจ Retail ยุค COVID-19 In "News" เจาะลึกการวางแผนสื่อโฆษณาในห้างรีเทลด้วยบิ๊กดาต้า โดย Dunnhumby In "Analysis"
อุตสาหกรรมค้าปลีกยังเผชิญกับการถูก Disruption อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Rent the Runway ซึ่งเป็นบริการเช่าเสื้อผ้าออนไลน์ ได้ร่วมมือกับ WeWork ที่เป็น Co-working space โดยติดตั้งจุดบริการให้ลูกค้าสามารถออเดอร์และคืนเสื้อผ้าที่ WeWork ใน 15 จุดทั่ว 6 เมือง เช่น ชิคาโก, ลอสแอนเจลิส, และนิวยอร์ก ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้ Rent the Runway สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ทำงานใน WeWork และทำให้การเช่าเสื้อผ้าเป็นไปได้สะดวกมากขึ้น โดยมีสมาชิก WeWork ได้รับส่วนลดจาก Rent the Runway ด้วย นอกจากนี้ Rent the Runway ยังมีแผนเพิ่มการเช่าชุดในชีวิตประจำวันและพัฒนาระบบสมาชิกรายเดือน ขณะเดียวกัน WeWork ก็ขยายตลาดรีเทลผ่านการเปิดร้าน WeMrkt ในแมนฮัตตันที่ขายสินค้าเฉพาะสำหรับสมาชิก การเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของอุตสาหกรรมรีเทลในการเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบที่หลากหลายและไม่จำกัดอยู่ในห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39413
Retail
กลยุทธ์การเจาะตลาดของ ICONSIAM เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจไทยปัจจุบันหรือไม่?
null
ไม่เหมาะ เหตุผล คือ 1. มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง: เศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมลดลง การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง อาจจำกัดจำนวนลูกค้า เสี่ยงต่อยอดขายและรายได้ 2. การลงทุนสูง: ICONSIAM ลงทุน 54,000 ล้านบาท ถือว่าสูงมาก อาจส่งผลต่อผลตอบแทนการลงทุน (ROI) เสี่ยงต่อภาวะขาดทุน 3. การแข่งขันที่รุนแรง ตลาดค้าปลีกในไทยมีการแข่งขันสูง มีห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง เช่น Siam Paragon, CentralWorld, Emporium ICONSIAM อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างหนัก 4. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง: ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ร้านค้าปลีกออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada ได้รับความนิยม ICONSIAM อาจต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ 5. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาค: - เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง - สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน - เหตุการณ์ทางการเมือง ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ข้อเสนอแนะ: ICONSIAM ควรขยายฐานลูกค้า มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลาง พัฒนาสินค้าและบริการให้หลากหลาย ปรับราคาให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ ปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด สรุป: กลยุทธ์การเจาะตลาดของ ICONSIAM อาจไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39414
Retail
จากผลสำรวจของ Vivatic อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานในอุตสาหกรรมค้าปลีกมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับนายจ้าง?
null
จากผลสำรวจของ Vivatic พบว่าพนักงานในอุตสาหกรรมค้าปลีกมีทัศนคติเชิงลบต่องานและนายจ้าง สาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับนายจ้างมีดังนี้ 1. สภาพการจ้างงานที่ไม่ดี: -ค่าจ้างต่ำ: พนักงานค้าปลีกมักได้รับค่าจ้างต่ำ ไม่สมกับภาระงานและความรับผิดชอบ -สวัสดิการไม่ดี: พนักงานค้าปลีกมักได้รับสวัสดิการน้อย -เวลาทำงานยาว: พนักงานค้าปลีกมักต้องทำงานเป็นกะ เวลาเช้าตรู่ เย็นดึก เสาร์-อาทิตย์ -งานหนัก: พนักงานค้าปลีกต้องเผชิญกับงานหนัก แรงกดดัน และความเครียด 2. พฤติกรรมของนายจ้าง: -การจัดการที่ไม่ดี: นายจ้างบางคนใช้วิธีการจัดการที่ไม่ดี เช่น การข่มขู่ ตะคอก หรือดูถูกพนักงาน -การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ: นายจ้างบางคนไม่สื่อสาร expectations กับพนักงานอย่างชัดเจน -การไม่ให้ความสำคัญกับพนักงาน: นายจ้างบางคนมองพนักงานเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพนักงาน 3. วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดี: -วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ: วัฒนธรรมองค์กรที่กดดัน ไม่มีความไว้วางใจ -การขาดการสนับสนุนจากองค์กร: พนักงานรู้สึกว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร -การขาดโอกาสในการพัฒนา: พนักงานไม่มีโอกาสในการพัฒนาทักษะและความรู้ ผลกระทบ: -ประสิทธิภาพการทำงานลดลง: พนักงานที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับนายจ้างมักมีประสิทธิภาพการทำงานต่ำ -การลาออก: พนักงานที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับนายจ้างมักลาออกจากงาน -ภาพลักษณ์ขององค์กรเสียหาย: องค์กรที่มีพนักงานมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับนายจ้างมักมีภาพลักษณ์ที่เสียหาย แนวทางแก้ไข: -ปรับปรุงสภาพการจ้างงาน: องค์กรควรปรับปรุงค่าจ้าง สวัสดิการ และเวลาทำงานให้ดีขึ้น -พัฒนาพฤติกรรมของนายจ้าง: องค์กรควรอบรมนายจ้างให้มีทักษะการจัดการที่ดี -สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี: องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความไว้วางใจ -สนับสนุนพนักงาน: องค์กรควรสนับสนุนพนักงานทั้งด้านการพัฒนาทักษะและความรู้ สรุป: ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงานกับนายจ้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จขององค์กร องค์กรควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสภาพการจ้างงาน พัฒนาพฤติกรรมของนายจ้าง และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เพื่อให้พนักงานมีความสุขและมีประสิทธิภาพในการทำงาน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39415
Retail
Amazon และ Walmar บริษัทไหนดีกว่ากัน
null
ยังตัดสินไม่ได้ว่า Amazon และ Walmar บริษัทไหนดีกว่ากัน โดยสถานการณ์ของทั้งสองในอินเดีย เป็นดังนี้ ตลาด E-commerce ในปี 2022 ของประเทศอินเดียมูลค่าของตลาดนี้จะอยู่ประมาณ 73,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตประมาณ 29.2% ทำให้ไม่ว่าบริษัทลงทุนหรือแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีสนใจในตลาดอินเดียไม่น้อย สำหรับสัดส่วนตลาด E-commerce ในประเทศอินเดีย ข้อมูลล่าสุดจาก Forrester เผยแพร่โดย Bloomberg Quint นั้น Flipkart ครองสัดส่วนสูงสุดที่ 39.5% Amazon ครองสัดส่วนที่ 31% PayTM ครองสัดส่วนที่ 5.6% ที่เหลือทั้งหมดคือรายเล็ก รายน้อย สำหรับความพึงพอใจลูกค้าในประเทศอินเดียนั้นอันดับ 1 และ 2 ตามมาติดๆ เลยทีเดียว โดย Flipkart ลูกค้าพอใจถึง 97% ขณะที่ Amazon ลูกค้าพึงพอใจ 93% ซึ่งอันดับรองลงมาอยู่สูงสุดเพียงแค่ 82% แสดงให้เห็นถึงสงครามนี้อย่างเห็นได้ชัด โดยอดีตนั้น Amazon อินเดียมีโกดังสินค้านอกเมืองมุมไบ พื้นที่เพียงแค่ 140,000 ตารางเมตรเท่านั้น ต่างกับปัจจุบันที่มีมากกว่ามหาศาล เช่น ศูนย์กระจายสินค้า 50 แห่งทั่วอินเดีย แถมในปี 2016 ทาง Amazon เองได้เปิดให้บริการ Prime ที่มีข้อเสนอคือสามารถส่งของภายในประเทศอินเดียภายใน 2 วัน ค่าสมาชิกเพียงแค่ 999 รูปี / ปี และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Amazon สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดมากจากคู่แข่งรายอื่นๆ ได้ อย่างไรก็ดีความท้าทายของ Amazon ในประเทศอินเดียคือกฏหมายอินเดียห้ามไม่ให้บริษัทต่างชาติสามารถที่จะขายสินค้านอกจากอาหารในประเทศอินเดีย ซึ่งทำให้บริษัทต้องลงไปหาร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 14,000 ร้านค้า เพื่ออบรมในการขายของใน Amazon เพื่อตีตื้นคู่แข่งอย่าง Flipkart นอกจากนี้เรื่องของการขนส่งพัสดุในประเทศอินเดียที่มีมหาศาล Amazon ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ใช้บริการของ India Post แต่ก็พยายามสร้างเครือข่ายขนส่งของตัวเองขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาจาก India Post มากเกินไป ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart เลือกที่จะสู้กับ Amazon อีกสักครั้ง ซึ่งในอดีตนั้นบริษัทได้พ่ายแพ้แก่ Amazon อย่างราบคาบ ในหลายๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือ สหรัฐอเมริกา ที่แพ้ราคาบให้กับบริษัทเทคโนโลยี แต่สำหรับสนามอินเดียแล้ว Walmart ไม่ยอม Amazon แน่นอน การลงทุนใน Flipkart ทำให้บริษัทมีโอกาสแย่งชิงและครองตลาด E-commerce ในประเทศที่มีประชากรสูงอย่างอินเดียได้ เพราะถ้า Walmart ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้วปัญหาคือรายได้ของบริษัทอาจลดลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ความตั้งใจของ Walmart ที่จะสู้กับ Amazon นั้นเต็มเปี่ยม โดยผู้บริหารเคยกล่าวถึงว่า Flipkart อาจขาดทุน แต่ในอนาคตเชื่อว่ามาถูกทาง เพราะว่าลูกค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทได้ลงทุนกับ E-commerce อันดับ 1 ของประเทศอย่าง Flipkart เป็นมูลค่าถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนหน้าที่ Walmart สนใจจะลงทุนนั้น Amazon เคยสนใจที่จะซื้อกิจการทั้งหมดของ Flipkart มาแล้วด้วย แต่สุดท้ายได้ปฏิเสธไป และนอกจากนี้ Flipkart ยังได้ซื้อกิจการคู่แข่งอย่าง Myntra ซึ่งเป็น E-commerce คู่แข่งอีกรายในช่วงเดียวกันด้วย สำหรับ Walmart ในประเทศอินเดียแล้ว เกมนี้ถือว่าเป็นเดิมพันที่แพ้ไม่ได้เลยทีเดียว เจ้าอื่นแทบจะตายหมดแล้ว ขณะที่ E-commerce เจ้าอื่นๆ นั้นแทบมีสัดส่วนการตลาดที่น้อยลง หลังจากการแย่งสัดส่วนตลาดของ Amazon และ Flipkart ทั้งๆ ที่ตลาด E-commerce ของอินเดียกลับขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และเติบโตปีละหลายสิบ % แต่กลายเป็นว่าเจ้าหลักแทบจะกวาดเรียบหมด โดยเฉพาะอดีตผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Snapdeal ที่เคยมีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 3 ที่ประมาณ 22% ในปี 2015-2016 แต่หลังจากนั้นกลายเป็นว่า E-commerce รายนี้กลับส่วนแบ่งลดลงทุกไตรมาส ปัญหาเกิดจากการไม่โฟกัสตลาด รวมไปถึงความพึงพอใจของลูกค้าที่ลดลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า Snapdeal เตรียมที่จะให้ Flipkart ซื้อกิจการด้วย ซึ่งยังไม่มีท่าทีออกมาจาก Flipkart เหลือแค่ Paytm ผู้มาแรง (ที่อาจไม่รอด?) ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ยักษ์ใหญ่ Paytm ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซและชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของอินเดีย ปัจจุบันมีคนอินเดียใช้งานกว่า 220 ล้านคน Paytm ถือเป็นบริการชำระเงินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งผู้ลงทุนรายใหญ่คือ SoftBank รวมไปถึง Alibaba ด้วย ซึ่งล่าสุดลงมาทำ Paytm ได้หันมาทำ E-commerce ของตัวเอง โดยได้แรงหนุนมาจาก Alibaba อีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วต้องมาลุ้นกันว่าจะรอดหรือร่วง หันซ้าย Jack Ma หันขวา SoftBank! Paytm ในอินเดียเตรียมเข้าซื้อบริษัทลูกของ Alibaba เสริมแกร่ง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39419
Retail
ช่วงเทศกาล Halloween ปี 2017 ยอดใช้จ่ายของชาวอเมริกาหมวดหมู่ไหนสูงที่สุด
1. การ์ด 2. ขนมและลูกกวาด 3. อุปกรณ์ตกแต่ง 4. เครื่องแต่งกาย
คำตอบคือ 4. เนื่องจาก ช่วงเทศกาล Halloween คนสหรัฐฯ เขาช้อปอะไรกันบ้าง ปี 2017 ยอดใช้จ่ายของชาวอเมริกาในช่วง Halloween แบ่งเป็น เครื่องแต่งกาย 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (105,600 ล้านบาท) อุปกรณ์ตกแต่ง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (89,100 ล้านบาท) ขนมและลูกกวาด 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,800 ล้านบาท) การ์ด 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (13,200 ล้านบาท) เทศกาลนอกจากแสดงถึงความสุข ความสนุกสนาน ยังเป็นช่วงเวลาทองของนักการตลาดที่จะคิดแคมเปญ โปรดักส์ใหม่ๆ มากระตุ้นยอดขาย ที่สำคัญเรายังเห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้ข้าวของเครื่องใช้ และการรักษาพยาบาลน้องๆ (สัตว์เลี้ยง) มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไทยเราน่าจะไม่ต่างจากประเทศอื่นมานัก
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39429
Retail
กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks ที่จับมือกับ Ele.me จะประสบความสำเร็จหรือไม่?
null
ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เหตุผล: 1. การแข่งขันที่รุนแรง: ตลาดกาแฟจีนมีการแข่งขันสูงมาก มีทั้งผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศอย่าง Starbucks เอง และสตาร์ทอัพภายในประเทศอย่าง Luckin Coffee ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Tencent กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks อาจไม่เพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าใหม่ Luckin Coffee มีจุดแข็งด้านการเดลิเวอรี่ที่รวดเร็ว Tencent เองก็มีฐานผู้ใช้ WeChat ที่กว้างใหญ่ 2. ปัญหาการควบคุมคุณภาพ: การขยายสาขาอย่างรวดเร็วผ่าน Ele.me อาจส่งผลต่อคุณภาพกาแฟ การควบคุมมาตรฐานการผลิตและการบริการอาจทำได้ยาก ลูกค้าอาจไม่มั่นใจในรสชาติและคุณภาพของกาแฟที่สั่งผ่านแอปพลิเคชัน 3. ความท้าทายด้านโลจิสติกส์: การกระจายสินค้าแบบเดลิเวอรี่ทั่วประเทศจีนเป็นไปได้ยาก ปัญหาเรื่องระยะทางและเวลาในการส่งอาจส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า ต้นทุนด้านโลจิสติกส์อาจสูง 4. ความคุ้นเคยของแบรนด์: Ele.me ยังไม่เป็นที่รู้จักในบางพื้นที่ของจีน แบรนด์ Starbucks เองก็ไม่ได้เป็นที่นิยมในทุกกลุ่มเป้าหมาย การสร้างการรับรู้แบรนด์อาจต้องใช้เวลาและงบประมาณ 5. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคอาจลดลง ลูกค้าอาจมองหาร้านกาแฟที่มีราคาประหยัดมากกว่า สรุป: กลยุทธ์ New Retail ของ Starbucks อาจเผชิญกับอุปสรรคมากมาย การแข่งขันที่รุนแรง ปัญหาการควบคุมคุณภาพ ความท้าทายด้านโลจิสติกส์ ความคุ้นเคยของแบรนด์ และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์นี้
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39432
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัวและหาวิธีดึงดูดลูกค้าใหม่ การใช้เทคโนโลยีและการตลาดออนไลน์เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
null
ดินแดนแห่งการค้าปลีก: เมื่อไทยต้องแข่งกับอาเซียน ตัวละคร: นวล: ผู้ประกอบการร้านขายของชำในต่างจังหวัด ต้น: ลูกชายของนวล พิม: นักศึกษาฝึกงานที่ร้านนวล ฉาก: ร้านขายของชำ "ร้านนวลชัย" ในต่างจังหวัด เนื้อเรื่อง: แสงแดดตอนเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างร้าน "ร้านนวลชัย" ร้านขายของชำเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 30 ปี นวล เจ้าของร้าน กำลังจัดเตรียมสินค้าบนชั้นวางของ มือของเธอเต็มไปด้วยรอยย่น บ่งบอกถึงประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจค้าปลีก "ต้น ไปเอาของมาส่งที่ร้านหน่อยสิ" นวลตะโกนเรียกลูกชาย "ครับแม่" ต้น เด็กหนุ่มวัย 17 ปี วิ่งไปที่โกดังหลังร้านและหยิบลังสินค้ามาส่งให้แม่ "วันนี้คนเยอะแน่ๆ" นวลพูด "นักท่องเที่ยวเริ่มมาเที่ยวเมืองเรามากขึ้นแล้ว" "ใช่ครับ" ต้นตอบ "ผมเห็นนักท่องเที่ยวเดินผ่านร้านเราบ่อยๆ" "แต่พวกเขาไม่ค่อยแวะร้านเราเลย" นวลถอนหายใจ "พวกเขาชอบไปช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้ามากกว่า" นวลรู้สึกกังวล เธอรู้ดีว่าร้านขายของชำแบบดั้งเดิมอย่างร้านของเธอ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกออนไลน์ "เราต้องหาวิธีดึงดูดลูกค้าให้มาที่ร้าน" นวลพูดกับต้น "เราต้องทำให้ร้านของเรามีอะไรที่แตกต่าง" ต้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พิม นักศึกษาฝึกงานที่ร้านนวล เดินเข้ามา "สวัสดีค่ะคุณนวล" พิมกล่าว "มีอะไรให้พิมช่วยไหมคะ?" "พิมช่วยต้นยกของหน่อยสิ" นวลตอบ "ต้นกำลังจะบอกพิมไอเดียใหม่ของเขาอยู่พอดี" ต้นอธิบายแผนของเขาให้พิมฟัง เขาเสนอให้ร้านนวลชัยเริ่มขายสินค้าออนไลน์ผ่าน Facebook และ Instagram เขาคิดว่านี่จะเป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว พิมรู้สึกประทับใจในไอเดียของต้น เธอคิดว่านี่อาจจะเป็นทางออกสำหรับร้านนวลชัย "ไอเดียน่าสนใจมากเลยค่ะ" พิมพูด "ดิฉันยินดีช่วยคุณนวลและคุณต้นค่ะ" นวลและต้นรู้สึกดีใจ พวกเขาเริ่มทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาแผนของต้น
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39436
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "รายได้รวมของ Alibaba ไตรมาสล่าสุด" ให้หน่อยค่ะ
Alibaba รายงานงบไตรมาสล่าสุด รายได้รวมเติบโต 61% มาอยู่ที่ประมาณ 386,000 ล้านบาท หรือ 80,920 ล้านหยวน มีลูกค้าซื้อสินค้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปีมากถึง 576 ล้านราย ขณะที่ผู้เข้าใช้งาน Alibaba ในแต่ละเดือนอยู่ที่ 634 ล้านครั้ง รายได้จากธุรกิจหลักของบริษัทในไตรมาสล่าสุด แยกได้ดังนี้ รายได้จากค้าปลีกในประเทศจีน อยู่ที่ 53,968 ล้านหยวน เติบโต 47% รายได้จากค้าส่งในประเทศจีน อยู่ที่ 2,250 ล้านหยวน เติบโต 64% รายได้จากค้าปลีกนอกประเทศจีน อยู่ที่ 2,250 ล้านหยวน เติบโต 64% รายได้ค้าส่งนอกประเทศจีน อยู่ที่ 1,837 ล้านหยวน เติบโต 14% รายได้จากค้าปลีกในประเทศจีน อยู่ที่ 53,968 ล้านหยวน เติบโต 47% รายได้จากค้าส่งในประเทศจีน อยู่ที่ 2,250 ล้านหยวน เติบโต 64% รายได้จากค้าปลีกนอกประเทศจีน อยู่ที่ 2,250 ล้านหยวน เติบโต 64% รายได้ค้าส่งนอกประเทศจีน อยู่ที่ 1,837 ล้านหยวน เติบโต 14% ขณะที่รายได้อื่นๆ ของ Alibaba ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Cloud Computing โตถึง 93% อยู่ที่ 4,698 ล้านหยวน ขณะที่รายได้จากธุรกิจสื่อดิจิทัลและบันเทิงเติบโตขึ้น 46% อยู่ที่ 5,975 ล้านหยวน รวมไปถึงรายได้จากกลุ่มธุรกิจเชิงนวัตกรรมเพิ่มขึ้น 64% อยู่ที่ 1,059 ล้านหยวน
รายได้รวมของ Alibaba ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 80,920 ล้านหยวน มีผู้เข้าใช้งานในแต่ละเดือนอยู่ 634 ล้านครั้งและมีลูกค้าซื้อสินค้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี 576 ล้านราย โดยมีรายได้แยกตามธุรกิจของบริษัทดังนี้ - การค้าปลีกในประเทศจีน มีรายได้ 53,968 ล้านหยวน - การค้าส่งในประเทศจีน มีรายได้ 2,250 ล้านหยวน - การค้าปลีกนอกประเทศจีน มีรายได้ 2,250 ล้านหยวน - การค้าส่งนอกประเทศจีน มีรายได้ 1,837 ล้านหยวน นอกจากนี้ยังมีรายได้จาก Cloud Computing 4,698 ล้านหยวน, ธุรกิจสื่อดิจิทัลและบันเทิง 5,975 ล้านหยวน และธุรกิจเชิงนวัตกรรม 1,059 ล้านหยวน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39442
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก
null
ราชาอีคอมเมิร์ซ : บททดสอบของยักษ์ใหญ่ ณ ใจกลางกรุงนิวยอร์ก ซาร่า หญิงสาวนักธุรกิจไฟแรง กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เบื้องหน้าเธอคือกราฟฟิกแสดงยอดขายของ Amazon อาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่เธอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสร้างขึ้นมา ซาร่ากวาดสายตามองตัวเลขอย่างพินิจพิเคราะห์ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ยอดขายของ Amazon พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เธอพาบริษัทก้าวข้ามขีดจำกัด กลายเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซที่ยากจะต่อกร แต่เบื้องหลังความสำเร็จ ซาร่ากลับรู้สึกถึงความกดดัน มูลค่าหุ้นของ Amazon พุ่งสูง ผู้คนต่างจับตามองเธอ รอคอยผลงานชิ้นโบแดง คู่แข่งในตลาดต่างทุ่มเท พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ เพื่อท้าทายบัลลังก์ของ Amazon ซาร่ารู้ดีว่าเธอต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ วันหนึ่ง จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาวางบนโต๊ะ ซาร่าเปิดจดหมายออก อ่านข้อความจาก "จอห์น" ชายหนุ่มผู้หลงใหลในธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม เขาสื่อสารความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ Amazon ที่มีต่อธุรกิจขนาดเล็ก จดหมายฉบับนั้นจุดประกายความคิดในใจซาร่า เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง จริงอยู่ที่ Amazon ประสบความสำเร็จ แต่การเติบโตของบริษัท ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่น ๆ อย่างไร? ซาร่าตัดสินใจลงพื้นที่ พบปะพูดคุยกับเจ้าของร้านค้าปลีกขนาดเล็ก เธอรับฟังเรื่องราวของพวกเขา ความยากลำบาก ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล "Amazon สะดวกจริง แต่สินค้าที่ร้านเรามีเอกลักษณ์ ลูกค้าสัมผัสสินค้าจริงได้ บริการก็อบอุ่น" เจ้าของร้านขายของฝากท้องถิ่นเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ซาร่าซึ้งใจกับความมุ่งมั่นของพวกเขา เธอเริ่มมองหาวิธีที่จะช่วยเหลือธุรกิจเหล่านี้ หลังจากใช้เวลาหลายเดือน ซาร่าก็คิดค้นกลยุทธ์ใหม่ "Amazon Local" แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชื่อมต่อลูกค้ากับธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่น ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ "Amazon Local" ไม่ได้เป็นแค่ช่องทางขายสินค้า แต่เป็นการสร้างโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย และรักษาเอกลักษณ์ของพวกเขาไว้ กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ธุรกิจขนาดเล็กหลายพันแห่งเข้าร่วม "Amazon Local" ลูกค้าต่างชื่นชอบความสะดวกสบายและสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ซาร่ารู้สึกภูมิใจที่เธอสามารถช่วยเหลือธุรกิจเหล่านี้ เธอยังคงมุ่งมั่นพัฒนา "Amazon Local" ต่อไป เพื่อสร้างสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39444
Retail
ร้านค้าปลีกในไทยควรมีกลยุทธ์อย่างไร ในการรองรับสังคมไร้เงินสด โดยไม่ทิ้งกลุ่มลูกค้าที่ยังต้องการใช้เงินสด?
null
"Why going cashless is discriminatory – and what’s being done to stop it" ประเด็นสำคัญคือ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็สร้างปัญหาให้กับกลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้ สำหรับร้านค้าปลีกในไทย กลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้เพื่อรองรับสังคมไร้เงินสด โดยไม่ทิ้งกลุ่มลูกค้าที่ยังต้องการใช้เงินสด มีดังนี้ 1. เสนอตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย: -รองรับการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code Mobile Paymentยังคงรับชำระเงินด้วยเงินสด 2. ให้ความรู้แก่ลูกค้า: -ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ -อธิบายข้อดีและวิธีการใช้งาน -จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น โปสเตอร์ แผ่นพับ 3. กระตุ้นให้ลูกค้าใช้ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์: เสนอโปรโมชั่นส่วนลด หรือสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย 4. พัฒนาระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้สะดวกและปลอดภัย: -เลือกใช้ระบบที่มีความเสถียร ปลอดภัย -ใช้งานง่าย สะดวกรวดเร็ว 5. คำนึงถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้เงินสด: -จัดเตรียมเงินทอนให้เพียงพอ -ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ลูกค้าไม่มีเงินทอน ตัวอย่างร้านค้าปลีกในไทยที่ประสบความสำเร็จในการรองรับสังคมไร้เงินสด -เซเว่นอีเลฟเว่น: รองรับการชำระเงินผ่าน QR Code Mobile Payment หลายเจ้า -แม็คโดนัลด์: ลูกค้าสามารถสั่งอาหารและชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน -สยามพารากอน: มีจุดให้บริการแลกเงินสดเป็นบัตรสำหรับใช้ชำระเงินภายในห้าง บทสรุป: ร้านค้าปลีกในไทยควรมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อรองรับสังคมไร้เงินสด โดยไม่ทิ้งกลุ่มลูกค้าที่ยังต้องการใช้เงินสด การเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย ให้ความรู้แก่ลูกค้า พัฒนาระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้สะดวกและปลอดภัย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39455
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....LINE MAN ช่วยให้ผู้บริโภคสะดวกสบาย และช่วยให้ผู้ประกอบการมีลูกค้าเพิ่มขึ้น
null
LINE MAN: ผู้ช่วยคนไทยในยุคดิจิทัล ตัวละคร: นนท์: พนักงานออฟฟิศวัย 25 ปี ชอบความสะดวกสบาย ฝน: แม่ค้าส้มตำเจ้าดัง กุ๊ก: พนักงานไรเดอร์ LINE MAN เรื่องราว: นนท์นั่งทำงานในออฟฟิศ รู้สึกหิวขึ้นมา เขาอยากทานส้มตำร้านเจ๊ฝน ร้านส้มตำเจ้าดังในละแวกนั้น แต่ด้วยงานที่ยุ่งเหยิง เขาไม่มีเวลาออกไปซื้อเอง จู่ๆ นนท์ก็นึกถึง LINE MAN บริการเดลิเวอรี่ที่เขาเคยใช้ นนท์เปิดแอป LINE MAN เลือกเมนู "อาหาร" พิมพ์ชื่อ "ส้มตำเจ๊ฝน" ร้านเจ๊ฝนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ นนท์เลือกรายการอาหาร ใส่จำนวนที่ต้องการ กดสั่งซื้อ และชำระเงินผ่านแอป ไม่นานนัก กุ๊ก พนักงานไรเดอร์ LINE MAN ก็มาถึงออฟฟิศของนนท์พร้อมส้มตำแสนอร่อย นนท์ดีใจมาก รีบคว้าเงินจ่ายค่าอาหารให้กุ๊ก ในขณะเดียวกัน ฝน แม่ค้าส้มตำ กำลังยุ่งกับลูกค้าที่ร้าน เธอรู้สึกกังวลว่าวันนี้วัตถุดิบจะไม่เพียงพอ กุ๊ก พนักงานไรเดอร์ LINE MAN มาที่ร้านฝนและแจ้งว่ามีออเดอร์จากนนท์ ฝนดีใจมาก รีบทำส้มตำตามออเดอร์ กุ๊กมารับอาหารและรีบส่งให้กับนนท์ บทสรุป: LINE MAN ช่วยให้นนท์สะดวกสบายโดยไม่ต้องออกไปซื้ออาหารเอง และช่วยให้ฝนมีลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบ *LINE MAN ยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย เช่น แมสเซนเจอร์, ส่งพัสดุ, และแท็กซี่ LINE MAN เป็นหนึ่งในบริการเดลิเวอรี่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย LINE MAN มีแผนที่จะขยายบริการไปยังเมืองอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39476
Retail
กลยุทธ์การขยายสาขาของ Kerry Express ที่เน้นการจับมือกับพันธมิตร จะช่วยให้ Kerry Express แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมได้อย่างไร
null
กลยุทธ์การขยายสาขาของ Kerry Express ที่เน้นการจับมือกับพันธมิตร จะช่วยให้ Kerry Express แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมได้ดังนี้: 1. ขยายจุดรับ-ส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว: - Kerry Express สามารถขยายจุดรับ-ส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องลงทุนสร้างสาขาเอง - Kerry Express สามารถเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง - Kerry Express สามารถดึงดูดลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการรับ-ส่งสินค้า 2. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: - Kerry Express สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตร - Kerry Express สามารถลดต้นทุนการดำเนินงาน - Kerry Express สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้า 3. นำเสนอบริการที่หลากหลาย: - Kerry Express สามารถนำเสนอบริการเพิ่มเติม เช่น บริการเก็บเงินปลายทาง - Kerry Express สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย - Kerry Express สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง 4. เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์: - Kerry Express สามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก - Kerry Express สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ - Kerry Express สามารถสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ตัวอย่าง: - Kerry Express จับมือกับร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพื่อเปิดจุดรับ-ส่งสินค้า - Kerry Express จับมือกับห้างสรรพสินค้า Central เพื่อเปิดจุดรับ-ส่งสินค้า - Kerry Express จับมือกับบริษัทขนส่งเอกชนอื่น ๆ สรุป: กลยุทธ์การขยายสาขาของ Kerry Express ที่เน้นการจับมือกับพันธมิตร จะช่วยให้ Kerry Express แข่งขันกับคู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมได้ โดยการขยายจุดรับ-ส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ นำเสนอบริการที่หลากหลาย และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39480
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจในทุกแง่มุมต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล
null
วิลล่า มาร์เก็ต: ก้าวสู่ยุคดิจิทัล ปลดล็อกประสบการณ์ช้อปปิ้งไร้เงินสด ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร วิลล่า มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่มุ่งมั่นมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งเหนือระดับแก่ลูกค้ามายาวนาน 43 ปี กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ท่ามกลางกระแสดิจิทัลที่โหมกระหน่ำเข้าสู่ทุกแง่มุมของชีวิต คุณพิศิษฐ์ ภูสนาคม ประธานกรรมการบริหาร มองเห็นถึงความจำเป็นในการปรับตัวครั้งใหญ่ เขาตัดสินใจร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล 2 รูปแบบ เพื่อพาวิลล่า มาร์เก็ต ก้าวสู่ยุคไร้เงินสดและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มแรกคือ VPlus Wallet กระเป๋าเงินออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเติมเงินและใช้ชำระค่าสินค้าภายในซูเปอร์มาร์เก็ตได้โดยไม่ต้องพกเงินสด นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่นยังมีระบบสะสมแต้มและแลกรับรางวัล เพิ่มเติมประสบการณ์ช้อปปิ้งให้คุ้มค่าและพิเศษยิ่งขึ้น แพลตฟอร์มที่สองคือเว็บไซต์ shoponline.villamarket.com ช่องทางช้อปปิ้งออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าหลากหลายรายการได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต สะดวกสบาย ตรงใจไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ การเปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งสองนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของวิลล่า มาร์เก็ต ในการก้าวข้ามขีดจำกัดของซูเปอร์มาร์เก็ตแบบดั้งเดิม สู่การเป็นผู้เล่นหลักในยุคดิจิทัล คุณวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Corporate Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ มองเห็นโอกาสอันน่าตื่นเต้นในความร่วมมือครั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ วิลล่า มาร์เก็ต ตั้งเป้ามีผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่น VPlus Wallet จำนวน 100,000 รายภายในปีนี้ และคาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้รวมให้เติบโตถึง 10% ก้าวกระโดดครั้งสำคัญนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของวิลล่า มาร์เก็ต ในการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ สะดวกสบาย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล เรื่องราวของวิลล่า มาร์เก็ต เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า แม้ธุรกิจจะเก่าแก่เพียงใด การปรับตัวและก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลก็เป็นสิ่งจำเป็น ธุรกิจที่สามารถผสมผสานความเก๋าประสบการณ์เข้ากับเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39485
Retail
การปิดตัวลงของร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ด้านบวก: การเข้าถึงลูกค้า: ร้านค้าปลีกแบบออนไลน์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยไม่จำกัดพื้นที่ ค่าใช้จ่าย: ร้านค้าปลีกแบบออนไลน์ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่น้อยกว่า เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ความสะดวก: ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปที่หน้าร้าน ด้านลบ: ประสบการณ์การช้อปปิ้ง: ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อ การขนส่ง: สินค้าอาจเสียหายระหว่างการขนส่ง การบริการลูกค้า: การให้บริการลูกค้าออนไลน์ อาจไม่สะดวกเท่าการบริการแบบออฟไลน์ ผลต่อธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์: การเติบโต: ธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ มีแนวโน้มที่จะเติบโต การแข่งขัน: ธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ตัวอย่าง: Amazon: เป็นตัวอย่างของธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ ที่ประสบความสำเร็จ Shopee: เป็นตัวอย่างของธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย สรุป: การปิดตัวลงของร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ แต่ ธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น และต้องพัฒนากลยุทธ์เพื่อดึงดูดลูกค้า ปัจจัยอื่นๆ: พฤติกรรมของผู้บริโภค: ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น เทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ พัฒนาบริการได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นสำคัญ: - ธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์ และ ธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน และเสริมสร้างกันได้ - ธุรกิจค้าปลีก ที่ประสบความสำเร็จในอนาคต จะเป็นธุรกิจที่สามารถผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออฟไลน์ และ ออนไลน์ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39486
Retail
5 สิ่งที่นักการตลาดมักลืมในการทำอีคอมเมิร์ซ ได้แก่อะไรบ้าง
ธุรกิจ e-Commerce ยังโตสุดขีด ผู้เล่นรายใหญ่ต่างลงทุนอย่างหนัก อีกทั้งผู้เล่นรายใหม่ก็จะเข้ามาใหม่ แบรนด์ที่จะลงทุน e-Commerce ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง และ 5 สิ่งที่นักการตลาดควรรู้ถ้าจะจับธุรกิจนี้ ภาพจาก Shutterstock เรียนรู้รูปแบบของ e-Commerce ภายในงาน GroupM Focal 2018 ได้พูดถึงภาพรวมของธุรกิจ e-Commerce ในไทยได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ e-Commerce for Service หลายคนคงคุ้นเคยกับส่วนนี้เป็นธุรกิจจองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบินผ่านออนไลน์ แต่อีกส่วนหนึ่งคือที่มีการเติบโตสูงก็คือ e-Commerce สำหรับขายของ แพลตฟอร์มที่มีส่วนช่วยในการเติบโตก็คือ Lazada กลายเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคค้นหาสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะช่วงสิ้นปี มาจากการที่มีการทำแคมเปญทุกปลายปี ส่วนน้องใหม่อย่าง Shopee ก็มีทิศทางเดียวกันกับ Lazada เช่นกัน จริงๆ แล้ว e-Commerce มี 3 ช่องทางใหญ่ ได้แก่ Marketplace เป็นช่องทางที่ทุกคนคุ้นเคยดี มีผู้เล่นใหญ่ๆ อย่าง Lazada, 11 Street และ Shopee ในปีนี้จะมี 2 ยักษ์ใหญ่เข้ามาในตลาดอีกก็คือ Amazon เริ่มเปิดตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มเปิดตลาดในสิงคโปร์แล้ว จะเปิดตลาดในปีนี้และ JD.com ที่ร่วมกับเครือเซ็นทรัล จะเปิดช่วงพฤษภาคม นักการตาดต้องเตรียมให้พร้อมถ้ามี 2 แพลตฟอร์มใหม่เข้ามา จะต้องเตรียมการกับดีมานด์ที่เกิดขึ้นอย่างไร e-Retailer หรือกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีการขยายช่องทางออนไลน์ จากเดิมที่มีแค่หน้าร้าน เพิ่มในส่วนของอีคอมเมิร์ซเข้ามา เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, เซ็นทรัล และเดอะมอลล์ เป็นต้น Direct to Consumer กลุ่มที่แบรนด์หันมาทำเว็บไซต์ หรือช่องทางขายตรงกับลูกค้าเอง เช่น กลุ่มสินค้าไอที บิวตี้ อาหาร เป็นต้น ภาพจาก Shutterstock ทั้ง 3 ช่องทางมีจุดแข็งต่างกัน แต่ถ้าเจาะแต่ละกลุ่มจะพบว่ากลุ่ม Marketplace กับ e-Retailer จะมีจุดแข็งคล้ายๆ กัน มีแบรนด์เป็นที่รู้จัก มีความแข็งแกร่งของแบรนด์ มีโมเดลธุรกิจในสเกลใหญ่ และการบริการมีการลงทุนอย่างหนัก ไม่ว่าเรื่องระบบหน้าบ้าน หลังบ้าน สต็อก ระบบเพย์เมนต์ โลจิสติกส์ มี Fulfillment พร้อม ส่วนช่องทาง Direct to Consumer ก็มีจุดแข็งที่สำคัญคือได้ดาต้าของผู้บริโภคโดยตรง สามารถเอาดาต้ามาต่อยอดในการทำลอยัลตี้ โปรแกรมกับลูกค้าต่อไปในอนาคตได้ ตอนนี้ยังมีหลายธุรกิจที่ยังไม่ได้ลงมาจับตลาดอีคอมเมิร์ซ หลายคนเกิดคำถามว่าจะลงมาจับมือกับ Marketplace หรือ e-Retailer ดี หรือทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองดี ให้คำนึงถึง 2 ปัจจัยเป็นหลักคือเรื่องของ “การลงทุน” ต้องใช้เงินลงทุนหนักมาก และ “พฤติกรรมผู้บริโภค” ที่จะเรียนรู้จากการซื้อสินค้า นำไปสู่ 3 คำถามที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนอีคอมเมิร์ซช่องทางไหน สินค้าอยู่ในกลุ่มของสินค้าที่ใช้ประจำหรือไม่ เป็นสินค้าที่มีการซื้อบ่อย ใช้เวลาสั้น ไม่ต้องตัดสินใจในการซื้อนานอย่างสินค้ากลุ่ม เช่น กลุ่มบิวตี้ ถ้าใช่ก็ทำเว็บไซต์เองได้ สินค้าจำเป็นต้องซื้อคู่กับสินค้าอื่นๆ หรือไม่ ถ้าไม่จำเป็นต้องซื้อคู่กับอื่นๆ ซื้อแบบเดี่ยวๆ ได้ ก็สามารถทำเว็บไซต์เองได้ ผู้บริโภคต้องการประสบการณในการซื้อมากน้อยแค่ไหน ถ้าต้องการพูดคุยกับแบรนด์ ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่ม ก็ทำเว็บไซต์ขึ้นมาเองได้ ภาพจาก Freepik 5 สิ่งที่นักการตลาดมักลืมในการทำอีคอมเมิร์ซ Target Audience ต้องคำนึงถึง Consumer Journey ในทุกๆ สเต็ป เริ่มจากการสร้างการรับรู้ ผู้บริโภคมักมีการเปรียบเทียบราคาก่อนเสมอ ถึงมีการจ่ายเงิน การทำอีคอมเมิร์ซในยุคนี้ส่วนใหญ่ยังมีมิติเดียวคือ ใช้การสื่อสารอย่างเดียวกันในทุก Consumer Journey นั่นคือเขาซื้อสินค้าเราเสร็จแล้ว ก็ยังโชว์แบนเนอร์โฆษณาเดิมๆ สิ่งที่อยากจะบอกก็คือต้องคำนึงถึง Consumer Journey ให้มากๆ เมื่อมีการค้นหาสินค้าเกิดขึ้น ต้องมีการให้ข้อมูลที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดให้เขากลับมา ถ้าเกิดเขาถึงหน้าจะจ่ายเงิน แล้วกดออกไป ก็อาจจะมีข้อเสนอต่างๆ ให้เขา ส่วนถ้าผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปแล้ว ปิดการขายไปเรียบร้อย ก็อาจจะมีการอัพเซลล์ ครอสเซลล์ให้กับผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดการการซื้อมากขึ้น ให้ลูกค้าไม่หายไปไหน Big Data มีการพูดถึงเรื่องบิ๊กดาต้ามาหลายปีแล้ว หลายธุรกิจก็มีดาต้าเป็นของตัวเอง แต่มีไม่มากที่เปลี่ยนจาก Big Data เป็น Smart Data จริงๆ ต้องทำ Data Modeling กำหนดกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง วิเคราะห์ลึกถึงพฤติกรรมลูกค้าที่มีต่อสินค้าของตัวเอง เช่น เจาะกลุ่ม Active User ลงลึกถึงความถี่ในการซื้อสินค้า ช่วงเวลา และการใช้จ่ายต่อครั้ง ดูอินไซต์ต่างๆ แยกดาต้าออกมาเพื่อเอาข้อมูลไปทำ Digital Marketing ต่อ ภาพจาก Shutterstock Technology เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าไปมาก และนักการตลาดเองก็ต้องการเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับธุรกิจเช่นกัน แต่ต้องระวังเป็นพิเศษว่ากำลังพูดกับกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และกลุ่มนั้นมีความเข้าใจเทคโนโลยีมากน้อยขนาดไหน ถ้าแอดวานซ์เกินไป สุดท้ายเทคโนโลยีนั้นก็จะไม่กลับมาตอบโจทย์ทางธุรกิจ และทำให้แบรนด์เสียเงินเปล่า Website Performance มีอยู่ 2 แกนหลักก็คือ ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ พบว่าถ้าโหลดช้าเกินกว่า 4 วินาที มีโอกาสทำให้ลูกค้าผู้ใช้เปลี่ยนใจปิดเว็บไซต์ แล้วไปเว็บไซต์คู่แข่งได้ เป็นส่วนที่สำคัญมาก ต้องกลับไปดูว่าระยะเวลาการโหลดมากน้อยขนาดไหน และส่วนของ UX/UI บางเว็บไซต์มีการออกแบบให้เรียบง่ายจนเกินไป จนลูกค้าเข้ามาแล้วงงๆ ว่าจะไปไหนต่อ ต้องกดตรงไหน ทำให้ลูกค้าไม่มีความประทับใจ และอาจจะไม่กลับมาใช้งานได้อีก Test การทดลอง การทดสอบเป็นประจำเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ทำให้ได้เห็นผลตอบรับกลับมาเสมอ เพราะการที่เราทดสอบอะไรบางอย่างอาจจะได้ผลดีกับลูกค้ากลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ได้ผลดีกับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง หรือทำผลงานได้ดีในช่วงนี้ แต่ในอีก 3-5 เดือนข้างหน้าอาจจะไม่ได้ดีเท่านี้ก็ได้ เพราฉะนั้นต้องมีการเรียนรู้ และทดลองอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาให้ทัน สรุป อีคอมเมิร์ซกลายเป็นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคนี้อย่างมาก เพราะจะพึ่งพาแค่ช่องทางเดียวไม่ได้ ยิ่งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้อยุ่บนโลกออนไลน์ ต้องมีการเข้าห้าผู้บริโภคตลอด ซึ่งนักการตลาดต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ให้ดี เป็นส่วนสำคัญช่วยให้ธุรกิจสำเร็จ ก็คือ ต้องเข้าใจลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด ต้องเอาเทคโนโลยีเข้ามาเสริมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการใช้ช่องทางที่แตกต่างกัน ก็ต้องมีกลยุทธ์แตกต่างกัน
5 สิ่งที่นักการตลาดมักลืมในการทำอีคอมเมิร์ซ ได้แก่: 1. Target Audience ต้องคำนึงถึง Consumer Journey ในทุกๆ สเต็ป: - เริ่มจากการสร้างการรับรู้ ผู้บริโภคมักมีการเปรียบเทียบราคาก่อนเสมอ ถึงมีการจ่ายเงิน การทำอีคอมเมิร์ซในยุคนี้ส่วนใหญ่ยังมีมิติเดียวคือ ใช้การสื่อสารอย่างเดียวกันในทุก Consumer Journey นั่นคือเขาซื้อสินค้าเสร็จแล้ว ก็ยังโชว์แบนเนอร์โฆษณาเดิมๆ - สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ต้องคำนึงถึง Consumer Journey ให้มากๆ เมื่อมีการค้นหาสินค้าเกิดขึ้น ต้องมีการให้ข้อมูลที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดให้เขากลับมา ถ้าเกิดเขาถึงหน้าจะจ่ายเงิน แล้วกดออกไป ก็อาจจะมีข้อเสนอต่างๆ ให้เขา - ส่วนถ้าผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปแล้ว ปิดการขายไปเรียบร้อย ก็อาจจะมีการอัพเซลล์ ครอสเซลล์ให้กับผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดการการซื้อมากขึ้น ให้ลูกค้าไม่หายไปไหน 2. Big Data: - มีการพูดถึงเรื่องบิ๊กดาต้ามาหลายปีแล้ว หลายธุรกิจก็มีดาต้าเป็นของตัวเอง แต่มีไม่มากที่เปลี่ยนจาก Big Data เป็น Smart Data - จริงๆ ต้องทำ Data Modeling กำหนดกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง วิเคราะห์ลึกถึงพฤติกรรมลูกค้าที่มีต่อสินค้าของตัวเอง เช่น เจาะกลุ่ม Active User ลงลึกถึงความถี่ในการซื้อสินค้า ช่วงเวลา และการใช้จ่ายต่อครั้ง ดูอินไซต์ต่างๆ แยกดาต้าออกมาเพื่อเอาข้อมูลไปทำ Digital Marketing ต่อ 3. Technology: - เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าไปมาก และนักการตลาดเองก็ต้องการเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับธุรกิจเช่นกัน แต่ต้องระวังเป็นพิเศษว่ากำลังพูดกับกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และกลุ่มนั้นมีความเข้าใจ - เทคโนโลยีมากน้อยขนาดไหน ถ้าแอดวานซ์เกินไป สุดท้ายเทคโนโลยีนั้นก็จะไม่กลับมาตอบโจทย์ทางธุรกิจ และทำให้แบรนด์เสียเงินเปล่า 4. Website Performance: มีอยู่ 2 แกนหลักก็คือ - ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ พบว่าถ้าโหลดช้าเกินกว่า 4 วินาที มีโอกาสทำให้ลูกค้าผู้ใช้เปลี่ยนใจปิดเว็บไซต์ แล้วไปเว็บไซต์คู่แข่งได้ เป็นส่วนที่สำคัญมาก ต้องกลับไปดูว่าระยะเวลาการโหลดมากน้อยขนาดไหน - และส่วนของ UX/UI บางเว็บไซต์มีการออกแบบให้เรียบง่ายจนเกินไป จนลูกค้าเข้ามาแล้วงงๆ ว่าจะไปไหนต่อ ต้องกดตรงไหน ทำให้ลูกค้าไม่มีความประทับใจ และอาจจะไม่กลับมาใช้งานได้อีก 5. Test: - การทดลอง การทดสอบเป็นประจำเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ทำให้ได้เห็นผลตอบรับกลับมาเสมอ เพราะการที่ทดสอบอะไรบางอย่างอาจจะได้ผลดีกับลูกค้ากลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ได้ผลดีกับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง หรือทำผลงานได้ดีในช่วงนี้ แต่ในอีก 3-5 เดือนข้างหน้าอาจจะไม่ได้ดีเท่านี้ก็ได้ - เพราฉะนั้นต้องมีการเรียนรู้ และทดลองอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาให้ทัน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39509
Retail
กลยุทธ์การใช้ Machine Learning และ A.I. ของ SCB ในสินเชื่อส่วนบุคคล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) อย่างไร?
null
กลยุทธ์การใช้ Machine Learning และ A.I. ของ SCB ในสินเชื่อส่วนบุคคล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) ดังนี้ 1. การเข้าถึงลูกค้าที่สะดวกและรวดเร็ว: ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อส่วนบุคคลผ่าน SCB EASY App ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องไปสาขาธนาคาร สะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลา เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน 2. การเสนอสินเชื่อที่ตรงใจ: A.I. วิเคราะห์พฤติกรรมและธุรกรรมของลูกค้า เสนอสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า ลูกค้ามีโอกาสได้รับสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกสินเชื่อได้ง่ายขึ้น 3. การเพิ่มโอกาสในการขาย: ลูกค้าที่มีสินเชื่อส่วนบุคคลมีกำลังซื้อมากขึ้น มีโอกาสซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจในภาคค้าปลีก 4. การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่: A.I. ช่วยให้ SCB เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้มากขึ้น สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ขยายฐานลูกค้าของธุรกิจค้าปลีก 5. การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น: ธนาคารอื่น ๆ อาจนำกลยุทธ์การใช้ Machine Learning และ A.I. มาใช้ เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า โดยสรุป กลยุทธ์การใช้ Machine Learning และ A.I. ของ SCB ในสินเชื่อส่วนบุคคล จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกทั้งด้านบวกและด้านลบ ด้านบวก: สะดวก รวดเร็ว ตรงใจ เพิ่มโอกาสในการขาย เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ด้านลบ: การแข่งขันที่รุนแรง ธุรกิจค้าปลีกต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกควรใช้ประโยชน์จาก Machine Learning และ A.I. เพื่อพัฒนาบริการและสินค้าให้ตรงใจลูกค้า ตัวอย่าง: วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อแนะนำสินค้าที่ตรงใจ พัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์ที่สะดวกและปลอดภัย พัฒนาระบบ chatbot เพื่อตอบคำถามและให้บริการลูกค้า ธุรกิจค้าปลีกที่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้ จะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในยุคดิจิทัล
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39519
Retail
จาก 10 เทรนด์ธุรกิจค้าปลีกปี 2561 อะไรคือเทรนด์ที่ The Mall ควรให้ความสำคัญมากที่สุด และทำไม?
null
เทรนด์ที่ The Mall ควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือ เทรนด์ที่ 4 "Brick and Data คืออนาคตใหม่" เหตุผล: The Mall มีฐานลูกค้าออฟไลน์ที่แข็งแกร่ง: The Mall มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศไทย มีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว การใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้าเหล่านี้ จะช่วยให้ The Mall เข้าใจความต้องการของลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า The Mall ลงทุนในระบบ IT มาอย่างต่อเนื่อง: The Mall ลงทุนในระบบ IT มาอย่างต่อเนื่อง มีระบบเก็บข้อมูลลูกค้า ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และระบบ CRM อยู่แล้ว การนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้ จะช่วยให้ The Mall วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้ลึกซึ้ง เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง และนำเสนอสินค้าและบริการที่ personalize ให้กับลูกค้า เทรนด์ Brick and Data สอดคล้องกับกลยุทธ์ Omni-Channel ของ The Mall: The Mall กำลังเดินหน้ากลยุทธ์ Omni-Channel เพื่อผนวกรวมประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน การใช้เทรนด์ Brick and Data จะช่วยให้ The Mall นำเสนอประสบการณ์ที่ราบรื่น สะดวก และไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ตัวอย่างแนวทางการใช้เทรนด์ Brick and Data ที่ The Mall สามารถนำไปใช้: การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: The Mall สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อหาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ ความสนใจ และพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน การนำเสนอสินค้าและบริการที่ personalize: The Mall สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ personalize ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น อีเมล LINE Facebook เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: The Mall สามารถใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การแนะนำสินค้า การแจ้งเตือนโปรโมชั่น และการให้บริการลูกค้า สรุป: เทรนด์ Brick and Data เป็นเทรนด์ที่มีความสำคัญมากต่อธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบัน The Mall ควรให้ความสำคัญกับเทรนด์นี้ และนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า นำเสนอสินค้าและบริการที่ personalize และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39524
Retail
Chatbots จะมีบทบาทสำคัญในธุรกิจค้าปลีกในปี 2024 หรือไม่?
null
ใช่ 1. การบริการลูกค้าแบบอัตโนมัติ: -Chatbots ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด 24/7 โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงาน -ตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับสินค้า บริการ และโปรโมชั่นต่างๆ -ช่วยให้ลูกค้าค้นหาสินค้าที่ต้องการ เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ -ช่วยแก้ปัญหาทั่วไป เช่น การคืนสินค้า หรือการติดตามสถานะการสั่งซื้อ 2. การสร้างประสบการณ์ที่ personalizado: -Chatbots สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละราย เช่น พฤติกรรมการซื้อ ประวัติการค้นหา และความสนใจ -ใช้ข้อมูลนี้เพื่อแนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า -นำเสนอส่วนลดและโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล -ปรับแต่งประสบการณ์การช้อปปิ้งให้เหมาะกับแต่ละบุคคล 3. การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: -Chatbots สามารถรวบรวมข้อมูลการสนทนากับลูกค้า -วิเคราะห์ข้อมูลนี้เพื่อระบุแนวโน้ม พฤติกรรม และความต้องการของลูกค้า -ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น -พัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ 4. การลดต้นทุน: -Chatbots ช่วยลดต้นทุนในการบริการลูกค้า -ลดจำนวนพนักงานที่ต้องใช้ในการตอบคำถามลูกค้า -ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมุ่งเน้นไปที่งานอื่นๆ ที่สำคัญ 5. ตัวอย่างการใช้งาน Chatbots ในธุรกิจค้าปลีก: -Sephora ใช้ Chatbots บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันเพื่อตอบคำถามลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แนะนำผลิตภัณฑ์ และช่วยลูกค้าสั่งซื้อสินค้า -Macy's ใช้ Chatbots บน Facebook Messenger เพื่อช่วยลูกค้าค้นหาสินค้า ตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อ และนัดหมายกับช่างแต่งหน้า -Nike ใช้ Chatbots บน Twitter เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้า ตรวจสอบคะแนนสมาชิก และช่วยลูกค้าค้นหาร้านค้า ตัวอย่างเพิ่มเติม: -Chatbots สามารถใช้เพื่อรับข้อเสนอแนะจากลูกค้า -ช่วยให้ลูกค้าติดตามสถานะการสั่งซื้อ -แจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับโปรโมชั่นและส่วนลด -เสนอบริการหลังการขาย สรุป: -Chatbots กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า Chatbots ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม Chatbots ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์ที่ซับซ้อน ธุรกิจค้าปลีกควรพัฒนา Chatbots อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39557
Retail
ห้างสรรพสินค้าจะอยู่รอดได้อย่างไรในยุคที่อีคอมเมิร์ซเฟื่องฟู?
null
ห้างสรรพสินค้าจะอยู่รอดในยุคที่อีคอมเมิร์ซเฟื่องฟูได้ โดยต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย กลยุทธ์สำคัญ: มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์: ห้างสรรพสินค้าต้องมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าไม่สามารถหาได้จากการซื้อของออนไลน์ ตัวอย่าง เช่น การจัดกิจกรรมพิเศษ พื้นที่สำหรับเด็กเล่น โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์: ห้างสรรพสินค้าควรมีช่องทางออนไลน์ที่แข็งแกร่ง ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่หน้าร้าน เน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม: ห้างสรรพสินค้าควรเน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม สินค้าที่หาซื้อออนไลน์ได้ยาก ปรับปรุงพื้นที่: ห้างสรรพสินค้าควรปรับปรุงพื้นที่ให้ดูทันสมัย น่าสนใจ ดึงดูดแบรนด์ดัง: ห้างสรรพสินค้าควรดึงดูดแบรนด์ดัง แบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ ตัวอย่าง: ห้างสรรพสินค้า Macy's ปรับปรุงพื้นที่ให้มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ พื้นที่สำหรับเด็กเล่น ห้างสรรพสินค้า Nordstrom เน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม สินค้าที่มีเอกลักษณ์ ห้างสรรพสินค้า Amazon Go เป็นห้างสรรพสินค้าอัจฉริยะ ลูกค้าสามารถชำระเงินโดยไม่ต้องผ่านแคชเชียร์ อนาคตของห้างสรรพสินค้า: ห้างสรรพสินค้าจะไม่หายไป แต่จะเปลี่ยนบทบาทจากสถานที่ซื้อของ มาเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาเพื่อพบปะสังสรรค์ พักผ่อนหย่อนใจ และหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39559
Retail
จากการลงทุนของ Alibaba ใน Yiguo.com อะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยควรนำมาประยุกต์ใช้
null
จากการลงทุนของ Alibaba ใน Yiguo.com ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยควรนำกลยุทธ์ดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้: 1. มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาบริการขนส่งสินค้าอาหารสด: ธุรกิจค้าปลีกควรพัฒนาบริการขนส่งสินค้าอาหารสดให้มีประสิทธิภาพ ธุรกิจค้าปลีกควรลงทุนในเทคโนโลยีการขนส่งแบบแช่แข็ง ธุรกิจค้าปลีกควรมุ่งเน้นไปที่การจัดส่งสินค้าอาหารสดให้รวดเร็ว 2. มุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า: ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าสินค้าอาหารสดมีคุณภาพ ธุรกิจค้าปลีกควรมองหา ways to ensure the freshness of food products ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 3. มุ่งเน้นไปที่การผสมผสานช่องทางการจำหน่ายออนไลน์และออฟไลน์: ธุรกิจค้าปลีกควรผสมผสานช่องทางการจำหน่ายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ธุรกิจค้าปลีกควรนำเสนอประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้า ธุรกิจค้าปลีกควรสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ตัวอย่าง: Tesco Lotus นำเสนอบริการ Tesco Lotus Online Shopping Big C Supercenter นำเสนอบริการ Big C Online Makro นำเสนอบริการ MakroClick สรุป: ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยควรนำกลยุทธ์ดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้จากการลงทุนของ Alibaba ใน Yiguo.com: มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาบริการขนส่งสินค้าอาหารสด มุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า มุ่งเน้นไปที่การผสมผสานช่องทางการจำหน่ายออนไลน์และออฟไลน์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39560
Retail
Ryohin Keikaku เจ้าของแบรนด์ MUJI เตรียมนำโรงแรมสไตล์ Minialist 2 แห่งในจีน โดยเลือกที่ใดบ้าง
พอได้ยินว่า MUJI จะขยายกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้น แฟนพันธุ์แท้ MUJI ก็คงอยากให้เป็นประเทศไทย แต่นั่นคือเรื่องที่เป็นไปได้ได้ยากมาก มาคราวนี้บริษัท Ryohin Keikaku เจ้าของแบรนด์ MUJI เตรียมนำโรงแรมสไตล์ Minialist ไปเปิดที่ใจกลางย่านแฟชั่น คือ กินซ่า (Ginza) ในกรุงโตเกียวประมาณปี 2019 และยังเตรียมเปิดอีก 2 แห่งในจีน โดยเลือกที่ เซินเจิ้น (Shenzhen) เมืองชายฝั่งตรงข้ามกับเกาะฮ่องกง และ ปักกิ่ง (Beijing) เมืองหลวงของจีน สำหรับ MUJI Hotel แห่งแรกที่ถือว่าเป็น Flagship store จะมีทั้งหมด 10 ชั้น แบ่งเป็น 7 ชั้นขึ้นและ 3 ชั้นใต้ดิน โดยจะมีลักษณะเป็นคอมเพล็กซ์ มีทั้งร้านค้าที่ใช้พื้นที่ตั้งแต่ ชั้นใต้ดินถึงชั้น 6 ส่วนโรงแรมจะอยู่ตั้งแต่ชั้น 6 ถึง 10 ตัวโรงแรมสไตล์ Minimalist ได้รับการออกแบบและใช้เฟอร์นิเจอร์ในแบบของ MUJI เช่น ใช้ไม้เนื้ออ่อน (light wood) ดูสะอาด และเรียบง่าย เวลานี้ยังไม่มีรูปห้องโรงแรมให้ดูชัดๆ แต่มีห้องที่ออกแบบและใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์ของ MUJI อยู่ เป็นไปได้ว่าจะออกมาหน้าตาคล้ายๆ แบบนี้
Ryohin Keikaku เจ้าของแบรนด์ MUJI เตรียมนำโรงแรมสไตล์ Minialist ไปเปิดที่ใจกลางย่านแฟชั่น คือ กินซ่า (Ginza) ในกรุงโตเกียวประมาณปี 2019 และยังเตรียมเปิดอีก 2 แห่งในจีน โดยเลือกที่ เซินเจิ้น (Shenzhen) เมืองชายฝั่งตรงข้ามกับเกาะฮ่องกง และ ปักกิ่ง (Beijing) เมืองหลวงของจีน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39561
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
null
ยักษ์เขียวสะดุด! Starbucks เร่งเครื่องบุกจีน กอบกู้บัลลังก์กาแฟโลก ณ ใจกลางมหานครนิวยอร์ก Кевин จอห์นสัน ซีอีโอของ Starbucks มองดูยอดขายในสหรัฐอเมริกาที่เติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วยความกังวล สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ยอดขาย Same-Store ของไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้นเพียง 4% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 4.8% "เราต้องหาทางออก!" จอห์นสันร้องคำสั่ง สายตาของเขาแล่นผ่านแผนที่โลก บนโต๊ะประชุม เต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมาย แต่แผนไหนที่จะช่วยกอบกู้บัลลังก์กาแฟโลกของ Starbucks กลับมาได้? "จีน!" เสียงหนึ่งดังขึ้น จาง หยาง ผู้บริหารระดับสูงของ Starbucks ในจีน เสนอแผนการบุกตลาดจีนอย่างเต็มรูปแบบ จีนมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน ตลาดกาแฟที่นี่มีมูลค่ามหาศาล และยังเติบโตอย่างรวดเร็ว "นี่คือโอกาสของเรา!" จอห์นสันเห็นด้วย Starbucks ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นคืนจาก East China พาร์ทเนอร์ที่ร่วมบริหารธุรกิจในจีนมานานกว่า 20 ปี ด้วยมูลค่ากว่า 43,000 ล้านบาท กลายเป็นการเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Starbucks จาง หยาง กลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญ นำทัพ Starbucks บุกตลาดจีนอย่างเต็มรูปแบบ เขาปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับลูกค้าชาวจีน พัฒนาเมนูใหม่ ๆ ที่ถูกปากคนจีน และใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ กลยุทธ์ของจาง หยาง ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ยอดขายของ Starbucks ในจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด สาขาใหม่ ๆ ถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ปี Starbucks กลายเป็นแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของจีน แต่ทว่า ความสำเร็จในจีน ไม่ได้ช่วยให้ Starbucks กลับมาครองตลาดโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลาดสหรัฐอเมริกา ตลาดหลักของ Starbucks ยังคงเติบโตช้า จอห์นสัน ตระหนักดีว่า เขาต้องหาทางออกใหม่ เขาตัดสินใจปิดร้าน Teavana แบรนด์ชาที่ Starbucks ซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อน เนื่องจาก Teavana ไม่สามารถทำกำไรได้ และ Starbucks ต้องการโฟกัสไปที่ธุรกิจกาแฟ จอห์นสัน ยังทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวอเมริกัน เช่น การสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน การชำระเงินแบบไร้สัมผัส และบริการจัดส่งกาแฟถึงบ้าน กลยุทธ์ใหม่ ๆ เหล่านี้ เริ่มส่งผลดี ยอดขายของ Starbucks ในสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง เรื่องราวของ Starbucks สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสในโลกธุรกิจ ยักษ์ใหญ่ ๆ อย่าง Starbucks ก็ต้องเผชิญกับวิกฤต แต่ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด และความมุ่งมั่น พวกเขาก็สามารถกอบกู้ความสำเร็จกลับมาได้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39563
Retail
อะไรคือความท้าทายในการเก็บภาษีจากร้านค้าออนไลน์ในเวียดนาม?
null
ความท้าทายในการเก็บภาษีจากร้านค้าออนไลน์ในเวียดนาม: 1. การชำระเงินด้วยเงินสด: การซื้อขายออนไลน์ในเวียดนามส่วนใหญ่ใช้เงินสด ทำให้ยากต่อการติดตามยอดขายและภาษี 2. การจัดส่งสินค้า: มักใช้มอเตอร์ไซค์ส่วนตัว แทนการใช้บริษัทขนส่ง ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ 3. การขาดการลงทะเบียน: ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจ ทำให้ยากต่อการติดตามและจัดเก็บภาษี 4. การขาดแคลนทรัพยากร: หน่วยงานภาษีมีทรัพยากรจำกัดในการตรวจสอบและจัดเก็บภาษีจากร้านค้าออนไลน์ 5. เทคโนโลยี: เวียดนามยังมีระบบเทคโนโลยีที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการติดตามและจัดเก็บภาษีออนไลน์ แนวทางการแก้ไข: 1. ส่งเสริมการชำระเงินออนไลน์: รัฐบาลเวียดนามควรส่งเสริมการชำระเงินออนไลน์ เพื่อให้สามารถติดตามยอดขายและภาษีได้ง่ายขึ้น 2. สร้างระบบติดตามการจัดส่ง: รัฐบาลเวียดนามควรสร้างระบบติดตามการจัดส่งสินค้าออนไลน์ เพื่อให้สามารถตรวจสอบยอดขายและภาษีได้ 3. กระตุ้นให้ร้านค้าออนไลน์จดทะเบียนธุรกิจ: รัฐบาลเวียดนามควรออกกฎหมายและมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ร้านค้าออนไลน์จดทะเบียนธุรกิจ 4. เพิ่มทรัพยากรให้กับหน่วยงานภาษี: รัฐบาลเวียดนามควรเพิ่มทรัพยากรให้กับหน่วยงานภาษี เพื่อให้มีบุคลากรและเครื่องมือที่เพียงพอในการตรวจสอบและจัดเก็บภาษีจากร้านค้าออนไลน์ 5. พัฒนาระบบเทคโนโลยี: รัฐบาลเวียดนามควรพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อติดตามและจัดเก็บภาษีออนไลน์ สรุป: การเก็บภาษีจากร้านค้าออนไลน์ในเวียดนามเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่รัฐบาลเวียดนามกำลังดำเนินการแก้ไข โดยส่งเสริมการชำระเงินออนไลน์ สร้างระบบติดตามการจัดส่ง กระตุ้นให้ร้านค้าออนไลน์จดทะเบียนธุรกิจ เพิ่มทรัพยากรให้กับหน่วยงานภาษี และพัฒนาระบบเทคโนโลยี
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39579
Retail
"5 บริษัทเทคโนโลยี เปลี่ยนโลก" Amazon สร้างรายได้จากการค้าปลีกออนไลน์เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนกี่ % ของรายได้ทั้งหมด?
1. 97% 2. 22% 3. 84% 4. 72%
ข้อที่ถูกต้องคือ 4. เพราะว่า บริษัท Amazon มีรายได้หลักมาจากการขายสินค้าออนไลน์ โดยมีสัดส่วนรายได้ดังนี้ -72% Amazon Product (สินค้าต่างๆ) -18% Amazon Media (เพลง, หนัง, ซอฟต์แวร์) -9% Amazon Web Services -1% อื่นๆ ดังนั้น Amazon สร้างรายได้จากการค้าปลีกออนไลน์คิดเป็น 72% ของรายได้ทั้งหมด ข้ออื่นๆ ผิดเพราะ - 84% เป็นสัดส่วนรายได้รวมของ Apple จาก iPhone, Mac และ iPad - 97% เป็นสัดส่วนรายได้หลักของ Facebook จากโฆษณา - 22% เป็นสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม Online Retail ทั้งหมด (Amazon Product และ Media) หมายเหตุ -ข้อมูลบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วในปัจจุบัน -ข้อมูลนี้เป็นเพียงภาพรวม ครอบคลุมเฉพาะ 5 บริษัทเทคโนโลยีที่กล่าวถึง
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39587
Retail
อะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกในไทยควรใช้ เพื่อรองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น?
null
ธุรกิจค้าปลีกในไทยควรใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้ เพื่อรองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น: 1. ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin: - ศึกษาลักษณะการใช้งาน ความเสี่ยง และข้อดีของ Bitcoin - เรียนรู้เกี่ยวกับระบบการชำระเงิน Bitcoin - เข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ในประเทศไทย 2. พัฒนาระบบการรองรับการชำระเงิน Bitcoin: - เลือกใช้แพลตฟอร์มการชำระเงิน Bitcoin ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ - ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการรับชำระเงิน Bitcoin - จัดเตรียมระบบสำหรับการแปลง Bitcoin เป็นสกุลเงินไทย 3. เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดสำหรับการชำระเงินด้วย Bitcoin: - กระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้ Bitcoin มากขึ้น - ดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ที่สนใจ Bitcoin 4. ร่วมมือกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin: - ร่วมมือกับบริษัทแลกเปลี่ยน Bitcoin - ร่วมมือกับผู้ให้บริการกระเป๋าเงิน Bitcoin 5. สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค: - อธิบายข้อดีของการชำระเงินด้วย Bitcoin - เน้นย้ำความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน Bitcoin 6. ติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับ Bitcoin: - ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาใหม่ ๆ ของ Bitcoin - ปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ การรองรับการชำระเงินด้วย Bitcoin เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจค้าปลีกไทย ในการขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ล้ำสมัย ธุรกิจค้าปลีกที่ปรับตัวได้ทัน จะสามารถคว้าโอกาสนี้ และประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล การชำระเงินด้วย Bitcoin กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกในไทยควรศึกษาและเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39588
Retail
สร้างวงจร Supply Chain ที่สมบูรณ์บนดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่ออะไร
null
เพื่อให้ผู้ซื้อ-ผู้ขายได้ทำธุรกรรมอย่างสะดวกและเบ็ดเสร็จ จามรี เกษตระกูล ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารความเสี่ยงในการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยประเภทต่างๆ จะเปลี่ยนมารับผิดชอบธุรกิจสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ด้วยประสบการณ์ด้านการอนุมัติสินเชื่อ จามรีสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาเสริมพนักงานสินเชื่อในการให้คำแนะนำการขอสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และยังสานต่อความสัมพันธ์ของพันธมิตรในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้แน่นแฟ้นต่อไป สำหรับการให้บริการอย่างครบวงจรแก่ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมอบหมายให้ วศิน ไสยวรรณ มาดูแลกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่และสถาบัน ทั้งนี้ ประสบการณ์ด้านตลาดเงินและการปริวรรตเงินตราต่างประเทศของวศิน จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีธุรกิจในต่างประเทศ และรายรับรายจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ ภิมลภา สันติโชค ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีมากในกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่และสถาบัน จะเปลี่ยนมารับผิดชอบด้านตลาดเงิน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสร้างรายได้และลดต้นทุนให้แก่ลูกค้า รวมทั้งจะผลักดันบริการทางการเงินให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ดิจิทัลแบงก์กิ้งอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39595
Retail
YouGov วัดจากผลสำรวจออนไลน์ของผู้บริโภคกว่า 4 ล้านคน ใน 32 ประเทศ ล่าสุด YouGov BrandIndex ได้ทำการสำรวจกับผู้บริโภคในประเทศไทยเกี่ยวกับแบรนด์ที่ชื่นชอบ ประจำปี 2016 (Thailand Brand Advocacy Ranking) ในด้านต่างๆ กว่า 280 แบรนด์ ทำการสำรวจตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งผลคะแนนเป็นอย่างไร
UNIQLO (ยูนิโคล่) แบรนด์เสื้อผ้าจากประเทศญี่ปุ่นที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คน ได้เผยผลสำรวจของ YouGov ที่ระบุว่า UNIQLO เป็นแบรนด์อันดับ 1 ด้านแฟชั่นรีเทล จากผลโหวตของคนไทย YouGov คือ หน่วยงานวิจัยการตลาด ซึ่งวัดจากผลสำรวจออนไลน์ของผู้บริโภคกว่า 4 ล้านคน ใน 32 ประเทศ ล่าสุด YouGov BrandIndex ได้ทำการสำรวจกับผู้บริโภคในประเทศไทยเกี่ยวกับแบรนด์ที่ชื่นชอบ ประจำปี 2016 (Thailand Brand Advocacy Ranking) ในด้านต่างๆ กว่า 280 แบรนด์ ทำการสำรวจตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งผลคะแนนวัดจากคำถามที่ว่า 1) คุณจะแนะนำแบรนด์นี้ให้กับเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวหรือไม่ 2) คุณจะแนะนำให้เพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวเลี่ยงที่จะเลือกซื้อแบรนด์นี้หรือไม่ ผลคะแนนที่ได้จะคำนวณโดยการหักลบจากผลตอบรับทางด้านลบออกจากผลตอบรับในทางบวก เพื่อให้ได้คะแนนสุทธิของแต่ละแบรนด์ขึ้นมาซึ่งในการสำรวจด้าน Thailand Brand Advocacy Ranking – Fashion Retailers นั้น UNIQLO ได้รับผลโหวตอันดับ 1 ด้วยคะแนน 67.7 เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุดจากผลสำรวจของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ ขณะที่อันดับ 2 คือ Nike 63.2 อันดับ 3 Adidas 61.5 อันดับ 4 Levi’s 59.0 และ อันดับ 5 Converse 50.9 UNIQLO เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ ปัจจุบันมีกว่า 34 สาขาทั่วประเทศ รวมไปถึง Online Store ที่เปิดมาเพื่อรอบรับผู้บริโภคตลอด 24 ชั่วโมง และเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในจังหวัดอื่นๆ ที่ยังไม่มีสาขา ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 6 ปี สำหรับการจัดอันดับแบรนด์ต่างๆ อันดับ 1 คือ iPhone ตามด้วยอันดับ 2 Apple store แสดงว่าคนไทยให้การยอมรับสินค้าและแบรนด์ของ Apple เป็นอย่างดี อันดับ 3 คือ LINE แอปแชทยอดนิยมที่มีคนไทยใช้งานประมาณ 41 ล้านรายแล้ว อันดับ 4 Facebook โซเชียลอันดับ 1 ของโลก และอันดับ 5 Apple ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ Apple ที่กวาดไป 3 รางวัลจาก Top 5 มาถึงอันดับ 6 คือ UNIQLO นอกจากนี้ยังมีอันดับแบรนด์ที่น่าสนใจอื่นๆ อีก โดยสามารถตามไปดูผลการสำรวจเต็มๆ ได้ที่นี่ YouGov สรุป ไม่น่าแปลกใจที่ UNIQLO จะขึ้นเป็นแบรนดฺ์อันดับ 1 ด้านเสื้อผ้าแฟชั่นรีเทล ด้วยราคาที่ไม่สูงจนเกินไป การมาจากประเทศญี่ปุ่น และมีเครื่องแต่งกายที่หลากหลายให้เลือก สุดสัปดาห์เมื่อไรไปดูได้เลย UNIQLO มีคนไทยเต็มร้าน เป็นโจทย์ที่ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นอื่นๆ ในไทยก็ต้องหาทางแข่งขันเช่นเดียวกัน
ผลคะแนนที่ได้จะคำนวณโดยการหักลบจากผลตอบรับทางด้านลบออกจากผลตอบรับในทางบวก เพื่อให้ได้คะแนนสุทธิของแต่ละแบรนด์ขึ้นมาซึ่งในการสำรวจด้าน Thailand Brand Advocacy Ranking – Fashion Retailers นั้น UNIQLO ได้รับผลโหวตอันดับ 1 ด้วยคะแนน 67.7 เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุดจากผลสำรวจของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ ขณะที่อันดับ 2 คือ Nike 63.2 อันดับ 3 Adidas 61.5 อันดับ 4 Levi’s 59.0 และ อันดับ 5 Converse 50.9 UNIQLO เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ ปัจจุบันมีกว่า 34 สาขาทั่วประเทศ รวมไปถึง Online Store ที่เปิดมาเพื่อรอบรับผู้บริโภคตลอด 24 ชั่วโมง และเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในจังหวัดอื่นๆ ที่ยังไม่มีสาขา ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 6 ปี สำหรับการจัดอันดับแบรนด์ต่างๆ อันดับ 1 คือ iPhone ตามด้วยอันดับ 2 Apple store แสดงว่าคนไทยให้การยอมรับสินค้าและแบรนด์ของ Apple เป็นอย่างดี อันดับ 3 คือ LINE แอปแชทยอดนิยมที่มีคนไทยใช้งานประมาณ 41 ล้านรายแล้ว อันดับ 4 Facebook โซเชียลอันดับ 1 ของโลก และอันดับ 5 Apple ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ Apple ที่กวาดไป 3 รางวัลจาก Top 5 มาถึงอันดับ 6 คือ UNIQLO
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39597
Retail
อะไรคือกลยุทธ์สำคัญของ Alibaba ในการปฏิวัติวงการค้าปลีกแบบดั้งเดิมในจีน?
null
1. ผสมผสานโลกออนไลน์และออฟไลน์: Alibaba มุ่งเน้นการผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน โดยนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในร้านค้าแบบดั้งเดิม 2. ใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยี: Alibaba ลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระบบจดจำใบหน้า ระบบการจ่ายเงินออนไลน์ และระบบการขนส่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการช้อปปิ้ง 3. พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า: Alibaba มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมการซื้อ และความต้องการ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย 4. ขยายเครือข่ายพันธมิตร: Alibaba ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และแบรนด์ต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางการจำหน่าย และสร้างระบบนิเวศน์ค้าปลีกที่ครบวงจร 5. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: Alibaba ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ การขนส่ง และระบบการจ่ายเงิน เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ Alibaba นำมาใช้ การเปิดตัว Hema Fresh: ซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะที่ผสมผสานการช้อปปิ้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชันเพื่อค้นหาสินค้า เลือกซื้อ และชำระเงินโดยไม่ต้องผ่านแคชเชียร์ การเข้าซื้อกิจการ Intime Retail Group: ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในจีน ช่วยให้ Alibaba เข้าถึงฐานลูกค้าใหม่และขยายเครือข่ายร้านค้า การร่วมมือกับ Shanghai Bailian Group: ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในจีน นำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ กลยุทธ์ของ Alibaba ประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนี้ การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: ยอดขายสินค้าออนไลน์ในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว แซงหน้ายอดขายสินค้าในร้านค้าแบบดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวจีนนิยมช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น สะดวก รวดเร็ว และมีตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย การปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม: ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง ดึงดูดลูกค้า บทสรุป กลยุทธ์ของ Alibaba ในการปฏิวัติวงการค้าปลีกแบบดั้งเดิมในจีน เน้นการผสมผสานโลกออนไลน์และออฟไลน์ การใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยี การพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า การขยายเครือข่ายพันธมิตร และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโต พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง และธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัว อนาคตของธุรกิจค้าปลีก คาดการณ์ว่าธุรกิจค้าปลีกในอนาคตจะเป็นการผสมผสานระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39599
Retail
ในบรรดาตัวเลือกต่อไปนี้ อะไรคือปัญหาหลักที่ค้าปลีกไทยเผชิญในการปรับตัวสู่ออนไลน์?
1. ระบบหลังบ้านมีขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนยาก 2. กลัวการกินกันเองระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ 3. หาคนที่มีประสบการณ์ ecommerce ยาก 4. การทำงานแบบ Silo ทำให้ขาดความสอดคล้องกัน
ข้อที่ถูกต้องคือ 4. การทำงานแบบ Silo ทำให้ขาดความสอดคล้องกัน เนื่องจาก บรรยายถึงปัญหาหลัก 4 ประการที่ค้าปลีกไทยเผชิญในการปรับตัวสู่ออนไลน์ ดังนี้ 1. Cannibalization: กลัวการกินกันเองระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ กลัวว่าการขายออนไลน์ที่กำไรน้อยกว่าจะส่งผลเสียต่อยอดขายและความพึงพอใจของช่องทางเดิม 2. การบริหารงานแบบ Silo: การทำงานเป็นท่อนๆ แยกหน้าที่ชัดเจน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ เหมาะกับการขายแบบดั้งเดิม แต่ไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบันที่ลูกค้าเปลี่ยนแปลงเร็ว 3. ระบบ: ระบบการขาย, ไอที, บัญชี และ คลังสินค้า มีลักษณะเป็นระบบขนาดใหญ่ ออกแบบมาเพื่อความเสถียรและประหยัด เน้นการทำงานแบบเดิม ไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของธุรกิจออนไลน์ 4. หาคน: หาคนที่มีประสบการณ์ ecommerce ยาก บริษัทต้องแข่งกับบริษัทอื่นๆ และ Tech Startup ในการดึงดูดและรักษาคนเก่ง โดยในบรรดาตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ การทำงานแบบ Silo เป็นปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อข้ออื่นๆ ทั้งหมด 1. Cannibalization: การทำงานแบบ Silo ทำให้การตัดสินใจและกลยุทธ์ไม่เป็นเอกภาพ เกิดความขัดแย้งระหว่างช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ส่งผลต่อการวางแผนการขายและกำไร 2. ระบบ: การทำงานแบบ Silo ทำให้ระบบต่างๆ แยกส่วนกัน ยากต่อการเชื่อมโยงข้อมูลและประสานงานการทำงานระหว่างช่องทาง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน 3. หาคน: การทำงานแบบ Silo ทำให้ขาดความยืดหยุ่น ไม่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ของพนักงาน ยากต่อการดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะด้านออนไลน์ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาการทำงานแบบ Silo จะช่วยลดอุปสรรคและทำให้การปรับตัวสู่ออนไลน์ของค้าปลีกไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39602
Retail
Alibaba เสนอซื้อห้างสรรพสินค้าในจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อเตรียมขยายสู่โลก offline ใช่หรือไม่
null
ใช่ Alibaba Group ยักษ์ใหญ่ e-Commerce ของ Jack Ma ที่ตอนนี้คนไทยรู้จักกันดี เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะเข้าซื้อห้างสรรพสินค้าและช้อปปิ้งมอลล์ เพื่อก้าวเข้าสู่โลก offline ให้มากขึ้น การลงทุนของ Alibaba ครั้งนี้ได้ยื่นข้อเสนอให้กับ Intime Retail (Group) กลุ่มบริษัทลงทุนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ ห้างสรรพสินค้า, ช้อปปิ้งมอลล์, อสังหาริมทรัพย์ และการค้าต่างๆ โดยข้อเสนอมีมูลค่ากว่า 19,800 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 2,553 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าการเจรจาซื้อเสร็จเรียบร้อย Alibaba จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intime Retail ประมาณ 74% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 28% และทำให้ Alibaba เข้าควบคุมการบริหารงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น เราจะได้เห็นการขยายแพลตฟอร์มจาก e-Commerce มาสู่ห้างสรรพสินค้าจริง โดยปัจจุบัน Intime Retail บริหารห้างสรรพสินค้า 29 แห่ง และช้อปปิ้งมอลล์ 17 แห่ง ในเมืองหลักและเมืองรองต่างๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งรวมถึงเมือง Zhejiang (เจ้อเจียง) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ Alibaba ด้วย ย้อนกลับไปปี 2014 Alibaba ได้เข้าลงทุนใน Intime Retail เป็นเงิน 692 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง Online-to-offline services (O2O) โดยถือหุ้น 28% โดยกลยุทธ์ O2O ของ Alibaba ต้องการเชื่อมต่อ ลูกค้า online กับบริการทาง offline เพื่อเข้าถึงและเข้าใจพฤติกรรมของผู้ซื้อให้ได้มากขึ้น
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39603
Retail
จากนโยบาย Papel 0 ของ Carrefour อะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศไทยควรนำมาประยุกต์ใช้
null
จากนโยบาย Papel 0 ของ Carrefour ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศไทยควรนำกลยุทธ์ดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้: 1. มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้กระดาษ: - ธุรกิจค้าปลีกควรหาวิธีลดการใช้กระดาษในธุรกิจ - ธุรกิจค้าปลีกควรหันมาใช้ใบเสร็จแบบดิจิทัล - ธุรกิจค้าปลีกควรมองหา ways to reduce the use of paper in their operations 2. มุ่งเน้นไปที่การรักษาสิ่งแวดล้อม: - ธุรกิจค้าปลีกควรมีนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม - ธุรกิจค้าปลีกควรสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด - ธุรกิจค้าปลีกควรมองหา ways to reduce their environmental impact 3. มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอบริการที่สะดวกแก่ลูกค้า: - ธุรกิจค้าปลีกควรนำเสนอบริการที่สะดวกแก่ลูกค้า - ธุรกิจค้าปลีกควรพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับลูกค้า - ธุรกิจค้าปลีกควรมองหา ways to improve the customer experience ตัวอย่าง: 1. Central Group นำเสนอบริการ Central Card Mobile App 2. The Mall Group นำเสนอบริการ The Mall M Card Mobile App 3. Siam Piwat นำเสนอบริการ Siam Paragon Mobile App สรุป: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศไทยควรนำกลยุทธ์ดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้จากนโยบาย Papel 0 ของ Carrefour: 1. มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้กระดาษ 2. มุ่งเน้นไปที่การรักษาสิ่งแวดล้อม 3. มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอบริการที่สะดวกแก่ลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39607
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การเปลี่ยนผู้บริหารของ Starbucks" ให้หน่อยค่ะ
Starbucks ประกาศเปลี่ยนตัวผู้บริหารครั้งสำคัญ เมื่อ Howard Schultz ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ Starbucks มาตั้งแต่แรก เตรียมลงจากตำแหน่งซีอีโอในวันที่ 3 เมษายน 2017 ส่งไม้ต่อให้กับ Kevin Johnson ซีโอโอของบริษัทมารับหน้าที่ต่อ Howard Schultz จะยังนั่งเป็นประธานบอร์ดบริหารของบริษัทต่อไป และจะรับผิดชอบงานส่วนของ Starbucks Reserve Roasteries แบรนด์ร้านกาแฟสุดพรีเมียม และงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม Schultz เคยลงจากตำแหน่งซีอีโอมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2000 แต่หลังจากนั้นเขากลับมาเป็นซีอีโออีกครั้งในปี 2008 เพื่อแก้วิกฤตของบริษัท และนำ Starbucks กลับสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง จนกระทั่งประกาศลงจากตำแหน่งในครั้งนี้ ส่วน Kevin Johnson ซีอีโอคนใหม่ เคยเป็นผู้บริหารของไมโครซอฟท์มาก่อน จากนั้นเขาย้ายไปเป็นซีอีโอของบริษัทอุปกรณ์เครือข่าย Juniper Networks และมาเป็นบอร์ดของ Starbucks ในปี 2009 จากนั้นมารับตำแหน่งบริหารโดยเป็นซีโอโอในปี 2015
Starbucks เปลี่ยนตัวผู้บริหารเป็น Kevin Johnson ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารไมโครซอฟท์มาก่อน แล้วย้ายไปเป็นซีอีโอของ Juniper Networks บริษัทอุปกรณ์เครือข่าย และเป็นบอร์ดของ Starbucks ในปี 2009 ส่วนผู้บริหารคนเก่าอย่าง Howard Schultz ยังคงเป็นประธานบอร์ดบริหารของบริษัทและรับผิดชอบส่วนของแบรนด์ Starbucks Reserve Roasteries และงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39609
Retail
Brand Inside สัมภาษณ์คุณปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ เกี่ยวกับ Retail อะไรคือกลยุทธ์หลักที่คุณปพนธ์ใช้ในการบริหาร True Sphere เพื่อสร้างลูกค้าระดับ High Value?
ก. เน้นมาตรฐานบริการระดับ High Value ข. เน้นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ค. เน้นยอดขายและรายได้ ง. เน้นกลยุทธ์ราคาที่แข่งขัน
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า บทสัมภาษณ์คุณปพนธ์ เน้นย้ำถึงกลยุทธ์หลักในการบริหาร True Sphere ดังนี้ เน้นสร้างบริการระดับ High Value: คุณปพนธ์ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยเริ่มต้นจากการศึกษาและนำแนวคิดจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง PAUL มาใช้ เช่น การใส่ใจรายละเอียด การมีวินัย และการให้บริการด้วย Service Mind ให้ความสำคัญกับพนักงาน: คุณปพนธ์ มองว่า "คน" คือหัวใจของงานบริการ True Sphere จึงพิถีพิถันในการคัดเลือกพนักงานที่มี Service Mind สูง โดยดึงพนักงานจากสายการบินที่มีประสบการณ์ให้ บริการลูกค้ามาดูแล สร้างมาตรฐานเดียวกัน: True Sphere ทุกสาขาจะมีมาตรฐานการบริการที่เหมือนกัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด มุ่งสร้างลูกค้า High Value: กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งหวังสร้างความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า นำไปสู่การเพิ่มจำนวนลูกค้าระดับ High Value ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ได้ถูกเน้น เน้นยอดขายและรายได้: ไม่ได้ให้ความสำคัญกับยอดขายหรือรายได้เป็นอันดับแรก แต่เน้นไปที่การสร้างบริการที่ดีก่อน เน้นสินค้าที่มีคุณภาพสูง: แม้ว่า True Sphere จะนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูง ไม่ได้เน้นย้ำถึงประเด็นนี้เป็นพิเศษ เน้นกลยุทธ์ราคาที่แข่งขัน: ไม่ได้พูดถึงกลยุทธ์ราคา ดังนั้น ตัวเลือก เน้นมาตรฐานบริการระดับ High Value จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39614
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....True Money Wallet กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาด Mobile Payment ของประเทศไทย และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการชำระเงินของคนไทยไปตลอดกาล
null
True Money Wallet: เปลี่ยนมือถือเป็นกระเป๋าเงิน ซื้อของสะดวก จ่ายง่าย ที่ 7-Eleven ตัวละคร นนท์:พนักงานออฟฟิศหนุ่มวัย 28 ปี ฝน: แคชเชียร์สาววัย 25 ปี ลุงสม: เจ้าของร้านโชห่วยวัย 55 ปี เรื่องราว นนท์พนักงานออฟฟิศหนุ่มเพิ่งเลิกงาน กำลังหิวข้าว เขาเดินมุ่งหน้าไปยัง 7-Eleven ใกล้ๆ ออฟฟิศ หวังจะซื้อของกินมื้อเย็น ทันใดนั้น นนท์ก็เหลือบเห็นป้ายโปรโมชั่น "จ่ายง่าย ได้มากกว่า ลุ้นช้อปฟรีที่ 7-Eleven ด้วย True Money Wallet" นนท์ไม่เคยโหลดแอป True Money Wallet มาใช้มาก่อน แต่ด้วยความที่อยากลองของใหม่ เขาจึงตัดสินใจโหลดแอปและสมัครสมาชิก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที นนท์ก็สามารถเติมเงินเข้าแอปและพร้อมใช้งานแล้ว เมื่อถึงคิว นนท์วางสินค้าทั้งหมดลงบนเคาน์เตอร์ ฝน แคชเชียร์สาว ยิ้มแย้มแจ่มใสและถามว่า "สะดวกจ่ายด้วย True Money Wallet ไหมคะ?" นนท์รู้สึกตื่นเต้น รีบคว้ามือถือขึ้นมาสแกน QR Code บนหน้าจอเครื่องคิดเงิน เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น "ชำระเงินสำเร็จ" นนท์รู้สึกดีใจที่การชำระเงินรวดเร็วและสะดวก แถมเขายังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลอีกด้วย เขารีบเดินไปซื้อของกินมื้อเย็นอย่างอิ่มเอมใจ วันต่อมา นนท์เล่าประสบการณ์การใช้ True Money Wallet ให้ฝนฟัง ฝนรู้สึกสนใจและอยากลองใช้บ้าง นนท์จึงสอนวิธีโหลดแอปและสมัครสมาชิกให้ หลังจากนั้น ฝนก็เริ่มใช้ True Money Wallet ชำระเงินค่าสินค้าของลูกค้าบ่อยๆ ลูกค้าหลายคนก็รู้สึกประทับใจกับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยของระบบ ในอีกไม่กี่วันต่อมา ลุงสม เจ้าของร้านโชห่วยเดินเข้ามาใน 7-Eleven เพื่อซื้อของ เขาสังเกตเห็นป้ายโปรโมชั่น True Money Wallet จึงตัดสินใจสอบถามพนักงาน พนักงานจึงแนะนำระบบ True Money Wallet ให้ลุงสมฟัง ลุงสมรู้สึกสนใจและอยากนำระบบนี้มาใช้ที่ร้านโชห่วยของเขา พนักงานจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ True Money Wallet เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่อธิบายรายละเอียดและขั้นตอนการสมัครสมาชิกให้ลุงสมฟัง ลุงสมรู้สึกประทับใจในบริการและตัดสินใจสมัครสมาชิก True Money Wallet เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ลูกค้าของลุงสมก็เริ่มใช้ True Money Wallet ชำระเงินค่าสินค้า ลุงสมรู้สึกดีใจที่ร้านของเขามีระบบชำระเงินแบบใหม่ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39619
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....DV ของธนาคารไทยพาณิชย์เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการค้าปลีก ธนาคารต่าง ๆ กำลังตระหนักดีว่าเทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ผู้คนช็อปปิ้ง และพวกเขาจึงมองหา Startup ที่สามารถช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
null
ดิจิทัลเวนเจอร์ส: บทเริ่มต้นของการปฏิวัติการค้าปลีก ตัวละคร: ธนา เธียรอัจฉริยะ: ประธานกรรมการบริหาร Digital Ventures พลภัทร อัครปรีดี: Managing Director, Corporate Venture Capital สุวิชชา สุดใจ: Managing Director, Digital Products ชาล เจริญพันธ์: Head of Accelerator เรื่องราว: ในปี 2559 ธนาคารไทยพาณิชย์สร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจด้วยการเปิดตัว Digital Ventures (DV) บริษัทลูกที่มุ่งเน้นไปที่การลงทุนและพัฒนานวัตกรรมด้านการเงิน (FinTech) เป้าหมายของ DV นั้นชัดเจน: ยกระดับธนาคารไทยพาณิชย์ให้กลายเป็นผู้นำในยุคดิจิทัล ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการบริหาร DV อธิบายว่า "FinTech ทั่วโลกกำลังได้รับการลงทุนมหาศาล ในขณะที่ประเทศไทยยังมี Startup ด้าน FinTech จำนวนน้อยและขาดความเข้าใจด้านการลงทุน DV จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์กับโลกของ Startup" DV เริ่มต้นด้วยเงินทุน 1,750 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 หน่วยธุรกิจหลัก: ทุนองค์กร: มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในกองทุน Startup ทั่วโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล: พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยี FinTech เช่น Internet of Things (IoT), Biometrics, Blockchain และ Machine Learning DV Accelerator: บ่มเพาะ Startup ผ่านโปรแกรมเร่งรัดธุรกิจ Lab: พัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ ๆ หนึ่งในไฮไลท์ของ DV คือ DV Accelerator โปรแกรมเร่งรัดธุรกิจที่มุ่งเน้นไปที่ Startup ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โปรแกรมนี้เปรียบเสมือน MBA สำหรับ Startup โดยมอบความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นและเติบโต ชาล เจริญพันธ์ หัวหน้า Accelerator ของ DV อธิบายว่า "เราต้องการสร้าง Ecosystem ของ Startup ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย Accelerator ของเราจะช่วยให้ Startup เหล่านี้มีโอกาสเข้าถึงเงินทุน พันธมิตร และทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จ" DV ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ FinTech เท่านั้น บริษัทยังมองหาโอกาสในการลงทุนใน Startup ที่เกี่ยวข้องกับ การค้าปลีก อีกด้วย สุวิชชา สุดใจ Managing Director, Digital Products อธิบายว่า "การค้าปลีกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากเทคโนโลยีดิจิทัล DV มองหา Startup ที่สามารถช่วยให้เราพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ในการดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีขึ้น" ตัวอย่างของ Startup ที่ DV ลงทุนในด้านการค้าปลีก: ShopBack: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ให้เงินคืนสำหรับการช็อปปิ้งออนไลน์ Tarad.com: เว็บไซต์สำหรับประกาศขายสินค้ามือสอง Wongnai: แพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารและร้านค้า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39620
Retail
iStudio by UFIcon ควรมีกลยุทธ์อย่างไรเพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่น?
null
iStudio by UFIcon มีโอกาสขยายฐานลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นได้หลายวิธี ดังนี้ 1. เน้นความร่วมมือกับ AIS: ออกแบบแพ็คเกจพิเศษสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ผูกกับ AIS Serenade นำเสนอโปรโมชั่นส่วนลดสำหรับสินค้า Apple จัดกิจกรรมเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ Apple สนับสนุนชมรมหรือกิจกรรมในโรงเรียน 2. สร้างจุดขายที่ดึงดูดวัยรุ่น: ออกแบบร้านให้มีบรรยากาศทันสมัย จัดพื้นที่สำหรับเล่นเกมหรือลองใช้ผลิตภัณฑ์ Apple เชิญชวน Influencer วัยรุ่นมาร่วมโปรโมท นำเสนอสินค้า Apple รุ่นใหม่ล่าสุด 3. ขยายช่องทางออนไลน์: เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน actively engage กับวัยรุ่นบนโซเชียลมีเดีย นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ เช่น รีวิวสินค้า บทแนะนำการใช้งาน จัดกิจกรรมออนไลน์ เช่น เกมแจกของรางวัล 4. Collaborate with educational institutions: ร่วมมือกับโรงเรียนมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี เสนอโปรแกรมฝึกอบรมสำหรับนักเรียนนักศึกษา มอบทุนการศึกษาหรืออุปกรณ์การเรียน 5.พัฒนาบริการที่ตอบโจทย์วัยรุ่น: เสนอบริการผ่อนชำระสินค้า รับซ่อมแซมสินค้า Apple ให้บริการ Trade-in เครื่องเก่า จัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ตัดต่อวิดีโอ ตัวอย่างกลยุทธ์เพิ่มเติม ร่วมมือกับแบรนด์อื่น ๆ ที่วัยรุ่นนิยม จัดกิจกรรมอีสปอร์ต สนับสนุนนักกีฬาหรือทีมอีสปอร์ต เสนอบริการสตรีมมิ่งเพลงหรือภาพยนตร์ สรุป iStudio by UFIcon มีศักยภาพในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่น แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เข้าใจความต้องการของวัยรุ่น และนำเสนอสินค้า บริการ และกิจกรรมที่ดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมาย การผนึกกำลังกับ AIS จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวัยรุ่นได้มากขึ้น
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39621
Retail
คุณคิดว่าเหตุใดการมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับโออิชิกรีนทีในการเพิ่มยอดขายและความพึงพอใจของลูกค้าในตลาดเครื่องดื่มที่มีการแข่งขันสูง? โปรดอธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว
null
การมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับโออิชิกรีนทีในการเพิ่มยอดขายและความพึงพอใจของลูกค้าในตลาดเครื่องดื่มที่มีการแข่งขันสูง เนื่องจากหลายปัจจัยที่สำคัญ ประการแรก กลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีพลังในการซื้อสูงและมีแนวโน้มที่จะทดลองสินค้าใหม่ๆ การมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นทำให้โออิชิกรีนทีสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพในการเป็นลูกค้าประจำในอนาคต ประการที่สอง การมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว วัยรุ่นเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการสร้างความผูกพันกับแบรนด์ได้ง่าย การสร้างประสบการณ์ที่ดีและการสื่อสารที่ตรงเป้าหมายทำให้วัยรุ่นรู้สึกผูกพันกับแบรนด์และมีแนวโน้มที่จะยังคงซื้อสินค้าจากโออิชิกรีนทีต่อไป ประการที่สาม การมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นช่วยเพิ่มยอดขายในระยะสั้น การเสนอโปรโมชั่นพิเศษและการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจทำให้วัยรุ่นมีแรงจูงใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ของบริษัทในช่วงเวลาที่จัดกิจกรรม อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว หากโออิชิกรีนทีมุ่งเน้นกลุ่มวัยรุ่นมากเกินไป อาจทำให้ลูกค้ากลุ่มอื่นรู้สึกว่าแบรนด์นี้ไม่เหมาะสมกับพวกเขา ดังนั้นโออิชิกรีนทีควรใช้กลยุทธ์การตลาดที่หลากหลายและควบคู่กับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ เช่น การเน้นคุณภาพของสินค้าและการออกแบบที่ทันสมัย นอกจากนี้ โออิชิกรีนทีควรใช้กลยุทธ์การตลาดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในร้านค้าและออนไลน์ การใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงการบริการลูกค้า และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการสื่อสารและการตลาดที่ตรงเป้าหมาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39626
Retail
ในบทความที่กล่าวถึงการเข้าสู่ตลาดค้าส่งของ CRC (Central Retail Corporation) คุณคิดว่าเหตุใดการเข้าสู่ตลาดค้าส่งจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับ CRC ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าในตลาดค้าปลีกที่มีการแข่งขันสูง? โปรดอธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว
null
การเข้าสู่ตลาดค้าส่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับ CRC (Central Retail Corporation) ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าในตลาดค้าปลีกที่มีการแข่งขันสูง เนื่องจากหลายปัจจัยที่สำคัญ ประการแรก การเข้าสู่ตลาดค้าส่งช่วยให้ CRC สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ที่ต้องการสินค้าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า การเสนอสินค้าราคาส่งทำให้ลูกค้าเหล่านี้มีโอกาสทดลองใช้สินค้าของ CRC และอาจกลายเป็นลูกค้าประจำในอนาคต ประการที่สอง การเข้าสู่ตลาดค้าส่งช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดีหรือในช่วงที่มีการแข่งขันสูง การเสนอสินค้าราคาส่งทำให้ลูกค้ามีแรงจูงใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ของบริษัทในระยะสั้น ประการที่สาม การเข้าสู่ตลาดค้าส่งช่วยรักษาลูกค้าเก่าที่อาจกำลังพิจารณาย้ายไปซื้อสินค้าจากแบรนด์อื่น การเสนอสินค้าราคาส่งทำให้ลูกค้าเหล่านี้รู้สึกว่าพวกเขาได้รับความคุ้มค่าและมีแนวโน้มที่จะยังคงซื้อสินค้าจาก CRC ต่อไป อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ตลาดค้าส่งมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว หาก CRC ลดราคาบ่อยครั้งเกินไป อาจทำให้ลูกค้ามองว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่มีความพิเศษ ดังนั้น CRC ควรใช้กลยุทธ์การลดราคาอย่างระมัดระวังและควบคู่กับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ เช่น การเน้นคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ดี นอกจากนี้ CRC ควรใช้กลยุทธ์การตลาดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในร้านค้าและออนไลน์ การใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงการบริการลูกค้า และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการสื่อสารและการตลาดที่ตรงเป้าหมาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39628
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เหมือนกับลุงสมชายและมิน ที่แม้จะเสียดายแฟมิลี่มาร์ท แต่ก็เปิดใจรับ Tops Daily ร้านสะดวกซื้อใหม่ที่อาจจะนำประสบการณ์ที่ดีมาสู่พวกเขาอีกครั้ง
null
บทเพลงลาจากแฟมิลี่มาร์ท ตัวละคร: ลุงสมชาย ชายสูงวัยเจ้าของร้านอาหาร มิน เด็กสาววัยมัธยมปลาย พนักงาน Tops Daily เรื่องราว: แสงแดดอ่อนๆ ของยามเช้าสาดส่องลงบนถนนหนทาง ผู้คนเริ่มทยอยออกมาใช้ชีวิตประจำวัน เสียงรถราและเสียงพูดคุยคละเคล้ากันไป ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก ลุงสมชาย ชายสูงวัยเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ใจกลางเมือง กำลังเตรียมเปิดร้านเหมือนเช่นทุกวัน ลุงสมชายเปิดร้านอาหารมาเกือบ 30 ปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายต่อหลายฤดูกาล เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา เปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยคือ ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทที่อยู่ตรงข้ามร้านของเขา แฟมิลี่มาร์ท เป็นเพื่อนคู่ยากของลุงสมชายมาตลอด ลุงมักจะแวะไปซื้อของที่นั่นอยู่เป็นประจำ ทั้งอาหารเช้า ของว่าง และเครื่องดื่ม พนักงานที่ร้านก็คุ้นเคยกับลุงเป็นอย่างดี บางครั้งก็มานั่งคุยกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ เหมือนกับเป็นสมาชิกในครอบครัว แต่เมื่อไม่นานมานี้ ลุงสมชายก็ได้รับข่าวร้าย แฟมิลี่มาร์ทจะปิดตัวลง เปลี่ยนเป็นร้าน Tops Daily แทน ลุงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะแฟมิลี่มาร์ทไม่ใช่แค่ร้านสะดวกซื้อ แต่เป็นเหมือนสถานที่ที่ลุงได้พบปะผู้คน ได้พูดคุย และได้ผ่อนคลาย วันหนึ่ง มิน เด็กสาววัยมัธยมปลายที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น แวะมาที่ร้านอาหารของลุงสมชาย มินเป็นลูกค้าประจำของแฟมิลี่มาร์ทเช่นกัน เธอรู้สึกเสียดายไม่แพ้ลุงสมชาย เพราะเธอชอบสินค้าของแฟมิลี่มาร์ท โดยเฉพาะโอเด้งที่เป็นอาหารญี่ปุ่น "ลุงคะ รู้ไหมว่าแฟมิลี่มาร์ทจะปิดตัวลงแล้ว" มินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า "ใช่จ้ะ ลุงก็รู้ เสียดายจริงๆ ร้านนี้เป็นเหมือนเพื่อนคู่ยากของลุงมาหลายปี" ลุงสมชายตอบ "มินก็เสียดายเหมือนกัน โอเด้งที่นี่อร่อยมาก มินชอบทานเป็นประจำ" มินพูด "ยังไงก็ลองไปที่ Tops Daily ดูสิ เผื่อว่าจะมีโอเด้งขายเหมือนกัน" ลุงสมชายแนะนำ วันต่อมา มินก็ลองไปที่ Tops Daily เธอรู้สึกประหลาดใจที่ร้านไม่ใหญ่มาก แต่สินค้าก็มีหลากหลาย และพนักงานก็บริการดี มินลองซื้อโอเด้งมาทาน รสชาติก็อร่อยไม่แพ้แฟมิลี่มาร์ทเลย "โอ้โห โอเด้งที่นี่อร่อยเหมือนกันแฮะ" มินพูดกับตัวเอง มินรู้สึกดีใจที่ Tops Daily มีโอเด้งขาย เธอคิดว่าจะแวะมาที่นี่บ่อยๆ แทนแฟมิลี่มาร์ท
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39631
Retail
วิธีการตรวจสอบสินค้าและการประทับตราเมื่อขอ VAT Refund คืออะไร?
a. เมื่อขอ VAT Refund นักท่องเที่ยวจะต้องตรวจสอบสินค้าและแบบ ภพ.10 ที่จุดตรวจสอบสินค้าพิเศษที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ผู้โดยสารสามารถเข้าได้ก่อนการเข้าสู่โถงเตียงนอนสนามบิน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและตรวจสอบสินค้าและเอกสารว่าถูกต้องแล้ว เจ้าหน้าที่จะทำการประทับตราบนแบบ ภพ.10 เพื่อยืนยันการขอ VAT Refund ของนักท่องเที่ยว. b. เมื่อขอ VAT Refund นักท่องเที่ยวจะต้องนำสินค้ามาตรวจสอบที่จุดตรวจสอบสินค้าพิเศษที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ผู้โดยสารสามารถเข้าได้ก่อนการเข้าสู่โถงเตียงนอนสนามบิน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสินค้าและแบบ ภพ.10 ของนักท่องเที่ยว หากสินค้าและเอกสารถูกต้อง เจ้าหน้าที่จะทำการประทับตราบนแบบ ภพ.10 เพื่อยืนยันการขอ VAT Refund ของนักท่องเที่ยว c. เมื่อขอ VAT Refund นักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางไปยังศุลกากรที่มีทั้งสองเดินทางมารับสินค้าก่อนถึงสนามบิน และนำสินค้าที่ต้องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มมาแสดง เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะทำการเช็คข้อมูลและตรวจสอบสินค้าก่อนทำการประทับตราบนแบบ ภพ.10 โดยเจ้าหน้าที่จะต้องประทับตราลงบนสินค้าตามปกติ และตรานั้นจะถูกทำมาเพื่อยืนยันการสมบูรณ์ของการขอ VAT Refund ของนักท่องเที่ยว d. เมื่อขอ VAT Refund นักท่องเที่ยวจะต้องนำสินค้าและแบบ ภพ.10 ที่มีมูลค่าการซื้อสินค้ารวมกันแล้วถึง 5,000 บาทไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าและประทับตรา โดยวิธีการตรวจสอบและประทับตรามีดังนี้ 1. ตรวจสอบสินค้: เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะตรวจสอบสินค้าที่นักท่องเที่ยวนำมาแสดง เพื่อตรวจสอบว่าสินค้าตรงกับรายการที่ระบุในแบบ ภพ.10 และมีมูลค่าการซื้อรวมกันครบตามเงื่อนไขที่กำหนด (ไม่น้อยกว่า 2,000 บาทและไม่เกิน 5,000 บาท). 2. การประทับตรา : หลังจากที่สินค้าถูกตรวจสอบแล้วและพบว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด จะมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรทำการประทับตราบนแบบ ภพ.10 เพื่อยืนยันว่าการขอ VAT Refund ได้รับการอนุมัติ และสินค้าได้ถูกตรวจสอบอย่างถูกต้องแล้ว. การประทับตราจะเป็นการยืนยันว่านักท่องเที่ยวได้ทำขั้นตอนการขอ VAT Refund ตามเงื่อนไขที่กำหนดและสามารถนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักรไทยได้โดยถือตัวและใช้ในการประทับตราเพื่ออ้างอิงในภายหลัง เพื่อป้องกันการนำสินค้ากลับเข้าประเทศอีกครั้งเพื่อขอ VAT Refund อีกครั้งหนึ่งในอนาคตโดยไม่มีสิทธิ์จริง ๆ ในการขอรับเงินคืนภาษีนี้อีกครั้งหนึ่งในอนาคตสำหรับสินค้าเดียวกัน การประทับตราจึงเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันการละเมิดในกระบวนการ VAT Refund ของนักท่องเที่ยวแต่ละคนในประเทศไทย.
คำตอบที่ถูกต้องคือ d. การตรวจสอบสินค้าและการประทับตราเมื่อขอ VAT Refund สำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศไทยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้: 1.ตรวจสอบสินค้า: เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะตรวจสอบสินค้าที่นักท่องเที่ยวแสดง เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าตรงตามที่ระบุในแบบ ภพ.10 และมีมูลค่าการซื้อรวมกันไม่น้อยกว่า 2,000 บาทและไม่เกิน 5,000 บาท 2.การประทับตรา: เมื่อสินค้าผ่านการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จะทำการประทับตราบนแบบ ภพ.10 เพื่อยืนยันว่าได้มีการตรวจสอบสินค้าอย่างถูกต้องและอนุมัติการขอ VAT Refund การประทับตรานี้จะช่วยป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวสามารถนำสินค้ากลับเข้าประเทศและขอ VAT Refund ซ้ำอีกในอนาคตสำหรับสินค้าชิ้นเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นการควบคุมและป้องกันการละเมิดในกระบวนการขอคืนภาษีด้วย
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39641
Retail
กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ ILM Living Lifestyle Mall จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทอย่างไร?
null
ใช่ เหตุผล: 1.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นการตอบสนองต่อกระแสโลก: ผู้บริโภคในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะช่วยให้ ILM สามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ 2.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดต้นทุน: การใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และรถไฟฟ้า ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมัน 3.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ ILM ในฐานะบริษัทที่รับผิดชอบต่อสังคม 4.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ: ILM สามารถขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ที่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยังมีอุปสรรคบางประการ เช่น -ต้นทุนการลงทุน: การลงทุนในระบบพลังงานสะอาด และรถไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายสูง -ระยะเวลาคืนทุน: อาจต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะคืนทุนได้ -การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: การดึงดูดลูกค้ากลุ่มรักษ์โลก อาจต้องใช้เวลา และความพยายาม โดยสรุป กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ ILM Living Lifestyle Mall น่าจะมีผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัท ในระยะยาว
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39646
Retail
ทีเอ็มบีธนชาต ได้ใช้ข้อมูลมาวางแผนเรื่องต่าง ๆ มากมาย เพื่ออะไร
ทีเอ็มบีธนชาต ชู 4 กลยุทธ์ มุ่งเป็นธนาคารที่ลูกค้าเลือกใช้ ชื่นชอบจนต้องบอกต่อ เพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินของลูกค้าให้ดีขึ้นรอบด้าน ทั้งกลุ่ม Wealth พนักงานเงินเดือน คนมีรถ คนมีบ้าน TTB ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำความเป็นธนาคารที่สร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง วางแผนกลยุทธ์ The Next REAL Change สำหรับธุรกิจลูกค้าบุคคล ปี 2566 ให้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายการเป็นธนาคารที่ลูกค้าเลือกใช้และชื่นชอบจนต้องบอกต่อ มุ่งดูแลลูกค้าทุกกลุ่มให้มีชีวิตดีขึ้นรอบด้าน พร้อมขยายฐานลูกค้า 4 กลุ่ม คือ กลุ่ม Wealth พนักงานเงินเดือน คนมีรถ และคนมีบ้าน นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของทีเอ็มบีธนชาต ในแง่ธุรกิจและการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาผ่านมา เป็นสิ่งที่ชี้วัดได้อย่างชัดเจนว่า ธนาคารได้เลือกกลยุทธ์และเดินมาถูกทาง ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยในปีที่ผ่านมา มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด มีฐานลูกค้าบุคคล จำนวนถึง 10 ล้านคน สำหรับทิศทางธุรกิจลูกค้าบุคคลในปี 2566 ทีเอ็มบีธนชาต ยังคงเน้นเดินหน้าพันธกิจสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้วยการนำจุดแข็งและความแข็งแกร่งจากการรวมกิจการมาต่อยอดพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมยกระดับประสบการณ์ทางการเงินและพัฒนาประสิทธิภาพของธนาคารผ่านแอป ttb touch เวอร์ชันใหม่ และในส่วนของ Ecosystem Play นั้น ได้เตรียมผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชัน เพื่อยกระดับประสบการณ์และสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้า Wealth พนักงานเงินเดือน คนมีรถ และคนมีบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มหลัก ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นในปีนี้ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการเป็นธนาคารที่ลูกค้าเลือกใช้และชื่นชอบจนต้องบอกต่อ ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 : ขยายฐานลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต ให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกกลุ่ม ด้วยการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมทั้งโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยปีนี้ ธนาคารมีแผนจะส่งมอบชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ด้วยโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ โดยในกลุ่ม Wealth ได้มีการยึดโยงลูกค้าผ่านบัตรเครดิต ttb reserve เพื่อสร้างความแตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการได้ดีขึ้น ให้กับลูกค้า Wealth กว่า 40,000 ราย ที่ถือครองมูลค่าทรัพย์สินรวมกับธนาคารกว่า 650,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าผ่านพันธมิตรใหม่ใน 3 Ecosystem Play ในตลาด ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ ทีเอ็มบีธนชาต มีความเชี่ยวชาญและมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว กลุ่มพนักงานเงินเดือน นำเสนอสินเชื่อสวัสดิการเพื่อช่วยลดภาระหนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า มีส่วนลดพิเศษสำหรับแผนประกันชีวิตและสุขภาพ และมีแคมเปญเคลียร์หนี้พิเศษอย่างต่อเนื่อง กลุ่มคนมีรถ ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ทีทีบีไดรฟ์ ที่ครบวงจร ทั้งรถใหม่ รถมือสอง รถแลกเงิน รวมไปถึงประกันคุ้มครองรถ และโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ พร้อมเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มรถโดนใจ กลุ่มคนมีบ้าน นำเสนอแผน Refinance และสินเชื่อบ้านแลกเงิน การอนุมัติสินเชื่อที่ง่าย และรวดเร็ว รวมถึงโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ จากพันธมิตรของธนาคาร กลยุทธ์ที่ 2: พัฒนาผลิตภัณฑ์จากความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น มุ่งออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิดที่ต้องการให้ลูกค้า ฉลาดออมฉลาดใช้ รอบรู้เรื่องกู้ยืม ลงทุนเพื่ออนาคต มีความคุ้มครองที่อุ่นใจ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ลูกค้าตลอดทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งบัญชีเงินฝากเพื่อออม บัญชีเพื่อใช้ บัญชีเงินฝากให้อัตราดอกเบี้ยสูง บัตรเครดิตที่เหมาะสมในแต่ละ Lifestyle นอกจากนี้ ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เช่น การรวบหนี้เพื่อลดภาระหนี้ให้กับลูกค้า (Debt Consolidation) ด้วยสินเชื่อบ้านแลกเงิน รถแลกเงิน พร้อมมีแผนการลงทุนเพื่ออนาคต จากกองทุนรวมหลากหลายรูปแบบที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของลูกค้า รวมทั้งผลิตภัณฑ์ประกันที่ช่วยวางแผนความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ สร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนในครอบครัว กลยุทธ์ที่ 3 : ยกระดับช่องทางการขายและการให้บริการ มีเป้าหมายใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า เพื่อให้เป็น Top 3 Digital Banking Platform ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยกระดับการบริการและสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้ลูกค้าด้วยดิจิทัล บนฐานลูกค้าที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 5 ล้านคน บนแอป ttb touch โฉมใหม่ ทำให้ธนาคารสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงโปรโมชันต่าง ๆ ให้กับลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 หรือ Segment-of-One และด้วยพฤติกรรมในปัจจุบันของลูกค้าเปลี่ยนไป เห็นได้จากในปีที่ผ่านมา การทำธุรกรรมที่สาขาลดลง 7% แต่การทำธุรกรรมผ่าน แอป ttb touch เพิ่มขึ้น 26% ดังนั้น ในปีนี้จะเพิ่มการให้บริการผ่านทางแอป ttb touch มากขึ้น ได้แก่ การบริหารจัดการภาษี การขายรถ และการบอกสิทธิประโยชน์ลูกค้า พร้อมยกระดับความปลอดภัยให้กับแอปฯ เตือนการตรวจพบแอปฯ ที่ไม่ปลอดภัยให้กับลูกค้า โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้แอป ttb touch เป็น 6.5 ล้านคน หรือ เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ส่วนการให้บริการของสาขานั้น เตรียมพบกับสาขารูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์ผู้คนในยุคดิจิทัล Cashless and Paperless Society รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของสาขา และตู้เอทีเอ็ม เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในทุกช่องทางของธนาคาร กลยุทธ์ที่ 4 : ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูล ปัจจุบัน ทีเอ็มบีธนชาต ได้ใช้ข้อมูลมาวางแผนเรื่องต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชันที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เช่น การใช้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการในแต่ละผลิตภัณฑ์มาวิเคราะห์โอกาสทางการขาย เพื่อนำเสนอได้ตรงตามความต้องการในช่วงเวลาที่เหมาะสม ขณะเดียวกันได้ใช้ข้อมูลเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้ข้อมูลในเรื่องการจัดการบริหารความเสี่ยง เพื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อและติดตามหนี้อย่างมีคุณภาพ “ด้วยศักยภาพและความพร้อมของธนาคาร ผสานกับกลยุทธ์ทั้ง 4 ด้านที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับลูกค้าบุคคล ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการและโซลูชันที่ครบถ้วน ตรงใจลูกค้า จะทำให้ทีเอ็มบีธนชาต เป็นธนาคารที่ลูกค้าเลือกใช้และชื่นชอบจนต้องบอกต่อ และสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง” นายฐากร กล่าวสรุป
ทีเอ็มบีธนชาต ได้ใช้ข้อมูลมาวางแผนเรื่องต่าง ๆ มากมาย: - เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชันที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เช่น การใช้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการในแต่ละผลิตภัณฑ์มาวิเคราะห์โอกาสทางการขาย เพื่อนำเสนอได้ตรงตามความต้องการในช่วงเวลาที่เหมาะสม - ขณะเดียวกันได้ใช้ข้อมูลเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้ข้อมูลในเรื่องการจัดการบริหารความเสี่ยง เพื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อและติดตามหนี้อย่างมีคุณภาพ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39649
Retail
Cloud 11 ฮับครบวงจรสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร?
null
ใช่ Cloud 11 ฮับครบวงจรสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก ในหลายๆ ด้าน ดังนี้ คำถาม: Cloud 11 ฮับครบวงจรสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกอย่างไร? ตอบ: ใช่ Cloud 11 ฮับครบวงจรสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก ในหลายๆ ด้าน ดังนี้ 1. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่: Cloud 11 ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Content Creator กลุ่มคนเหล่านี้ มีกำลังซื้อสูง สนใจสินค้าและบริการที่หลากหลาย เป็นโอกาสให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ 2. สร้างพื้นที่สำหรับธุรกิจค้าปลีกแบบใหม่: Cloud 11 รองรับธุรกิจค้าปลีกแบบใหม่ เช่น Fulfillment Center Cloud Kitchen รูปแบบเหล่านี้ ตอบโจทย์เทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์ ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกเข้าถึงลูกค้าได้สะดวก รวดเร็ว 3. ส่งเสริมการผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์: Cloud 11 ผสมผสานพื้นที่ค้าปลีกแบบออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา ซื้อสินค้าออนไลน์ หรือรับสินค้าที่หน้าร้าน ตัวอย่าง: ลูกค้าสามารถสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน และไปรับอาหารที่ Cloud Kitchen 4. สร้างชุมชนสำหรับธุรกิจค้าปลีก: Cloud 11 สร้างพื้นที่ให้ธุรกิจค้าปลีก เชื่อมต่อ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ พัฒนาธุรกิจร่วมกัน 5. ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้ง: Cloud 11 นำเสนอพื้นที่ บริการ กิจกรรม รูปแบบใหม่ มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าสนใจ ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำ อย่างไรก็ตาม Cloud 11 ยังมีความท้าทายดังนี้: การแข่งขัน: มีห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า รูปแบบการค้าปลีกอื่นๆ แข่งขันกับ Cloud 11 การดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย: Cloud 11 จำเป็นต้องสร้างการรับรู้ ดึงดูดกลุ่ม Content Creator เข้ามาใช้พื้นที่ การปรับตัวต่อเทรนด์: ธุรกิจค้าปลีก จำเป็นต้องปรับตัว พัฒนาธุรกิจ รองรับเทรนด์การค้าปลีกยุคใหม่ ดังนั้น ผู้พัฒนา Cloud 11 จำเป็นต้อง: ศึกษาตลาด วิเคราะห์คู่แข่ง พัฒนากลยุทธ์ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ สรุป: Cloud 11 ฮับครบวงจรสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก เพิ่มโอกาส พื้นที่ ชุมชน ประสบการณ์ แต่ต้องเผชิญความท้าทาย ผู้พัฒนาจำเป็นต้องปรับตัว พัฒนาธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ประสบความสำเร็จ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39653
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ของ CRC" ให้หน่อยค่ะ
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 CRC มองเห็นสัญญาณบวกของภาคค้าปลีก และบริการในทั้ง 3 ประเทศ จากสภาพเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การเปิดประเทศของจีน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว จึงเตรียมลงทุน 28,000 ล้านบาท บนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อสร้าง CRC ให้เป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย พร้อมสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ด และศูนย์การค้า GO! ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 ตามเป้าหมาย Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย The Next Sustainable Growth ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย Accelerate Core Leadership – เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักในทั้ง 3 ประเทศ กลุ่มแฟชั่น : ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มแฟชั่น โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรี่ในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชูรี่ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวทสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขา ในปีนี้ กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในกลุ่มฮาร์ดไลน์ของประเทศไทย ด้วยการเร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้ กลุ่มฟู้ด : สร้างการเติบโตในเวียดนามอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลักดันแบรนด์ Tops ขึ้นเป็น Food Discovery & Destination และ เบอร์ 1 Food Omni Retailer ด้วยการขยายสาขา Tops รวมอีก 15 สาขาในปีนี้ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ของประเทศไทย ด้วยการขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 2024 สร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และเร่งขยาย Proven Format และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป
ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ของ CRC การค้าปลีกและบริการมีสัญญาณบวก มีสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน ส่วนเซ็นทรัล รีเทลมี 4 กลยุทธ์หลักดังนี้ 1. ตอกย้ำความเป็นผู้นำกลุ่มแฟชั่น จากการใช้ประโยชน์ของเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรี่ในยุโรป เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมรีโนเวทสาขาอย่างต่อเนื่อง 2. เสริมความเป็นผู้นำกลุ่มฮาร์ดไลน์ด้วยขยายสาขาของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท 10 สาขา 3. ผลักดันแบรนด์ Tops เป็น Food Discovery & Destination ด้วยการขยาย 15 สาขา 4. ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ด้วยการรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังมีแผนสร้างฐานการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และขยายความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้รวดเร็ว คล่องตัว
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39657
Retail
กลยุทธ์หลักที่เซ็นทรัล รีเทล นำมาใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 มีอะไรบ้าง?
null
เซ็นทรัล รีเทล ได้นำกลยุทธ์หลักมาใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 ดังนี้ 1. การปรับกลยุทธ์ด้านดิจิทัล: - พัฒนาระบบออนไลน์และแอปพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อรองรับการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น - นำเสนอบริการ Omnichannel ที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน - มุ่งเน้นการใช้ Big Data และ AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 2. การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย: - เพิ่มสินค้าประเภท FMCG (Fast Moving Consumer Goods) และสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน - นำเสนอบริการใหม่ๆ เช่น บริการ Click & Collect บริการ Delivery บริการ Personal Shopper - พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ New Normal เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าสำหรับการทำงานที่บ้าน 3. การสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับผู้บริโภค: - พัฒนารูปแบบหน้าร้านใหม่ ๆ ที่เน้นความสะดวกสบายและปลอดภัย - นำเสนอบริการ Entertainment ต่างๆ เพิ่มเติมในห้างสรรพสินค้า - พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและสะดวก ผลลัพธ์: จากกลยุทธ์ต่างๆ ที่เซ็นทรัล รีเทล นำมาใช้ ทำให้บริษัทสามารถปรับตัวและผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 มาได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2564 เซ็นทรัล รีเทล มีรายได้รวม 183,427 ล้านบาท เติบโต 2.4% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7,132 ล้านบาท เติบโต 22.5% จากปีก่อน ตัวอย่าง - เซ็นทรัล รีเทล พัฒนาแอปพลิเคชั่น "Central Retail" ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งสินค้าจากห้างสรรพสินค้าต่างๆ ของเซ็นทรัล รีเทล ได้บนแอปพลิเคชั่นเดียว - เซ็นทรัล รีเทล นำเสนอบริการ "Click & Collect" ที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และไปรับสินค้าที่หน้าร้านได้โดยไม่ต้องเสียค่าจัดส่ง - เซ็นทรัล รีเทล พัฒนา "Central Food Retailtainment" รูปแบบใหม่ของซูเปอร์มาร์เก็ตที่ผสมผสานการช้อปปิ้งสินค้าอาหารและประสบการณ์ความบันเทิงเข้าด้วยกัน บทสรุป: กลยุทธ์หลักที่เซ็นทรัล รีเทล นำมาใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้และพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป กลยุทธ์เหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เซ็นทรัล รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและบริการในประเทศไทย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39658
Retail
แม็คโครมีแผนจะขยายสาขาใหม่ในต่างประเทศหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผลคือ - แม็คโครมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 แม็คโครได้เปิดสาขาใหม่ 33 สาขา แบ่งเป็น 25 สาขาในประเทศไทย และ 8 สาขาในต่างประเทศ - แม็คโครมีแผนเปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศอีก 50 สาขา ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2568) - แม็คโครมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีสาขาใน 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน และอินเดีย - แม็คโครมีกลยุทธ์ในการขยายสาขาในต่างประเทศที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น ประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) - แม็คโครมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายสาขาในต่างประเทศ สรุป: แม็คโครมีแผนจะขยายสาขาใหม่ในต่างประเทศอย่างแน่นอน โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่ 50 สาขา ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม็คโครมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ที่ชัดเจน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่รองรับการขยายสาขาในต่างประเทศ คำอธิบายเพิ่มเติม: แม็คโครเป็นบริษัทค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีสาขามากกว่า 1300 สาขา ใน 6 ประเทศ แม็คโครมีธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจฟูดเซอร์วิส แม็คโครมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่การขยายสาขาใหม่ พัฒนาช่องทางออนไลน์ และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39659
Retail
แบรนด์ Matan แบรนด์ในกลุ่ม Plant-based “Food” หรือเรียกอีกอย่างว่า Plant-based พร้อมทาน (Ready to eat) มีสินค้าเช่นอะไรบ้าง
หลายคนอาจยังไม่รู้จักแบรนด์ Matan (มาทาน) แบรนด์น้องใหม่ของ Meat Avatar เจ้าของ “หมูกรอบจำแลง” ซึ่งเป็นเมนู Plant-based ที่ขายดีที่สุดในไทย สาเหตุที่ Meat Avatar ออกมาแตกแบรนด์ใหม่ ก็เพื่อจะแตกไลน์สินค้า Plant-based ของตัวเองให้หลากหลาย และครอบคลุมตลาดมากขึ้น ไม่ได้มีแค่ Plant-based “Meat” หรือ เนื้อที่ทำจากพืช อย่างเดียว แต่ยังมีแบรนด์ Matan แบรนด์ในกลุ่ม Plant-based “Food” หรือเรียกอีกอย่างว่า Plant-based พร้อมทาน (Ready to eat) เช่น น้ำสลัด, ไอศกรีม, ขนมขบเคี้ยว, ของทานเล่น, ขนมหวาน, คุ้กกี้ และเครื่องปรุงรสอาหาร ซึ่งมีแผนว่าสินค้าแต่ละตัวจะทยอยเปิดตัวเรื่อย ๆ ในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความสะดวก รวดเร็ว อร่อย และได้สุขภาพ พร้อมกับการเป็นทางเลือกใหม่ ๆให้ผู้บริโภค โดยสินค้าตัวแรกที่ประเดิมเปิดตัวในกลุ่ม Plant-based “Food” คือ น้ำสลัด Plant-based 5 รสชาติ ที่วางขายผ่านช่องทางร้านขายปลีกทั่วไป ในราคาขวดละ 129 บาท ได้แก่ - น้ำสลัดซีซ่าร์ (Ceasar) - เทาซันไอแลนด์ (Thousand Island) - ครีมส้มยูซู (Cream Yuzu) - งาญี่ปุ่น (Japanese Sesame) - มายองเนสเบส (Mayonaise) จุดเด่นคือ การใช้ Food Innovation มาทำให้ตัวน้ำสลัดมีเนื้อสัมผัสที่เนียนและแน่น เสมือนน้ำสลัดที่มีไข่ หรือเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม โดยยังคงความเป็น Plant-based 100% แตกต่างจากน้ำสลัด Plant-based ส่วนใหญ่ในตลาด ที่จะเน้นเป็นสลัดน้ำใส ที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มสินค้า Plant-based พร้อมทานแต่ละตัว กลยุทธ์ที่ Matan เลือกใช้จะเป็นการเลือก Co-Branding กับแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว โดยสินค้าน้ำสลัด Plant-based ตัวนี้ เป็นการร่วมมือกับ Salad Factory (สลัดแฟคทอรี่) ของบริษัท กรีนฟู้ด แฟคทอรี่ การร่วมมือกันในครั้งนี้ เกิดจากการที่ทั้งสองมีวิสัยทัศน์ และมองเห็นอนาคตร่วมกัน ว่าในตลาด Future Food สามารถโตไปได้อีกไกล รวมถึงยังเป็นการผสานจุดแข็งที่แต่ละคนมี โดยแบรนด์ Salad Factory เข้มแข็งในตลาดผู้ให้บริการอาหาร (Food Service) ส่วน Matan เข้มแข็งในกลุ่มตลาดค้าปลีก (Retail) การจับมือกันจึงสามารถส่งเสริมตลาดให้โตขึ้น และเป็นการสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น โดยยังมีความมั่นใจในรสชาติที่อร่อยถูกปาก คุณภาพ และมีความสะดวกในการเข้าถึงสุขภาพที่ดีได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค และเชื่อมต่อฐานลูกค้าระหว่างกันอีกด้วย ซึ่งมุมมองที่มีต่อตลาด Plant-based คุณวิภู เลิศสุรพิบูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีท อวตาร จำกัด มองว่า ตลาดนี้เป็นเทรนด์ที่เริ่มมาจากทางอเมริกาและยุโรป และยังโตได้อีกมาก โดยเติบโตปีละ 10% สำหรับตลาด Plant-based ในประเทศไทย เพิ่งเริ่มเติบโตเมื่อปี 2563 โดย Meat Avatar เป็นผู้ริเริ่มนำสินค้า Plant-based เข้าสู่ตลาดผู้บริโภคในประเทศไทย รวมถึงผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาดทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ ก็ให้ความสนใจและเข้ามาช่วยผลักดันให้ตลาดนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการเข้ามาของแบรนด์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และการเติบโตของอาหาร Plant-based อย่างเห็นได้ชัด และตลาดนี้จะกลายเป็นตลาดที่เติบโตถาวร ควบคู่ไปกับตลาดเนื้อสัตว์อย่างแน่นอน ทางด้านคุณปิยะ ดั่นคุ้ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรีนฟู้ด แฟคทอรี่ มองว่า ตลาดอาหารสุขภาพโดยรวม มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นตลาดที่ยั่งยืนในระยะยาว เพราะคนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น ทำให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในประเทศไทยอาหารสุขภาพยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง และเข้าถึงกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น เราจึงพยายามทำให้อาหารสุขภาพมีคุณภาพ เข้าถึงง่ายขึ้นในราคาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มลูกค้ารายใหม่ ๆ จึงร่วมมือกับ Matan แตกไลน์โปรดักส์ใหม่เป็นตัวน้ำสลัด Plant-based “มาทาน x สลัดแฟคทอรี่” การร่วมมือกันครั้งนี้ จุดมุ่งหมายคือต้องการให้ตลาด Plant-based มีทางเลือกมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ด้วยรสชาติ และคุณภาพที่ไม่แตกต่างจากน้ำสลัดสูตรปกติ สิ่งที่เราอยากให้ผู้บริโภคได้รับ คือประสบการณ์ที่ดีกับอาหาร Plant-based เมื่อเปิดใจเริ่มลองรับประทานแล้ว อาหาร Plant-based ก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในมื้ออาหารมื้อปกติมากขึ้นนั่นเอง และในฐานะที่เป็นผู้ผลิต เรายังคงพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของรสชาติ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ของอาหาร เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพ โดยนำเอาข้อมูลอินไซด์จากลูกค้าที่ร้าน และเทรนด์ของตลาดทั้ง Local และ Global มาวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ ทุกวันนี้หลายคนอาจยังมองว่า อาหารจากพืช หรือ Plant-based ยังดูเป็นเรื่องไกลตัวและมีราคาสูง แต่ในอนาคตอันใกล้เมนู Plant-based จะไม่ได้มีแค่เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืชอีกต่อไป เพราะตอนนี้น้ำสลัดมาแล้ว และขนบขบเคี้ยว ไอศกรีม เครื่องปรุงรส และอื่น ๆ ก็กำลังจะตามมาติด ๆ โดยเป็นราคาที่ทุกคนเอื้อมถึงได้ไม่ยากจนเกินไป
แบรนด์ Matan แบรนด์ในกลุ่ม Plant-based “Food” หรือเรียกอีกอย่างว่า Plant-based พร้อมทาน (Ready to eat) เช่น น้ำสลัด, ไอศกรีม, ขนมขบเคี้ยว, ของทานเล่น, ขนมหวาน, คุ้กกี้ และเครื่องปรุงรสอาหาร ซึ่งมีแผนว่าสินค้าแต่ละตัวจะทยอยเปิดตัวเรื่อย ๆ ในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความสะดวก รวดเร็ว อร่อย และได้สุขภาพ พร้อมกับการเป็นทางเลือกใหม่ ๆให้ผู้บริโภค โดยสินค้าตัวแรกที่ประเดิมเปิดตัวในกลุ่ม Plant-based “Food” คือ น้ำสลัด Plant-based 5 รสชาติ ที่วางขายผ่านช่องทางร้านขายปลีกทั่วไป ในราคาขวดละ 129 บาท ได้แก่ - น้ำสลัดซีซ่าร์ (Ceasar) - เทาซันไอแลนด์ (Thousand Island) - ครีมส้มยูซู (Cream Yuzu) - งาญี่ปุ่น (Japanese Sesame) - มายองเนสเบส (Mayonaise) จุดเด่นคือ การใช้ Food Innovation มาทำให้ตัวน้ำสลัดมีเนื้อสัมผัสที่เนียนและแน่น เสมือนน้ำสลัดที่มีไข่ หรือเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม โดยยังคงความเป็น Plant-based 100% แตกต่างจากน้ำสลัด Plant-based ส่วนใหญ่ในตลาด ที่จะเน้นเป็นสลัดน้ำใส ที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มสินค้า Plant-based พร้อมทานแต่ละตัว กลยุทธ์ที่ Matan เลือกใช้จะเป็นการเลือก Co-Branding กับแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว โดยสินค้าน้ำสลัด Plant-based ตัวนี้ เป็นการร่วมมือกับ Salad Factory (สลัดแฟคทอรี่) ของบริษัท กรีนฟู้ด แฟคทอรี่
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39662
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ในการเป็นผู้นำตลาดด้านการลงทุน?
null
กลยุทธ์หลักของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ในการเป็นผู้นำตลาดด้านการลงทุน มีดังนี้: 1. พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ: - ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย นำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย - ครอบคลุมทั้งหุ้นกู้บริษัทเอกชน ในประเทศและต่างประเทศ - หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง - บริการซื้อขายกองทุนรวม - ซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน - เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ 2. เน้นความสะดวกสบาย เข้าถึงง่าย: - เปิดให้ลูกค้าจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน ด้วยจำนวนจองซื้อขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท - ช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่ เริ่มต้นลงทุนได้ง่าย - พัฒนาแอปพลิเคชัน myPreferred - ช่วยให้ลูกค้านัดหมายเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลได้อย่างราบรื่น 3. มุ่งเน้นการให้บริการที่ตรงใจ: - ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย - ใส่ใจในผลประโยชน์ของลูกค้า - มีบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน - เหมาะสำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่ และนักลงทุนที่เป็นลูกค้าอยู่แล้ว 4. นำเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการ: - มองหาช่องทางใหม่ ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ - เพิ่มประสบการณ์ในการซื้อขายตราสารหนี้ - พัฒนาความสามารถในการเปิดบัญชีผู้รับฝากทรัพย์สินตราสารหนี้ด้วย 5. มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: - ปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา - พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ - มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ผลลัพธ์: ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้รับรางวัล Wealth Management Platform of the Year เป็นรางวัลที่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้รับต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ได้รับรางวัล Investment Product Innovation of The Year สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประสานผลิตภัณฑ์ด้าน Wealth เข้ากับดิจิทัล ช่วยให้ลูกค้าลงทุนได้ทุกที่ ทุกเวลา สรุป: ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มุ่งมั่นเป็นผู้นำตลาดด้านการลงทุน - พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย - เน้นความสะดวกสบาย - มุ่งเน้นการให้บริการที่ตรงใจ - นำเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการ - มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้ คือ การได้รับรางวัลการันตี จากเวทีใหญ่ระดับโลกถึง 2 รางวัลด้วยกัน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39677
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก สิ่งสำคัญคือต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
null
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีก: บทพิสูจน์ความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนา ท่ามกลางแสงสีเสียงอันคึกคักของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กำลังยืนอยู่บนเวที แถลงผลประกอบการประจำปี 2565 ของบริษัท ใบหน้าของเธอฉายแววภูมิใจ รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ตัวเลขบนจอแสดงผลบ่งบอกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เซ็นทรัลพัฒนา บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย สามารถฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง แม้จะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 37,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 10,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน ตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา และกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดของนางสาวนภารัตน์ นางสาวนภารัตน์ เริ่มต้นทำงานกับเซ็นทรัลพัฒนา เมื่อหลายปีก่อน เธอผ่านร้อนผ่านหนาว มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบริษัท ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเธอก็ใช้ประสบการณ์และความรู้ความสามารถ นำพาบริษัทให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นางสาวนภารัตน์ ตัดสินใจปรับกลยุทธ์ของบริษัท มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการแบบ "Retail-Led Mixed-use Development" ซึ่งเป็นการผสมผสานศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมเข้าไว้ด้วยกัน กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ช่วยดึงดูดลูกค้าและนักลงทุน นอกจากนี้ นางสาวนภารัตน์ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศูนย์การค้าให้ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ เธอเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ดึงดูดลูกค้าด้วยกิจกรรมและโปรโมชั่นที่หลากหลาย นางสาวนภารัตน์ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้รับรางวัลความยั่งยืนระดับโลกมากมาย ความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนา เป็นบทพิสูจน์ความสามารถของนางสาวนภารัตน์ เธอเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ กล้าตัดสินใจ และมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้า
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39682
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....การช้อปปิ้งออนไลน์ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบราคาและหาโปรโมชันดีๆ ได้ง่ายขึ้น
null
สวยปังรับปีใหม่กับ L'Oreal บน Shopee 3.15 Consumer Day ตัวละคร: นางสาวพิม - สาววัย 25 ปี รักความสวยงาม ใฝ่ฝันอยากมีผิวหน้าที่เปล่งประกาย นางสาวจอย - เพื่อนสนิทของพิม ชอบช้อปปิ้งออนไลน์ เรื่องราว: เช้าวันจันทร์ นางสาวพิม ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูโทรมจากการทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ เธอมองกระจกเงาด้วยความกังวล ใจอยากมีผิวหน้าที่เปล่งประกาย สดใสเหมือนสมัยก่อน "จอย แกมีอะไรแนะนำบ้างไหม หน้าฉันดูโทรมมากเลย" พิม พูดกับจอย เพื่อนสนิทของเธอ "แกลองใช้พวกสกินแคร์ดูสิ เดี๋ยวนี้มีโปรโมชั่นเยอะแยะ" จอย แนะนำ "ใช่ แกพูดถูกนะ เดี๋ยวฉันไปลองดูใน Shopee ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง" พิม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแอป Shopee ทันใดนั้น เธอก็เจอแบนเนอร์โฆษณาแคมเปญ Shopee 3.15 Consumer Day ของ L'Oreal แบรนด์เครื่องสำอางค์ชั้นนำที่เธอชื่นชอบ "ว้าว! มีโปรโมชันลดราคาเยอะแยะเลย" พิม ร้องด้วยความดีใจ เธอรีบกดเข้าไปดูรายละเอียด พบว่า L'Oreal มีโปรโมชันลดราคาสูงสุด 50% แถมยังมีโค้ดส่วนลดและ Shopee Coins Cashback อีกมากมาย "จอย แกลองดูสิ น่าสนใจมากเลย" พิม พูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้จอยดู "โอ้โห! น่าซื้อมาก แกลองสั่งดูสิ เผื่อได้ของดีราคาถูก" จอย พูดด้วยความตื่นเต้น พิม ตัดสินใจสั่งซื้อ L'Oreal Paris Revitalift Anti-Aging Cream สูตรกลางวันและกลางคืน เธอใช้โค้ดส่วนลดและ Shopee Coins Cashback ทำให้ราคาถูกลงไปเยอะ "ดีใจจัง สั่งของแล้ว รอรับของเลย!" พิม พูดด้วยรอยยิ้ม วันอังคาร: ของมาส่งแล้ว! พิม รีบแกะกล่องพัสดุอย่างตื่นเต้น เธอเปิดครีม L'Oreal Paris Revitalift Anti-Aging Cream ทาครีมบนใบหน้าอย่างเบามือ "รู้สึกชุ่มชื้นดีนะ เดี๋ยวต้องลองใช้ดูว่าจะดีจริงหรือเปล่า" พิม พูดกับตัวเอง วันศุกร์: หลังจากใช้ L'Oreal Paris Revitalift Anti-Aging Cream มา 1 อาทิตย์ พิม รู้สึกว่าผิวหน้าของเธอเริ่มดูดีขึ้น รอยหมองคล้ำและริ้วรอยดูจางลง "ดีใจจัง ที่ตัดสินใจซื้อครีมตัวนี้มาใช้" พิม พูดด้วยความพอใจ
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39696
Retail
เซ็นทรัล รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก โดยให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายของผู้คนในโลกแบบไฮบริด ทั้งลูกค้า และพนักงานในองค์กร โดยมีแนวทางในการดำเนินงานอย่างไรบ้าง
อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ที่ท้าทาย และส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงมากมาย แต่เทียบไม่ได้เลยกับวิกฤติโควิดครั้งนี้ ที่ทำให้โลกต้องหยุดชะงักและพลิกผัน ไม่ว่าประเทศไหน อุตสาหกรรม ธุรกิจ หรือบุคคลใด ก็ย่อมต้องเจออุปสรรคทั้งสิ้น ประเทศไทยเองต้องเผชิญกับหลุมดำ สูญเสียรายได้กว่า 2.6 ล้านล้านบาท หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.4 ล้านคนในสิ้นปีนี้ นี่เป็นเพียงบาดแผลส่วนหนึ่งของวิกฤติสุขภาพ ที่ทุกภาคส่วนต้องจัดการต่อไปอีกหลายปี วิกฤติโควิด ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน 2 มิติ มิติแรกคือ วิกฤติด้านสาธารณสุข ที่ส่งผลแบบโดมิโนเอฟเฟคต์ไปยังภาคเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม มิติที่สองคือ ตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วเป็น 10 เท่าจากเดิม ช่องว่างระหว่างผู้นำกับผู้ตามกว้างขึ้น การปรับตัวให้ทันเวลาจะเป็นตัวชี้วัดว่า ใครจะอยู่หรือใครจะไป ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงแบบ K-Curve นี้ นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เผยถึงวิสัยทัศน์ของ เซ็นทรัล รีเทล ในงานสัมมนาแบบ Virtual “Thailand Focus 2021: Thriving in the Next Normal” ซึ่งจัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า “เราอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราต้องตอบสนอง ปรับตัว ยืดหยุ่นอย่างว่องไว เพื่อที่จะวิ่งตามลูกค้าให้ทัน เพราะตอนนี้ลูกค้ามองหาสิ่งที่ ‘มากกว่า’ จากการลงทุนที่ ‘น้อยกว่า’ พวกเขามองหามูลค่าที่มากขึ้น ตัวเลือกที่มากขึ้น และความสะดวกสบายที่มากขึ้น ภายใต้ความเรียบง่าย อุปสรรค และข้อจำกัดที่น้อยลง เราต้องพร้อมที่จะนำเสนอรูปแบบธุรกิจ ที่จะตอบโจทย์ความไม่แน่นอนเหล่านั้น” ด้วยวิสัยทัศน์ และความเป็นผู้นำที่พร้อมปรับตัวอยู่ตลอด เซ็นทรัล รีเทล ได้ริเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชนแนล มาตั้งแต่ปี 2560 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Central, New Retail” ที่กลายเป็นโรดแม็ปในการดำเนินธุรกิจ และทำให้ เซ็นทรัล รีเทล ก้าวสู่การเป็นบริษัทค้าปลีกแบบออมนิแชนแนล ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเชื่อมประสบการณ์การชอปปิงไร้รอยต่อ ระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ สร้างประสบการณ์แบบ Personalization โดยนำเสนอรูปแบบการชอปปิงแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล และให้บริการที่สะดวกสบาย ตรงความต้องการ และรวดเร็วแก่ลูกค้า เช่น บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง, บริการส่งสินค้าเร็วภายใน 3 ชั่วโมง พร้อม ๆ กับสร้างความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล, การขนส่ง และความรวดเร็ว รวมถึงการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์, โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล เพื่อให้บริการเข้าถึงลูกค้า, ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ได้มากขึ้น และการจับมือกับพาร์ตเนอร์ควิกคอมเมิร์ซอย่าง แกร็บ, ฟู๊ดแพนด้า และไลน์ฯ ภาคธุรกิจจะต้องปรับตัวเข้าสู่ยุค Next Normal โดยโฟกัสที่เทรนด์ด้านสุขภาพ และประสบการณ์เป็นหลัก ทั้งนี้ยังต้องยึดหลักการทำธุรกิจ บนความเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องชุมชนและสิ่งแวดล้อม ให้คุณค่ากับจริยธรรมขององค์กร และคาดหวังให้แบรนด์เป็นผู้นำในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดี ดังนั้นแบรนด์ จะต้องวางเป้าหมายให้ชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงความยึดมั่นต่อเป้าหมาย โดยไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด แบรนด์ก็ยังต้องเน้นการให้คุณค่าและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึก อย่างในสถานการณ์ขณะนี้ ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในเรื่องการจับจ่ายมากขึ้น แต่ก็ให้ความสำคัญต่อสุขภาพ ผู้บริโภคยินดีใช้จ่ายในด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยมากขึ้น พร้อมทั้งมองหาประสบการณ์ ที่จะช่วยเชื่อมต่อโลกเสมือนจริงกับโลกที่เป็นอยู่ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เซ็นทรัล รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก โดยให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายของผู้คนในโลกแบบไฮบริด ทั้งลูกค้า และพนักงานในองค์กร โดยเรามีแนวทางในการดำเนินงาน ดังนี้ -ต้องเป็นองค์กรที่รับฟัง เข้าอกเข้าใจ และมีการสื่อสารที่ชัดเจนกับกลุ่มคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย -ต้องปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยโฟกัสไปที่จุดแข็ง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับองค์กร เช่น ด้านความเร็ว-กล้าตัดสินใจ เพื่อตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน ด้านสินทรัพย์-พยายามทำตัวให้เบา เลือกเก็บสิ่งที่มีค่า และกระจายความเสี่ยงออกไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในด้านการจ้างงานภายใน/ภายนอก และการมองหาพาร์ตเนอร์ รวมถึงการปรับทีมทำงาน-ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้เร็ว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก -ต้องปรับเป้าหมายธุรกิจ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ยอดขายหรือกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า และประสบการณ์ที่สร้างเสริมทักษะให้กับพนักงาน เพื่อเพิ่มคุณค่า และสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว “ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปสู่สิ่งที่เคยเป็นได้ ต้องมองไปข้างหน้า และปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับโควิดไปอีกนาน การใช้ชีวิตแบบ 10X DNA จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม และกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่มากขึ้น และยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย D-Daring (กล้าที่จะลอง), N-Never Stop (ไม่หยุดยั้ง) และ A-Agile (ยืดหยุ่น ปรับตัวเร็ว) เราต้องกล้าคิดการใหญ่ แต่ทำให้ใหญ่กว่าที่คิด ต้องยอมรับข้อผิดพลาดและพร้อมแก้ไขทันที กล้าที่จะล้มเพื่อเรียนรู้และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม เราต้องไม่หยุดพัฒนา และไม่เดินหน้าเพียงคนเดียว การจับมือก้าวไปพร้อมกัน ทำให้เราไปได้ไกลกว่า และมั่นคงกว่า และนี่คือเวลาของการเริ่มต้นใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในยุคที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป (Never-normal World)” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย
เซ็นทรัล รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก โดยให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายของผู้คนในโลกแบบไฮบริด ทั้งลูกค้า และพนักงานในองค์กร โดยมีแนวทางในการดำเนินงาน ดังนี้ - ต้องเป็นองค์กรที่รับฟัง เข้าอกเข้าใจ และมีการสื่อสารที่ชัดเจนกับกลุ่มคนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย - ต้องปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยโฟกัสไปที่จุดแข็ง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับองค์กร เช่น ด้านความเร็ว-กล้าตัดสินใจ เพื่อตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน ด้านสินทรัพย์-พยายามทำตัวให้เบา เลือกเก็บสิ่งที่มีค่า และกระจายความเสี่ยงออกไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในด้านการจ้างงานภายใน/ภายนอก และการมองหาพาร์ตเนอร์ รวมถึงการปรับทีมทำงาน-ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้เร็ว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก - ต้องปรับเป้าหมายธุรกิจ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ยอดขายหรือกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า และประสบการณ์ที่สร้างเสริมทักษะให้กับพนักงาน เพื่อเพิ่มคุณค่า และสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39699
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....แรงบันดาลใจจากสินค้า: สินค้าบางชิ้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งของ แต่สามารถมอบแรงบันดาลใจ กำลังใจ และสร้างความฝันให้กับผู้คนได้
null
เรื่อง: มนต์เสน่ห์จากฮอกวอตส์ บนเรือนเวลาแห่ง Fossil ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร เด็กหญิงมินตากับครอบครัว กำลังเดินผ่านร้าน Fossil บนชั้นสอง สายตาของมินตาระยิบระยับเมื่อเห็นป้ายไฟสีทองอร่ามประดับด้วยตราสัญลักษณ์ฮอกวอตส์ โรงเรียนเวทมนตร์ที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด... "คุณแม่ มินตาอยากได้นาฬิกา!" มินตาอ้อนคุณแม่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น คุณแม่ยิ้มอย่างเอ็นดู มองไปที่คอลเลคชั่นพิเศษ Harry Potter x Fossil ที่เรียงรายอยู่บนชั้นวาง นาฬิกาทุกเรือนล้วนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ ดั่งมีมนต์สะกดให้ผู้พบเห็นอยากเป็นเจ้าของ "มินตาชอบเรือนไหนเอ่ย?" คุณแม่ถาม มินตาลูบไล้ไปบนนาฬิกาแต่ละเรือนอย่างเบามือ... สายตาของเธอหยุดนิ่งอยู่ที่นาฬิกาเรือนสีทองอร่าม ประดับตราสัญลักษณ์กริฟฟินดอร์ บ้านที่เธอใฝ่ฝันอยากเข้า "มินตาชอบเรือนนี้ค่ะ คุณแม่" มินตาชี้ไปที่นาฬิกาเรือนสีทอง.... "โอ้โห สวยมากเลยล่ะลูก" คุณแม่พยักหน้า "แต่มันราคาค่อนข้างสูงนะ มินตาแน่ใจเหรอว่าอยากได้เรือนนี้จริงๆ?" มินตาพยักหน้าอย่างหนักแน่น "มินตาสัญญาจะเก็บเงินค่าขนมเองค่ะ มินตาอยากมีนาฬิกาเรือนนี้ไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า มินตาสามารถทำตามความฝันได้เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์" คุณแม่เห็นแววความมุ่งมั่นในดวงตาของลูกสาว จึงตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนนั้นให้ มินตารู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก เธอสวมใส่นาฬิกาเรือนใหม่ด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกเวทมนตร์ที่เธอใฝ่ฝัน ทุกครั้งที่มินตามองดูนาฬิกา เรือนเวลาแห่ง Fossil ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบอกเวลา แต่มันคือเครื่องหมายแห่งความฝัน ความมุ่งมั่น และแรงบันดาลใจ.... นาฬิกาเรือนนี้สอนให้มินตารู้ว่า มนต์เสน่ห์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ในโลกเวทมนตร์ แต่หากเธอมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และพยายาม เธอก็สามารถคว้าฝันอันเป็นจริงได้เช่นกัน....
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39704
Retail
OR ควรมีกลยุทธ์อย่างไรในการขยายธุรกิจ Non-Oil ในต่างประเทศ
null
OR มีโอกาสขยายธุรกิจ Non-Oil ในต่างประเทศได้หลายวิธี ดังนี้ 1. เข้าใจตลาดท้องถิ่น: -ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค วัฒนธรรม และความต้องการของตลาดท้องถิ่น -ปรับแต่งสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น -พันธมิตรกับบริษัทท้องถิ่นที่มีความรู้และประสบการณ์ในตลาด 2. เน้นจุดแข็งของ OR: -นำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง -เน้นความสะดวก รวดเร็ว และประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า -สร้างแบรนด์ OR ให้เป็นที่รู้จักและจดจำในต่างประเทศ 3. เลือกช่องทางจำหน่ายที่เหมาะสม: -เลือกทำเลที่มีศักยภาพ -พิจารณารูปแบบธุรกิจที่เหมาะสม เช่น แฟรนไชส์ หรือ การร่วมทุน -พัฒนาช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้า 4. ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี: -พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ -นำเสนอระบบชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย -ใช้ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค 5. สร้างกลยุทธ์ราคาที่ดึงดูดใจ: -เสนอราคาที่แข่งขันได้ -พิจารณากลยุทธ์การกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า -เสนอโปรโมชั่นและส่วนลด ตัวอย่างกลยุทธ์เพิ่มเติม: -สนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่น -ร่วมมือกับ Influencer ในท้องถิ่น -พัฒนาเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะกับรสนิยมท้องถิ่น สรุป: OR มีศักยภาพในการขยายธุรกิจ Non-Oil ในต่างประเทศ แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เข้าใจตลาดท้องถิ่น เน้นจุดแข็งของ OR เลือกช่องทางจำหน่ายที่เหมาะสม ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และสร้างกลยุทธ์ราคาที่ดึงดูดใจ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39719
Retail
จากแผนการขยายธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ในครึ่งปีหลัง 2565 กลยุทธ์ใดที่น่าสนใจและสามารถสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจมากที่สุด
null
จากแผนการขยายธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ในครึ่งปีหลัง 2565 กลยุทธ์ที่น่าสนใจและสามารถสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจมากที่สุด มีดังนี้: 1. การขยายธุรกิจในกลุ่มฟู้ด: การเปิดตัว Tops CLUB โมเดลธุรกิจใหม่ อาณาจักรที่รวบรวมสินค้านำเข้า และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ - แบรนด์ดังจากทั่วโลก ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง โมเดลนี้น่าสนใจเพราะสามารถ: ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง เพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าในกลุ่มสินค้าพรีเมียม สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ - การขยายโมเดลท็อปส์ สแตนด์อโลน เพิ่มเติม โมเดลนี้ประสบความสำเร็จ เพราะ: เข้าถึงลูกค้าในชุมชนได้ง่าย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า - การขยายสาขาในประเทศเวียดนาม ตลาดค้าปลีกในเวียดนามมีศักยภาพสูง เพราะ: ประชากรมีจำนวนมาก เศรษฐกิจกำลังเติบโต ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น 2. การพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนล: - การพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนลให้สมบูรณ์แบบ จะช่วย: เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า - การนำเสนอสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ จะช่วย: ขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า ลดต้นทุนการดำเนินงาน 3. การขยายธุรกิจในต่างประเทศ: - การขยายธุรกิจในเวียดนาม ตลาดค้าปลีกในเวียดนามมีศักยภาพสูง เพราะ: ประชากรมีจำนวนมาก เศรษฐกิจกำลังเติบโต ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น - การขยายธุรกิจในอิตาลี ตลาดค้าปลีกในอิตาลีมีขนาดใหญ่ เพราะ: มีจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง มีแบรนด์สินค้าแฟชั่นชั้นนำ 4. การร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ: การร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ จะช่วย: ขยายฐานลูกค้า เข้าถึงตลาดใหม่ พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ 5. การปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์: การปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จะช่วย: เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสในการเติบโต สรุป: กลยุทธ์ที่น่าสนใจและสามารถสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล มากที่สุด คือ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจในกลุ่มฟู้ด พัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนล ขยายธุรกิจในต่างประเทศ ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ และปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถ: - ขยายฐานลูกค้า - เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า - พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ - เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน - ลดต้นทุน - เพิ่มโอกาสในการเติบโต
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39721
Retail
สรุปบทความเรื่อง ห้าง AEON ในญี่ปุ่น ประกาศใช้พลังงานสะอาด 100% ภายในปี ค.ศ. 2040 ให้หน่อย
ห้าง AEON Mall ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศว่าจะใช้พลังงานสะอาด 100% ในห้างกว่า 160 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี ค.ศ. 2040 ซึ่งจะใช้วิธีการซื้อพลังงานโซลาร์เซลล์ รวมถึงการผลิตพลังงานเอง ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของ AEON Mall คิดเป็น 0.2% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของญี่ปุ่น ที่ใช้ไฟฟ้าถึง 2 พันล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในแต่ละปี โดยทาง AEON Mall ได้ลงนามในโครงการ RE100 ระดับโลก ในความมุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และพยายามที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) จากธุรกิจของตน ซึ่งก็ไม่แน่ว่า การใช้พลังงานสะอาดของ AEON Mall อาจจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ที่บริษัทประกอบกิจการอยู่ด้วย การออกมาเริ่มขยับตัวเพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจอื่น ๆ หันมาเร่งฝีเท้าในการสร้างเสริมการใช้พลังงานงานสะอาด และขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ตามมาอีก เพราะหากมาดูผู้เล่นในตลาดค้าปลีกในญี่ปุ่น ก็เห็นว่าต่างหันมาสนใจเรื่องพลังงานหมุนเวียนแล้วเช่นกัน อย่างบริษัท Seven & i Holdings ที่เป็นเจ้าของเชนร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่น ก็ได้เริ่มจัดหาพลังงานโซลาร์เซลล์จากบริษัท Nippon Telegraph and Telephone ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และทางร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง Lawson จะเริ่มใช้พลังงานสะอาดที่ผลิตจากบริษัท Mitsubishi ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Lawson เอง ในปี 2022 นี้ด้วย
สรุปได้ว่า ห้าง AEON Mall ประเทศญี่ปุ่น ระกาศว่าจะใช้พลังงานสะอาด 100% ในห้างกว่า 160 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี ค.ศ. 2040 โดย AEON Mall ได้ลงนามในโครงการ RE100 ระดับโลก ในความมุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และพยายามที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ เริ่มจากการใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ ก็ไม่แน่ว่า การใช้พลังงานสะอาดของ AEON Mall อาจจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ที่บริษัทประกอบกิจการอยู่ด้วย การออกมาเริ่มขยับตัวเพื่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจอื่น ๆ หันมาเร่งฝีเท้าในการสร้างเสริมการใช้พลังงานงานสะอาด และขจัดคาร์บอนไดออกไซด์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39725
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักที่คุณพลินี คงชาญศิริ น่าจะใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลของโครงการวัน แบงค็อก?
null
กลยุทธ์หลักที่คุณพลินี น่าจะใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลของโครงการวัน แบงค็อก มีดังนี้ 1. การคัดสรรผู้เช่าอย่างพิถีพิถัน: คุณพลินี มีประสบการณ์ในการคัดสรรผู้เช่าที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศมาแล้วมากมาย เชื่อว่าเธอจะใช้กลยุทธ์นี้กับโครงการวัน แบงค็อก เช่นกัน โดยเธอจะเน้นคัดสรรผู้เช่าที่ - มีสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการวัน แบงค็อก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ใจกลางเมือง - มีเอกลักษณ์และความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร - มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก - มีศักยภาพในการเติบโต 2. การสร้างประสบการณ์เหนือระดับ: คุณพลินี มุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับลูกค้าเสมอ เชื่อว่าเธอจะนำแนวคิดนี้มาใช้กับโครงการวัน แบงค็อก เช่นกัน โดยเธออาจใช้กลยุทธ์ - ผสมผสานการช้อปปิ้งเข้ากับไลฟ์สไตล์และความบันเทิง - นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ - จัดกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ - ออกแบบพื้นที่ให้สวยงาม สะดวกสบาย 3. การตอบโจทย์โลกรีเทลแห่งอนาคต: คุณพลินี เข้าใจถึงเทรนด์ของธุรกิจรีเทลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เชื่อว่าเธอจะนำความรู้และประสบการณ์มาใช้กับโครงการวัน แบงค็อก เพื่อตอบโจทย์โลกรีเทลแห่งอนาคต เช่น - มุ่งเน้นไปที่การช้อปปิ้งออนไลน์ - นำเสนอประสบการณ์แบบ Omnichannel - เน้นความยั่งยืน - ใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้า 4. การสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจ: คุณพลินี มีทักษะในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจเป็นอย่างดี เชื่อว่าเธอจะใช้กลยุทธ์นี้กับโครงการวัน แบงค็อก เช่นกัน โดยเธอจะ - ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลาย - พัฒนาธุรกิจร่วมกัน - แบ่งปันข้อมูลและทรัพยากร - ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย 5. การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ: คุณพลินี มีทักษะในการบริหารจัดการธุรกิจเป็นอย่างดี เชื่อว่าเธอจะใช้กลยุทธ์นี้กับโครงการวัน แบงค็อก เช่นกัน โดยเธอจะ - วางแผนกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจน - บริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ - ควบคุมต้นทุน - พัฒนาระบบการทำงาน - ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ เชื่อว่าคุณพลินี จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลของโครงการวัน แบงค็อก ให้ ประสบความสำเร็จ ก้าวสู่การเป็นหมุดหมายปลายทางระดับเวิร์ดคลาสของนักช้อปได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจรีเทลของโครงการวัน แบงค็อก ประสบความสำเร็จ เช่น - ทำเลที่ตั้ง ใจกลางกรุงเทพฯ - การออกแบบ ที่สวยงาม ทันสมัย - สิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน - การคมนาคม ที่สะดวก โดยสรุป เชื่อว่าโครงการวัน แบงค็อก จะกลายเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่สามารถดึงดูดนักช้อปทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39736
Retail
จงสรุปบทความ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เผยผลประกอบการปี 62 แข็งแกร่ง โชว์กำไรสุทธิเติบโต 109% จากปีก่อน
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า "ปี 2562 ที่ผ่านมาเป็นปีที่สำคัญของเรา นอกจากความสำเร็จจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผลการดำเนินงานของทุกกลุ่มธุรกิจก็มีอัตรา การเติบโตที่แข็งแกร่งเป็นที่น่าพอใจ มีกำไรสุทธิ 1,040 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 109% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน(1) เติบโต 8.4% ซึ่งกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน(1) แบ่งสัดส่วนเป็นโรงแรมและการบริการ (Hospitality) 45% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้า (Retail) 22% และธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office) 33% รายได้จากพอร์ทโฟลิโอสินทรัพย์ดำเนินงาน(1) เติบโต 3.4% ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ของบริษัทในปี 2562 ที่มุ่งเน้นการเติบโต การปรับปรุงตำแหน่งทางธุรกิจของสินทรัพย์ที่มีอยู่ การพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ด้านต่าง ๆ และการปรับกลยุทธ์พอร์ทการลงทุนเพื่อเน้นผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมาย”
นางวัลลภา ไตรโสรัส, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทแอสเสท เวิร์ด คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่าปี 2562 เป็นปีสำคัญที่สำเร็จด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 1,040 ล้านบาท เติบโตขึ้น 109% โดยมีการเพิ่มกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน(1) 8.4% แบ่งเป็นโรงแรมและการบริการ (45%) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้า (22%) และธุรกิจอาคารสำนักงาน (33%) รายได้จากพอร์ทโฟลิโอสินทรัพย์ดำเนินงาน(1) เติบโต 3.4% ด้วยกลยุทธ์การปรับปรุงตำแหน่งทางธุรกิจ การพัฒนาประสิทธิภาพ และการปรับกลยุทธ์พอร์ทการลงทุนให้เน้นผลตอบแทนตามเป้าหมาย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39741
Retail
โครงการเซ็นทรัล จันทบุรี ได้รับการออกแบบในรูปแบบใด
A. End-to-End Solutions B. Imagining better futures for all C. Semi-Outdoor D. Place Maker
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เพราะโครงการเซ็นทรัล จันทบุรี ปักหมุดเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเมืองด้วยการเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด ใหญ่และครบครันที่สุด ประกอบด้วยศูนย์การค้า, คอนเวนชั่นฮอลล์, คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย และโรงแรม โดยโครงการได้รับการออกแบบในรูปแบบ Semi-Outdoor ใกล้ชิดธรรมชาติ มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ถึง 4 ไร่ เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะให้กับเมือง ประกอบไปด้วย Running Track, จุดจอดจักรยาน, เครื่องออกกำลังกาย, Social Park, Family Playground, Pet Playground, Café และยังเป็นโครงการแรกในต่างจังหวัดที่ทำ Sport Destination ด้วยพื้นที่ Multi-Purpose กว่า 4,000 ตร.ม. นอกจากนี้เราพยายามดึงเอา Local Essence ของจังหวัดมาผสานเข้ากับการออกแบบตกแต่งทั้งภายในและภายนอกโครงการ อาทิ Facade บริเวณหน้าศูนย์การค้าที่สะท้อนถึงเสื่อจันทบูร รวมถึงการออกแบบตกแต่งภายในที่สะท้อนเอกลักษณ์ของจันทบุรี อาทิ ลานหินสีชมพู และผลมะปี๊ด รวมถึงพื้นที่บอกเล่าเรื่องราว Local Heroes ในด้านต่างๆ ทั้งการท่องเที่ยวชุมชน, ผลิตภัณฑ์และของดีประจำจังหวัด เป็นต้น ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all บริษัทฯ ไม่หยุดที่จะพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และพร้อมปักหมุดเปิด โครงการเซ็นทรัล จันทบุรี อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 พ.ค. 65 สะท้อนถึง Commitment ของเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยบทบาทการเป็น ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกแห่งที่โครงการเราไปตั้งอยู่ ทั้งนี้ เซ็นทรัล จันทบุรีเป็นมากกว่าโครงการอสังหาฯ แต่เทียบเท่าการเปิดเมือง สร้างความเติบโตในทุกๆ ด้าน นำโดยกลยุทธ์การ SYNERGY หรือผนึกกำลังในทุกส่วน ทั้งภายในธุรกิจของเซ็นทรัลพัฒนาเองที่เป็น Retail-Led คือ มีศูนย์การค้าเป็นแกนหลัก, การผนึกกำลังกับคู่ค้าผู้เช่าแบบ End-to-End Solutions ซึ่งในครั้งนี้แบรนด์ชั้นนำให้ความเชื่อมั่นมาเปิดหลากหลายแบรนด์ครบทุก category ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวจันทบุรี เหมือนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในการขยายโครงการใหม่ๆ รวมไปถึงการผนึกกำลังกับชุมชนของจันทบุรี เพื่อส่งเสริมศักยภาพและความโดดเด่นในทุกด้าน ซึ่งจะช่วยผลักดันและยกระดับเมืองรอง รองรับภาคเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศที่กำลังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39750
Retail
กลยุทธ์การขยาย Food Destination ของเซ็นทรัล พระราม 2 จะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มยอดขายให้กับศูนย์การค้าได้อย่างไรบ้าง
null
กลยุทธ์การขยาย Food Destination ของเซ็นทรัล พระราม 2 น่าจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มยอดขายให้กับศูนย์การค้าได้ ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ ดังนี้: 1. ความหลากหลายของร้านอาหาร: การรวมร้านอาหารหลากหลายประเภท ตั้งแต่มิชลินสตาร์ สตรีทฟู้ด ร้านดังระดับโลก ร้านกาแฟ ไปจนถึงร้านอาหารสำหรับครอบครัว จะช่วยดึงดูดลูกค้าที่มีความต้องการ และรสนิยมที่หลากหลาย โซน Tree Chamber เป็นการออกแบบพื้นที่แบบ Shopping Boulevard ที่รวบรวมร้านดังระดับโลก และคาเฟ่ชื่อดัง จะช่วยสร้างจุดดึงดูดใหม่ให้กับศูนย์การค้า ดึงดูดลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน และนักท่องเที่ยว 2. การผสมผสานกับ BU Synergy: การผนึกกำลังกับ BU Synergy ของเซ็นทรัลกรุ๊ป อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล Central Food Hall Tops CLUB SUPERSPORTS Power Buy x B2S OfficeMate และ Auto1 จะช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ครบวงจร ลูกค้าสามารถช้อปปิ้ง ทานอาหาร และใช้บริการต่างๆ ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเดินทางไปหลายแห่ง การมีฟิตเนส เฟิรส์ท ที่ใหญ่ที่สุดในย่านพระราม 2 จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มรักสุขภาพ และครอบครัว 3.การออกแบบที่เน้นความสะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: การออกแบบ Mall Ambience และ Design ที่เน้นความโปร่งโล่ง สบายตา มีมุมถ่ายรูปสวยๆ จะช่วยดึงดูดลูกค้า และสร้างบรรยากาศการช้อปปิ้งที่ผ่อนคลาย การเป็นศูนย์การค้าเพียงแห่งเดียวในย่านพระราม 2 ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่สีเขียว ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เซ็นทรัล พระราม 2 จะต้องมีกลยุทธ์เพิ่มเติม เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มยอดขาย ดังนี้: การทำการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย: เซ็นทรัล พระราม 2 ควรศึกษาข้อมูลลูกค้า และทำการตลาดที่ตรงกับความต้องการ และรสนิยมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย: การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น โปรโมชั่น ส่วนลด คูปอง เกมชิงรางวัล จะช่วยดึงดูดลูกค้า และกระตุ้นยอดขาย การบริการลูกค้า: เซ็นทรัล พระราม 2 ควรให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า พนักงานควรให้บริการด้วยความรวดเร็ว สุภาพ และเป็นมิตร โดยสรุป กลยุทธ์การขยาย Food Destination ของเซ็นทรัล พระราม 2 น่าจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มยอดขายให้กับศูนย์การค้าได้ แต่เซ็นทรัล พระราม 2 จะต้องมีกลยุทธ์เพิ่มเติม เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มยอดขาย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39758
Retail
จงสรุปบทความ เซ็นทรัล รีเทล ประกาศความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อยอดความสำเร็จในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกไทยระดับโลก
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) กล่าวว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีซึ่งเปิดทางให้ CRC เดินหน้าสู่ศักราชใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดของเรา โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหารของ CRC ซึ่งมีส่วนผสมที่ลงตัวจากทั้งครอบครัวจิราธิวัฒน์และทีมผู้บริหารมืออาชีพที่มากด้วยประสบการณ์ได้ร่วมกันวางโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัลใหม่ (New Central New Retail) จนมีความพร้อมอย่างถึงขีดสุดในการต้อนรับนักลงทุนให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อต่อยอดความสำเร็จบนเวทีระดับโลกไปกับเรา ผ่านรูปแบบธุรกิจค้าปลีกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ CRC ที่รวบรวมแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำหลากหลายประเภท (Multi-category) ใน 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ด หลากหลายรูปแบบและช่องทาง (Multi-format) ที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ (Multi-market) โดยมีแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย รวมไปถึงบิ๊กซี/GO! เหงียนคิม ลานชีมาร์ท ในประเทศเวียดนาม และรีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) กล่าวว่า ตลอด3ปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหารของ CRC ร่วมกันวางโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกในกลุ่มเซ็นทรัลใหม่ (New Central New Retail) โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะของ CRC ที่รวบรวมแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำหลายใน 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ด หลากหลายรูปแบบและช่องทาง (Multi-format) ที่ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ (Multi-market)
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39765
Retail
โปรแกรม Brother-ship Concept ของเซ็นทรัลพัฒนา และ J.Front Retailing จะช่วยส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกในไทยและญี่ปุ่นอย่างไร?
null
ใช่ โปรแกรม Brother-ship Concept จะช่วยส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกในไทยและญี่ปุ่นในหลายแง่มุม ดังนี้ 1. ขยายฐานลูกค้า: - ลูกค้า The 1 Exclusive ของไทย จะมีโอกาสเข้าถึงสินค้าและบริการใหม่ ๆ ในญี่ปุ่น ผ่านห้างสรรพสินค้า Daimaru Matsuzakaya - ลูกค้า VIP Gaisyo ของญี่ปุ่น จะมีโอกาสเข้าถึงสินค้าและบริการใหม่ ๆ ในไทย ผ่านศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนา - การแลกเปลี่ยนสิทธิพิเศษ จะดึงดูดลูกค้า VIP ของทั้งสองฝ่าย ให้เดินทางไปใช้บริการในประเทศของกันและกัน 2. เพิ่มยอดขาย: ลูกค้า VIP มักมีกำลังซื้อสูง การดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ เข้ามาใช้บริการ จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โปรแกรม Brother-ship Concept เสนอส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น 3. เสริมสร้างภาพลักษณ์: โปรแกรม Brother-ship Concept แสดงถึงความร่วมมือระหว่างสองบริษัทชั้นนำ ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับทั้งเซ็นทรัลพัฒนา และ J.Front Retailing การนำเสนอสินค้าและบริการที่มีเอกลักษณ์ของไทยและญี่ปุ่น จะช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า และดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ 4. กระตุ้นการท่องเที่ยว: การแลกเปลี่ยนสิทธิพิเศษ จะกระตุ้นให้ลูกค้า VIP เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศของกันและกัน โปรแกรม Brother-ship Concept เสนอส่วนลดและสิทธิพิเศษสำหรับการท่องเที่ยว เช่น ส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และร้านอาหาร 5. แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์: ความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลพัฒนา และ J.Front Retailing จะช่วยให้ทั้งสองฝ่าย แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก การแลกเปลี่ยนข้อมูล จะช่วยพัฒนากลยุทธ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ 6. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: โปรแกรม Brother-ship Concept เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น ความร่วมมือนี้ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี และความร่วมมือในด้านอื่น ๆ โดยสรุป โปรแกรม Brother-ship Concept จะช่วยส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกในไทยและญี่ปุ่น ผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย เสริมสร้างภาพลักษณ์ กระตุ้นการท่องเที่ยว แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39771
Retail
กลยุทธ์ Omni-channel ของ "PointX" ร่วมกับ "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" ส่งผลต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าอย่างไร
null
1. เพิ่มความสะดวกในการชำระเงิน: ลูกค้าสามารถใช้คะแนน PointX สแกนจ่ายแทนเงินสดได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน PointX ที่ห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตเพิ่มเติม ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกในการชำระเงิน 2. เพิ่มประสิทธิภาพการสะสมคะแนน: ลูกค้าสามารถรวมคะแนนจากบัตรเครดิต SCB เข้าสู่ PointX เพื่อสะสมคะแนนสะดวกรวดเร็ว แลกคะแนนเป็นส่วนลดหรือสินค้าพิเศษได้ง่ายขึ้น กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้นและกลับมาใช้บริการซ้ำ 3. มอบโปรโมชันพิเศษ: "PointX" นำเสนอโปรโมชันพิเศษ "Weekend Special" และ "Month-End Special" ลูกค้าสามารถแลกคะแนน PointX ในอัตราพิเศษเพื่อชำระสินค้าและบริการ ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มแรงจูงใจในการช้อปปิ้ง 4. เชื่อมต่อประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์: ลูกค้าสามารถตรวจสอบคะแนนสะสม โปรโมชัน และแลกคะแนนผ่านแอปพลิเคชัน PointX เชื่อมต่อข้อมูลกับบัตรสมาชิกห้างสรรพสินค้า มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ต่อเนื่องและราบรื่นทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ 5. เพิ่มฐานข้อมูลลูกค้า: "PointX" รวบรวมข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมการช้อปปิ้ง นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ผลลัพธ์: กลยุทธ์ Omni-channel ของ "PointX" ร่วมกับ "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" ส่งผลดีต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า ดังนี้ -เพิ่มความสะดวกสบาย: ลูกค้าสามารถชำระเงิน สะสมคะแนน และแลกคะแนนได้ง่ายดายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ -เพิ่มแรงจูงใจในการช้อปปิ้ง: โปรโมชันพิเศษและข้อเสนอที่คุ้มค่า กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น -สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: การเชื่อมต่อข้อมูลและประสบการณ์ที่ราบรื่น ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและกลับมาใช้บริการอีกครั้ง -เพิ่มประสิทธิภาพการขาย: ข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมการช้อปปิ้ง ช่วยให้ห้างสรรพสินค้าสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39776
Retail
สรุปบทความเรื่อง เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ฉลองตรุษจีนปีหนูทอง ชวนช็อปสุดเฮง รับโปรโมชั่นสุดปัง ให้หน่อย
เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป (Central Food Retail Group) ผู้บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์,ท็อปส์, แฟมิลี่มาร์ท และ มัทสึโมโตะ คิโยชิ จัดแคมเปญต้อนรับตรุษจีนปีหนูทองฉลองแด่นักช็อป “Happy Chinese new year 2020” ชวนช็อปสินค้าสุดเฮง พร้อมเสริมความปังด้วยโปรโมชั่นที่นักช็อปไม่ควรพลาด สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกเดอะวัน รับคูปองท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่า 150 บาท ลดเพิ่มสูงสุด 18 % รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6 % เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ตั้งแต่วันนี้ – 28 มกราคม 2563 · รับฟรี คูปองท้ายใบเสร็จรวมมูลค่า 150 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 400 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ ที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ / ท็อปส์ มาร์เก็ต / ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ / มัทสึโมโตะ คิโยชิทุกสาขา และท็อปส์ออนไลน์ · รับฟรี คูปองท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่า 50 บาท เมื่อ ซื้อสินค้าครบ 200 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ ที่ท็อปส์ เดลี่ ทุกสาขา · ลดเพิ่มสูงสุด 18 % เมื่อช็อปผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และแลกคะแนนเท่ายอดซื้อ ที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ / ท็อปส์ มาร์เก็ต / ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ /ท็อปส์เดลี่ และ มัทสึโมโตะ คิโยชิ ทุกสาขา · รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6% เมื่อช็อปครบตามเงื่อนไขที่กำหนดผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ลงทะเบียนรับสิทธิ์ก่อนทำรายการผ่านแอพ UCHOOSE หรือ ส่ง SMS พิมพ์ TCN(วรรค) ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 16 หลัก ส่งมาที่ 081-278-2222 ช็อปของไหว้ตรุษจีนและติดตามโปรโมชั่นพิเศษได้ที่ www.tops.co.th , LINE: @TopsThailand และ @Topsonline
ผู้บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์,ท็อปส์, แฟมิลี่มาร์ท และ มัทสึโมโตะ คิโยชิ จัดแคมเปญต้อนรับตรุษจีนปีหนูทอง “Happy Chinese new year 2020” ชวนช็อปสินค้าสุดเฮง: - สมาชิกเดอะวัน รับคูปองท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่า 150 บาท ลดเพิ่มสูงสุด 18 % รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6 % เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน - รับฟรี คูปองท้ายใบเสร็จรวมมูลค่า 150 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 400 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ ที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ / ท็อปส์ มาร์เก็ต / ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ / มัทสึโมโตะ คิโยชิทุกสาขา และท็อปส์ออนไลน์ - รับฟรี คูปองท้ายใบเสร็จ รวมมูลค่า 50 บาท เมื่อ ซื้อสินค้าครบ 200 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ ที่ท็อปส์ เดลี่ ทุกสาขา - ลดเพิ่มสูงสุด 18 % เมื่อช็อปผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และแลกคะแนนเท่ายอดซื้อ ที่เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ / ท็อปส์ มาร์เก็ต / ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ /ท็อปส์เดลี่ และ มัทสึโมโตะ คิโยชิ ทุกสาขา - รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 6% เมื่อช็อปครบตามเงื่อนไขที่กำหนดผ่านบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39783
Retail
บริษัทที่เป็นเจ้าของ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” ทั้งในไทยและสหรัฐฯ คือบริษัทอะไร
1. Tyson Foods 2. Mars 3. Cargill 4. PACE
คำตอบ คือ 4. คือ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” ทั้งในไทยและสหรัฐฯ มีเจ้าของเป็นคนเดียวกัน คือ PACE บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของไทย อดีตเจ้าของตึกมหานคร เรื่องราวของแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า เริ่มต้นในปี 2520 จากการเป็นร้านขายของชำพรีเมียมในสหรัฐฯ เมื่อธุรกิจได้ผลตอบรับที่ดี ก็เริ่มมีการขยายสาขา และเพิ่มส่วนของร้านกาแฟเข้าไป ต่อมาในปี 2538 Leslie Rudd ก็ได้เข้าซื้อกิจการและตั้งเป้าว่าจะพาแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า สู่ระดับประเทศ แต่เรื่องจริงมันกลับไม่เป็นเหมือนที่ฝันไว้ เมื่อ ดีน แอนด์ เดลูก้า ขาดทุนติดต่อกันหลายปี จากการขยายสาขา และการเพิ่มไลน์สินค้าทั้งเบเกอรี และอาหารแช่แข็ง การขยายสาขา และการเพิ่มสินค้าที่จำหน่ายทำให้ต้นทุนของ ดีน แอนด์ เดลูก้า เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้กลับวิ่งตามไม่ทัน ดีน แอนด์ เดลูก้า จึงต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมเรื่อยมา ซึ่งไม่ว่าแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า จะพยายามจัดหาเงินทุนเพิ่มมากแค่ไหน เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดทุน และขยายกิจการต่อไป แต่ฝันของ Leslie Rudd ก็ยังดูไกลเกินความเป็นจริง ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้เอง PACE ก็ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของ ดีน แอนด์ เดลูก้า ด้วยเงิน 140 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.6 พันล้านบาท ทำให้ตอนนี้สิทธิ์การบริหาร และหนี้สินทั้งหมดตกอยู่ในมือของ PACE ซึ่งความท้าทายหลักของ PACE คือ สาขาในสหรัฐฯ ที่ไม่ทำกำไร และสร้างแต่หนี้ จนในที่สุด ดีน แอนด์ เดลูก้า ในสหรัฐฯ จำใจต้องยื่นล้มละลาย เพราะปัญหาหนี้สินกว่า 500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่บริษัทมีสินทรัพย์เพียง 1.7 พันล้านบาทเท่านั้น แปลว่า ดีน แอนด์ เดลูก้า มีหนี้คิดเป็น 10 เท่าของสินทรัพย์ ในปี 2020 เมื่อดูจากโครงสร้างของธุรกิจ จะพบว่าสาขาในสหรัฐฯ จะถูกแยกออกจากสาขาในไทย ดังนั้นการยื่นล้มละลายในสหรัฐฯ อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสาขาในไทยเท่าไร
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39785
Retail
อธิบายโครงการธุรกิจ Data Centre แห่งแรกในกลุ่มเซ็นทรัล
null
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืนและผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงานและโรงแรมทั่วประเทศ เดินหน้า เติมเต็ม ‘TheEcosystem for All’ ด้วยธุรกิจ New Assets เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต โดยจับมือร่วมทุนกับบริษัท Evolution Data Centres (EDC)ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์และกำลังขยายธุรกิจครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ขนาด 34 เมกะวัตต์ ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายได้อย่างไม่จำกัด (Carrier Neutral Data Centre) ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานระดับโลก มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูงเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ด้วย Sustainable Hyper-Scale Data Centre เพื่อตอบรับดีมานด์ของธุรกิจ Cloud Computing และ Data Storage ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยยกระดับอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในกรุงเทพฯ และประเทศไทย ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ พร้อมผลักดันไทยสู่Hubธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคตในธุรกิจ Data Centre นับเป็นก้าวสำคัญของเซ็นทรัลพัฒนาสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตในยุค Modern Data Economy ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและหลายภาคส่วน ได้แก่ 1. ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital Economy ของประเทศ โดยภาครัฐได้มีนโยบายส่งเสริมกิจการเขต Data Centreขึ้น เพื่อให้มีการลงทุนพัฒนาพื้นที่สำหรับกิจการในด้านเทคโนโลยี อีกทั้งยังเปิดโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น 2. สนับสนุน Digital Transformation ของทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ซึ่งในอนาคตจะมีความต้องการใช้บริการด้าน Data Storage มากยิ่งขึ้น ซึ่งการมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง จะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ธุรกิจในประเทศ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะตอบโจทย์ชีวิตในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น 3. การลงทุนด้าน Data Centre ของกลุ่มเซ็นทรัล จะทำให้ธุรกิจต่างๆ ในเครือสามารถSynergy กันได้อย่างแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยในเครือมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันพัฒนาData-Driven Omnichannel เพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยการลงทุนด้าน Data Centre จะทำให้สามารถนำ Data มาสร้างประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจในEcosystemให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39795
Retail
กลยุทธ์หลักของ TOSTEM ในการขยายตลาดกลุ่มลูกค้ารายย่อยในปี 2566 คืออะไร?
a. ขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ b. เพิ่มจำนวนโชว์รูมและ TOSTEM Studio ในต่างจังหวัด c. เน้นการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย d. พัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
คำตอบได้แก่ b. เนื่องจาก TOSTEM วางกลยุทธ์ขยายตลาดกลุ่มลูกค้ารายย่อยโดยเน้นไปที่การขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านโชว์รูมและ TOSTEM Studio ขยายโชว์รูม: ปัจจุบันมีโชว์รูมและเดโม่รูม 4 แห่ง ครอบคลุมกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง ในปี 2566 ครอบคลุมพื้นที่ต่างจังหวัด เน้นหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว ขยาย TOSTEM Studio: ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 4 แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี พิษณุโลก อุดรธานี และขอนแก่น มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง ในปี 2566 ครอบคลุมพื้นที่ต่างจังหวัด ตัวเลือกอื่น ๆ ไม่ได้เป็นกลยุทธ์หลัก: โฆษณาผ่านสื่อออนไลน์: ไม่ได้เน้นย้ำกลยุทธ์นี้ อีคอมเมิร์ซ: ไม่ได้กล่าวถึงการขยายช่องทางผ่านอีคอมเมิร์ซ พัฒนานวัตกรรม: พูดถึงนวัตกรรมใหม่ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นกลยุทธ์หลักสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ดังนั้น ข้อ (เพิ่มจำนวนโชว์รูมและ TOSTEM Studio ในต่างจังหวัด) จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39805
Retail
จากกรณีของ TTB ธนาคารอื่นๆ สามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง
null
บทเรียนที่ธนาคารอื่นๆ สามารถเรียนรู้จาก TTB มีดังนี้ 1. ปรับกลยุทธ์ดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ: - TTB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น - ธนาคารอื่นๆ ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และปรับกลยุทธ์ดอกเบี้ยเงินกู้ให้เหมาะสม 2. สนับสนุนมาตรการช่วยเหลือลูกค้า: - TTB ร่วมผลักดันมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูฯ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น - ธนาคารอื่นๆ ควรมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการผ่อนชำระระยะยาว 3. พัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ดึงดูดลูกค้า: - TTB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากหลากหลาย เช่น บัญชี ทีทีบี โนฟิกซ์ บัญชี ทีทีบี มีเซฟ และบัญชี ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ - ธนาคารอื่นๆ ควรพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น เงินฝากดอกเบี้ยสูง เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ หรือเงินฝากประจำ 4. มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล: - TTB เน้นการให้บริการลูกค้าผ่านแอป ทีทีบี ทัช เช่น การเปิดบัญชี ทีทีบี มีเซฟ - ธนาคารอื่นๆ ควรพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อให้บริการลูกค้าได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตัวอย่างธนาคารที่ประสบความสำเร็จ - ธนาคารกรุงเทพ: พัฒนาระบบ Mobile Banking "Bualuang mBanking" - ธนาคารกสิกรไทย: พัฒนาระบบ K Plus - ธนาคารไทยพาณิชย์: พัฒนาระบบ SCB Easy App สรุป ธนาคารอื่นๆ สามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายจาก TTB ธนาคารควรปรับกลยุทธ์ดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ สนับสนุนมาตรการช่วยเหลือลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ดึงดูดลูกค้า และมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล ธนาคารที่ปรับตัวได้เร็ว นำเทคโนโลยีมาใช้ และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนจะสามารถอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39814
Retail
โปรดสรุปบทความ ศูนย์กระจายสินค้าไทวัสดุวังน้อยได้รับการรับรอง ISO 45001 มาตรฐานด้านการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ปลื้มศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยได้รับการรับรอง ISO 45001 มาตรฐานด้านการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สะท้อนภาพองค์กรที่ให้ความสำคัญเรื่องการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยของพนักงาน ผู้ใช้บริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในการเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบรายแรกของไทยด้านความยั่งยืน นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ถือเป็นอีกก้าวการเติบโตที่สำคัญของซีอาร์ซี ไทวัสดุ ที่ล่าสุดศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 45001 ที่ใช้ในการรับรองระบบการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานของลูกจ้างและบุคลากร โดยตลอดระยะเวลา 13 ปีในการดำเนินธุรกิจ ไทวัสดุได้มุ่งเน้นดูแลความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของพนักงานในองค์กรมาโดยตลอด สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนธุรกิจที่พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งพนักงาน คู่ค้า สังคมและสิ่งแวดล้อม และยังสอดรับกับพันธกิจในการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values) ตามนโยบายขอกกลุ่มเซ็นทรัล “มาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ISO 45001 เป็นนโยบายการจัดการสภาพแวดล้อมของสถานประกอบการ ซึ่งมุ่งสร้างความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีในสถานที่ทำงาน และช่วยป้องกันความเสี่ยง เช่น การได้รับบาดเจ็บ การเจ็บป่วยจากการทำงาน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า – คู่ค้าที่ต้องมีการดำเนินงานร่วมกัน โดยประโยชน์ของการรับรองมาตรฐาน ISO 45001 เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้เกิดการแข่งขันในตลาดและระดับสากลได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นแรงจูงใจที่ดีและยั่งยืนแก่พนักงานและพันธมิตรอีกด้วย” ด้าน นางปริยวดี ประจวบเหมาะ Head of Supply Chain and vFIX บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวเพิ่มเติมว่าศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย ตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีการปรับปรุงและขยายคลังสินค้าแห่งใหม่บนพื้นที่กว่า 160,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นกว่า 120% เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มธุรกิจภายใต้แบรนด์ไทวัสดุ บีเอ็นบี โฮม ออโต้วัน และ โก! ว้าว ทั้งกลุ่มธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย เป็นคลังสินค้าขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าไปยังร้านไทวัสดุ บีเอ็นบี โฮม และแบรนด์ธุรกิจในเครือทั่วประเทศ เพื่อรองรับความต้องการในการซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้าง ตามดีมานด์และกำลังซื้อที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้น “นอกจากการขยายพื้นที่เพื่อรองรับกำลังซื้อ และความต้องการสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้างแล้ว ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย ยังยึดแนวทางการบริหารให้มีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานการดูแลด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานให้กับพนักงานในองค์กร ตามมาตรฐานการ ISO 45001:2018 (Occupational Health and Safety Management System) โดยเน้น 5 หลักการสำคัญ ดังนี้ 1. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการส่งเสริมสถานที่ทำงานที่มีความปลอดภัย 2. สร้างสุขอนามัยที่ดีของพนักงาน 3. ลดความสูญเสียจากเหตุที่ไม่พึงประสงค์ 4. รักษาความสอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย และ 5. การมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม” นางปริยวดี กล่าวทิ้งท้ายว่า ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย มุ่งมั่นบริหารศูนย์ฯ ให้ได้มาตรฐานสากล และเป็นไปตามนโยบายของซีอาร์ซี ไทวัสดุ ที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน เพื่อมอบสินค้าที่ดีมีคุณภาพและบริการที่ประทับใจให้กับลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมเป็นกำลังสำคัญหนึ่งในการเติบโตของซีอาร์ซี ไทวัสดุ อย่างยั่งยืน
ISO 45001 เป็นนโยบายการจัดการสภาพแวดล้อมของสถานประกอบการ ที่มุ่งสร้างความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีในสถานที่ทำงาน ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการได้รับบาดเจ็บ และการเจ็บป่วยจากการทำงาน รวมไปถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า – คู่ค้า สำหรับประโยชน์ของการรับรองมาตรฐาน ISO 45001 คือจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เกิดการแข่งขันในตลาดและระดับสากลได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นแรงจูงใจที่ดีและยั่งยืนแก่พนักงานและพันธมิตร โดยมาตรฐาน ISO 45001:2018 (Occupational Health and Safety Management System) จะเน้น 5 หลักการสำคัญ ดังนี้ 1) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการส่งเสริมสถานที่ทำงานที่มีความปลอดภัย 2) สร้างสุขอนามัยที่ดีของพนักงาน 3) ลดความสูญเสียจากเหตุที่ไม่พึงประสงค์ 4) รักษาความสอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย 5) การมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39819
Retail
กลยุทธ์ที่เป็นแกนหลักของ Holiday Pastry คือ กลยุทธ์ 3C ประกอบด้วยอะไรบ้าง
Holiday Pastry จากร้านขนมออนไลน์ สยายปีกสู่ผู้นำ Dessert & Restaurant ตั้งเป้าโต 300% ใน 3 ปี ​ Holiday Pastry ร้านขนมและ All Day Dining สุดฮอตย่านเจริญนคร ตอกย้ำความเป็น ‘Creative Dining Destination’ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย กางแผนธุรกิจพร้อมต่อยอดความสำเร็จ ครั้งใหม่พร้อมก้าวสู่ผู้นำร้าน Dessert & Restaurant ด้วยกลยุทธ์ปั้นแบรนด์ให้แตกต่างสไตล์ “The One & Only” ในทุกสาขา ปูพรมขยายพื้นที่ร้านสาขาแรก Holiday Pastry ที่โครงการ Ours เจริญนคร เป็นแฟล็กชิพสโตร์ขนาดใหญ่ กว่าเดิม 3 เท่า มีพื้นที่รวม 400 ตารางเมตร และรุกขยายอีก 2 สาขาใหม่เข้าศูนย์การค้าใจกลางกรุง ประเดิมด้วย ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซอฟท์โอเพนนิง กันยายนนี้ ตามด้วยโครงการ ดิเอ็มสเฟียร์ ปลายปี 66 คาดยอดขายปีนี้แตะ 100 ล้านบาท จับตาขึ้นแท่นเชนร้านอาหารมาแรง แบรนด์ดังระดับเอเชีย-ระดับโลกจ่อเปิดตัวร่วมงานเพียบ ตั้งเป้าเติบโต 300% ภายใน 3 ปี วสุวัส คูหาเปรมกิจ Co-Founder และ Brand Director บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวว่า Holiday Pastry สร้างชื่อจากร้านขนมออนไลน์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน จากการเล็งเห็นช่องว่างของตลาดร้านขนมในประเทศ ไทย ที่ยังมีผู้เล่นหลักๆ ไม่กี่ราย และยังขาดความหลากหลาย เมื่อเทียบกับนิวยอร์ก ลอนดอน โซล และซิดนีย์ ที่สำคัญ ร้านขนม ที่มีส่วนใหญ่ยังเป็นร้าน Specialty ที่เน้นขายเฉพาะขนมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีไอเดียว่า อยากปั้นแบรนด์ ร้านขนมที่เป็น The One and Only นำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย “เราเริ่มต้นจากการเปิดร้านออนไลน์ เน้นขายผ่านเดลิเวอรี เพราะเปิดตัวในช่วงโควิด-19 พอดี แต่เรามีแผนธุรกิจ 5 ปี (2020-2025) ชัดเจน ตั้งแต่แรกว่าจะขยายธุรกิจดังนี้ 2021 : เน้นการสร้าง Brand Awareness ให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และเน้นสร้างโฟลโลเวอร์และแฟนเบส ในช่องทาง ออนไลน์ เพื่อสร้างอีโคซิสเตมที่แข็งแรงให้กับแบรนด์ 2022 : เน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ และ สร้างภาพจำให้แบรนด์ชัดและแข็งแรงขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของแบรนด์ ในอนาคต จึงตัดสินใจเปิด Flagship Store โดยชูคอนเซปต์ที่ตอกย้ำความเป็น “The One & Only”พาทุกคนท่องเที่ยว ทั่วโลกผ่านจานอาหารและขนม รวมถึงธีมในการตกแต่งร้าน 2023 : เพิ่มทางเลือกเมนูที่หลากหลาย เสริมทัพอาหาร All Day Dining และขนมหวานกว่า 100 เมนู รวมทั้งขยายไปสู่บริการสั่งเค้กวันเกิด ขนมไหว้พระจันทร์ และ Catering อีกด้วย 2024 : ขยายสาขา เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ Dining Destination รูปแบบใหม่ๆทั่วเมือง พร้อมกับ ไป Collaboration กับแบรนด์ระดับโลก และแตกแบรนด์เพิ่ม 2025 : ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายธุรกิจ Food Retail พร้อมแตกแบรนด์ลูก และ ธุรกิจอื่นๆเพิ่มเติม ด้านสาริน รณเกียรติ Co-Founder และ Creative Director บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกจากแผนธุรกิจที่วางแผนมาอย่างดีในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์การตลาดของ Holiday Pastry ก็แน่นไม่แพ้กัน ทำให้ Holiday Pastry ได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่เปิดตัว รายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดปีละ 100% โดยกลยุทธ์ที่เป็นแกนหลักของ Holiday Pastry คือ กลยุทธ์ 3C ประกอบด้วย Customer Experiences - เน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า Care for the quality - ใส่ใจในคุณภาพทั้งในเรื่องคุณภาพและรสชาติ Creativity & innovativeness - ชูความคิดสร้างสรรค์และนำนวัตกรรมมาต่อยอด “เราไม่ได้เน้นแค่เรื่อง Customer Centric แต่เราให้ความสำคัญกับ Customer Obsession หรือ สิ่งที่ลูกค้า ต้องการจริงๆ อย่างคอนเซ็ปต์ร้าน เราตั้งใจมอบประสบการณ์แบบ Full Experience ให้กับลูกค้า เริ่มตั้งแต่จุดเล็กๆ ตั้งแต่การรังสรรค์เมนูขนมและอาหาร ไปจนถึงการตกแต่งร้าน จาน ชาม ชุดพนักงานล้วนผ่านการออกแบบอย่างดี เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดและอรรถรสสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเมื่อลูกค้าเปิดประตูเข้ามาในร้าน จะได้กลิ่นหอมที่ เราคราฟต์ขึ้นมาเฉพาะ เสียงเพลงที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เข้ากับบรรยากาศร้านที่ดีไซน์ให้กลิ่นอายของช่วงเวลาแห่งการ พักผ่อน ใช้โทนสีเหลืองสะท้อนช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก เติมเต็มด้วยรสชาติของอาหารและขนมที่รังสรรค์อย่างดี ให้รสชาติอร่อยและมอบรสสัมผัสที่หลากหลาย มีเทกเจอร์ที่มากกว่า 1 มิติในแต่ละเมนู นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็น ‘Creative Dining Destination’ ในแต่ละสาขา ยังตั้งใจออกแบบเพื่อนำเสนอ ประสบการณ์แบบ The One and Only อย่าง แฟล็กชิฟสโตร์ ที่กำลังจะขยายในปลายปีนี้ “คอนเซปต์ที่เราวางไว้คือ เป็นการจำลองบรรยากาศ Hotel Lobby ในมหานครนิวยอร์ค ยุค Art Deco ที่มีการเล่นกับสีสันสะดุดตาราวกับหลุดไปอยู่ในหนังของผู้กำกับชื่อดัง Wed Anderson ภายในประกอบด้วยโซน Immersive Experince ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เดินทางวาร์ปจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่โซนรับประทานอาหาร ที่เราตั้งใจออกแบบให้ความรู้สึกเหมือนล็อบบี้โรงแรม เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ที่เป็นจุดหมาย ปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก สามารถมาดื่มด่ำกับอาหารและขนมที่ทุกเมนูรังสรรค์ด้วยความใส่ใจ ทั้ง รสชาติและคุณภาพ แถมยังใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในทุกเมนู ซึ่งเรามีการปรับจาก Brunch มาเป็น Dinner มีการปรับ เพิ่มจากเมนูเดิมที่มีอยู่ 40 เมนู เป็น 100 เมนู โดยตั้งใจว่า ในแต่ละสาขาจะยังคงเมนูยอดฮิตและซิกเนเจอร์ไว้ เพิ่มเติมคือ เมนูพิเศษที่เป็น The One and Only ของแต่ละสาขา ซึ่งเป็นเหมือนมิชชั่นให้ลูกค้าต้องตามเก็บให้ครบ และยังมีโซนช็อปปิง สำหรับซื้อสินค้าหรือของที่ระลึกจาก Holiday Pastry” สาริน ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะเริ่มจากขายผ่านออนไลน์ แต่ทางแบรนด์ให้ความสำคัญกับการบริการเป็นอย่างมาก “อย่างการตอบแชทลูกค้า ผมนำอินไซต์จากการรับออร์เดอร์ ตอบแชทลูกค้าเองในช่วง 2-3 เดือนแรกมาทำเป็นไบเบิ้ล เพื่อเทรนพนักงานเลยว่า ต้องตอบคำถามลูกค้า อย่างไร จนตอนที่เปิดร้าน ก็ยังให้ความสำคัญกับ การให้บริการ ของพนักงานตั้งแต่การต้อนรับ พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ” สำหรับความท้าทายของธุรกิจของอาหารและขนม สาริน กล่าวว่า “Food is Fashion” ธุรกิจอาหารก็เหมือน แฟชั่น มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากจะฟังเสียงลูกค้า เรายังต้องตามเทรนด์ให้ทันและมีมูฟเมนต์ใหม่ ที่ฉับไวเสมอ ทางร้านเองเคยร่วมงานกับแบรนด์ร้านอาหารด้วยกันมาแล้ว ต่อจากนี้ ก็มีโปรเจ็กต์ที่จะร่วมงานกับ แบรนด์ดังหลายแบรนด์ในทุกไตรมาสไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเป็นแบรนด์ในวงการอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในระดับเอเชีย ไปจนถึง แบรนด์ระดับโลก” ปิดท้ายด้วยเป้าหมายในอนาคตของ Holiday Pastry วสุวัส กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าหลักของ Holiday Pastry เป็นคนไทย 60% ชาวต่างชาติ 40% โดยฐานลูกค้าหลักที่เรามองไว้ คือ กลุ่มครอบครัว และนักท่องเที่ยว ดังนั้น แผนธุรกิจอีก 3 ปีข้างหน้าที่วางไว้ คือ อยากให้ Holiday Pastry เป็นมากกว่าแบรนด์ร้านอาหารและขนม แต่เป็น Food Retail ที่พร้อมต่อยอดธุรกิจในกลุ่มอาหารและขนมไปสู่การแตกแบรนด์ใหม่ พร้อมนำเข้าแบรนด์อาหาร หรือขนมจาก ต่างประเทศมาเปิดในไทย ไปจนถึงการแตกไลน์สินค้าภายใต้ Holiday Pastry โดยคาดว่า ปี 2566 จะทำยอดขายแตะ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าว่า ธุรกิจจะเติบโต 300% ภายใน 3 ปี และในอนาคตสามารถ เป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจอาหาร และขนม
กลยุทธ์ 3C ประกอบด้วย 1. Customer Experiences - เน้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 2. Care for the quality - ใส่ใจในคุณภาพทั้งในเรื่องคุณภาพและรสชาติ 3. Creativity & innovativeness - ชูความคิดสร้างสรรค์และนำนวัตกรรมมาต่อยอด
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39822
Retail
กลยุทธ์การดึงดูดและรักษาฐานลูกค้าของ The 1 ในฐานะ Loyalty & Lifestyle Platform มีอะไรบ้าง? และกลยุทธ์เหล่านี้สนับสนุนเป้าหมายในการเป็น Everyday Lifestyle Platform อย่างไร
null
1. แอปพลิเคชั่น The 1: The 1 นำเสนอแอปพลิเคชั่น The 1 ที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมประสบการณ์ต่างๆ ให้กับสมาชิก แอปนี้รวมเอาส่วนลด รีวอร์ด และคอนเทนต์สำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้สะดวกสบาย เช่น การโอน-แลก-เช็คคะแนน สแกนจ่าย เช็คยอดใช้จ่าย 2. Hyper-targeted campaign: แบรนด์ต่างๆ ใน The 1 Ecosystem สามารถทำแคมเปญการตลาดกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านแอป The 1 ด้วย Hyper-targeted campaign แคมเปญเหล่านี้สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำถูกที่ถูกเวลา 3. Data Insight และ MarTech: The 1 ใช้ Data Insight และ MarTech เพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจลูกค้าในระดับบุคคล ข้อมูลนี้ถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาแคมเปญการตลาดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น 4. พันธมิตร: The 1 มีพันธมิตรกว่า 2,000 แบรนด์ สมาชิก The 1 สามารถใช้คะแนนและรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากร้านค้าเหล่านี้ การขยายเครือข่ายพันธมิตรช่วยให้ The 1 เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเสนอตัวเลือกที่หลากหลายแก่สมาชิก ตัวอย่าง: The 1 เปิดตัวแคมเปญ "The 1 Super Cashback" แคมเปญนี้มอบเงินคืนสูงสุด 40% ให้กับสมาชิก แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ดึงดูดลูกค้าใหม่จำนวนมากมายมาสู่ The 1 ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ The 1 ดึงดูดและรักษาฐานลูกค้าได้สำเร็จ The 1 เป็น Loyalty & Lifestyle Platform ที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีสมาชิกมากกว่า 18 ล้านราย แอปพลิเคชั่น The 1 ดาวน์โหลดมากกว่า 20 ล้านครั้ง บทเรียนสำคัญ: ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้กลยุทธ์เหล่านี้เพื่อดึงดูดและรักษาฐานลูกค้า ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้แอปพลิเคชั่นมือถือเพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายและเป็นส่วนตัว ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ Data Insight และ MarTech เพื่อพัฒนาแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายการเข้าถึงลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39825
Retail
กลยุทธ์ "Inspiring Everyday Experiences" ของสามย่านมิตรทาวน์ ประสบความสำเร็จอย่างไร และทำไมกลยุทธ์นี้จึงเหมาะกับธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน
null
1. ดึงดูดลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่หลากหลาย: สามย่านมิตรทาวน์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ห้างสรรพสินค้า แต่เป็นพื้นที่ที่ลูกค้าสามารถมาช้อปปิ้ง ทานอาหาร เรียนรู้ และพักผ่อนหย่อนใจ กลยุทธ์นี้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่ต้องการมากกว่าการช้อปปิ้ง ลูกค้าสามารถมาที่สามย่านมิตรทาวน์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในชีวิตได้ทุกวัน 2. เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย: สามย่านมิตรทาวน์ ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด กลยุทธ์นี้ช่วยให้สามย่านมิตรทาวน์ สามารถออกแบบพื้นที่ ร้านค้า กิจกรรม และบริการต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม 3. ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์: สามย่านมิตรทาวน์ ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การระบาดของโควิด-19 กลยุทธ์นี้ช่วยให้สามย่านมิตรทาวน์ สามารถรับมือกับวิกฤติ และดึงดูดลูกค้ากลับมาได้ 4. สร้างความร่วมมือ: สามย่านมิตรทาวน์ ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อจัดกิจกรรม และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า กลยุทธ์นี้ช่วยให้สามย่านมิตรทาวน์ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน เหตุผลที่กลยุทธ์นี้เหมาะกับธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน: - ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการมากกว่าการช้อปปิ้ง: ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการประสบการณ์ที่มากกว่าการซื้อสินค้า พวกเขาต้องการสถานที่ที่สามารถมาช้อปปิ้ง ทานอาหาร เรียนรู้ และพักผ่อนหย่อนใจ กลยุทธ์ "Inspiring Everyday Experiences" ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ดี - การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกสูง: ธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องสร้างจุดเด่นและดึงดูดลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร กลยุทธ์ "Inspiring Everyday Experiences" ช่วยให้ธุรกิจสร้างจุดเด่นและดึงดูดลูกค้าได้ - สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ: สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ กลยุทธ์ "Inspiring Everyday Experiences" มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39837
Retail
บัตรเครดิต TMRW อนุญาตให้ลูกค้าเลือกรับเครดิตเงินคืนในหมวดหมู่ที่ต้องการได้หรือไม่?
null
ใช่ บัตรเครดิต TMRW อนุญาตให้ลูกค้าเลือกรับเครดิตเงินคืนในหมวดหมู่ที่ต้องการได้ เหตุผล: - TMRW เป็นธนาคารดิจิทัลที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ลูกค้า TMRW สามารถเลือกรับเครดิตเงินคืนได้สูงสุด 3% ในหมวดหมู่ที่เลือกเอง - TMRW เข้าใจดีว่าพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ต่างๆ ในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 ลูกค้า TMRW นิยมใช้จ่ายในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น - TMRW จึงปรับฟีเจอร์บัตรเครดิตให้ลูกค้าสามารถเลือกรับเครดิตเงินคืนในหมวดหมู่ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด ลูกค้า TMRW สามารถปรับเปลี่ยนหมวดหมู่เครดิตเงินคืนได้ทุกเดือน TMRW ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการการใช้จ่าย เช่น Real-Time Expense Tracking ฟีเจอร์ Real-Time Expense Tracking ช่วยให้ลูกค้าติดตามการใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ ลูกค้า TMRW สามารถตั้งวงเงินการใช้จ่ายและรับข้อความแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงวงเงิน TMRW มุ่งมั่นพัฒนาบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สรุป: บัตรเครดิต TMRW อนุญาตให้ลูกค้าเลือกรับเครดิตเงินคืนในหมวดหมู่ที่ต้องการได้ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ TMRW เป็นธนาคารดิจิทัลที่เข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39845
Retail
สยามพิวรรธน์วางแผนที่จะใช้งบประมาณเท่าไหร่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 นี้?
A. 2,000 ล้านบาท B. 500 ล้านบาท C. 3,000 ล้านบาท D. 1,000 ล้านบาท
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก กลยุทธ์ของสยามพิวรรธน์เพื่อขานรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ผ่าน 4 Strategic Pillars ดังนี้ ผู้นำการสร้างประสบการณ์ Shopping ยิ่งใหญ่ เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งผู้นำในตลาด Luxury retail ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ ผู้นำในการส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก ระบุไว้ชัดเจนว่าสยามพิวรรธน์เตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท อัดฉีดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นให้แตะ 30 ล้านคน ในไตรมาส 4 ปีนี้ ข้ออื่น ๆ นั้นไม่ถูกต้อง: 500 ล้านบาท: บทความไม่ได้ระบุตัวเลขนี้ 2,000 ล้านบาท: บทความไม่ได้ระบุตัวเลขนี้ 3,000 ล้านบาท: บทความไม่ได้ระบุตัวเลขนี้
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_39847
Retail
ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารไทยพาณิชย์มีกลยุทธ์อะไรบ้างในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยในธุรกิจค้าปลีก (Retail) ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และต่อสู้กับการแข่งขันที่รุนแรง?
null
กลยุทธ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยในธุรกิจค้าปลีก (Retail) มีดังนี้: 1. สนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล: - ธนาคารมีบริการ "SCB Easy for Business" แพลตฟอร์มธุรกรรมทางการเงินแบบครบวงจร ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการจัดการธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย - ธนาคารมีบริการ "SCB Business Connect" แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเองได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม - ธนาคารมีบริการ "SCB Digital Marketing Solutions" บริการด้านการตลาดดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. เสริมสร้างความรู้และทักษะ: - ธนาคารมี "SCB SME Academy" ศูนย์การเรียนรู้สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ให้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล - ธนาคารมี "SCB Business Club" ชุมชนออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายธุรกิจ - ธนาคารจัดอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ 3. สนับสนุนเงินทุน: - ธนาคารมีสินเชื่อ "SCB SME Smart Loan" สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สามารถขอสินเชื่อได้ง่าย ผ่านช่องทางดิจิทัล - ธนาคารมีบริการ "Factoring" บริการรับซื้อบัญชีลูกหนี้ ช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่อง - ธนาคารมีบริการ "L/C" บริการหนังสือค้ำประกัน ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมั่นใจ 4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: - ธนาคารมี "SCB Business Center" ศูนย์บริการธุรกิจครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี - ธนาคารมี "Co-working Space" พื้นที่ทำงานร่วมกันสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี - ธนาคารมีบริการ "Payment Gateway" บริการรับชำระเงินออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรับชำระเงินจากลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง ตัวอย่างไอเดียเพิ่มเติม: - ธนาคารสามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการจัดการธุรกิจได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น - ธนาคารสามารถจับมือกับพันธมิตรต่างๆ เช่น บริษัทขนส่ง บริษัทผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี - ธนาคารสามารถจัดโครงการประกวดแผนธุรกิจเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ โดยสรุป ธนาคารไทยพาณิชย์มีกลยุทธ์ที่หลากหลายในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยในธุรกิจค้าปลีก ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และต่อสู้กับการแข่งขันที่รุนแรง กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย และขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39849
Retail
ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว โครงการ HYDE Sukhumvit 11 มองหาโอกาสทางธุรกิจในด้าน Retail อย่างไร
null
จากบทความ โครงการ HYDE Sukhumvit 11 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2-1-58 ไร่ มีพื้นที่สำหรับ Retail บนชั้น 1 ซึ่งถือว่ามีศักยภาพในการดึงดูดลูกค้า เนื่องจาก -ทำเลที่ตั้ง: โครงการตั้งอยู่สุขุมวิทตอนต้น ใกล้ BTS นานา เป็นย่านที่มีคนพลุกพล่าน เหมาะกับธุรกิจ Retail -กลุ่มเป้าหมาย: โครงการมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้อยู่อาศัยในโครงการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง -รูปแบบโครงการ: โครงการมีการออกแบบที่ทันสมัย หรูหรา ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยม อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว โครงการ HYDE Sukhumvit 11 จำเป็นต้องมี กลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดผู้เช่าและลูกค้า ดังนี้ -การคัดเลือกผู้เช่า: โครงการควรเลือกผู้เช่าที่มีสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ -การทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย: โครงการควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดลูกค้า กระตุ้นการจับจ่าย -การใช้ช่องทางออนไลน์: โครงการควรใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ในการโปรโมทร้านค้า สินค้า บริการ -การสร้างจุดเด่น: โครงการควรสร้างจุดเด่นให้กับพื้นที่ Retail เช่น การออกแบบตกแต่งที่โดดเด่น การจัดกิจกรรมพิเศษ ตัวอย่างไอเดียสำหรับธุรกิจ Retail ในโครงการ HYDE Sukhumvit 11 ร้านอาหารและคาเฟ่ เน้นอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ร้านสะดวกซื้อ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้จำเป็น ร้านขายสินค้าแฟชั่น เน้นสินค้าที่มีดีไซน์ ทันสมัย ร้านเสริมสวย สปา ตอบโจทย์ความต้องการในการผ่อนคลาย ฟิตเนส ศูนย์ออกกำลังกาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุขภาพ โดยสรุป โครงการ HYDE Sukhumvit 11 มีศักยภาพในการดึงดูดธุรกิจ Retail ด้วยทำเลที่ตั้ง กลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบโครงการ อย่างไรก็ตาม โครงการจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ในการดึงดูดผู้เช่าและลูกค้า ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และสร้างจุดเด่นให้กับพื้นที่ Retail
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39852
Retail
กลยุทธ์ของเซ็นทรัล วิลเลจ ที่มุ่งเน้นไปที่การขยายสาขา เพิ่มช่องทางออนไลน์ และมอบส่วนลดที่คุ้มค่า จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีก"ของเซ็นทรัล วิลเลจ" ในประเทศไทยเติบโตได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล คือ : การขยายสาขา: เซ็นทรัล วิลเลจ วางแผนขยายสาขาไปยังหัวเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าเดิม การเพิ่มช่องทางออนไลน์: เซ็นทรัล วิลเลจ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางออนไลน์ ผ่าน Chat & Shop ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างยอดขายจาก Brandname Lovers ทั่วประเทศ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของเซ็นทรัล วิลเลจ ได้สะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์การค้า การมอบส่วนลดที่คุ้มค่า: เซ็นทรัล วิลเลจ มุ่งเน้นนำเสนอสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า ผ่านแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ เช่น Super Brand Grand Sale, Central Village 1st Anniversary, The Magical Year-end Sale 2021 และ 12.12 Double Mega Sale กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ของเซ็นทรัล วิลเลจ จะช่วย: - ขยายฐานลูกค้า: กลยุทธ์การขยายสาขา และเพิ่มช่องทางออนไลน์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าเดิม - เพิ่มยอดขาย: กลยุทธ์การมอบส่วนลดที่คุ้มค่า แคมเปญโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ จะช่วยดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ - สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์: กลยุทธ์ต่างๆ ของเซ็นทรัล วิลเลจ จะช่วยสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ เพิ่มภาพลักษณ์ และสร้างความจดจำให้กับลูกค้า - พัฒนาธุรกิจค้าปลีก: กลยุทธ์เหล่านี้ของเซ็นทรัล วิลเลจ จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย กระตุ้นให้ธุรกิจอื่นๆ พัฒนาและปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า สรุป: กลยุทธ์ของเซ็นทรัล วิลเลจ ที่มุ่งเน้นไปที่การขยายสาขา เพิ่มช่องทางออนไลน์ และมอบส่วนลดที่คุ้มค่า จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยเติบโตได้ โดยการขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ และพัฒนาธุรกิจค้าปลีก
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39857
Retail
โปรดสรุปบทความ กลุ่มบริษัท เค.อี. เตรียมรุกแผนกลยุทธ์เชื่อมต่อ คอมมูนิตี้ มอลล์ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบ New Norm Lifestyle
ศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. ผู้บริหารกอง REIT “BKER” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันบริหารศูนย์การค้าทั้ง 11 โครงการ ได้แก่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี), เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา, เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, อมอรินี รามอินทรา, แอมพาร์ค (จุฬา), เพลินนารี มอลล์ วัชรพล, สัมมากร รามคำแหง รังสิต ราชพฤกษ์, เดอะซีน และ เดอะคริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์ เตรียมรุกแผนกลยุทธ์เชื่อมต่อ คอมมูนิตี้ มอลล์ ให้เข้ากับ New Norm Lifestyle โดยมองว่า ขณะนี้ภาพรวมศูนย์การค้าทุกแห่ง เน้นการทำสถานที่ให้สะอาด มี social distancing และให้ลูกค้ามั่นใจในการมาใช้บริการ สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาคือ ความน่าชื่นชมที่ภาครัฐสามารถควบคุมการสาธารณสุข ให้การแพร่ระบาดลดน้อยลงอย่างมาก การที่ประชาชนมีความใส่ใจในการดูแลตัวเองและผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ในด้านการออกมาตรการปลดล็อกแบบค่อยเป็นค่อยไปของภาครัฐนั้น อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและจุดคุ้มทุนในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ในส่วนของศูนย์การค้า การจำกัดจำนวนคนในการเข้าใช้บริการร้านอาหาร แม้ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการเดินทางมาด้วยกัน หรือการลดประเภทบริการในหลายธุรกิจ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ อาทิ ฟิตเนส คลินิกเสริมความงาม สปา เป็นต้น จึงอยากขอให้ทางภาครัฐเร่งพิจารณาให้เปิดดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติ โดยให้ทางผู้ประกอบการและลูกค้าให้ความสำคัญในการดูแลความปลอดภัย ความสะอาดอย่างจริงจังตามมาตรฐานสากล ปัจจุบัน เรามองการเติบโตในอนาคต 5 ปีข้างหน้า โดยมีแผนว่าจะเป็นการเติบโตแบบ Organic Net Operating Income Growth ที่ 4-5% ต่อปี และการเติบโตแบบ Inorganic total asset value growth ที่ 15-20% ต่อปี เราเปิดกว้างการเติบโต โดยมองว่า คอมมูนิตี้มอลล์ ยังคงเติบโตได้ดี แม้ปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์ ตอบโจทย์ได้ดีกับลูกค้า ทำให้เรามองถึงการเชื่อมต่อกับนิวนอร์มได้อย่างชัดเจน แนวคิดการขยายธุรกิจที่เน้นแบบ Inorganic growth ได้แก่ 1) การลงทุนในโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในหรือต่างประเทศ โดยเราสามารถเข้าลงทุนได้ภายใน 3-6 เดือนนับจากการเข้าศึกษาข้อมูล 2) การลงทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือพันธมิตรธุรกิจ ในการพัฒนาที่ดิน ก่อสร้าง และบริหารงาน 3) การเข้าไปบริหารงาน ลักษณะเป็น Retail and property management เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้ากองรีท 4) การลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีความต้องการเราเป็น Strategic partner หรือ Financial partner โดยให้ความสนใจในโมเดลธุรกิจหลายประเภท อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้าที่มีการทำธุรกิจออฟไลน์ และออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ทางเราได้เตรียมแพลตฟอร์มในการสร้างและสานต่อธุรกิจประเภทตลาดอีเวนท์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในอนาคต โดยสามารถส่งข้อมูลให้ศึกษาได้ที่ email: [email protected] หรือ Line ID: @ke.bd กลุ่มบริษัท เค.อี. ได้เตรียมแผนงานในอนาคต โดยเน้น 2 เรื่องหลักคือ ทิศทางการสร้างรายได้จากการเติบโตของธุรกิจด้านรีเทล เรื่องที่สองการนำ Tech platform ที่เข้ามาใช้ในส่วนสำคัญ มุ่งเน้นเรื่อง Data Management, Revenue Management, Cost Management and Operation Management ที่เรามุ่งมั่นให้เป็นหัวใจในการเพิ่มประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์ธุรกิจที่มีความสำคัญในอันดับต้น โดยมีแผนร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ในการสร้าง Retail Platform ให้เกิดผลลัพธ์ที่ครบทุกมุมให้ได้ภายในไตรมาสที่สามของปีนี้
กลุ่มบริษัท เค.อี. โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์การค้า 11 โครงการ ได้แก่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี), เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา, เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, อมอรินี รามอินทรา, แอมพาร์ค (จุฬา), เพลินนารี มอลล์ วัชรพล, สัมมากร รามคำแหง รังสิต ราชพฤกษ์, เดอะซีน และ เดอะคริสตัล พีทีที ชัยพฤกษ์ เตรียมรุกแผนกลยุทธ์เชื่อมต่อ คอมมูนิตี้ มอลล์ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบ New Norm Lifestyle ด้วยแนวคิดการขยายธุรกิจที่เน้นแบบ Inorganic growth คือ 1) การลงทุนในโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในหรือต่างประเทศ 2) การลงทุนกับเจ้าของที่ดิน หรือพันธมิตรธุรกิจ ในการพัฒนาที่ดิน ก่อสร้าง และบริหารงาน 3) การเข้าไปบริหารงานในลักษณะเป็น Retail and property management 4) การลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีความต้องการให้เราเป็น Strategic partner หรือ Financial partner โดยให้ความสนใจในโมเดลธุรกิจหลายประเภท อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้าที่มีการทำธุรกิจออฟไลน์ และออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39865
Retail
สรุปบทความเรื่อง Shopee เตรียมปลดพนักงาน ในชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก พร้อมยุติกิจการในอาร์เจนตินา ให้หน่อย
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Shopee เตรียมถอนทัพออกจาก 4 ประเทศในลาตินอเมริกา ได้แก่ ประเทศชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และอาร์เจนตินา โดย Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดัง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Sea จากสิงคโปร์ ได้ส่งอีเมลถึงพนักงานของบริษัทว่า กำลังจะยุติการดำเนินงานในท้องถิ่นใน 3 ประเทศแรก คือชิลี โคลอมเบีย และเม็กซิโก ทั้งนี้ ใน 3 ประเทศนี้ จะไม่ได้ปิดกิจการไปเลย แต่จะเป็นการเลิกจ้างพนักงานในท้องถิ่น หรือในประเทศนั้น ๆ แล้วดำเนินธุรกิจแบบข้ามพรมแดน (Cross-Border) แทน กลับกันในประเทศอาร์เจนตินานั้น จะเป็นการยุติการดำเนินกิจการไปเลย โดยในจดหมายที่ส่งให้พนักงาน ทาง Chris Feng ผู้บริหารของ Shopee ระบุสาเหตุไว้ว่า “เกิดจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ บริษัทมีความจำเป็นต้องนำทรัพยากรไปทุ่มให้กับกิจการหลักของบริษัทแทน” สำหรับ Sea ในช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีมูลค่าบริษัทสูงถึงเกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.2 ล้านล้านบาท) โดยมีปัจจัยจากธุรกิจเกมและอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงการระบาดของโควิด 19 อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่นั้นมา ราคาหุ้นของบริษัทก็ได้ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน มูลค่าบริษัทอยู่ที่เพียง 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 9.8 แสนล้านบาท) เท่านั้น.. จุดนี้เอง จึงเป็นเหตุผลให้บริษัทหันมาโฟกัสธุรกิจหลัก อย่าง Shopee ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บริษัทครองความเป็นผู้นำในตลาดอยู่ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรให้มากขึ้นนั่นเอง ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ Shopee เพิ่งยุติการดำเนินกิจการทั้งในประเทศอินเดีย และฝรั่งเศส รวมถึงเลิกจ้างพนักงานทั้งในแผนกอีคอมเมิร์ซ และฟู้ดดิลิเวอรี ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย.. อ้างอิง: -https://www.reuters.com/business/retail-consumer/exclusive-seas-shopee-shuts-operations-argentina-chile-colombia-mexico-sources-2022-09-08/
Reuters รายงานว่า Shopee บริษัทในเครือของ Sea จากสิงคโปร์ เตรียมถอนตัวจาก 4 ประเทศในลาตินอเมริกา ได้แก่ ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และอาร์เจนตินา ซึ่งกำลังจะยุติการดำเนินงานในท้องถิ่นใน 3 ประเทศแรก คือชิลี โคลอมเบีย และเม็กซิโก ไม่ได้ปิดกิจการไปเลย แต่จะเป็นการเลิกจ้างพนักงานในท้องถิ่น แล้วดำเนินธุรกิจแบบข้ามพรมแดนแทน แต่ในอาร์เจนตินานั้น จะเป็นการยุติการดำเนินกิจการ ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ Shopee เพิ่งยุติการดำเนินกิจการทั้งในประเทศอินเดีย และฝรั่งเศส รวมถึงเลิกจ้างพนักงานทั้งในแผนกอีคอมเมิร์ซ และฟู้ดดิลิเวอรี ในหลายประเทศ รวมถึงไทยด้วย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39872
Retail
ท็อปส์ จับมือสตาร์ทอัพ Yindii (ยินดี) เปลี่ยนอาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้เป็นอะไรในราคาที่เข้าถึงได้
ท็อปส์ ธุรกิจกลุ่มฟู้ดในเครือเซ็นทรัล รีเทล เดินหน้าตามยุทธศาสตร์เป็นองค์กรค้าปลีกสีเขียวที่มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่านโมเดลแบบใหม่ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) จับมือสตาร์ทอัพ Yindii (ยินดี) แอปพลิเคชันซื้อ-ขายอาหารส่วนเกินอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปลี่ยนอาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้เป็น “Surprise Bags” ในราคาที่เข้าถึงได้ อีกหนึ่งภารกิจกอบกู้อาหารที่ดีต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม ส่งต่อเป็นมื้ออาหารที่มีคุณค่าราคาประหยัด เชื่อมโยงทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เมื่อเปิดกล่องผู้ซื้อจะรู้สึกเซอร์ไพรส์กับอาหารส่วนเกินที่ถูกคัดสรรจากท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท จำหน่ายในราคาที่ถูกลง 50 % อาทิ เบเกอรี่ ผัก ผลไม้สด อาหารแปรรูป อาหารพร้อมทาน ฯลฯ นับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่เป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนด้านอาหารตลอดทั้งกระบวนการ ตามเจตนารมณ์ของ เซ็นทรัล รีเทล เพื่อเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ท็อปส์ เบอร์ 1 ฟู้ด รีเทล ของไทย เรามีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งมอบประสบการณ์ด้านอาหารที่ดีที่สุดตามแนวคิด Every Day DISCOVERY ควบคู่ไปกับการเป็นองค์กรค้าปลีกสีเขียว ต้นแบบธุรกิจกลุ่มฟู้ดที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการลดปริมาณอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) การสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste) ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เปลี่ยนอาหารส่วนเกินสู่อาหารที่มีคุณค่าส่งต่อไปยังครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนผู้สูงอายุ ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศผ่านโครงการ“Food For Good Deed อาหารปันสุข” และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบริหารจัดการขยะและลดปริมาณขยะอาหาร 30% ภายในปี 2573 ตามเจตนารมณ์ของเซ็นทรัล รีเทล ท็อปส์ยังคงมองหาผู้ร่วมอุดมการณ์ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้าง ความยั่งยืนให้โลกใบนี้และมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน ล่าสุดร่วมมือกับสตาร์ทอัพน้องใหม่ Yindii (ยินดี) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันสำหรับซื้อ-ขายอาหารส่วนเกิน (Food Waste) โดยเฉพาะ ร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านโมเดลรูปแบบใหม่ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) ซื้อขายอาหารส่วนเกินซึ่งไม่ได้หมายถึงอาหารเสียหรือหมดอายุ แต่เป็นอาหารส่วนเกินจากการดำเนินธุรกิจของท็อปส์และแฟมิลี่มาร์ทที่สามารถรับประทานได้ จัดทำเป็น “Surprise Bag” จำหน่ายในราคาประหยัด ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญในการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อาหารที่ผู้บริโภคได้ซื้ออาหารที่ดีในราคาถูก อาหารไม่ถูกทิ้งอย่างสูญเปล่า ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม” ด้าน นายหลุยส์-อัลบาน บาทาร์ด-ดูเปร, ประธานกรรมการบริหาร Yindii กล่าวว่า “อาหารส่วนเกินที่ถูกทิ้งเป็นขยะอาหารมีจำนวนมหาศาล จากการประเมินขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) พบว่า 1 ใน 3 ของอาหาร ถูกทิ้งเป็นขยะอาหารหรือประมาณ 1.6 พันล้านตันต่อปี ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทั้งยอดค่าใช้จ่ายของสินค้าโกรเซอรี่ที่สูงขึ้น รวมถึงกระบวนการจัดการขยะอาหารก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 10% หนึ่งในสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน สำหรับ Yindii เป็นแอปพลิเคชันซื้อ-ขายอาหารส่วนเกินอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้ามาดำเนินภารกิจกอบกู้อาหารส่วนเกินคุณภาพดี ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ผลิต เช่น ร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ และซูเปอร์มาร์เก็ต กับผู้บริโภคเข้าด้วยกัน รวมถึงสร้างทางเลือกที่ยั่งยืนที่สุดสำหรับธุรกิจการจัดส่งอาหาร เรารู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ ท็อปส์ ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกลุ่มฟู้ดที่ได้รับความไว้วางใจและอยู่เคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนาน เป็นองค์กรค้าปลีกที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินมาโดยตลอด และเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตรายแรกที่ดำเนินภารกิจกอบกู้อาหารส่วนเกินด้วยระบบดังกล่าว ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นอีกหมุดหมายสำคัญแห่งประวัติศาสตร์และเป็นก้าวสำคัญของการสร้างความมั่นคงให้กับระบบอาหารอย่างยั่งยืนในประเทศไทย และสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้โลกของเราทุกคน” สำหรับการจำหน่ายอาหารส่วนเกินผ่านแอปพลิเคชันYindii (ยินดี)ท็อปส์จะนำอาหารส่วนเกินจากกระบวนการจำหน่ายที่ยังมีคุณภาพดี รับประทานได้มาจัดเป็นกล่องสุ่มอาหารในรูปแบบSurprise Bag ได้แก่ เซตอาหารสด เซตผลไม้และผักสด จำหน่ายในราคาสุดประหยัดเริ่มต้นตั้งแต่ 80 - 200 บาท ซึ่งลูกค้าจะรู้ว่าสินค้าในเซตดังกล่าวประกอบด้วยอะไรบ้างต่อเมื่อเปิดถุงเซอร์ไพรส์ ที่บรรจุอาหารส่วนเกินจากการจำหน่าย ในแต่ละวัน อาทิ ผัก ผลไม้ เบเกอรี่ อาหารพร้อมทาน นม โยเกิร์ต ชีส เครื่องดื่ม ไข่ไก่ ไส้กรอก แฮม เบคอน ฯลฯ โดยในระยะแรกของการจำหน่ายเมื่อลูกค้าสั่งซื้อเซตอาหารส่วนเกิน สามารถเลือกบริการส่งสินค้าถึงบ้านหรือรับสินค้าที่ท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ททั้ง 15 สาขาในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ท็อปส์ สาขา สีลม คอมเพล็กซ์, สุขุมวิท 19, เอ็มไพร์ ทาวเว่อร์, สุขาภิบาล 3, อ่อนนุช, แคมปัส วอล์ก เกษตร, อาร์ซีเอ, พระราม 9,ชิดลม 19, พิบูลวัฒนา, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ สาขา คริสตัล ปาร์ค, เซ็นทรัลเวิลด์ แฟมิลี่มาร์ท สาขา ศูนย์วัฒนธรรม และ จันทร์ 27 โดยผู้ซื้อจะได้รับความคุ้มค่าทั้งด้านคุณภาพ และประหยัดการใช้จ่ายในแต่ละมื้ออาหารได้มากถึง 50% เป็นการลดปริมาณขยะอาหารที่เกิดจากอาหารส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งต่อความสุขผ่านมื้ออาหารแทนการทิ้งให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และเตรียมเตรียมขยายความร่วมมือไปยังสาขาอื่นๆ ในพื้นที่ทั่วประเทศ “ปัจจุบันผู้บริโภคได้ตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาขยะอาหารมากขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารส่วนใหญ่โดยเฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ตหันมาให้ความสำคัญในการกำหนดแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกินทุกวิถีทาง ท็อปส์ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ขยายความร่วมมือกับ Yindii ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของการทำงานอย่างหนักร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างเสริมความยั่งยืนด้านอาหารให้แก่สังคม รวมถึงเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการกอบกู้อาหารและปกป้องโลก สร้างประโยชน์ร่วมกันในทุกมิติ ซึ่งสอดคล้องกับแกนดำเนินธุรกิจ Discover Happiness ของท็อปส์ที่ชวนให้ลูกค้าได้มาค้นหาและสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง รวมถึงการสร้างสังคมที่น่าอยู่ได้ทุกวันที่ท็อปส์ ” นายสเตฟาน กล่าวสรุป ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tops.co.th, เฟซบุ๊ก TopsThailand, หรือแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand
ท็อปส์ จับมือสตาร์ทอัพ Yindii (ยินดี) แอปพลิเคชันซื้อ-ขายอาหารส่วนเกินอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปลี่ยนอาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้เป็น “Surprise Bags” ในราคาที่เข้าถึงได้ อีกหนึ่งภารกิจกอบกู้อาหารที่ดีต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม ส่งต่อเป็นมื้ออาหารที่มีคุณค่าราคาประหยัด เชื่อมโยงทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เมื่อเปิดกล่องผู้ซื้อจะรู้สึกเซอร์ไพรส์กับอาหารส่วนเกินที่ถูกคัดสรรจากท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท จำหน่ายในราคาที่ถูกลง 50 % อาทิ เบเกอรี่ ผัก ผลไม้สด อาหารแปรรูป อาหารพร้อมทาน ฯลฯ นับเป็นอีกก้าวสำคัญสู่เป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนด้านอาหารตลอดทั้งกระบวนการ ตามเจตนารมณ์ของ เซ็นทรัล รีเทล เพื่อเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39876
Retail
กลยุทธ์ใดบ้างที่ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดขายผ่าน LINE Official Account (LINE OA)
null
โฆษณางานสัมมนา "BOOTCAMP DAY" จัดขึ้นโดย LINE for Business มุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME 1. งานสัมมนานี้ นำเสนอเนื้อหาที่หลากหลาย - การบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด - เวิร์คช็อปแบบลงมือทำ - การแชร์ประสบการณ์จากเจ้าของธุรกิจ 2. โดยมุ่งเน้นไปที่การสอนวิธีการใช้เครื่องมือ LINE OA: LINE OA: - เป็นเครื่องมือสื่อสารบนแพลตฟอร์ม LINE - ช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้า - ส่งเสริมการขาย - เพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า - สำหรับธุรกิจค้าปลีก 3. LINE OA สามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดขายได้หลายวิธี ตัวอย่างกลยุทธ์ (1). สร้างฐานข้อมูลลูกค้า: - เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล - วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการ - ส่งข้อความโปรโมชั่นและข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า (2). ส่งเสริมการขาย: - เสนอส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะสำหรับผู้ใช้ LINE OA - เปิดตัวสินค้าใหม่ผ่าน LINE OA - จัดกิจกรรมบน LINE OA เช่น เกม ลุ้นรางวัล (3). เพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า: - ตอบคำถามลูกค้าผ่าน LINE OA - รับออเดอร์และชำระเงินผ่าน LINE OA - จัดการการจัดส่งสินค้า (4). สร้างชุมชนออนไลน์: - สร้างกลุ่ม LINE OA สำหรับลูกค้า - แชร์ข้อมูลข่าวสาร - จัดกิจกรรมออนไลน์ - ส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วม 5. การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ - ธุรกิจค้าปลีกสามารถเพิ่มยอดขาย - เพิ่มฐานลูกค้า - สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า - พัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตัวอย่าง (1). ร้านขายเสื้อผ้า: - เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ไซส์เสื้อผ้าที่ชื่นชอบ สไตล์ที่ชอบ - ส่งข้อความโปรโมชั่นส่วนลดสำหรับเสื้อผ้าใหม่ - จัดกิจกรรมบน LINE OA เช่น เกมลุ้นรางวัลเสื้อผ้าฟรี (2). ร้านอาหาร: - รับออเดอร์และชำระเงินผ่าน LINE OA - แจ้งสถานะการจัดส่งอาหาร - เสนอส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้า LINE OA (3). ร้านขายของชำ: - สร้างกลุ่ม LINE OA สำหรับลูกค้าในละแวกใกล้เคียง - แจ้งรายการสินค้าและราคา - รับออเดอร์และจัดส่งสินค้าถึงบ้าน 6. งานสัมมนา "BOOTCAMP DAY" - เป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจค้าปลีก - ที่จะเรียนรู้กลยุทธ์และวิธีการใช้ LINE OA - เพื่อเพิ่มยอดขายและพัฒนาธุรกิจ 7. ผู้ประกอบการ SME - ควรลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนา "BOOTCAMP DAY" เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตนเอง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39888
Retail
สรุปบทความเรื่อง สรุปธุรกิจ BUZZEBEES ให้หน่อย
BUZZEBEES คือ เบื้องหลังการเชื่อมต่อแบรนด์และธุรกิจกับลูกค้า ได้อย่างสมบูรณ์ โดย 4 ธุรกิจหลัก ของ BUZZEBEES คือ 1. พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM & Loyalty Platform) 2. จัดหาของรางวัล และสิทธิพิเศษ (Rewards & Privileges Management) 3. บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร (E-Commerce Service) 4. บริการระบบจัดการร้านค้า และการรับชำระเงิน (Retail Solutions & E-Payment) #BUZZEBEES #No1LoyaltyPlatform #No1CRMDigitalEngagement
BUZZEBEES เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมต่อแบรนด์และธุรกิจกับลูกค้าอย่างครบวงจร โดยมี 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่: 1.แพลตฟอร์มบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM & Loyalty Platform): ช่วยให้แบรนด์สามารถจัดการและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีขึ้น 2.จัดหาของรางวัลและสิทธิพิเศษ (Rewards & Privileges Management): ให้บริการในการจัดหารางวัลและสิทธิพิเศษต่าง ๆ สำหรับลูกค้า 3.บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร (E-Commerce Service): ให้บริการที่เกี่ยวกับการขายสินค้าออนไลน์อย่างครบถ้วน 4.บริการระบบจัดการร้านค้าและการรับชำระเงิน (Retail Solutions & E-Payment): ช่วยในการจัดการร้านค้าและระบบการชำระเงินที่สะดวก BUZZEBEES มุ่งหวังเป็น แพลตฟอร์มความภักดีอันดับหนึ่ง และ การมีส่วนร่วมของลูกค้าในโลกดิจิทัล
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39893
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับการผสมผสานกลยุทธ์การขายแบบออฟไลน์และออนไลน์ เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
null
ดิจิทัลพลิกชะตา ร้านโชห่วยก้าวสู่ยุคไร้เงินสด ณ ใจกลางชุมชนเก่าแก่ ร้านโชห่วย "บ้านคุณยาย" ของคุณยายสมพิศ ยังคงเปิดให้บริการเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สินค้าหลากหลายวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ บนชั้นวางที่เก่าแก่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน ลูกค้าประจำส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุในละแวกนั้น ต่างคุ้นเคยกับรอยยิ้มและสินค้าราคาประหยัดของร้านคุณยาย ทว่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ร้านโชห่วยเล็กๆ เริ่มเผชิญกับความท้าทาย ลูกค้าเริ่มบางตาลง ยอดขายลดฮวบ สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนหันไปซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง คุณยายสมพิศเริ่มกังวล อนาคตของร้านโชห่วยที่เธอทุ่มเททั้งชีวิตดูริบหรี่ลงทุกที หลานสาวคนโตของเธอ "มินตรา" จึงอาสาเข้ามาช่วยเหลือ มินตราเพิ่งจบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอมีความรู้ด้านการตลาดออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัล มินตราเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจร้านโชห่วย เธอพบว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ จัดโครงการ "SMART LOCAL by DBD" มุ่งยกระดับร้านค้าชุมชนไทยเข้าสู่โลกดิจิทัล มินตราสนใจโครงการนี้เป็นอย่างมาก เธอรีบพาคุณยายไปสมัครเข้าร่วม หลังจากเข้าร่วมโครงการ ร้านโชห่วย "บ้านคุณยาย" ได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่ ปรับปรุงระบบการชำระเงินให้รองรับการชำระแบบดิจิทัล ผ่านแอปพลิเคชัน "แม่มณี" ของธนาคารไทยพาณิชย์ ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าด้วย QR Code สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องพกเงินสด นอกจากนี้ มินตรา ยังเรียนรู้วิธีการขายสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Shopee และ Lazada การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สร้างความประหลาดใจให้กับลูกค้าประจำ หลายคนไม่เคยใช้แอปพลิเคชันชำระเงินมาก่อน มินตราจึงอดทนสอนวิธีการใช้งานให้ทีละขั้นตอน ลูกค้าบางรายเริ่มคุ้นเคยและชื่นชอบการชำระเงินแบบดิจิทัล เพราะสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ยอดขายของร้านโชห่วย "บ้านคุณยาย" เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ลูกค้าหน้าใหม่เริ่มทยอยเข้ามาซื้อของ มินตรา ยังสร้างเพจ Facebook ของร้าน เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้า โพสต์รูปสินค้า ข้อมูลโปรโมชั่น และกิจกรรมต่างๆ การผสมผสานกลยุทธ์การขายแบบออฟไลน์และออนไลน์ เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล ช่วยให้ร้านโชห่วย "บ้านคุณยาย" สามารถก้าวข้ามอุปสรรคและเติบโตได้อย่างยั่งยืน คุณยายสมพิศรู้สึกดีใจ ร้านโชห่วยของเธอที่เคยเผชิญวิกฤต กลับมาคึกคักอีกครั้ง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_39902
Retail
GrabAds มีศักยภาพที่จะกลายเป็นสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีก (Retail Media Network) อันดับต้นๆ ของประเทศไทยหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: จากข้อมูลที่ให้มา มีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่า GrabAds มีศักยภาพที่จะกลายเป็นสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีกอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ดังนี้ 1. เทรนด์การเติบโตของ Retail Media Network: สื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีก (Retail Media Network) กำลังมาแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่องทางใหม่ที่มีประสิทธิภาพสำหรับแบรนด์ในการเข้าถึงผู้บริโภค ช่วยให้แบรนด์สามารถจับคู่กับผู้บริโภคที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้ 2. จุดแข็งของ GrabAds: การเชื่อมโยงโลกออฟไลน์และออนไลน์: GrabAds สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั้งบนแอปพลิเคชันออนไลน์ และผ่านสื่อโฆษณาออฟไลน์ ช่วยให้แบรนด์สร้างแบรนด์และปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงตามเป้าหมาย การจับกลุ่มลูกค้าคุณภาพ: ผู้ใช้ Grab ส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง อัตราการคลิกโฆษณา (CTR) สูงกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ 3-5 เท่า ผู้ใช้ 77% รับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาบน Grab การเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่ายจริง: GrabAds มีฐานข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้ที่ครอบคลุม ช่วยให้แบรนด์เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง สามารถสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ 3. กลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า: Grab กำลังขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มธุรกิจ FMCG, ยานยนต์ และการเงิน กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีการเติบโตสูงและใช้งบโฆษณาอย่างต่อเนื่อง การขยายฐานลูกค้า จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ GrabAds กลายเป็นสื่อโฆษณาอันดับต้นๆ 4. เป้าหมายของ Grab: Grab ตั้งเป้าจะเป็นสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีกอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เป้าหมายนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของ Grab ในการพัฒนา GrabAds Grab มีศักยภาพในการบรรลุเป้าหมายนี้ สรุป: จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า GrabAds มีศักยภาพที่จะกลายเป็นสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีกอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ด้วยจุดแข็ง กลยุทธ์ และเป้าหมายที่ชัดเจน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_39907
Retail
อะไรคือกลยุทธ์สำคัญของ SUN Vending ที่ทำให้สามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในประเทศไทย?
null
SUN Vending มีกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้สามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในประเทศไทย ดังนี้ 1. โมเดลธุรกิจที่ครอบคลุม: จำหน่ายตู้: เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนเองทั้งหมด ให้เช่าตู้: เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการทดลองตลาด หรือต้องการลงทุนแบบไม่ต้องใช้เงินทุนก้อนใหญ่ วางบริการตู้ในพื้นที่: เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่ เช่น อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า แฟรนไชส์: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ Vending Machine โดยไม่ต้องเริ่มต้นเอง 2. ตู้สินค้าหลากหลายประเภท: SUN Vending มีตู้สินค้าหลากหลายประเภท ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ เช่น ตู้จำหน่ายเครื่องดื่ม ตู้จำหน่ายอาหาร ตู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค 3. สินค้าหลากหลาย: SUN Vending มีสินค้าหลากหลายกว่า 700 รายการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค 4. จุดวางตู้ที่เข้าถึงลูกค้า: SUN Vending วางตู้สินค้าในจุดที่มีคนพลุกพล่าน เช่น อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา โรงพยาบาล 5. เทคโนโลยีล้ำสมัย: SUN Vending ใชเทคโนโลยีล้ำสมัยในการจัดการตู้สินค้า เช่น ระบบการชำระเงินแบบ cashless ระบบการติดตามสินค้า 6. บริการหลังการขาย: SUN Vending มีบริการหลังการขายที่ดี มีทีมช่างผู้ชำนาญพร้อมแก้ไขปัญหา 7. ทีมงานมืออาชีพ: SUN Vending มีทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในธุรกิจ Vending Machine มามากกว่า 20 ปี 8. กลยุทธ์การขยายธุรกิจ: SUN Vending มีกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่ชัดเจน เช่น การขยายจำนวนตู้สินค้า การขยายสินค้าใหม่ การขยายตลาดไปยังต่างประเทศ 9. การเข้าตลาดหลักทรัพย์: SUN Vending เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วยให้บริษัทมีเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจ 10. ภาพลักษณ์ที่ดี: SUN Vending เป็นบริษัทที่มีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ สรุป: กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ SUN Vending สามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในประเทศไทย คือ โมเดลธุรกิจที่ครอบคลุม ตู้สินค้าหลากหลายประเภท สินค้าหลากหลาย จุดวางตู้ที่เข้าถึงลูกค้า เทคโนโลยีล้ำสมัย บริการหลังการขาย ทีมงานมืออาชีพ กลยุทธ์การขยายธุรกิจ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ และภาพลักษณ์ที่ดี
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39908
Retail
จงสรุปบทความ Central Tech อะเมซอน และศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดศูนย์ทดลองเทคโนโลยีค้าปลีกสำหรับนวัตกรสตาร์ตอัปแบบครบวงจร
Central Tech เปิดศูนย์ Central Tech Retail Lab (CTRL) ศูนย์ทดลองเทคโนโลยีค้าปลีกสำหรับนวัตกรสตาร์ตอัปแบบครบวงจร เพื่อร่วมก้าวเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลค้าปลีกของไทย ด้วยความร่วมมือกับอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) ของ Amazon.com และศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ในปี 2020 นี้ นับได้ว่าเป็นวาระสำคัญของโลกแห่งเทคโนโลยี เพราะการให้บริการ 5G ที่กำลังจะเข้ามานั้น จะยิ่งทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีของทุกคนนั้นง่ายและสะดวกรวดเร็วขึ้น การสร้างศูนย์กลางสำหรับให้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยน สร้างสรรค์ และพัฒนานวัตกรรมต่างๆ แบบครบวงจร จะช่วยพัฒนาและยกระดับ สตาร์ตอัปของเมืองไทยให้พัฒนาและมีคุณภาพในระดับชั้นแนวหน้าของโลก Central Tech ภายใต้การบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ที่นำโดย คุณ Axel Winter ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี กลุ่มเซ็นทรัล (Chief Technology Officer – Central Group) และคุณโกวินทร์ กุลฤชากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายนวัตกรรม โดยคุณ Axel Winter ได้กล่าวถึงโครงการ Central Tech Retail Lab (CTRL) นี้ว่า “เนื่องจากกลุ่มเซ็นทรัลมีธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และโรงแรม ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เราอยากมีพื้นที่สำหรับศูนย์ทดลอง เพื่อร่วมพัฒนาสินค้าที่เรามี อีกทั้งเป็นพื้นที่ในการสรรหาผู้ผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับกลุ่มธุรกิจของเรา และในครั้งนี้ เรายังได้พันธมิตรอย่าง อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส หรือ AWS ที่จะมาร่วมมือกันช่วยพัฒนา การสรรหาสตาร์ตอัปที่น่าสนใจมาร่วมโครงการกับเราด้วย นับว่าเป็นโครงการที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายไม่ใช่แค่เพียงเรา ในฐานะกลุ่มเซ็นทรัลเท่านั้น” นอกจากนี้ ทางคุณโกวินทร์ กุลฤชากร ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการก่อตั้งศูนย์ทดลองนวัตกรรมค้าปลีกนี้ว่า “ต้องยอมรับว่าในประเทศไทยเรายังขาดพื้นที่ ที่เป็นศูนย์กลางของการรวบรวมผลงาน การคิดค้น ทดลองผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมต่างๆ ที่จะทำให้กลุ่มผู้สนใจเรื่องนวัตกรรมมารวมตัว ร่วมมือ หรือแชร์ประสบการณ์กัน โดยการสร้างศูนย์ทดลองฯ นี้ เรามองไปถึงกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ที่มีความสนใจในนวัตกรรมค้าปลีก รวมไปจนถึงกลุ่มสตาร์ตอัปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่จะมาแลกเปลี่ยนความรู้ ในเรื่องของการนำเสนอนวัตกรรมค้าปลีกใหม่ๆ เพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งด้านการวิจัย การให้ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งทาง Central Tech เอง ยินดีเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้คำแนะนำในการประกอบธุรกิจ โดยผลิตภัณฑ์ หรือนวัตกรรมที่ผ่านการทดลองจากทางเรา จะได้เข้าสู่ตลาดจริงๆ ซึ่งหากเป็นสินค้าที่น่าสนใจแล้ว ทางกลุ่มเซ็นทรัล ยินดีเป็นช่องทางในวางขายสินค้ากับบริษัทในเครือ หรือหาตลาดให้กับสินค้าที่น่าสนใจอีกด้วย” ดร. ชวพล จริยาวิโรจย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส และ Central Tech มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ในการร่วมพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในประเทศไทย เรายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่วมโครงการ Central Tech Retail Lab (CTRL) นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ AWS ที่จะได้ร่วมสนับสนุนกลุ่มสตาร์ตอัปด้วยระบบและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของระบบคลาวด์ที่ครอบคลุมและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่เราได้พัฒนาในเรื่อง Solution หลังบ้าน หรือ Cloud Service ให้กับลูกค้าตั้งแต่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึง Enterprise ทั่วไป”
Central Tech จับมืออะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) ของ Amazon.com และศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิด Central Tech Retail Lab (CTRL) ศูนย์ทดลองเทคโนโลยีค้าปลีกสำหรับนวัตกรสตาร์ตอัปแบบครบวงจร ให้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยน สร้างสรรค์ และพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาและยกระดับสตาร์ตอัปไทยให้มีคุณภาพในระดับชั้นแนวหน้าของโลก โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ซึ่งมีความสนใจในนวัตกรรมค้าปลีก รวมไปจนถึงกลุ่มสตาร์ตอัปในประเทศและต่างประเทศ ที่จะมาแลกเปลี่ยนความรู้ ในเรื่องของการนำเสนอนวัตกรรมค้าปลีกใหม่ๆ สำหรับรองรับการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งในด้านการวิจัย การให้ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมรับคำแนะนำในการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่ผ่านการทดลอง จะได้เข้าสู่ตลาดจริง ที่สำคัญคือหากเป็นสินค้าที่น่าสนใจด้วยแล้ว ทางกลุ่มเซ็นทรัล ยินดีเป็นช่องทางวางขายหรือหาตลาดให้ได้
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39911
Retail
โปรดสรุปบทความ Ralph Lauren จับมือ Dow กับโครงการ Ralph Lauren’s Color on Demand ให้ลูกค้าเลือกสีผ้า ขนาด และลาย ก่อนนำไปย้อมสีที่ต้องการได้
เชื่อว่าเราคงเคยมีประสบการณ์ เดินเข้าร้านแบรนด์เสื้อที่ชอบ แต่กลับไม่มีสีที่ถูกใจ, มีสีที่ชอบแต่ไซซ์หมด หรือลายไม่ตรงความต้องการ ฯลฯ แต่สำหรับใครก็ตาม ที่เป็นแฟนคลับเสื้อโปโล Ralph Lauren เสื้อปักลายม้าที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพราะปัญหาเหล่านี้ กำลังจะหมดไปในไม่ช้า โดยล่าสุด ทาง Ralph Lauren ได้เตรียมกลยุทธ์ขับเคลื่อนแบรนด์ ไปกับโลกยุคใหม่ ด้วยการนำเสนอการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการให้บริการกับลูกค้า ผ่านโครงการ “Ralph Lauren’s Color on Demand” ซึ่งจะเป็นโครงการที่ทำให้ลูกค้าของ Ralph Lauren สามารถเลือกสีผ้า, ขนาด และลาย ก่อนนำไปย้อมสีที่ต้องการเองได้ที่ร้านค้า ทำให้ลูกค้าได้สินค้าที่ตรงความต้องการมากขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องรอนานด้วย โดยโครงการจะเริ่มในปีหน้า ที่แฟล็กชิปสโตร์ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาก่อน ทั้งนี้ โครงการนี้เป็นความร่วมมือกับ Dow บริษัทด้านเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการย้อมผ้า ซึ่งทางบริษัท Dow และ Ralph Lauren จะร่วมมือกันเพื่อลดการใช้สารเคมี, ปริมาณน้ำ และพลังงานที่ใช้ในการย้อมสีผ้าลง โดยทางคุณ Jim Fitterling ประธานบริหาร (CEO) ของ Dow ได้กล่าวไว้ว่า “เห็นได้ชัดว่า Ralph Lauren ที่เป็นบริษัทขายเสื้อผ้า แน่นอนว่าก็ต้องใช้ผ้าฝ้ายจำนวนมาก และในกระบวนการย้อมสีผ้า ก็จำเป็นต้องใช้สารเคมี, น้ำ และพลังงานความร้อนจำนวนมาก เพื่อกดสีลงไปบนผ้าแต่ละชิ้น ซึ่งนั้นเป็นอะไรที่สร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม” ที่สำคัญ บนโลกเรามีการใช้ปริมาณน้ำระดับหลายล้านล้านลิตร ไปกับอุตสาหกรรมการย้อมผ้า ซึ่งคิดเป็น 20% ของปริมาณน้ำเสียของโลก เลยทีเดียว พอเห็นแบบนี้ ก็ทำให้ทางบริษัท Dow เริ่มตระหนักถึงผลกระทบ และทำการพัฒนาเทคโนโลยีการย้อมผ้าขึ้นมาเอง เพื่อใช้แก้ปัญหาดังกล่าว โดยมีชื่อเทคโนโลยีว่า “ECOFAST Pure” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการย้อมผ้าที่ใช้สารเคมีน้อยกว่าเดิมถึง 90%, ใช้พลังงานน้อยกว่าเดิม 50% รวมถึงใช้ปริมาณน้ำน้อยกว่าเดิม 50% จากเทคโนโลยีของ Dow ก็ทำให้ทาง Ralph Lauren เอง นำจุดเด่นตรงนี้ไปใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในอนาคต และยังสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าได้ด้วย ซึ่งจากตรงนี้ ทาง Ralph Lauren เชื่อว่า จะสามารถโน้มน้าวให้ผู้คนอยากมาที่ร้านค้าของแบรนด์มากขึ้น หลังจากที่วิกฤติโรคระบาดจบลง แต่ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวก ก็ยังสามารถสั่งทางออนไลน์ได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ของ Ralph Lauren นี้ ทำให้แบรนด์สามารถสร้างประโยชน์ได้หลายต่อเลยทีเดียว อย่างแรก คือ สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) และสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ ประหนึ่งว่าเสื้อตัวนี้มีเพียงตัวเดียวในโลก Close Ad Close Ad ต่อมาคือ ช่วยโลก เพราะการนำเอาเทคโนโลยี ECOFAST Pure ของบริษัท Dow มาใช้ ก็เป็นเหมือนกับการช่วยโลกผ่านการประหยัดทั้งน้ำ, พลังงาน และสารเคมี อีกทั้ง ยังส่งผลต่อต้นทุนที่ต่ำลงในระยะยาว ทำให้ทางบริษัทน่าจะมีกำไรมากขึ้น หากสามารถนำไปปรับใช้อย่างแพร่หลายได้ในอนาคต อย่างสุดท้ายก็คือ ผลพลอยได้ ที่ทำให้บริษัทไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดการสต็อกเสื้อโปโล แต่ละสีและไซซ์ เพราะจริง ๆ แล้ว การบริหารจัดการสต็อก ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความน่าปวดหัวไม่น้อย เพราะต้องคอยเช็คความต้องการของลูกค้าแต่ละสาขาพื้นที่ รวมไปถึงไซซ์ต่าง ๆ แต่พอสามารถดำเนินการย้อมสีเสื้อในร้านค้าได้ ก็ทำให้การบริหารจัดการง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี Ralph Lauren ก็ไม่ใช่เพียงแบรนด์เดียว ที่นำเอาเทคโนโลยีมาเพื่อดึงดูดใจลูกค้า รวมถึงปรับตัวแบรนด์ให้สามารถขับเคลื่อนไปกับโลกยุคใหม่ (Post-pandemic Era) ได้ เพราะอย่างแบรนด์ North Face ก็ได้มีการเปิดให้ลูกค้า สามารถเลือกส่วนประกอบต่าง ๆ ของแจ็กเก็ตเองได้ ทำให้เสื้อแจ็กเก็ตที่ออกมาแต่ละตัวนั้น มีความเฉพาะบุคคลมากขึ้น รวมไปถึงแบรนด์รองเท้า อาทิ Nike และ Adidas ก็เคยเข้าซื้อบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีด้าน Body-scanning เพื่อรองรับเทรนด์การออกแบบเฉพาะบุคคล ที่จะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต
Ralph Lauren จับมือ Dow บริษัทด้านเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เตรียมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ผ่านโครงการ Ralph Lauren’s Color on Demand ที่จะช่วยให้ลูกค้าของ Ralph Lauren เลือกสีผ้า ขนาด และลาย ก่อนนำไปย้อมสีที่ต้องการเองได้ที่ร้านค้า ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการเสมือนได้สวมเสื้อที่มีเพียงตัวเดียวในโลก รวมทั้งไม่ต้องรอนาน นอกจากนี้ยังช่วยลดการใช้สารเคมี ปริมาณน้ำ และพลังงานที่ใช้ในการย้อมสีผ้าลงด้วย โดยโครงการนี้จะเริ่มต้นในปีหน้า ที่แฟล็กชิปสโตร์ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาก่อน ซึ่งหากลูกค้าไม่สะดวกมาหน้าร้าน ก็ยังสามารถสั่งทางออนไลน์ได้เช่นกัน
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39912
Retail
งาน KBTG Techtopia นำเสนอโอกาสอะไรบ้างสำหรับธุรกิจค้าปลีกในยุค AI? ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ประโยชน์อย่างไร?
null
งาน KBTG Techtopia นำเสนอโอกาสมากมายสำหรับธุรกิจค้าปลีกในยุค AI ดังนี้ 1. เรียนรู้เทรนด์ AI ล่าสุด: ผู้เข้าร่วมงานสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเทรนด์ AI ล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้สามารถช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับการใช้ AI 2. ค้นพบโซลูชัน AI ใหม่: งานนำเสนอโซลูชัน AI ใหม่จากบริษัทชั้นนำ ธุรกิจค้าปลีกสามารถค้นหาโซลูชันที่ตรงกับความต้องการของตน 3. เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในอุตสาหกรรม: งานสร้างโอกาสให้ธุรกิจค้าปลีกได้เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในอุตสาหกรรม การเชื่อมต่อเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความร่วมมือใหม่และโอกาสทางธุรกิจ 4. พัฒนาทักษะ AI ของพนักงาน: พนักงานสามารถเข้าร่วมเวิร์กช็อปและการฝึกอบรมเกี่ยวกับ AI สิ่งนี้จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสร้างแรงงานที่มีทักษะ ตัวอย่างการใช้ AI ในธุรกิจค้าปลีก: การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อระบุรูปแบบและความชอบ ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อปรับแต่งประสบการณ์การช็อปปิ้งสำหรับลูกค้าแต่ละราย การแนะนำสินค้า: AI สามารถแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าตามประวัติการซื้อและความสนใจ สิ่งนี้สามารถช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความพึงพอใจของลูกค้า แชทบอท: แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถตอบคำถามของลูกค้าและให้ความช่วยเหลือ สิ่งนี้สามารถช่วยปรับปรุงการบริการลูกค้าและลดต้นทุน งาน KBTG Techtopia เป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ AI และค้นหาวิธีใหม่ ๆ ในการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อปรับปรุงธุรกิจของตน คำแนะนำเพิ่มเติม: ธุรกิจค้าปลีกควรเริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาหรือโอกาสทางธุรกิจที่ AI สามารถแก้ไขได้ จากนั้นพวกเขาควรค้นหาโซลูชัน AI ที่ตรงกับความต้องการของตน สิ่งสำคัญคือต้องทดสอบโซลูชัน AI ก่อนที่จะใช้งานจริง ธุรกิจค้าปลีกควรเตรียมพร้อมที่จะลงทุนใน AI และพัฒนาทักษะ AI ของพนักงาน งาน KBTG Techtopia เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน AI สรุป: งาน KBTG Techtopia นำเสนอโอกาสมากมายสำหรับธุรกิจค้าปลีกในยุค AI ธุรกิจค้าปลีกสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเทรนด์ AI ล่าสุด ค้นพบโซลูชัน AI ใหม่ เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในอุตสาหกรรม และพัฒนาทักษะ AI ของพนักงาน การใช้ AI สามารถช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้งสำหรับลูกค้า เพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_39916
Retail
ฟีเจอร์ใหม่ของ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” จะแบ่งเป็น 3 โซลูชันหลัก ๆ ได้แก่อะไรบ้าง
รู้หรือไม่ แม่มณี ที่พ่อค้าแม่ค้าต่างหลงรัก ปัจจุบันมีอายุ 4 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นที่เกิดจากทาง SCB ต้องการโปรโมต App SCB EASY ที่ผู้ใช้สามารถสแกน QR Code จ่ายเงินตามร้านค้าต่าง ๆ จนเมื่อ SCB มองเห็นว่าโลกของการขายสินค้าออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ก็เลยทำให้ SCB ตัดสินใจลงทุนพัฒนา App ที่ชื่อว่า แม่มณี ในช่วงปี 2019 ที่เป็นเสมือนเพื่อนสนิทของคนขายสินค้าที่มีหน้าร้าน ด้วยจุดเด่นหลายอย่าง เช่น แยกยอดขายจากบัญชีส่วนตัว, สร้าง QR Code ได้เองได้ไม่จำกัด, เจ้าของไม่อยู่ เพิ่มให้ลูกน้องเห็นยอดเงินค่าสินค้า โดยไม่ต้องถ่ายภาพสลิปส่งให้เจ้าของร้าน เป็นต้น และในเวลาแค่ 2 ปีนับจากการเปิดตัว App แม่มณี กลายเป็น App ประจำโทรศัพท์ของคนขายสินค้า ทั้ง SME และคนค้าขายรายเล็ก ๆ ความน่าสนใจ เรื่องนี้มันอยู่ที่ว่า ที่ผ่านมา SCB มองเห็นปัญหาการซื้อขายในออนไลน์ ทั้งฝั่งผู้ขายและผู้ซื้อ ก็เลยมีความคิดที่ว่าในฐานะ “คนกลาง” จะทำอย่างไร ที่จะทำลายกำแพงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้การขายออนไลน์สนุกและง่ายขึ้น แล้วกำแพงปัญหาที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง ? คุณอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ของ SCB เล่าให้ฟังว่า จากที่ส่งทีมงานสำรวจความคิดเห็นพ่อค้าแม่ค้าในออนไลน์พบปัญหาหลายเรื่อง เช่น ด้วยการที่ประกาศขายสินค้าหลายช่องทาง ทำให้ตอบ แชทไม่ทัน พลาดโอกาสในการขาย เมื่อขายดีแต่ต้องทำหลายอย่างด้วยตัวคนเดียว ทำให้เกิดปัญหาการจัดสต็อก ลูกค้าต้องการผ่อนชำระ แต่ร้านไม่สามารถรับผ่อนสินค้า, ธุรกิจกำลังเติบโตอยากได้เงินทุนเพิ่มเพื่อขยายธุรกิจ ทีนี้เมื่อรู้ปัญหาทาง SCB ก็เลยพัฒนาเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานใน App แม่มณี ที่ชื่อว่า “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” เพื่อมาทลายกำแพงปัญหาเหล่านี้ โดยฟีเจอร์ใหม่ของ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” จะแบ่งเป็น 3 โซลูชันหลัก ๆ 1. ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์แบบมืออาชีพ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SCB กับ บริษัท ชิปนิตี้ จำกัด (Shipnity) ผู้ให้บริการระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ หากใครที่ขายสินค้าออนไลน์ ย่อมต้องขายในหลาย ๆ ช่องทางเพื่อให้ได้ยอดขายมากที่สุด ไม่ว่าจะ Facebook, Instagram, LINE และ Marketplace อื่น ๆ ปัญหาที่ตามมาคือ ตอบ แชทไม่ทัน พลาดโอกาสในการขาย โดยโซลูชันนี้จะรวบรวมทุกช่องทางการขายเข้ามาอยู่ใน App แม่มณี คนขายไม่ต้องมอนิเตอร์ทุกช่องทาง สามารถตอบแช็ตรวดเร็ว ไม่พลาดทุกโอกาสการขาย อีกทั้งยังมีระบบจัดการสต็อกสินค้าและรับออเดอร์ ตั้งแต่เช็กยอด-รับคำสั่งซื้อ-ส่งสินค้า-รอรับเงิน และยังเชื่อมต่อกับบริษัทขนส่งชื่อดังครบทุกบริษัท ซึ่งนั่นแปลว่า ฟีเจอร์นี้ ช่วยคนขายสินค้าออนไลน์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสินค้าถึงมือลูกค้า 2. รองรับการจ่ายเงินครบวงจร แม้แต่ซื้อสินค้าแบบผ่อน แน่นอนว่า นอกจากรับชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code, บัตรเครดิตและเดบิต สิ่งที่ มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ กำลังทำคือ การรับผ่อนชำระสินค้า โดย SCB จะเป็นผู้รับผิดชอบตรงนี้ หลายคนคงถาม SCB จะใช้วิธีไหน ? อธิบายง่าย ๆ คนขายต้องสมัครเข้าสู่ระบบผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตและเดบิตของทาง SCB ส่วนทางฝั่งคนซื้อก็ต้องใช้บัตรเครดิตและเดบิตกับทาง SCB จากนั้นก็ทำการผ่อนชำระค่าสินค้ากับทาง SCB โดยตรง ส่วนในฝั่งคนขายก็จะได้รับเงินทันที 3. คอร์สเรียนออนไลน์เสริมทักษะ และคะแนนแลกของรางวัล สิ่งที่คนขายสินค้าออนไลน์ ต้องการมากที่สุด ก็คือ เคล็ดลับในการสร้างยอดขาย ก็เลยทำให้ทาง SCB จัดตั้ง Manee Academy คอร์สเรียนออนไลน์ที่จะมีกูรูด้านการขายออนไลน์ มาแนะนำทริกเด็ดเคล็ดลับดี เพิ่มยอดขายจนถึงการสร้างตัวตนร้านค้าให้มีความน่าเชื่อถือ จนถึงยังมี Manee Rewards ที่ผู้ขายจะได้รับคะแนนสะสมทุกการรับชำระเงินผ่าน App จากนั้นก็นำคะแนนที่สะสมมาแลกของรางวัลต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมี วงเงินสินเชื่อออนไลน์ รู้หรือไม่ว่า ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่คนขายออนไลน์หรือแม้แต่ SME ต้องเสียโอกาสไป นั้นคือเมื่อธุรกิจกำลังไปได้สวย กลับไม่มีเงินทุนในการต่อยอดเพื่อไปข้างหน้า เมื่อมองเห็นปัญหานี้ก็เลยทำให้ มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ จึงนำเสนอสินเชื่อ ให้แก่ผู้ขายหรือ SME รายเล็ก ๆ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากทาง App แม่มณี เพื่อมอบข้อเสนอสินเชื่อ ที่สามารถรับวงเงินสดได้ทันที ไม่ต้องยื่นเอกสารให้วุ่นวาย โดยทาง SCB เชื่อว่า ด้วยฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาแก้สารพัด Pain Point ที่เกิดขึ้น จะทำให้ App แม่มณี มียอดดาวน์โหลดและใช้งานกว่า 5 แสนครั้งภายในปี 2022 และจะทำให้ยอดการซื้อ-ขายใน App เติบโตสูงถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว ถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า แล้วการลงทุนสร้างฟีเจอร์ใหม่ ๆ ใน App แม่มณี นอกจากคนขายจะสะดวกสบาย มีโอกาสสร้างยอดขายเพิ่มมากขึ้น ส่วนฝั่ง คนซื้อ ก็สามารถซื้อสินค้าเงินผ่อนได้ ทีนี้แล้ว คนกลาง อย่าง SCB เจ้าของ App แม่มณี จะได้อะไรจากเรื่องนี้ ในวันที่โลกการเงินกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลแบบเต็มใบ วิธีการหาลูกค้าใหม่ ๆ ของธนาคารก็ต้องเปลี่ยนตามเช่นกัน ซึ่ง SCB ก็กำลังจริงจังกับเรื่องนี้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำที่ตัวเองคิดค้น เข้ามาสอดแทรกในชีวิตประจำวันของคนทุกคน เหมือนอย่างฟีเจอร์ มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ ที่เข้ามาตีสนิทคนขายสินค้าออนไลน์ ที่สร้างโอกาสให้ SCB ปล่อยสินเชื่อออนไลน์ให้แก่ร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมกับเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตและเดบิต มันคือโมเดลธุรกิจธนาคารในยุคดิจิทัล ที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่มีไอเดียเจ๋ง ๆ มาสร้างประโยชน์ให้ครบทุกฝ่าย นั่นเอง
ฟีเจอร์ใหม่ของ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” จะแบ่งเป็น 3 โซลูชันหลัก ๆ ดังนี้: 1. ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์แบบมืออาชีพ: - ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SCB กับ บริษัท ชิปนิตี้ จำกัด (Shipnity) ผู้ให้บริการระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ หากใครที่ขายสินค้าออนไลน์ ย่อมต้องขายในหลาย ๆ ช่องทางเพื่อให้ได้ยอดขายมากที่สุด ไม่ว่าจะ Facebook, Instagram, LINE และ Marketplace อื่น ๆ ปัญหาที่ตามมาคือ ตอบ แชทไม่ทัน พลาดโอกาสในการขาย - โดยโซลูชันนี้จะรวบรวมทุกช่องทางการขายเข้ามาอยู่ใน App แม่มณี คนขายไม่ต้องมอนิเตอร์ทุกช่องทาง สามารถตอบแช็ตรวดเร็ว ไม่พลาดทุกโอกาสการขาย อีกทั้งยังมีระบบจัดการสต็อกสินค้าและรับออเดอร์ ตั้งแต่เช็กยอด-รับคำสั่งซื้อ-ส่งสินค้า-รอรับเงิน และยังเชื่อมต่อกับบริษัทขนส่งชื่อดังครบทุกบริษัท - ซึ่งนั่นแปลว่า ฟีเจอร์นี้ ช่วยคนขายสินค้าออนไลน์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสินค้าถึงมือลูกค้า 2. รองรับการจ่ายเงินครบวงจร แม้แต่ซื้อสินค้าแบบผ่อน: - นอกจากรับชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code, บัตรเครดิตและเดบิต สิ่งที่ มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ กำลังทำคือ การรับผ่อนชำระสินค้า โดย SCB จะเป็นผู้รับผิดชอบตรงนี้ - โดยคนขายต้องสมัครเข้าสู่ระบบผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตและเดบิตของทาง SCB ส่วนทางฝั่งคนซื้อก็ต้องใช้บัตรเครดิตและเดบิตกับทาง SCB - จากนั้นก็ทำการผ่อนชำระค่าสินค้ากับทาง SCB โดยตรง ส่วนในฝั่งคนขายก็จะได้รับเงินทันที 3. คอร์สเรียนออนไลน์เสริมทักษะ และคะแนนแลกของรางวัล: - สิ่งที่คนขายสินค้าออนไลน์ ต้องการมากที่สุด ก็คือ เคล็ดลับในการสร้างยอดขาย ทำให้ทาง SCB จัดตั้ง Manee Academy คอร์สเรียนออนไลน์ที่จะมีกูรูด้านการขายออนไลน์ มาแนะนำทริกเด็ดเคล็ดลับดี เพิ่มยอดขายจนถึงการสร้างตัวตนร้านค้าให้มีความน่าเชื่อถือ - จนถึงยังมี Manee Rewards ที่ผู้ขายจะได้รับคะแนนสะสมทุกการรับชำระเงินผ่าน App จากนั้นก็นำคะแนนที่สะสมมาแลกของรางวัลต่าง ๆ
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39922
Retail
Central Retail 12.12 Double Mega Sale 3-13 ธันวาคม 2563 มีกิจกรรมสุดพิเศษอะไรบ้าง
โอกาสสุดท้ายที่จะได้ช้อปแบบจัดเต็มไปกับ Central Retail 12.12 Double Mega Sale (เซ็นทรัล รีเทล 12.12 ดับเบิ้ล เมกา เซล) แคมเปญสุดยิ่งใหญ่แห่งปีจาก เซ็นทรัล รีเทล ในวันที่ 3-13 ธันวาคม 2563 นี้ มาเปย์ของขวัญให้ตัวเองรับปีใหม่ด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 90% ทั้งหน้าร้านและหน้าเว็บ จาก 1,000 ร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล และกลุ่มเซ็นทรัล การันตีของแท้ 100% พร้อมโปรโมชั่นอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งขบวนสินค้า 1 แถม 1 สินค้าราคา Flash Deal และแลกคะแนน The 1 ในแอปพลิเคชั่น รับส่วนลด On Top เพิ่มอีกในวันที่ 12.12 ไม่เพียงเท่านั้นลูกค้าที่ใช้บริการ Click & Collect ซื้อหน้าเว็บมารับสินค้าหน้าร้าน ยังรับส่วนลดเพิ่มไปช้อปต่อกันได้อีกด้วย! พิเศษ! พบกับกิจกรรมเซอร์ไพรส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “เปย์ของขวัญให้ตัวเอง” 3-9 ธันวาคม นี้ แคมเปญแอมบาสเดอร์ ป๊อก-ภัสสรกรณ์ และ มาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ เชิญชวนแฟน ๆ ร่วมแชร์/คอมเมนต์ในหัวข้อ “อยากเปย์ของขวัญอะไรให้ตัวเองรับปีใหม่นี้” ผ่านทางเฟสบุ๊ค Central Retail ผู้โชคดี 7 คนที่คอมเมนต์โดนใจ ได้รับสิทธิ์ Meet & Greet พร้อมกับเพื่อนคู่หูอีก 1 คน และรับของรางวัล Magic Gift Card มูลค่า 1,000 บาท (รวม 7,000 บาท) จาก ป๊อก-มาร์กี้ ตัวจริง! ในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00-15.00 น. ที่ Living House @centralwOrld (ติดตามประกาศผลผู้โชคดีทั้ง 7 คน ได้ในวันที่ 11 ธันวาคม นี้ บนหน้าเฟสบุ๊ค Central Retail) #centralretail1212doublemegasale #เปย์ของขวัญให้ตัวเอง ห้ามพลาด! Central Retail 12.12 Double Mega Sale (เซ็นทรัล รีเทล 12.12 ดับเบิ้ล เมกา เซล) 3 ถึง 13 ธันวาคม 2563 นี้ ติดตามรายละเอียดและกิจกรรมจากแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊ค Central Retail
กิจกรรมสุดพิเศษ ได้แก่ • ขบวนสินค้า 1 แถม 1 • สินค้าราคา Flash Deal • แลกคะแนน The 1 ในแอปพลิเคชั่น รับส่วนลด On Top เพิ่มอีกในวันที่ 12.12 ไม่เพียงเท่านั้นลูกค้าที่ใช้บริการ Click & Collect ซื้อหน้าเว็บมารับสินค้าหน้าร้าน ยังรับส่วนลดเพิ่มไปช้อปต่อกันได้อีกด้วย! พิเศษ! พบกับกิจกรรมเซอร์ไพรส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “เปย์ของขวัญให้ตัวเอง” 3-9 ธันวาคม นี้ แคมเปญแอมบาสเดอร์ ป๊อก-ภัสสรกรณ์ และ มาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ เชิญชวนแฟน ๆ ร่วมแชร์/คอมเมนต์ในหัวข้อ “อยากเปย์ของขวัญอะไรให้ตัวเองรับปีใหม่นี้” ผ่านทางเฟสบุ๊ค Central Retail ผู้โชคดี 7 คนที่คอมเมนต์โดนใจ รับสิทธิ์ 1. Meet & Greet พร้อมกับเพื่อนคู่หูอีก 1 คน 2. รับของรางวัล Magic Gift Card มูลค่า 1,000 บาท (รวม 7,000 บาท) จาก ป๊อก-มาร์กี้ ตัวจริง! ในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00-15.00 น. ที่ Living House @centralwOrld (ติดตามประกาศผลผู้โชคดีทั้ง 7 คน ได้ในวันที่ 11 ธันวาคม นี้ บนหน้าเฟสบุ๊ค Central Retail) #centralretail1212doublemegasale #เปย์ของขวัญให้ตัวเอง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39925
Retail
กลยุทธ์ "The 1 วันแบกพอยท์" ของเซ็นทรัลพัฒนาและ The 1 ส่งผลต่อพฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้าอย่างไร? และส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างไร
null
กลยุทธ์ "The 1 วันแบกพอยท์" ส่งผลต่อพฤติกรรมช็อปปิ้งของลูกค้าดังนี้ 1. กระตุ้นให้ลูกค้าช้อปปิ้งมากขึ้น: ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะช้อปปิ้งมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะได้รับคะแนน The 1 เพิ่มเติมจากการช้อปปิ้ง คะแนนเหล่านี้สามารถนำไปแลกเป็นส่วนลดหรือรางวัลอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินและรู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น 2. เพิ่มความถี่ในการช้อปปิ้ง: ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะกลับมาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลบ่อยขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับคะแนน The 1 เพิ่มเติมจากการช้อปปิ้งแต่ละครั้ง คะแนนเหล่านี้สะสมขึ้นเรื่อยๆ และสามารถนำไปแลกรางวัลใหญ่ได้ ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาช้อปปิ้ง 3. ดึงดูดลูกค้าใหม่: กลยุทธ์ "The 1 วันแบกพอยท์" ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยเป็นสมาชิก The 1 ลูกค้าเหล่านี้อาจดึงดูดด้วยข้อเสนอพิเศษและโอกาสในการรับรางวัล ซึ่งสามารถขยายฐานลูกค้าของทั้งเซ็นทรัลพัฒนาและ The 1 ผลดีต่อธุรกิจ: กลยุทธ์ "The 1 วันแบกพอยท์" ส่งผลดีต่อธุรกิจ ดังนี้ 1. เพิ่มยอดขาย: กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับทั้งเซ็นทรัลพัฒนาและร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรม ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะช้อปปิ้งมากขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อพวกเขารู้ว่าพวกเขาจะได้รับคะแนน The 1 เพิ่มเติม 2. เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า: กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะใช้เวลานานขึ้นและมีแนวโน้มที่จะกลับมาช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลบ่อยขึ้น 3. เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: กลยุทธ์นี้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ลูกค้ารู้สึกขอบคุณสำหรับข้อเสนอพิเศษและโอกาสในการรับรางวัล ซึ่งสร้างความภักดีของลูกค้าและกระตุ้นให้พวกเขากลับมาช้อปปิ้งอีกครั้ง 4. ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า: กลยุทธ์นี้ช่วยให้เซ็นทรัลพัฒนาและ The 1 ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้า ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39932
Retail
จงสรุปบทความ ไทวัสดุเตรียมขยาย 10 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
ไทวัสดุ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล (CRC) เปิดศักราชการลงทุนปี 2566 เตรียมขยายไทวัสดุ 10 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ชูไตรมาสแรก บุกเปิดสาขาครบทุกภาค รังสิต โคราช กำแพงเพชร และภูเก็ต ภายในปี 2566 ตั้งเป้ามี 80 สาขาทั่วไทย สอดรับเป้าหมายของ CRC ที่คาดว่าจะสร้างรายได้รวมเติบโตกว่า 15% รับการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ จากดีมานด์การก่อสร้างที่อยู่อาศัยซึ่งคาดว่าจะส่งสัญญาณบวกให้กับธุรกิจ นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล เปิดเผยว่า ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ตั้งเป้าสู่การเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านที่พร้อมส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพแบบครบวงจรรวมถึงร่วมเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ที่พร้อมสร้างการเติบโตให้กับทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อมุ่งสู่ The Next Sustainable Growth นำธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยไทวัสดุ ถือเป็นกลุ่มธรุกิจที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีส่วนแบ่งการตลาด (Market share) ในกลุ่ม Home & Garden specialist retailer เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 4.3% ในปี 2555 เป็น 9.8% ในปี 2564 อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของ HSBC Research ซึ่งในปี 2566 นี้ ทางไทวัสดุเอง ตั้งเป้ายอดขาย เติบโตที่ 15% ในปี 2566 ไทวัสดุยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเติบโตตามเป้าหมาย เตรียมขยาย 10 สาขาใหม่ทั่วประเทศ ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง และเป็นพื้นที่ที่มีดีมานด์ด้านการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขยายของกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ในเครือ (ไทวัสดุ, บีเอ็นบีโฮม, เพาเวอร์บาย) ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับอานิสงส์มาจากปัจจัยที่จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านเติบโตมาจากแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย จะเติบโตกว่า 4% ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเติบโตทางเศษฐกิจ และอิทธิพลบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยในปีนี้จะเป็นการต่อยอดสาขาทั้งในรูปแบบมาตรฐาน (Red Format) และแบบไฮบริด ฟอร์แมท (Hybrid Format) โดยมีเป้าหมายที่จะขยายฐานผู้บริโภค เจาะกลุ่มเมืองท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์สินค้าก่อสร้างและตกแต่งบ้านครบวงจร โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 นี้ได้เปิดสาขาไปแล้ว2 แห่ง ได้แก่ · ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขารังสิตคลอง 4 ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่าง ไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮมในรูปแบบไฮบริด พัฒนาขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคที่เลือกหาซื้อทั้งซื้อวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านครบจบในที่เดียว ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางรังสิตกว่า 20,000 ตร.ม และมีสินค้าที่ครบครันกว่า 30,000 รายการโดยการเปิดสาขารังสิต คลอง4 มีเป้าหมาย เพื่อรองรับ การขยายตัวอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ โซนเหนือมีบริการสำคัญ อาทิ โฮมเซอร์วิส การบริการ ออกแบบ ติดตั้ง ซ่อมแซม จากทีมวีฟิกซ์ ทีมช่างมืออาชีพ ที่ได้มาตรฐาน คุณภาพและบริการ · ไทวัสดุ สาขาโคราช หัวทะเล ในรูปแบบ Red Format นับเป็นสาขาที่ 67 ของประเทศ และสาขาที่ 3 ของจังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 17,000 ตร.ม. เพื่อรองรับตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดที่มีอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดในภาคอีสาน รวมทั้งการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง บนพื้นที่ประตูอีสานให้ทันกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในเดือนมีนาคมนี้ ไทวัสดุเดินหน้าเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ได้แก่ ไทวัสดุ สาขากำแพงเพชร และไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาภูเก็ต อ.ฉลอง ถือว่าไตรมาสแรกของปี ไทวัสดุ รุกเปิดไปแล้วถึง 4 สาขา ทุกภาคทั่วไทย ทั้ง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยในปี 2566 ไทวัสดุตั้งเป้ามีสาขารวม 80 สาขา ครอบคลุมทุกพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ซึ่งการที่ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมธุรกิจก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านที่ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ที่มีการปรับตัวธุรกิจให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในมิติหลากหลายยิ่งขึ้น และยังมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งให้พันธมิตรทางธุรกิจเติบโตไปด้วยกันซึ่งถือเป็นการเสริมทัพให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งพร้อมส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพแบบครบวงจร” นายสุทธิสาร กล่าวปิดท้าย
ไทวัสดุ ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ในเครือเซ็นทรัล รีเทล (CRC) เตรียมขยาย 10 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจะเปิดสาขาครบทุกภาค รวมทั้งเปิดสาขาที่รังสิต โคราช กำแพงเพชร และภูเก็ต ภายในปี 2566 พร้อมตั้งเป้าให้มีไทวัสดุ 80 สาขาทั่วไทย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง และเป็นพื้นที่ที่มีดีมานด์ด้านการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขยายของกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ในเครือ (ไทวัสดุ, บีเอ็นบีโฮม, เพาเวอร์บาย) ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ทางไทวัสดุนี้ได้ดำเนินการเปิดสาขาไปแล้ว2 แห่ง ได้แก่ ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขารังสิตคลอง 4 ที่เป็นการรวมตัวกันระหว่าง ไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮมในรูปแบบไฮบริด ให้ผู้บริโภคซื้อทั้งวัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงของตกแต่งบ้านครบจบในที่เดียว และมีเป้าหมาย เพื่อรองรับ การขยายตัวอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ โซนเหนือ นอกจากนี้ยังมีบริการโฮมเซอร์วิส การบริการ ออกแบบ ติดตั้ง ซ่อมแซม จากทีมวีฟิกซ์ ทีมช่างมืออาชีพ ที่ได้มาตรฐาน คุณภาพและบริการ ขณะที่อีกแห่งคือไทวัสดุ สาขาโคราช หัวทะเล สาขาที่ 3 ของจังหวัดนครราชสีมาในรูปแบบ Red Format เพื่อรองรับตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดที่มีอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดในภาคอีสาน รวมทั้งการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ขณะที่เดือนมีนาคมนี้ ไทวัสดุยังเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง คือไทวัสดุ สาขากำแพงเพชร และไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม สาขาภูเก็ต อ.ฉลอง ด้วย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_39934
Retail
Apple ได้ประกาศว่าจะกลับมาเปิดให้บริการร้าน Apple Store ในสหรัฐฯ 25 แห่ง ภายในสัปดาห์นี้ แต่บริษัทได้กำหนดมาตรการด้านสุขภาพเอาไว้อย่างไรบ้าง
Apple ได้ประกาศว่าจะกลับมาเปิดให้บริการร้าน Apple Store ในสหรัฐฯ 25 แห่ง ภายในสัปดาห์นี้ แต่บริษัทได้กำหนดมาตรการด้านสุขภาพเอาไว้ โดยลูกค้าที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชม และใช้บริการภายในร้าน Apple Store จะต้องถูกตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน และต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ซึ่งหากลูกค้าไม่มีหน้ากาก ทาง Apple ก็จะแจกหน้ากากให้ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น พนักงานในร้าน จะคอยสังเกตอาการอื่นๆ ของลูกค้า ที่อาจเชื่อมโยงกับโรคโควิด-19 เช่น การไอ มีการจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะเข้าร้านในช่วงเวลาหนึ่ง และพนักงานจะคอยให้บริการลูกค้าแบบ “ตัวต่อตัว” ทั้งนี้ Apple กล่าวอีกว่า หากมีคำสั่งของรัฐให้กลับมาล็อกดาวน์ประเทศอีก Apple Store ก็จะปิดให้บริการอีกครั้ง ปัจจุบันมี Apple Store อยู่ 510 แห่งทั่วโลก โดยอยู่ในสหรัฐฯ 271 แห่ง และในวันพรุ่งนี้ Apple Store ในอิตาลีจะกลับมาเปิดให้บริการอีก 10 แห่ง
Apple ได้ประกาศว่าจะกลับมาเปิดให้บริการร้าน Apple Store ในสหรัฐฯ 25 แห่ง ภายในสัปดาห์นี้ แต่บริษัทได้กำหนดมาตรการด้านสุขภาพเอาไว้ โดยลูกค้าที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชม และใช้บริการภายในร้าน Apple Store จะต้องถูกตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน และต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ซึ่งหากลูกค้าไม่มีหน้ากาก ทาง Apple ก็จะแจกหน้ากากให้ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น พนักงานในร้าน จะคอยสังเกตอาการอื่นๆ ของลูกค้า ที่อาจเชื่อมโยงกับโรคโควิด-19 เช่น การไอ มีการจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะเข้าร้านในช่วงเวลาหนึ่ง และพนักงานจะคอยให้บริการลูกค้าแบบ “ตัวต่อตัว”
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39939
Retail
เซ็นทรัล รีเทล จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้ากลยุทธ์หลัก CRC Retailligence อย่างเต็มที่ ซึ่งประกอบด้วยอะไรบ้าง
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบันที่โควิด-19 เข้าสู่ช่วงขาลง ทำให้ประชาชนเริ่มคลายกังวล และกล้าที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการที่ภาครัฐออกนโยบายการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการยกเลิกระบบ Test & Go และเตรียมประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่เรียกคืนความเชื่อมั่น และทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคัก โดย เซ็นทรัล รีเทล จะมีส่วนร่วมในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้พลิกฟื้นและกลับมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม” “ในส่วนของเซ็นทรัล รีเทล ธุรกิจของเรามีการเติบโตแบบ V-shape ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีก่อน และยังคงโตต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 1 ของปีนี้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งยังมีโมเมนตั้มที่ดีมาจนถึงไตรมาสที่ 2 ทำให้เรามั่นใจว่า ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล ในปี 2565 จะทะลุเป้า 15% ตามที่ได้วางไว้ ด้วยงบลงทุนกว่า 18,000 – 20,000 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ทั้งหมด 3 แห่ง รวมถึงเพิ่มร้านค้า และเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ทุกไตรมาส ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มอีกหลายพันตำแหน่ง และด้วยแรงหนุนจากการเปิดประเทศจะยิ่งเป็นผลดีต่อการเติบโตของเซ็นทรัล รีเทล มากขึ้นไปอีก โดยเห็นได้จากในช่วงวันหยุดยาวหลายช่วงที่ผ่านมา ยอดขายและทราฟฟิกของเซ็นทรัล รีเทล ทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และออมนิแชแนล สิ่งนี้เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของแพลตฟอร์มออมนิแชแนลของเซ็นทรัล รีเทล ที่สามารถตอบโจทย์และตอบรับลูกค้าได้ทุกช่องทางในเวลาเดียวกัน โดยเราได้มีการปรับฐานลูกค้าให้เปลี่ยนจากช้อปปิ้ง Single Channel มาเป็นลูกค้า Omnichannel ทำให้ปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าที่เป็น Omni Customer หลายล้านคน โดยสร้างความพึงพอใจและประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า จากนี้ เซ็นทรัล รีเทล จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้ากลยุทธ์หลัก CRC Retailligence อย่างเต็มที่ ซึ่งประกอบด้วย 1. Reinvent Next-Gen Omni Retail – ยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชแนลโดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจ 2. Accelerate Core Leadership – เร่งการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3. Build New Growth Pillars – เดินหน้าสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค 4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off –ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth สร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ทเนอร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับเซ็นทรัล รีเทล สู่การเป็นค้าปลีกแห่งอนาคต และก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้าน Omni-Centric Retailer ของเอเชีย ที่สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้ผู้บริโภค ผ่าน Next-Gen Omni Retail ได้อย่างครบวงจร” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย
1. ยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชแนล โดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจ 2. เร่งการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3. เดินหน้าสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค 4. ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth สร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39946
Retail
กลยุทธ์การเข้าซื้อ Hey Dude ของ Crocs สอดคล้องกับกลยุทธ์ค้าปลีกแบบ Omni-channel อย่างไร? และกลยุทธ์นี้สนับสนุนเป้าหมายในการเป็นผู้นำตลาดรองเท้าลำลองทั่วโลกอย่างไร
null
1. ขยายช่องทางการขาย: - การเข้าซื้อ Hey Dude ช่วยให้ Crocs ขยายช่องทางการขาย - เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ Hey Dude มีจุดแข็งในช่องทางขายออนไลน์ - ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์ของ Crocs - สอดคล้องกับเทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่เติบโตขึ้น 2. ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์: - การเข้าซื้อ Hey Dude ช่วยให้ Crocs ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ - Hey Dude เน้นรองเท้าลำลองแบบทางการ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ของ Crocs - Crocs เน้นรองเท้าลำลองแบบสบายๆ - กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Crocs เสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย - ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น 3. สร้าง synergy: - การเข้าซื้อ Hey Dude ช่วยให้ Crocs สร้าง synergy - Hey Dude มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิต - Crocs มีความแข็งแกร่งด้านการตลาดและการจัดจำหน่าย - กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Crocs เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน - ลดต้นทุน - เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตัวอย่าง: คุณสมชายเป็นลูกค้าของ Crocs - เขานิยมใส่รองเท้าลำลองแบบสบายๆ แต่บางครั้งก็ต้องการรองเท้าลำลองแบบทางการใส่ทำงาน - เขาดีใจที่ได้ทราบว่า Crocs เข้าซื้อ Hey Dude เพราะเขาสามารถซื้อรองเท้า Hey Dude ผ่านเว็บไซต์ Crocs ได้ง่ายๆ และเขาคิดว่ารองเท้า Hey Dude มีดีไซน์ที่สวยงาม ทันสมัย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_39952
Retail
จากบทความ "เซ็นทรัล รีเทล เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้ 123,208 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,002 ล้านบาท เติบโตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ" อะไรคือกลยุทธ์หลักที่ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ประสบความสำเร็จ?
null
กลยุทธ์หลักที่ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ประสบความสำเร็จ มีดังนี้: 1. กลยุทธ์การขยายพอร์ตธุรกิจให้ครอบคลุม: เซ็นทรัล รีเทล ขยายธุรกิจในทุกกลุ่มธุรกิจ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มฮาร์ดไลน์ กลุ่มฟู้ด ธุรกิจในต่างประเทศ เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นไปที่การขยายสาขาในจังหวัดที่มีศักยภาพ ภูเก็ต กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก เซ็นทรัล รีเทล พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! mini go! 2. กลยุทธ์การปรับตัวตามเทรนด์โลก: เซ็นทรัล รีเทล พัฒนาออมนิแพลตฟอร์ม เซ็นทรัล รีเทล นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ ปัญญาประดิษฐ์ แมชชีนเลิร์น เซ็นทรัล รีเทล ปรับรูปแบบห้างสรรพสินค้าให้ทันสมัย ห้างเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว ห้างเซ็นทรัล สาขาพระราม 2 ห้างเซ็นทรัล ชิดลม 3. กลยุทธ์การบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย: เซ็นทรัล รีเทล มีระบบบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการใช้วัสดุรีไซเคิล เซ็นทรัล รีเทล ประหยัดพลังงาน 4. กลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: เซ็นทรัล รีเทล นำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เซ็นทรัล รีเทล จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม 5. กลยุทธ์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน: เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เซ็นทรัล รีเทล สนับสนุนชุมชน เซ็นทรัล รีเทล ดูแลสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์: เซ็นทรัล รีเทล มีรายได้ 123,208 ล้านบาท (+9% YoY) เซ็นทรัล รีเทล มีกำไรสุทธิ 4,002 ล้านบาท (+37% YoY) เซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้นำค้าปลีกในประเทศไทยและเวียดนาม สรุป: เซ็นทรัล รีเทล ประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์ที่หลากหลาย คำแนะนำ: เซ็นทรัล รีเทล ควรพัฒนาธุรกิจออนไลน์ เซ็นทรัล รีเทล ควรขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เซ็นทรัล รีเทล ควรพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50294
Retail
มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ฉลองเปิดโชว์รูมสยามพารากอน ใหม่ล่าสุด จัดแคมเปญ MIRACLE 5 มีข้อเสนอสุดพิเศษอะไรบ้าง
มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ฉลองเปิดโชว์รูมสยามพารากอน ใหม่ล่าสุด ภายใต้คอนเซปต์ ‘Newest Urban Retail.Next’ จัดแคมเปญ MIRACLE 5 จอง BMW i5 รับฟรี! iPhone 15 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท October 20, 2023 Marketing Oops! บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ฉลองเปิดโชว์รูมสยามพารากอนใหม่ล่าสุด ภายใต้คอนเซปต์ใหม่ ‘Newest Urban Retail.Next’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า นับเป็นเออร์เบินสโตร์ (Urban Store) แห่งแรกในประเทศไทย ที่ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ให้ลูกค้าได้สัมผัสยนตรกรรมจากทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์กลางการช้อปปิ้งระดับโลก และเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รู้สึกยินดี ที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีเปิดโชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป สยามพารากอน ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ ซึ่งผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะรังสรรค์ประสบการณ์อันน่าประทับใจในแบบเฉพาะตัว ผ่านเทคโนโลยีอันทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป เชิญชวนทุกท่านมาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ กับหลากหลายยนตรกรรมในเครือ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป กับโชว์รูมคอนเซปต์ใหม่ ใจกลางเมือง ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้คอนเซปต์ ‘Newest Urban Retail.Next’ โดยเราจะมีกิจกรรมพิเศษ ในโอกาสฉลองเปิดโชว์รูมใหม่ล่าสุด เมื่อจองรถภายในงาน และรับรถในเวลาที่กำหนด รับฟรี Siam Gift Card รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท รวมถึงหูฟังไร้สาย B&W มูลค่า 19,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 21-31 ตุลาคมนี้” Newest Urban Retail.Next โชว์รูมรถยนต์คอนเซปต์ใหม่ ใจกลางเมือง โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป สยามพารากอน ได้พลิกโฉมโชว์รูมใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการเป็นโชว์รูมรถยนต์ ภายในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ภายใต้ชื่อ ‘Newest Urban Retail.Next’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว โดยเน้นบรรยากาศผ่อนคลาย คล้ายอยู่ในแกลเลอรีหรือห้องนั่งเล่นที่บ้าน จัดวางรถยนต์ในองศาที่หลากหลาย รายล้อมด้วยโซฟาและเก้าอี้สำหรับลูกค้า เรียกว่า ‘Customer Stage’ เพิ่มความใกล้ชิดระหว่างลูกค้ากับรถยนต์มากยิ่งขึ้น ข้อเสนอมหัศจรรย์ ‘MIRACLE 5’ จองและรับรถ BMW i5 รับฟรี iPhone 15 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท เพิ่มความพิเศษเหนือระดับ กับความมหัศจรรย์แห่งแคมเปญ MIRACLE 5 ที่มอบหลากหลายสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู i5 ภายในงาน อาทิ รับฟรี iPhone 15 มูลค่า 36,900 บาท* (พิเศษเฉพาะ 5 ท่านแรก) รับ MGC Point x 5 เท่า และนำคะแนนมาเลือกรับของสมนาคุณ มูลค่าสูงสุด 80,000 บาท* รับฟรี Miracle Package จากแบรนด์ชั้นนำ มูลค่ารวม 35,000 บาท* รับสิทธิพิเศษจาก M Card* รับฟรี Dii Embassy Cash Voucher มูลค่า 5,000 บาท* พร้อมแคมเปญพิเศษอื่นๆ จาก มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สอบถามข้อมูล โทร.1286 Millennium Auto Connect Line: https://bit.ly/2Z3ou46 (@millenniumauto)
ข้อเสนอมหัศจรรย์ ‘MIRACLE 5’ จองและรับรถ BMW i5 รับฟรี iPhone 15 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท เพิ่มความพิเศษเหนือระดับ กับความมหัศจรรย์แห่งแคมเปญ MIRACLE 5 ที่มอบหลากหลายสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู i5 ภายในงาน อาทิ - รับฟรี iPhone 15 มูลค่า 36,900 บาท* (พิเศษเฉพาะ 5 ท่านแรก) - รับ MGC Point x 5 เท่า และนำคะแนนมาเลือกรับของสมนาคุณ มูลค่าสูงสุด 80,000 บาท* - รับฟรี Miracle Package จากแบรนด์ชั้นนำ มูลค่ารวม 35,000 บาท* - รับสิทธิพิเศษจาก M Card* - รับฟรี Dii Embassy Cash Voucher มูลค่า 5,000 บาท* พร้อมแคมเปญพิเศษอื่นๆ จาก มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สอบถามข้อมูล โทร.1286 Millennium Auto Connect
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_50301
Retail
กิจกรรม “Family Cooking Battle ศึกรวมพลังยกครัว” เป็นกิจกรรมที่โลตัส พรีเว่ ร่วมมือกับหน่วยงานใด
a. ไอซีเอส b. Facebook c. CP d. ไอคอนสยาม
คำตอบที่ถูกต้องคือ a. เพราะว่า เพราะ กิจกรรม “Family Cooking Battle ศึกรวมพลังยกครัว” เป็นกิจกรรมที่โลตัส พรีเว่ ร่วมมือกับ ไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ จัดการแข่งขันทำอาหารระหว่างครอบครัวของเชฟตัวน้อยและผู้ปกครอง โดยใช้วัตถุดิบจากโลตัส ในการแข่งขันนี้ครอบครัวจะได้โชว์ฝีมือและมีโอกาสชิงรางวัลมูลค่ากว่า 160,000 บาท ซึ่งกิจกรรมนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบรับความนิยมในการทำอาหารที่เติบโตขึ้นตั้งแต่ช่วงโควิดและยังคงมีการพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_50304
Retail
แพลตฟอร์ม Retail Media จำเป็นต้องมีระบบการวัดผลที่มีประสิทธิภาพหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. การวัดผลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา แพลตฟอร์ม Retail Media จำเป็นต้องมีระบบการวัดผลที่มีประสิทธิภาพเพื่อติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาต่างๆ เช่น จำนวนการคลิก (Clicks) จำนวนการดูโฆษณา (Impressions) อัตราการคลิกผ่าน (Click-through rate) อัตราการแปลง (Conversion rate) ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ว่าแคมเปญใดมีประสิทธิภาพ 2. การวัดผลช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับแต่งแคมเปญโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลจากระบบการวัดผลจะช่วยให้นักการตลาดสามารถระบุจุดอ่อนของแคมเปญโฆษณาและปรับแต่งแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ปรับเปลี่ยนข้อความโฆษณา รูปภาพโฆษณา กลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ 3. การวัดผลช่วยให้นักการตลาดสามารถพิสูจน์ ROI ของแคมเปญโฆษณา ข้อมูลจากระบบการวัดผลจะช่วยให้นักการตลาดสามารถพิสูจน์ ROI (Return on Investment) ของแคมเปญโฆษณา แสดงให้ผู้บริหารเห็นว่าแคมเปญโฆษณานั้นคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ -Retail Media เป็นช่องทางโฆษณาที่มีความซับซ้อน Retail Media เป็นช่องทางโฆษณาที่มีความซับซ้อน มีตัวเลือกการโฆษณาที่หลากหลาย กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย รูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย ฯลฯ -การแข่งขันใน Retail Media นั้นสูง แพลตฟอร์ม Retail Media ต่างๆ มีการแข่งขันกันสูง แพลตฟอร์มที่ไม่มีระบบการวัดผลที่มีประสิทธิภาพจะสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน ตัวอย่างระบบการวัดผลที่มีประสิทธิภาพสำหรับ Retail Media -ระบบติดตาม Conversion ระบบติดตาม Conversion จะช่วยติดตามว่าผู้บริโภคที่คลิกโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Retail Media นั้นได้ทำการซื้อสินค้าหรือไม่ -ระบบวิเคราะห์ข้อมูล ระบบวิเคราะห์ข้อมูลจะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม Retail Media เช่น ผู้บริโภคดูสินค้าอะไรบ้าง คลิกโฆษณาอะไรบ้าง ฯลฯ -ระบบ A/B Testing ระบบ A/B Testing จะช่วยทดสอบว่าโฆษณาแบบไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน สรุป แพลตฟอร์ม Retail Media จำเป็นต้องมีระบบการวัดผลที่มีประสิทธิภาพเพื่อติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา ปรับแต่งแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พิสูจน์ ROI ของแคมเปญโฆษณา และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_50307
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การปรับ Tenant Mix ของเซ็นทรัลเวิลด์" ให้หน่อยค่ะ
“เซ็นทรัลเวิลด์” ปรับ Tenant Mix ดึงแบรนด์ระดับโลกเปิด Flagship Store นับตั้งแต่เซ็นทรัลพัฒนา เปิดให้บริการ “เซ็นทรัลเวิลด์” (CentralWOrld) ในปี 2545 ถึงวันนี้เป็นเวลา 21 ปีแล้วสำหรับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางย่านราชประสงค์ ที่ผ่านมาได้มีการปรับ Tenant Mix ในศูนย์การค้ามาโดยตลอด เพื่อปักหมุดสถานที่แห่งนี้ให้เป็น Global Landmark ที่ดึงดูดแบรนด์ดังระดับโลก “เซ็นทรัลเวิลด์” ชู 3 จุดแข็งตอกย้ำความเป็น Global Destination ประกอบด้วย คือย่านการค้าและท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของไทย สร้างเม็ดเงินสะพัดต่อปีรวมมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศ มีคนสัญจรในย่านเฉลี่ยกว่า 600,000 คนต่อวัน เป็นศูนย์กลางธุรกิจและเป็นจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลก เทียบชั้นย่านดังอย่าง Times Square New York, Oxford street และย่าน Ginza ญี่ปุ่น พร้อมด้วย the panOramix จอ LED Digital Interactive หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ขนาดใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia เป็นพื้นที่โฆษณาถูกจองคิวจากแบรนด์ดัง และแฟนคลับทั่วโลกด้วย Visibility มหาศาล ปัจจุบัน Traffic Recovery ของเซ็นทรัลเวิลด์จากปี 2019 เติบโตเฉลี่ย 120% เฉลี่ย Traffic ต่อวัน 150,000 คน และสูงขึ้นไปถึง 180,000 – 200,000 คนต่อวัน หากมี Event ใหญ่ภายในศูนย์ฯ อาทิ งานโครงการหลวงที่ผ่านมา โดยลูกค้าที่มาใช้บริการแบ่งเป็น คนไทย 65% และ ต่างชาติ 35% นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการมากที่สุดคือ Southeast Asia ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย และตะวันออกกลาง โดย 83% เป็นกลุ่ม FIT (Free Independent Traveler) – Food destination รวมร้านดังไว้กว่า 500 ร้าน ทั้งร้านแรกในไทย ร้านมิชลินสตาร์ และ Flagship Stores อาทิ Shake Shack, Canton Paradise, Mak’s noodle, Yakiniku Like Flagship Store, Tsuta เป็นต้น – Flagship stores อาทิ Lululemon สปอร์ตแวร์ดัง แฟล็กชิพใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชียแปซิฟิค, Adidas แบรนด์เซ็นเตอร์ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก, Nike ร้านรูปแบบใหม่ใหญ่ที่สุดในไทย และ Puma Flagship Store ครบครันที่สุดหนึ่งเดียวในไทย, On-running, HOKA นอกจากนี้ ยังมี Casetify แบรนด์เคสมือถือชื่อดังแห่งแรกแห่งเดียวในไทย และล่าสุด NITORI แห่งแรกในประเทศไทย รวมทั้งแบรนด์ทั่วโลกที่เปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ อาทิ Uniqlo, Haidilao, Tsuta, Saemauel Sikdang, Sushiro, Kam Roast, Shake Shack, Mak’s noodle, Yakiniku Like Flagship Store, Canton Paradise, Nitori, Lululemon, On-running, HOKA, Marimekko, Kate Spade, Marc Jacobs, MLB, Pandora, H&M Home เป็นต้น – World-Class Event เป็นแลนด์มาร์คการจัดงานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก และเป็น Festive Landmark Destination ทุกเทศกาลมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี Top of mind ความภูมิใจของไทย เช่น ทีมทำงานร่วมกันในโมเดล Tenant Centric พร้อมนำเสนอ Solutions ครบวงจร ที่สนับสนุนการดำเนินงานของร้านค้า ทั้งการ Drive Sale, Drive Traffic, Drive Shopper Engagement ด้วยเครื่องมือ CRM เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพใช้จ่ายได้อย่างตรง Target ตรง Lifestyles จึงเป็นเหตุผลที่ Global Lifestyles Brand ทั่วโลก เลือกเป็นสถานที่เปิดตัวแบรนด์ดังทั้งในไทยและแบรนด์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
เซ็นทรัลเวิลด์ มีการปรับ Tenant Mix เพื่อเป็น Global Landmark ด้วย 3 จุดแข็ง ดังนี้ 1. Location ดี Traffic ดี เป็นย่านการค้าที่แข็งแกร่งที่สุดของไทย สร้างเงินสะพัดมหาศาลให้กับประเทศ ผู้คนสัญจรเฉลี่ยกว่า 600,000 คนต่อวัน เป็นศูนย์กลางธุรกิจและจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลก พร้อมจอ the panOramix เพื่อเป็นพื้นที่โฆษณา 2. รวมแบรนด์ดังกว่า 3,000 แบรนด์ ทั้ง Food destination, Flagship stores และแบรนด์ทั่วโลกที่เปิดสาขาแรกในไทย นอกจากนี้ยังเป็น World-Class Event แลนด์มาร์คการจัดงานทั้งในประเทศและระดับโลก 3. Partner Champion ที่แข็งแกร่ง ทำงานร่วมกันในโมเดล Tenant Centric พร้อมนำเสนอ Solutions ที่สนับสนุนการดำเนินงานของร้านค้าผ่านเครื่องมือ CRM เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ตรงไลฟ์สไตล์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_50308
Retail
อะไรคือจุดแข็งของ GrabAds ที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้บริการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Grab มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ
null
GrabAds มีจุดแข็งหลักๆ 3 ประการ ดังนี้ 1. การผสานรวมโลกออนไลน์และออฟไลน์: GrabAds เสนอโซลูชันการโฆษณาที่ครอบคลุมทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้แบบครบวงจร ตัวอย่างเช่น แบรนด์สามารถโฆษณาบนแอป Grab ผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น Masthead, Native Banner, Search Ads และยังสามารถโฆษณาบนรถโดยสารหรือกระเป๋าส่งของของพาร์ทเนอร์ Grab 2. กลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ: GrabAds มีฐานผู้ใช้บริการมากกว่า 60 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกว่า 60% ของผู้ใช้บริการในประเทศไทยมีการใช้จ่ายบนแอปพลิเคชัน Grab ในเดือนนั้น หมายความว่า แบรนด์มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีพฤติกรรมการใช้จ่าย 3. ข้อมูลเชิงลึกผู้บริโภค: GrabAds มีฐานข้อมูลคุณภาพที่รวบรวมพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้บริการบนแอปพลิเคชัน Grab ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์เข้าใจอินไซต์และเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่าง Success Case: แคมเปญ "Burger King x GrabFood" เป้าหมาย: เพิ่มยอดขายเบอร์เกอร์ "Double King" กลยุทธ์: -โฆษณาบนแอป GrabFood ผ่านรูปแบบ Native Banner -มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ GrabFood ที่มีพฤติกรรมการสั่งอาหารประเภทเบอร์เกอร์ -เสนอส่วนลดพิเศษสำหรับการสั่งซื้อ Double King ผลลัพธ์: ยอดขาย Double King เพิ่มขึ้น 20% อัตราการคลิกโฆษณา (CTR) สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3 เท่า สรุป:GrabAds เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาที่มีจุดแข็งที่แตกต่าง เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ และต้องการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0