ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
3.44k
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
11
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Retail_52568
Retail
เขียนแนวคิดเรื่อง "โครงการ 'เราเที่ยวในห้าง': สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ในสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ"
null
แนวคิดเรื่อง "โครงการ 'เราเที่ยวในห้าง': สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่ในสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ" บทนำ ในยุคที่การเดินทางและการท่องเที่ยวมีความสำคัญมากขึ้น โครงการ "เราเที่ยวในห้าง" มุ่งสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เพียงแค่เป็นการซื้อขายสินค้า แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและมีความน่าสนใจ โดยมีการนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการช้อปปิ้ง วัตถุประสงค์ 1.ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ: สร้างแรงจูงใจให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองหลวงและจังหวัดต่างๆ 2.กระตุ้นเศรษฐกิจ: เพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าและธุรกิจในห้างสรรพสินค้าและพื้นที่ท่องเที่ยว 3.สร้างประสบการณ์ใหม่: นำเสนอรูปแบบการช้อปปิ้งที่แตกต่าง โดยการจัดกิจกรรมและกิจกรรมพิเศษในสถานที่ท่องเที่ยว แนวทางการดำเนินโครงการ 1.การสร้างแพ็คเกจท่องเที่ยว: ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยวในการสร้างแพ็คเกจที่รวมการเข้าชมสถานที่และส่วนลดสำหรับการช้อปปิ้งในห้าง 2.กิจกรรมพิเศษในห้าง: จัดกิจกรรมต่างๆ เช่น งานแฟร์สินค้า, การแสดงศิลปวัฒนธรรม, และการสาธิตการทำอาหารเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว 3.การใช้เทคโนโลยี: ใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโปรโมชั่น, สถานที่ท่องเที่ยว, และกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในห้างและสถานที่ท่องเที่ยว 4.การสร้างความร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น: สนับสนุนสินค้าท้องถิ่นและผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยการให้พื้นที่จัดแสดงสินค้าและจัดงานเทศกาลท้องถิ่นในห้าง ผลลัพธ์ที่คาดหวัง - การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว: คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น - การเพิ่มยอดขายในห้าง: ยอดขายของร้านค้าในห้างจะเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยว - การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง: เกิดการจดจำและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ สรุป โครงการ "เราเที่ยวในห้าง" เป็นแนวทางในการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่หลากหลายและน่าสนใจ โดยเชื่อมโยงการท่องเที่ยวและการช้อปปิ้งเข้าด้วยกัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52578
Retail
กลยุทธ์ Digital-led Banking ของ CIMB THAI Bank จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Gen Z ในธุรกิจค้าปลีกหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผลคือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตของ Gen Z: - Gen Z คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์เป็นประจำ - ชอบความสะดวกรวดเร็ว ใช้งานง่าย และต้องการประสบการณ์ที่ราบรื่น - นิยมใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ กลยุทธ์ Digital-led Banking ของ CIMB THAI Bank: - เน้นการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย - พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของ Gen Z เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชิลดี - มุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่ดี สะดวก รวดเร็ว และตรงใจ การจับมือกับแพลตฟอร์ม E-Commerce: - ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้น - อนุมัติวงเงินการซื้อสินค้าให้ทันที โดยที่ไม่ต้องมีบัตรเครดิต - เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z ที่นิยมซื้อของออนไลน์ การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า: - ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า Gen Z ได้ดีขึ้น - พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ - นำเสนอโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษที่ตรงกับความต้องการ ตัวอย่างความสำเร็จ: - แคมเปญบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชิลดี ยอดเปิดบัญชีโตขึ้นกว่าเดิม 300% - คว้ารางวัล Best Digital Marketing Initiatives และ Best New Product Launch จากเวที Global Retail Banking Innovation Awards 2020 สรุป: กลยุทธ์ Digital-led Banking ของ CIMB THAI Bank ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ชีวิตของ Gen Z ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ชอบความสะดวกรวดเร็ว และต้องการประสบการณ์ที่ราบรื่น การจับมือกับแพลตฟอร์ม E-Commerce และการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Gen Z ได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพและสามารถดึงดูดลูกค้า Gen Z ได้จริง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52579
Retail
โมเดล "Sustainable Store" จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของธุรกิจค้าปลีกในอนาคตหรือไม่?
null
ใช่ เพราะ 1. แนวโน้มของผู้บริโภค -ผลสำรวจของ IBM Institute for Business Value พบว่า 40% ของผู้บริโภคเป็น "Purpose-driven consumers" ที่ให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่ส่งผลดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม -ผู้บริโภคกลุ่มนี้ยินดีจ่ายเงินให้กับสินค้าและบริการที่ยั่งยืน และพร้อมเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม -เทรนด์นี้สอดคล้องกับกระแสโลกที่ให้ความสำคัญกับการลดโลกร้อนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน 2. ประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีก -โมเดล "Sustainable Store" ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ ดึงดูดลูกค้ากลุ่ม "Purpose-driven consumers" -ช่วยลดต้นทุนในการจัดการขยะและทรัพยากร -เพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ -สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง 3. ตัวอย่างความสำเร็จ -เชนซูเปอร์มาร์เก็ต ASDA ในอังกฤษ เปิดตัว "Sustainable Store" ที่เน้น Reduce, Reuse, Recycle -ร้านค้าปลีก IKEA นำเสนอเฟอร์นิเจอร์มือสองและบริการรับซื้อคืนเฟอร์นิเจอร์เก่า -แบรนด์ Patagonia มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่ยั่งยืน ซ่อมแซม และรีไซเคิล 4. อุปสรรค -ต้นทุนเริ่มต้นที่สูง -พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ยังไม่คุ้นเคย -กฎระเบียบและข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม 5. แนวโน้มในอนาคต -ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่ยั่งยืนมากขึ้น -กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมจะเข้มงวดมากขึ้น -ธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ปรับตัวจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ สรุป โมเดล "Sustainable Store" มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของธุรกิจค้าปลีกในอนาคต แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่แนวโน้มของผู้บริโภค กฎระเบียบ และความได้เปรียบทางธุรกิจ ล้วนสนับสนุนโมเดลนี้ ธุรกิจค้าปลีกที่ปรับตัวและนำโมเดลนี้ไปใช้ จะสามารถสร้างความยั่งยืน ดึงดูดลูกค้า และสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต คำอธิบายเพิ่มเติม -โมเดล "Sustainable Store" ไม่ได้จำกัดแค่การลดการใช้พลาสติก แต่รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน การจัดการขยะ การลดการปล่อยมลพิษ และอื่นๆ -โมเดลนี้สามารถปรับใช้กับธุรกิจค้าปลีกได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า กลุ่มลูกค้า และกลยุทธ์ของธุรกิจ -ธุรกิจค้าปลีกควรศึกษาข้อมูล แนวโน้ม และตัวอย่างความสำเร็จ เพื่อนำมาปรับใช้กับโมเดล "Sustainable Store" ของตนเอง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52582
Retail
เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผนึกกำลัง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ VISA เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “M Town รูด เล่น รับ ของรางวัลสนั่นเมือง” ผ่าน M Card Application โดยนำสิ่งใดมาเติมเต็มประสบการณ์การช้อปปิ้ง
เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผนึกกำลัง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ VISA เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “M Town รูด เล่น รับ ของรางวัลสนั่นเมือง” ผ่าน M Card Application โดยนำ Gamification มาเติมเต็มประสบการณ์การช้อปปิ้ง เพียงช้อปผ่านบัตร SCB M VISA ทุกการใช้จ่าย พบความสนุกและตื่นเต้น กับ 3 มินิเกมสุดเร้าใจ พร้อมลุ้นรับ TOYOTA Yaris Ativ และของรางวัลอีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 4.1 ล้านบาท พิเศษสำหรับผู้ถือบัตร SCB M VISA ทุกประเภทเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2564 คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ถือเป็นความร่วมมือระหว่าง บัตร SCB M VISA โดย เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้นำธุรกิจรีเทลชั้นนำของไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง และ วีซ่า ผู้นำด้านระบบการชำระเงินระดับโลก เพื่อมอบประสบการณ์การชอปปิงมิติใหม่ให้กับลูกค้า โดยได้นำ Gamification เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำการตลาด เนื่องจากปัจจุบันคนนิยมเล่นเกมบนมือถือมากขึ้น จากข้อมูลพบว่ามีผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก เล่นเกมออนไลน์ทุกเดือน (ข้อมูลจาก WE ARE SOCIAL และ HOOTSUITE) และ ในส่วนของคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 10 ชั่วโมงต่อวัน และส่วนใหญ่ใช้ Social Media 93.6% และ Game Online 41% (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA) จากสถิติดังกล่าว เดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงดึงเกมเข้ามามีส่วนช่วยในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเปิดโลกนักช้อปด้วย Game Experience ผนวกกับเทคโนโลยี Real-time Engagement เปิดประสบการณ์การชอปปิงรูปแบบใหม่ กับฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด “SCB M VISA – M Town รูด เล่น รับ ของรางวัลสนั่นเมือง” ผ่าน M Card Application” เพียงผู้ถือบัตร SCB M VISA ลงทะเบียนเล่นเกมผ่าน M Card Application และเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร SCB M VISA ตลอดทุกการใช้จ่าย จะได้รับสิทธิ์ในการเล่นกิจกรรม M Town 1 ครั้ง โดยเกม M Town ประกอบไปด้วย 6 เมือง แบ่งตามหมวดหมู่การใช้จ่าย เมื่อช้อปภายในห้างสรรพสินค้าในเครือ เดอะมอลล์ กรุ๊ป, กูร์เมต์ มาร์เก็ต, โฮม เฟรช มาร์ท, ร้านอาหาร, การคมนาคม, การใช้จ่ายที่ต่างประเทศ หรือชอปปิงออนไลน์เป็นสกุลเงินต่างประเทศ และการใช้จ่ายอื่นๆ ครบทุก 500 บาทขึ้นไป หรือใช้จ่ายไม่มีขั้นต่ำ ที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์ ลูกค้าจะได้ร่วมสนุกกับ 3 มินิเกม ได้แก่ (จากซ้ายไปขวา) สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทย , อรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business ฺBanking ธนาคารไทยพาณิชย์ และ วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด รางวัลจากการเล่นเกม M Town ลูกค้าจะต้องสะสม M Coin จากการเก็บ Item ในแต่ละ Level จนถึงระดับที่กำหนด เก็บสะสมถ้วยรางวัล ครบตามที่กำหนด และ 10 อันดับแรกที่เก็บ M coin ได้สูงสุด จะได้รับบัตรของขวัญจากเชลล์มูลค่า 10,000 บาท จำนวน 10 รางวัล พร้อมแลกรับของรางวัลมากมาย อาทิ M Cash Coupon ส่วนลดห้างฯตั้งแต่มูลค่า 50 100 200 300 และ 500 บาท หรือร้านค้าที่ร่วมรายการ ตามที่กำหนด อาทิ Starbucks E – Coupon, Bar B Q Plaza E – Coupon, Sizzler E – Coupon, The Pizza Company E – Coupon, Fuji Japanese Restaurant E – Coupon และคะแนน Shell GO+ 1,000 คะแนน มูลค่า 200 บาท รวมมูลค่ากว่า 3.5 ล้านบาท นอกจากนี้ เพียงลูกค้าลงทะเบียนผ่าน M Card Application และใช้จ่ายผ่านบัตร SCB M VISA ครบ 500 บาท ต่อเซลล์สลิป รับ 1 สิทธิ์ ลุ้นรถยนต์ TOYOTA Yaris Ativ รุ่น Sport Premium มูลค่า 681,000 บาท คุณอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป พันธมิตรทางธุรกิจ ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ด้านไลฟ์สไตล์การเงินให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ล่าสุดเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “SCB M VISA – M Town รูด เล่น รับ ของรางวัลสนั่นเมือง” ผ่าน M Card Application เราได้นำกลยุทธ์ Gamification มาใช้เพื่อเป็นการเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ พร้อมทั้งสร้าง Engagement ระหว่างลูกค้าและแบรนด์ ให้มีมากยิ่งขึ้น พิเศษสุดๆ สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต เดบิต หรือบัตรเติมเงิน SCB M VISA เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ครบ 500 บาท / เซลล์สลิป ที่ใดก็ได้ จะได้รับสิทธิในการเล่นเกม M Town ผ่าน M Card Application 1 ครั้ง ต่อเซลล์สลิป และสำหรับทุกการใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์ (SHELL) จะได้รับสิทธิเล่นเกมโดยไม่มียอดขั้นต่ำ ตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2564” คุณสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่าประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วีซ่า ขอแสดงความยินดีแก่ เดอะมอลล์ กรุ๊ป กับครั้งแรกในการเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ที่นำคอนเซ็ปของเกมมาประยุกต์ใช้ โดยแอปพลิเคชั่นนี้เป็นผลผลิตจากการระดมสมองร่วมกันผ่านกระบวนการ co-creation ที่วีซ่าได้เปิดให้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป สามารถเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี และนำไอเดียที่เกิดขึ้นมาพัฒนาจนกลายเป็นแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้จริงสำหรับผู้ถือบัตร SCB M ของวีซ่า เราเชื่อมั่นว่าแอปพลิเคชันบนมือถือที่ได้มีการนำคอนเซ็ปของเกมมาประยุกต์ใช้ในครั้งนี้จะสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แก่ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนเป็นอีกหนึ่งตัวแปรในการผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายในรูปแบบดิจิทัลของประเทศไทย” พบความสนุกรูปแบบใหม่แห่งการชอปปิง กับเกม “SCB M VISA – M Town รูด เล่น รับ ของรางวัลสนั่นเมือง” ที่พร้อมเปิดให้บริการแล้ว ตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2564 สำหรับลูกค้าผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลด M Card Application หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mcardmall.com, www.facebook.com/mcardforall และ M Card Application
เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผนึกกำลัง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ VISA เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “M Town รูด เล่น รับ ของรางวัลสนั่นเมือง” ผ่าน M Card Application โดยนำ Gamification มาเติมเต็มประสบการณ์การช้อปปิ้ง ได้นำกลยุทธ์ Gamification มาใช้เพื่อเป็นการเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ พร้อมทั้งสร้าง Engagement ระหว่างลูกค้าและแบรนด์ ให้มีมากยิ่งขึ้น เพียงช้อปผ่านบัตร SCB M VISA ทุกการใช้จ่าย พบความสนุกและตื่นเต้น กับ 3 มินิเกมสุดเร้าใจ พร้อมลุ้นรับ TOYOTA Yaris Ativ และของรางวัลอีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 4.1 ล้านบาท พิเศษสำหรับผู้ถือบัตร SCB M VISA ทุกประเภทเท่านั้น ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52586
Retail
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ มีกลยุทธ์อย่างไรในการขยายธุรกิจไปยังกลุ่ม Retail ในปี 2564?
null
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปยังกลุ่ม Retail ในปี 2564 ดังนี้: 1. พัฒนาธุรกิจ Own Project: - อินเด็กซ์ฯ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจ Own Project มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจอีเวนท์ที่ยังมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด ตัวอย่างธุรกิจ Own Project ที่เกี่ยวข้องกับ Retail ได้แก่: - Village of Illumination: งานแสดงไลท์เฟสติวัลที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งสามารถกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในท้องถิ่น - MOCA Project: งานแสดง Art Alive ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย บางเขน ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มผู้รักงานศิลปะและวัฒนธรรม - Myanmar Food Bev, Myanmar Retail Sourcing Expo, Myanmar Build & Deco: งานเทรดแฟร์ในต่างประเทศ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสให้ธุรกิจไทยขยายตลาดไปยังต่างประเทศ - Thailand Pavilion ในงาน World Expo 2020 Dubai: เป็นการนำเสนอสินค้าและบริการของไทยบนเวทีระดับโลก ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าไทยและกระตุ้นการค้าระหว่างประเทศ 2. ร่วมลงทุนกับพันธมิตร: - อินเด็กซ์ฯ ร่วมลงทุนกับนักลงทุนในจังหวัดเชียงรายและกรุงเทพฯ เพื่อสร้าง Museum & Experience “ถ้ำหลวง” ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก - การร่วมลงทุนกับพันธมิตรช่วยให้อินเด็กซ์ฯ เข้าถึงทรัพยากรและความรู้ใหม่ ๆ Museum & Experience “ถ้ำหลวง” มีโอกาสสร้างรายได้ราว 100 ล้านบาทต่อปี 3. มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี: - อินเด็กซ์ฯ ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาธุรกิจ ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี ได้แก่: - การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการจัดงานอีเวนท์ - การใช้ระบบ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า - การใช้เทคโนโลยี VR และ AR 4. พัฒนาบุคลากร: - อินเด็กซ์ฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ ตัวอย่างการพัฒนาบุคลากร ได้แก่: - การจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ - การส่งพนักงานไปศึกษาต่อต่างประเทศ 5. ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ: - อินเด็กซ์ฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ตัวอย่างการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ได้แก่: - การจัดงานเทรดแฟร์ในต่างประเทศ - การร่วมลงทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ สรุป: อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ มีกลยุทธ์ที่หลากหลายในการขยายธุรกิจไปยังกลุ่ม Retail ในปี 2564 กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้อินเด็กซ์ฯ สามารถลดความเสี่ยงจากธุรกิจอีเวนท์ ขยายฐานลูกค้า และสร้างรายได้ระยะยาว หมายเหตุ: - ข้อมูลในบทความนี้มาจากบทความ "โควิดทำรายได้อีเวนท์หายไป 70% "อินเด็กซ์" แก้เกมอย่างไรให้รอด เปิดบิ๊กโปรเจกต์มิวเซียม "ถ้ำหลวง" 50 ไร่" จาก Brand Buffet - บทความนี้นำเสนอเพียงข้อมูลบางส่วนจากบทความต้นฉบับ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52587
Retail
ผู้บริโภคไทยจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมหลังโควิด-19 คลี่คลายหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง: ผู้บริโภคไทยคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบดิจิทัลมากขึ้น สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงสินค้าและบริการได้หลากหลาย ช่องทางออนไลน์เติบโต: ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด มีตัวเลือกสินค้าและบริการมากมาย สะดวก รวดเร็ว ราคาประหยัด ความกังวลด้านสุขอนามัย: ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด ช้อปปิ้งออนไลน์เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจทำให้ผู้บริโภคกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม เช่น: ความผูกพันกับร้านค้าแบบดั้งเดิม: ผู้บริโภคบางกลุ่มยังมีความผูกพันกับร้านค้าแบบดั้งเดิม ชอบสัมผัสสินค้า พูดคุยกับพนักงาน สินค้าบางประเภท: สินค้าบางประเภท เช่น เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ผู้บริโภคยังต้องการเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ เศรษฐกิจ: หากเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคอาจจะจำกัดการใช้จ่าย หันมาซื้อสินค้าที่จำเป็น โดยสรุป: ผู้บริโภคไทยมีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตแบบผสมผสาน ผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ ขึ้นอยู่กับสินค้า บริการ และความสะดวก ตัวอย่าง: - นางสาวสมใจ ช้อปปิ้งเสื้อผ้าออนไลน์ แต่ยังไปลองเสื้อผ้าที่ร้านก่อนตัดสินใจซื้อ - ครอบครัว นายสมชาย ซื้ออาหารสดจากตลาด แต่สั่งอาหารออนไลน์ทานที่บ้าน - คุณ สมหญิง ทำงานจากบ้าน แต่บางครั้งก็ไปออฟฟิศเพื่อพบปะเพื่อนร่วมงาน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52589
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "การพลิกโฉมครั้งใหญ่ของเดอะมอลล์" ให้หน่อยค่ะ
KPI ธุรกิจศูนย์การค้ายุคใหม่ วัดกันที่ประสบการณ์ความพึงพอใจลูกค้า – การใช้เวลาอยู่นานขึ้น การพลิกโฉมครั้งใหญ่นี้ของเดอะมอลล์ เพื่อตอบโจทย์ใน 3 เรื่องหลักคือ 1. ตอกย้ำความเป็น Retail-tainment ภายใต้แนวคิด “A Happy Place to Live Life : ชีวิตที่มีความสุขของทุกครอบครัว” ที่ภายในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ พัฒนาด้วย 4 แนวคิด คือ – Urbanhood Lifestyle ยกแบรนด์มากมายมาไว้ในที่เดียว – Hybrid Experience ทุกพื้นที่ถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ เช่น จากเดิมส่วนพลาซ่า (พื้นที่เช่าในศูนย์การค้า) กับส่วนห้างสรรพสินค้าจะแบ่งโซนชัดเจน แต่ต่อไปนี้ทั้งสองส่วนนี้ จะเชื่อมโยงกัน เพื่อนำเสนอ Seamless Experience – Nature Enjoyment ผสานธรรมชาติ เข้ากับไลฟ์สไตล์ – Neighborhood Community การเป็นศูนย์การค้าในชุมชน ตามที่กล่าวข้างต้นการเติมองค์ประกอบของ Retail-tainment เข้าไปในโครงการ จะเป็น magnet สำคัญในการดึงคนมาเดิน มาใช้ชีวิต และใช้เวลา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สัมผัสได้จริง และแตกต่างจากประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ 2. เพิ่ม Traffic – Spend Time การปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่นี้ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” คาดหวังว่าจะเพิ่มจำนวนคนมาเดิน (Traffic) กับการใช้เวลา (Spend Time) มากขึ้น อย่างการรีโนเวทเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ก่อนรีโนเวทมียอด Traffic โดยเฉลี่ย 35,000 คนต่อวัน แต่ปัจจุบันในวันธรรมดา เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คนต่อวัน และวันเสาร์ – อาทิตย์ หรือวันหยุด มีคนเดินไม่ต่ำกว่า 65,000 คนต่อวัน ขณะเดียวกันเพิ่มการใช้เวลานานขึ้น จากเดิมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.15 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็น 1.30 ชั่วโมง ซึ่งการใช้เวลาเพิ่มขึ้น เท่ากับว่าเพิ่มโอกาสการขายของแบรนด์ และบริการต่างๆ ที่อยู่ภายในศูนย์การค้าเช่นกัน 3. กระชากลุค ให้ทันสมัย และเกิดการบอกต่อ Rebranding ครั้งนี้ นับว่าเป็นกระชากลุคทั้งแบรนด์เดอะมอลล์ และตัวศูนย์การค้าให้ทันสมัยขึ้น จากเดิมมี Customer Insight ของลูกค้าที่มาใช้บริการ เวลาลง Social Media ของตนเอง ไม่กล้า Check-in หรือ Tag สถานที่ แต่หลังจากรีโนเวท พบว่าลูกค้าที่มาเดิน จะ Tag หรือ Check-in สถานที่ พร้อมทั้งถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ของศูนย์การค้า “ถ้าลูกค้าได้รับประสบการณ์ไม่ดี เขาจะไม่มาอีก หรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา เพราะฉะนั้น KPI คือ ลูกค้าใช้เวลาอยู่ที่นี่นานขึ้น รวมถึงการบอกต่อเพื่อนๆ (Word of Mouth) ในแง่ดี Great Customer Experience Drive Greater Customer Loyalty และสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นรายได้ให้กับผู้ประกอบการต่างๆ ภายในศูนย์การค้า เพราะฉะนั้นประสบการณ์เป็นตัวตั้งต้น ถ้าลูกค้ากลับไปแล้วมีความพึงพอใจ อยากมาอีก นี่คือสิ่งสำคัญของการทำตลาดยุคนี้ ไม่ใช่แค่ผลกำไร ซึ่งเราเชื่อว่า Business Model ในอนาคต คือ ความสุขของคนที่มา” คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมทิ้งท้าย
การพลิกโฉมครั้งใหญ่นี้ของเดอะมอลล์ จะตอบโจทย์ 3 เรื่องหลักคือ 1. ตอกย้ำความเป็น Retail-tainment ผ่านแนวคิด ชีวิตที่มีความสุขของทุกครอบครัว ภายในศูนย์การค้าจะยกแบรนด์มากมายมาไว้ที่เดียว ออกแบบพื้นที่ให้เชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ ผสานธรรมชาติและเป็นศูนย์การค้าในชุมชน 2. เพิ่ม Traffic – Spend Time เพื่อให้จำนวนคนมาเดินกับการใช้เวลามากขึ้น เพิ่มโอกาสการขายและบริการต่างๆ ภายในศูนย์การค้า 3. กระชากลุค ให้ทันสมัย และเกิดการบอกต่อ ลูกค้าสามารถ Tag หรือ Check-in สถานที่ พร้อมถ่ายรูปตามจุดต่างๆ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52592
Retail
CJ Express Group ควรพิจารณาขยายธุรกิจค้าปลีกไปยังรูปแบบออนไลน์หรือไม่?
null
ควรพิจารณา เหตุผล: เทรนด์การช้อปออนไลน์ที่เติบโต: พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมาช้อปออนไลน์มากขึ้น สะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ยิ่งทำให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการช้อปออนไลน์มากขึ้น โอกาสขยายฐานลูกค้า: การมีช่องทางออนไลน์ จะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ทั่วประเทศ โดยไม่จำกัดพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลลูกค้า: แพลตฟอร์มออนไลน์สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า นำมาวิเคราะห์และพัฒนาสินค้า บริการ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด การต่อยอดธุรกิจ: แพลตฟอร์มออนไลน์สามารถต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ เช่น บริการเดลิเวอรี่ ตลาดออนไลน์ แนวทางการขยายธุรกิจค้าปลีกไปยังรูปแบบออนไลน์: พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: พัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นสำหรับช้อปปิ้งสินค้า CJ Supermarket และ CJ MORE ร่วมกับมาร์เก็ตเพลส: ร่วมเป็นพันธมิตรกับมาร์เก็ตเพลสชั้นนำ เช่น Lazada, Shopee, JD Central บริการเดลิเวอรี่: พัฒนาระบบเดลิเวอรี่สินค้าของตัวเอง หรือร่วมกับผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ การตลาดออนไลน์: โปรโมทสินค้า บริการ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย, Influencer Marketing ข้อควรพิจารณา: การแข่งขันที่สูง: ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์มีการแข่งขันสูง ค่าใช้จ่าย: การลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์ โปรโมทสินค้า ระบบโลจิสติกส์: การจัดส่งสินค้าให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ: - Tesco Lotus - Big C Supercenter - Makro Click - Tops Online สรุป: การขยายธุรกิจค้าปลีกไปยังรูปแบบออนไลน์ เป็นโอกาสสำคัญสำหรับ CJ Express Group ในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม CJ Express Group จำเป็นต้องศึกษาตลาด แนวทางการดำเนินธุรกิจ และเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52595
Retail
จากผลสำรวจของอิปซอสส์ ประชาชนไทย 52% ระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 ใช่หรือไม่?
null
ไม่ใช่ เหตุผล: ผลสำรวจของอิปซอสส์ ระบุว่า 62% ของประชาชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 - ประเทศไทยมีสัดส่วนประชาชนที่ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ที่ 52% ซึ่ง น้อยกว่า ค่าเฉลี่ยของภูมิภาค - ประเทศไทยมีเพียง 52% ของประชาชนที่ระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น จากช่วงก่อนโควิด-19 เพิ่มเติม: - ประเทศที่มีสัดส่วนประชาชนที่ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 ใกล้เคียงกับประเทศไทย คือ เวียดนาม อยู่ที่ 51% - ประเทศที่มีสัดส่วนประชาชนที่ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 สูงที่สุด คือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 70% วิเคราะห์: สาเหตุที่ประชาชนไทยมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค อาจเป็นเพราะ: - มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย - ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อเศรษฐกิจไทย - วัฒนธรรมการออมเงินของคนไทย สาเหตุที่ประชาชนไทยมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น จากช่วงก่อนโควิด-19 อาจเป็นเพราะ: - ประชาชนไทยเคยชินกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน - ประชาชนไทยมีประสบการณ์กับวิกฤตเศรษฐกิจมาก่อน - ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยง ผลกระทบต่อ Retail: - ผู้บริโภคจะชะลอการซื้อสินค้าประเภท Big Ticket Items เช่น บ้าน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า - ผู้บริโภคจะมองหาสินค้าที่มีราคาประหยัด คุ้มค่า - ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิต - ผู้บริโภคจะหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ข้อเสนอแนะสำหรับธุรกิจ Retail: - นำเสนอสินค้าและบริการที่มีราคาประหยัด คุ้มค่า - เน้นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิต - พัฒนาระบบการขายออนไลน์ - มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีและสะดวก - สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค สรุป: จากผลสำรวจของอิปซอสส์ ประชาชนไทย 52% ระวังการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น จากช่วงก่อนโควิด-19
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52596
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ Starbucks ในการขยายสาขาในภูมิภาคเอเชีย
null
กลยุทธ์หลักของ Starbucks ในการขยายสาขาในภูมิภาคเอเชีย มีดังนี้: 1. การใช้โมเดลแฟรนไชส์: Starbucks เลือกใช้โมเดลแฟรนไชส์เป็นหลักในการขยายสาขาในเอเชีย กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Starbucks สามารถขยายสาขาได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด และยังช่วยให้ Starbucks เข้าถึงพันธมิตรท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดนั้นๆ 2. การจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น: Starbucks เลือกจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก - ตัวอย่างเช่น Maxim’s Caterers Limited ในฮ่องกง มาเก๊า เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ และประเทศไทย และ F&N Retail Connection ในประเทศไทย - การจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นช่วยให้ Starbucks เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด 3. การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดท้องถิ่น: Starbucks ไม่ได้ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันในทุกประเทศ แต่จะปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับวัฒนธรรม ความชอบ และพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคในท้องถิ่น - ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย Starbucks นำเสนอเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่ผสมผสานความเป็นไทย 4. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า: Starbucks ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยออกแบบร้านให้มีบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย และพนักงานที่มีบริการดี 5. การใช้กลยุทธ์ Localization: Starbucks นำกลยุทธ์ Localization มาใช้เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น - การใช้ภาษาไทยในเมนู ป้ายต่างๆ และสื่อการตลาด การนำเสนอเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่ผสมผสานความเป็นไทย - การจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะกับวัฒนธรรมไทย 6. การใช้ช่องทางออนไลน์: Starbucks มุ่งเน้นการใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น เช่น การสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน การให้บริการเดลิเวอรี 7. การขยายสาขาไปยังเมืองรอง: Starbucks ไม่ได้มุ่งเน้นการเปิดสาขาในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น แต่ยังขยายสาขาไปยังเมืองรองๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ 8. การพัฒนาธุรกิจกาแฟพร้อมดื่ม: Starbucks มองเห็นโอกาสในธุรกิจกาแฟพร้อมดื่ม และได้ลงทุนในธุรกิจนี้เพื่อขยายฐานลูกค้า ผลลัพธ์: - กลยุทธ์เหล่านี้ทำให้ Starbucks ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาในภูมิภาคเอเชีย ปัจจุบัน Starbucks มีสาขามากกว่า 10,000 แห่งในเอเชีย และตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเป็น 20,000 แห่งภายในปี 2025 บทสรุป: กลยุทธ์หลักของ Starbucks ในการขยายสาขาในภูมิภาคเอเชีย คือ การใช้โมเดลแฟรนไชส์ การจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดท้องถิ่น การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า การใช้กลยุทธ์ Localization การใช้ช่องทางออนไลน์ การขยายสาขาไปยังเมืองรอง และการพัฒนาธุรกิจกาแฟพร้อมดื่ม กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Starbucks ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาในภูมิภาคเอเชีย และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52613
Retail
ความสำคัญของ “แพ็กเกจจิ้ง” ไม่ได้เพียงห่อหุ้ม หรือกันกระแทกสิ่งของที่อยู่ข้างในเท่านั้น แต่มีบทบาทมากไปกว่านั้น คือ เรื่องของ “Branding” ในมิติต่างๆ เช่นอะไรบ้าง
ความสำคัญของ “แพ็กเกจจิ้ง” ไม่ได้เพียงห่อหุ้ม หรือกันกระแทกสิ่งของที่อยู่ข้างในเท่านั้น แต่มีบทบาทมากไปกว่านั้น คือ เรื่องของ “Branding” ในมิติต่างๆ เช่น – ใช้แพ็กเกจจิ้งสื่อสารบุคลิก หรือตัวตนของแบรนด์ – สื่อถึงภาพลักษณ์ของสินค้า – แบรนด์นั้นๆ – นำเสนอความเป็นแบรนด์/สินค้านวัตกรรม – แพ็กเกจจิ้งเป็นส่วนหนึ่งของ Refresh ไปจนถึง Revamp แบรนด์ – สร้าง และรักษาฐานแฟนคลับ ผ่านการออกดีไซน์ Limited Edition ทั้งหลาย – สามารถสื่อถึง Purpose ของแบรนด์ หรือองค์กรนั้นๆ ไปยังสังคม ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็น “Silent Salesman” ที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคให้เข้ามาดู และตัดสินใจซื้อ ท่ามกลางสินค้ามากมายใน Category เดียวกันวางอยู่ใกล้กัน ใช้กลยุทธ์ “Nostalgia Marketing” ด้วยแพคเกจจิ้งดีไซน์เก่า กลับมาหวนคิดถึงอีกครั้ง หนึ่งในกลยุทธ์ “แพ็กเกจจิ้งดีไซน์” ที่ Brand Buffet อยากนำเสนอในวันนี้คือ การนำดีไซน์แพ็กเกจจิ้งเก่า กลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในรูปแบบ “Retro Design” โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นแบรนด์ และสินค้าที่อยู่ในตลาดมายาวนาน ซึ่งการนำแพ็กเกจจิ้งเดิม กลับมาทำใหม่นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Nostalgia Marketing” หรือการตลาดพาผู้บริโภคหวนรำลึกอดีต เพื่อสร้าง Emotional Connection ระหว่างแบรนด์ – สินค้า กับผู้บริโภค ซึ่งครอบคลุมทั้งคนที่เกิดทันในยุคสมัยดีไซน์นั้นๆ ขณะเดียวกันดีไซน์เก่า ยังเป็นเสน่ห์ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ แม้จะไม่ทันดีไซน์ในยุคเก่าก่อน แต่ก็สามารถสร้างความสนใจได้ไม่น้อย กรณีศึกษาที่นำมาในวันนี้ คือ “กูลิโกะ” (Glico) และ “เป๊ปซี่” (Pepsi) ทั้งสองแบรนด์นี้อยู่กับตลาดประเทศไทย และคนไทยมายาวนาน จนกลายเป็น “ความผูกพัน” ถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ไปร้านโชห่วยใกล้บ้าน เพื่อซื้อเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็ง หรือขี้จักรยานกับแก๊งเพื่อนๆ แวะร้านขายของชำ เลือกขนมในร้าน และตัดสินใจซื้อป็อกกี้แบ่งกันกับเพื่อน ความผูกพันเหล่านี้ ได้นำช่วงเวลาอดีต กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของการนำแพ็กเกจจิ้งดีไซน์เก่า มาผลิตใหม่ เพื่อตอกย้ำความเป็น Brand Heritage หรือความคลาสสิกของแบรนด์ – สินค้าสามารถดำรงอยู่มายาวนาน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย และสร้าง Engagement เชื่อมโยงระหว่างแบรนด์ กับผู้บริโภค ทั้งคนที่อยู่ในช่วงเวลานั้นๆ ได้หวนนึกถึง และส่งต่อช่วงเวลาในอดีตไปยังคนรุ่นใหม่ “กูลิโกะ” นำดีไซน์ Retro “ป็อกกี้ – เพรทซ์” กลับมาอีกครั้ง สื่อสาร Storytelling เส้นทางของแบรนด์ขนมที่อยู่มานาน แบรนด์ “กูลิโกะ” (Glico) ก่อตั้งขึ้นโดย “คุณริอิจิ เอซากิ” จุดเริ่มต้นย้อนกลับไปในปี 1919 คุณริอิจิ เอซากิ ค้นพบว่ามีสารไกลโคเจนในน้ำต้มหอยนางรม จึงได้เริ่มคิดค้นผลิตภัณฑ์อาหารที่นำสารไกลโคเจนมาใช้ จากนั้นในปี 1921 ได้พัฒนาขนมเสริมสุขภาพ “Glico Caramel” โดยนำไกลโคเจนมาเป็นส่วนผสมในการผลิตด้วย พร้อมทั้งใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Glico” และออกแบบแพ็กเกจจิ้งเป็น “นักวิ่งชูแขนสองข้างเข้าเส้นชัย” ซึ่งกลายเป็น “Logo” ของกูลิโกะมาถึงปัจจุบัน และยังเป็นหนึ่งใน Iconic ระดับโลกที่คนรู้จัก กระทั่งปี 1922 คุณริอิจิ เอซากิ เริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “Glico Caramel” ที่ห้างสรรพสินค้ามิทสึโคชิ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ในโอซาก้า พร้อมทั้งจัดตั้ง “บริษัท Ezaki Glico” และในเวลาต่อมาได้สร้างโรงงานผลิต พร้อมทั้งพัฒนาสินค้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Bisco (ปี 1933), Almond Glico เป็นคาราเมล สอดไส้อัลมอนด์ (ปี 1955), Almond Chocolate (ปี 1958), Glico Pretz (ปี 1962), Glico Cone ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Giant Cone (ปี 1963), Pocky (1966) และอื่นๆ อีกมากมาย ในปี 1932 ได้เริ่มขยายตลาดต่างประเทศ ถึงปัจจุบันมีสำนักงาน 17 แห่งใน 12 ประเทศ ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาหลี จีน สหรัฐฯ แคนาดา และฝรั่งเศส Photo Credit : ไทยกูลิโกะ สำหรับประเทศไทย ได้เข้ามาลงทุนในปี 2513 โดยขณะนั้นจัดตั้งเป็น “บริษัท ไทยกูลิโค่ จำกัด” สินค้าตัวแรกที่วางจำหน่ายในไทยคือ “Pretz Butter” ในปี 2514 และในปีต่อมาได้วางจำหน่าย “ป๊อกกี้” กระทั่งในปี 2539 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด” เพื่อการอ่านออกเสียงอย่างถูกต้องตามแบบฉบับญี่ปุ่น ถึงวันนี้เส้นทางของ “ไทยกูลิโกะ” และแบรนด์ “กูลิโกะ” ในฐานะเป็นผู้ผลิตขนมรายใหญ่ของไทย เดินทางมาครบ 50 ปีแล้ว ซึ่งสินค้าที่เป็นเรือธงในตลาดไทย นำโดยสองแบรนด์คือ “ป๊อกกี้” และ “เพรทซ์” เพราะฉะนั้นในโอกาสครบรอบ 50 ปี “ไทยกูลิโกะ” จึงใช้จังหวะนี้ในการนำแพ็กเกจจิ้งดีไซน์เก่า” นำมาผลิตใหม่อีกครั้ง ภายใต้แคมเปญ “ไทยกูลิโกะ 50 ปี ความอร่อย…ที่ไม่เคยเปลี่ยน” เริ่มต้นด้วย “ป๊อกกี้” และ “เพรทซ์” นำแพ็กเกจจิ้งดีไซน์ช่วงปี ‘90s กลับมาอีกครั้ง ทำออกมาเป็น Limited Edition เพื่อตอกย้ำถึงความทรางจำ และความอร่อยไม่เคยเปลี่ยนแม้จะเปลี่ยนดีไซน์บรรจุภัณฑ์กี่รุ่นแล้วก็ตาม พร้อมทั้งทำ Merchandise ต่างๆ เช่น พวงกุญแจ กระเป๋า และกิจกรรมชิงโชคลุ้นทอง Photo Credit : Facebook Glico 1. ราคาจับต้องได้ง่าย “กูลิโกะ” ถือเป็นผู้ผลิตบิสกิต และช็อกโกแลตจากต่างประเทศรายแรกๆ ที่เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย ซึ่งเมื่อกว่าครึ่งทศวรรษ ขนมคุกกี้ บิสกิต รวมไปถึงช็อกโกแลตที่ขายในไทย ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาจำหน่ายราคาสูง จึงมีผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม และขายดีในช่วงเทศกาลเท่านั้น ในขณะที่ “กูลิโกะ” วางตำแหน่งเป็น Mass Brand เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง และการตั้งโรงงานในไทย ทำให้สามารถทำราคาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงได้ และหาซื้อบริโภคได้ตลอดปี ประกอบกับการนำ “นวัตกรรมสินค้า” จากประเทศญี่ปุ่น นำมาผลิตและทำตลาดในไทย ถือเป็นแบรนด์แรกที่เปิดตลาดบิสกิตเคลือบช็อกโกแลต และสตรอเบอร์รี่ รวมถึงยังนำนวัตกรรมบิสกิต และช็อกโกแลตรูปแบบต่างๆ จากญี่ปุ่น เข้ามาผลิตและทำตลาดในไทย 2. ความหลากหลายของ Brand – Product Portfolio ภายใต้แบรนด์แม่ “กูลิโกะ” ยังได้ขยายโปรดักต์ ไลน์ และแบรนด์ย่อยออกมามากมาย เพื่อให้สินค้าแต่ละกลุ่ม เจาะตลาดที่แตกต่างกัน และเข้าถึงการบริโภคได้ทุกโอกาสการบริโภค ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ 3. Localized Product อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้ “กูลิโกะ” สามารถมัดใจผู้บริโภคไทยได้ คือ การพัฒนาสินค้าสำหรับตลาดประเทศไทยโดยเฉพาะ หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จ คือ “เพรทซ์ รสลาบ” ปัจจุบันกลายเป็นเพรทซ์ ที่ขายดีในไทย ทั้งยังเป็นสินค้าสุดฮิตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย 4. สื่อสารการตลาด เป็นแบรนด์ขนมที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารการตลาดมาโดยตลอด ครอบคลุมทุกสื่อ ตั้งแต่ในอดีตที่มีภาพยนตร์โฆษณาทีวี สไตล์ Kawaii ที่เห็นแล้วรู้ทันทีว่าเป็นกูลิโกะ และเชื่อมโยงกับความเป็นแบรนด์ขนมจากญี่ปุ่น ขณะที่ในปัจจุบันเป็นยุคออนไลน์ ได้หันมาสื่อสารบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น ควบคู่กับการจัดกิจกรรมการตลาด เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์ กับผู้บริโภค 5. ครอบคลุมทุกช่องทางจำหน่าย อีกหนึ่งกุญแจความสำเร็จของ “กูลิโกะ” ในไทย ตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบัน คือ ระบบจัดจำหน่าย ที่กระจายครอบคลุมทั้ง Modern Trade และ Traditional Trade ประกอบกับราคาสินค้าที่ผู้บริโภคทุกคนเข้าถึงได้ ทำให้ไม่ว่าจะอยู่แห่งไหนของไทย ก็เจอสินค้าของกูลิโกะอยู่ใกล้ตัวเสมอ Photo Credit : Facebook Glico Photo Credit : Facebook Glico “เป๊ปซี่” ตอกย้ำความซ่าทุก Generation ถ้าเอ่ยถึง Global Iconic Brand ต้องยกให้กับ “เป๊ปซี่” (Pepsi) ที่อยู่มายาวนานกว่า 120 ปี และอยู่ในตลาดไทยมาเกือบ 7 ทศวรรษแล้ว หากย้อนกลับไปจุดกำเนิดของ “เป๊ปซี่” เริ่มต้นในปี 1893 เมื่อ Caleb Bradham เภสัชกรหนุ่มชาวอเมริกันได้ทดลองผสมสูตรเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดโคล่า วานิลลา และน้ำมันหอมสกัด เพื่อช่วยรักษาอาการปวดท้องให้แก่ลูกค้าในร้านขายยาจนกลายเป็นเครื่องดื่มที่สร้างความสดชื่นโดยให้ชื่อว่า Brad’s Drink ต่อมาปี 1898 Caleb ได้เปลี่ยนชื่อเครื่องดื่มดังกล่าวเป็น Pepsi-Cola ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า “dyspepsia” ซึ่งสะท้อนถึงคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร และเริ่มโฆษณาเพื่อทำตลาดอย่างจริงจัง จากนั้นปี 1902 แบรนด์ Pepsi-Cola ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า รวมถึงส่วนผสมของเครื่องดื่มซึ่งถือเป็นความลับทางการค้า และได้เริ่มขยายธุรกิจเครื่องดื่มอย่างเต็มรูปแบบในประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ในช่วงปี 1940s Pepsi มุ่งเน้นภาพลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะเครื่องดื่มเพื่อสร้างความสดชื่นและการเข้าสังคม โดยเจาะกลุ่มไปที่วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่เป็นหลัก โดยยุคนั้นเป็นยุคของการดื่มจากขวดแก้ว เราจึงมักจะคุ้นตากับภาพโฆษณาในสไตล์วินเทจที่มีขวดแก้วและฝาจีบเป็นองค์ประกอบ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 Pepsi เริ่มขยายตลาดไปต่างประเทศ และได้เข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1952 ช่วงปี 1980s หนึ่งในแคมเปญการตลาดซึ่งประสบความสำเร็จและเป็นที่จดจำมากที่สุด คือ “Pepsi. The Choice of a New Generation” หรือ “เป๊ปซี่ รสชาติของคนรุ่นใหม่” โดยได้ศิลปินระดับแนวหน้าของโลกอย่าง Michael Jackson, Lionel Ricci, Gloria Estefan มาร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ ในเมืองไทยมีศิลปินซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งในยุคนั้นอย่าง ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ บินลัดฟ้าไปถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณากับ Tina Turner ถึงสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อเข้าสู่ช่วงปี 1990s ภาพจำในยุค 90s ของ Pepsi คงหนีไม่พ้นซูเปอร์โมเดล Cindy Crawford ในเสื้อกล้ามสีขาวถือกระป๋องเป๊ปซี่ดีไซน์ใหม่เพื่อตอกย้ำแฟนเป๊ปซี่ถึงสโลแกน “Be Young, Have Fun, Drink Pepsi” และช่วงปี 2000s Pepsi ก้าวข้ามผ่านสหัสวรรษใหม่ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นผ่านแคมเปญโฆษณาที่มีสีสันและน่าจดจำ ด้วยการร่วมงานกับไอคอนของแต่ละวงการ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินแถวหน้า Britney Spears, Beyoncé, Mariah Carey, Christina Aguilera, Nicki Minaj, Black Eyed Peas, One Direction รวมถึง นักเตะขั้นเทพอย่าง David Beckham และ Lionel Messi เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว “เป๊ปซี่” ทำแคมเปญ “PEPSI GENERATIONS” เพื่อฉลองครบรอบ 120 ปีของการเป็นแบรนด์เครื่องดื่มร่วมสมัยที่ครองใจคนรุ่นใหม่มาทุกเจเนอเรชัน ในครั้งนั้นนอกจากกิจกรรมการตลาดแล้ว ยังได้เปิดตัวแพ็คเกจจิ้งรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นที่มาพร้อมดีไซน์สุดคลาสสิคจาก 5 ยุคสุดฮิต ทั้ง 1940 1950 1980 1990 และ 2000 เพื่อตอกย้ำความผูกพันกับผู้บริโภคในทุกยุคสมัยผ่านวัฒนธรรมป๊อป (Pop Culture) 1. ความแข็งแกร่งของแบรนด์ ด้วยความที่อยู่มานาน ผู้บริโภคไทยรู้จัก และคุ้นเคยเป็นอย่างดี จนกลายเป็นแบรนด์น้ำอัดลมที่คนไทยผูกพัน และเป็นหนึ่งใน Top of mind brand เสมอ 2. สร้างโรงงาน และเสริมความแข็งแกร่งระบบจัดจำหน่าย ถึงแม้ “เป๊ปซี่โค” (PepsiCo) ในไทยจะแยกทางกับ “เสริมสุข” แต่ด้วยความที่ประเทศไทย เป็นหนึ่งใน Strategic Country ของเป๊ปซี่โคระดับโลก ย่อมไม่ยอมให้ฐานธุรกิจในไทยสะดุดอย่างแน่นอน! “เป๊ปซี่โค ประเทศไทย” จึงได้สร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ระยอง ในปี 2555 และที่สระบุรี ในปี 2559 ควบคู่กับการเสริมศักยภาพพันธมิตรกระจายสินค้า ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าธุรกิจเครื่องดื่ม “Distribution” มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวโปรดักต์ จนเรียกได้ว่าเป็นจุดชี้เป็น – ชี้ตายสำหรับแบรนด์เลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างพันธมิตรกระจายสินค้า และระบบกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ “เป๊ปซี่” สามารถหาซื้อได้ง่ายทุกช่องทางจำหน่าย ทั้งร้านโชห่วย ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ค้าส่ง และในปัจจุบันต้องมีช่องทางออนไลน์ ทั้งในรูปแบบจับมือกับแพลตฟอร์ม e-Commerce เพื่อเปิด Official Store บนออนไลน์ และจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Retailer ทั้งหลาย 3. ขอยืนอยู่ในตลาดน้ำอัดลมขวด PET – กระป๋อง และสร้างความหลากหลาย Pack Size – ราคาให้สอดคล้องกับช่องทางจำหน่าย และพฤติกรรมผู้บริโภค หลังจากแยกทางกับ “เสริมสุข” ยุทธศาสตร์ที่ “เป๊ปซี่โค ประเทศไทย” ประกาศชัดเจนคือ ยกเลิกการทำตลาดน้ำอัดลมแบบขวดแก้ว และหันไปทุ่มให้กับการสร้างตลาดน้ำอัดลมขวด PET และรูปแบบกระป๋อง ขณะเดียวกันพัฒนา Pack Size และราคาให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางจำหน่าย และพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละเซ็กเมนต์ เช่น ทำขวด PET ขนาด 640 มล. ราคา 17 บาท เข้าช่องทางร้านโชห่วยนิยมนำไปขาย เพราะคุ้มค่าคุ้มราคา หรือขนาด 345 มล. เข้าโชห่วย และร้านอาหาร Photo Credit : Facebook Pepsithai 4. การตลาด และการสื่อสารผ่านกิจกรรม และกลยุทธ์ Collaboration เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ “เป๊ปซี่” มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็น Global Campaign เช่น การใช้กลยุทธ์ Music Marketing ที่เมื่อแต่ละประเทศนำไปใช้ จะประยุกต์ให้เข้ากับความเป็น Local ของประเทศนั้นๆ เพื่อทำให้เข้าถึงผู้บริโภคตลาดนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้ใช้กลยุทธ์ Collaboration กับแบรนด์ต่าง Category พัฒนาสินค้าร่วมกัน เช่น จับมือกับ Puma และ FILA ออกคอลเลคชันชุดกีฬา และสนีกเกอร์ร่วมกัน เพื่อสร้าง Wow! Experience ให้กับผู้บริโภคได้เห็นความแปลกใหม่ และตื่นเต้น ขณะเดียวกันเป็นการตอกย้ำความเป็น Classic Brand ของทั้งคู่ อีกทั้งยังทำให้แบรนด์เป๊ปซี่เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ไม่ใช่แค่เฉพาะเวลาต้องการเครื่องดื่มดับกระหายเท่านั้น 5. เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ผนึกกำลัง “ซันโทรี่” จัดตั้ง “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ(ประเทศไทย) จำกัด” หรือ SPBT ยิ่งเสริมศักยภาพแบรนด์เป๊ปซี่ และขยาย Brand Portfolio ครอบคลุมทั้งกลุ่มเครื่องดื่มอัดลม และนวัตกรรมเครื่องดื่มใหม่ที่ตอบโจทย์สุขภาพ นี่คือพลังของ “แพ็กเกจจิ้ง” ที่ทำให้เห็นพัฒนาการของแบรนด์ และถึงแม้ดีไซน์เก่าจะถูกทดแทนด้วยดีไซน์ใหม่ในปัจจุบันไปแล้ว แต่ทว่า “ดีไซน์เก่า” ยังคงเป็นมรดกที่ไม่ว่าจะหยิบนำมาเสนอใหม่อีกครั้งเมื่อไร แพ็กเกจจิ้งดีไซน์นั้นก็ยังคงมี “คุณค่า” ให้กับแบรนด์อยู่เสมอ และช่วยตอกย้ำถึงความเป็น Brand Heritage จุดแข็งที่ใครๆ ลอกเลียนแบบไม่ได้ ทั้งยังเป็นการสร้าง Brand Engagement กับผู้บริโภคจากรุ่นสู่รุ่นได้เป็นอย่างดี
ความสำคัญของ “แพ็กเกจจิ้ง” ไม่ได้เพียงห่อหุ้ม หรือกันกระแทกสิ่งของที่อยู่ข้างในเท่านั้น แต่มีบทบาทมากไปกว่านั้น คือ เรื่องของ “Branding” ในมิติต่างๆ เช่น – ใช้แพ็กเกจจิ้งสื่อสารบุคลิก หรือตัวตนของแบรนด์ – สื่อถึงภาพลักษณ์ของสินค้า – แบรนด์นั้นๆ – นำเสนอความเป็นแบรนด์/สินค้านวัตกรรม – แพ็กเกจจิ้งเป็นส่วนหนึ่งของ Refresh ไปจนถึง Revamp แบรนด์ – สร้าง และรักษาฐานแฟนคลับ ผ่านการออกดีไซน์ Limited Edition ทั้งหลาย – สามารถสื่อถึง Purpose ของแบรนด์ หรือองค์กรนั้นๆ ไปยังสังคม ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็น “Silent Salesman” ที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคให้เข้ามาดู และตัดสินใจซื้อ ท่ามกลางสินค้ามากมายใน Category เดียวกันวางอยู่ใกล้กัน
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52621
Retail
จากบทความ "สร้างแบรนด์…ให้ดังและยั่งยืน" SME ในธุรกิจค้าปลีก (Retail) ควรนำแนวทางใดไปปรับใช้ เพื่อสร้างแบรนด์ให้ดังและยั่งยืน
null
จากบทความ "สร้างแบรนด์…ให้ดังและยั่งยืน" มีแนวทางที่ SME ในธุรกิจค้าปลีก (Retail) ควรนำไปปรับใช้ เพื่อสร้างแบรนด์ให้ดังและยั่งยืน ดังนี้: 1. รู้จักตัวตน วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค ของธุรกิจ กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เข้าใจความต้องการของลูกค้า ค้นหาจุดยืนของแบรนด์ 2. สร้างประสบการณ์ที่ดี นำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ บริการลูกค้าด้วยความประทับใจ สร้างบรรยากาศการช็อปปิ้งที่น่าดึงดูด พัฒนาระบบการชำระเงินและการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ 3. สื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างชื่อแบรนด์และโลโก้ที่จดจำได้ง่าย กำหนดเอกลักษณ์ของแบรนด์ สื่อสารแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย 4. มุ่งเน้นความยั่งยืน ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นำเสนอสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างการประยุกต์ใช้แนวทาง ร้านขายของชำในชุมชนสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและจดจำ โดยเน้นสินค้าสดใหม่ ราคาเป็นธรรม บริการด้วยความเป็นกันเอง และจัดส่งสินค้าถึงบ้าน ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์สามารถสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น โดยออกแบบเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ นำเสนอภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ห้างสรรพสินค้าสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่นิยม โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย มอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่พิเศษ สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อควรพิจารณา การสร้างแบรนด์ต้องใช้เวลาและความพยายาม จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและสอดคล้อง ต้องติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52625
Retail
สรุปบทความเรื่อง กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเตรียมจัดงาน “Thailand Franchise Award : TFA 2020” เพิ่มศักยภาพแข่งขันผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดสากล ให้หน่อย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดงาน ประกวดรางวัลแฟรนไชส์ไทย (Thailand Franchise Award : TFA 2020) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาเพิ่มสมรรถนะขีด ความสามารถและยกระดับให้ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยมีระบบการบริหารจัดการที่มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล ก้าวสู่การแข่งขันสอดรับเทรนด์วิถีชีวิตปกติแบบใหม่ New Normal พร้อมเชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ ร่วมโครงการ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึง 10 สิงหาคม 2563 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญหนึ่งของกรมพัฒนาธุรกิจ การค้า คือ การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ และกรมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM Bank ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ สมาคม แฟรนไชส์และไลเซนส์ จัดงาน “Thailand Franchise Award 2020” เพื่อพัฒนาและส่งเสริม ตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นที่รู้จักในตลาดสากลมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง เป็นการกระตุ้นธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีคุณภาพ และรักษามาตรฐานคุณภาพของธุรกิจ อันจะนำไปสู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยจะมีการ มอบโล่รางวัลให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ แฟรนไชส์ที่มีการพัฒนาศักยภาพมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยใช้หลักเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ (Total Franchise Quality Management – TQFM) กำหนดประเภทรางวัลแบ่งออกเป็น 5 ประเภทรวม 13 รางวัล คือ – Best Small Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยขนาดย่อมยอดเยี่ยม – Best Medium Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยขนาดกลางยอดเยี่ยม – Best Large Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยขนาดใหญ่ยอดเยี่ยม – Best Food Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยอาหารยอดเยี่ยม – Best Beverage Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยเครื่องดื่มยอดเยี่ยม – Best Service Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยบริการยอดเยี่ยม – Best Retail Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยค้าปลีกยอดเยี่ยม – Best Education Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยการศึกษายอดเยี่ยม – Best Innovation Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยนวัตกรรมยอดเยี่ยม – Best Export Franchise รางวัลแฟรนไชส์ไทยโกอินเตอร์ยอดเยี่ยม – Franchise of The Year รางวัลสุดยอดแฟรนไชส์ไทย – Franchise Shining Star รางวัลสุดยอดแฟรนไชส์ไทยดาวรุ่ง – Best Overseas Franchise รางวัลแฟรนไชส์ต่างประเทศยอดเยี่ยม กำหนดคุณสมบัติธุรกิจแฟรนไชส์ที่สนใจสมัครเข้าร่วมประกวด คือ ต้องดำเนินการในรูปแบบแฟรนไชส์ ภายในประเทศไทย มีการจดทะเบียนพาณิชย์ หรือ ทะเบียนนิติบุคคล เป็นธุรกิจที่มีภาพลักษณ์กิจการที่ดี มีสินค้า หรือบริการที่มีคณคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภค ทั้งนี้ผู้สมัคร จะต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาจาก คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อคัดเลือกแฟรนไชส์ที่เหมาะสมเพื่อรับโล่รางวัล “Thailand Franchise Award 2020” ภายในเดือนกันยายน มาร่วมกันสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์ไทย เพื่อก้าวไกลสู่ตลาดสากล และเตรียมพร้อมกับการตลาด แบบใหม่ที่มาพร้อมกับวิถีชีวิตแบบ New Normal จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์เข้าร่วมสมัครการ ประกวดรางวัลแฟรนไชส์ไทย ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 10 สิงหาคม 2563. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 574 5953 หรือ ที่ปรึกษาโครงการ บริษัท เจโนไซส์จำกัด ติดต่อคุณชัชพิสิฐ สหบันเทิงศิลป์ และคุณทัศน์พล สว่างศรี โทรศัพท์ 082 9545965, 065 4615050
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดงาน ประกวดรางวัลแฟรนไชส์ไทย (Thailand Franchise Award : TFA 2020) ส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาเพิ่มสมรรถนะขีด ความสามารถและยกระดับให้ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยมีระบบการบริหารจัดการที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล โดยใช้หลักเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ (Total Franchise Quality Management – TQFM) กำหนดประเภทรางวัลแบ่งออกเป็น 5 ประเภทรวม 13 รางวัล คือ 1. รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยยอดเยี่ยมตามขนาด 3 รางวัล 2. รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยยอดเยี่ยมรายอุตสาหกรรม 5 รางวัล 3. รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ไทยที่มีความโดดเด่นเฉพาะด้าน 2 รางวัล 4. รางวัลสุดยอดธุรกิจแฟรนไชส์ไทยแห่งปี 2 รางวัล 5. รางวัลธุรกิจแฟรนไชส์ต่างประเทศ 1 รางวัล คุณสมบัติธุรกิจแฟรนไชส์ที่เข้าร่วมประกวด คือ ต้องดำเนินการในรูปแบบแฟรนไชส์ ภายในประเทศไทย มีการจดทะเบียนพาณิชย์ หรือ ทะเบียนนิติบุคคล ต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาจาก คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อคัดเลือกแฟรนไชส์ที่เหมาะสมเพื่อรับโล่รางวัล “Thailand Franchise Award 2020”
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52636
Retail
เมกาบางนาได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานภายในศูนย์เพื่อให้สอดรับการใช้ชีวิตแบบ New Normal ด้วยเป้าหมายใด
ศูนย์การค้าเมกาบางนา เผยแนวทางการดำเนินธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด – 19 ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น พร้อมก้าวเข้าสู่ยุค “New Normal” อย่างเข้มข้น เน้นย้ำการส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่สนุกอย่างปลอดภัยให้กับลูกค้า ตามภารกิจที่ตั้งใจดำเนินการมาตลอดระยะเวลา 8 ปี เดินหน้าจัดเต็มตามมาตรการ “ห่างกันอย่างโปร” เน้น สุขอนามัย – สะอาด – ปลอดภัย – ความสะดวก สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าที่กลับมาใช้บริการ พร้อมการทำงานร่วมกันกับร้านค้าผู้เช่าอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยการทำแคมเปญร่วมกับพันธมิตรกับ Food Online Delivery Platform และเสริมบริการ Click & Collect เชื่อมช่องทางออนไลน์ของร้านค้า เข้ากับหน้าร้าน และรับสินค้าได้ที่จุดไดรฟ์ ทรู (Drive Thru) ของเมกาบางนา ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในทุกขั้นตอนการใช้บริการ นางสาวปพิตชญา สุวรรณดี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา กล่าวว่า “สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ถือเป็นความท้าทายใหม่สำหรับในธุรกิจค้าปลีก และเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้เข้าสู่ New Normal อย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยศูนย์การค้าเมกาบางนาทำหน้าที่เป็นมีทติ้งเพลส (Meeting Place) ของคนในย่านนี้มาตลอดระยะเวลา 8 ปี โดยเราเป็นมากกว่าสถานที่ช็อปปิ้ง เพราะเราคือสถานที่พบปะของครอบครัวและเพื่อนฝูง ที่มอบประสบการณ์แห่งเสียงหัวเราะและความสุขให้กับลูกค้าทุกคน จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น เราได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสังคมไทยและการปรับตัวของกลุ่มลูกค้าที่ในการใช้ชีวิตให้เข้ากับ New Normal ที่ถึงแม้จะปรับตัวยากในตอนแรก แต่ขณะนี้ทุกคนสามารถปรับตัวรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะลูกค้าเข้าใจถึงความจำเป็นและความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน โดยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา การพกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การเว้นระยะห่างระหว่างลูกค้ากันเอง รวมถึงปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ทางศูนย์ฯ แนะนำไว้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ หลังจากที่เปิดให้บริการในวันที่ 17 พ.ค. เมกาบางนามีร้านค้าที่กลับมาเปิดให้บริการแล้วมากกว่า 97% และมีจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการมากกว่า 80% พร้อมยอดขายผู้เช่าหลักที่กลับมาเป็นปกติหรือมากกว่า เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนปิดศูนย์การค้าฯ “ห่างกันอย่างโปร” เพื่อชีวิตในยุค New Normal นอกจากการตั้งรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เมกาบางนายังมีมุมมองเชิงรุก เมกาบางนาได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานภายในศูนย์ฯ หลายส่วนเพื่อให้สอดรับการใช้ชีวิตแบบ New Normal ด้วยเป้าหมายคือการส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่สนุกสนานได้อย่างปลอดภัยให้กับลูกค้า ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 เราเข้าใจในเรื่องของความกังวลเรื่องสุขอนามัยเป็นอย่างดี เมกาบางนาจึงได้เสริมมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นทั่วทั้งศูนย์ฯ พร้อมกับการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อเพิ่มมาตรการให้ครอบคลุมเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด ความปลอดภัย และความสะดวกสบายของลูกค้า ภายใต้แคมเปญ “ห่างกันอย่างโปร” (Social Distancing Expert) ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ “Social4Carings” เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยที่ดีของลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการที่เมกาบางนา ได้แก่ (1) มาตรการการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing (2) มาตรการร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและลูกค้า หรือ Social Caring for Customers (3) มาตรการสำหรับพนักงาน และเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงาน หรือ Social Self-Care for Staff และ (4) มาตรการการร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนโดยรอบ หรือ Social Care for Community “ตั้งแต่การปิดบริการชั่วคราวของศูนย์การค้าและได้เปิดบริการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ตลอดเวลา เมกาบางนามีการสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับร้านค้าผู้เช่า เพื่ออัพเดทสถานการณ์ รวมถึงมีมาตรการสนับสนุนต่างๆ ซึ่งท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพันธมิตรธุรกิจ หรือร้านค้าผู้เช่า เป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากที่เราจะต้องพร้อมใจก้าวไปในทิศทางเดียว ช่วยเหลือกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤตและเติบโตไปด้วยกันได้ โดยก่อนที่จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเราได้ประสานงานกับทางร้านค้าในการจัดส่งเอกสาร Megabangna Re-opening Playbook ไปให้กับร้านค้าผู้เช่า เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวตามมาตรการเรื่องความปลอดภัย เป็นการเตรียมความพร้อมในให้บริการลูกค้าได้อย่างดีที่สุด” นางสาวปพิตชญา กล่าว ผนึกพันธมิตรร้านค้าผู้เช่า พัฒนากลยุทธ์ร่วมกัน ทั้งนี้ เมกาบางนาและพันธมิตรร้านค้าผู้เช่าได้มีแนวทางกลยุทธ์ในการดำเนินการในยุค New Normal ได้แก่ 1. ต่อยอดความร่วมมือกับ Food Online Delivery Platform ทุกแพลตฟอร์ม สำหรับร้านค้าผู้เช่าในกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่ม เมกาบางนาเป็น “ฟู้ด เดสทิเนชั่น” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งกรุงเทพตะวันออก มีร้านอาหารให้เลือกสรรถึง 165 ร้าน ซึ่งในช่วงที่ศูนย์ฯ ปิดให้บริการชั่วคราว ทางเมกาบางนา ได้เปิดให้บริการ “จุดสั่งอาหารกลับบ้าน” (Pick Up Point) เพื่อช่วยอำนวยสะดวกให้กับลูกค้า และพนักงานเดลิเวอรี่ทุกแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำแคมเปญร่วมกับ Grab Food ด้วยการใช้คะแนนเมกา สไมล์ รีวอร์ดส แลกรับโค้ดส่วนลดจาก Grab Food ผ่านทางแอปพลิเคชั่นเมกาบางนา และแคมเปญ Mega Eat @ Home ร่วมกับ LINE Man โดยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเลือกสั่งเมนูจากร้านต่างๆ ที่ร่วมรายการได้มากกว่า 1 ร้านต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้ง และยังได้รับส่วนลดค่าจัดส่งได้สูงสุดถึง 80 บาท นอกจากนี้ เมกาบางนายังอยู่ในระหว่างการเจรจากับกลุ่ม Food Online Delivery Platform อื่นๆ เพื่อหาช่องทางและกลยุทธ์อื่นๆ เพิ่มเติมในการสนับสนุนผู้เช่ากลุ่มนี้ 2. เดินหน้ากลยุทธ์ Omni Channel เชื่อมช่องทางออนไลน์และหน้าร้าน เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าแบบไร้รอยต่อ สำหรับร้านค้าผู้เช่าในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเมกาบางนาสนับสนุนบริการ Click & Collect เป็นการต่อยอดทางธุรกิจในการรวม retail และ logistics เข้าด้วยกัน โดยลูกค้าสามารถเลือกดู และสั่งสินค้าได้ทางออนไลน์ และมารับสินค้าได้ที่จุดไดรฟ์ ทรู (Drive Thru) ของเมกาบางนา เพื่อช่วยลดความแออัดของการใช้บริการภายในร้านค้า และเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าได้อีกด้วย นอกจากนี้ เมกาบางนายังสนับสนุนการใช้สื่อออนไลน์ของเมกาบางนา ได้แก่ เฟซบุ๊ค เว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น รวมถึงสื่อภายในศูนย์ฯ เพื่อให้ร้านค้าใช้เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนเอง สร้างแบรนด์และยอดขายให้กับร้านค้า เดินหน้ารีโนเวทเมกาบางนา ไม่หยุดขยายเมกาซิตี้ โครงการ “เมกาซิตี้” เป็นโปรเจ็คอสังหาริมทรัพย์รูปแบบ “มิกซ์ ยูส” บนถนนบางนา – ตราด เมืองขนาดใหญ่สำหรับการใช้ชีวิตที่ครบวงจร ทั้งพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย สำนักงาน โรงเรียน และสวนสาธารณะ โดยมีศูนย์การค้าเมกาบางนาเป็นศูนย์กลางของทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ทางเมกาบางนายังคงเดินหน้ารีโนเวทศูนย์การค้าตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่ มอบความสุขความสนุกสนานให้กับลูกค้าหลังจากที่เปิดกลับมาให้บริการอีกครั้ง โดยเราได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายในอาคารศูนย์การค้าแล้วเสร็จในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเรายังได้เดินหน้าปรับปรุงภูมิทัศน์ของโซนเมกา ฟู้ดวอล์ค ภายใต้คอนเซป Scandinavian Playground โดยนำเสนอสนามเด็กเล่นธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มิได้เป็นเพียงแค่เครื่องเล่นทั่วไป แต่เป็นพื้นที่ธรรมชาติ พร้อมสายน้ำ (stream valley) และบ่อทราย (sand dune) ภายใต้บรรยากาศสวนต้นไม้อันรื่นรมย์ที่หาได้ยากในเมืองใหญ่ เพื่อให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ในรูปแบบและประสบการณ์พิเศษใหม่นี้ พร้อมกันกับการมาใช้บริการที่เมกาบางนา โดยขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จไปมากกว่า 50% และกำหนดเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกันยายนนี้
ภายใต้แคมเปญ “ห่างกันอย่างโปร” (Social Distancing Expert) ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ “Social4Carings” เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยที่ดีของลูกค้า คือการส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่สนุกสนานได้อย่างปลอดภัยให้กับลูกค้า: - ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 เราเข้าใจในเรื่องของความกังวลเรื่องสุขอนามัยเป็นอย่างดี เมกาบางนาจึงได้เสริมมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นทั่วทั้งศูนย์ฯ พร้อมกับการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อเพิ่มมาตรการให้ครอบคลุมเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด ความปลอดภัย และความสะดวกสบายของลูกค้า ภายใต้แคมเปญ “ห่างกันอย่างโปร” (Social Distancing Expert) ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ “Social4Carings” เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยที่ดีของลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการที่เมกาบางนา ได้แก่: (1) มาตรการการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing (2) มาตรการร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและลูกค้า หรือ Social Caring for Customers (3) มาตรการสำหรับพนักงาน และเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงาน หรือ Social Self-Care for Staff และ (4) มาตรการการร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนโดยรอบ หรือ Social Care for Community “ตั้งแต่การปิดบริการชั่วคราวของศูนย์การค้าและได้เปิดบริการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52642
Retail
เขียนความน่าสนใจในเนื้อหาเกี่ยวกับ "Uniqlo ยกระดับความเอาใจใส่: การบริจาคหน้ากากอนามัย 10 ล้านชิ้นเพื่อส่งเสริมสังคมและสุขภาพในยุคโควิด-19"
null
หัวข้อ บริษัทแม่ Uniqlo บริจาคหน้ากากอนามัย 10 ล้านชิ้น ร่วมสู้โควิด-19 - Brand Buffet บทความเกี่ยวกับการบริจาคหน้ากากอนามัยจากบริษัทแม่ Uniqlo 10 ล้านชิ้นเพื่อร่วมสู้กับโรคโควิด-19 เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เนื่องจากมีผลกระทบที่มากมายต่อสังคมและเศรษฐกิจทั่วโลก การกระจายหน้ากากอนามัยมากมายนี้จากบริษัทแม่ Uniqlo ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้เป็นการเส้นทางที่ยอดเยี่ยมในการรับมือกับวิกฤติของโรคระบาด การกระจายหน้ากากอนามัยนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่ยังส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมความเอาใจใส่และความเป็นส่วนตัวของลูกค้าและพนักงานของบริษัท Uniqlo ซึ่งจะเชื่อถือและมีความปรารถนาดีต่อสังคมโดยไม่แสดงอวัยวะของผู้รับบริจาค การทำเช่นนี้ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท ทำให้เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือในกลุ่มผู้บริโภค ด้วยทุนทรัพย์และทรัพยากรที่มีอยู่ของบริษัทแม่ Uniqlo การทำการบริจาคหน้ากากอนามัย 10 ล้านชิ้นเป็นการร่วมมือกับชุมชนในการเผชิญหน้ากับวิกฤติของโรคระบาดที่มีผลกระทบต่อทุกคนในสังคมโดยรวม และเป็นการยืนยันถึงความรับผิดชอบขององค์กรในการสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมและมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพให้กับทุกคน
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52651
Retail
จงเสนอไอเดีย 4 กลยุทธ์ค้าปลีกรับมือโควิด-19 มีอะไรบ้าง
null
1. บริหารจัดการสินค้าและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะในด้านการจัดหาสินค้าให้เพียงพอ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม grocery ควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ panic buy โดยเน้นปรับ product mixed ภายในร้านค้าตามพฤติกรรมของผู้บริโภคและเพิ่มสต็อกสินค้าในคลังโดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวสุขภาพ อุปกรณ์ป้องกันและทำความสะอาด อาหารแห้ง เน้นการบริหารห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. เน้นขายออนไลน์และเพิ่ม customer engagement ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ให้สามารถรองรับปริมาณ traffic ของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นมาก รวมไปถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า นอกจากนี้พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าออนไลน์จะเป็นโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ตลอดเวลา ผู้ประกอบการจึงควรอาศัยโอกาสนี้นำข้อมูลผู้บริโภคมาวิเคราะห์ให้ตอบโจทย์และหันมาทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยี อาทิ AR หรือ VR มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ในการช้อปปิ้ง ให้กับผู้บริโภคและสร้าง customer engagement ให้ดียิ่งขึ้น 3. ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภคและพนักงานเป็นอันดับแรก เน้นปรับปรุงการบริการต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึงความเอาใจใส่และห่วงใยต่อทั้งผู้บริโภคและพนักงาน เสริมสร้างภาพลักษณ์ของร้านค้าเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและความประทับใจจากผู้บริโภค โดยอาจนำเอาบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างเช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น การจัดให้มีเวลาที่เปิดให้บริการสำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยเฉพาะเพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อและป้องกันการขาดแคลนสินค้าจำเป็น รวมถึงการพัฒนารูปแบบการส่งสินค้าใหม่ ๆ อาทิ การส่งสินค้าแบบไร้การสัมผัส (contactless delivery) ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์เป็นอย่างมาก 4. เตรียมความพร้อมให้บริการหลังสถานการณ์คลี่คลาย โดยผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของการบริหารจัดการสต็อกสินค้าและ supply chain เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะกลับมาฟื้นตัวภายหลังวิกฤติ นอกจากนี้ ในกลุ่มของศูนย์การค้าหรือร้านค้าปลีกรายใหญ่ ๆ อาจใช้โอกาสที่มีผู้เข้าใช้บริการน้อยหรือในช่วงที่ต้องปิดการให้บริการในการปรับปรุงพื้นที่เพื่อรองรับการกลับมาเข้าใช้บริการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นภายหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52654
Retail
TMRW มีกลยุทธ์อย่างไรในการดึงดูดลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่า
null
กลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าใหม่: เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว: -TMRW ออกแบบมาเพื่อใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว บนโทรศัพท์มือถือ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิทัล นำเสนอบริการที่ตรงใจลูกค้า: -TMRW วิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้า นำเสนอบริการที่ตรงใจรายบุคคล มอบประสบการณ์ที่ดี: -TMRW มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า จับมือกับพันธมิตร: -TMRW ร่วมมือกับพันธมิตร มอบสิทธิประโยชน์หลากหลายด้าน เปิดตัวโปรแกรมทดสอบระบบ: -TMRW เปิดโอกาสให้ลูกค้าทดสอบระบบ และให้ข้อเสนอแนะก่อนเปิดตัวจริง กลยุทธ์ในการรักษาฐานลูกค้าเก่า: พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ: -TMRW พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ: -TMRW มอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้าเก่า สร้างกิจกรรมส่งเสริมการขาย: -TMRW จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ดึงดูดให้ลูกค้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้า: -TMRW ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้า เก็บ feedback และนำมาพัฒนาบริการ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Retail: -TMRW Rewards: โปรแกรมสะสมคะแนนแลกรับรางวัล เพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้าใช้จ่ายผ่าน TMRW -TMRW Deals: มอบส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้า TMRW -TMRW Marketplace: แพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายสินค้าและบริการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า -TMRW ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่า เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (NPS) ที่สูง TMRW ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นเป็นธนาคารดิจิทัลชั้นนำ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52656
Retail
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ธุรกิจค้าปลีกจะสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้อย่างไร?
null
ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ โดยใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้: 1. มุ่งเน้นไปที่การค้าปลีกแบบออนไลน์: - พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง หรือร่วมมือกับแพลตฟอร์มที่มีอยู่ - นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ - มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกและราบรื่น - พัฒนาระบบการจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ 2. พัฒนา Omnichannel: - ผสมผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน - นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ - อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา - ใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ 3. มุ่งเน้นไปที่สินค้าและบริการที่จำเป็น: - ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในช่วงวิกฤต - นำเสนอสินค้าและบริการที่ช่วยให้ลูกค้าปลอดภัยและสุขภาพดี - พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า 4. ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ: - ทบทวนกลยุทธ์ทางธุรกิจและโครงสร้างองค์กร - ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น - เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน - มองหาวิธีใหม่ ๆ ในการลดต้นทุน 5. พัฒนาบุคลากร: - พัฒนาทักษะของพนักงานให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลง - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมใหม่ - สนับสนุนให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และคิดริเริ่ม 6. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: - สื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ - นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ - มอบประสบการณ์การบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม - สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า 7. ติดตามสถานการณ์และปรับตัวอย่างรวดเร็ว: - ติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับ COVID-19 อย่างใกล้ชิด - ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ - พัฒนาระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น - เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเพิ่มเติม: - ธุรกิจค้าปลีกสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ เช่น บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน บริการรับสินค้าหน้าร้าน (curbside pickup) บริการช้อปปิ้งส่วนตัว (personal shopping) - ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning) หุ่นยนต์ (Robotics) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน - ธุรกิจค้าปลีกสามารถร่วมมือกับธุรกิจอื่น ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยสรุป ธุรกิจค้าปลีกจะสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ โดยใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย มุ่งเน้นไปที่การค้าปลีกแบบออนไลน์ พัฒนา Omnichannel นำเสนอสินค้าและบริการที่จำเป็น ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาบุคลากร สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ติดตามสถานการณ์และปรับตัวอย่างรวดเร็ว
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52666
Retail
บทความนี้เกี่ยวข้องกับบริษัทใด
A. Isuzu B. Honda C. Ford D. Toyota
คำตอบได้แก่ D. Toyota เพราะว่า ด้วยเทคโนโลยีในยุค 2020 คำว่า City of the Future หรือเมืองที่เต็มไปด้วยแนวคิดแห่งอนาคตที่เราเคยเห็นกันตามหนัง Sci-fi ดูจะไม่ไกลเกินจริงอีกต่อไป: - เพราะล่าสุดค่ายโตโยต้ากำลังเดินหน้าสร้างเมืองดังกล่าวภายใต้ชื่อที่บริษัทตั้งว่า “Woven City” บนพื้นที่ขนาด 175 เอเคอร์ หรือราว 0.7 ตารางกิโลเมตรใกล้กับภูเขาไฟฟูจิให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริงกันแล้ว 1. การประกาศว่าจะสร้างเมืองดังกล่าวมีขึ้นในงาน CES2020 ที่ลาสเวกัส เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยโตโยต้าระบุว่า: - เมืองอัจฉริยะนี้จะมีประชากรเริ่มต้นราว 2,000 คน ส่วนหนึ่งคือพนักงานของโตโยต้าและครอบครัว - นอกจากนั้นก็จะมีกลุ่มผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนหนึ่งเข้ามาอยู่ร่วมด้วย อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากไม้ ขอบคุณภาพจากโตโยต้า - สำหรับความพิเศษของการได้อยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้คือ “บ้าน” เพราะบ้านที่ออกแบบมาเพื่อชาวเมือง Woven City นั้นจะทำจากไม้และวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก แถมยังมีหุ่นยนต์และ AI คอยให้บริการ รวมถึงคอยช่วยมอนิเตอร์สุขภาพให้ 2. นอกจากนั้น โตโยต้ายังออกแบบถนน ในเมืองใหม่เป็น 3 แบบตามการใช้งานจริง ได้แก่: - ถนนสำหรับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง - ถนนสำหรับใช้ร่วมกันระหว่างรถความเร็วต่ำและผู้คน - สุดท้ายคือถนนคนเดินที่ห้ามรถราออกวิ่ง 3. รถรา: ที่วิ่งในเมืองดังกล่าวต้องเป็นรถอัจฉริยะไร้คนขับ (Self-driving car) และต้องไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย (รถประเภทอื่นห้ามวิ่งในเมืองดังกล่าวเด็ดขาด) - ซึ่งการมีถนนเช่นนี้ ทำให้โตโยต้าสามารถนำรถไร้คนขับ e-Palette ของตนเองออกมาทดสอบการรับส่งผู้คนในเมืองได้อีกด้วย รถ e-Palette ของโตโยต้า 4. ด้านการใช้ชีวิตในเมือง: โตโยต้าเผยว่าจะออกแบบให้มีสวนสาธารณะกระจายตัวอยู่หลายจุด - รวมถึงมีพลาซ่าให้เป็นศูนย์รวมของคนในเมืองออกมาช้อปปิ้งกันด้วย - Bjarke Ingels สถาปนิกผู้สร้างเมือง “ยั่งยืน” สำหรับผู้ออกแบบผังเมืองแห่งนี้คือ Bjarke Ingels สถาปนิกชาวเดนมาร์กเจ้าของผลงานการออกแบบตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์และสำนักงานใหญ่ของ Google ที่แคลิฟอร์เนียกับกรุงลอนดอน - โดย Ingels ระบุว่า การออกแบบ Woven city นี้ เขาต้องการให้เป็นเมืองที่เติบโตได้อย่างยั่งยืนไม่ต่างไปจากผลงานก่อนหน้าของเขา ขณะที่เป้าหมายของเมืองอัจฉริยะดังกล่าวก็คือ การนำเทคโนโลยีเช่น หุ่นยนต์, AI และ IoT ใส่เข้าไปในบ้านเรือนและพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้เป็นพื้นที่ศึกษาเทคโนโลยีเหล่านั้นไปในตัว - ซึ่งทำให้โตโยต้ามองว่า การสร้างเมืองใหม่จากศูนย์น่าจะทำให้บริษัทสามารถผสานเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าไปได้สะดวกกว่า โดยประธานของโตโยต้าอย่างคุณอากิโอะ โทโยดะกล่าวว่า “การที่ผู้คน อาคาร และยานพาหนะเชื่อมต่อเข้ากับระบบทั้งหมด ทำให้เราสามารถทดสอบการทำงานของเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ทั้งนี้ การก่อสร้าง Woven City จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2021 และโตโยต้าวางแผนว่าจะให้ชาวเมืองย้ายเข้าไปอยู่อาศัยได้ภายใน 5 ปีนับจากนี้
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52669
Retail
ด้วยจุดแข็งของตลาดเครื่องสำอางไทย มีผลช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมในประเทศเป็นอย่างไร
บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม และนวัตกรรมที่กำลังเติบโต ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย แถลงข่าวการจัดงาน “คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563 (Cosmoprof CBE ASEAN 2020)” งานจัดแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก ที่จะมาสร้างบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการด้านความงามไทย ฝ่าวิกฤตเปิดทางออกปัญหาเศรษฐกิจโลก ผ่านงานเสวนา “ฝ่าวิกฤติ กับโอกาสการลงทุนเครื่องสำอางไทยในตลาดโลก ปี 2563” จากผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดความงามและเครื่องสำอางชั้นนำ นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย กล่าวถึง ภาพรวมของตลาดเครื่องสำอางไทยว่า “ตลาดเครื่องสำอางถือเป็นตลาดที่มีกำลังการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งสะท้อนความน่าเชื่อถือของเครื่องสำอางไทยในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งศักยภาพของประเทศไทยยังเอื้อต่อการเติบโตของตลาดเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านมาตรฐานภาคการผลิตในระดับสูง คุณค่าของวัตถุดิบที่สามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมไปถึงความเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียนและมาตรฐานของระบบโลจิสติกส์ ที่เป็นปัจจัยสำคัญให้อุตสาหกรรมความงามไทยมีความพร้อมและเป็นที่เชื่อมั่นของนักลงทุน” ทั้งนี้ ด้วยจุดแข็งของตลาดเครื่องสำอางไทย มีผลช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมีการขับเคลื่อน และดึงเอาเม็ดเงินจากต่างชาติให้ไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น ทั้งยังเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเติบโตแข่งขันกับผู้เล่นเก่าและผู้เล่นต่างชาติได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ที่สินค้า Made in Thailand Products มีความต้องการซื้อพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เช่นจากใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ออสเตรเลีย ‘อินฟอร์มา มาร์เก็ต’ จึงใช้โอกาสนี้ สร้างเวทีเพื่อผู้ประกอบเครื่องสำอางไทยนำพาสินค้าในมือขยายไปสู่ตลาดโลก ในชื่องานว่า “คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563 (Cosmoprof CBE ASEAN 2020)” ซึ่งเป็นงานจัดแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน “คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563” เป็นงานจัดแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก บนเนื้อที่กว่า 25,000 ตารางเมตร พร้อมสร้างบรรทัดฐานใหม่ของอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยงานจะจัดขึ้นในวันที่ 17-19 กันยายน 2563 ณ ศูนย์การแสดงสินค้า และการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานเป็นการสร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการความงามได้นำเสนอสินค้าและนวัตกรรมความงามจากทั่วทั้งอาเซียน พร้อมเปิดโอกาสขยายการเติบโตให้ผู้ประกอบการความงาม อาทิ ‘โปรแกรมจับคู่เจรจาธุรกิจ Business Matching’ โปรแกรมทางธุรกิจ ออกแบบให้ผู้ออกงานได้พบกับคู่ค้าทางธุรกิจ หรือผู้ซื้อ ที่ตรงความต้องการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น, ‘โปรแกรม Hosted Buyer’ ไฮไลต์สำคัญของงาน ที่รวมตัวผู้ซื้อคุณภาพจากทั่วโลก ให้มาพบกับผู้ประกอบการไทยภายในงานแบบเอ็กซ์คลูซีฟ, กิจกรรม ‘Cosmoprof CosmoTalks’ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกรูปแบบใหม่ ด้านแนวโน้มและลักษณะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเวทีสัมมนาให้ความรู้ด้านการตลาดความงามแก่ผู้ประกอบการไทย และการแสดงสาธิตโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งไทยและต่างประเทศ ทางด้าน นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานกลุ่มคลัสเตอร์สุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มเครื่องสำอางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวถึงภาพรวมการแข่งขันในตลาดผู้ผลิตเครื่องสำอางว่า “เศรษฐกิจประเทศไทยโดยเฉพาะด้านการส่งออกในระยะหลังค่อนข้างเติบโตช้า เนื่องมาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งจากปัญหาเงินบาทแข็งค่า และสงครามการค้าของจีน-สหรัฐอเมริกา ไปจนถึงความขัดแย้งในพื้นที่ตะวันออกกลาง แต่นับเป็นเรื่องดีที่ตลาดเครื่องสำอางไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากความเชื่อมั่นสินค้าด้านเครื่องสำอาง Made in Thailand product ซึ่งเห็นจากมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางไทยในปี 62 กว่า 130,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 6% แต่ทั้งนี้ การจะดันมูลค่าตลาดให้เติบโตขึ้นต้องอาศัยการร่วมจากทั้งกลุ่มผู้ประกอบการและภาครัฐ ในการผลักดันชุดยืนของโลโก้ Made in Thailand ให้ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้น รวมถึงต้องร่วมกันผลักดันงานแสดงสินค้าให้เป็นที่รับรู้มากขึ้น เพื่อที่จะส่งให้สินค้าความงามไทยไปอยู่ในสายตาโลกได้มากที่สุด” ในส่วนของภาคผู้ประกอบการอย่าง นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการสร้างความสำเร็จในตลาดความงามโลกว่า “ตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่มีความใหญ่เป็นอันดับต้นทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่สามารถนำพาแบรนด์ไปสู่ความสำเร็จได้คือการจับจุดเด่นตัวเองให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด กล่าวคือตัวสินค้าต้องมีนวัตกรรมและคงคอนเซปต์ที่ชัดเจน รวมถึงต้องตามเทรนด์ใหม่ๆ จับกระแสขอโลกอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ แบรนด์ที่ดีควรมีสินค้าหลายขนาด หลายรูปแบบไม่จำเจ ให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกหลากหลายในราคาที่เอื้อมถึง ที่สำคัญควรรู้จักประเทศคู่ค้าให้ดี อาทิ ทำความเข้าใจด้านกฎหมายการค้า กระบวนการภาษี การขนส่ง ราคาที่เหมาะสม และมีการส่งเสริมการตลาดที่ดี อย่างด้านโปรโมชั่นหรือสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะประเทศนั้นๆ เป็นต้น” ด้านอีกหนึ่งผู้ประกอบการอย่าง นางสาวรุ่งระวี กิตติสินชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด กล่าวถึงกลยุทธ์สร้างผลิตภัณฑ์ในตลาดความงามโลกว่า “แม้ตลาดเครื่องสำอางจะมีมูลค่าการเติบโตสูงขึ้นทุกปี แต่ในด้านของการแข่งขันก็มีไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเกิดใหม่เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมีรูปแบบนำเสนอสินค้าที่หลากหลายกว่าเดิม อาทิ เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่ Packaging ที่แตกต่างพกพาสะดวก ราคาต่อหน่วยที่ถูกลง โดยเฉพาะช่องทางการขายที่เข้าถึงได้ง่าย ทั้งจากช่องทางเดิมๆ ใน Modern trade, Convenient store, Beauty shop, Retail shop และการบุกทาง Online โดยกลุ่ม Startup, ดารานักแสดง, Net Idol ผ่าน Social Media ต่างๆ ที่มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้พฤติกรรม Brand Loyalty ของผู้บริโภคลดลง และนำมาซึ่งการตัดสินใจใช้สินค้าใหม่ๆ แบรนด์ใหม่ๆ ง่ายขึ้น” การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคครั้งนี้ ประกอบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ตลาดเครื่องสำอางมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Mass ระดับกลางและระดับล่าง ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการใหม่, กลุ่มผู้ขายสินค้านำเข้า หรือแม้แต่กลุ่ม Global Brand เอง ก็เริ่มพัฒนา Collection ที่ถูกลง เพื่อเข้าหาลูกค้ากลุ่ม Mass มากขึ้น รวมถึงออก Fighting brand ใหม่ๆ ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อร่วมในตลาดระดับรองลงมา และรักษาส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มสินค้านั้นๆ แต่โชคดีที่ในปี 2563 สัดส่วนของผู้บริโภคจะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอายุของกลุ่มที่เริ่มใช้เครื่องสำอางมีค่าเฉลี่ยลดลง ทั้งยังมีโอกาสจากกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และมองหาคู่ค้าไทยในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในเวที “คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถส่งสินค้าในมือไปสู่ตลาดโลก เพื่อสู้กับการแข่งขันที่ขยายตัว ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นางสาวรุ่งระวี กล่าวต่อไปว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการผลิตและมี Supply Chain ที่ครบวงจร และยังมีแรงงานที่มีทักษะ รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งการเสริมจุดแข็งเหล่านี้ ผู้ประกอบการใหม่ควรศึกษาถึงการใช้ทรัพยากรที่มี เพื่อพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการ Formulate สูตรต่างๆ ให้ทันสมัยและเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วย และควรเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค ด้วยการสร้างสรรค์สินค้าให้มีคุณภาพและปลอดภัยในระดับผ่านการประเมินจากองค์กรที่มีการรับรองในระดับสากลทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการเสริมศักยภาพของตัวองค์กร อาทิ เป็นสินค้าที่มีสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบไปยังต่างประเทศ หรือการบริหารการจัดการให้มีคุณภาพ ตั้งแต่ด้านการผลิต การจัดเก็บ ไปจนถึงการส่งมอบ” “จากการคาดการณ์ด้านเศรษฐกิจของนักลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ พบกว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยรวมไปถึงในระดับโลก อาจยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวในเร็วนี้ ทว่าในตลาดเครื่องสำอางและความงามไทยยังคงเป็นตลาดที่มีความแข็งแรงอยู่ ทั้งยังมีแนวโน้มที่สามารถเติบโตสวนทางกับกระแสเศรษฐกิจโลก และเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตของผู้ประกอบการไทย รวมไปถึงตลาดความงามไทย ‘อินฟอร์มา มาร์เก็ต’ จึงใช้ประสบการณ์การจัดงาน Cosmoprof ทั่วโลกที่ผ่านมา และความเข้าใจใน Insight ความต้องการของธุรกิจจัดงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงาม เพื่อผลักดันให้ “คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก” ได้เติมเต็มศักยภาพของผู้ประกอบการไทยไปอีกขั้น เพื่อให้โอกาสการลงทุนเครื่องสำอางไทยในตลาดโลกมีตัวเลขเพิ่มขึ้น พร้อมพาตลาดความงามฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปด้วยกัน” นายสรรชาย กล่าวทิ้งท้าย ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร และรายละเอียดเพิ่มเติมของนิทรรศการแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก “คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน แบงค็อก 2563 (Cosmoprof CBE ASEAN 2020)” ได้ที่ www.cosmoprofcbeasean.com
มีผลช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมีการขับเคลื่อน และดึงเอาเม็ดเงินจากต่างชาติให้ไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น ทั้งยังเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเติบโตแข่งขันกับผู้เล่นเก่าและผู้เล่นต่างชาติได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ที่สินค้า Made in Thailand Products มีความต้องการซื้อพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เช่นจากใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ออสเตรเลีย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52678
Retail
อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย?
null
จากบทความที่ได้อ่าน มีปัจจัยหลักหลายประการที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ดังนี้ 1. กำลังซื้อของผู้บริโภค: - กำลังซื้อของผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก - ในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา กำลังซื้อของผู้บริโภคมีการเติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น สาเหตุหลักมาจาก - เศรษฐกิจชะลอตัว - หนี้ครัวเรือนสูง - รายได้ภาคเกษตรหดตัว 2. โครงสร้างประชากร: - ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้จำนวนผู้บริโภคในวัยทำงานลดลง - ผู้สูงอายุมักมีกำลังซื้อน้อยกว่าวัยทำงาน - ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร 3. เทคโนโลยี: - เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในธุรกิจค้าปลีก - ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น - ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัวเพื่อรองรับเทรนด์นี้ เช่น พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ 4. การแข่งขัน: - ธุรกิจค้าปลีกมีการแข่งขันสูง - ธุรกิจค้าปลีกต้องพัฒนากลยุทธ์เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้ง 5. นโยบายภาครัฐ: - นโยบายภาครัฐสามารถส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกได้ เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายภาษี 6. ปัจจัยภายนอก: - ปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภัยธรรมชาติ ล้วนส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในอนาคตจะต้อง: - มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า - นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง - พัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้ง - พัฒนากลยุทธ์ออนไลน์ - บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ - ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ สรุป: การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จในอนาคตจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้า
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52703
Retail
Tadashi Yanai ผู้ก่อตั้ง Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ฝากความหวังในการเติบโตของบริษัทเอาไว้กับผู้หญิงญี่ปุ่น โดยเฉพาะตำแหน่งใด
null
Tadashi Yanai ผู้ก่อตั้ง Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ฝากความหวังในการเติบโตของบริษัทเอาไว้กับผู้หญิงญี่ปุ่น โดยเฉพาะตำแหน่งซีอีโอ พร้อมเอ่ยชมว่า เพราะเพศหญิงเป็นเพศที่มีความพยายามสูง แถมยังไม่มองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และเข้าใจศาสตร์ด้านความสวยความงามอย่างดี ตำแหน่งซีอีโอ เป็นงานที่เหมาะกับผู้หญิงมาก ๆ Fast Retailing สามารถสร้างยอดขาย 18,900 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดโลก และสามารถผลักดันให้พนักงานหญิงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารได้ถึง 6 คน หรือคิดเป็นผู้บริหารหญิง 30% ของตำแหน่งบริหารทั้งหมด และคุณ Yanai ยังกล่าวว่า เขาจะเพิ่มตัวเลขนี้ให้มากกว่า 50% ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย โดย Fast Retailing มีผู้บริหารหญิงที่เป็นหน้าเป็นตาให้องค์กรได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งคน นั่นก็คือ Maki Akaida ผู้บริหารของ Uniqlo Japan ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่ทำกำไรให้กับ Uniqlo มากที่สุดในปี 2018 นั่นเอง โดย Yanai บอกว่า Akaida ก็มีศักยภาพสูงมากต่อตำแหน่งนี้เช่นกัน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52704
Retail
ในฐานะผู้บริหารธุรกิจ Retail ขนาดกลางที่มีพนักงานประมาณ 50 คน ต้องการพัฒนาทักษะพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ควรใช้กลยุทธ์ Reskill และ Upskill อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด?
null
จากบทความ "6 องค์กรใหญ่ ปรับตัวอย่างไรให้ “คน” เปลี่ยนทันโลก" มีประเด็นสำคัญที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ Retail ดังนี้: 1. วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ: -วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) ของธุรกิจ -ประเมินทักษะปัจจุบันของพนักงาน -ระบุทักษะใหม่ที่จำเป็นสำหรับงาน Retail ในยุคดิจิทัล -พิจารณาความพร้อมของทรัพยากรและงบประมาณ 2. กำหนดกลยุทธ์ Reskill และ Upskill: -เลือกวิธีการที่เหมาะสม เช่น การฝึกอบรมออนไลน์ การเรียนแบบตัวต่อตัว การฝึกงาน -ออกแบบเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของพนักงานและธุรกิจ -เน้นการเรียนรู้แบบ Active Learning -ส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Self-learning 3. ตัวอย่างกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ Retail: Reskill: -พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี เช่น การใช้เครื่องมือ POS การใช้โซเชียลมีเดีย -พัฒนาทักษะการบริการลูกค้าแบบ Omnichannel -พัฒนาทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล Upskill: -พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ -พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา -พัฒนาทักษะการสื่อสาร 4. เครื่องมือและแหล่งข้อมูล: -YourNextU โมเดลการเรียนรู้แบบผสมผสาน -หลักสูตรออนไลน์จากมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ -เว็บไซต์และวิดีโอสอนออนไลน์ -วิทยากรและผู้เชี่ยวชาญ 5. คำแนะนำเพิ่มเติม: -สร้างแรงจูงใจให้พนักงานอยากเรียนรู้ -สนับสนุนการเรียนรู้ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง -ติดตามผลและประเมินผลการฝึกอบรม -สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ตัวอย่างเพิ่มเติม: จัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ ๆ ในธุรกิจ Retail สนับสนุนให้พนักงานเข้าร่วมงานสัมมนาและการประชุม จัดตั้งชมรมหรือกลุ่มสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: -พนักงานมีทักษะที่จำเป็นสำหรับงาน Retail ในยุคดิจิทัล -ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานดีขึ้น -ธุรกิจมีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันได้ สรุป: กลยุทธ์ Reskill และ Upskill มีความสำคัญต่อธุรกิจ Retail ในยุคดิจิทัล ผู้บริหารควรวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ กำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม เลือกวิธีการที่หลากหลาย สนับสนุนการเรียนรู้ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง และติดตามผลเพื่อประเมินผลลัพธ์
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52713
Retail
กรุงศรี ออโต้ นำเทคโนโลยี API มาใช้เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่ออย่างไร
null
1. นำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนในหน้าเดียว -กรุงศรี ออโต้ พัฒนา "Loan API at Sight" โปรแกรมคำนวณค่างวดสินเชื่อบนเว็บไซต์ "เช็คราคาดอทคอม" ซึ่งแสดงผลพร้อมกับรายละเอียดรถยนต์แต่ละคัน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคา คำนวณค่างวด และตัดสินใจซื้อรถได้สะดวกยิ่งขึ้น -โปรแกรม "Loan API at Sight" นำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น เงินดาวน์ ยอดจัดสินเชื่อ ค่างวด อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ ฯลฯ โดยไม่ต้องไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่น -ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบค่างวดสำหรับระยะเวลาการผ่อนที่แตกต่างกัน และได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มเงินดาวน์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย 2. เข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม -กรุงศรี ออโต้ นำเสนอ "Loan API at Sight" บนเว็บไซต์ "เช็คราคาดอทคอม" ซึ่งเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ -ช่วยให้กรุงศรี ออโต้ เข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังตัดสินใจซื้อรถ -เพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะสมัครสินเชื่อกับกรุงศรี ออโต้ 3. สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ -กรุงศรี ออโต้ ไม่ได้จำกัดการนำเสนอ "Loan API at Sight" เฉพาะบนแพลตฟอร์มของตัวเองเท่านั้น แต่ยังนำเสนอบนเว็บไซต์พันธมิตร เช่น "เช็คราคาดอทคอม" -ช่วยให้กรุงศรี ออโต้ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ -ขยายฐานลูกค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ตัวอย่างผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ -เพิ่มยอดขาย: กรุงศรี ออโต้ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดสินเชื่อออนไลน์ของรถยนต์ใหม่และรถบิ๊กไบค์อย่างมีนัยสำคัญหลังจากเปิดตัว "Loan API at Sight" -เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า: ผู้บริโภคพึงพอใจกับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อที่กรุงศรี ออโต้ นำเสนอ -สร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย: กรุงศรี ออโต้ ได้รับรางวัล The Asian Banker Excellence in Retail Financial Services Thailand Awards 2019 สาขา Best API Initiative, Application or Programme ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของกรุงศรี ออโต้ ในการเป็นแบรนด์ผู้กำหนดทิศทางตลาดด้านดิจิทัล โดยสรุป กรุงศรี ออโต้ นำเทคโนโลยี API มาใช้เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อแก่ผู้บริโภค นำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนในหน้าเดียว เข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ส่งผลให้กรุงศรี ออโต้ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขาย สร้างความพึงพอใจของลูกค้า และสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52717
Retail
อะไรคือกลยุทธ์การทำตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจค้าปลีกในเมืองรอง?
null
กลยุทธ์การทำตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจค้าปลีกในเมืองรอง มีดังนี้: 1. เข้าใจผู้บริโภคเมืองรอง: - ศึกษาพฤติกรรมการซื้อของ - วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค - เข้าใจไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรมท้องถิ่น 2. ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค: ภาคกลางและภาคเหนือ: เน้นสินค้าหลากหลาย ภาคใต้: เน้นสินค้าพรีเมี่ยม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เน้นสินค้าราคาประหยัด ภาคตะวันออก: เน้นสินค้าผสมผสาน 3. พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ: - สินค้าขนาดบรรจุภัณฑ์เล็ก - สินค้าราคาประหยัด - สินค้าพรีเมี่ยม - บริการที่สะดวก รวดเร็ว 4. เลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสม: - ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม - ห้างสรรพสินค้า - ร้านสะดวกซื้อ - ช่องทางออนไลน์ 5. ใช้สื่อการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภค: - สื่อออฟไลน์ เช่น ป้ายโฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ - สื่อออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ตัวอย่างกลยุทธ์การทำตลาดที่มีประสิทธิภาพ: - ร้านค้าปลีกในภาคเหนือ นำเสนอสินค้าหลากหลายในราคาประหยัด เน้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน - ห้างสรรพสินค้าในภาคใต้ นำเสนอสินค้าพรีเมี่ยม เน้นสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าแฟชั่น - ร้านสะดวกซื้อในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำเสนอสินค้าราคาประหยัด เน้นอาหารและเครื่องดื่ม - ร้านค้าออนไลน์ในภาคกลาง นำเสนอสินค้าหลากหลาย เน้นสินค้าที่สะดวกต่อการสั่งซื้อและจัดส่ง การทำตลาดในเมืองรอง นั้นมีความท้าทายมากกว่าการทำตลาดในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ๆ ธุรกิจค้าปลีก จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค เข้าใจ พฤติกรรม ความต้องการ ไลฟ์สไตล์ วัฒนธรรม ของผู้บริโภค พัฒนา สินค้า บริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย สื่อการตลาด ที่ตรงกับความต้องการ จึงจะประสบความสำเร็จ สรุป กลยุทธ์การทำตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจค้าปลีกในเมืองรอง คือ การเข้าใจผู้บริโภคเมืองรอง ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการ เลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสม และใช้สื่อการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภค ธุรกิจค้าปลีกที่สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับเมืองรอง จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52718
Retail
Alibaba กำลังวางแผนสร้างอภิมหาแพลตฟอร์มด้านการค้าเพื่อสนับสนุนให้ SME ไทยก้าวสู่การค้าข้ามพรมแดนหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: Alibaba มุ่งเน้นสนับสนุน SME ในการทำ Cross-Border Trade: Alibaba มีการจัดแสดงในส่วน B2B ในงาน CES 2023 แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนธุรกิจ B2B Alibaba เชิญรัฐมนตรีด้านการค้าจากทั่วโลกมาพบปะเพื่อกระตุ้นให้ SME กล้าที่จะคิดใหญ่ Alibaba มองเห็นโอกาสในการสร้างอภิมหาแพลตฟอร์มด้านการค้าเพื่อรองรับ SME ทั่วโลก Alibaba มีเครื่องมือพร้อมสำหรับการค้าไร้พรมแดน: Alibaba มีแอปพลิเคชันสำหรับค้นหาสินค้าจากทั่วโลก Alibaba มีเครื่องมือ VDO Conference พร้อมระบบแปลภาษา Alibaba มีเครื่องมือ Virtual Factory Tours Alibaba กำลังหาทางลดค่าใช้จ่ายในการทำ Cross-Border Trade Alibaba มีความสัมพันธ์กับประเทศไทย: Alibaba มีการพบปะกับผู้นำด้านการค้าของไทย ผู้นำไทยสนับสนุนให้ SME ไทยทำการค้าข้ามพรมแดน Alibaba มองเห็นศักยภาพของ SME ไทย ตัวอย่าง: Alibaba เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่สำหรับ SME ไทยโดยเฉพาะ Alibaba ลงทุนในบริษัทโลจิสติกส์ไทยเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดน Alibaba จัดเวิร์คช็อปให้ความรู้เกี่ยวกับการค้าข้ามพรมแดนแก่ SME ไทย ข้อจำกัด: ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจาก Alibaba เกี่ยวกับอภิมหาแพลตฟอร์มดังกล่าว ยังมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบและการชำระเงินสำหรับการค้าข้ามพรมแดน SME ไทยอาจยังไม่พร้อมสำหรับการค้าข้ามพรมแดน สรุป:จากข้อมูลที่มีอยู่ มีความเป็นไปได้สูงที่ Alibaba กำลังวางแผนสร้างอภิมหาแพลตฟอร์มด้านการค้าเพื่อสนับสนุนให้ SME ไทยก้าวสู่การค้าข้ามพรมแดน อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคบางประการที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่แพลตฟอร์มดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52719
Retail
กลยุทธ์ของ Zense Entertainment ในการร่วมมือกับ Lisa BLACKPINK ในการทำตลาด Moonshot นั้น จะประสบความสำเร็จในตลาดแมสหรือไม่?
null
มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง 1. พลังของ Lisa BLACKPINK: Lisa BLACKPINK เป็นศิลปิน K-Pop ที่โด่งดังไปทั่วโลก มีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ทั้งในไทยและต่างประเทศ แฟนคลับของ Lisa BLACKPINK มีความภักดีสูง และพร้อมที่จะสนับสนุนสินค้าที่เธอ代言 การใช้ Lisa BLACKPINK เป็นพรีเซ็นเตอร์ จะช่วยสร้างการรับรู้ในแบรนด์ Moonshot ในวงกว้าง และดึงดูดความสนใจจากกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ 2. กลยุทธ์การทำตลาดที่เข้าถึงกลุ่มแมส: Zense Entertainment วาง Positioning สินค้า Moonshot ให้กลุ่ม Mass สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการออก Special Edition ภายใต้คอลเล็กชั่นที่เรียกว่า “LISA PICK” ในราคาเริ่มต้นที่หลักร้อย Zense Entertainment วางแผนทำตลาดอย่างจริงจังผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแมส Zense Entertainment เลือกช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มแมสได้ง่าย เช่น 7-Eleven 3. การผสมผสานระหว่างสื่อและช่องทางขาย: Zense Entertainment มีความแข็งแกร่งในธุรกิจ Content Provider มีช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการโปรโมทสินค้า Moonshot ได้ Zense Entertainment ร่วมมือกับ Malaki ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอาง มีประสบการณ์และช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าแมส 4. เทรนด์ Influencer Marketing: การใช้ Influencer Marketing เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน Lisa BLACKPINK ถือเป็น Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มลูกค้าแมส อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ เช่น: การแข่งขันในตลาดเครื่องสำอาง: ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยมีความอิ่มตัว มีแบรนด์ต่าง ๆ มากมายที่แข่งขันกัน ราคาสินค้า: แม้ว่า Moonshot จะมีคอลเล็กชั่นราคาหลักร้อย แต่ก็ยังมีแบรนด์เครื่องสำอางราคาถูกอื่น ๆ ที่เป็นตัวเลือกสำหรับกลุ่มลูกค้าแมส การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ กลยุทธ์การตลาดอาจต้องปรับเปลี่ยนตาม
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52722
Retail
HP มีกลยุทธ์อย่างไรในการช่วยธุรกิจค้าปลีกปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล
null
กลยุทธ์ของ HP ในการช่วยธุรกิจค้าปลีกปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล: นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: HP มีโซลูชั่นหลากหลายสำหรับธุรกิจค้าปลีก เช่น เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นที่ช่วยให้พนักงานทำงานได้สะดวกรวดเร็ว, ระบบจุดขาย (POS) ที่ช่วยจัดการการชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ, และซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (CRM) ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: HP เข้าใจว่าลูกค้าในยุคดิจิทัลต้องการประสบการณ์ที่ราบรื่น สะดวก รวดเร็ว HP จึงมีโซลูชั่นที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น ระบบคิวอัจฉริยะ, ระบบชำระเงินอัตโนมัติ, และระบบการติดตามสินค้า เสริมสร้างความปลอดภัย: HP ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า HP จึงมีโซลูชั่นที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกปกป้องข้อมูลลูกค้าได้อย่างปลอดภัย เช่น ระบบป้องกันไวรัส, ระบบสำรองข้อมูล, และระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่าย ให้บริการและการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยม: HP เข้าใจว่าธุรกิจค้าปลีกต้องการการบริการและการสนับสนุนที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ HP จึงมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการและการสนับสนุนแก่ธุรกิจค้าปลีก ตัวอย่างโซลูชั่นของ HP สำหรับธุรกิจค้าปลีก: HP Engage Go Convertible: แท็บเล็ตที่ใช้งานได้หลากหลาย เหมาะสำหรับพนักงานขายที่ต้องติดต่อกับลูกค้า HP Sure View Gen 3: เทคโนโลยีที่ช่วยปกป้องข้อมูลบนหน้าจอจากการแอบมอง HP Retail Solution: โซลูชั่นครบวงจรสำหรับธุรกิจค้าปลีก HP มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้สำหรับธุรกิจค้าปลีก HP มีโซลูชั่นและบริการที่หลากหลาย ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล และประสบความสำเร็จ คำแนะนำเพิ่มเติม: ธุรกิจค้าปลีกควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโซลูชั่นต่างๆ ของ HP และเลือกโซลูชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ ธุรกิจค้าปลีกควรทดสอบโซลูชั่นของ HP ก่อนใช้งานจริง ธุรกิจค้าปลีกควรติดต่อ HP เพื่อขอคำปรึกษาและบริการ
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52745
Retail
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
a. 10% b. 20% c. 30% d. 40%
คำตอบที่ถูกต้องคือ a. เติบโตขึ้นเกือบ 10% ด้วยมูลค่ากว่า 2.8 ล้านล้านบาท ตามข้อมูลของ ETDA ที่ระบุไว้เมื่อช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา พร้อมประเมินทิศทางธุรกิจที่ยังอยู่ในแนวโน้มที่เป็นบวก มีโอกาสในการขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกมาก จากการเกิดแพลตฟอร์มใหม่ๆ รวมทั้งจำนวนผู้ประกอบการที่นำสินค้าเข้ามาขายผ่าน Online Marketplace ต่างๆ ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อธุรกิจฟากหนึ่งเริ่มเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ธุรกิจในฟากฝั่งตรงข้ามก็ต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ปัจจุบันตัวเลขการซื้อขายผ่านธุรกิจอีคอมเมิร์ซอาจจะยังมีสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับขนาดตลาดค้าปลีกโดยรวมของประเทศ แต่จากการเติบโตของ Digital Lifestyle ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทำให้หลายฝ่ายมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า การซื้อขายสินค้าออนไลน์ของไทยจะเติบโตอีกมากจนกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไปในชีวิตผู้คน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเท
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52751
Retail
จากกรณีศึกษาของสยามดิสคัฟเวอรี่ – ดิ เอ็กซ์พลอราทอเรียม อะไรคือกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจค้าปลีกควรนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
null
กลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจค้าปลีกควรนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล มีดังนี้: 1. มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ: เน้นการออกแบบพื้นที่ให้มีความแปลกใหม่ น่าสนใจ และเปิดโล่ง นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลาย จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและอีเวนต์ที่น่าสนใจ ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช็อปปิ้ง เช่น การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ การใช้ Virtual Reality 2. เข้าถึงและเข้าใจลูกค้า: ศึกษาพฤติกรรมและเทรนด์ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาด สื่อสารกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย 3. พัฒนาช่องทางการจำหน่ายแบบ Omnichannel: ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น นำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและรับสินค้าได้หลากหลายช่องทาง 4. ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ: ร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ในการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย ร่วมมือกับบริษัทขนส่งเพื่อจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว 5. ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ: ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในธุรกิจค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในธุรกิจ ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ตัวอย่างการนำกลยุทธ์ไปใช้: สยามดิสคัฟเวอรี่ – ดิ เอ็กซ์พลอราทอเรียม มีการออกแบบพื้นที่ให้มีความแปลกใหม่ น่าสนใจ และเปิดโล่ง โดยมีการนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและอีเวนต์ที่น่าสนใจ ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช็อปปิ้ง เช่น การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ การใช้ Virtual Reality สยามพิวรรธน์ ศึกษาพฤติกรรมและเทรนด์ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาด สื่อสารกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย สยามพิวรรธน์ พัฒนาช่องทางการจำหน่ายแบบ Omnichannel ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น นำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและรับสินค้าได้หลากหลายช่องทาง ผลลัพธ์จากการนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ สยามดิสคัฟเวอรี่ – ดิ เอ็กซ์พลอราทอเรียม ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าและสร้างยอดขาย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52761
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของสามย่านมิตรทาวน์ ในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการโซน Never Sleep Mitr?
null
กลยุทธ์หลักของสามย่านมิตรทาวน์ ในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการโซน Never Sleep Mitr มีดังนี้ 1. ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่: จับกลุ่ม Sleepless Society: โซน Never Sleep Mitr ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ increasingly นอนดึก ทำงานอิสระ ต้องการพื้นที่สำหรับทำงาน พบปะสังสรรค์ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเวลากลางคืน เข้าใจเทรนด์ผู้บริโภค: สามย่านมิตรทาวน์ วิเคราะห์เทรนด์ผู้บริโภคอย่างละเอียด พบ 5 เทรนด์สำคัญ Gig Economy, Vertical Living, Hyper Convenience, Fluid Lifestyle, Flex Hour ที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจรีเทล 24 ชั่วโมง 2. เติมเต็มไลฟ์สไตล์ด้วยบริการที่หลากหลาย: ครบครันทั้ง Eating, Living, Learning และ Service: โซน Never Sleep Mitr ไม่ได้เน้นแค่ร้านอาหาร แต่มีบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านหนังสือ ฟิตเนส Co-learning Space ร้านบอร์ดเกมส์ คัดสรรแบรนด์ชั้นนำ: สามย่านมิตรทาวน์ คัดสรรแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียง มาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เป็นครั้งแรก เช่น Sheldon ร้านบอร์ดเกมส์ยอดนิยม, เซเลบริตี้ ฟิตเนส เน้นความสะดวกสบาย: โซน Never Sleep Mitr ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้บริการ มีระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึงง่าย 3. สร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง: ไม่ใช่แค่รีเทล 24 ชั่วโมง: สามย่านมิตรทาวน์ มุ่งเน้นสร้าง Community พื้นที่สำหรับ Learning: มี Co-learning Space และร้านหนังสือ Mind Space by C Asean ตอบโจทย์คนทำงาน: มีบริการ Co-learning Space เปิดโอกาสให้ธุรกิจ: สามย่านมิตรทาวน์ เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ เข้ามาทดลองเปิดโมเดล 24 ชั่วโมง 4. กลยุทธ์การตลาด: จัดอีเวนต์อย่างต่อเนื่อง: สามย่านมิตรทาวน์ วางแผนจัดอีเวนต์ในโซน Never Sleep Mitr เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: สามย่านมิตรทาวน์ วางกลยุทธ์การตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 5. โลเคชั่นที่สะดวก: ใจกลางเมือง: สามย่านมิตรทาวน์ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้สถานศึกษา การเดินทางสะดวก: สามย่านมิตรทาวน์ โดยสรุป กลยุทธ์หลักของสามย่านมิตรทาวน์ มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เติมเต็มไลฟ์สไตล์ด้วยบริการที่หลากหลาย สร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง และใช้กลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับโลเคชั่นที่สะดวก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการโซน Never Sleep Mitr
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52762
Retail
ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคมีเวลาจำกัด แบรนด์ Retail จะสามารถดึงดูดความสนใจและสร้าง Engagement กับลูกค้าได้อย่างไร
null
ในยุคดิจิทัล ผู้บริโภคมีเวลาจำกัดและมีตัวเลือกมากมาย แบรนด์ Retail จำเป็นต้องหาวิธีใหม่ๆ ในการดึงดูดความสนใจและสร้าง Engagement กับลูกค้า กลยุทธ์ Timing Strategy สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ กลยุทธ์ Timing Strategy ที่แบรนด์ Retail สามารถนำไปใช้มีดังนี้: 1. เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ลูกค้า แบรนด์ Retail สามารถเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรือหน้าร้าน โดยนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น - แบรนด์แฟชั่นสามารถสร้างบัญชี TikTok เพื่อนำเสนอวิดีโอเกี่ยวกับแฟชั่น เทรนด์ และไลฟ์สไตล์ - แบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตรวจสอบใบเสร็จ และรับข้อมูลโปรโมชั่น - แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สามารถจัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน 2. ลดขั้นตอนและกระบวนการที่เกิด Waste Time แบรนด์ Retail สามารถลดขั้นตอนและกระบวนการที่เกิด Waste Time เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ตัวอย่างเช่น - แบรนด์เสื้อผ้าสามารถติดตั้งเทคโนโลยี RFID ในสินค้าเพื่อให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้โดยไม่ต้องต่อคิว - แบรนด์ร้านอาหารสามารถให้บริการสั่งอาหารและชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น - แบรนด์ห้างสรรพสินค้าสามารถนำเสนอบริการ Click & Collect ให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่หน้าร้าน 3. คำนึงถึง Right Time แบรนด์ Retail สามารถนำเสนอสินค้าและบริการให้กับลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น - แบรนด์เครื่องสำอางสามารถส่งอีเมลแจ้งโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในช่วงหน้าร้อน - แบรนด์ของเล่นสามารถนำเสนอโปรโมชั่นของเล่นเด็กในช่วงเทศกาลคริสต์มาส - แบรนด์อุปกรณ์กีฬาสามารถนำเสนอโปรโมชั่นอุปกรณ์กีฬาในช่วงที่มีการแข่งขันกีฬาสำคัญ 4. เป็นตัวเลือกที่หมาะสมในระหว่างที่ลูกค้ากำลัง “รอ” แบรนด์ Retail สามารถนำเสนอสินค้าและบริการให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่ลูกค้ากำลังรอ ตัวอย่างเช่น - แบรนด์ร้านกาแฟสามารถติดตั้ง Wi-Fi ฟรีให้ลูกค้าใช้ระหว่างรอคิว - แบรนด์ร้านหนังสือสามารถจัดมุมอ่านหนังสือให้ลูกค้าใช้ระหว่างรอซื้อหนังสือ - แบรนด์ร้านอาหารสามารถให้บริการนวดหรือสปาให้ลูกค้าใช้ระหว่างรออาหาร ตัวอย่างกรณีศึกษา - Amazon Go เป็นร้านค้าปลีกแบบไร้แคชเชียร์ ลูกค้าสามารถเข้าร้าน เลือกสินค้า และออกจากร้านได้โดยไม่ต้องต่อคิวชำระเงิน Amazon Go ใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และกล้องเพื่อติดตามสินค้าที่ลูกค้าหยิบใส่ตะกร้า และเรียกเก็บเงินจากบัญชี Amazon ของลูกค้าโดยอัตโนมัติ กลยุทธ์นี้ช่วยลด Waste Time และทำให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้อย่างสะดวกสบาย - Sephora เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่นำเสนอบริการ Virtual Try-On ลูกค้าสามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผ่านแอปพลิเคชั่นโดยไม่ต้องไปที่หน้าร้าน กลยุทธ์นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นและประหยัดเวลา - Nike เป็นแบรนด์รองเท้ากีฬาที่นำเสนอบริการ NikePlus Run Club แอปพลิเคชั่นนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามการวิ่ง ตั้งเป้าหมาย และเชื่อมต่อกับนักวิ่งคนอื่นๆ กลยุทธ์นี้ช่วยสร้าง Engagement กับลูกค้าและสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าออกกำลังกาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52768
Retail
วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้ประกาศการลงนามในสัญญากับบริษัทใด ให้เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีกของสตาร์บัคส์ในประเทศไทย
null
ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ได้ประกาศการลงนามในสัญญากับ บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของ บริษัท แม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด และ บริษัท เอฟแอนด์เอ็นรีเทล คอนเนคชั่น จำกัด ให้เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการบริหารธุรกิจค้าปลีกของสตาร์บัคส์ในประเทศไทย การทำข้อตกลงนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายการเติบโตของตลาดสตาร์บัคส์ในประเทศไทย โดยมีการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี และสตาร์บัคส์ได้มีสาขาแรกในประเทศไทยตั้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลมในปี 2541 รวมถึงการเปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งแรกในเอเชียที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2556 บริษัทแม็กซิมส์ เคเทอร์เรอร์ จำกัด มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจร้านกาแฟสตาร์บัคส์ในหลายตลาดในเอเชีย โดยปัจจุบันดำเนินการร้านสตาร์บัคส์มากกว่า 400 สาขาในประเทศต่าง ๆ เช่น กัมพูชา ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และเวียดนาม
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52777
Retail
กลยุทธ์ Omni-Channel ของ TVD จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้อย่างไร
null
1. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า: กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ TVD เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง ผ่านทั้งหน้าร้านทางทีวี เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย กลยุทธ์นี้ช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขาย 2. เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น: กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้อย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัด ไม่ว่าลูกค้าจะเริ่มต้นการช้อปปิ้งจากช่องทางใด ลูกค้าสามารถดำเนินการต่อเนื่องจนถึงการชำระเงินได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำ 3. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ TVD สามารถรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางเข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้นและสามารถนำข้อมูล tersebut ไปใช้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด การขาย และการบริการลูกค้า 4. เพิ่มการแข่งขัน: กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ TVD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: TVD สามารถใช้กลยุทธ์ Omni-Channel เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าเครื่องออกกำลังกายดังนี้: - สร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย: เว็บไซต์ควรมีข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน รูปภาพสินค้าที่ชัดเจน วิดีโอสาธิตการใช้งาน และบทวิจารณ์จากลูกค้า - พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ: แอปพลิเคชันควรช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อสินค้า และติดตามสถานะการจัดส่ง - สร้างช่อง YouTube: ช่อง YouTube ควรมีวิดีโอสาธิตการใช้งานสินค้า เคล็ดลับการออกกำลังกาย และโปรโมชั่นพิเศษ - ใช้โซเชียลมีเดีย: TVD ควรใช้โซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อกับลูกค้า ตอบคำถาม แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52784
Retail
กลยุทธ์การขยายธุรกิจไปต่างประเทศของกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เน้นการสร้าง Own Project มากกว่าการรับจ้างจัดงาน (Contracting) หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กลยุทธ์หลักของอินเด็กซ์ฯ ในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศคือ การสร้าง Own Project หรือการจัดงานเทรดแฟร์ที่เป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการรับจ้างจัดงาน (Contracting) เหตุผลหลักที่อินเด็กซ์ฯ เลือกกลยุทธ์นี้: สร้างรายได้และผลกำไรที่ยั่งยืน: -Own Project ช่วยให้บริษัทควบคุมรูปแบบงาน ราคา และกำไรได้เอง สร้างแบรนด์และชื่อเสียง: -Own Project ช่วยให้บริษัทสร้างแบรนด์และชื่อเสียงในตลาดต่างประเทศ สร้างฐานข้อมูลลูกค้า: -Own Project ช่วยให้บริษัทสร้างฐานข้อมูลลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง สร้างความยั่งยืน: Own Project ช่วยให้บริษัทสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและไม่ต้องพึ่งพาการรับจ้าง ตัวอย่าง: -อินเด็กซ์ฯ ประสบความสำเร็จในการจัดงานเทรดแฟร์ Own Project ในเมียนมาร์ เช่น งานเมียนมาร์ ฟูด เบฟ และงานเมียนมาร์ บิลด์ แอนด์ เดคคอร์ -อินเด็กซ์ฯ กำลังขยายธุรกิจ Own Project ไปยังประเทศกัมพูชา โดยเริ่มจัดงานแคมโบเดีย อาคิเทค แอนด์ เดคอร์ 2019 ข้อพิสูจน์เพิ่มเติม: -อินเด็กซ์ฯ ลงทุนในบริษัทในเครือเพื่อจัดงานเทรดแฟร์ Own Project ในต่างประเทศ เช่น บริษัท ไอซีเว็กซ์ จำกัด ในกัมพูชา -อินเด็กซ์ฯ เน้นการสร้างแบรนด์งานเทรดแฟร์ของตัวเอง เช่น งาน Bangkok Beauty และงาน Myanmar Build & Décor -อินเด็กซ์ฯ พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อรองรับธุรกิจ Own Project ในอนาคต สรุป: กลยุทธ์การขยายธุรกิจไปต่างประเทศของกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เน้นการสร้าง Own Project มากกว่าการรับจ้างจัดงาน (Contracting) กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทสร้างรายได้และผลกำไรที่ยั่งยืน สร้างแบรนด์และชื่อเสียง สร้างฐานข้อมูลลูกค้า และสร้างความยั่งยืน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52787
Retail
บริษัท วิมานสุริยา จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นในฝั่งของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)กี่เปอร์เซ็นต์
a. 50% b. 60% c. 70% d. 80%
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ b. เนื่องจาก โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท วิมานสุริยา จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นในฝั่งของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) 60%
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52799
Retail
ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ CPNlead รุ่น 3 จะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปต่อยอดธุรกิจได้จริงหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ: 1. หลักสูตรเข้มข้น: CPNlead รุ่น 3 ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เน้นการเรียนรู้แบบ “Learn from The Best” จากทีมผู้บริหารของ Central Group & CPN ร่วมกับ Program Director ผศ. ปิติพีร์ รวมเมฆ จาก CONC Thammasat 2. เน้นการปฏิบัติจริง: จุดเด่นของ CPNlead คือ “Success by Doing” ผู้เรียนจะมีโอกาสทดลองสร้างแบรนด์และขายจริงบนพื้นที่ Retail Prime Location ผ่านเวิร์คช้อป “Pop-Up Market” 3. โอกาสสร้างเครือข่าย: โครงการ CPNlead ช่วยให้ผู้ประกอบการได้พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ประกอบการรุ่นพี่ 4. การสนับสนุนจากซีพีเอ็น: ซีพีเอ็นมีนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดย 50% ของผู้เรียนจากรุ่น 1 และ 2 สามารถเติบโตและขยายสาขากับซีพีเอ็นได้เลยทันที ตัวอย่าง: - คุณพีช – กานต์พิชชา เกียรติขจรฤทธิ์ จากแบรนด์ DIVANA คาเฟ่ ผู้ชนะเลิศจาก CPNlead รุ่น 2 กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราไม่เคยโฟกัสเรื่อง Business Model อย่างจริงจัง พอได้มาเรียนคอร์ส CPNlead นอกจากจะได้เรียนรู้ทฤษฎีในคลาส เรายังได้ลงมือปฏิบัติจริงในเวิร์คช้อป ‘Pop-Up Market’ ซึ่งเป็นโมเดลพิเศษที่หาได้ยากในคอรส์ธุรกิจอื่น - คุณปุ้ย – กนกวรรณ ณรงค์เดช จากแบรนด์ Plearnwan แบรนด์เสื้อผ้าเด็ก กล่าวว่า “CPNlead ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และค้นพบช่องทางใหม่ ๆ ในการนำเสนอสินค้า อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น: 1. ความตั้งใจและความพยายามของผู้ประกอบการ: ผู้ประกอบการต้องนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากโครงการไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจอย่างจริงจัง 2. สภาพเศรษฐกิจและการแข่งขัน: ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาด 3. โอกาสและความเสี่ยง: ผู้ประกอบการต้องพร้อมรับมือกับโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยสรุป: โครงการ CPNlead รุ่น 3 เป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการต่อยอดธุรกิจ แต่ผู้ประกอบการต้องมีความตั้งใจจริง เรียนรู้ ลงมือทำ และปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52806
Retail
5 เหตุผลที่ AR/ VR ไม่รุ่งอย่างที่คิด มีอะไรบ้าง
หลายปีที่ผ่านมา เราเห็นความพยายามนำเอาเทคโนโลยี AR/ VR เข้ามาเป็นเครื่องมือสร้างความบันเทิง หรือนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดและโฆษณา เพราะลูกเล่นนี้นำประสบการณ์เสมือนจริงมาให้ผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานได้สัมผัสเพิ่มขึ้นอีกสเต็ปหนึ่ง แต่…ปรากฏการณ์ความนิยมที่เกิดขึ้นซึ่งดูเหมือนจะสูงขึ้น(มั้ง?) กลับแปรผันตรงข้ามกับสถานการณ์ของบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลฃยีเหล่านี้ทั้งหลาย ในระยะหลังเราจึงเห็น ความพยายามดิ้นรนของบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยี AR/VR จำนวนมากในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Blippar สตาร์ทอัพสัญชาติอังกฤษที่หวังพัฒนาเสิร์ชเอนจินจากภาพ หรือ ODG ผู้พัฒนาอุปกรณ์ VR ให้กับหน่วยงานทางทหารของสหรัฐอเมริกา ที่ในช่วงหลังหันมาร่วมมือกับไมโครซอฟท์ในการพัฒนาแว่นอัจฉริยะ HoloLens 2 สตาร์ทอัพดัง เริ่มเสียศูนย์… สิ่งที่เกิดกับ Blippar บริษัทที่เคยมีมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในเวลานี้พวกเขากำลังยื่นขอล้มละลาย ทั้ง ๆ ที่บริษัทเคยมีส่วนร่วมในอีเวนท์สำคัญ ๆ ของวงการแฟชั่น และวงการโฆษณามามากมาย เช่น อีเวนท์เดินแบบที่สามารถถ่ายภาพชุดแล้วส่งเป็นคำสั่งซื้อเข้าระบบได้เลย หรือการจัดแคมเปญกับค่าย Magnum ให้ลูกค้าสามารถออกแบบไอศกรีมได้เอง ซึ่งในตอนนั้น ความสามารถของ Blippar ฮือฮาถึงขนาดที่ว่า หลายฝ่ายเชื่อว่า New Retail อาจจะเกิดขึ้นโดยมี Blippar นี่แหละเป็นคนจุดประกายให้เกิดขึ้นจริง เปลี่ยนภาพเป็นคำสั่งซื้อ ฟีเจอร์ยุคก่อนของ Blippar ที่เคยสร้างความฮือฮาว่าจะเป็น New Retail ส่วน ODG (Osterhaut Design Group) ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาแว่นอัจฉริยะ R-7 ก็เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็นแว่นที่นำเทคโนโลยี AR/VR มาสู่ตลาดแมส แต่แผนการกลับก็ไม่ประสบความสำเร็จดังคาด โดยในตอนนี้บริษัทกำลังมีปัญหาทางการเงิน และอยู่ระหว่างการขายสิทธิบัตรต่าง ๆ เพื่อให้มีเงินไปจ่ายชดเชยให้พนักงานอยู่เช่นกัน ภาพของวงการ AR/VR ที่ถดถอยอย่างเห็นได้ชัดปรากฏอยู่ในงาน CES 2019 ด้วยเช่นกัน เพราะจากบริษัทที่เข้าร่วมแสดงนวัตกรรมหลายพันแห่ง มีเพียงหลักสิบเท่านั้นที่นำเทคโนโลยี AR/VR มาจัดแสดง และส่วนมากก็เน้นการใช้งานไปในฟากอุตสาหกรรมไม่ใช่ฝั่งผู้บริโภคระดับแมส ภาพของวงการ AR/VR ที่ถดถอยอย่างเห็นได้ชัดปรากฏอยู่ในงาน CES 2019 ด้วยเช่นกัน เพราะจากบริษัทที่เข้าร่วมแสดงนวัตกรรมหลายพันแห่ง มีเพียงหลักสิบเท่านั้นที่นำเทคโนโลยี AR/VR มาจัดแสดง และส่วนมากก็เน้นการใช้งานไปในฟากอุตสาหกรรมไม่ใช่ฝั่งผู้บริโภคระดับแมส 5 เหตุผล AR/ VR ไม่รุ่งอย่างที่คิด อะไรทำให้ธุรกิจ AR/VR ที่เคยเฟื่องฟู และมีมูลค่าแตะหลักพันล้านเหรียญสหรัฐเสี่ยงต่อการยื่นล้มละลาย มีบทวิเคราะห์จาก Engineering.com ระบุไว้ถึง 5 ข้อ นั่นคือ 1. แว่น AR/VR ยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่คนอยากจะพกติดตัว ส่วนหนึ่งอ้างว่าใส่แล้วอึดอัด ต่างจากโทรศัพท์มือถือที่วันไหนลืมเอาไว้ที่บ้าน ชีวิตก็ขาดความสะดวกลงไปทันใด 2. ราคาของแว่นยังแพงเกินไป และเกินกว่าที่ผู้บริโภคทั่วไปจะเอื้อมถึง 3. โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตก็สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ AR/VR ได้เช่นกัน และยังตอบโจทย์การใช้งานด้านอื่น ๆ ได้มากกว่า 4. แว่น AR/VR ไม่สามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นจริง อย่างที่นักลงทุนคาดหวังไว้ 5. คนเริ่มไม่เชื่อถือกับการบอกว่า AR/VR จะเข้ามาเปลี่ยนโลกได้จริง อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก Statista ก็ยังมองวงการ AR/VR ในแง่ดีอยู่ โดยคาดการณ์ว่าตลาดนี้จะมีมูลค่าแตะ 2.09 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2022 (พ.ศ.2565) จาก 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2017 ข้อมูลจาก Statista.com จากความเท่ สู่เรื่องจริงที่จับต้องได้ ส่วนอะไรจะเป็นปัจจัยทำให้ตลาด AR/VR พุ่งในระดับนั้น บางทีการฝากความหวังไว้กับธุรกิจเกม, ธุรกิจบันเทิง และอีสปอร์ต ก็อาจหนักเกินไป ทางรอดของ AR/VR จึงอาจไม่ใช่การยึดติดกับแว่นขนาดเทอะทะแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการดึง AR/VR ให้ลงไปอยู่ในชีวิตของผู้คนได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น Phiar สตาร์ทอัพด้านแมชชีนเลิร์นนิ่ง และ Augmented Reality รายหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่พบว่า บริการแผนที่นำทางในปัจจุบันสร้างความยุ่งยากในการขับรถให้พวกเขา เพราะเป็นการแสดงผลแบบสองมิติ การสลับดูหน้าจอกับถนนจริงไปมาจึงสร้างความสับสนในการเดินทาง ทางทีมจึงได้ตัดสินใจใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเอง ผนวกเทคโนโลยี AR/VR เข้าไปภาพท้องถนนจริง ๆ เสียเลย ผลก็คือสามารถสร้างออกมาเป็นบริการใหม่ได้ดังคลิปนี้ จะเห็นได้ว่า บริการของ Phiar สามารถแสดงป้ายแจ้งเตือนเลี้ยวซ้าย – ขวา ซ้อนทับขึ้นมาบนภาพของถนนจริง ซึ่งนี่อาจเป็นแผนที่นำทางในรูปแบบใหม่ที่จะมาปฏิวัติการเดินทางให้สะดวกขึ้นได้เลย (บริษัทมีแผนจะเปิดตัวแอปพลิเคชันอย่างเป็นทางการในราวกลางปีนี้) หรือกรณีของ nReal สตาร์ทอัพจากจีน ที่คว้ารางวัลใหญ่จากเวที CES 2019 ไปหมาดๆ กับการพัฒนาแว่น AR ที่มีน้ำหนักเบากว่าเดิมถึง 3 เท่า และได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตัวเจาะตลาดคอนซูเมอร์ในอีก 3 ปีข้างหน้า แว่นจาก nReal nReal ยังได้รับเงินระดมทุนอีก 15 ล้านเหรียญสหรัฐไปเมื่อต้นเดือนมกราคมที่่ผ่านมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น เสี่ยวหมี่, iQiyi, Shunwei ด้วย แต่การมีชื่อของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ดิจิทัลเข้ามาร่วมด้วยนี้ สำหรับซีอีโอของ nReal ได้ออกมาพูดว่า บริษัทยังเปิดกว้างกับการทำงานร่วมกับทุกบริษัท ไม่ได้ต้องการเลือกข้างว่าจะต้องจับมือกับเสี่ยวหมี่ ฯลฯ เท่านั้น ในจุดนี้รวมถึงบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์แลปท็อป, คอมพิวเตอร์พีซี ฯลฯ ด้วย จากภาพที่เกิดขึ้น บางทีอาจสะท้อนให้เห็นว่า การเติบโตของธุรกิจ AR/VR ในวันนี้ อาจไม่ใช่โมเดลการเติบโตที่เคยประสบความสำเร็จใน 2 – 3 ปีก่อน ที่เน้นพัฒนาตัวอุปกรณ์ให้มีความสามารถสูง ๆ เข้าไว้ (และขายในราคาแพงๆ) แต่เป็นการหาทางผนวกประสบการณ์ AR/VR ลงไปในชีวิตประจำวันของคนให้ได้มากที่สุดต่างหาก
5 เหตุผลที่ AR/ VR ไม่รุ่งอย่างที่คิด ได้แก่ 1. แว่น AR/VR ยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่คนอยากจะพกติดตัว ส่วนหนึ่งอ้างว่าใส่แล้วอึดอัด ต่างจากโทรศัพท์มือถือที่วันไหนลืมเอาไว้ที่บ้าน ชีวิตก็ขาดความสะดวกลงไปทันใด 2. ราคาของแว่นยังแพงเกินไป และเกินกว่าที่ผู้บริโภคทั่วไปจะเอื้อมถึง 3. โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตก็สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ AR/VR ได้เช่นกัน และยังตอบโจทย์การใช้งานด้านอื่น ๆ ได้มากกว่า 4. แว่น AR/VR ไม่สามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นจริง อย่างที่นักลงทุนคาดหวังไว้ 5. คนเริ่มไม่เชื่อถือกับการบอกว่า AR/VR จะเข้ามาเปลี่ยนโลกได้จริง
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52817
Retail
การทำงานแบบอัตโนมัติ หรือนำหุ่นยนต์ต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการทำงานต่างๆมีกี่เปอร์เซ็นต์
A. 30% B. 60% C. 5% D. 70%
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ B. เพราะว่า ภาคธุรกิจจำนวนมากเริ่มนำระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ หรือนำหุ่นยนต์ต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการทำงานต่างๆ โดยมีถึง 60% ที่นำระบบ Automation เข้ามาใช้ในการทำงานแล้วไม่ต่ำกว่า 30% ของจำนวนงานที่ต้องทำทั้งหมด พร้อมทั้งยังได้มีการประเมินไว้ว่าขนาดของตลาด Digital Process Automation ทั่วโลกจะมีมูลค่ามากกว่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2024
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52822
Retail
อาลีบาบายังทำสถิติอะไรอีกได้บ้างในปี 2552
null
แคมเปญช้อปปิ้งระดับโลกอย่าง 11.11 ที่เหล่านักช้อปจากทั่วโลกต่างเฝ้ารอดีลสุดพิเศษที่บรรดาแพลตฟอร์มต่างๆ จะนำเสนอให้ สร้างความคึกคักและกระตุ้นกำลังซื้อได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ายอดเงินสะพัดในวันนี้เพียงวันเดียว สำหรับไฮไลท์หลักๆ ที่เกิดขึ้นในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ในปี 2561 ที่อาลีบาบาทำได้ มีดังต่อไปนี้ – ยอดมูลค่ารวมสินค้าที่ชำระผ่านอาลีเพย์ 213,500 ล้านหยวน (30,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่ในรอบ 24 ชั่วโมง มียอดการใช้จ่ายรวม 168,200 ล้านหยวนเกิดขึ้นในช่วง 24 ขั่วโมง – ไช่เหนียว เน็ตเวิร์ค ดูแลรับผิดชอบการส่งสินค้า 1,000 ล้านออเดอร์ – กว่า 180,000 แบรนด์ เข้าร่วมในเทศกาลในปีนี้ จากปีที่ผ่านมามีแบรนด์และร้านค้ากว่า 140,000 ราย ที่เข้าร่วมในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลกนี้ – ผู้บริโภคกว่า 40% ซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์ต่างชาติ – มี 237 แบรนด์ที่มียอด GMV สูงกว่า 100 ล้านหยวน อาทิ Apple, Dyson, Kindle, Estée Lauder, L’Oréal, Nestlé, Gap, Nike and Adidas – ประเทศที่ขายสินค้าให้กับจีนในงานนี้สูงสุดคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเยอรมนี – 230 ประเทศ/เขต เกี่ยวข้องกับธุรกรรม – ลาซาด้า เข้าร่วม11 ในฐานะหนึ่งในอีโคซิสเท็มของอาลีบาบา นำเสนองานเทศกาลนี้ให้กับผู้บริโภคในสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52824
Retail
กลยุทธ์ Integration Marketing ที่ Beauty Buffet ใช้ มีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์ Integration Marketing ที่ Beauty Buffet ใช้ มีดังนี้: 1. พัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง: -เน้นสินค้าที่เป็นอินโนเวชั่น ตามเทรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า -พัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ -นำเสนอสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ดึงดูดความสนใจ ตัวอย่าง: -เปิดตัวคอลเลคชั่นสินค้าใหม่เป็นประจำทุกปี -พัฒนาสินค้าเฉพาะสำหรับกลุ่มประเทศ CLMV -นำเสนอสินค้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ออร์แกนิค 2. ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย: -ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน -เน้นการเข้าถึงลูกค้าในทุกช่องทาง -จับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ตัวอย่าง: -จำหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ ร้านค้า และตัวแทนจำหน่าย -ร่วมกับ Influencer โปรโมทสินค้าบนโซเชียลมีเดีย -จับมือกับ Tmall และ JD.com ในประเทศจีน 3. ส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร: -ใช้สื่อการตลาดหลากหลายรูปแบบ -เชื่อมโยงการตลาดออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน -เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตัวอย่าง: -โฆษณาสินค้าผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และออนไลน์ -จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย -นำเสนอบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ 4. เน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: -มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น -สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า -ฟังเสียงลูกค้าและนำมาพัฒนาสินค้าและบริการ ตัวอย่าง: -จัดกิจกรรม CRM -นำเสนอบริการหลังการขาย -ตอบรับ feedback ของลูกค้า 5. วิเคราะห์ข้อมูลและติดตามผล: -เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า -วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาด -ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาด ตัวอย่าง: -ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล -เก็บข้อมูลลูกค้าผ่านบัตรสมาชิก -ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดตามผลลัพธ์ ผลลัพธ์: จากการใช้กลยุทธ์ Integration Marketing Beauty Buffet ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับภูมิภาค ข้อเสนอแนะ: -ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละประเทศเพิ่มเติม -พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า -เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า -วิเคราะห์ข้อมูลและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง สรุป: กลยุทธ์ Integration Marketing เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ Beauty Buffet ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Beauty Buffet เข้าถึงลูกค้าในทุกช่องทาง สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52831
Retail
เหตุผลที่ทีวีไดเร็คซื้อหุ้นสปริงนิวส์มีอะไรบ้าง
เป็นกระแสข่าวใหญ่มาหลายวันสำหรับ Big Deal มูลค่ากว่าพันล้านรายล่าสุดในธุรกิจทีวีดิจิทัล กรณีที่ บมจ. ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD เข้าซื้อหุ้น 90.1% ในสปริงนิวส์ เทเลวิชั่น เพื่อเข้าเป็นผู้บริหารทีวีดิจิทัลช่องหมายเลข 19 ในมูลค่า 1,080.04 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ค่าซื้อหุ้น 949.22 ล้านบาท และค่าจ้างในการผลิตข่าวของทางสปริงนิวส์ เพื่อป้อนให้กับช่อง 19 จำนวน 130.82 ล้านบาท ดังนั้น ตามระยะเวลาของใบอนุญาตสัมปทานที่เหลืออีก 124 เดือนจากนี้ไป TVD จะกลายเป็นผู้ถือใบอนุญาตแทน ขณะที่สปริงนิวส์จะแยกตัวออกมาเป็น News Content Provider อย่างเต็มตัว ในการผลิตรายการข่าวให้กับทางช่อง 19 และยังสามารถรับจ้างผลิตให้กับช่องและแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ โดยความกระจ่างต่างๆ เกี่ยวกับดีลครั้งนี้ ทั้งเหตุผลที่มาที่ไป รวมทั้งทิศทางต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในช่องทีวีดิจิทัล หมายเลยข 19 ซึ่งขณะนี้ทางผู้บริหารเดิมอย่างสปริงนิวส์ยอมรับว่า มีเรตติ้งอยู่อันดับบ๊วยที่สุดในจำนวน 22 ช่องของทีวีดิจิทัล จะมิทิศทางในการขับเคลื่อนเพื่อให้ Survived และเติบโตต่อด้วยโมเดลธุรกิจใหม่นี้ได้อย่างไร จากทั้งฟากผู้บริหารใหม่ของช่องอย่าง คุณทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) (TVD) คุณพงษ์ชัย ชัญมาตรกิจ หัวหน้าสายงานสถานีโทรทัศน์ TVD และผู้บริหารกลุ่มเดิมอย่าง คุณฉัตรชัย ตะวันธรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สปริง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้ให้รายละเอียดต่างๆ ร่วมกัน โมเดลทีวีสายพันธ์ใหม่ เมื่อคนข่าว X คนขายของ สำหรับดีลครั้งนี้เริ่มต้นมาจาก Collaborated Project ของทีวีดีและสปริงนิวส์ ซึ่งมีสายสัมพันธ์มายาวนาน ในฐานะที่ทีวีดีซื้อ Airtime ในช่องสปริงนิวส์มาตั้งแต่ยังทำช่องทีวีดาวเทียม ก่อนจะก้าวเข้ามาในสนามธุรกิจดิจิทัลทีวี โดยเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทีวีดีได้ร่วมเป็นผู้ผลิตรายการเพื่อป้อนให้กับช่อง 19 จำนวน 18 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโมเดลในการสร้างรายได้ให้กับช่องได้มากกว่าแค่การรอรายได้จากโฆษณาที่จำกัดอยู่ที่ชั่วโมงละ 10 นาที มาเป็นการสร้างรายได้จากกลุ่มผู้ชมรายโดยตรงจากการขายสินค้า ซึ่งผลตอบรับเป็นไปทิศทางที่ดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาสู่การขยายความร่วมมือกลายเป็นดีลในครั้งนี้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการเกิด Win ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไมว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้ถือใบอนุญาต หรือพันธมิตรทั้งสองรายที่สามารถเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ และยังขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายและทั่วถึงมากขึ้น โดยที่แต่ละรายก็ยังอยู่ในจุดที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญ ทั้งสปริงนิวส์ที่ยอมรับว่าสิ่งเดียวที่มีความถนัดคือการทำข่าวและค่อนข้างลำบากกับการต้องมาบริหารจัดการภาระต่างๆ ภายในช่อง ขณะที่ทีวีไดเร็คก็จะได้ความมั่นคงในเรื่องของเวลาในการออกอากาศ และประเมินว่าจะช่วยลดต้นทุนการออกอากาศในระยะยาวลงได้ พร้อมทั้งประเมินถึงความจำเป็นในการปรับตัวและโอกาสของธุรกิจจาก Landscape ที่เปลี่ยนไปในทั้งสองธุรกิจ คือ – ในแง่ของการทำธุรกิจทีวีที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากจำนวนช่องที่เคยมีอยู่ 6 ช่อง เพิ่มมาเป็น 22 ช่อง ขณะที่กลุ่มคนดูยังเป็นกลุ่มเดิมในจำนวนที่เท่าเดิมราวๆ 21 ล้านครอบครัว หรือประมาณ 45 ล้านคน ทำให้ค่าเฉลี่ยของเรตติ้ง ซึ่งเป็นมาตรวัดของการกำหนดราคาในการซื้อโฆษณาของแต่ละช่องตกลง สวนทางกับค่าใช้จ่ายของคนทำดิจิทัลทีวีที่มีทั้งต้นทุนจากค่าใบอนุญาต ค่าเช่าโครงข่ายในการออกอากาศ ค่าผลิตรายการ และการบริหารจัดการต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาโมเดลใหม่ๆ ในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าแค่การรอให้มีโฆษณาเข้ามา โดยเฉพาะหากสร้างโมเดลเสริมรายได้ที่มีความแข็งแรงมากพอ ในอนาคตรายได้เสริมเหล่านี้ จะกลายมาเป็นรายได้หลักให้แก่ช่องทีวีนั้นๆ หากจะแบ่งตามอายุสัมปทานทีวิดิจิทัลที่ได้มา 15 ปี ซึ่งตอนนี้ผ่านไปแล้ว 5 ปี จากนี้ก็จะต้องถือว่าเป็นการก้าวเข้าสู่ซีซันที่ 2 และ 3 ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นการเปิดมหาศึกทีวีดิจิทัลในซีซันที่ 2 พร้อมเปิดตัวผู้เล่นใหม่คือทีวีไดเร็ค ในการก้าวเข้ามาสู่ภาพของการทำ Virtual Shopping บนสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลอย่างเป็นทางการ – ด้านการเติบโตของธุรกิจออนไลน์และทีวีช้อปปิ้ง ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมากในประเทศไทย โดยปีที่ผ่านมา ธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้งโตได้มากกว่า 30% ขณะที่ทีวีช้อปปิ้งเติบโตได้ถึง 20% ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจในรูปแบบ Virtual Shopping ซึ่งหมายถึงการช้อปปิ้งในทุกรูปแบบโดยที่ไม่จำเป็นต้องออกไปซื้อที่ Physical Store และสะท้อนได้ว่าการเติบโตในกลุ่มออนไลน์ช้อปปิ้งและทีวีช้อปปิ้งเติบโตร่วมกันไปอย่างคู่ขนาน สวนทางกับหลายๆ ความเชื่อที่มองว่าออนไลน์ช้อปปิ้งจะมาทำให้ทีวีช้อปปิ้งอ่อนแอลง แต่ในความเป็นจริงทั้งสองธุรกิจสามารถเสริมความแข็งแรงให้แก่กันได้เป็นอย่างดี สำหรับโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมโฮมช้อปปิ้งคาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% ไปอีก 6-7 ปี จากทิศทางเติบโตเช่นนี้มาหลายปี และคาดว่าจะทำตัวเลขรวมในสิ้นปีนี้ที่ประมาณ 13,500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามียอดขายรวม 12,000 ล้านบาท ขณะที่ทิศทางของธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้ง มีอัตราการเติบโตสูงได้ถึง 40% เลยทีเดียว ทำไมต้องเป็นช่องสปริงนิวส์ ? การเข้ามาเป็นผู้บริหารช่องทีวีของ TVD ในยุคที่เจ้าของธุรกิจเดิมหลายๆ ราย ต่างเจ็บตัวและพยายามหาทางรอดให้กับตัวเองกันแบบวันต่อวัน แต่สิ่งที่ทำให้ TVD มั่นใจและกล้าที่จะกระโดดเข้ามาในเกมครั้งนี้ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นว่าได้ทำการประเมินทั้งโอกาสและความเสี่ยง รวมทั้งทิศทางที่จะก้าวไปจากนี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่วางไว้ในการทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังต่อไปนี้ คุณทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) 1. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง จากการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันเอื้อต่อการบริโภคแบบ Virtual Shopping เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจุดที่เป็น Game Changer ในตลาดเริ่มมาตั้งแต่ปี 2013 ที่เริ่มมีการใช้งาน 3G ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดการขยายตัวและการพัฒนาดีไวซ์ต่างๆ มารองรับ โดยเฉพาะการใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ส่งผลต่อทั้งกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ขึ้นไป ซึ่งยังนิยมสื่อเดิมอย่างทีวีแต่ก็พยายามเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี ซึ่งยังถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ TVD ในขณะนี้ และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการซื้อที่สูงอีกด้วย ส่วนกลุ่มคนอายุ 36 -45 ปี ถือเป็นกลุ่มที่รับสื่อได้ทั้งสื่อเดิมและสื่อใหม่ รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และสามารถตัดสินใจซื้อได้จากทุกช่องทางที่สะดวก และกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 35 ปีลงมา หรือในกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเน้นการรับสื่อออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งเป็นหนึ่งในโอกาสที่ TVD ต้องการจะเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มนี้ให้มากขึ้น 2. TV Never Die เนื่องจากทีวียังคงเป็นหนึ่งใน Screen ที่จะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ เพื่อให้เลือกรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ตามความสะดวกของแต่ละคน แต่การทำธุรกิจทีวีต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม ไม่สามารถพึ่งพาอาศัยรายได้จากแค่เม็ดเงินโฆษณาเพียงอย่างเดียวเพื่อหล่อเลี้ยงทั้งองค์กรได้แบบเดิม จำเป็นต้องหารายได้เสริม โดยเฉพาะการขยับมาตามทิศทาง Virtual Shopping ที่เป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างคนทำข่าวและคนขายของ จะเป็นการเกิดขึ้นของ Sector ใหม่ในธุรกิจโทรทัศน์กลายเป็น “โทรทัศน์พันธุ์ใหม่” ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในยุคใหม่ และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้แบบยั่งยืน “เรามีความเชื่อว่าทีวีไม่ตาย สปริงนิวส์ทำทีวีมา 8 ปี และอยู่ในดิจิทัลทีวีมา 5 ปี และในอีก 10 ปีข้างหน้าจนกระทั่งใบอนุญาตสัมปทานสิ้นสุดทีวีก็ยังคงอยู่ได้ แต่คนถือใบอนุญาตใกล้ตายเต็มที เพราะสถานการณ์และสภาพแวดล้อมในการทำทีวีเปลี่ยนไป Ecosystem ในการสร้างรายได้เปลี่ยนไป วันนี้คนทำดิจิทัลทีวีทั้ง 22 ช่อง มีไม่ถึงครึ่งที่ยังสนุกอยู่ แต่ส่วนมากต่างรู้สึกเหนื่อยกับโมเดลในการหารายได้ในปัจจุบันที่ไม่คุ้มกับต้นทุนค่าใบอนุญาต ค่าเช่าโครงข่าย รวมทั้งค่าผลิตคอนเทนต์ ขณะที่การปรับมาใช้โมเดลในการเพิ่มรายได้นอกเหนือจากแค่ค่าโฆษณาเช่นนี้ เชื่อว่าจะทำให้เราเป็นช่องในท้ายตารางช่องแรกๆ ที่จะสามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้” ความเห็นของคุณฉัตรชัย ตะวันธรงค์ ในฐานะที่เคยบริหารช่องสปริงนิวส์ คุณฉัตรชัย ตะวันธรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สปริง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ด้าน TVD ที่กระโดดข้ามาเป็นผู้รับบริหารช่องต่อ นอกจากมีโมเดลในการสร้างรายได้เสริมให้กับช่องจากการทำธุรกิจในรูปแบบ B2C ซึ่งมองว่าในอนาคตข้างหน้ารายได้กลุ่มนี้จะเป็นรายได้หลักให้กับช่องถึง 90% ขณะที่จะพึ่งพารายได้จากโฆษณาเพียงแค่ 10% เท่านั้น ที่สำคัญการเข้ามาบริหารช่อง 19 ซึ่งมีฐานคนดูเป็นกลุ่มคนเมือง จะทำให้ TVD มีโอกาสขยายทาร์เก็ตมาสู่กลุ่ม Urban มากขึ้นจากปัจจุบันเน้นการทำตลาดแมสไปทั่วประเทศเป็นหลัก 3. เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด TV Shopping เนื่องจากการแข่งขันในตลาดนี้จะขยับไปสู่ Next Level ทั้งจำนวน Player ในตลาดที่เพิ่มขึ้นมากถึง 12 ราย จาก 2 ปีก่อนที่มีอยู่ 6-7 รายเท่านั้น โดยเฉพาะการที่ผู้ประกอบการในธุรกิจทีวีดิจิทัลเริ่มหันมาลงทุนทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ด้วยการผนึกกับพันธมิตรรายใหญ่จากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น โดยมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้ง 12 บริษัทรวมกันมีสูงถึง 4 พันล้านบาท สะท้อนถึงความจริงจังในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการแต่ละราย ที่สำคัญเชื่อว่าธุรกิจ B2C จะกลายเป็น Game Changer สำคัญที่เกิดขึ้นในธุรกิจรีเทล ที่จะเปลี่ยนยอดขายจาก Retail Store มาเป็น Virtual Shopping หรือ Direct Shopping มากขึ้น ซึ่งเมื่อมองจากเทรนด์การเติบโตเชื่อว่าธุรกิจยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก จากปัจจุบันยอดขายของธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทยที่เป็น B2C มีสัดส่วนอยู่ราว 2.1% จากมูลค่าธุรกิจค้าปลีกโดยรวมของประเทศที่มีกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ยอดขายของ TVD ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำในการทำตลาดในกลุ่ม Direct Shopping มีสัดส่วนยอดขายอยู่ไม่ถึง 1% จึงเชื่อว่าตลาดนี้ยังมีโอกาสขยายตัวได้สูงถึง 5-10 เท่าตัว เมื่อเทียบการเติบโตกับในหลายๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนยอดขายรูปแบบนี้ที่ราว 30% เมื่อเทียบกับมูลค่าค้าปลีกทั้งประเทศ หรือเกาหลีที่มีสัดสวน 17% และในจีน มีสัดส่วน 15-16% การซื้อหุ้นสปริงนิวส์ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ TVD ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับการสร้าง Massive Awareness หรือการสร้างการรับรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้กว้างได้มากที่สุด, การปรับโครงสร้างธุรกิจแบบ Omni Channel ด้วยรูปแบบธุรกิจแบบ O2O เพื่อรองรับพฤติกรรมในการซื้อของลูกค้าที่มีการรับสื่อและตัดสินใจซื้อจากหลากหลายช่องทาง, การเพิ่มความหลากหลายของโปรดักต์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และตอบโจทย์เรื่องประสบการณ์ในการช้อปปิ้งของผู้บริโภคได้สูงสุด รวมทั้งการทำธุรกิจแบบ Nua Marketing ที่อาศัยการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลและการประเมินทิศทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าจะยังไม่เห็นความชัดเจนได้แบบ 100% ก็ตาม โดยในดีลครั้งนี้ทาง TVD ประเมินไว้ว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 6-7 ปี การบริหารหลังจากซื้อช่องพร้อมโอกาสทางธุรกิจ 1. ภายหลังการเข้ามาบริหารช่องของทาง TVD ที่คาดว่าการเปลี่ยนผ่านต่างๆ จะแล้วเสร็จประมาณปลายปี และเสร็จสมบูรณ์ประมาณต้นปีหน้า พร้อมทั้งการเปลี่ยนชื่อช่องใหม่เพื่อให้สะท้อน Position และ Identity ของช่องได้ตรงจุดมากขึ้น 2. ช่อง 19 ยังคงสถานะเป็นช่องข่าว โดยคงเนื้อหาสาระและข่าวไว้ที่ 50% โดยแบ่งสล็อตเวลาเป็นรายการข่าวที่ผลิตโดยสปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำนวน 6 ชั่วโมง ส่วนอีก 18 ชั่วโมง จะรับผิดชอบการผลิตคอนเทนต์โดย TVD ซึ่งเป็นรายการสาระเชิงข่าว, รายการโฮม ช้อปปิ้ง และรายการทีวี ช้อปปิ้ง ในจำนวน 6 ชั่วโมง เท่าๆ กัน โดยเชื่อว่าจะไม่ทำให้คนดูสับสนสถานะของช่องจากช่องข่าวไปเป็นช่องขายสินค้า เพราะได้กำหนดการนำเสนอเนื้อหาโปรแกรมภายในช่องตามข้อกำหนดของ กสทช. แต่ในทางกลับกันความน่าเชื่อถือในการเป็นช่องข่าวของสปริง นิวส์ จะทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าจะนำเสนอสินค้ามีคุณภาพ เช่นเดียวกับในต่างประเทศที่มีโมเดลช่องข่าวที่มีการสอดแทรกคอนเทนต์ในการขายสินค้า เช่น CNN, FOX หรือ CNBC ซึ่งสามารถนำมาเป็นต้นแบบได้ 3. ผู้บริหารช่องรายเดิมอย่างสปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จะลดบทบาทเป็น News Content Provider ที่เป็นความเชี่ยวชาญ โดยเน้นที่เป็น VDO Based เพื่อผลิตรายการข่าวป้อนให้กับช่องต่างๆ และในดิจิทัลพลตฟอร์ม จากปัจจุบันผลิตให้ช่อง 19 จำนวน 6 ชั่วโมง และช่อง Now 4 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้ลดการแบกรับต้นทุนต่างๆ โดยเฉพาะการที่ต้องอุ้มธุรกิจช่องดิจิทัลทีวีทั้งช่อง มารับผิดชอบเพียงการผลิตคอนเทนต์ป้อนให้ช่อง 6 ชั่วโมง และแม้ว่าในแง่เรตติ้งปัจจุบันสปริงนิวส์ จะอยู่อันดับสุดท้ายในจำนวน 22 ช่อง แต่เชื่อว่าแบรนด์และชื่อของสปริงนิวส์ยังคงสามารถสร้างความเชื่อมั่นในแง่ของการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ข่าวที่มีความแข็งแรง แม้ว่าในอนาคตชื่อของช่องจะเปลี่ยนไปก็ตาม 4. สำหรับคอนเทนต์ช้อปปิ้งที่ TVD จะนำเสนอขายผ่านช่อง 19 จะเน้นสินค้าที่มีไลฟ์สไตล์ตรงกลุ่มเป้าหมายของช่อง หรือมี Exclusive Content เฉพาะเพื่อให้เกิดความแตกต่าง ส่วนแนวทางในการบริหารจัดการต้นทุนในการผลิตคอนเทนต์ จะมองที่กลุ่มเป้าหมายของสินค้าแต่ละชิ้นว่าสามารถนำเสนอคอนเทนต์เดียวกันได้ทุกช่อง หรือสินค้าบางอย่างที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ก็จะเลือกปล่อยในช่องที่เหมาะสม โดยตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีนี้ไว้ที่ 3,900 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายสินค้าผ่านช่อง 19 สัดส่วนประมาณ 5% 5. ขณะที่การก้าวเข้ามาบริหารช่อง 19 ของ TVD คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อช่องทางหลักเดิมๆ ของ TVD โดยเฉพาะในส่วนของทีวีดาวเทียมที่ยังคงเติบโตได้ดีอยู่ เพราะหลายคนยังเข้าถึงทีวีดิจิทัลผ่านกล่องดาวเทียม ส่วนการดูทีวีบนมือถือก็ค่อนข้างมีค่าใช้จ่ายสูงตามแพกเกจอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน คุณพงษ์ชัย ชัญมาตรกิจ หัวหน้าสายงานสถานีโทรทัศน์ TVD 6. ช่องทางหลักๆ ที่สร้างยอดขายให้ TVD ในปัจจุบันยังคงมาจากทีวีเป็นหลัก ทั้งรูปแบบทีวีช้อปปิ้งและโฮมช้อปปิ้งรวม 60% (ทั้งรูปแบบของการเช่าเวลาในสถานีและการผลิตรายการในช่องตัวเอง) ช่องทาง Out Bound 15% Show case ( TVD Shop) 15% และจาก Online 10% โดยสินค้าที่ขายดียังคงเป็นเครื่องออกกำลังกาย เพราะเป็นเทรนด์ที่คนนิยมหันมาดูแลสุขภาพ รวมทั้ง Perception ที่ชัดเจนต่อผู้บริโภคมีต่อ TVD จะเป็นกลุ่มสินค้าออกกำลังกายเป็นหลัก ตามมาด้วยสินค้า Health & Beauty เครื่องครัว และเครื่องใช้ภายในบ้าน 7. ที่สำคัญการมีช่อง 19 ทำให้ TVD สามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนเมืองได้มากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าใน กทม. 35-38% ลูกค้าต่างจังหวัดประมาณ 60% โดยคาดว่าลูกค้าใน กทม. จะเพิ่มขึ้นเป็น 40-42% รวมทั้งการเจาะไปสู่กลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปี ด้วยการนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย เพราะฟีดแบคบางส่วนจากลูกค้าสะท้อนว่ามีแต่สินค้าสำหรับผู้ใหญ่ ขณะที่ลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่มแม่บ้านและผู้สูงอายุ แต่เริ่มเห็นการเติบโตของลูกค้าผู้ชายมากขึ้นจาก 30% เป็นมากกว่า 45% จากการนำเสนอสินค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น 8. ช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ทาง TVD จะทำการรีแบรนด์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการนำคาแร็คเตอร์ “จอร์จ -ซาร่า” มาช่วยในเรื่องของการสือสารแบรนด์อีกครั้ง เนื่องจากเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยให้คนนึกถึงแบรนด์ทีวีไดเร็คได้ดี หลังจากก่อนหน้านี้มีการลอนช์ผ่านสติ๊กเกอร์ไลน์ไปแล้วครั้งหนึ่ง และได้รับการตอบรับโดยมียอดดาวน์โหลดที่ดี แต่ไม่ได้ทำการตลาดต่อเนื่อง จึงมีแผนที่จะนำมาใช้เพื่อสร้างให้เกิดการรับรู้แบรนด์เพิ่มมากขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง 9. ในอนาคต TVD สนใจที่จะเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้มากขึ้นอีก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไม่คาดคิดว่าจะขายได้บนแพลตฟอร์มเช่นนี้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ หรือในกลุ่มโกรเซอรี่ ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถขายได้ แต่เริ่มเห็นในต่างประเทศบ้างแล้ว เช่น ในเกาหลีที่สามารถขายรถยนต์ หรือในไต้หวันที่ขายโกรเซอรี่ รวมทั้งโมเดิร์นเทรดในประเทศบางรายก็เริ่มขายได้แล้ว
การเข้ามาบริหารช่องทีวี TVD ในช่วงเวลาที่ธุรกิจทีวีหลายรายกำลังเผชิญปัญหานั้น มาจากความมั่นใจในการประเมินโอกาสและความเสี่ยง โดยมีแผนการเติบโตที่ชัดเจนเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยแบ่งออกเป็นสามด้านหลัก: 1.การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้ Virtual Shopping มากขึ้น ตั้งแต่การใช้งาน 3G ในปี 2013 ซึ่งส่งผลต่อทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่ยังคงสนใจทีวีแต่เริ่มเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ กลุ่มอายุ 36-45 ปีสามารถเข้าถึงสื่อได้ทั้งแบบเก่าและใหม่ ขณะที่กลุ่มมิลเลนเนียลสนใจสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นโอกาสที่ TVD ต้องการเข้าถึงให้มากขึ้น 2.ความสำคัญของทีวี: ทีวียังคงเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ แต่ต้องปรับตัว โดยไม่สามารถพึ่งพาแค่รายได้จากโฆษณา ต้องมองหารายได้จากการสร้างพันธมิตรในธุรกิจ Virtual Shopping เพื่อสร้างโมเดลใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคนี้ ในอนาคตคาดว่ารายได้จาก B2C จะสูงถึง 90% ขณะที่โฆษณาจะลดลงเหลือ 10% 3.การแข่งขันในตลาด TV Shopping: ตลาดนี้มีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก 6-7 รายเป็น 12 ราย ใน 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มลงทุนอย่างจริงจังและมีทุนจดทะเบียนรวมกันสูงถึง 4,000 ล้านบาท B2C จะเป็น Game Changer ที่จะทำให้ยอดขายย้ายจาก Retail Store มาสู่ Virtual Shopping คาดว่า TVD ยังมีโอกาสเติบโตได้ถึง 5-10 เท่าจากยอดขายปัจจุบัน การซื้อหุ้นสปริงนิวส์ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ TVD ในการสร้างการรับรู้ที่กว้างขึ้น ปรับโครงสร้างธุรกิจให้รองรับการซื้อหลายช่องทาง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ซึ่งคาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 6-7 ปี
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52836
Retail
ช่วยสรุปบทความ ธุรกิจเพื่อผู้สูงวัย บรรทัดฐานใหม่เมื่อทั้งโลกกำลังจะก้าวสู่ Aging Society พร้อมการปรับตัวจาก 8 กลุ่มธุรกิจในญี่ปุ่น
ส่อง 8 ธุรกิจเพื่อผู้สูงวัยจากญี่ปุ่น แน่นอนว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ภาวะผู้สูงวัย ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกายภาพ หรือแม้แต่สภาพจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ทำให้มีรายละเอียดในการใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากวัยหนุ่มสาวที่ยังมีกำลังวังชา การทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหว การได้ยิน การมองเห็น ระบบการหายใจ การย่อยอาหารล้วนด้อยประสิทธิภาพลง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์และเหมาะสมกับประชากรสูงวัยจึงมีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อน และแตกต่างไปจากเดิม และในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงวัยมากที่สุดในโลก และมีความพร้อมในการรับมือต่อการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมามากพอสมควร โดยเฉพาะภาคธุรกิจต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในการ Create & Design เพื่อให้สามารถนำเสนอโซลูชั่นส์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายสูงวัยได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ทำให้มีธุรกิจเพื่อผู้สูงวัยเพิ่มจำนวนมากขึ้นและในหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะใน 8 กลุ่มตัวอย่างต่อไปนี้ 1. Residential หรือในกลุ่มธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัย ซึ่งญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญในการออกแบบบ้านและที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงวัยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกและปลอดภัย เนื่องจากครอบครัวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักมีบ้านเป็นของตัวเองในสัดส่วนถึง 61.7% และใน 82.7% ของครอบครัวที่มีบ้านของตัวเองจะมีสมาชิกที่เป็นผู้สูงวัยอยู่ด้วย ซึ่งสะท้อนว่าเจ้าของบ้านญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มสูงวัย รวมทั้งมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นลักษณะครอบครัวที่มีแต่ผู้สูงอายุอยู่ด้วยกันแบบสองคนตายาย นอกจากนี้ ผลสำรวจเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุของผู้สูงวัยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในบ้านสูงสุดถึง 77.1% ขณะที่พื้นที่ในบ้านที่ผู้สูงวัยประสบอุบัติเหตุสูงสุดคือ ห้องนอน เนื่องจากไม่ค่อยได้ไปไหนมากนัก ขณะที่วัยอื่นๆ พื้นที่ในบ้านที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยสุดจะอยู่ในห้องครัว หรือบันได ดังนั้น Developer ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านให้เหมาะสมสำหรับผู้สูงวัย หรือ Elderly-Friendly รวมทั้งกับคนทุกวัยที่อาศัยอยู่รวมกัน (Multi-Generation) ซึ่งแน่นอนว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยจะมีความซับซ้อนมากกว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป เพราะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ อย่างครอบคลุม ทั้งเรื่องของการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน เพื่ออำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลตัวเองได้ และคำนึงถึงความแตกต่างทางกายภาพที่ผู้สูงอายุอาจจะมีน้อยกว่าวัยอื่นๆ ทำให้ต้องเน้นเรื่องรายละเอียดต่างๆ ทั้งการมีแสงสว่างอย่างเหมาะสม การเลือกใช้สีที่แตกต่างกันสำหรับพื้นที่มีระดับความสูงต่างกัน หรือการออกแบบบันไดให้มีความสูงน้อยลงและหน้ากว้างกว่าปกติ รวมทั้งมีราวจับ และมีสัญลักษณ์สะท้อนแสงเพื่อให้เห็นขั้นบันไดได้อย่างชัดเจนในกรณีที่เกิดไฟดับฉุกเฉิน เป็นต้น ซึ่งนอกจากการพัฒนาบ้านแล้ว ยังมีการพัฒนาโครงการในลักษณะของการดูแลผู้พักอาศัยสูงวัยในรูปแบบต่างๆ เช่น Nursing Home, Wellness Community รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการออกแบบที่เป็น Elderly-Friendly มากยิ่งขึ้น 2. Amusement หรือการจัดกิจกรรมเพื่อมอบความบันเทิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสันทนาการ เล่นเกม เล่นกีฬา การจัดทริปท่องเที่ยว หรือการจัดเวิร์กช็อปต่างๆ สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เพราะธรรมชาติของคนญี่ปุ่นชอบที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้ว รวมทั้งส่วนใหญ่จะมีกำลังซื้อที่ดี และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งความบันเทิงและบริการต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ต่างจากวัยหนุ่มสาว โดยผู้สูงอายุญี่ปุ่นในกลุ่มอายุ 60-69 ปี มีความสามารถในการใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึง 12.2% และช่วงอายุ 70-79 ปี ใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 14.2% เมื่อดูตัวเลขในปี 2015 เทียบกกับปี 2010 โดยพบว่า 45.2% ใช้อินเตอร์เน็ตมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน และ 25.8% ใช้มากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และเมื่อพิจารณาการใช้จ่าย จะพบว่ากลุ่มครอบครัวผู้สูงวัยมีการใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 4700 เยนต่อเดือน โดยใช้จ่ายไปกับค่าอาหารและการท่องเที่ยวเป็นหลัก 3. Food & Beverage ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการตื่นตัวสำหรับกลุ่มเป้าหมายในวัยสูงอายุอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดใหญ่บางราย ที่ให้ความสำคัญกับการคำนวนความเหมาะสมในเรื่องของอาหารและเครื่องดื่มที่ผู้สูงวัยควรได้รับในแต่ละมื้อ ทั้งในแง่ปริมาณ วัตถุดิบ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม รวมไปถึงขนาดของชิ้นอาหารหรือวัตถุดิบที่ใช้ปรุง เพื่อให้เหมาะสมกับทั้งสภาพฟันและระบบการย่อยตามวัย ซึ่งจะเห็นได้ทั้งธุรกิจที่ให้บริการในรูปแบบ Retail หรือในกลุ่ม B2B ที่ได้ทำการคำนวณตัวเลขทางโภชนาการ เมนูอาหารที่ต้องเตรียมในแต่ละวัน ครอบคลุมไปถึงต้นทุนในแต่ละมื้อ เพื่อเป็นต้นแบบให้กับทางบ้านพักคนชราหรือสถานที่สำหรับดูแลผู้สูงอายุทั่วไป 4. Service ธุรกิจให้บริการต่างๆ เนื่องจากผู้สูงอายุในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะอยู่ด้วยตัวเอง ทำให้ค่อนข้างเหงา ทำให้ธุรกิจบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพาไปเที่ยวนอกบ้าน การไปรับประทานอาหารเป็นเพื่อน ไปเป็นเพื่อนช้อปปิ้ง บริการตัดผม บริการนวดผ่อนคลาย หรือผู้ช่วยดูแลสุขภาพต่างๆ เป็นอีกหนึ่งประเภทของกลุ่มธุรกิจที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน 5. Community การสร้างกิจกรรมเพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกันมีโอกาสได้มาทักทาย พบปะ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน หรือแม้แต่คนต่างเจนเนอเรชั่นก็สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ระหว่างกัน ซึ่งจากสถิติพบว่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นมากกว่า 60% เคยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม และกิจกรรมที่นิยมเข้าร่วมมีทั้งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ กีฬา การทำงานอดิเรก รวมไปถึงการทำงานด้านจิตอาสา หรืออาสาสมัครต่างๆ เนื่องจากช่วยให้กลุ่มผู้สูงอายุได้เพื่อนใหม่ รู้สึกเติมเต็ม และรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น รวมทั้งยังทำให้รู้สึกว่ามีความมั่นใจในสุขภาพ และร่างกายของตัวเองมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่การสร้าง Community ภายนอกครอบครัวหรือชุมชนเท่านั้น เพราะปัจจุบัน Developer โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญและมองถึงการสร้างชุมชนและสังคมโดยรอบหมู่บ้านที่ดี เพราะมองว่าช่วยยกระดับสังคมให้มีคุณภาพและนำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย 6. Furniture Design การออกแบบเฟอรนิเจอร์ต่างๆ ที่ต้องมองถึงความเหมาะกับสรีระที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้สูงวัย และมีฟังก์ชั่นในการใช้งานที่หลากหลายและตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น เช่น เตียงนอน ที่สามารถปรับระดับให้อยู่ในความสูงที่เหมาะสม หรือสามารถปรับให้กลายเป็นเก้าอี้วีลแชร์ได้ หรือการมีที่นอนหรือฟูกที่ออกแบบมาให้รองรับสรีระและป้องกันการกดทับ หรือในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์แบบ Built-in ให้กับโครงการต่าง ที่ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน เช่น เก้าอี้ที่สามารถพับเก็บไว้ที่ผนังได้ 7. Law & Regulation ข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย ซึ่งญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการดูแลประชากรสูงวัยอย่างมาก ทำให้ดูแลการออกกฎและข้อบังคับต่างๆ เพื่อคุ้มครองและดูแลสิทธิในการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัยอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องของ Barrier Free สำหรับการก่อสร้างอาคารหรือสถานที่ต่างๆ ที่คำนึงถึงความเหมาะสม สะดวกสบายและความปลอดภัย ทั้งต่อผู้สูงวัยและกับคนทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง ที่ออกเป็นข้อกฎหมายให้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2549 รวมทั้งการออกข้อกำหนด ข้อจำกัดต่างๆ ที่ช่วยดูแลคุณภาพชีวิตของประชากรสูงวัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการ การจ่ายเงินบำนาญ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข หลังจากทำงานหนักมาหลายสิบปี ทำให้คุณภาพของผู้สูงอายุในญี่ปุ่นไม่ว่าจะรวยหรือจน จะมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะการเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ที่สามารถดูแลและรองรับคนทั่วทั้งประเทศได้อย่างทั่วถึง รวมไปถึงการออกข้อกำหนดในเรื่องการทำเงินประกัน เงินบำนาญสำหรับคนทำงานทุกคน ทำให้หลังวัยเกษียณจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบาก สอดคล้องกับผลจากการสำรวจสภาพคล่องทางด้านการเงินของประชากร ที่พบว่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่มีความกังวลทางด้านการเงิน โดยผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 64.6% ตอบว่าไม่มีความกังวลในเรื่องเงินเลย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีเงินมากพอจนไม่รู้สึกกังวล หรือจะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีเงินมากพอก็ไม่ได้รู้สึกกังวลเช่นเดียวกัน โดยตัวเลขนี้สูงขึ้นถึง 71.5% ในกลุ่มคนที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับการวางนโยบาย หรือกฎเกณฑ์ ข้อกำหนดต่างๆ ของหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องเหล่านี้ 8. Renovation ธุรกิจรับปรับปรุงและแต่งเติมที่อยู่อาศัย ทั้งการให้คำปรึกษาแก่เจ้าของบ้านที่อยู่มาตั้งแต่วัยหนุ่มสาวจนเข้าสู่ช่วงสูงวัย ซึ่งถึงเวลาต้อง Renovate บ้านใหม่ เช่น อาจมีการติดตั้งลิฟต์เพิ่มเติม หรือการปรับปรุงเพิ่มเติมเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านให้รองรับกลุ่มลูกค้าสูงวัยเพิ่มมากขึ้น แม้แต่การเข้าไปฟื้นฟูสภาพบ้านภายหลังจากเจ้าของบ้านรายเดิมซึ่งเป็นผู้สูงอายุได้เสียชีวิตลงจนทำให้บ้านหลายหลังกลายเป็นบ้านร้าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบเห็นได้มากในสังคมญี่ปุ่นขณะนี้ เพราะหลายครอบครัวที่อยู่เพียงลำพังเมื่อสามีหรือภรรยาเสียชีวิต ทำให้ไม่มีคนดูแล และหลายครั้งที่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังเสียชีวิตลงโดยไม่มีใครรู้ ทำให้ธุรกิจ Renovation ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ซึ่งการออกแบบใหม่จะเน้นให้มีความเป็น Elderly -Friendly และมีความเป็น Universal Design เพื่อให้เหมาะสมกับผู้อาศัยทุกกลุ่ม เช่น การออกแบบที่เป็น Stepless หรือมีขั้นบันไดต่างๆ ให้น้อยที่สุด หรือถ้ามีก็ต้องมีความปลอดภัยสูง ความสามารถในการดูแลอุณหภูมิภายในบ้านให้คงที่และเหมาะสม หรือการเลือกใช้วัสดุปูพื้นใหม่ที่สามารถรับแรงกระแทกได้มากขึ้น เป็นต้น
เมื่อเข้าสู่วัยทองมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ รายละเอียดในการใช้ชีวิตมีความแตกต่างจากวัยหนุ่มสาว ญี่ปุ่นมีประชากรสูงวัยมากที่สุดในโลกและมีธุรกิจที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย ทำให้มีธุรกิจเพื่อผู้สูงวัยเพิ่มจำนวนมากขึ้นและในหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะใน 8 กลุ่มตัวอย่างต่อไปนี้ 1. Residential หรือในกลุ่มธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัย 2. Amusement หรือการจัดกิจกรรมเพื่อมอบความบันเทิงต่างๆ 3. Food & Beverage ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการตื่นตัวสำหรับกลุ่มเป้าหมายในวัยสูงอายุอย่างมาก 4. Service ธุรกิจให้บริการต่างๆ 5. Community การสร้างกิจกรรมเพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกันมีโอกาสได้มาทักทาย พบปะ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน 6. Furniture Design การออกแบบเฟอรนิเจอร์ต่างๆ ที่ต้องมองถึงความเหมาะกับสรีระที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้สูงวัย 7. Law & Regulation ข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย 8. Renovation ธุรกิจรับปรับปรุงและแต่งเติมที่อยู่อาศัย
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52855
Retail
ทำไมผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกเสพคอนเทนต์แบบ On Demand ?
นับว่าอยู่ในจังหวะที่โอกาสหลายๆ อย่างในตลาดขณะนี้ล้วนเป็นใจให้ตลาดทีวีเติบโตได้สูงมากเป็นประวัติการณ์ในรอบ 4-5 ปีเลยทีเดียว หลายๆ คนเดาถูกว่าเป็นเพราะอยู่ในช่วงฤดูกาลแข่งขันบอลโลก ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญจริงๆ เพราะตัวเลขของตลาดทีวีหลังกลางเดือนพฤษภาคม 2561 เป็นต้นมา หรือว่าหลังจากฟุตบอลโลกเปิดฉาก ตลาดทีวีก็เติบโตได้แบบพุ่งพรวดมากถึง 25% ทีเดียว จากการเติบโตในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้จะเติบโตเฉลี่ยที่มากกว่า 10% เท่านั้น และแม้ว่าฟุตบอลโลกจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ดันการเติบโตของทีวีในปีนี้ แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลเดียวที่ทำให้ตลาดทีวีขยายตัวได้สูงมากขนาดนี้ เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่แล้วเมื่อราว 4 ปีก่อน ในปีนั้นตลาดทีวีก็เติบโตได้เพียงแค่มากกว่า 10% เท่านั้น “โลกของจอใหญ่” ขับเคลื่อนตลาดทีวี คุณจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสบริหารสินค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปีนี้ตลาดทีวีถือว่าเติบโตได้โดดเด่นมากที่สุดในรอบหลายปีจากหลายปัจจัยบวก โดยเฉพาะการแข่งขันฟุตบอลโลกทำให้หลายคนอยากจะเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ เพื่ออรรถรสในการรับชมเกมฟุตบอลที่มากขึ้น และสิ่งสะท้อนที่ชัดเจนคือ Growth Rate ของตลาดทีวีที่พุ่งขึ้นหลังจากเริ่มเปิดฉากฟุตบอลโลก จากที่เติบโตได้ราวๆ 10% จนถึงปัจจุบันการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 25% แล้ว จากมูลค่าตลาดรวมทีวีที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดทีวี โดยเฉพาะความนิยมของผู้บริโภคในการดูทีวีจอขนาดใหญ่มากขึ้น สังเกตุได้ทั้งจากสัดส่วนและการเติบโตของทีวีที่ขนาด 50 นิ้วขึ้นไป กลายเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนตลาด โดยสัดส่วนทีวีที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 50 นิ้วขึ้นไป มีขนาดใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของตลาดแล้ว รวมทั้งเป็นกลุ่มที่ยังสามารถรักษาการเติบโตไว้ได้อยู่ โดยเฉพาะจอขนาดใหญ่เกิน 60 นิ้วขึ้นไป สามารถเติบโตได้มากกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว ทั้งนี้ หากแยกสัดส่วนและการเติบโตของเซ็กเม้นต์ทีวีที่แบ่งตามขนาดของจอภาพ จะมีรายละเอียดดังนี้ ขนาดจอเล็กกว่า 32 นิ้วลงมา สัดส่วนในตลาด 20% ตลาดไม่เติบโตในเชิงมูลค่า ขนาดจอ 40-50 นิ้ว สัดส่วนตลาด 30% ตลาดไม่เติบโตในเชิงมูลค่า ขนาดจอ 50 นิ้วขึ้นไป สัดส่วนตลาด 40% ในเชิงมูลค่าเติบโตได้มากกว่า 40% ขนาดจอ 60 นิ้วขึ้นไป สัดส่วนตลาด 10% ในเชิงมูลค่าเติบโตได้มากกว่า 100% “หากพิจารณาเซ็กเม้นต์ทีวีในตลาดจะพบว่า การเติบโตส่วนใหญ่มาจากกลุ่มจอใหญ่เป็นหลัก ขณะที่จอต่ำกว่า 40 นิ้วลงมา อาจจะเติบโตในแง่จำนวนเครื่องที่ประมาณ 10% แต่ในเชิง Value ไม่มีการเติบโต ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคเองเมื่อต้องการเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ก็จะมองหาขนาดที่ใหญ่ขึ้น ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีจอภาพที่พัฒนามากขึ้นโดยเฉพาะเทคโนโลยี 4K ที่จะให้คุณภาพที่ดีกว่า Full HD ประกอบกับขนาดจอที่จะสามารถรองรับเทคโนโลยี 4K ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเริ่มต้นตั้งแต่จอขนาด 50 นิ้วขึ้นไป ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ตัดสินใจขยับมาเลือกสินค้าในกลุ่มที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ดีมากกว่า ทำให้เทคโนโลยี 4K ในตลาดทีวีเติบโตมาสู่ระดับที่เป็น Main Stream แล้ว เพราะขณะนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของทีวีในตลาดปัจจุบันต่างใช้เทคโนโลยี 4K เป็นส่วนใหญ่ หลังจากเริ่มแนะนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาในตลาดประเทศไทยเมื่อราว 4-5 ปีที่แล้ว” นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกในเรื่องของระดับราคาในตลาด ที่มักจะมีโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น โดยเฉพาะระดับราคาเฉลี่ยของทีวีที่มีจอภาพขนาด 50-60 นิ้วขึ้นไป ซึ่งราคาขยับลงมาจากเดิมถึง 30-50% เช่น จอขนาด 50-59 นิ้ว ที่มีราคาเฉลี่ย 2 หมื่นกว่าบาท จากเดิมมีราคามากกว่า 3 หมื่นบาท ขณะที่จอภาพขนาด 60 นิ้วขึ้นไป จะมีราคาเฉลี่ย 5-6 หมื่นบาท จากเดิมมีราคาประมาณ 8-9 หมื่นบาท ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ยังส่งผลให้ระยะเวลาในการเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ หรือรอบในการซื้อเพื่อทดแทนเครื่องเดิมเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยปัจจุบันผู้บริโภคจะเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ประมาณ 5 ปี จากที่ก่อนหน้าระยะเวลาในการเปลี่ยนเครื่องใหม่จะอยู่ที่ราว 7-10 ปี พฤติกรรมคนดูทีวีปัจจุบัน เน้น On Demand ไม่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เท่านั้น ที่ส่งผลให้คนอยากเปลี่ยนทีวีเร็วขึ้น แต่พฤติกรรมในการเสพคอนเทนต์ของคนในปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นกัน จากที่ก่อนหน้า คนจะซื้อทีวีมาเพื่อดูโปรแกรมตาม Free TV หรือเพื่อมารองรับโปรแกรมต่างๆ ตามระบบบอกรับสมาชิกที่มี เนื่องจากทีวีที่มีการทำตลาดอยู่ในขณะนั้น ยังไม่มีความ Intelligence หรือยังไม่ฉลาดมากเท่ากับทีวีในปัจจุบัน ที่สามารถโหลดโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ มาไว้ในเครื่องได้ แต่ปัจจุบัน การเติบโตของ Smart TV ที่มีทางเลือกในการชมรายการต่างๆ ได้ตามใจ ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกเสพคอนเทนต์แบบ On Demand หรือเลือกโปรแกรมที่อยากดูตามความสนใจของตัวเอง โดยดูโปรแกรมตามการออกอากาศของฟรีทีวีน้อยลง เช่น คนที่ชื่นชอบเรื่องรถ ก็เลือกที่จะดูรายการรีวิวรถยนต์ต่างๆ ทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของทีวีที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้จะเป็นกลุ่ม Intelligence TV เป็นหลัก และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อผู้บริโภคมีการเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่ใช้ Smart TV ก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาเป็นการซื้อ Smart TV มากขึ้น เพราะสามารถเลือกโปรแกรมที่ต้องการดูได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการเติบโตจะเป็นไปในทิศทางเช่นเดียวกับการเติบโตของทีวี 4K ที่ในปัจจุบันสัดส่วนขยายได้มากกว่า 50% แล้ว จากเมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้าที่ยังมีสัดส่วนในตลาดที่ราว 20-30% เท่านั้น มือถือหมดมุขขาย ทำตลาดรวมทรงตัว สำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในฐานะหนึ่งช่องทางสำคัญของสินค้าในกลุ่มนี้ เพาเวอร์มอลล์ฉายภาพการเติบโตโดยรวมว่ายังอยู่ในลักษณะทรงตัว เนื่องจาก ตลาดใหญ่อย่างมือถือซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 40% ของตลาดไม่มีการเติบโต เนื่องจากไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาทำให้ลูกค้าสนใจได้มากนัก ส่วนใหญ่จะแข่งกันที่ฟังก์ชั่นในการถ่ายภาพและเรื่องของดีไซน์ต่างๆ เป็นหลัก ขณะที่ตลาดเครื่องปรับอากาศซึ่งมีขนาดใหญ่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ไม่เติบโตเช่นกัน จากสภาพอากาศที่ผ่านมาที่ไม่ได้เอื้อต่อการเติบโตของกลุ่มเครื่องปรับอากาศมากนัก มีเพียงตลาดทีวี และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางกลุ่มเท่านั้นที่เติบโตได้ดีในรอบหลายปี เช่น ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า แต่เชื่อว่าโดยภาพรวมตลาดทั้งหมดที่มีมูลค่ารวมกันกว่า 2.3 -2.4 แสนล้านบาท จะยังสามารถรักษาการเติบโตไว้ได้ที่ราว 3% จากกำลังซื้อในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ที่ยังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ในตลาด ประกอบกับการกระตุ้นตลาดของบรรดา Retailer และแบรนด์ต่างๆ ที่นำเสนอสินค้าใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดอยู่เสมอซึ่งจะช่วยกระตุ้นดีมานด์และการเติบโตได้เป็นอย่างดี “ขณะที่การเติบโตของเพาเวอร์มอลล์ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาด โดย 5 เดือนที่ผ่านมา เติบโตที่ 6% เนื่องจาก การให้ความสำคัญกับการนำเสนอสินค้าที่เป็นนวัตกรรม เพื่อเจาะตลาดที่ยังมีกำลังซื้อทั้งในกลุ่มทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งกลุ่มคอมพิวเตอร์ที่แม้ตลาดจะนิ่งๆ แต่เรายังคงเติบโตได้ดี โดยเชื่อว่าทั้งปีจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% ขยับเพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่เติบโต 3-4% จากการให้ความสำคัญกับการทำตลาดภายใต้งบ 5% ของยอดขาย เพื่อจัดแคมเปญกระตุ้นตลาด โดยจะเน้นใช้กลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีภายในสโตร์ หรือสร้างประสบการณ์ต่อสินค้าแต่ละชิ้น เพื่อกระตุ้นให้ได้ยอดขายที่เกิดจาก Real Demand อย่างแท้จริง มากกว่าการซื้อจากโปรโมชั่น เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันยอดขายจากเพาเวอร์ มอลล์ สามารถทำสัดส่วนได้ราว 20% ของยอดขายรวมทั้งกรุ๊ป และเป็นหนึ่งใน Top 3 ของแผนกที่ทำยอดขายสูงสุดให้กับทางกลุ่มเดอะมอลล์” ล่าสุด เพาเวอร์ มอลล์ ใช้งบกว่า 120 ล้านบาท จัดแม็กเน็ตอีเวนท์ของแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่าง POWER MALL ELECTRONICA SHOWCASE ระหว่าง 22 มิ.ย. – 15 ก.ค. 2561 เพื่อนำเสนอนวัตกรรมสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและไอที จากแบรนด์ชั้นนำมากกว่า 200 แบรนด์ ที่ตอบโจทย์ Consumer Trend ทั้งในเรื่องของ Healthy, Design, Energy Saving มารวบรวมไว้ภายในงานเดียว พร้อมสินค้านวัตกรรมเพื่อให้ได้สัมผัสก่อนใคร อาทิ นวัตกรรมทีวี 8K เครื่องแรกของประเทศจากชาร์ป, ทีวีพานาโซนิค OLED 65 นิ้ว ที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมฮอลีวู้ด, แอลจี วอลเปเปอร์ทีวี OLED ที่บางเพียง 4 มิลลิเมตร, รวมทั้งสินค้าในกลุ่มไอที กล้องถ่ายภาพ และรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Storm พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยรายการโปรโมชั่นพิเศษตลอดงาน และบริการผ่อน 0% จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ โดยคาดว่าจะทำยอดขายตลอดกาจัดงานได้ไม่ต่ำกว่า 410 ล้านบาท
การเติบโตของ Smart TV ที่มีทางเลือกในการชมรายการต่างๆ ได้ตามใจ ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกเสพคอนเทนต์แบบ On Demand หรือเลือกโปรแกรมที่อยากดูตามความสนใจของตัวเอง โดยดูโปรแกรมตามการออกอากาศของฟรีทีวีน้อยลง เช่น คนที่ชื่นชอบเรื่องรถ ก็เลือกที่จะดูรายการรีวิวรถยนต์ต่างๆ ทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของทีวีที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้จะเป็นกลุ่ม Intelligence TV เป็นหลัก และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อผู้บริโภคมีการเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่ใช้ Smart TV ก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาเป็นการซื้อ Smart TV มากขึ้น เพราะสามารถเลือกโปรแกรมที่ต้องการดูได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการเติบโตจะเป็นไปในทิศทางเช่นเดียวกับการเติบโตของทีวี 4K ที่ในปัจจุบันสัดส่วนขยายได้มากกว่า 50% แล้ว จากเมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้าที่ยังมีสัดส่วนในตลาดที่ราว 20-30% เท่านั้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52863
Retail
กลยุทธ์ของนิสสันในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายมีอะไรบ้าง?
null
จากบทความ กลยุทธ์ของนิสสันในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายมีดังนี้ 1. มุ่งเน้นการรุกทำตลาดรถยนต์และพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเต็มที่ -นิสสัน มุ่งเน้นการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น -นิสสัน ลงทุนพัฒนาผู้จำหน่ายทั้งด้านการฝึกอบรม การให้ความรู้ และเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้ผู้จำหน่ายสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ -นิสสัน พัฒนาโชว์รูมตามมาตรฐาน NREDI (Nissan Retail Environmental Design Initiative) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า 2. ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง -นิสสัน มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าที่ดีที่สุด -นิสสัน ลงทุนพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า เช่น ระบบจองคิวออนไลน์ ระบบตอบคำถามออนไลน์ ฯลฯ -นิสสัน จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เช่น กิจกรรมทดสอบขับรถ กิจกรรมส่งเสริมการขาย ฯลฯ 3. เดินหน้าทำให้การผนึกกำลังกับพันธมิตรเกิดประโยชน์สูงสุด -นิสสัน ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายและการบริการ -นิสสัน ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนารถยนต์และเทคโนโลยีใหม่ -นิสสัน ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า ตัวอย่าง -นิสสัน ร่วมมือกับ Lazada เปิดตัว Nissan Official Store บน Lazada เพื่อจำหน่ายอะไหล่แท้และสินค้าไลฟ์สไตล์ -นิสสัน ร่วมมือกับ PTT เปิดสถานีชาร์จไฟฟ้า Nissan LEAF -นิสสัน ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ผลลัพธ์ -กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ นิสสัน ขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ -นิสสัน มีโชว์รูมมากกว่า 200 แห่ง ทั่วประเทศ -นิสสัน มีศูนย์บริการมากกว่า 300 แห่ง ทั่วประเทศ -นิสสัน มีลูกค้ามากกว่า 1 ล้านคน ในประเทศไทย บทสรุป: นิสสัน มุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายและพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ นิสสัน บรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของประเทศไทย เพิ่มเติม -นิสสัน มองประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -นิสสัน ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 10,000 ล้านบาท -นิสสัน มีพนักงานในประเทศไทยมากกว่า 7,000 คน Relevance to Retail กลยุทธ์ของ นิสสัน ในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย มีความเกี่ยวข้องกับ Retail ดังนี้ -การขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย ช่วยให้ นิสสัน เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น -การพัฒนาโชว์รูมตามมาตรฐาน NREDI ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการซื้อรถ -การพัฒนาระบบต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า เช่น ระบบจองคิวออนไลน์ ช่วยให้ลูกค้าสะดวกในการใช้บริการ -การจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เช่น กิจกรรมทดสอบขับรถ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถได้ง่ายขึ้น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52871
Retail
กลยุทธ์หลักของ Villa Market เน้นการแข่งขันโดยตรงกับเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่หรือไม่?
null
ไม่ กลยุทธ์หลักของ Villa Market เน้นการ สร้างความแตกต่าง จากเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ โดยไม่ต้องแข่งขันโดยตรง กลยุทธ์หลักของ Villa Market ประกอบด้วย: เน้นจำหน่ายสินค้านำเข้าคุณภาพพรีเมียม: เจาะตลาดบนที่มีกำลังซื้อสูง เลือกทำเลที่ตั้งสาขาในย่านชุมชนที่มีกำลังซื้อ: เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สร้างฐานลูกค้าที่มี Store Loyalty สูง: เน้นคุณภาพสินค้าและบริการ ใช้ความคล่องตัวของบริษัทเล็กปรับตัวตามยุคสมัย: พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ตัวอย่าง: Villa Market เน้นจำหน่ายเนื้อสัตว์นำเข้าคุณภาพพรีเมียม ซึ่งไม่ใช่สินค้าหลักของเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ Villa Market เลือกตั้งสาขาในย่านชุมชนที่มีกำลังซื้อสูง ต่างจากเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ที่ขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ Villa Market เน้นสร้างฐานลูกค้าที่มีความภักดีสูง ต่างจากเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ที่เน้นกลยุทธ์ราคา ข้อสรุป:Villa Market ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องแข่งขันโดยตรงกับเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ กลยุทธ์หลักของ Villa Market เน้นการสร้างความแตกต่าง เจาะตลาดบน พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน และสร้างฐานลูกค้าที่มี Store Loyalty สูง หมายเหตุ: กลยุทธ์ของ Villa Market อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต เชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่มีจุดแข็งและจุดอ่อนแตกต่างกัน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52878
Retail
ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นสำหรับลูกค้าหรือไม่?
null
ใช่ โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้ การวิเคราะห์ข้อมูล: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เซ็นเซอร์และเทคโนโลยี IoT เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลนี้สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า รูปแบบการช็อปปิ้ง และประสบการณ์การช็อปปิ้ง ร้านค้าปลีกสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงสินค้า การบริการ และการจัดวางสินค้าในร้าน การปรับแต่ง: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ปรับแต่งได้ ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกสามารถแนะนำสินค้าตามประวัติการซื้อของลูกค้า หรือเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับสินค้าที่ลูกค้าสนใจ การชำระเงิน: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยีการชำระเงินแบบดิจิทัลเพื่อให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกสามารถใช้ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส หรือระบบการชำระเงินผ่านมือถือ การบริการลูกค้า: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยี AI และ chatbots เพื่อให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกสามารถใช้ chatbots เพื่อตอบคำถามของลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ การจัดการสินค้าคงคลัง: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ ข้อมูลนี้สามารถนำมาใช้เพื่อป้องกันสินค้าหมดสต็อก และเพื่อจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดส่ง: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยีโดรน และรถยนต์ไร้คนขับเพื่อจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยลดเวลาการจัดส่ง และเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า ตัวอย่างของร้านค้าปลีกที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีกว่าและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน: - Amazon Go เป็นร้านค้าปลีกแบบไร้แคชเชียร์ ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าและออกจากร้านโดยไม่ต้องต่อคิวชำระเงิน - Walmart กำลังใช้เทคโนโลยี AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้ง - Alibaba กำลังใช้เทคโนโลยี New Retail เพื่อผสมผสานประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์ สรุป: ร้านค้าปลีกในเมืองอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ราบรื่นสำหรับลูกค้า เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้ร้านค้าปลีกสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น และมอบบริการที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52879
Retail
การใช้เทคโนโลยี Facial Recognition ในร้านค้าปลีกจะมีประโยชน์ต่อธุรกิจค้าปลีกมากกว่าการใช้เทคโนโลยี RFID หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การวิเคราะห์ข้อมูล: เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าได้มากกว่าเทคโนโลยี RFID เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เช่น ระยะเวลาที่ลูกค้าใช้จ่ายในแต่ละโซนของร้านสินค้า สินค้าที่ลูกค้าหยิบขึ้นมาดู สินค้าที่ลูกค้าซื้อ และอารมณ์ของลูกค้า เทคโนโลยี RFID สามารถระบุตัวตนของสินค้า และติดตามสินค้าในคลังสินค้าได้ แต่ไม่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้ การนำเสนอสินค้า: เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้ เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เช่น เพศ อายุ และความสนใจ เทคโนโลยี RFID สามารถระบุตัวตนของสินค้า แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้ การรักษาความปลอดภัย: เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถช่วยป้องกันการโจรกรรมสินค้าได้ เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถระบุตัวตนของบุคคลที่เข้าออกร้านค้า เทคโนโลยี RFID สามารถระบุตัวตนของสินค้า แต่ไม่สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้ การลดต้นทุน: เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถช่วยลดต้นทุนการจ้างพนักงานได้ เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า และนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า พนักงานขายไม่จำเป็นต้องแนะนำสินค้าให้กับลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพ: เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านค้า เทคโนโลยี Facial Recognition สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า และช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อป้องกันการโจรกรรมสินค้า ร้านค้าปลีกสามารถใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อลดต้นทุนการจ้างพนักงาน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดบางประการในการใช้เทคโนโลยี Facial Recognition: ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว: ลูกค้าบางคนอาจกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความถูกต้องของข้อมูล: เทคโนโลยี Facial Recognition อาจมีความผิดพลาดในการระบุตัวตนของบุคคล ค่าใช้จ่าย: เทคโนโลยี Facial Recognition อาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยสรุป: เทคโนโลยี Facial Recognition มีศักยภาพที่จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกควรพิจารณาข้อจำกัดของเทคโนโลยี Facial Recognition before implementing it.
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52892
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การใช้ “แม่มณี” เป็น Key Message ของธนาคารไทยพาณิชย์
null
ธนาคารไทยพาณิชย์ ใช้ “แม่มณี” เป็น Key Message เพื่อสื่อสารการชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code ภายใน SCB Easy App ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ป้าย QR Code ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารโดยทั่วไป ผลปรากฎว่า ในเวลาที่ร้านค้าไม่ได้ต้องการใช้งานก็จะคว่ำป้ายหรือนำป้ายไปเก็บไว้หลังร้านหรือลิ้นชัก แต่การมาใช้แม่มณี ทำให้ร้านค้าตั้งป้ายไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์หรือในจุดที่มองเห็นได้ง่าย ส่งผลในการสร้างกำลังใจที่ดีให้แก่ร้านค้า ทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจน และมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการใช้งานเพิ่มขึ้น การใช้ “แม่มณี” เป็น Key Message เพื่อสื่อสารถึงการชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code ภายใน SCB Easy App ถือว่าเป็นการมาอย่างถูกทาง นอกจากจำนวนจุดรับชำระที่เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ยังพบพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของร้านค้าในการแสดงสัญลักษณ์แม่มณีเพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าสามารถชำระค่าสินค้าผ่าน QR ได้ที่ร้านนั้นๆ เพิ่มมากขึ้น ในช่วงเริ่มต้นทดลองใช้ก่อนหน้านี้ ทางธนาคารจะใช้ป้าย QR Code ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารโดยทั่วไป พบว่า ในเวลาที่ร้านค้าไม่ได้ต้องการใช้งานก็จะคว่ำป้ายไว้ หรือนำป้ายไปเก็บไว้หลังร้านหรือในลิ้นชัก แต่เมื่อเราเปลี่ยนมาใช้แม่มณีเป็นสัญลักษณ์ ทำให้ร้านค้าส่วนใหญ่เลือกที่จะตั้งป้ายแม่มณีไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์หรือในจุดที่มองเห็นได้ง่าย ซึ่งอาจจะเป็นผลในแง่ของการสร้างกำลังใจที่ดีให้แก่ร้านค้าได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็จะทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจน และมีส่วนในการช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้งานได้เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นการใส่ Emotional Approach ให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ในเมื่อแม่มณีที่รูปร่างหน้าตาคล้ายนางกวัก เวอร์ชั่นน่ารัก ต่อไปนี้ร้านค้าก็ไม่กล้าเอาไปซุกไว้ ส่วนลูกค้าเห็นก็เข้าถึงได้ง่ายกว่า นับว่าเป็นอินไซต์ที่เกินความคาดหมายและมีความ Thailand Only แต่ได้ผลทีเดียว
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52897
Retail
SCB ปูพรมด้วยการลงพื้นที่จริง เพื่อสร้างความรู้ให้ประชาชน ผ่านการสาธิตให้เห็นการใช้งานระบบ QR payment จริงมาอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุม 5 กลุ่มหลัก ได้แก่กลุ่มใดบ้าง
เรียกได้ว่าเป็นธนาคารรายแรกๆ ที่ร่วมทดลองและให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนระบบ QR payment อย่างเข้มขันและจริงจังมาโดยตลอด สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งปลดล็อก อนุมัติให้สถาบันการเงินที่มีความพร้อมนำระบบ QR Payment ออกจากสนามทดลองอย่าง Regulatory Sandbox มาสู่การใช้งานจริง SCB ก็เหยียบคันเร่งเต็มที่ในการขยายจุดรับชำระผ่าน QR Code ให้กระจายออกไปสู่วงกว้างให้ได้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ SCB ปูพรมด้วยการลงพื้นที่จริง เพื่อสร้างความรู้ให้ประชาชน ผ่านการสาธิตให้เห็นการใช้งานจริงมาอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุม 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ แหล่งช้อปปิ้ง (ตลาดนัดจตุจักร, สยามสแควร์, แพลตตินั่ม, MBK) มหาวิทยาลัย (เกษตรศาสตร์, ธรรมศาสตร์) คมนาคมขนส่ง (วินมอเตอร์ไซค์, วินรถตู้, แท็กซี่) ตลาดสด (ตลาดสามย่าน, ตลาดมีนบุรี) และวัด (วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) เพื่อสร้างความสมบูรณ์และหลากหลายของ Ecosystem โดยพยายามเลือกการเข้าสู่กลุ่ม Mass เพื่อเน้นรูปแบบการใช้งานที่อยู่ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด รวมทั้งช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการปลดล็อกก็เร่งทำพีอาร์ในวงกว้าง ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “แม่มณี” สำหรับเจาะกลุ่มร้านค้าเพื่อเพิ่มจุดรับชำระให้มากขึ้น รวมทั้งทำความเข้าใจถึงโซลูชั่นส์ในการใช้งาน ที่มีทั้งการโฆษณาทีวี เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ “ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่” พร้อมทั้งเดินสายโรดโชว์เพื่อสร้างความคุ้นเคยทั้งในฟากฝั่งของผู้รับและผู้จ่ายผ่าน SCB Easy App ทั้งใน กทม. รวมทั้งเป้าหมายจังหวัด Tier 1 ซึ่งล่าสุดปักธงไปที่เชียงใหม่ จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญเบอร์ 1 ของภาคเหนือ เพื่อเร่งสร้างความคุ้นเคยในการใช้จ่ายผ่าน QR Code โดยยังโฟกัสที่ 5 กลุ่มสำคัญทั่วเมืองเชียงใหม่ เพื่อความพร้อมสู่การเป็น Smart City รองรับนโยบาย Cashless Society ก่อนจะขยายพื้นที่การใช้งานออกไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านค้าที่สามารถรับชำระด้วย QR Code ในปีนี้ให้ได้ 2 แสนร้านค้า และเพิ่มเป็น 5 แสนร้านค้าในปีหน้า นอกจากการผลักดันในส่วนของตัวเองแล้ว SCB ยังได้ผนึกกับพันธมิตรรายใหญ่ระดับโลกอย่าง AliPay ผู้ให้บริการ e-Payment จากเมืองจีน ประเทศต้นแบบที่เป็น Role Model ในการผลักดันและขับเคลื่อนระบบ QR Payment จนขยายวงกว้างแพร่หลายไปทั่วทั้งประเทศได้สำเร็จ โดยพัฒนาระบบของ SCB Easy ให้รองรับการชำระผ่านระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Wallet ของ AliPay โดยเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด และถือเป็นการติดอาวุธเสริมเพื่อให้แก่ร้านค้าไทยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนให้เพิ่มมากขึ้นด้วย พร้อมทั้งได้นำ “แม่มณี” นางกวักยุคดิจิทัลที่เพิ่งเปิดตัว มาช่วยสร้างสีสันและการจดจำ ภายใต้แนวคิด “แม่มณี รักทุกคน รับทุกแบงก์ รักทุกชาติ” เพื่อสื่อให้เห็นว่าคิวอาร์โค้ดของไทยพาณิชย์รองรับการใช้จ่ายผ่านโมบายแอปพลิเคชันของทุกธนาคาร และพร้อมรองรับผู้ให้บริการรับชำระเงินทุกสัญชาติ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในไทย ภายในระยะเวลา 2 – 3 ปีที่กำลังจะมาถึง รวมไปถึงการตอกย้ำความเป็นธนาคารที่น่าชื่นชมที่สุด (The Most Admired Bank) ตามยุทธศาสตร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้ คุณอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการ ผู้บริหารสูงสุด Retail Products และ Retail Payments ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การจับมือกันระหว่าง SCB และ AliPay เป็นการเชื่อมระบบการให้บริการ “SCB EASY PAY – แม่มณี Money Solution” ให้รองรับการชำระด้วย AliPay ซึ่งถือเป็นระบบที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวจีนนิยมใช้แอปพลิเคชันนี้เพื่อซื้อสินค้าในประเทศไทย ขณะที่ร้านค้าในประเทศไทยเองก็เริ่มปรับตัวและคุ้นเคยกับระบบ e-Payment มากขึ้น “SCB ต้องการส่งเสริมให้ร้านค้ารับชำระเงินด้วย QR Code เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้าขาย โดยจะเริ่มนำร่องให้บริการชำระเงินผ่านระบบ AliPay ที่เยาวราช และแพลตตินั่ม ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ก่อนจะขยายไปทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้” ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากการพิชิตเป้าหมายให้มีจำนวนร้านค้ารายย่อยใช้ SCB Easy Pay เพื่อเป็นจุดรับชำระผ่าน QR Code ให้ได้ 7 แสนบัญชี ภายในปี 2561 แล้ว ธนาคารจะชูโมเดลธุรกิจยุคใหม่ให้แก่ร้านค้าเพิ่มเติม ด้วยการช่วยสร้างตัวตนในโลกดิจิทัล (Digital presence) เชื่อมโลกออฟไลน์กับออนไลน์ไว้ด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อพาคนซื้อมาหาถึงหน้าร้าน ช่วยให้ร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถทำการค้าได้ตลอดเวลา ซึ่งได้เริ่มทดลองใช้แล้วที่ตลาดนัดจตุจักรเป็นที่แรก และได้รับการตอบรับจากร้านค้า และนักช้อปในจตุจักรเป็นอย่างดี ด้าน คุณพิภาวิน สดประเสริฐ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย Ant Financial Services Group ผู้ให้บริการชำระเงินผ่านระบบ AliPay กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศสำคัญในการขยายช่องทางชำระเงินของ AliPay เนื่องจากมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในไทยแต่ละปีมากกว่า 10 ล้านคน การมีร้านค้าที่รับชำระสินค้าผ่าน AliPay จึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับคนจีนที่ไม่ต้องการพกเงินสดจำนวนมาก โดยปัจจุบันประเทศไทยมีจุดรับชำระของ AliPay มากกว่า 20,000 จุด ซึ่งการจะขยายจำนวนร้านค้าที่รับชำระเงินผ่าน AliPay ให้ได้อย่างรวดเร็วนั้น จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบการชำระด้วยคิวอาร์โค้ดให้แก่ผู้ค้ารายย่อย ทำให้เชื่อมั่นในธนาคารไทยพาณิชย์ และเชื่อว่าทำให้จำนวนธุรกรรมผ่านร้านคาของ AliPay ในประเทศไทยเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
SCB ปูพรมด้วยการลงพื้นที่จริง เพื่อสร้างความรู้ให้ประชาชน ผ่านการสาธิตให้เห็นการใช้งานระบบ QR payment จริงมาอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุม 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. แหล่งช้อปปิ้ง (ตลาดนัดจตุจักร, สยามสแควร์, แพลตตินั่ม, MBK) 2. มหาวิทยาลัย (เกษตรศาสตร์, ธรรมศาสตร์) 3. คมนาคมขนส่ง (วินมอเตอร์ไซค์, วินรถตู้, แท็กซี่) 4. ตลาดสด (ตลาดสามย่าน, ตลาดมีนบุรี) 5. วัด (วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) เพื่อสร้างความสมบูรณ์และหลากหลายของ Ecosystem โดยพยายามเลือกการเข้าสู่กลุ่ม Mass เพื่อเน้นรูปแบบการใช้งานที่อยู่ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52898
Retail
ช่วยสรุปบทความ‘เสี่ยตัน’ ดัน “ลูกสาว” คุมอสังหาฯ เปลี่ยนที่ดินแปลงสุดท้ายบนทองหล่อเป็น ออฟฟิศหรู T-ONE
คุณตัน ภาสกรนที กล่าวว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา คุณกิฟท์ช่วยดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวที่มีอยู่เป็นอย่างดี เช่น โรงแรมที่ปราณบุรี หรือในเชียงใหม่ ประกอบกับเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบในระดับที่สูงขึ้นได้ พร้อมสำหรับการดูแลโครงการใหม่ๆ อย่างเต็มตัว ขณะที่โครงการ ที-วัน มีขนาดกำลังพอดีไม่ใหญ่มากเกินไป พื้นที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าตารางเมตร เหมาะสำหรับลูกสาวที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาบริหารอย่างจริงจัง จึงไม่ถือว่าเป็นภาระที่หนักมากเกินไป “โครงการนี้ลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาท เป็นการซื้อที่ดิน (ต้นทุนเดิมตั้งแต่ตอนซื้อครั้งแรก) 1 พันล้านบาท และอีก 2 พันล้านบาท สำหรับการก่อสร้างและ Facility ต่างๆ ส่วนการตัดสินใจทำอาคารสำนักงานนั้น เนื่องจาก ที่ดินผืนนี้เป็นทำเลที่ดีติดสถานีรถไฟฟ้า ประกอบกับพื้นที่ทองหล่อยังขาดอาคารสำนักงานเกรดA ส่วนการตัดสินใจให้ลูกสาวเข้ามาดูแล เนื่องจากเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีมุมมองและเข้าใจคนรุ่นใหม่ด้วยกันได้ดีกว่า หากบริหารเองวิธีคิดและมุมมองต่างๆ อาจจะไม่สอดคล้องหรือตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย จึงเลือกที่จะให้ลูกสาวเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง โดยที่ผมจะคอยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะนำในบางเรื่อง” คุณตัน เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดเปลี่ยนต่างๆ ในชีวิตตัวเอง ที่ส่วนใหญ่มักจะมีจุดเริ่มต้นที่ทองหล่อ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจครั้งแรก รวมทั้งการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่ตามมาก็มักจะเริ่มตั้งต้นจากทองหล่อ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ ร้านอาหาร โครงการอารีน่าเท็น ร้านอาหารของลูกสาว หรือธุรกิจของคุณอิงภรรยา ทำให้คุณตันจะรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ทองหล่ออย่างมาก ก่อนจะตัดสินใจนำพื้นที่สุดท้ายที่เคยเป็นร้านทำกรอบรูปให้กับสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน มาพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานที่ชื่อที-วัน โครงการอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองแห่งแรกของตระกูลภาสกรนที “ผมเริ่มต้นทำธุรกิจ และค่อยๆ ซื้อที่ดินบริเวณทองหล่อเก็บไว้หลายแปลง เห็นพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงตลอด 10-20 ปี ของย่านนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะการเป็นย่านที่ไม่หยุดนิ่ง มีความสนุกสนาน เป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ๆ มีร้านอาหาร สถานที่แฮงก์เอ้าท์ แหล่งรวมแฟชั่น รวมทั้งมีโรงแรมต่างๆ สนใจขยายเข้ามาในพื้นที่ แต่สิ่งที่ยังขาดในทำเลนี้ คือ สถานที่ทำงานโดยเฉพาะที่เป็นระดับพรีเมียม เพื่อรองรับคนทำงานรุ่นใหม่ ที่ต้องการทำเลที่ดีเดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน” เหตุผลที่คุณตัน ตัดสินใจพัฒนาที่ดินผืนสุดท้ายในซอยทองหล่อที่มีอยู่ในมือ เพื่อทำ Co-Working Space และ Office Building โดยเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอของผู้พัฒนาโครงการอสังหารายใหญ่ๆ หลายรายที่ติดต่อมา นอกจากมองเรื่องของ Supply ที่ขาดแคลนแล้ว ยังมีเหตุผลที่ต้องการเก็บที่ดินผืนนี้ไว้เป็นของครอบครัว เพราะหากขายให้คนอื่น หรือเลือกที่จะพัฒนาเป็นโครงการ Residential อื่นๆ เช่น คอนโดฯ ที่ดินก็จะกลายเป็นของคนอื่นไปในที่สุด ประกอบกับความลงตัวของพื้นที่ซึ่งอยู่ติดกับรถไฟฟ้า ทำให้เหมาะกับการทำอาคารสำนักงานมากที่สุด แต่หากต้องการขยายพอร์ตธุรกิจไปสู่การพัฒนาคอนโดฯ ในอนาคตก็สามารถซื้อที่ดินผืนใหม่เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในภายหลังได้ แม้จะไม่เหลือแปลงที่ดินในกรุงเทพฯ แล้ว แต่คุณตันยังมีที่ดินในต่างจังหวัด ที่พร้อมสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพได้ในอนาคต โดยเฉพาะแปลงที่มีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาโปรเจ็กต์ต่อไปจะอยู่ที่ศรีราชา พื้นที่ประมาณ 30-40ไร่ ส่วนจะพัฒนาเป็นโครงการประเภทใด หรือเมื่อไหร่นั้นต้องอยู่ที่ความเหมาะสม ขณะเดียวกันยังมีแผนพัฒนาพื้นที่พลาซ่าเล็กๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ จากปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ทั้งในเชียงใหม่ และวิลล่า มาร็อกที่ปราณบุรี รวมทั้งยังเปิดพื้นที่บางแปลงเป็นตลาดนัด เพื่อทำให้ที่ดินบริเวณนั้นมีความคึกคักยิ่งขึ้น
คุณตันกล่าวว่าในระยะ 8 ปีที่ผ่านมา, คุณกิฟท์ช่วยดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวได้ดี รวมถึงโครงการที-วัน ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาท โดยมีความรับผิดชอบในการดูแลโครงการใหม่ๆ และเหมาะสำหรับลูกสาวที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาบริหาร คุณตันเล่าถึงจุดเริ่มต้นหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของตนเกิดจากทองหล่อ, เช่น เริ่มธุรกิจ การขยายธุรกิจใหม่ และโครงการที่เริ่มต้นจากทองหล่อ ผ่านการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในย่านทองหล่อ เขาตัดสินใจพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานที-วัน โครงการอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองแห่งแรกของตระกูลภาสกรนที คุณตันเห็นโอกาสในการขยายพื้นที่นี้ เน้นที่ความสนุกสนานและเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ๆ คุณตันพัฒนาที่ดินที่ดีสุดในซอยทองหล่อเป็น Co-Working Space และ Office Building เพื่อปฏิเสธข้อเสนอจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ ๆ เนอกจากเรื่องรขาดแคลน Supply และความต้องการเก็บที่ดินเพื่อให้เป็นของครอบครัว หากขายหรือพัฒนาเป็นคอนโด ที่ดินอาจกลายเป็นของคนอื่น ทำให้คุณตันเลือกที่จะทำอาคารสำนักงานเนื่องจากพื้นที่ติดกับรถไฟฟ้าเหมาะกับการพัฒนาอาคารสำนักงานมากที่สุด ถ้าต้องการพัฒนาคอนโดในอนาค สามารถซื้อที่ดินใหม่ได้ คุณตันยังมีที่ดินในต่างจังหวัดพร้อมสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, โดยเฉพาะที่ศรีราชาประมาณ 30-40 ไร่ แผนพัฒนาโปรเจ็กต์นั้นยังไม่ชัดเจนและต้องคำนึงถึงความเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาพื้นที่พลาซ่าเล็กๆ ในจังหวัดเชียงใหม่รวมถึงการเปิดพื้นที่บางแปลงเป็นตลาดนัด เพื่อเพิ่มความคึกคักในพื้นที่นั้น
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52902
Retail
จากบทความ กลยุทธ์ “The Mall 2018” มุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า อะไรคือกลยุทธ์เพิ่มเติมที่ The Mall สามารถนำมาใช้เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์อย่าง Shopee และ Lazada
null
กลยุทธ์เพิ่มเติมที่ The Mall สามารถนำมาใช้เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ 1. พัฒนา Omnichannel Experience ที่ราบรื่น ผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าออนไลน์และมารับสินค้าที่หน้าร้านได้ ลูกค้าสามารถลองสินค้าที่หน้าร้านและสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่สะดวกและปลอดภัย 2. นำเสนอสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร: มุ่งเน้นไปที่สินค้าเฉพาะกลุ่ม (niche) ที่ไม่สามารถหาซื้อได้จากร้านค้าออนไลน์ นำเสนอบริการพิเศษ เช่น บริการส่วนตัว บริการหลังการขาย บริการซ่อมแซม จัดกิจกรรมพิเศษ เช่น เวิร์คช็อป การสาธิต การทดลองสินค้า สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและน่าจดจำ 3. เน้นจุดแข็งของศูนย์การค้า: ศูนย์การค้าเป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถมาพบปะสังสรรค์ พักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมต่างๆ ศูนย์การค้ามีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการช้อปปิ้งและการใช้ชีวิต ศูนย์การค้ามีร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย ศูนย์การค้ามีกิจกรรมส่งเสริมการขายและอีเวนต์ต่างๆ ตลอดทั้งปี 4. ร่วมมือกับพันธมิตร: ร่วมมือกับแบรนด์สินค้าชั้นนำเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการพิเศษ ร่วมมือกับบริษัทขนส่งเพื่อจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ร่วมมือกับ influencer เพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ ตัวอย่างการนำกลยุทธ์ไปใช้: The Mall พัฒนาระบบ M Card Mobile Application เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ The Mall นำเสนอสินค้าเฉพาะกลุ่ม (niche) เช่น สินค้าแบรนด์หรู สินค้าแฮนด์เมด สินค้าวินเทจ The Mall จัดกิจกรรมพิเศษ เช่น งานเทศกาลอาหาร งานแฟชั่นโชว์ งานคอนเสิร์ต The Mall ร่วมมือกับแบรนด์สินค้าชั้นนำ เช่น Apple, Samsung, Nike, Adidas The Mall ร่วมมือกับบริษัทขนส่ง เช่น Kerry Express, DHL, Flash Express ผลลัพธ์: จากการนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ The Mall จะสามารถดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างความแตกต่างจากธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ บทสรุป: ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และการแข่งขันจากธุรกิจค้าปลีกแบบออนไลน์ การนำกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้นไปใช้ จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ เพิ่มเติม: กรณีศึกษาของ The Mall The Mall Group เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของประเทศไทย The Mall Group ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52903
Retail
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่อง "บทเริ่มต้นของ 'กสิกร': สู่การเป็น 'Lifestyle Platform' ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต"
null
ชื่อ: กสิกร: จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคนมีอิทธิพลอย่างมาก การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะรองรับความต้องการของผู้คนในยุคปัจจุบัน และธุรกิจด้านการเงินไม่ได้หลงทางจากแนวโน้มนี้ เช่นเดียวกับกสิกร ธนาคารที่เคยมีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้กำลังก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจใหม่อันทันสมัยมากยิ่งขึ้น - โลกของ "Lifestyle Platform" ซึ่งมุ่งเน้นการบริการและความสะดวกสบายในทุกๆ ด้านของชีวิตประจำวันของผู้คน ในเรื่องราวนี้ มาดูกันว่าเริ่มต้นที่ไหนและมีอะไรที่เกิดขึ้นต่อมากันบ้าง เมื่อวันหนึ่งที่สำนักงานใหญ่ของกสิกรธนาคาร กลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่บนตึกสูงๆ ประกอบไปด้วยอาคารสีและแสงสว่างจ้า ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นที่ที่ผู้คนรักในการตัดสินใจทางธุรกิจสำคัญต่างๆ ในวันนั้น คุณภาพ ผู้นำสูงอายุของกสิกร กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมกับทีมของเขา ว่ายังมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้กสิกรธนาคารเข้ากับอนาคตที่รวดเร็วเปลี่ยนแปลงไปมาแบบนี้ได้ "เราต้องขยับตัวออกไปจากบทบาทของเราในการเป็นแค่ธนาคาร," ผู้นำสูงอายุเสียงดังกล่าวอย่างมั่นใจ. "เราต้องก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คน - ตระหนักถึงความต้องการและความพึงพอใจของพวกเขาในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย การออมเงิน หรือแม้แต่ในการพัฒนาสมรรถนะส่วนตัว" ทีมของเขาเริ่มต้นทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะทำให้กสิกรเป็นอย่างไรต่อไป นั่นไม่ใช่เพียงเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าที่สำคัญ สูงอายุจนแสดงความพอใจเมื่อทีมของเขาเริ่มแสดงผลงานของพวกเขา. "เราต้องการที่จะกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน," เขากล่าวอย่างเป็นเจ้าของ. "ไม่ใช่แค่ในการจัดการเงินและการเงินเท่านั้น แต่เราต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ มิติของชีวิตของพวกเขา" กสิกรเริ่มต้นสร้างพื้นฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลง โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่น่าทึ่งที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรมการเงินและใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขาได้อย่างสะดวกสบาย และด้วยความพยายามที่ไม่หยุดยั้งและความมุ่งมั่นที่มากขึ้น มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้กสิกรเป็นที่รู้จักในฐานะของ "Lifestyle Platform" ที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่การเงินเท่านั้น แต่เป็นส่วนสำคัญของการดำรงชีวิตของผู้คนทั่วไปในยุคปัจจุบัน. การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในกสิกรธนาคารเติบโตขึ้นเป็นพื้นฐานของวิสัยทัศน์ที่ใหญ่ของธุรกิจ ที่จะไม่เพียงแค่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเงินของลูกค้า แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการชีวิตประจำวันของพวกเขา ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ทั้งสำหรับลูกค้าและกสิกรเองในอนาคตที่ยั่งยืน.
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52908
Retail
จงเขียนเรื่องสั้นในหัวข้อเรื่อง "เรื่องราวของแมงป่อง: การคืนชีพของ DVD-CD ในโลกที่ศิลปะเป็นกำลังใจ"
null
ในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีสิ่งหนึ่งที่ถูกลืมไปตามกลุ่มอื่น ๆ คือ DVD-CD ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้เห็นการลดลงในการใช้งานอย่างมาก เนื่องจากการสตรีมมิ่งและดาวน์โหลดข้อมูลออนไลน์ที่สะดวกสบายมากขึ้น แต่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า "แมงป่อง" มีเหล่าคนที่ยังคงให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและศิลปะของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบน DVD-CD อยู่อย่างเต็มที่ เมื่อเย็นวันหนึ่งในเมืองแมงป่อง มีงานนิทรรศการศิลปะที่มีชื่อเสียงจัดขึ้น โดยมีศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมแสดงงานของตน เป็นงานที่สร้างความสนุกสนานและความคิดสร้างสรรค์สูงสุดให้กับประชาชนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ในงานนี้ มีนักศึกษาจากโรงเรียนศิลปะท้องถิ่นชื่อ "คืนชีพ" ที่นำเสนอผลงาน DVD-CD ที่ทำจากมืออย่างปั้นประทับใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยใช้เทคนิคและวัสดุที่ไม่เหมือนใคร พวกเขาจะรีไซเคิลดีวีดีและซีดีที่ไม่ได้ใช้แล้ว มาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นผลงานศิลปะที่สวยงามและน่าสะสม โดยมีนักเรียนชื่อ "กิ๊ก" คนหนึ่ง ที่มีความสามารถในการปั้นอย่างยอดเยี่ยม กิ๊กมีแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและวัฒนธรรมของเมืองแมงป่อง เขาใช้เทคนิคการปั้นในลักษณะของศิลปะแบบพื้นเมืองผสมผสานกับเทคโนโลยีที่สมัย ผลงานของเขาได้รับการยอมรับอย่างสูงจากชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานนิทรรศการ ผลงานของ "กิ๊ก" ไม่เพียงแค่สวยงามและน่าสะสม แต่ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ข้างใน ทุกชิ้นงานเล่าเรื่องราวของชุมชนและวัฒนธรรมของพวกเขา จึงทำให้ผลงานของเขามีค่าที่สูงขึ้นไปอีก ตลอดการแสดงงานนิทรรศการ น้ำหนักของ DVD-CD ที่สร้างจากมือนักเรียน "คืนชีพ" เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความสนใจและความคาดหวังที่สูงของประชาชน การนำเสนองานศิลปะที่สร้างจากวัสดุรีไซเคิลยิ่งเป็นที่น่าสนใจในยุคที่ความยั่งยืนและความสร้างสรรค์ถูกนำเสนอออกมาอย่างก้าวหน้า ด้วยนวัตกรรมและความก้าวหน้าในการใช้งานวัสดุรีไซเคิล เมืองแมงป่องได้เปลี่ยน DVD-CD ซึ่งเคยถูกละเลยไปในอดีต กลับมามีชีวิตชีวาใหม่อีกครั้ง ในฐานะที่เสริมทัพธุรกิจท้องถิ่นและสร้างความรู้สึกถึงความภูมิใจในวัฒนธรรมและศิลปะของพวกเขาอีกครั้ง
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52910
Retail
จงเสนอไอเดีย ทำไม “Modern Trade” ถึงได้หันมาให้ความสำคัญกับสินค้าจากผู้ประกอบการ SME มากขึ้น
null
1. ทุกวันนี้ ผู้บริโภคเปิดรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อออนไลน์ได้ทั่วโลก ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคยุคนี้ มีความซับซ้อน อัพเดทตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงเร็ว และมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น ส่งผลให้การแบ่งเซ็กเมนต์ผู้บริโภค มีความละเอียดยิบย่อยมากขึ้น “Modern Trade” จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสินค้าแบรนด์ใหญ่ แต่เมื่อผู้บริโภคมีหลายเซ็กเมนต์ ในขณะที่ Supplier รายใหญ่เน้นผลิตสินค้าแมส ทำให้ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทำให้ “Modern Trade” ต้องเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละเซ็กเมนต์ ด้วยการหาพันธมิตรธุรกิจเป็น “ผู้ประกอบการธุรกิจ SME” สินค้าแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม, สินค้า Grocery, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน 2. ถึงแม้สินค้าแบรนด์ใหญ่ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้าง Volume การขายได้มาก และเป็นแม่เหล็กดึงคน แต่ในเวลาเดียวกันกลับพบว่าไม่ว่าจะเดินไปศูนย์การค้าไหน ซูเปอร์มาร์เก็ต – ไฮเปอร์มาร์เก็ตใด ก็จะเจอแต่แบรนด์ใหญ่ที่คุ้นเคย จนแทบไม่มีความแตกต่างในแต่ละเชนสโตร์ !! ในขณะที่ช่องทางการซื้อขายทุกวันนี้ ไม่ได้มีแค่ Physical Store เท่านั้น หากแต่มี “E-Commerce” เข้ามาเป็นทางเลือกด้านสินค้าและบริการที่หลากหลาย มีความแปลกใหม่ อีกทั้งผู้บริโภคยังสามารถเปรียบเทียบราคา เมื่อแต่ละเชนสโตร์ไม่มีความแตกต่าง และมี E-Commerce เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค นี่จึงทำให้ “ยักษ์ค้าปลีก” ต้องหันมาสร้าง “Store Loyalty” เพื่อดึงลูกค้าประจำให้ใช้บริการต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างฐานลูกค้าใหม่ และหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะสร้าง Store Loyalty ได้นั้น คือ Sourcing สินค้าที่มีความแตกต่าง โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแบรนด์จากซัพพลายเออร์ หรือผู้ผลิตรายใหญ่ ยิ่งทุกวันนี้การขยายสาขาของเชนค้าปลีกยักษ์ใหญ่ มุ่งออกต่างจังหวัด ทั้งหัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง จึงทำให้ Local Sourcing หรือการเฟ้นหาสินค้าเฉพาะท้องถิ่นมีความสำคัญมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในจังหวัดนั้นๆ หรือจังหวัดใกล้เคียง 3. การดึง “ผู้ประกอบการ SME” มาเป็นคู่ค้าธุรกิจ มีทั้ง SME ที่พัฒนาแบรนด์ของตนเอง และนำสินค้ามาวางขายใน Modern Trade ขณะเดียวกัน “ยักษ์ค้าปลีก” มองหาผู้ประกอบการ SME มาเป็นผู้ผลิตสินค้า House Brand ป้อนให้กับเชนสโตร์ของตนเอง เพราะนอกจากสินค้าแบรนด์ของผู้ประกอบการ SME ที่จะสร้างความแตกต่างให้กับเชนสโตร์แล้ว “สินค้า House Brand” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง และสร้าง Store Loyalty ซึ่งผู้ประกอบการ SME ที่มองว่าจะได้ Volume การผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี ก็ยินดีเข้ามารับจ้างยักษ์ค้าปลีกผลิตสินค้า House Brand 4. ภาครัฐให้ความสำคัญกับการส่งเสริมธุรกิจ SME และกระตุ้นให้ภาคเอกชนรายใหญ่ ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME เพราะถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจประเทศไทย ไม่น้อยไปกว่าบริษัทขนาดใหญ่ 5. แนวโน้มการพัฒนาสินค้าและบริการทั่วโลก จะไม่ใช่มาจากผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว หากแต่มาจากผู้ประกอบการ SME หรือ Startup มากขึ้นเรื่อยๆ จะสังเกตได้ว่าทุกวันนี้สินค้าและบริการที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ในช่วงไม่ถึง 10 ปีมานี้ มาจากผู้ประกอบการ SME หรือ Startup ที่มีไอเดียใหม่ กล้าคิด กล้าลงมือทำ และมีโมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่น จึงสามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ทางการตลาด การแข่งขัน และพฤติกรรมผู้บริโภคได้เร็ว
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_52914
Retail
ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซควรให้ความสำคัญกับบริการโลจิสติกส์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: -บริการโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญต่อประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้า -บริการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า -บริการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตัวอย่าง: -ลูกค้ามักคาดหวังการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและสะดวก -ลูกค้าอาจยกเลิกการสั่งซื้อหากค่าจัดส่งสินค้าสูงเกินไป -ลูกค้าอาจไม่กลับมาซื้อสินค้าอีกหากได้รับสินค้าที่เสียหายหรือล่าช้า ข้อสรุป: บริการโลจิสติกส์เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซควรมองข้ามไม่ได้ การลงทุนในบริการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มยอดขาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และลดต้นทุนการดำเนินงาน รายละเอียดเพิ่มเติม: -บริการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประการ เช่น: -การจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว -ตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย -การติดตามสถานะสินค้าได้ -บริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ -ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซสามารถเลือกใช้บริการโลจิสติกส์จากบริษัทต่างๆ หรือพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของตัวเอง -การเลือกใช้บริการโลจิสติกส์ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทสินค้า ตลาดเป้าหมาย และงบประมาณ
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52915
Retail
ผู้ก่อตั้ง Amazon.com คือใคร
a. Jeff Bezos b. Harland David Sanders c. Sergey Brin d. Larry Page
คำตอบคือ a. Jeff Bezos เนื่องจาก รายงานของ Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า Jeff Bezos วัย 53 ปี ผู้ก่อตั้ง Amazon.com ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 3 ด้วยมูลค่า 8.2 หมื่นล้านเหรียญ
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52933
Retail
อะไรคือกลยุทธ์หลักของ Amazon ในการเข้าซื้อกิจการ Whole Foods Market และผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะเป็นอย่างไร?
null
กลยุทธ์หลักของ Amazon ในการเข้าซื้อกิจการ Whole Foods Market Amazon เข้าซื้อกิจการ Whole Foods Market ด้วยกลยุทธ์หลัก ดังนี้ 1. ขยายฐานลูกค้า -Whole Foods มีฐานลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้สูง และให้ความสำคัญกับสินค้าออแกนิค การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ ช่วยให้ Amazon เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่นี้ -Amazon สามารถนำเสนอสินค้าออแกนิค และสินค้าอื่นๆ ของ Amazon ให้กับลูกค้า Whole Foods -Amazon สามารถขยายฐานลูกค้า Prime ไปยังกลุ่มลูกค้า Whole Foods 2. เสริมสร้างธุรกิจ Amazon Fresh -Amazon Fresh เป็นบริการสั่งซื้อ-จัดส่งสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสดทางออนไลน์ -Whole Foods มีสาขามากกว่า 466 แห่ง -Amazon สามารถใช้สาขา Whole Foods เป็นจุดรับสินค้าสำหรับ Amazon Fresh -Amazon สามารถขยายบริการ Amazon Fresh ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ 3. นำเทคโนโลยีมาใช้ -Amazon มีเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบจดจำใบหน้า -Amazon สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ใน Whole Foods -Amazon สามารถพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ (Seamless Customer Experience) -Amazon สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ Whole Foods 4. แข่งขันกับ Walmart -Walmart เป็นค้าปลีกแบบดั้งเดิมรายใหญ่ -Amazon ต้องการขยายธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์ -การเข้าซื้อกิจการ Whole Foods ช่วยให้ Amazon แข่งขันกับ Walmart ได้ดีขึ้น -Amazon สามารถนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม 1. การแข่งขันที่รุนแรง -Amazon เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวและพัฒนาธุรกิจ -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ 2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค -ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องปรับกลยุทธ์ -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องนำเสนอบริการที่แตกต่าง 3. โอกาสในการร่วมมือ -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถร่วมมือกับ Amazon -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของ Amazon -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าของ Amazon -ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมสามารถพัฒนาธุรกิจร่วมกัน บทสรุป การเข้าซื้อกิจการ Whole Foods Market ของ Amazon เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง และต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีโอกาสในการร่วมมือกับ Amazon เพื่อพัฒนาธุรกิจร่วมกัน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52934
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "ปัจจัยที่ช่องทีวีหันมาทำโปรโมชั่นลด-แลก-แจก-แถมโฆษณามากขึ้น" ให้หน่อยค่ะ
เหตุที่ทำให้เกิดการสลับขั้วอำนาจ และช่องทีวีหันมาทำโปรโมชั่นลด-แลก-แจก-แถมโฆษณามากขึ้น มาจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ 1. การเกิดขึ้นของ “ดิจิทัลทีวี” จากเดิมทีวีไทยมีเพียง 6 ช่อง กลายเป็นปัจจุบันมี 22 ช่อง ทำให้ Eyeball หรือคนดูกระจายไปยังช่องต่างๆ ไม่กระจุกเฉพาะช่องหลักแบบในอดีต และเมื่อ Eyeball กระจาย ทำให้มีเดียเอเยนซี และแบรนด์สินค้ามี “ทางเลือก” ในการซื้อสื่อโฆษณาทีวีมากขึ้น สามารถเลือกช่องและรายการที่จะลงโฆษณาได้จากเรตติ้ง และตรงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์สินค้า นั่นเท่ากับว่า แบรนด์มีงบโฆษณาเท่าเดิม หรือบางแบรนด์อาจจะลดงบลงด้วยซ้ำ เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อมี “ตัวเลือก” มากขึ้น ย่อมเกิดสถานการณ์สื่อทีวีแย่งชิงงบโฆษณาจากแบรนด์สินค้าดุเดือดแน่นอน 2. สถานการณ์เศรษฐกิจ แม้จะเป็นปัจจัยภายนอก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อโดยตรง เพราะเวลาเศรษฐกิจชะลอตัวลง สิ่งที่แบรนด์สินค้าทำอย่างแรกคือ ตัดงบโฆษณาก่อน แล้วเอาเงินนั้นไปทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ยิ่งในช่วงปีที่แล้ว ถึงปีนี้ สถานการณ์การใช้เงินโฆษณาของทั้งอุตสาหกรรมสื่ออยู่ในภาวะติดลบ โดย “Media Intelligence” (MI) ฉายภาพธุรกิจสื่อในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ติดลบ 9.2% และคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2560 จะติดลบ 10 – 15% ถือว่าหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2553 เมื่อเจาะลึกเฉพาะ “สื่อทีวี” ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ติดลบ 18.5% หรือลดลงจากกว่า 27,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว ไปอยู่ที่กว่า 22,000 ล้านบาท และถ้าลงลึกเซ็กเมนต์ พบว่างบโฆษณาในฟรีทีวีเดิมคือ ช่อง 3, 5, 7, 9 ติดลบ 22% ขณะที่เคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม ติดลบ 19% ส่วนงบโฆษณาในดิจิทัลทีวีใหม่ เติบโต 1% 3. การบูมของสื่อออนไลน์ คาดการณ์ว่าปีนี้สื่อออนไลน์ จะโตถึง 30% มูลค่าอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วกว่า 9,000 ล้านบาท ถือว่าสวนทางกับสื่อประเภทอื่นอย่างชัดเจน และ MI คาดการณ์ว่าใน 1 – 2 ปี สื่อออนไลน์จะโตถึง 50% เพราะฉะนั้นงบโฆษณาสื่อทีวีที่หายไป ส่วนหนึ่งได้ถูกแบ่งไปให้กับ “สื่อออนไลน์” โดยปัจจุบันแบรนด์และเอเยนซีนิยมซื้อสื่อออนไลน์ 5 ช่องทางหลัก อันดับแรก Facebook ตามมาด้วย YouTube, LINE, Banner ของเว็บไซต์ต่างๆ และ Search Engine เช่น Google กลุ่มสินค้าที่หันมาซื้อสื่อออนไลน์มากขึ้นในปี 2560 อันดับหนึ่ง กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว, สอง โอเปอเรเตอร์ในธุรกิจโทรคมนาคม, สาม เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และ สี่ รถยนต์ นอกจากแบ่งงบไปใช้กับสื่อออนไลน์มากขึ้นแล้ว ขณะเดียวกันก็ใช้กับสื่อนอกบ้าน (Out of Home Media) มากขึ้นเช่นกัน ทำให้เติบโตถึง 30% เนื่องจากแบรนด์ และเอเยนซีมองว่าสื่อประเภทนี้มีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละประเภทมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง โดยในความหลากหลายของสื่อนอกบ้าน พบว่าขณะนี้ In-store Media และ Transit Media โตมากที่สุด ซึ่ง In-store Media โตตามการขยายตัวของ Retailer ที่เปิดสาขาต่อเนื่อง ส่วน Transit Media โตตามการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ 4. พฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไป ผลจากการเกิดขึ้นของ “ดิจิทัลทีวี” และการบูมของ “สื่อออนไลน์” ทำให้พฤติกรรมการเสพสื่อของคนไทยเปลี่ยนไป จากเดิมคนไทยดูทีวีเป็นสื่อหลัก และดูช่องใดช่องหนึ่ง แต่ทุกวันนี้การดูทีวีของคนไทย เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ตามคอนเทนต์ที่ตนเองสนใจ อีกทั้งหลายคนเปลี่ยนแพลตฟอร์มจากดูคอนเทนต์บนหน้าจอทีวี ไปดูบนออนไลน์
ปัจจัยที่ช่องทีวีหันมาทำโปรโมชั่นลด-แลก-แจก-แถมโฆษณามากขึ้น 1. การเกิดขึ้นของดิจิทัลทีวี 22 ช่องจากเดิมที่มีเพียง 6 ช่อง ทำให้คนดูกระจายไปช่องต่างๆ มีเดียเอเยนซีและแบรนด์มีทางเลือกในการซื้อสื่อโฆษณามากขึ้นและเลือกช่องที่จะลงโฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมาย 2. สถานการณ์เศรษฐกิจ เมื่อ เศรษฐกิจชะลอตัวลง แบรนด์สินค้าต้องตัดงบโฆษณาแล้วเอาเงินไปทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย 3. การบูมของสื่อออนไลน์ เพราเมื่องบโฆษณาทีวีหายไป ส่วนหนึ่งถูกแบ่งให้กับสื่อออนไลน์ 5 ช่องทางหลักคือ Facebook, YouTube, LINE, Banner ของเว็บไซต์และ Google นอกจากนี้ยังแบ่งงบให้สื่อนอกบ้าน 4. พฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไป จากเดิมที่ดูทีวีเป็นหลัก เปลี่ยนไปดูแพลตฟอร์มออนไลน์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52936
Retail
ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ "ราคา" มากกว่า "ความสะดวกสบาย" ในการตัดสินใจซื้อสินค้า
null
ไม่ โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้: 1. พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่: - ผู้บริโภคยุคใหม่มี "เวลา" น้อยลง ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็ว และความง่ายในการซื้อสินค้า - ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย เช่น บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน บริการช้อปปิ้งออนไลน์ ตัวอย่าง: - การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ - บริการ GrabMart, Foodpanda ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสั่งอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน 2. สถิติ: - 41% ของผู้บริโภคไทยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ [อ้างอิง: สแกนใจ เจาะพฤติกรรมนักช๊อป 2017] - ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่า 3.2 แสนล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตถึง 5.3 แสนล้านบาทในปี 2568 [อ้างอิง: ETDA] 3. ความสำคัญของ "ราคา": - ผู้บริโภคยุคใหม่ยังคงให้ความสำคัญกับ "ราคา" อยู่ แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ตัดสินใจซื้อ - ผู้บริโภคจะเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลายแหล่ง เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม - ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มสำหรับสินค้าที่มีคุณภาพดี ประสบการณ์ที่ดี บริการที่ดี และความสะดวกสบาย ตัวอย่าง: - ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มสำหรับสินค้าออร์แกนิค สินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าที่มีแบรนด์ - ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มสำหรับบริการที่สะดวก รวดเร็ว เช่น บริการจัดส่งสินค้าภายใน 2 ชั่วโมง 4. ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ: - คุณภาพสินค้า - ประสบการณ์การช้อปปิ้ง - บริการหลังการขาย - ค่านิยม แบรนด์ - ความสะดวกในการเข้าถึงสินค้า - รีวิวจากผู้ใช้จริง สรุป: ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ "ความสะดวกสบาย" มากกว่า "ราคา" เพียงอย่างเดียว สะดวกสบาย รวดเร็ว ง่าย ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52937
Retail
ปัจจัยบวก และ ลบ ทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เป็นอย่างไรบ้าง ?
“สมาคมผู้ค้าปลีกไทย” เผยดัชนีอุตสาหกรรมค้าปลีกโดยรวมของไตรมาสแรกปี 2560 เติบโตขึ้นถึง 3.02% ซึ่งเป็นผลจากภาพรวมของเศรษฐกิจและธุรกิจไทยในครึ่งปีแรก มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังต่อไป เนื่องจากบรรยากาศการจับจ่ายยังไม่แจ่มใสเท่าที่ควร คาดการณ์ว่าหากเครื่องยนต์การใช้จ่ายภาครัฐแผ่วลง ดัชนีค้าปลีกครึ่งปีแรก อาจต่ำกว่า 3% หรือในทางกลับกัน หากการใช้จ่ายภาครัฐมีประสิทธิภาพ ดัชนีค้าปลีกครึ่งปีแรกน่ามีโอกาสจะเติบโตถึง 3.2% คุณจริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ที่ทางสมาคมได้คาดการณ์สถานการณ์ค้าปลีกครึ่งปีแรกน่าจะเติบโตระหว่าง 3.0-3.2% นั้น โดยวิเคราะห์จากการเติบโตของภาคบริการ 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง, ภาคการเงินการธนาคาร และภาคค้าปลีก โดยในไตรมาสแรกพบว่ากำไรของสถาบันการเงินการธนาคารยังดีอยู่ แม้หนี้เสียจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้และกำไรยังคงที่ ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างยังเติบโตต่ำ เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 4-5 บริษัทที่ทั้งยอดขายและกำไรต่างก็ลดลง ขณะที่ภาคค้าปลีก มีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 4-5 บริษัท พบว่าการเติบโตส่วนใหญ่มาจากการขยายสาขา ในขณะที่การเติบโตจากสาขาเดิมมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้หมวดสินค้าต่างๆเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้ “หมวดสินค้าไม่คงทน” ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูล Retail Landscape by The Nielson ที่แสดงให้เห็นว่าการเติบโตในหมวด “FMCG” ยังคงติดลบเล็กน้อยในไตรมาส 1/2560 ส่วนหมวดสินค้าคงทน และสินค้ากึ่งคงทน ยังคงทรงตัว และยังไม่เห็นสัญญาณที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้วิเคราะห์ผลการเติบโตของสินค้าแต่ละหมวดในไตรมาสแรกของปี 2560 โดยละเอียด ดังต่อไปนี้ 1. หมวดสินค้าคงทน (Durable Goods) เป็นหมวดสินค้าที่มีการเติบโตในอัตราที่ต่ำเพียง 1.25% ใน ไตรมาส 1/2560 เห็นได้ชัดจากผลประกอบการของอุตสาหกรรมการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/2560 ติดลบ ส่งผลให้ผลประกอบการ “ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง” เติบโตแบบถดถอย ส่วน “ธุรกิจจำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน” (Home Appliance) มีการเติบโตเพียงเล็กน้อย เนื่องมาจากการเข้มงวดของการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคของสถาบันการเงิน ส่วน “หมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์” (Mobile & Camera) แม้เติบโตเพิ่มขึ้นราว 3% แต่ปริมาณการซื้อ (volume) ยังน้อยเมื่อเทียบกับทั้งหมวดสินค้า ส่งผลให้โดยรวมหมวดสินค้าคงทน เติบโตเพียง 1.25% 2. หมวดสินค้ากึ่งคงทน (Semi Durable Goods) เป็นหมวดสินค้าที่มีการเติบโตในอัตราที่ถดถอย เพียง 2.3 % ในไตรมาส 1/2560 แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาส 1/2560 จะเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1/2559 แต่ก็ไม่ส่งผลให้การจับจ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนฟื้นตัวขึ้น ปัจจัยหลักที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญคือ อัตราภาษีสินค้านำเข้าแบรนด์หรูยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้หมวดสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง ยังคงเติบโตต่ำกว่าเมื่อปีที่ผ่านมา ประกอบกับประชาชนชาวไทยยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย บรรยากาศการจับจ่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์ดังจึงยังค่อนข้างซบเซา อย่างไรก็ดีด้วยความที่หมวดเครื่องกีฬาและสุขภาพยังเติบโตค่อนข้างมากตามเทรนด์ จึงทำให้การเติบโตในหมวดสินค้ากึ่งคงทนทั้งหมดยังคงทรงตัว 3. หมวดสินค้าไม่คงทน (Non Durable Goods) เป็นหมวดสินค้าที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนถึง 3.4% ในไตรมาส 1/2560 แม้จะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวช้า แต่ยังคงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยบวกจากราคาพืชผลทางเกษตรมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรซึ่งเป็นรากฐานใหญ่ของกลุ่มผู้บริโภคหมวดสินค้าไม่คงทน มีรายได้เพิ่มขึ้น และทำให้อัตราการบริโภคสินค้าหมวดนี้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับการผลักดันการใช้งบประมาณภาครัฐลงสู่ภูมิภาคและกลุ่มจังหวัดมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เม็ดเงินงบประมาณเริ่มไหลลงสู่ประชาชนฐานรากของประเทศอย่างชัดเจน ทำให้ธุรกิจในหมวดสินค้าไม่คงทนเติบโตฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยยะ สินค้าหมวดดังกล่าวมีสัดส่วนถึง 68% ของดัชนีค้าปลีก ปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.6% 2. อัตราการส่งออกขยายตัว 4.9% 3. จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5% 4. ราคาพืชผลการเกษตรเพิ่มขึ้น 5. ดัชนีการบริโภคของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 6. ตลาดรถยนต์ขยายตัว 15.4% 7. ตลาดรถจักรยานยนตร์ขยายตัว 5% ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 1. ขณะนี้กำลังเข้าสู่รอบไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ การใช้จ่ายอาจแผ่วลง 2. โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ยังไม่เกิดการปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 3. การลงทุนภาคอกชนยังไม่ฟื้นตัว และพึ่งพาแต่การลงทุนภาครัฐ 4. บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เติบโตลดลงทั้งยอดขายและกำไร 5. หนี้ครัวเรือนที่ยังส่งสัญญาณที่จะทรงตัวในระดับ 80.2% มีผลต่ออำนาจการซื้อของครัวเรือนต่ำ ทำให้การบริโภคสินค้าหมวดคงทนและหมวดสินค้ากึ่งคงทนอาจต้องชะลอออกไป นอกจากนี้ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันจำนวนแรงงานภาคค้าปลีกและบริการทั่วประเทศมีจำนวนทั้งหมด 14 ล้านคน เฉพาะภาคค้าปลีกมีจำนวน 6.2 ล้านคนทั่วประเทศ โดยในปีที่ผ่านมาสมาชิกของสมาคมภาคธุรกิจค้าปลีกได้มีการจ้างงานรวมกว่า 450,000 คน เฉลี่ยปีละประมาณ 10% หรือกว่า 45,000 คนต่อปี ซึ่งอัตราการจ้างงานก็ไม่สามารถบรรจุได้ครบ เนื่องจากประชากรวัยทำงานเริ่มลดลง แรงงานในภาคการค้ายังขาดแคลนอีกมาก ปัจจุบันสังคมผู้สูงอายุมีมากขึ้น ภาครัฐควรส่งเสริมผู้สูงอายุที่มีศักยภาพได้มีโอกาส มีอาชีพ มีรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการขยายการจ้างงานในวงกว้าง ดังนั้นการที่เรามีจำนวนผู้สูงอายุมาก ถือเป็นโอกาสที่ดีในการจ้างแรงงานกลุ่มนี้ รวมถึงกฏหมายควรเปิดช่องทางในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุเป็นรายชั่วโมง Credit Photo (ภาพเปิด) : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
ปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.6% 2. อัตราการส่งออกขยายตัว 4.9% 3. จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5% 4. ราคาพืชผลการเกษตรเพิ่มขึ้น 5. ดัชนีการบริโภคของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 6. ตลาดรถยนต์ขยายตัว 15.4% 7. ตลาดรถจักรยานยนตร์ขยายตัว 5% ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 1. ขณะนี้กำลังเข้าสู่รอบไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ การใช้จ่ายอาจแผ่วลง 2. โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ยังไม่เกิดการปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 3. การลงทุนภาคอกชนยังไม่ฟื้นตัว และพึ่งพาแต่การลงทุนภาครัฐ 4. บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เติบโตลดลงทั้งยอดขายและกำไร 5. หนี้ครัวเรือนที่ยังส่งสัญญาณที่จะทรงตัวในระดับ 80.2% มีผลต่ออำนาจการซื้อของครัวเรือนต่ำ ทำให้การบริโภคสินค้าหมวดคงทนและหมวดสินค้ากึ่งคงทนอาจต้องชะลอออกไป นอกจากนี้ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันจำนวนแรงงานภาคค้าปลีกและบริการทั่วประเทศมีจำนวนทั้งหมด 14 ล้านคน เฉพาะภาคค้าปลีกมีจำนวน 6.2 ล้านคนทั่วประเทศ โดยในปีที่ผ่านมาสมาชิกของสมาคมภาคธุรกิจค้าปลีกได้มีการจ้างงานรวมกว่า 450,000 คน เฉลี่ยปีละประมาณ 10% หรือกว่า 45,000 คนต่อปี ซึ่งอัตราการจ้างงานก็ไม่สามารถบรรจุได้ครบ เนื่องจากประชากรวัยทำงานเริ่มลดลง แรงงานในภาคการค้ายังขาดแคลนอีกมาก
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52943
Retail
กลยุทธ์การขยายธุรกิจของเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย มีอะไรบ้าง และส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยอย่างไร?
ธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทย เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ และเชนค้าปลีกยักษ์ใหญ่ มองว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจที่จะขยายสาขา ในหลากหลาย Store Format อีกทั้งความน่าสนใจของค้าปลีกในไทย อยู่ตรงที่ทั้งสองช่องทางหลัก ไม่ว่าจะเป็น Brick-and-mortar และ E-Commerce สามารถเติบโตเดินคู่กันไป โดยเชนค้าปลีก ที่เดิมเปิดแต่รูปแบบสาขา ได้ขยายมายังช่องทางออนไลน์ พร้อมทั้งเชื่อมทั้งสองช่องทางนี้เข้าหากัน เมื่อธุรกิจค้าปลีกในไทย มีโอกาสธุรกิจ และมีศักยภาพที่จะขยายได้อีกมาก ทำให้ “เทสโก้ กรุ๊ป” ที่อังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ “เทสโก้ โลตัส” กำหนดให้ไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญ จึงสนับสนุนให้มีการลงทุนต่อเนื่องทุกปี “ประเทศไทย เป็น Strategic Location ของเทสโก้ กรุ๊ป เพราะฉะนั้นบริษัทแม่สนับสนุนให้เราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจค้าปลีกในไทย มีโอกาสเติบโตทั้งช่องทางร้านค้า และออนไลน์ เนื่องจากสินค้าบางชนิด ลูกค้ายังชอบที่จะเข้ามาสัมผัสตัวเอง เช่น อาหารสด สิ่งที่เราต้องทำ คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้ามาที่สโตร์ สนุกกับการช้อปปิ้ง ได้ประสบการณ์ที่ดีกลับไป เมื่อได้ประสบการณ์ที่ดีแล้ว ลูกค้าก็อยากมาอีก เช่น สาขาใหญ่ ลูกค้าไม่ได้มาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเดียว เขามาใช้ชีวิตอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะมากินข้าว นั่งร้านกาแฟ เดินดูสินค้า ดังนั้นการนำเสนอประสบกาณณ์ที่ดี ต้องเป็นทั้งองค์รวม ไม่ใช่แค่การช้อปปิ้งสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น ในขณะที่ช่องทางออนไลน์ เป็นเทรนด์ที่เติบโตต่อเนื่องมาหลายปี และถึงแม้ยังมีฐานที่เล็ก เมื่อเทียบกับช่องทางสโตร์ แต่ปีที่ผ่านมา เราโตอย่างก้าวกระโดด และเชื่อว่าจะโตขึ้นอย่างแน่นอน เราจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนในช่องทางนี้ ทั้งการนำเสนอชนิดสินค้ามากขึ้น การพัฒนาระบบและบริการ เพื่อทำให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งบนช่องทางนี้ดีขึ้น ” มร. จอห์น คริสตี้ ประธานกรรมการบริหาร เทสโก้ โลตัส กล่าว สำหรับแผนการลงทุนปี 2560 ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก คือ – การขยายธุรกิจ ได้แก่ เปิดสาขาใหม่ ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมดกว่า 1,900 สาขา ใน 73 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนเป้าหมายในปีนี้ ต้องการขยายให้ครบ 2,000 สาขา โดยมุ่งไปที่การลงทุนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง และภาคอีสาน พร้อมทั้งปรับปรุงสาขาเดิม คาดว่าจะปรับปรุงสาขาเดิมของ Hypermarket 18 สาขา เท่ากับเมื่อปีที่แล้ว เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า และทำให้มีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ลงทุน “ธุรกิจออนไลน์” ต่อเนื่อง โดยมีทั้งช่องทางขาย ได้แก่ เทสโก้ โลตัส ช้อปออนไลน์, Lazada, Weloveshopping และยังใช้สื่อดิจิทัลในการสื่อสารการตลาดไปยังลูกค้า ปัจจุบันบน Social Media ของเทสโก้ โลตัสมี 39 ล้านราย แบ่งเป็น 30 ล้านผู้ใช้งาน บน LINE Official และกว่า 9 ล้านผู้ใช้งานบน Facebook และ Application – แผนงานสำหรับลูกค้า ปีนี้งบประมาณส่วนใหญ่ของการลงทุน จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาระบบ Supply Chain “อาหารสด” เพื่อยกระดับคุณภาพ และทำให้ราคาถูกลง สอดคล้องกับเทรนด์การสร้าง “ความยั่งยืนแบบครบวงจรทั้ง Supply Chain” ที่เวลานี้แบรนด์ใหญ่ต่างกำลังมุ่งมาในทิศทางนี้ การพัฒนา Supply Chain ครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยเทสโก้ โลตัส จะทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกร ตั้งแต่การวางแผนปริมาณการเพาะปลูก การให้ความรู้ด้านเทคนิคที่ช่วยเพิ่มผลผลิต และพัฒนามาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัยของสินค้า ขั้นตอนทั้งหมดนี้ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณของผลผลิตทางการเกษตรที่สามารถจำหน่ายให้กับเทสโก้ โลตัส อันจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ได้ลงทุนซื้อเครื่องจักร และเทคโนโลยีสำหรับโรคแพ็คสินค้า ระบบการจัดส่งสินค้า และมีแผนขยายสถานที่พักสินค้า ใกล้แหล่งเพาะปลูกมากขึ้น เพื่อทำให้ผลผลิตคงความสดได้นานขึ้น “ที่ผ่านมาเราเน้นราคาถูกมาโดยตลอด แต่ในการแข่งขัน จะแข่งเรื่องราคาถูกอย่างเดียวตลอดไป ก็ไม่มีวันจบ เพราะฉะนั้นเรามาเติมเรื่อง “คุณภาพ” ที่ลูกค้าต้องการ ทำให้สินค้ามีทั้งคุณภาพ และราคาเดินคู่ไปด้วยกัน” เหตุผลที่ “เทสโก้ โลตัส” โฟกัสการขาย “อาหารสด” เพราะอาหารเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องซื้ออยู่แล้ว และเป็นกลุ่มสินค้าที่สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ได้มากกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ที่แทบจะไม่มีความแตกต่าง และยังกันเรื่องโปรโมชั่นราคา นอกจากจะทำงานร่วมกับเกษตรกรไทย เพื่อวางแผนและควบคุมทั้งคุณภาพ ปริมาณผลผลิต และประเภทสินค้าที่ตลาดต้องการแล้ว ด้วยความที่เป็นเชนค้าปลีกระดับโลก จึงมีเครือข่ายในหลายประเทศ ตรงนี้เป็นจุดแข็งของ “เทสโก้ โลตัส” ที่สามารถนำเข้าอาหารสดจากต่างประเทศมาจำหน่ายในไทยได้ ควบคู่กับการทำราคาเข้าถึงง่าย ทำให้ชนิดสินค้าอาหารสดมีความหลากหลาย น่าสนใจ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งต่อไป “อาหารสด” จะกลายเป็นหนึ่งใน Key Magnet ที่ดึงผู้บริโภคให้เข้ามาเดินที่เทสโก้ โลตัส – แผนงานสำหรับพนักงาน และชุมชน โดยให้การสนับสนุนเกษตรกร และ SME พร้อมทั้งสร้างงานและพัฒนาศักยภาพพนักงาน โดยปัจจุบันเทสโก้ โลตัสมีพนักงานกว่า 60,000 คน รวมถึงพัฒนาชุมชนรอบข้าง “เทสโก้ โลตัส ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ปีนี้เป็นปีที่ 23 เรายังคงลงทุนต่อเนื่อง เพื่อให้บริการที่ดีแก่ลูกค้า และเติบโตไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจไทย เพื่อเป็นร้านค้าในดวงใจที่ลูกค้าชื่นชอบ และจำหน่ายอาหารสด คุณภาพสูง ในราคาเอื้อมถึงได้” มร. จอห์น คริสตี้ กล่าวทิ้งท้าย
กลยุทธ์การขยายธุรกิจของเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย มีดังนี้ 1. ขยายสาขา -เปิดสาขาใหม่ ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก -มุ่งเน้นไปที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง และภาคอีสาน -ปรับปรุงสาขาเดิม โดยเฉพาะ Hypermarket -เป้าหมาย ขยายสาขาให้ครบ 2,000 สาขา 2. พัฒนาระบบ Supply Chain อาหารสด -พัฒนาระบบ Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพ -ทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกร -ลงทุนซื้อเครื่องจักร เทคโนโลยี และขยายสถานที่พักสินค้า -เป้าหมาย ยกระดับคุณภาพ และทำให้ราคาถูกลง 3. ลงทุนในธุรกิจออนไลน์ -เพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ -พัฒนาระบบ และบริการ -เพิ่มสินค้า -ใช้สื่อดิจิทัลในการสื่อสารการตลาด -เป้าหมาย เพิ่มยอดขาย และเข้าถึงลูกค้าใหม่ 4. สนับสนุนเกษตรกร และ SME -ทำงานร่วมกับเกษตรกร -วางแผน และควบคุมคุณภาพ ปริมาณผลผลิต และประเภทสินค้า -นำเข้าอาหารสดจากต่างประเทศ -ทำราคาเข้าถึงง่าย -เป้าหมาย สร้างความหลากหลาย น่าสนใจ และดึงดูดลูกค้า 5. พัฒนาพนักงาน และชุมชน -ฝึกอบรม พัฒนาศักยภาพพนักงาน -สนับสนุนชุมชนรอบข้าง -เป้าหมาย สร้างความมั่นคง และยั่งยืนให้กับธุรกิจ ผลของกลยุทธ์การขยายธุรกิจของเทสโก้ โลตัส ต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย -กระตุ้นเศรษฐกิจ -สร้างงาน -เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค -กระตุ้นให้คู่แข่งพัฒนาธุรกิจ -ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่น ตัวอย่างผลลัพธ์ -เทสโก้ โลตัส มีสาขามากกว่า 2,000 สาขา ทั่วประเทศ -เทสโก้ โลตัส เป็นหนึ่งในเชนค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย -เทสโก้ โลตัส สร้างงานให้กับคนไทยมากกว่า 60,000 คน -เทสโก้ โลตัส มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทย
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52949
Retail
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การปิดสาขาของ Wet Seal
null
ร้านค้าปลีกเครื่องแต่งกายวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาอย่าง Wet Seal มีการปิดร้าน 338 แห่ง จากทั้งหมดกว่า 500 สาขาในเดือนมกราคม ปี 2015 เพื่อความอยู่รอด แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาเงินระดมทุน เพื่อกอบกู้ธุรกิจกลับมาได้ จนในเดือนมกราคม ปี 2017 จึงเลิกจ้างพนักงาน และปิดสาขาอีก 171 สาขา โดยสาเหตุของการปิดตัวมาจากคนเดินศูนย์การค้าลดลง และส่งผลกระทบโดยตรงต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทเรียนจากย่อหน้านี้ Wet Seal ร้านค้าปลีกเครื่องแต่งกายวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกา ที่พยายามดิ้นรนหาทางรอด เริ่มจากปิดร้าน 338 แห่ง จากทั้งหมดกว่า 500 สาขาเมื่อเดือนมกราคม ปี 2015 แต่สถานการณ์กลับไม่ดีขึ้น และไม่สามารถระดมทุน เพื่อนำมากอบกู้ธุรกิจ หรือหาผู้ซื้อ เพื่อรักษาแบรนด์ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ ในที่สุดเมื่อเดือนมกราคม ปี 2017 จึงได้ตัดสินใจเลิกจ้างพนักงาน และปิดสาขาที่เหลือทั้งหมดอีก 171 สาขา โดยนักวิเคราะห์กล่าวถึงสาเหตุของการปิดตัว Wet Seal เนื่องจากคนเดินศูนย์การค้าลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Wet Seal อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหตุที่ทำให้อุตสาหกรรมค้าปลีกในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่นี้ มาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในองค์กร ส่วนหนึ่งสะสมมาจากวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และพฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทาง “ออนไลน์” มากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าเข้าร้านน้อยลง ซึ่งวันนี้ผู้ให้บริการ E-Commerce โดยเฉพาะรายใหญ่ เช่น Amazon กลายมาเป็น “คู่แข่งหลัก” ของค้าปลีกแบบ Brick and Mortar ไปแล้ว เมื่อรายได้การขายหน้าร้านลดลง กลายเป็น “ขาดทุน” และต้องแบกรับต้นทุนอันมหาศาลขึ้นมาทันที ทำให้บางแบรนด์ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อป้องกันการล้มละลาย และเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการให้อยู่รอด
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52953
Retail
ช่วยสรุปบทความ ‘ทศ จิราธิวัฒน์’ แห่งเซ็นทรัล ฟันธง 10 ปีข้างหน้า “รู้ดำรู้แดง” ว่าคุณจะเป็นผู้นำหรือไม่เป็นผู้นำ
ก่อนไปออนไลน์ มาดูออฟไลน์ก่อน เพราะบริษัทวางแผนใช้งบลงทุน 45,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ลงทุนไป 39,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโปรเจ็คต์ใหม่ๆ ทั้งห้างและศูนย์การค้ารวม 6 ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา 2 แห่ง จังหวัดนครราชสีมาและศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา มหาชัย ห้างสรรพสินค้า โรบินสัน 3 แห่ง ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อำเภอมหาชัย จ. สมุทรสาคร (ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย) โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จังหวัดเพชรบุรี โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จังหวัดกำแพงเพชร ท็อปส์ พลาซา จังหวัดพิจิตรและจังหวัดพะเยา ปีนี้ ยังจะได้เห็นแฟลกชิพสโตร์ของห้างสรรพสินค้า “ลา รีนาเซนเต” กรุงโรม ประเทศอิตาลี ช่วงกันยายน 2560 ด้วย ส่วนธุรกิจโรงแรมมีการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ 4 แห่ง ได้แก่ โรงแรมปาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ โรงแรมโคซี่ เฉวง จังหวัดสมุย โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เวสต์เบย์ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ โรงแรมเซ็นทารา มัสกัต ประเทศโอมาน ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย จะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 และที่นครราชสีมา นอกจากนี้ยังเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเฉพาะทาง ร้านอาหารรวมอีก 520 ร้าน การปรับปรุงสาขาใหม่ก็มี 4 แห่ง ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัล พลาซา พระราม 3ห้างสรรพสินค้าลา รีนาเชนเต เมืองตูริน อิตาลี เมื่อกลุ่มเซ็นทรัล ราชาแห่งวงการค้าปลีกต้องเคลื่อนสู่ออนไลน์ สิ่งที่บริษัทจะทำคือ การเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ปีนี้ เริ่มต้นด้วยการใช้เงินงบประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนด้านเทคโนโลยี ส่วนปีหน้าและปีถัดๆไปจะใช้มากถึงหลัก “หมื่นล้านบาท” ลงทุนต่อเนื่องด้านเทคโนโลยีตีคู่โลจิสติกส์ เพราะการค้าปลีกออนไลน์ “ต้องขนส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค”
บริษัทวางแผนลงทุน 45,534 ล้านบาท ในการพัฒนาโปรเจ็คต์ใหม่ๆ ห้างและศูนย์การค้า 6 แห่ง รวมถึงศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา 2 แห่งในนครราชสีมาและเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย โรบินสัน 3 แห่ง และแฟลกชิพสโตร์ "ลา รีนาเซนเต" จากอิตาลี ที่จะเปิดในกันยายน 2560 โดยมีงบลงทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ลงทุน 39,000 ล้านบาท -ส่วนธุรกิจโรงแรมมีการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ 4 แห่ง -ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย จะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 แห่ง นอกจากนี้ยังเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเฉพาะทาง ร้านอาหารรวมอีก 520 ร้าน การปรับปรุงสาขาใหม่ก็มี 4 แห่ง กลุ่มเซ็นทรัล จะลงทุน 3,000-4,000 ล้านบาทในการเตรียมตัวด้านเทคโนโลยีเพื่อย้ายธุรกิจปลีกออนไลน์ในปีนี้ ส่วนวนปีหน้าและปีถัดๆไปจะใช้มากถึงหลัก “หมื่นล้านบาท” ด้านเทคโนโลยีตีคู่โลจิสติกส์ เพื่อการขนส่งสินค้าในการค้าปลีกออนไลน์
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52956
Retail
ข้อมูลที่พบในการสำรวจรถยนต์ Audi ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก มีรายละเอียดและความสำคัญอย่างไรต่อ Audi Thailand?
หัวข้อ Audi Thailand เดินสายพบแฟนพันธุ์แท้รถยนต์ Audi สร้างความเชื่อมั่น และความพึงพอใจสูงสุด พร้อมดูแล-บริการหลังการขายอย่างเต็มที่ [PR] - Brand Buffet ​Audi Thailand โดย บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ Audi อย่างเป็นทางการในประเทศไทย นำทีมโดยคุณกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) พร้อมด้วยทีมงานบริการหลังการขาย โดยคุณวัลลภ เฉลิมวงศาเวช รองประธานฝ่ายบริการหลังการขาย และ Mr. Kevin Gerard Duffy, Senior Manager – Aftersales Retail Operation เดินทางเข้าพบเจ้าของรถยนต์ Audi ที่เป็นผู้หลงใหลและชื่นชอบ Audi มากเป็นพิเศษ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและสร้างความมั่นใจในระยะยาว คุณกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Audi Thailand กล่าวว่า นอกจากจะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในรถยนต์ Audi ในประเทศไทย และจดจำว่า Audi เป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ ยังต้องเสริมด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะทำให้ลูกค้า Audi พึงพอใจสูงสุด ทั้งด้านการนำเสนอสินค้า การตั้งราคาจำหน่าย และหัวใจสำคัญที่สุด คืองานบริการหลังการขาย ถือเป็นเครื่องชี้วัดมัดใจลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ จากซื้อคันแรกก็ซื้อต่อคันที่ 2 และแนะนำออกไปในวงกว้างถึงความเป็นเลิศด้านบริการหลังการขาย “จากการสำรวจข้อมูลจำนวนรถยนต์ Audi ที่จดทะเบียนกับทางกรมการขนส่งทางบกย้อนหลังไป 5 ปี พบว่ามีจำนวนอยู่เพียง 1,200 คัน หรือในปี 2559 ที่ผ่านมามีจำนวนเพียงหลัก 100 คันต้น ๆ เท่านั้น ซึ่งในส่วนของลูกค้าตรงนี้เราจะไม่ทอดทิ้ง และเราจะให้การดูแล เพียงแต่ลูกค้าอาจจะต้องนำรถเข้ามาลงทะเบียนเพื่อให้เราตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ก่อน ถ้าทุกอย่าง ยังอยู่ในเกณฑ์ แน่นอนว่าเราต้องดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีแน่นอน” กฤษณะกร กล่าว สำหรับความคิดเห็นเจ้าของรถยนต์ Audi ที่ทางทีมงาน Audi Thailand เข้าพบ เช่น คุณวราห์ สุจริตกุล นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของ Audi TTS , Audi Q3 และอีกมากมาย กล่าวว่า ดีใจที่มีคนเข้ามาดูแลบริการหลังการขายอย่างจริงจัง หากมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำและอธิบายเพิ่มเติม เวลารถมีปัญหาต้องซ่อมถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้อีกทาง คุณอินทุกานต์ คชเสนี สิริสันต์ นักเขียนอิสระ และคุณอาทิตย์ สิริสันต์ นักออกแบบตกแต่งภายใน เจ้าของ Audi Q5 กล่าวถึงสิ่งที่คาดหวังของการบริการหลังการขายว่า ความเชื่อมั่นในศูนย์บริการต้องเต็มร้อย ทั้งในเรื่องอะไหล่ และการบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ด้านสองพี่น้องผู้บริหารบริษัท Norse Republics ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ HAY คุณวีกฤษฏิ์ และ คุณอภินัทธ์ พลาฤทธิ์ เจ้าของ Audi A5 และ Audi Q3 ที่มีความชื่นชอบในแบรนด์ Audi เหมือนกันที่ให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือได้ Audi Thailand มีแผนที่จะให้ลูกค้ามี Peace of Mind ในเรื่องของการบริการหลังการขาย ค่าบำรุงรักษาสมเหตุสมผล คุ้มค่า โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ จะทำการเปิดโชว์รูม และศูนย์บริการแห่งแรก บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ การลงทุนกว่า 40 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 3 ไร่ พร้อมดูแลลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจ ทั้งด้านบริการหลังการขาย เครือข่าย การบริหารจัดการ นี่คือความตั้งใจของ Audi Thailand โดย Meister Technik ในการขับเคลื่อน Audi ให้เป็นแบรนด์ที่เปี่ยมพลัง มีชีวิตชีวา สำหรับผู้หลงใหลและชื่นชอบ Audi ในประเทศไทยทุกคน
การสำรวจข้อมูลรถยนต์ Audi ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก มีรายละเอียดและความสำคัญหลายประการที่มีผลต่อการวางแผนการบริการหลังการขายของ Audi Thailand มีรายละเอียดดังนี้: 1. จำนวนรถยนต์ที่น้อย : จากข้อมูลที่ระบุว่ามีรถยนต์ Audi จดทะเบียนเพียง 1,200 คันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือจำนวนรถยนต์ในปี 2559 เพียงหลักร้อยคันต้นๆ 2. การสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ : การที่มีจำนวนรถยนต์น้อย อาจส่งผลให้ลูกค้าเกิดความกังวลเกี่ยวกับการบริการหลังการขายและความน่าเชื่อถือของศูนย์บริการ Audi Thailand 3. การพัฒนาบริการและเครือข่าย : Audi Thailand ต้องมีการวางแผนและพัฒนาเครือข่ายศูนย์บริการให้ครอบคลุมและมีคุณภาพ 4. การสร้างความประทับใจและการรักษาลูกค้า : ข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างความประทับใจและรักษาลูกค้าเดิม 5. กลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสาร : Audi Thailand จำเป็นต้องวางกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสื่อสารกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายให้เข้าใจถึงคุณภาพและความเชื่อมั่นในแบรนด์ Audi ผ่านการจัดกิจกรรม การให้ข้อมูลและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า สรุป: การวิเคราะห์และเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ Audi Thailand สามารถออกแบบและพัฒนาการบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคตค่ะ!
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52964
Retail
จงเขียนเรื่องสั้นในเรื่อง "ยักษ์ร่วมมือ: เปิดบันทึกสุดยอด Mega Deal 2016 ในวงการธุรกิจไทย"
null
ในปี 2016 ที่ผ่านมา วงการธุรกิจไทยได้รับเรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของ "เปิดบันทึกสุดยอด Mega Deal 2016" ที่ทุกคนยอมรับให้เป็นเหตุการณ์สำคัญในอดีตของประเทศไทย เมื่อยักษ์ในวงการธุรกิจไทยจับมือกัน การปฏิวัติในวงการธุรกิจก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทั้งสื่อมวลชนและผู้ประกอบการทุกคนต่างตกใจในการเห็นการร่วมมือของบริษัทชั้นนำสองแห่งที่มีชื่อเสียงในวงการนี้ ซึ่งเป็นการร่วมมือที่มีแรงเงาอันแรงกล้าของการค้าประสบความสำเร็จในอดีตที่แข็งแกร่งและน่าทึ่ง บันทึกสุดยอดนี้เกิดขึ้นเมื่อประธานบริษัทชั้นนำในวงการทั้งสองเจอกันในงานสัมมนาของวงการธุรกิจ การความสนใจต่อกันมาจากทั้งสองฝ่ายเริ่มขยายตัวออกไปเป็นการพูดคุยและนำเสนอความเห็นแบบไม่เป็นทางการ ส่วนผู้เข้าร่วมสัมมนาก็พูดถึงถึงมุมมองของวงการธุรกิจต่อการร่วมมือที่มีความสำคัญต่ออนาคตของวงการนี้ หลังจากการสัมมนาเสร็จสิ้น การสนทนาก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การสนทนา แต่เป็นการสร้างแผนธุรกิจที่แรงกล้าและมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการยกระดับวงการธุรกิจในประเทศไทย การร่วมมือนี้ไม่ได้เป็นแค่การทำธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการรวมกำลังของสองยักษ์ใหญ่ของวงการธุรกิจ เพื่อเติบโตและขยายธุรกิจในระดับสากล ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในวงการนี้ เปิดบันทึกสุดยอด Mega Deal 2016 ที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจไทยจึงเป็นเรื่องราวที่ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงพลังและความสำคัญของการร่วมมือในวงการธุรกิจ และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมุมมองและการดำเนินธุรกิจในอนาคต
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_52969
Retail
ร้านค้าปลีกควรสต๊อกแผ่นเสียงไวนิลหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: กระแสความนิยมที่กลับมา: ยอดขายแผ่นเสียงไวนิลในสหราชอาณาจักรเติบโตต่อเนื่อง 8 ปีติดต่อกัน (ปี 2008-2015) และในปี 2016 ยอดขายแผ่นเสียงไวนิลแซงหน้าดิจิตอลดาวน์โหลดเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจแผ่นเสียงไวนิลอีกครั้ง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง: ผู้บริโภคในยุคดิจิตอลโหยหาสิ่งที่จับต้องได้ ต้องการประสบการณ์การฟังเพลงที่แตกต่างจากการฟังเพลงดิจิตอล แผ่นเสียงไวนิลตอบโจทย์ความต้องการนี้ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงที่อบอุ่น และความสะดวกในการสะสม กลุ่มลูกค้าใหม่: ปัจจุบันไม่ได้มีเพียงกลุ่มผู้บริโภคที่เคยฟังแผ่นเสียงไวนิลในอดีตเท่านั้นที่สนใจ แต่ยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสนใจแผ่นเสียงไวนิลด้วย โอกาสทางธุรกิจ: เทรนด์แผ่นเสียงไวนิลที่กลับมาเป็นที่นิยม เป็นโอกาสให้ร้านค้าปลีกสามารถขยายฐานลูกค้า ดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม: แผ่นเสียงไวนิลบางรุ่นมีราคาสูง ร้านค้าปลีกสามารถตั้งราคาขายสินค้าได้สูงกว่าสินค้าทั่วไป สินค้าพิเศษ: แผ่นเสียงไวนิลบางรุ่นผลิตจำนวนจำกัด กลายเป็นสินค้าสะสมที่มีมูลค่าเพิ่ม การตอบสนองความต้องการของลูกค้า: ร้านค้าปลีกควรติดตามเทรนด์ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่าง: ร้านค้าปลีกสามารถจัดพื้นที่สำหรับฟังเพลงแผ่นเสียงไวนิล ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้าน การขยายช่องทางการขาย: ร้านค้าปลีกสามารถขายแผ่นเสียงไวนิลออนไลน์ การสร้างภาพลักษณ์: การจำหน่ายแผ่นเสียงไวนิล ช่วยสร้างภาพลักษณ์ร้านค้าปลีกที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เพิ่มเติม: กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย: ร้านค้าปลีกควรวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ว่ามีความสนใจในแผ่นเสียงไวนิลหรือไม่ พื้นที่: ร้านค้าปลีกควรมีพื้นที่เพียงพอสำหรับจัดเก็บและจัดแสดงแผ่นเสียงไวนิล เงินทุน: ร้านค้าปลีกควรมีเงินทุนสำรองสำหรับการสต๊อกแผ่นเสียงไวนิล ความรู้: พนักงานขายควรมีความรู้เกี่ยวกับแผ่นเสียงไวนิล โดยสรุป ร้านค้าปลีกควรสต๊อกแผ่นเสียงไวนิล เพราะมีกระแสความนิยมที่กลับมา ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_52982
Retail
อะไรคือความแตกต่างระหว่างกลยุทธ์ "Direct Sourcing" ของเทสโก้ โลตัส กับ "พันธกิจเพื่อเกษตรกร" ของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล
null
กลยุทธ์ "Direct Sourcing" ของเทสโก้ โลตัส และ พันธกิจเพื่อเกษตรกร ของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล มีความคล้ายคลึงกันคือ มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ ผ่านการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเกษตรกร และนำเสนอสินค้าสดคุณภาพดีให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ทั้งสองมีจุดแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้ 1. รูปแบบการรับซื้อ เทสโก้ โลตัส: มุ่งเน้นการรับซื้อตรงจากเกษตรกรรายใหญ่ โดยวางแผนการปลูก ร่วมให้ความรู้ด้านการผลิต และจัดหาเทคโนโลยีเพื่อลดการสูญเสีย เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล: เน้นการรับซื้อจากชุมชน โอทอป และเอสเอ็มอี โดยให้ความรู้ พัฒนาโมเดลธุรกิจ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า 2. เป้าหมาย เทสโก้ โลตัส: มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ควบคุมคุณภาพสินค้า และสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล: มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย 3. ผลลัพธ์ เทสโก้ โลตัส: เกษตรกรมีรายได้มั่นคง สินค้ามีคุณภาพ ผักผลไม้สดใหม่ และผู้บริโภคมีตัวเลือกสินค้าหลากหลาย เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล: ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สินค้าเกษตรไทยได้รับการพัฒนา และผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากชุมชน สรุป กลยุทธ์ "Direct Sourcing" ของเทสโก้ โลตัส เหมาะกับการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว ควบคุมคุณภาพสินค้า และสร้างความแตกต่าง พันธกิจเพื่อเกษตรกร ของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล เหมาะกับการพัฒนาชุมชน สนับสนุนสินค้าเกษตรไทย และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งสองกลยุทธ์ ล้วนเป็นโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร (Inclusive Business Strategy) ที่สร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลดีต่อทั้งธุรกิจ เกษตรกร และผู้บริโภค หมายเหตุ ข้อมูลนี้เป็นเพียงการสรุปประเด็นสำคัญจากบทความเท่านั้น กลยุทธ์ "Direct Sourcing" และ "พันธกิจเพื่อเกษตรกร" ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_52993
Retail
สยามพิวรรธน์ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่เป็นคนไทยกี่เปอร์เซ็นต์
ก. 45% ข. 35% ค. 65% ง. 55%
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ค. เนื่องจาก สยามพิวรรธน์ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ 100,000 คนต่อวัน โดย 65% เป็นลูกค้าคนไทย และ 35% เป็นลูกค้าต่างชาติ
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_52994
Retail
ช่วยสรุปบทความ บทเรียนธุรกิจแฟชั่น DA+PP ยิ่งลดราคา ยิ่งลดคุณค่า “แบรนด์”
สำหรับบทเรียนสำคัญของธุรกิจแฟชั่น เรื่องแรก การ Fashion Retail คือ การบริหารพื้นที่ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด จากการทำร้าน Pop Up บ่อยๆทำให้เห็น Path เส้นทางของการเดินในร้านของลูกค้า เราสามารถไกด์ได้ในระดับนึงและวางแผนให้ลูกค้าเจอ หยุดตรงไหน หรืออยากให้ปะทะกับอะไร แล้วจบที่ไหนได้ ตัวอย่างเช่น อยากขายเสื้อตัวนึง การวางไว้ใกล้ห้องลองชุด เพราะเป็นจุดที่ลูกค้าต้องผ่านอย่างแน่นอน ทำให้เพิ่มโอกาสในการลองสวมใส่สูงและเกิดการตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นผลดีกับการวางแผนจัดส่งและสต๊อกสินค้าด้วย หรือ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ คือ การผลิตเสื้อ 5 ตัว เพื่อขายแค่ 1 ตัว เนื่องจากหากมีสินค้าตรงใจจำนวนมากทำให้ลูกค้าอาจเลือกไม่ถูกและไม่ซื้อในที่สุด ดังนั้นจึงต้องผลิตสินค้าเพื่อลูกค้าไม่เลือก เพื่อจะได้เลือกสินค้า แต่ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญคือ เข้าใจความต้องการของลูกค้า แต่ถ้าลูกค้าไม่รู้ก็ต้องลองเสนออะไรใหม่ๆเข้าไป เรื่องที่สอง ทุกวันนี้ในห้างสรรพสินค้ามีร้านค้ามากมาย เรามี 2 วินาที ที่ทำให้ลูกค้าสนใจและเดินเข้ามาในร้าน เราจึงต้องมีการจัด Display ให้ประหลาดๆน่าดึงดูด ซี่งทำให้ลูกค้ามีโอกาสเข้ามาในร้าน ขณะเดียวกันการจัดวางในร้านก็ต้องให้ดูน่าค้นหา ไม่ใช่มองจากข้างนอกแล้วเห็นหมดทุกอย่าง รวมไปถึงการสร้างประสบการณ์ภายในร้าน เช่น Interactive Screen ให้ลูกค้าจดจำเราได้แบรนด์เราได้ ไม่ได้จดจำแค่สินค้าหรือเวลาลดราคา ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ ตัวพ่นบอลลูนมีแขนหน้าปั๊ม เป็นไอเดียที่ดีมาก สุดท้าย DA+PP ไม่เน้นกลยุทธ์ด้านราคา แต่เน้นที่ความหลากหลายของสินค้า ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด และอัพเดทของใหม่อยู่เสมอ ลูกค้าเจอสินค้าใหม่ตลอด สำหรับการเล่นกลยุทธ์ด้านราคา หรือ การทำ End of Season เหมือนเป็นการโกยเงินและอัดสินค้าคอลเล็คชั่นใหม่ แต่จะทำให้เกิดกลุ่มลูกค้าที่รอแต่ช่วงลดราคา ซึ่งเป็นการลดคุณค่าแบรนด์ DA+PP จึงเลือกที่จะค้นหาลูกค้าที่รักแบรนด์เราจริงๆ
บทเรียนสำคัญของธุรกิจแฟชั่นที่เน้นที่การบริหารพื้นที่ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด การใช้ Pop Up Store ช่วยเห็น Path การเดินในร้านของลูกค้า, จึงสามารถวางแผนการจัดตำแหน่งสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายได้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ คือ การผลิตเสื้อ 5 ตัว เพื่อขายแค่ 1 ตัว เนื่องจากหากมีสินค้าตรงใจจำนวนมากทำให้ลูกค้าอาจเลือกไม่ถูกและไม่ซื้อในที่สุด ดังนั้นจึงต้องผลิตสินค้าเพื่อลูกค้าไม่เลือก เพื่อจะได้เลือกสินค้า การจัด Display ในห้างสรรพสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าสนใจและเข้ามาในร้าน ควรทำให้ดูน่าดึงดูดใน 2 วินาทีแรก DA+PP ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของสินค้าทุกรูปแบบ อัพเดทสินค้าใหม่อยู่เสมอ การไม่เล่นกลยุทธ์ด้านราคาช่วยลูกค้ารับรู้คุณค่าแบรนด์แท้จริงด้วยนโยบายนี้, DA+PP พยายามหาลูกค้าที่รักแบรนด์จริงๆ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52997
Retail
ช่วยสรุปบทความ พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ผนึกพลังเหล่าแบรนด์ดังระดับแนวหน้าทั้งในและต่างประเทศ ร่วมเนรมิตโฉมใหม่สู่การเป็น “เทค-ไลฟ์ มอลล์” แห่งแรกและแห่งเดียวของไทย
นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด เปิดเผยว่า ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ เชื่อมั่นว่าในปีนี้ ธุรกิจศูนย์การค้าจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยได้เตรียมแผการขยายธุรกิจรองรับไว้แล้ว ด้วยงบการตลาดประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมตลอดปี โดยในปีนี้คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้กว่า 2,500 – 3,000 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในการขยายธุรกิจหลักก็คือการเปิดตัว “พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ” โฉมใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ที่ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจชั้นแนวหน้าเข้ามาร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ภายใต้แนวคิด “เทค-ไลฟ์ มอลล์ (Tech-Life Mall)” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของศูนย์การค้าในเมืองไทย โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากกลุ่มลูกค้าในเมืองไทย เพราะถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก ซึ่งการพลิกโฉมของ พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นให้ถนนสายเพชรบุรีตัดใหม่เพิ่มความคึกคักในการจับจ่ายอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยขยายการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับประเทศให้เกิดขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิร์ด กล่าวว่า ธุรกิจศูนย์การค้าคาดจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยเตรียมแผนขยายธุรกิจด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมตลอดปี ปรากฏการณ์สำคัญคือการเปิดตัว "พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ" ในไตรมาส 3 โดยมีความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจชั้นแนวหน้า ภายใต้แนวคิด "เทค-ไลฟ์ มอลล์" มีความมั่นใจว่าจะได้รับความตอบรับดีจากลูกค้า, เป็นการพลิกโฉมใหม่ในวงการศูนย์การค้าในไทย และมุ่งหวังว่า พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ จะกระตุ้นความคึกคักในการจับจ่ายในถนนสายเพชรบุรี และส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับประเทศ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_52999
Retail
บัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม มีจุดเด่นอะไรที่ดึงดูดนักช้อปชาวไทย?
null
บัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม มีจุดเด่นที่ดึงดูดนักช้อปชาวไทย ดังนี้: 1. ส่วนลดและคะแนนสะสมพิเศษสำหรับการใช้จ่ายในญี่ปุ่น: - นักช้อปชาวไทยนิยมไปช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่นเป็นประจำ บัตรนี้จึงมีจุดเด่นที่ตรงกับความต้องการของนักช้อปกลุ่มนี้ - โดยมอบส่วนลดและคะแนนสะสมพิเศษสำหรับการใช้จ่ายที่ร้านอาหาร ร้านค้า และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในญี่ปุ่น 2. สิทธิประโยชน์สำหรับการเดินทาง: - บัตรนี้มอบสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่น - เช่น ส่วนลดค่าเช่า Pocket Wi-Fi - ส่วนลดค่าบัตรโดยสารรถแอร์พอร์ทลีมูซีนบัส และสิทธิ์เข้าใช้ Airport Lounge ในสนามบินญี่ปุ่น 3. เครดิตเงินคืนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน: - บัตรนี้มอบเครดิตเงินคืน 2% สำหรับการใช้จ่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักช้อปชาวไทย ที่ใช้จ่ายน้ำมันเป็นประจำ 4. คะแนนสะสมแลกไมล์สะสมและรางวัลอื่นๆ: - คะแนนสะสม กรุงศรี โบนัส ที่ได้จากการใช้จ่าย - สามารถนำไปแลกไมล์สะสมกับสายการบินชั้นนำ หรือแลกรางวัลอื่นๆ มากมาย 5. วงเงินและสิทธิประโยชน์อื่นๆ: - บัตรนี้มีวงเงินสูง เหมาะกับการใช้จ่ายช้อปปิ้ง และยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย - เช่น ประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ - บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตัวอย่าง: - นางสาว A เป็นนักช้อปชาวไทยที่ชื่นชอบการไปช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น - เธอตัดสินใจสมัครบัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม - เพื่อใช้ประโยชน์จากส่วนลดและคะแนนสะสมพิเศษสำหรับการใช้จ่ายในญี่ปุ่น - บัตรนี้ช่วยให้นางสาว A ประหยัดค่าใช้จ่ายในการช้อปปิ้ง - และยังได้คะแนนสะสมที่สามารถนำไปแลกไมล์สะสม เพื่อใช้เดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งต่อไป สรุป: - บัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม มีจุดเด่นที่ดึงดูดนักช้อปชาวไทย ด้วยส่วนลด คะแนนสะสม สิทธิประโยชน์ และวงเงินที่เหมาะกับการใช้จ่ายช้อปปิ้ง - บัตรนี้จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักช้อปชาวไทยที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และได้รับสิทธิประโยชน์มากมายในการช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53010
Retail
จาก 10 แนวโน้มที่ JWT คาดการณ์ไว้ อะไรคือสิ่งที่ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยควรให้ความสำคัญมากที่สุด และทำไม?
null
จาก 10 แนวโน้มที่ JWT คาดการณ์ไว้ ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับ 3 แนวโน้มหลัก ดังนี้: 1. Everything Is Retail: ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจึงจำเป็นต้องพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ รองรับการชำระเงินออนไลน์ และบริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว 2. Mobile Device as the Everything Hub: ผู้บริโภคใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น ธุรกิจค้าปลีกจึงจำเป็นต้องพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว รองรับการค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้า 3. Buying the Experience: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้งมากกว่าราคา ธุรกิจค้าปลีกจึงจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศภายในร้านค้าให้น่าสนใจ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และนำเสนอบริการพิเศษ เหตุผลที่ควรให้ความสำคัญกับ 3 แนวโน้มนี้: เป็นแนวโน้มที่มีผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกโดยตรง: ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป นิยมซื้อสินค้าออนไลน์ ใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น และให้ความสำคัญกับประสบการณ์การช้อปปิ้ง เป็นแนวโน้มที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง: การค้าปลีกออนไลน์มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น และผู้บริโภคต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี เป็นแนวโน้มที่ธุรกิจค้าปลีกสามารถปรับตัวได้: ธุรกิจค้าปลีกสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ พัฒนาแอปพลิเคชั่น และสร้างบรรยากาศภายในร้านค้าให้น่าสนใจ ตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย: ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เซ็นทรัลออนไลน์, โรบินสันออนไลน์, Lazada ธุรกิจค้าปลีกหลายแห่งพัฒนาแอปพลิเคชั่น เช่น เซ็นทรัลแอป, The Mall App, Big C Supercenter ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งปรับปรุงบรรยากาศภายในร้านค้า จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และนำเสนอบริการพิเศษ เช่น บริการส่วนตัว บริการหลังการขาย บริการซ่อมแซม บทสรุป: ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การให้ความสำคัญกับ 3 แนวโน้มหลัก คือ Everything Is Retail, Mobile Device as the Everything Hub และ Buying the Experience จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถอยู่รอดและเติบโตได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53019
Retail
7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม มีอะไรบ้าง
null
ไอคอนสยาม: เมืองแห่งความรุ่งโรจน์อันเป็นนิรันดร์ ไอคอนสยาม โครงการอภิมหาโครงการเมืองริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้การร่วมทุนของ 3 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ ได้แก่ สยามพิวรรธน์ แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตั้งเป้าเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของไทยและจุดหมายปลายทางระดับโลก จุดเด่นของโครงการ ขนาดพื้นที่: 50 ไร่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใจกลางกรุงเทพฯ มูลค่าการลงทุน: 50,000 ล้านบาท องค์ประกอบหลัก: 2 อาณาจักรศูนย์การค้าแห่งยุค พื้นที่รวม 525,000 ตารางเมตร อาคารที่พักอาศัยริมน้ำระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ 2 อาคาร (70 ชั้น และ 40 ชั้น) 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม จุดเด่น: ศูนย์กลางการค้าระดับโลก รวบรวมแบรนด์ดังจากทั่วโลก แหล่งรวมที่สุดของสินค้าและบริการแบรนด์ไทย 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม สร้างปรากฏการณ์ใหม่ไม่เคยมีมาก่อน เชื่อมต่อการคมนาคมทางน้ำและระบบขนส่งมวลชน พื้นที่จัดกิจกรรมริมฝั่งแม่น้ำและริเวอร์พาร์ค พื้นที่สำหรับงานระดับชาติและการแสดงระดับโลก 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม พิพิธภัณฑ์รวบรวมสมบัติและภูมิปัญญาไทย ริเวอร์พาร์ค พื้นที่สีเขียวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไอคอนสยาม ทัศนาการ 360 องศา ชมวิวกรุงเทพฯ บนตึกสูง โรงละครระดับโลก สวนน้ำกลางแจ้ง ท่าเรือยอทช์สุดหรู ตลาดน้ำย้อนยุค เป้าหมาย กลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของไทยและจุดหมายปลายทางระดับโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ไอคอนสยาม ตั้งเป้าเปิดให้บริการในปี 2565 สรุป ไอคอนสยาม โครงการอภิมหาโครงการเมืองริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งเป้าเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของไทยและจุดหมายปลายทางระดับโลก ด้วยการผสมผสานความล้ำเลิศของสินค้าและบริการ แบรนด์ไทยและแบรนด์ดังระดับโลก 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม และการเชื่อมต่อการคมนาคมที่สะดวก โครงการนี้คาดว่าจะสร้าง impact positives ให้กับเศรษฐกิจไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยว กระตุ้นการใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53035
Retail
กลยุทธ์การโฆษณาใน Super Bowl ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) อย่างไร?
null
กลยุทธ์การโฆษณาใน Super Bowl ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) ในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness): Super Bowl เป็นหนึ่งในอีเวนต์กีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ดึงดูดผู้ชมหลายร้อยล้านคนจากทั่วโลก การโฆษณาใน Super Bowl ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้ชมจำนวนมาก เพิ่มการรับรู้แบรนด์ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Gildan แบรนด์เครื่องแต่งกายน้องใหม่ ใช้ Super Bowl เป็นเวทีเปิดตัวแบรนด์ โฆษณาของ Gildan ประสบความสำเร็จ ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและจดจำ 2. กระตุ้นยอดขาย (Sales): การโฆษณาใน Super Bowl ช่วยกระตุ้นยอดขายโดยตรง ผู้ชมที่จดจำโฆษณาอาจตัดสินใจซื้อสินค้าของแบรนด์ ตัวอย่างเช่น โฆษณา Sling Baby ของ Doritos ประสบความสำเร็จ โฆษณาตัวนี้ช่วยเพิ่มยอดขายของ Doritos Sling Baby ได้อย่างมาก 3. สร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า (Customer Engagement): Super Bowl เป็นเวทีที่เหมาะสำหรับการสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า แบรนด์สามารถใช้โฆษณาเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมพูดคุย แชร์ และถกเถียงเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ตัวอย่างเช่น โฆษณาของ GoDaddy.com กระตุ้นให้ผู้ชมแชร์โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย โฆษณาตัวนี้ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและสร้างกระแสไวรัล 4. เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Image): Super Bowl เป็นเวทีที่เหมาะสำหรับการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ แบรนด์สามารถใช้โฆษณาเพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ต้องการให้ผู้บริโภคจดจำ ตัวอย่างเช่น โฆษณาของ Coca-Cola แสดงภาพลักษณ์แบรนด์ที่สดใส ร่าเริง และสร้างแรงบันดาลใจ โฆษณาตัวนี้ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ Coca-Cola ในเชิงบวก 5. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience): Super Bowl ดึงดูดผู้ชมจากหลากหลายกลุ่ม แบรนด์สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึง ตัวอย่างเช่น โฆษณาของ Anheuser-Busch InBev มุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ชมวัยหนุ่มสาว โฆษณาตัวนี้ช่วยให้ Anheuser-Busch InBev เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุป:กลยุทธ์การโฆษณาใน Super Bowl ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก (Retail) ในหลายแง่มุม กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ กระตุ้นยอดขาย สร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53036
Retail
8 เทรนด์ผู้บริโภค ปี 2013 มีอะไรบ้าง
แมคแคน ทรูธ เซ็นทรัล (McCann Truth Central) หน่วยงานวิจัยของเอเย่นซี่ McCann Erickson เผย 8 เทรนด์ผู้บริโภคในปี 2013 (8 Consumer Trends Snapshot 2013) ที่จะเป็นข้อมูลสำหรับนักการตลาดและนักโฆษณาเพื่อใช้สื่อสารทางการตลาดกับผู้บริโภคในปี 2013 เทรนด์ผู้บริโภคในปีหน้า 2013 ที่เด่นชัดมากที่สุดมีทั้งหมด 8 เทรนด์ ซึ่งถูกจัดหมวดหมู่ภายใต้ 4 แนวทางหลัก (4 MEGA TRENDS) คือ 1.TRUTH ผู้บริโภคต้องการรับรู้และค้นหาความจริง 2.WANDERLUST ผู้บริโภคอยากออกจากกรอบ และทำตามใจปรารถนา 3.PIONEER ผู้บุกเบิกและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ 4.ILLUMINATION คิดและทำอย่างยั่งยืน 8 เทรนด์ผู้บริโภค ปี 2013 (Consumer Trends Snapshot 2013) TRUTH 1.Farm to Table Everything : จากกระแสเรื่องการดูแลสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคใส่ใจกับสิ่งที่ตนเองรับประทานเป็นอย่างมาก ทั้งกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ของส่วนผสมแต่ละชนิด เป็นต้น นอกจากนี้การใส่ใจยังขยายไปสู่สินค้าประเภทอุปโภค เช่น สบู่ แชมพู อีกด้วย ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2556 ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่องประวัติ จุดมุ่งหมาย และจุดยืนของแบรนด์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นนักการตลาดต้องสร้าง Story ให้กับแบรนด์หรือสินค้า ตัวอย่างเช่น Food with Integrity และ ฺBack to the start ของ Chipotle Food with Integrity Back to the Start [youtube] WANDERLUST 2.Eclectic Avenue : ในยุคที่นวัตกรรมและโลกดิจิตอลได้สร้างนิยามใหม่ให้กับ “ความแปลกใหม่” ในสังคม ผู้บริโภคได้สัมผัสกับมิติใหม่แห่งการผสมผสานทางวัฒนธรรม การประยุกต์ศิลปะ และแบรนด์ร่วมกันสร้างสินค้าและบริการที่มีความเฉพาะตัวเช่น Co-Brand ,Co-Product , ศิลปะ – ศิลปะ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น Starbuck ที่ตกแต่งด้วยไม้ ประเทศ Japan, คอลเล็คชั่นพิเศษของ Maison Martin Margiel ร่วมกับ H&M 3.Scent, The Mood Elixir ความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้บริโภคมองหาหนทางคลายเครียดด้วยวิธีต่างๆ เราคาดการณ์ว่า ในปีหน้านี้ เราจะได้เห็นสินค้าและบริการแปลกใหม่ ที่จะให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายราวกับอยู่ในสปาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกระแสการคลายเครียดเช่นนี้ เป็นเสมือน “การสร้างความรู้สึกเหมือนฝันด้วยประสาทสัมผัส”ที่ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายเมื่อใช้สินค้าและบริการเหล่านี้ ผ่านการรับรู้จากประสาทสัมผัสแต่ในปีหน้านี้ ประสาทสัมผัสที่น่าจะได้รับการกระตุ้นที่สุด คือกลิ่นสัมผัส ตัวอย่างเช่น แคมเปญ Flavor Radio ของ Dunkin Donut ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ , การตั้งชื่อ Variant ของเครื่องสำอางค์ Lush เล่นกับอารมณ์ Flavor Radio [youtube] Lust Cosmetics 4.Retail Wonderland เมื่อผู้บริโภคในเมืองใหญ่มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนและการจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีค้นหาตำแหน่งกันมากขึ้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าในปีหน้านี้ เราจะได้เห็นวิวัฒนาการที่ “ล้ำหน้ากว่าการซื้อขายในร้านค้าปลีก” ทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันโดยทำให้ Retail Space ใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ต้องเข้าไปในร้าน สามารถซื้อสินค้าและบริการได้ทุกที่ทุกเวลา ตัวอย่างเช่น Virtual Window ของ Fendi ที่สามารถลองแว่นโดยไม่ต้องสวม , App “Square” จ่ายเงินด้วยชื่อและหน้าตาตนเอง Virtual Window Fendi Square (Pay with your name) [youtube] PIONEER 5.The State of Alchemy เทคโนโลยีที่จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะพัฒนามาเพื่อการใช้งานของผู้คนในปัจจุบัน ทว่ายังจะพัฒนาเพื่อก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดเดิมๆ เช่น อุปกรณ์อีเล็คโทรนิคสามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็น Ecosystem (บ้าน-แอร์-รถ-โทรศัพท์) , นวัตกรรมด้านสุขภาพที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง (App ตรวจระดับน้ำตาล, App วางแผนออกกำลังกาย) 6.Asian Renaissance ยุคทองของเอเชียจากความสำเร็จของสุดยอดเพลงดังแห่งยุคอย่าง กังนัม สไตล์ และปรากฎการณ์แอพลิเคชั่นยอดฮิตอย่าง LINE กับการใช้สติกเกอร์เก๋ๆ หรือการนำส่วนผสมของเอเซียมาใช้กับสินค้าหลากหลายประเภท ทำให้คาดการณ์ได้ว่า สำหรับตลาดโลกในปีหน้าแล้ว กระแสวัฒนธรรมแบบเอเซียจะยังคงความแรงไม่มีตก และทั่วโลกก็คงกำลังจับตามองอยู่ว่า “จะมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก” เช่น ความนิยม BB Cream (ทดลองในประเทศจีน) , LINE Sticker (เกาหลี) , I LOHAS ขวดน้ำบิดทิ้งได้ (ญี่ปุ่น) ILLUMINATION 7.Self-Sustainable Inspiration จากการสำรวจกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ รวมไปถึงความนิยมในอุปกรณ์สร้างแรงบันดาลใจอย่าง Pinterest Instagram หรือ Nike Fuel เห็นได้ว่า ผู้คนทุกวันนี้มองหาความคิด หรือข้อความที่จะสร้างแรงบันดาลใจในแต่ละวัน ผู้บริโภคใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในการทำให้ชีวิตในแต่ละวันมีความสุขขึ้น นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าแบรนด์ต่างๆ ก็แข่งกันออกแคมเปญที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาสังคมในปี 2556 เช่น Inspiration Poster , สายรัดข้อมือ Nike Fuel, App “Lift” ฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเอง 8.Enterprise for The World การที่แบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับการทำความดี รวมไปถึงการร่วมมือกับองค์กรไม่หวังผลกำไร ผนวกกับความต้องการในการ “สร้างความแตกต่าง” ให้กับสังคมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทต่างๆ ไม่หยุดนิ่งในการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นในปี 2556 นี้อย่างแน่นอน และนักการตลาดก็จะใช้ความคิดสร้างสรรค์และปรัชญาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มาเป็นจุดขาย ขณะที่ผู้บริโภคจะมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือสังคมร่วมกับองค์กรมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น App “Charity Mile” ยิ่งวิงยิ่งบริจาค , PlantBottle ขวดทำจากพืช ของ Coca-Cola , แคมเปญ Home การให้ Commitment ด้านสิ่งแวดล้อมของ IKEA “เทรนด์ในปีหน้า จะมีความแตกต่างออกไปจากปีก่อนๆ ตรงที่ แทนที่นักการตลาดจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านนวัตกรรมให้กับแบรนด์และการพัฒนาสื่อดิจิตอลแต่เพียงอย่างเดียว ในปีหน้า แบรนด์จะให้ความสนใจกับการสร้างประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ เทรนด์ในปีหน้าจะมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาผสมผสานกับความปรารถนาของผู้บริโภค อาจจะไม่ได้เห็นเทคโนโลยีที่ Wow เหมือนปีก่อนๆ และสำหรับนักการสื่อสาร ปี 2556 คือการมุ่งเน้นไปที่กลวิธีที่จะสร้างความน่าภาคภูมิใจในแบรนด์ การสร้างประสบการณ์ที่สัมผัสได้ และการใส่ความมีชีวิตจิตใจลงไปในแบรนด์ เพื่อให้ผู้คนรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน” วฤตดา วรอาคม Chief Innovation Officer, McCann Worldgroup Thailand กล่าว
8 เทรนด์ผู้บริโภค ปี 2013 มีดังนี้: 1. Farm to Table Everything: จากกระแสเรื่องการดูแลสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคใส่ใจกับสิ่งที่ตนเองรับประทานเป็นอย่างมาก ทั้งกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ของส่วนผสมแต่ละชนิด เป็นต้น - นอกจากนี้การใส่ใจยังขยายไปสู่สินค้าประเภทอุปโภค เช่น สบู่ แชมพู อีกด้วย ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2556 ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่องประวัติ จุดมุ่งหมาย และจุดยืนของแบรนด์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นนักการตลาดต้องสร้าง Story ให้กับแบรนด์หรือสินค้า 2. Eclectic Avenue : ในยุคที่นวัตกรรมและโลกดิจิตอลได้สร้างนิยามใหม่ให้กับ “ความแปลกใหม่” ในสังคม ผู้บริโภคได้สัมผัสกับมิติใหม่แห่งการผสมผสานทางวัฒนธรรม การประยุกต์ศิลปะ และแบรนด์ร่วมกันสร้างสินค้าและบริการที่มีความเฉพาะตัว เช่น - Co-Brand , - Co-Product , - ศิลปะ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น: - Starbuck ที่ตกแต่งด้วยไม้ ประเทศ Japan, - คอลเล็คชั่นพิเศษของ Maison Martin Margiel ร่วมกับ H&M 3. Scent, The Mood Elixir: ความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้บริโภคมองหาหนทางคลายเครียดด้วยวิธีต่างๆ เราคาดการณ์ว่า ในปีหน้านี้ เราจะได้เห็นสินค้าและบริการแปลกใหม่ ที่จะให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายราวกับอยู่ในสปาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกระแสการคลายเครียดเช่นนี้ เป็นเสมือน “การสร้างความรู้สึกเหมือนฝันด้วยประสาทสัมผัส”ที่ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายเมื่อใช้สินค้าและบริการเหล่านี้ ผ่านการรับรู้จากประสาทสัมผัสแต่ในปีหน้านี้ ประสาทสัมผัสที่น่าจะได้รับการกระตุ้นที่สุด คือกลิ่นสัมผัส ตัวอย่างเช่น: - แคมเปญ Flavor Radio ของ Dunkin Donut ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ - การตั้งชื่อ Variant ของเครื่องสำอางค์ Lush เล่นกับอารมณ์ 4. Retail Wonderland: เมื่อผู้บริโภคในเมืองใหญ่มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนและการจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีค้นหาตำแหน่งกันมากขึ้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าในปีหน้านี้ เราจะได้เห็นวิวัฒนาการที่ “ล้ำหน้ากว่าการซื้อขายในร้านค้าปลีก” ทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันโดยทำให้ Retail Space ใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ต้องเข้าไปในร้าน สามารถซื้อสินค้าและบริการได้ทุกที่ทุกเวลา ตัวอย่างเช่น: - Virtual Window ของ Fendi ที่สามารถลองแว่นโดยไม่ต้องสวม - App “Square” จ่ายเงินด้วยชื่อและหน้าตาตนเอง 5. The State of Alchemy: เทคโนโลยีที่จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะพัฒนามาเพื่อการใช้งานของผู้คนในปัจจุบัน ทว่ายังจะพัฒนาเพื่อก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดเดิมๆ เช่น - อุปกรณ์อีเล็คโทรนิคสามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็น Ecosystem (บ้าน-แอร์-รถ-โทรศัพท์) , - นวัตกรรมด้านสุขภาพที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง (App ตรวจระดับน้ำตาล, App วางแผนออกกำลังกาย) 6. Asian Renaissance: ยุคทองของเอเชียจากความสำเร็จของสุดยอดเพลงดังแห่งยุคอย่าง กังนัม สไตล์ และปรากฎการณ์แอพลิเคชั่นยอดฮิตอย่าง LINE กับการใช้สติกเกอร์เก๋ๆ หรือการนำส่วนผสมของเอเซียมาใช้กับสินค้าหลากหลายประเภท ทำให้คาดการณ์ได้ว่า สำหรับตลาดโลกในปีหน้าแล้ว กระแสวัฒนธรรมแบบเอเซียจะยังคงความแรงไม่มีตก และทั่วโลกก็คงกำลังจับตามองอยู่ว่า “จะมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก” เช่น ความนิยม BB Cream (ทดลองในประเทศจีน) , LINE Sticker (เกาหลี) , I LOHAS ขวดน้ำบิดทิ้งได้ (ญี่ปุ่น) ILLUMINATION 7. Self-Sustainable Inspiration: จากการสำรวจกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ รวมไปถึงความนิยมในอุปกรณ์สร้างแรงบันดาลใจอย่าง Pinterest Instagram หรือ Nike Fuel เห็นได้ว่า ผู้คนทุกวันนี้มองหาความคิด หรือข้อความที่จะสร้างแรงบันดาลใจในแต่ละวัน ผู้บริโภคใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในการทำให้ชีวิตในแต่ละวันมีความสุขขึ้น นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าแบรนด์ต่างๆ ก็แข่งกันออกแคมเปญที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาสังคมในปี 2556 เช่น Inspiration Poster , สายรัดข้อมือ Nike Fuel, App “Lift” ฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเอง 8. Enterprise for The World: การที่แบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับการทำความดี รวมไปถึงการร่วมมือกับองค์กรไม่หวังผลกำไร ผนวกกับความต้องการในการ “สร้างความแตกต่าง” ให้กับสังคมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทต่างๆ ไม่หยุดนิ่งในการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นในปี 2556 นี้อย่างแน่นอน และนักการตลาดก็จะใช้ความคิดสร้างสรรค์และปรัชญาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มาเป็นจุดขาย ขณะที่ผู้บริโภคจะมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือสังคมร่วมกับองค์กรมากยิ่งขึ้น
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53038
Retail
ช่วยสรุปบทความ สยามพิวรรธน์-สยามพารากอน-ไอคอนสยาม กวาดรางวัลระดับโลกจาก Global Brand Awards 2023 ตอกย้ำสุดยอด Global Destination ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) นับเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจรีเทล ไม่แพ้การขยายศูนย์การค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพราะประสบการณ์เป็นกลยุทธ์ที่จะสร้างความแตกต่างท่ามกลางคู่แข่ง ทั้งยังทำให้ศูนย์การค้าเป็นที่หนึ่งในใจนักช้อป จึงทำให้แนวทางการทำธุรกิจของ “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับเหล่านักช้อปมาตลอด จนสามารถพัฒนาศูนย์การค้าที่ได้มาตรฐานและกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ครองใจนักช้อปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก อีกทั้งล่าสุดสยามพิวรรธน์ สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังกวาดรางวัลระดับโลกจาก Global Brand Awards 2023 มาครองถึง 3 รางวัล โดยทั้ง 3 รางวัล แบรนด์ค้าปลีก ที่ไม่เคยหยุดสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่แตกต่าง กว่า 64 ปีของการดำเนินธุรกิจ กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ นอกจากจะเป็นองค์กรที่ปรับตัวเองให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในวงการค้าปลีก เพื่อนำเสนอประสบการณ์เหนือความคาดหมายที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กับนักช้อปทุกคน ดังนั้น คุณมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด บอกว่า การได้รับรางวัลจาก Global Brand Awards 2023 จึงสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ในฐานะผู้พัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้คนในทุกเจนเนอเรชั่น ที่พร้อมมอบประสบการณ์แปลกใหม่และสร้างแรงบันดาลใจ สร้างชื่อเสียงบนเวทีโลกเสมอมา
การสร้างประสบการณ์ลูกค้าเป็นหัวใจของธุรกิจรีเทล ที่สำคัญไม่ต่างจากการขยายศูนย์การค้า เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่ง กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักช้อป เพื่อพัฒนาศูนย์การค้าเป็นจุดหมายปลายทางที่นักช้อปทั้งไทยและต่างชาติต้องการ สยามพิวรรธน์ สยามพารากอน และไอคอนสยามได้รับรางวัลจาก Global Brand Awards 2023 ถึง 3 รางวัล กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์มีประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไม่ซ้ำซากในอุตสาหกรรมค้าปลีกมากกว่า 64 ปี และได้รับรางวัลจาก Global Brand Awards 2023 3 รางวัล การได้รางวัลนี้ยังยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ในการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่ไม่เพียงเป็นศูนย์การค้า แต่เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้คนทุกเจนเนอเรชั่น ที่สร้างประสบการณ์แปลกใหม่และสร้างชื่อเสียงที่มีความสำคัญในเวทีโลก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53041
Retail
BIZCUIT Vision Analytics (BVA) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: -การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า: BVA สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เช่น จำนวนลูกค้าที่เข้า-ออกร้าน ระยะเวลาที่ลูกค้าใช้จ่ายในร้าน สินค้าที่ลูกค้าหยิบขึ้นมาดู สินค้าที่ลูกค้าซื้อ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการจัดวางสินค้า การจัดการพนักงาน และการทำการตลาด -การลดต้นทุน: BVA สามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ต้นทุนพนักงาน ต้นทุนสินค้าคงคลัง ฯลฯ -การเพิ่มยอดขาย: BVA สามารถช่วยเพิ่มยอดขาย เช่น การแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การจัดโปรโมชั่นที่ตรงจุด -การปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า: BVA สามารถช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การลดระยะเวลาการรอคิว การจัดบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกสามารถใช้ BVA เพื่อวิเคราะห์ว่าสินค้าประเภทใดที่ลูกค้าสนใจมากที่สุด ร้านค้าปลีกสามารถใช้ BVA เพื่อวิเคราะห์ว่าพนักงานมีประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าหรือไม่ ร้านค้าปลีกสามารถใช้ BVA เพื่อวิเคราะห์ว่าจุดไหนในร้านที่มีลูกค้าหนาแน่นที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดบางประการในการใช้ BVA: ค่าใช้จ่าย: BVA อาจมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ความเป็นส่วนตัว: BVA อาจเก็บข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ความแม่นยำ: BVA อาจมีความผิดพลาดในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสรุป: BVA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกควรพิจารณาข้อจำกัดของ BVA before implementing it. ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีก "A" ใช้ BVA เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและปรับปรุงการจัดวางสินค้า ร้านค้าปลีก "B" ใช้ BVA เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของพนักงานและจัดฝึกอบรมเพิ่มเติม ร้านค้าปลีก "C" ใช้ BVA เพื่อวิเคราะห์จุดที่ลูกค้าหนาแน่นที่สุดและปรับปรุงการจัดการพื้นที่ในร้าน
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53044
Retail
รางวัลสุดยอดห้างสรรพสินค้าที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับโลก ในงาน IGDS World Department Store Summit 2023 เป็นการยกย่องห้างสรรพสินค้าที่มีลักษณะใด
A. การนำนวัตกรรมมาพัฒนาและทรานฟอร์มที่ดีที่สุดในโลก รวมทั้งรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ B. การยอมรับจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 37 ประเทศ ใน 5 ทวีป C. มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเยอรมนี D. การเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ในยุโรป
คำตอบคือ A. เพราะว่า เพราะรางวัลสุดยอดห้างสรรพสินค้าที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับโลก ในงาน IGDS World Department Store Summit 2023 เป็นการยกย่องห้างสรรพสินค้าที่มีการนำนวัตกรรมมาพัฒนาและทรานฟอร์มที่ดีที่สุดในโลก รวมทั้งรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ กลุ่มเซ็นทรัล คว้า 2 รางวัลทรงเกียรติจาก Intercontinental Group of Department Stores (IGDS) สมาคมห้างสรรพสินค้าที่มีบทบาทสำคัญสูงสุดในธุรกิจห้างสรรพสินค้าทั่วโลก ประกอบด้วย “รางวัลห้างสรรพสินค้าที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับโลก” (Most Innovative Department Store in the World) มอบให้กับห้างในกลุ่มคาเดเวทั้ง 3 แห่ง และ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในประเภท “ทีมบริหารห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก” (World’s Best Team at a Department Store) มอบให้กับทีมบริหารไวน์และเครื่องดื่ม ของห้างคาเดเว กรุงเบอร์ลิน ตอกย้ำการเป็น ห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ในยุโรป เครือกลุ่มเซ็นทรัล ปักหมุดผู้นำรีเทลไอคอนนิกโลก สำหรับพิธีประกาศรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นในงาน IGDS World Department Store Summit (WDSS 2023) ณ นครดูไบ ห้างกลุ่มคาเดเว ภายใต้การบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ได้รับ 2 รางวัลทรงคุณค่าจาก IGDS ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่ได้รับการยอมรับจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 37 ประเทศ ใน 5 ทวีป ได้แก่ 1. รางวัลสุดยอดห้างสรรพสินค้าที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระดับโลก (Most Innovative Department Store in the World) ซึ่งเป็นการยกย่องห้างสรรพสินค้าที่มีการนำนวัตกรรมมาพัฒนาและทรานฟอร์มที่ดีที่สุดในโลก รวมทั้งรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยมอบให้กับห้างในกลุ่มคาเดเวทั้ง 3 แห่ง คือ “คาเดเว” (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน, “อัลสแตร์เฮาส์” (Alsterhaus) เมืองฮัมบูร์ก และ “โอเบอร์โพลลิงเกอร์” (Oberpollinger) เมืองมิวนิก 2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีมบริหารห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Team at a Department Store) มอบให้กับทีมบริหารไวน์และเครื่องดื่ม ของห้างคาเดเว กรุงเบอร์ลิน ด้วยความโดดเด่นในการบริการไวน์และเครื่องดื่มระดับพรีเมียมที่มีความหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลกในร้านอาหารและบาร์ ทำให้ได้รับเสียงชื่นชมและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยทั้ง 2 รางวัลดังกล่าวถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ในการบริหารห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมทั้งขอขอบคุณทางคณะกรรมการ IGDS สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ และสิ่งสำคัญต้องขอขอบคุณทีมบุคลากรคุณภาพทุกคน ที่มีความมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างแท้จริง ส่งผลให้ ห้างคาเดเว, อัลสแตร์เฮาส์ และ โอเบอร์โพลลิงเกอร์ ประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้ และครองสุดยอดผู้นำค้าปลีกที่มีผลงานด้านนวัตกรรมโดดเด่นที่สุดในโลก (the most innovative retail icons in the world)
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53046
Retail
การประกาศปิดให้บริการของ Target ห้างดังของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีขึ้นในรัฐนิวยอร์ก ซีแอทเทิล พอร์ทแลนด์ และย่านเบย์แอเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากอะไร
อาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้ ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยากจะรับมือ นั่นคือสถานการณ์การปล้นสะดมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีผลทำให้ห้างดังอย่าง Target ออกมาประกาศปิดให้บริการ 9 สาขาใน 4 รัฐพร้อมกันรวดเดียว พร้อมประกาศตัวเลขความเสียหายที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 44,112 ล้านบาท การประกาศปิดให้บริการของ Target ห้างดังของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีขึ้นในรัฐนิวยอร์ก ซีแอทเทิล พอร์ทแลนด์ และย่านเบย์แอเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากมีการปล้นสะดมในห้างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ซีอีโอ Brian Cornell ยอมรับว่า การปล้นชิงสินค้าที่เกิดขึ้นค่อนข้างถี่นี้ ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายด้านสินค้าคงคลังราว 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 44,112 ล้านบาท ส่วนในปีที่แล้ว ข้อมูลจาก Target ในเดือนพฤศจิกายนระบุไว้ว่า ความเสียหายจากการถูกโจรกรรมสร้างความเสียหายให้บริษัท 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดค้าปลีกอเมริกาสูญเสียรวม 4.11 ล้านล้านบาท นอกจากตัวเลขความเสียหายที่ห้าง Target นำมาเปิดเผยแล้ว ยังมีผลสำรวจจาก the National Retail Federation ที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า ธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ได้รับความเสียหายจากการปล้มสะดมรวมกันมากกว่า 112,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4.11 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2022 ราว 1.6% (ปี 2022 ธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาได้รับความเสียหายจากการถูกขโมยของราว 94,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นตัวเลขรวมการถูกขโมยจากพนักงานของบริษัทเอง และการขโมยของบุคคลภายนอก) Target ห้างแรกที่ยกเหตุ “โจรกรรม” ในการปิดตัว สำหรับห้างของ Target ที่จะปิดให้บริการนั้น พบว่าอยู่ในนิวยอร์กหนึ่งแห่ง ซีแอทเทิลสองแห่ง พอร์ทแลนด์สามแห่ง และย่านเบย์แอเรียของซานฟรานซิสโกอีกสามแห่ง โดยจะปิดตัวในวันที่ 12 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งรายงานจาก Business Insider ระบุว่า Target ถือเป็นธุรกิจค้าปลีกแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาที่ยกประเด็นการถูกโจรกรรมสินค้าเป็นเหตุผลในการปิดห้าง ขณะที่ซีอีโอเผยด้วยว่า การโจรกรรมและการใช้ความรุนแรงในห้าง Target นั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้ว่าทางบริษัทจะพยายามจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยเพิ่ม หรือติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน จึงมีความจำเป็นต้องปิดตัวห้างในพื้นที่ที่กล่าวมา และจะมีการเสนอตำแหน่งงานในพื้นที่อื่น ๆ ให้กับพนักงานเหล่านั้นต่อไป ลดเวลาให้บริการ เหตุโจรกรรมสินค้าที่มาพร้อมความรุนแรงในสหรัฐอเมริกายังทำให้ 50% ของห้างค้าปลีกที่อยู่ในผลสำรวจตัดสินใจลดเวลาการให้บริการลง และ 28% ยอมรับว่าได้ปิดห้างไปเลยเพื่อความปลอดภัย ข้อมูลจาก the National Retail Federation ในปี 2022 ชี้ถึงที่มาของการโจรกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกว่ามาจากกลุ่มอาชญากรค้าปลีก หรือ Organized retail crime (ORC) ที่ไม่ได้ขโมยสินค้าเพราะไม่มีทางเลือก แต่ทำเพราะต้องการนำไปขายต่อเพื่อแสวงหากำไร เห็นได้จากสินค้าที่ถูกขโมยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองเท้ากีฬายี่ห้อดัง และนมผงสำหรับเด็ก ซีอีโอของ Target ยังเผยทิ้งท้ายด้วยว่า ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่ Target จะแก้ได้ตามลำพังแล้ว จึงมองว่า การปิดห้างในพื้นที่ที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้
การประกาศปิดให้บริการของ Target ห้างดังของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีขึ้นในรัฐนิวยอร์ก ซีแอทเทิล พอร์ทแลนด์ และย่านเบย์แอเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย: - เนื่องจากมีการปล้นสะดมในห้างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ซีอีโอ Brian Cornell ยอมรับว่า การปล้นชิงสินค้าที่เกิดขึ้นค่อนข้างถี่นี้ ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายด้านสินค้าคงคลังราว 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 44,112 ล้านบาท ส่วนในปีที่แล้ว ข้อมูลจาก Target ในเดือนพฤศจิกายนระบุไว้ว่า ความเสียหายจากการถูกโจรกรรมสร้างความเสียหายให้บริษัท 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดค้าปลีกอเมริกาสูญเสียรวม 4.11 ล้านล้านบาท: - นอกจากตัวเลขความเสียหายที่ห้าง Target นำมาเปิดเผยแล้ว ยังมีผลสำรวจจาก the National Retail Federation ที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า ธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ได้รับความเสียหายจากการปล้มสะดมรวมกันมากกว่า 112,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4.11 ล้านล้านบาท - ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2022 ราว 1.6% (ปี 2022 ธุรกิจค้าปลีกของสหรัฐอเมริกาได้รับความเสียหายจากการถูกขโมยของราว 94,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นตัวเลขรวมการถูกขโมยจากพนักงานของบริษัทเอง และการขโมยของบุคคลภายนอก) Target ห้างแรกที่ยกเหตุ “โจรกรรม” ในการปิดตัว: - สำหรับห้างของ Target ที่จะปิดให้บริการนั้น พบว่าอยู่ในนิวยอร์กหนึ่งแห่ง ซีแอทเทิลสองแห่ง พอร์ทแลนด์สามแห่ง และย่านเบย์แอเรียของซานฟรานซิสโกอีกสามแห่ง โดยจะปิดตัวในวันที่ 12 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งรายงานจาก Business Insider ระบุว่า Target ถือเป็นธุรกิจค้าปลีกแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาที่ยกประเด็นการถูกโจรกรรมสินค้าเป็นเหตุผลในการปิดห้าง ขณะที่ซีอีโอเผยด้วยว่า การโจรกรรมและการใช้ความรุนแรงในห้าง Target: - นั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา แม้ว่าทางบริษัทจะพยายามจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยเพิ่ม หรือติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการโจรกรรมแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล - ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน จึงมีความจำเป็นต้องปิดตัวห้างในพื้นที่ที่กล่าวมา และจะมีการเสนอตำแหน่งงานในพื้นที่อื่น ๆ ให้กับพนักงานเหล่านั้นต่อไป ลดเวลาให้บริการ: - เหตุโจรกรรมสินค้าที่มาพร้อมความรุนแรงในสหรัฐอเมริกายังทำให้ 50% ของห้างค้าปลีกที่อยู่ในผลสำรวจตัดสินใจลดเวลาการให้บริการลง และ 28% ยอมรับว่าได้ปิดห้างไปเลยเพื่อความปลอดภัย ข้อมูลจาก the National Retail Federation ในปี 2022 ชี้ถึงที่มาของการโจรกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกว่า: - มาจากกลุ่มอาชญากรค้าปลีก หรือ Organized retail crime (ORC) ที่ไม่ได้ขโมยสินค้าเพราะไม่มีทางเลือก แต่ทำเพราะต้องการนำไปขายต่อเพื่อแสวงหากำไร เห็นได้จากสินค้าที่ถูกขโมยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองเท้ากีฬายี่ห้อดัง และนมผงสำหรับเด็ก ซีอีโอของ Target ยังเผยทิ้งท้ายด้วยว่า ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่ Target จะแก้ได้ตามลำพังแล้ว จึงมองว่า การปิดห้างในพื้นที่ที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53047
Retail
‘Creative Dining Destination’ ของ Holiday Pastry ร้านขนมและ All Day Dining สุดฮอตย่านเจริญนคร เป็นอย่างไร
Holiday Pastry จากร้านขนมและ All Day Dining สุดฮอตย่านเจริญนคร สู่ผู้ท้าชิงรายใหม่ตลาดขนมหวาน-อาหารแบบเต็มสูบแบบ ‘Creative Dining Destination’ ในแบบฉบับ “The One & Only” เป็นครั้งแรก โดยฝีมือการปั้นของ 2 หน่มหล่อตระกูลดัง “ไท้-วสุวัส คูหาเปรมกิจ” และ “อิน-สาริน รณเกียรติ” โดยร้านสาขาแรก Holiday Pastry เปิดที่โครงการ Ours เจริญนคร เป็นแฟล็กชิพสโตร์ขนาดใหญ่ กว่าเดิม 3 เท่า มีพื้นที่รวม 400 ตารางเมตร และรุกขยายอีก 2 สาขาใหม่เข้าศูนย์การค้าใจกลางกรุง ประเดิมด้วย ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซอฟท์โอเพนนิง กันยายนนี้ ตามด้วยโครงการ ดิเอ็มสเฟียร์ ปลายปี 2566 คาดยอดขายปีนี้แตะ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโต 300% ภายใน 3 ปี คุณวสุวัส คูหาเปรมกิจ Co-Founder และ Brand Director บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวว่า Holiday Pastry สร้างชื่อจากร้านขนมออนไลน์ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน จากการเล็งเห็นช่องว่างของตลาดร้านขนม ในประเทศ ไทย ที่ยังมีผู้เล่นหลักๆ ไม่กี่ราย และยังขาดความหลากหลาย เมื่อเทียบกับนิวยอร์ก ลอนดอน โซล และซิดนีย์ ที่สำคัญ ร้านขนม ที่มีส่วนใหญ่ยังเป็นร้าน Specialty ที่เน้นขายเฉพาะขนมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีไอเดียว่า อยากปั้นแบรนด์ ร้านขนมที่เป็น The One and Only นำเสนอประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย คุณวสุวัส คูหาเปรมกิจ “เราเริ่มต้นจากการเปิดร้านออนไลน์ เน้นขายผ่านเดลิเวอรี เพราะเปิดตัวในช่วงโควิด-19 พอดี แต่เรามีแผนธุรกิจ 5 ปี (2020-2025) ชัดเจน ตั้งแต่แรกว่าจะขยายธุรกิจ โดยประกอบด้วยแผนงานแต่ละปีดังนี้” ด้านคุณสาริน รณเกียรติ Co-Founder และ Creative Director บริษัท เดอะ ฮอลิเดย์ จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกจากแผนธุรกิจที่วางแผนมาอย่างดีในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์การตลาดของ Holiday Pastry ก็แน่นไม่แพ้กัน ทำให้ Holiday Pastry ได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่เปิดตัว รายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดปีละ 100% โดยกลยุทธ์ที่เป็นแกนหลักของ Holiday Pastry คือ กลยุทธ์ 3C ประกอบด้วย คุณสาริน รณเกียรติ “เราไม่ได้เน้นแค่เรื่อง Customer Centric แต่เราให้ความสำคัญกับ Customer Obsession หรือ สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ อย่างคอนเซ็ปต์ร้าน เราตั้งใจมอบประสบการณ์แบบ Full Experience ให้กับลูกค้า เริ่มตั้งแต่จุดเล็กๆ ตั้งแต่การรังสรรค์เมนูขนมและอาหาร ไปจนถึงการตกแต่งร้าน จาน ชาม ชุดพนักงานล้วนผ่านการออกแบบอย่างดี เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดและอรรถรสสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเมื่อลูกค้าเปิดประตูเข้ามาในร้าน จะได้กลิ่นหอมที่ เราคราฟต์ขึ้นมาเฉพาะ เสียงเพลงที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เข้ากับบรรยากาศร้านที่ดีไซน์ให้กลิ่นอายของช่วงเวลาแห่งการ พักผ่อน ใช้โทนสีเหลืองสะท้อนช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก เติมเต็มด้วยรสชาติของอาหารและขนมที่รังสรรค์อย่างดี ให้รสชาติอร่อยและมอบรสสัมผัสที่หลากหลาย มีเทกซ์เจอร์ที่มากกว่า 1 มิติในแต่ละเมนู นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็น ‘Creative Dining Destination’ ในแต่ละสาขา ยังตั้งใจออกแบบเพื่อนำเสนอ ประสบการณ์แบบ The One and Only อย่าง แฟล็กชิฟสโตร์ ที่กำลังจะขยายในปลายปีนี้ “คอนเซปต์ที่เราวางไว้คือ เป็นการจำลองบรรยากาศ Hotel Lobby ในมหานครนิวยอร์ค ยุค Art Deco ที่มีการเล่นกับสีสันสะดุดตาราวกับหลุดไปอยู่ในหนังของผู้กำกับชื่อดัง Wed Anderson ภายในประกอบด้วยโซน Immersive Experince ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เดินทางวาร์ปจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่โซน รับประทานอาหาร ที่เราตั้งใจออกแบบให้ความรู้สึกเหมือนล็อบบี้โรงแรม เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก สามารถมาดื่มด่ำกับอาหารและขนมที่ทุกเมนูรังสรรค์ด้วยความใส่ใจ ทั้ง รสชาติและคุณภาพ แถมยังใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในทุกเมนู โดยปรับจาก Brunch มาเป็น Dinner มีการปรับ เพิ่มจากเมนูเดิมที่มีอยู่ 40 เมนู เป็น 100 เมนู โดยตั้งใจว่า ในแต่ละสาขาจะยังคงเมนูยอดฮิตและซิกเนเจอร์ไว้ เพิ่มเติมคือ เมนูพิเศษที่เป็น The One and Only ของแต่ละสาขา ซึ่งเป็นเหมือนมิชชั่นให้ลูกค้าต้องตามเก็บให้ครบ และยังมีโซนช็อปปิง สำหรับซื้อสินค้าหรือของที่ระลึกจาก Holiday Pastry” คุณสาริน ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะเริ่มจากขายผ่านออนไลน์ แต่ทางแบรนด์ให้ความสำคัญกับการบริการเป็นอย่างมาก “อย่างการตอบแชทลูกค้า ผมนำอินไซต์จากการรับออร์เดอร์ ตอบแชทลูกค้าเองในช่วง 2-3 เดือนแรกมาทำเป็นไบเบิ้ล เพื่อเทรนพนักงานเลยว่า ต้องตอบคำถามลูกค้าอย่างไร จนตอนที่เปิดร้าน ก็ยังให้ความสำคัญกับการให้บริการของพนักงานตั้งแต่การต้อนรับ พาลูกค้าไปนั่งที่โต๊ะ” สำหรับความท้าทายของธุรกิจของอาหารและขนม สาริน กล่าวว่า “Food is Fashion” ธุรกิจอาหารก็เหมือน แฟชั่น มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากจะฟังเสียงลูกค้า เรายังต้องตามเทรนด์ให้ทันและมีมูฟเมนต์ใหม่ ที่ฉับไวเสมอ ทางร้านเองเคยร่วมงานกับแบรนด์ร้านอาหารด้วยกันมาแล้ว ต่อจากนี้ ก็มีโปรเจ็กต์ที่จะร่วมงานกับแบรนด์ดังหลายแบรนด์ในทุกไตรมาสไปจนถึงปีหน้า ซึ่งเป็นแบรนด์ในวงการอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในระดับเอเชีย ไปจนถึง แบรนด์ระดับโลก” ปิดท้ายด้วยเป้าหมายในอนาคตของ Holiday Pastry นั้น ทั้งสองมองว่า ปัจจุบันลูกค้าหลักของ Holiday Pastry เป็นคนไทย 60% ชาวต่างชาติ 40% โดยฐานลูกค้าหลักที่เรามองไว้ คือ กลุ่มครอบครัว และนักท่องเที่ยว ดังนั้น แผนธุรกิจอีก 3 ปีข้างหน้าที่วางไว้ คือ อยากให้ Holiday Pastry เป็นมากกว่าแบรนด์ร้านอาหารและขนม แต่เป็น Food Retail ที่พร้อมต่อยอดธุรกิจในกลุ่มอาหารและขนมไปสู่การแตกแบรนด์ใหม่ พร้อมนำเข้าแบรนด์อาหาร หรือขนมจากต่างประเทศมาเปิดในไทย ไปจนถึงการแตกไลน์สินค้าภายใต้ Holiday Pastry โดยคาดว่า ปี 2566 จะทำยอดขายแตะ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าว่า ธุรกิจจะเติบโต 300% ภายใน 3 ปี และในอนาคตสามารถเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจอาหาร และขนม
‘Creative Dining Destination’ ในแต่ละสาขา ทางร้านตั้งใจออกแบบเพื่อนำเสนอ ประสบการณ์แบบ The One and Only อย่าง แฟล็กชิฟสโตร์ ที่กำลังจะขยายในปลายปีนี้ “คอนเซปต์ที่เราวางไว้คือ เป็นการจำลองบรรยากาศ Hotel Lobby ในมหานครนิวยอร์ค ยุค Art Deco ที่มีการเล่นกับสีสันสะดุดตาราวกับหลุดไปอยู่ในหนังของผู้กำกับชื่อดัง Wed Anderson ภายในประกอบด้วยโซน Immersive Experince ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เดินทางวาร์ปจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่โซน รับประทานอาหาร
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53050
Retail
กลยุทธ์ทาง Retail ของ 11 SKIES มีอะไรบ้าง
null
กลยุทธ์ทาง Retail ของ 11 SKIES มีดังนี้: 1. เน้นประสบการณ์ (Experiential Retail): 11 SKIES มุ่งเน้นไปที่การมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าร้านค้าทั่วไป โดยผสมผสานการช้อปปิ้ง เข้ากับความบันเทิง และวัฒนธรรม 2. ร้านค้าหลากหลาย: 11 SKIES มีร้านค้าปลีกกว่า 800 ร้านค้า ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท 3. ร้านอาหาร: 11 SKIES มีตัวเลือกร้านอาหารหลากหลายสไตล์กว่า 120 ร้าน 4. สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก: 11 SKIES มีสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกครั้งแรกในฮ่องกงจำนวน 8 แห่ง 5. ทำเลที่ตั้ง: 11 SKIES ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินและสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า 6. ความร่วมมือ: 11 SKIES ร่วมมือกับฮ่องกงดิสนีย์แลนด์รีสอร์ท 7. โปรแกรมสะสมคะแนน: 11 SKIES เสนอโปรแกรมสะสมคะแนนสำหรับสมาชิกรวมกว่า 20 ล้านคน 8. กิจกรรมทางการตลาด: 11 SKIES จัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่ K11 ทั่วฮ่องกงและพื้นที่ GBA กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ 11 SKIES ดึงดูดลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก และกลายเป็นศูนย์กลาง Retail ที่สำคัญของฮ่องกง รายละเอียดเพิ่มเติม: เน้นประสบการณ์ (Experiential Retail): 11 SKIES มุ่งเน้นไปที่การมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าร้านค้าทั่วไป โดยผสมผสานการช้อปปิ้ง เข้ากับความบันเทิง และวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น 11 SKIES มี "Sky Park" สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าขนาด 350,000 ตารางฟุต ซึ่งมีสวนป่า พื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะ และพื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ ร้านค้าหลากหลาย: 11 SKIES มีร้านค้าปลีกกว่า 800 ร้านค้า ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท เช่น แฟชั่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ของตกแต่งบ้าน ของเล่น และอื่นๆ ร้านอาหาร: 11 SKIES มีตัวเลือกร้านอาหารหลากหลายสไตล์กว่า 120 ร้าน สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก: 11 SKIES มีสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกครั้งแรกในฮ่องกงจำนวน 8 แห่ง เช่น "The DreamWorks Experience" สวนสนุกในร่มแห่งแรกในฮ่องกง ทำเลที่ตั้ง: 11 SKIES ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินและสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ความร่วมมือ: 11 SKIES ร่วมมือกับฮ่องกงดิสนีย์แลนด์รีสอร์ท โปรแกรมสะสมคะแนน: 11 SKIES เสนอโปรแกรมสะสมคะแนนสำหรับสมาชิกรวมกว่า 20 ล้านคน กิจกรรมทางการตลาด: 11 SKIES จัดกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่ K11 ทั่วฮ่องกงและพื้นที่ GBA สรุป: 11 SKIES เป็นศูนย์กลาง Retail ที่มีความทันสมัย นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าร้านค้าทั่วไป กลยุทธ์ทาง Retail ของ 11 SKIES ช่วยให้ดึงดูดลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก และกลายเป็นศูนย์กลาง Retail ที่สำคัญของฮ่องกง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53057
Retail
การแต่งตั้งคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม เป็น CEO คนใหม่ของ SCG จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ SCG หรือไม่?
null
เป็นไปได้ เหตุผล: ประสบการณ์: คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม มีประสบการณ์การทำงานในธุรกิจค้าปลีกของ SCG มาแล้ว เช่น เคยเป็น Head of Distribution and Retail Business-SCG Cement-Building Materials Company Limited วิสัยทัศน์: คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจค้าปลีกของ SCG ต้องการขยายธุรกิจค้าปลีกทั้งในประเทศและต่างประเทศ กลยุทธ์: คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม มุ่งเน้นกลยุทธ์ Omni-Channel ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เทคโนโลยี: คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ทีม: คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม มีทีมบริหารที่มีความสามารถ ตัวอย่าง: - คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม นำกลยุทธ์ใหม่มาใช้ในธุรกิจค้าปลีกของ SCG - คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ขยายธุรกิจค้าปลีกของ SCG ไปยังต่างประเทศ - คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม พัฒนาระบบออนไลน์สำหรับธุรกิจค้าปลีกของ SCG สรุป: การแต่งตั้งคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม เป็น CEO คนใหม่ของ SCG เป็นไปได้ว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ SCG อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีก เช่น สภาวะเศรษฐกิจ คู่แข่ง นโยบายของรัฐบาล ฯลฯ ดังนั้น จึงไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า การแต่งตั้งคุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม จะเป็น CEO คนใหม่ของ SCG จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ SCG หรือไม่
null
Classification
cc-by-nc-4.0
Retail_53059
Retail
โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯคืออะไร
A. สุขสันต์กลางกรุง B. พระราม 4 C. วัน แบงค็อก D. เพ็ญศิริ
คำตอบที่ถูกต้องคือ C. โครงการ “วัน แบงค็อก” (One Bangkok)โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมพื้นที่ 104 ไร่ บนถนนพระราม 4 “โครงการ วัน แบงค็อก ซึ่งถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีการออกแบบมาสเตอร์แพลนมาอย่างครบครัน นับเป็นโครงการฯ ที่จะนำความภาคภูมิใจมาสู่ประเทศ และด้วยประสบการณ์การทำงานด้านรีเทลมากว่า 20 ปี ดิฉันจึงมีความมุ่งมั่นและมั่นใจในการนำความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์มาใช้ในการบริหารงานเพื่อผลักดันให้ วัน แบงค็อก สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ระดับโลกที่จะสามารถครองความเป็นที่หนึ่งในใจของนักช้อปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” คุณพลินี คงชาญศิริ กล่าวทิ้งท้าย ​
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53061
Retail
กลยุทธ์ของ CP All ในการขยายธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในภูมิภาคเอเชียมีอะไรบ้าง และแบรนด์อื่น ๆ ในกลุ่ม Retail สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร
null
กลยุทธ์ของ CP All ในการขยายธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในภูมิภาคเอเชียมีดังนี้: 1. ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง: CP All มุ่งเน้นการขยายสาขาแม็คโครและโลตัสอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยและต่างประเทศ กลยุทธ์นี้ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 2. พัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์: CP All ลงทุนในแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ เช่น MakroClick และ Lotus’s Smart App เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป กลยุทธ์นี้ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า 3. ผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์: CP All ผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่สาขา หรือสั่งซื้อสินค้าที่สาขาและจัดส่งสินค้าถึงบ้าน กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการขาย 4. เน้นสินค้าอาหารสด: CP All เน้นสินค้าอาหารสด ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง กลยุทธ์นี้ช่วยดึงดูดลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง 5. ปรับโฉมร้านค้าแบบไฮบริด: CP All ปรับโฉมร้านค้าแบบไฮบริด ซึ่งผสมผสานรูปแบบของแม็คโครและโลตัส กลยุทธ์นี้ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และเพิ่มโอกาสในการขาย แบรนด์อื่น ๆ ในกลุ่ม Retail สามารถนำกลยุทธ์ของ CP All ไปประยุกต์ใช้ดังนี้: ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง: เลือกทำเลที่เหมาะสม และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ พัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์: ลงทุนในแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์: เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการขาย เน้นสินค้าที่มีความต้องการสูง: ดึงดูดลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ปรับโฉมร้านค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า: ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และเพิ่มโอกาสในการขาย ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์: แบรนด์เสื้อผ้า: ขยายสาขาในต่างประเทศ พัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ ผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ เน้นสินค้าแฟชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า แบรนด์เครื่องสำอาง: ขยายสาขาในต่างประเทศ พัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ ผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ เน้นสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย แบรนด์ของเล่น: ขยายสาขาในต่างประเทศ พัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ ผสานช่องทางการขายออนไลน์และออฟไลน์ เน้นสินค้าที่มีความปลอดภัยและส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เพิ่มความผูกพันกับลูกค้า ข้อควรระวัง: กลยุทธ์เหล่านี้อาจไม่เหมาะกับทุกแบรนด์ แบรนด์ควรศึกษาความต้องการของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด แบรนด์ควรพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้า สรุป:กลยุทธ์ของ CP All ในการขยายธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในภูมิภาคเอเชีย มีความน่าสนใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแบรนด์อื่น ๆ ในกลุ่ม Retail ได้
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53063
Retail
ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย กลยุทธ์แบบ Omnichannel ของเซ็นทรัลพัฒนา มีความสำคัญอย่างไรต่อการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีก?
null
กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัลพัฒนา มีความสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกในยุคดิจิทัล ดังนี้ 1. ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคในปัจจุบันใช้ช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป กลยุทธ์ Omnichannel ช่วยให้เซ็นทรัลพัฒนาสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย และช่องทางออฟไลน์ เช่น ศูนย์การค้า 2. มอบประสบการณ์ที่ราบรื่นไร้รอยต่อ กลยุทธ์ Omnichannel ช่วยให้ลูกค้าสามารถเริ่มต้นการช้อปปิ้งบนช่องทางหนึ่ง และทำต่อบนอีกช่องทางหนึ่งได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าบนเว็บไซต์ และลองสินค้าจริงที่ศูนย์การค้า หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และไปรับสินค้าที่ศูนย์การค้า 3. เพิ่มโอกาสในการขาย กลยุทธ์ Omnichannel ช่วยให้เซ็นทรัลพัฒนาสามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้หลากหลาย ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และเลือกให้จัดส่งถึงบ้าน หรือไปรับสินค้าที่ศูนย์การค้า 4. เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า กลยุทธ์ Omnichannel ช่วยให้เซ็นทรัลพัฒนาสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า และนำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม personalization ประสบการณ์การช้อปปิ้ง ตัวอย่างการนำกลยุทธ์ Omnichannel ไปใช้ของเซ็นทรัลพัฒนา -Central Retail App: แอปพลิเคชันที่รวบรวมสินค้าและบริการจากศูนย์การค้า ร้านค้า และแบรนด์ต่างๆ ของเซ็นทรัลพัฒนา ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อสินค้า ชำระเงิน และติดตามสถานะการจัดส่งได้บนแอปพลิเคชัน -Click & Collect: บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และไปรับสินค้าที่ศูนย์การค้า ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าบนเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน และเลือกเวลาที่จะไปรับสินค้าที่ศูนย์การค้า -Chat & Shop: บริการพูดคุยกับพนักงานขายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook Messenger และ LINE ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลสินค้า สั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านช่องทางเหล่านี้ ผลลัพธ์ กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัลพัฒนา ช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มยอดขาย ผลกำไร ตัวอย่างเช่น ในปี 2565 เซ็นทรัลพัฒนามียอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน บทสรุป กลยุทธ์ Omnichannel เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกในยุคดิจิทัล เซ็นทรัลพัฒนาได้นำกลยุทธ์นี้ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เพิ่มโอกาสในการขาย และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53089
Retail
ในประเทศเวียดนาม ธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล เติบโตต่อเนื่อง โดยต่อยอดความแข็งแกร่งจาก 2 โมเดลหลัก คืออะไรบ้าง
เซ็นทรัล รีเทล เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2566 โกยรายได้ 63,206 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,312 ล้านบาท ยอดเร่งปูพรม รีโนเวต “ห้างเซ็นทรัล-โรบินสัน-ไทวัสดุ” ครอบคลุมทุกหัวมุมเมือง พร้อมส่ง “Go!” ลุยค้าปลีกเวียดนามต่อเนื่อง 5 สาขา ดันรายได้สิ้นปีโต 12-15% ตามเป้า คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “ภาพรวมของเซ็นทรัล รีเทล มีการเติบโตแบบ Excellent Start ในทุกกลุ่มธุรกิจ และสร้างรายได้และกำไรเติบโตเกินกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 สำหรับในไตรมาส 1 มีรายได้รวมอยู่ที่ 63,206 ล้านบาท (+12% YoY) EBITDA 8,179 ล้านบาท (+24% YoY) และกำไรสุทธิ 2,312 ล้านบาท (+75% YoY) โดยยอดขายของกลุ่มแฟชั่นเติบโตถึง 30% กลุ่มฟู้ดเติบโต 9% และกลุ่มฮาร์ดไลน์ในประเทศไทยโตแบบสวนกระแสที่ 9% ทั้งหมดนี้จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถเติบโตในปี 2566 ตามเป้าที่ตั้งไว้ ด้วยรายได้เติบโต 12-15%” สำหรับปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดทั้งในไทยและต่างประเทศ มาจากความแข็งแกร่งของพอร์ตฟอลิโอที่มีความยืดหยุ่น และปรับตัวอยู่ตลอด รวมถึงการวางกลยุทธ์ที่เป็น Strategic move พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในช่วงโควิด-19 เดินหน้าปรับปรุงและพัฒนาห้างร้านต่างๆ ในเครือ รวมถึงยกระดับแพลตฟอร์ม Next-Gen Omnichannel ให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น ทั้งหมดได้สร้างผลลัพธ์ให้เห็นอย่างชัดเจนในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ประกอบกับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคค้าปลีก-บริการ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันเพิ่มมากขึ้น โดยมีไฮไลท์ธุรกิจที่เติบโตโดดเด่นในไตรมาส 1/2566 ดังนี้ คุณญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ CRC อัพเกรด “ห้างเซ็นทรัล-โรบินสัน” บุกเมืองท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า ทั้งในด้านสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ และบริการแบบ Total Solution ที่รู้ใจและเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด พร้อมแผนที่จะขยาย รีโนเวท และอัพเกรดสาขาจากห้างโรบินสันให้เป็นห้างเซ็นทรัลตามความเหมาะสมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ หลังจากได้เห็นการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในสาขาเมกะบางนา และขอนแก่นที่ได้เปลี่ยนเป็นห้างเซ็นทรัลก่อนหน้านี้ ประกอบกับปัจจัยบวกจากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว ทำให้ธุรกิจแฟชั่นในไทยและอิตาลีมียอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ 30% และยังทำให้กลุ่มห้างสรรพสินค้ากลับมาคึกคักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะห้างในหัวเมืองหลักที่เป็นย่านท่องเที่ยวและมีครบทุกความต้องการของลูกค้า อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน ในจังหวัดภูเก็ต ห้างเซ็นทรัลพัทยา ห้างเซ็นทรัลสาขาชิดลม และเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นต้น โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นชาวรัสเซีย จีน มิดเดิลอีสต์ ยุโรป และซาอุดิอาระเบีย ตามลำดับ สร้างยอดขายทัวริสต์ให้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 เพิ่มขึ้นเกือบ 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 (ก่อนการระบาดของโควิด-19) ปัจจุบันมีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสันรวมกันทั้งสิ้น 75 สาขาทั่วประเทศ และมีแผนที่จะเปิดอีก 2 สาขาภายในปีนี้ เบื้องต้นในไตรมาส 3 ของปีนี้จะเตรียมเปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุด โรบินสันไลฟ์สไตล์ เจ้าฟ้า จังหวัดภูเก็ต เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ สำหรับศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ถือเป็นผู้นำศูนย์การค้าที่ครอบคลุมจังหวัดมากที่สุดของประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 27 สาขา ครอบคลุม 25 จังหวัดทั่วไทย โดยในไตรมาส 1 มีรายได้จากค่าเช่าและบริการทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 24% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ในปี 2565 รวมทั้งยอดทราฟฟิกเข้าศูนย์ฟื้นตัวกลับมาเกือบ 100% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ส่ง “ไทวัสดุ” ขยายสาขาลุยกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์เบอร์ 2 ของไทย ขณะที่ ไทวัสดุ ในกลุ่มฮาร์ดไลน์เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง แม้ดำเนินธุรกิจมาเพียง 12 ปี โดยปัจจุบันไทวัสดุได้ก้าวสู่อันดับ 2 ในกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ของไทย และสามารถสร้างผลงานเติบโตโดดเด่นสวนกระแสในไตรมาสที่ 1/2566 นี้ แม้ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างและ DIY ชะลอตัว โดยมียอดขายเติบโต 15% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ในปี 2565 และยังมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮม มีสาขาทั่วประเทศถึง 74 สาขา ครอบคลุม 43 จังหวัด และมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 10 สาขาในปีนี้ ภายใต้ร้านค้า 2 ฟอร์แมทหลัก คือ ไทวัสดุ และไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม (ไฮบริด ฟอร์แมท) ทำให้ฐานลูกค้าของไทวัสดุเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นประจำกว่า 1 ล้านรายต่อเดือน พร้อมเสริมแกร่งด้วยแอปพลิเคชันไทวัสดุและบริการออมนิแชแนลครบวงจรของ ขณะที่ “ท็อปส์” จะเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ One Brand ที่รวมทุกโมเดลเข้ามาอยู่ภายใต้แบรนด์ “Tops” พร้อมคอนเซ็ปต์ใหม่ “Every Day DISCOVERY ค้นพบทุกวันที่ไม่ธรรมดา” โดยสามารถสร้างยอดขายเติบโตในไตรมาส 1 อยู่ที่ 16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ในปี 2565 พร้อมทั้งมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 15 สาขาในปีนี้ และพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนลให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบ 360 องศา ปูพรม GO! ทะยานบุกเวียดนามเพิ่ม 5 สาขา ในประเทศเวียดนาม ธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล เติบโตต่อเนื่อง โดยต่อยอดความแข็งแกร่งจาก 2 โมเดลหลัก คือ ศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! ที่ได้รับการปรับปรุงและยกระดับให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้ยอดทราฟฟิกของผู้บริโภค และยอด Occupancy ของร้านค้าเช่าเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน GO! ได้รับการรีแบรนด์จากบิ๊กซีเกือบครบ 100% และมีสาขารวมทั้งสิ้น 39 สาขา ครอบคลุม 29 จังหวัด จากทั้งหมด 63 จังหวัดในเวียดนาม รวมถึง Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์รวมสินค้าคุณภาพทั้งอาหารสดและแฟชั่นในราคาที่คุ้มค่า เพื่อมอบไลฟ์สไตล์ทันสมัยให้แก่ผู้คนในชานเมืองเวียดนาม ก็ยังคงเร่งเครื่องขยายสาขาเข้าถึงทุกชุมชน ทุกกลุ่มลูกค้า โดยปัจจุบัน Mini go! มีทั้งสิ้น 5 สาขา และเตรียมเปิดเพิ่มอีก 5-7 สาขาภายในปีนี้ “หลังจากการสร้างผลงานแบบ Excellent Start ในไตรมาส 1/2566 ของเซ็นทรัล รีเทล ที่ถือว่าประสบความสำเร็จ และเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้เราสามารถปิดปี 2566 ตามเป้าที่ตั้งไว้ ด้วยรายได้เติบโต 12-15% โดยเซ็นทรัล รีเทล ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างระมัดระวัง และขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านการเติบโตอย่างยั่งยืนและโตไปด้วยกัน (Inclusive Growth) พร้อมมุ่งมั่นที่จะเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกของเอเชีย” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย อ่านเพิ่มเติม 10 ปี เซ็นทรัล ใน “เวียดนาม” ประเทศที่เป็นทั้ง Red Ocean และ Blue Ocean กับเป้าหมาย 1.5 แสนล้าน ภายใน 5 ปี
ในประเทศเวียดนาม ธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล เติบโตต่อเนื่อง โดยต่อยอดความแข็งแกร่งจาก 2 โมเดลหลัก คือ ศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! ที่ได้รับการปรับปรุงและยกระดับให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้ยอดทราฟฟิกของผู้บริโภค และยอด Occupancy ของร้านค้าเช่าเพิ่มขึ้น โดย GO! ได้รับการรีแบรนด์จากบิ๊กซีเกือบครบ 100% และมีสาขารวมทั้งสิ้น 39 สาขา ครอบคลุม 29 จังหวัด จากทั้งหมด 63 จังหวัดในเวียดนาม รวมถึง Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์รวมสินค้าคุณภาพทั้งอาหารสดและแฟชั่นในราคาที่คุ้มค่า เพื่อมอบไลฟ์สไตล์ทันสมัยให้แก่ผู้คนในชานเมืองเวียดนาม ก็ยังคงเร่งเครื่องขยายสาขาเข้าถึงทุกชุมชน ทุกกลุ่มลูกค้า โดย Mini go! มีทั้งสิ้น 5 สาขา และเตรียมเปิดเพิ่มอีก 5-7 สาขาภายในปี 2023
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53097
Retail
จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสอย่าง “เซ็นทรัล อุบล” นั้น ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในท้องถิ่น แต่ยังช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักอีกด้วย โครงการนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาที่ยั่งยืน
null
ณ ใจกลางเมืองอุบลราชธานี แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบอาคารสูงระฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองที่กำลังเบ่งบาน ภายในอาคารนั้น “เซ็นทรัล อุบล” โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า โรงแรม และคอนโดมิเนียม กำลังต้อนรับผู้คนจากทุกสารทิศ หนึ่งในผู้มาเยือนคือ “ฝน” สาวนักธุรกิจจากกรุงเทพฯ เธอเดินทางมาอุบลเพื่อติดต่อธุรกิจ ฝนเลือกพักที่ “โรงแรมเซ็นทารา อุบล” โรงแรมหรูหราใจกลางเมือง การออกแบบผสมผสานความทันสมัยเข้ากับเอกลักษณ์ท้องถิ่น สะท้อนผ่านลวดลายผ้าไหมและประติมากรรมรูปดอกบัว ฝนรู้สึกประทับใจกับการบริการที่อบอุ่นและเป็นกันเองของพนักงาน เช้าวันต่อมา ฝนลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร “House of Kin” บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารไทยและนานาชาติ ฝนเลือกทานข้าวเปียกเส้นญวน อาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อของอุบลราชธานี รสชาติกลมกล่อมลงตัว ทำให้เธอเริ่มหลงรักเมืองนี้ หลังทานอาหารเช้า ฝนเดินไปที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อุบล เพื่อหาซื้อของฝาก เธอเดินผ่านร้านค้ามากมายที่มีสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งสินค้าแบรนด์เนม สินค้าแฟชั่น ของตกแต่งบ้าน และของกินของใช้ ฝนแวะซื้อผ้าไหมอุบลราชธานี ผ้าทอเนื้อดีลายสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของเมืองอุบล เธอเลือกซื้อผ้าผืนหนึ่งเพื่อนำไปตัดเป็นชุดใส่ทำงาน ฝนยังซื้อของฝากอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ขนมไทย หมูยอ และกาแฟอุบล ระหว่างเดินช้อปปิ้ง ฝนสังเกตเห็นว่าศูนย์การค้ามีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย มีทั้งการแสดงดนตรีพื้นบ้าน การสาธิตการทำอาหาร และการออกร้านขายสินค้าจากชุมชน ฝนรู้สึกประทับใจที่ศูนย์การค้ามีกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น หลังจากช้อปปิ้งเสร็จ ฝนกลับขึ้นไปที่ห้องพัก เธอนั่งมองวิวเมืองอุบลจากหน้าต่าง บรรยากาศของเมืองช่างสงบและสวยงาม ฝนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข การมาเยือนอุบลครั้งนี้ ฝนไม่เพียงแต่ได้ติดต่อธุรกิจ แต่เธอยังได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นและประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน ประทับใจ ฝนคิดว่าเธอคงจะกลับมาเยือนเมืองนี้อีกครั้งในเร็วๆ นี้
null
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Retail_53100
Retail
กลยุทธ์ทางการตลาดของสยามเซ็นเตอร์ ในแคมเปญ “Siam Center Summer Splash with SpongeBob SquarePants” มีอะไรบ้าง?
null
สยามเซ็นเตอร์ ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าในแคมเปญ “Siam Center Summer Splash with SpongeBob SquarePants” ดังนี้ 1. การจับคู่แบรนด์: เลือกคาแรกเตอร์ “SpongeBob SquarePants” ที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในทุกเพศทุกวัย คาแรคเตอร์มีบุคลิกขี้เล่น มองโลกในแง่ดี สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของสยามเซ็นเตอร์ เพิ่มความน่าสนใจ ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Alpha 2. การสร้างประสบการณ์: -ตกแต่งศูนย์การค้าตามธีม Summer Splash สดใส เต็มไปด้วยสีสัน -มุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ -กิจกรรมอินเตอร์แอคทีฟ -สินค้าลิขสิทธ์ SpongeBob SquarePants ร่วมกับแบรนด์ดัง -สร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้เวลานานขึ้น 3. การสื่อสาร: -เน้นช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย -เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย Gen Z และ Gen Alpha -สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ดึงดูดให้แชร์ต่อ -เชื่อมโยงออนไลน์กับออฟไลน์ กระตุ้นให้ลูกค้ามาที่ศูนย์การค้า 4. การสร้าง Community: -เน้นการมีส่วนร่วมของลูกค้า -กิจกรรมต่าง ๆ ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามามีส่วนร่วม -สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า 5. การจับเทรนด์: -เลือกคาแรคเตอร์ที่เป็นที่นิยม -สินค้าลิขสิทธิ์ -กิจกรรมอินเตอร์แอคทีฟ -ดึงดูดลูกค้าด้วยเทรนด์ใหม่ ๆ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: -ดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้า -เพิ่มยอดขาย -เสริมสร้างภาพลักษณ์ของสยามเซ็นเตอร์ -สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า บทวิเคราะห์:กลยุทธ์ทางการตลาดของสยามเซ็นเตอร์ในแคมเปญนี้ ครอบคลุมทั้งด้านออนไลน์และออฟไลน์ เน้นการสร้างประสบการณ์ ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้เวลานานขึ้น สร้าง Community และจับเทรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม: -สยามเซ็นเตอร์ อาจจะใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing -ร่วมกับ Influencers -โปรโมทแคมเปญ -เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น สรุป:กลยุทธ์ทางการตลาดของสยามเซ็นเตอร์ในแคมเปญ “Siam Center Summer Splash with SpongeBob SquarePants” มีความครอบคลุม น่าสนใจ ดึงดูดลูกค้า และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53106
Retail
กลยุทธ์ Retail แบบ Offline to Online ของ PTG จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้อย่างไร
null
1. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า: - กลยุทธ์ Retail แบบ Offline to Online ช่วยให้ PTG เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง ผ่านทั้งหน้าร้านทางกายภาพ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย - กลยุทธ์นี้ช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขาย 2. เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น: - กลยุทธ์ Retail แบบ Offline to Online ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้อย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัด ไม่ว่าลูกค้าจะเริ่มต้นการช้อปปิ้งจากช่องทางใด ลูกค้าสามารถดำเนินการต่อเนื่องจนถึงการชำระเงินได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ - กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำ 3. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: - กลยุทธ์ Retail แบบ Offline to Online ช่วยให้ PTG สามารถรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางเข้าด้วยกัน - กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้นและสามารถนำข้อมูล tersebut ไปใช้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด การขาย และการบริการลูกค้า 4. เพิ่มการแข่งขัน: - กลยุทธ์ Retail แบบ Offline to Online ช่วยให้ PTG สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ - กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: PTG สามารถใช้กลยุทธ์ Retail แบบ Offline to Online เพื่อเพิ่มยอดขายกาแฟพันธุ์ไทย ดังนี้: - สร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย: เว็บไซต์ควรมีข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน รูปภาพสินค้าที่ชัดเจน วิดีโอสาธิตการชงกาแฟ และบทวิจารณ์จากลูกค้า - พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ: แอปพลิเคชันควรช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาเมนูกาแฟ เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อกาแฟ และติดตามสถานะการสั่งซื้อ - สร้างช่อง YouTube: ช่อง YouTube ควรมีวิดีโอแนะนำเมนูกาแฟ สอนวิธีชงกาแฟ และโปรโมชั่นพิเศษ - ใช้โซเชียลมีเดีย: PTG ควรใช้โซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อกับลูกค้า ตอบคำถาม แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับเมนูกาแฟ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53107
Retail
“Gift To Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด” เป็นการถ่ายทอดความฝันของเด็กเก่งกี่คน
1. 4 2. 2 3. 1 4. 3
คำตอบได้แก่ 1. เนื่องจาก โครงการ “Gift To Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด” ที่มุ่งเน้น “การส่งต่อความสุข” ด้วยการให้ กับการร่วมสนับสนุนให้เด็กเก่งที่มีความสามารถได้เดินหน้าไล่ล่าฝันให้สำเร็จ ตอกย้ำแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน Green & Sustainable Retail ในด้าน Navigate Society Wellbeing สร้างสังคมให้น่าอยู่ร่วมกัน “Gift To Gifted เด็กเก่ง แจ้งเกิด” เป็นการถ่ายทอดความฝันของเด็กเก่ง 4 คน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53122
Retail
กลยุทธ์ของเคทีซีในปี 2566 เกี่ยวกับธุรกิจ Retail Lending Business มีอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์หลักของเคทีซีในปี 2566 เกี่ยวกับธุรกิจ Retail Lending Business แบ่งออกเป็น 3 ประการ ดังนี้ 1. การขยายพอร์ตสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" เคทีซีให้ความสำคัญกับการขยายพอร์ตสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" เป็นพิเศษ เป้าหมายหลักคือสร้างฐานลูกค้าให้มีปริมาณที่มากเพียงพอเพื่อสร้างกำไรที่มั่นคง กลยุทธ์ที่ใช้มีดังนี้ -เพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้า เคทีซีจะขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ -เพิ่มตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรทางธุรกิจ -พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น -สร้างสรรค์กิจกรรมทางการตลาด ออกแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ 2. การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เคทีซีตั้งเป้าให้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเติบโตไปตามอัตราเร่งของธุรกิจ กลยุทธ์ที่ใช้มีดังนี้ -หาลูกค้าใหม่ มุ่งเน้นการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ -สร้างสรรค์กิจกรรมทางการตลาด ออกแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า -พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า 3. การบริหารจัดการความเสี่ยง เคทีซีให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุม กลยุทธ์ที่ใช้มีดังนี้ -เข้มงวดกับเกณฑ์การคัดเลือกลูกค้า คัดเลือกลูกค้าใหม่อย่างเข้มงวด เพื่อให้ได้พอร์ตสินเชื่อที่มีคุณภาพ -ตั้งสำรองและตัดหนี้สูญ ตั้งสำรองและตัดหนี้สูญอย่างเหมาะสม -ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ผลลัพธ์ที่คาดหวัง เคทีซีคาดหวังว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจ Retail Lending Business เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถสร้างกำไรที่มั่นคง และสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง การวิเคราะห์: กลยุทธ์ของเคทีซีในปี 2566 มุ่งเน้นไปที่การขยายฐานลูกค้าและสร้างรายได้ กลยุทธ์เหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จ -การขยายพอร์ตสินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน": ตลาดสินเชื่อรถแลกเงินมีศักยภาพสูง -การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล: เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว -การบริหารจัดการความเสี่ยง: เคทีซีมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์เหล่านี้ เช่น -สภาวะเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก -การแข่งขัน: ธุรกิจ Retail Lending Business มีการแข่งขันสูง -การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ ๆ disrupt ธุรกิจ
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53134
Retail
โซนใดใน “มูจิ โรดไซด์” สาขา โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ที่ให้บริการปรึกษาด้านออกแบบภายใน
A. MUJI Interior Consultation Service B. MUJI Green C. Normal Shop D. MUJI Coffee Corner
คำตอบที่ถูกต้องคือ A. เพราะว่า เพราะโซน MUJI Interior Consultation Service ใน “มูจิ โรดไซด์” สาขา โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ให้บริการปรึกษาด้านออกแบบภายใน มูจิ ได้เผยโฉมโมเดลใหม่ “มูจิ โรดไซด์” ซึ่งเป็นสาขาลำดับที่ 29 ในไทย ที่ “โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์” กับครั้งแรกของโมเดลใหม่ “โรดไซด์” หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน ขนาดใหญ่ 2 ชั้น มีขนาดพื้นที่รวม 1,700 ตารางเมตร โดยจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ธันวาคม 2565 สำหรับ “มูจิ โรดไซด์” สาขา โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น บนพื้นที่ชั้น 1 มีขนาดกว่า 900 ตารางเมตร และพื้นที่ชั้น 2 มีขนาดกว่า 800 ตารางเมตร มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 3,000 รายการ ประกอบด้วยโซนซิกเนเจอร์อย่างครบครัน ได้แก่ - โซน MUJI Coffee Corner กับไฮไลท์เมนูใหม่ เบเกอรี่สไตล์ตะวันตกแบบ Hot Menu อาทิ ครัวซองท์แซนวิช, ริงแซนวิช, เดนิช และพานินี่ - โซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านคอลเลกชันใหม่ - บริการ MUJI Interior Consultation Service บริการปรึกษาด้านออกแบบภายใน - โซนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ทั้ง ชาย หญิง และเด็ก ในราคาที่จับต้องได้ - โซน MUJI Green โซนต้นไม้ที่ MUJI คัดสรรให้เหมาะกับการเลี้ยงในบ้าน - Normal Shop ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ และรีฟิลสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ น้ำยาทำความสะอาดเสื้อผ้า แชมพูสระผม ในราคาย่อมเยา เพื่อสนับสนุนแนวคิด Zero Waste ที่เป็นมิตรต่อโลก โดยการเปิด “มูจิ สาขา โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์” มีเป้าหมายเพื่อยึดทำเลทอง กำลังซื้อสูง ด้วยการขยายตัวเข้าไปในเขตชุมชนมากขึ้น นับเป็น “มูจิ” สาขาแรกที่ทดลองเปิดสาขาในช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ขนาดเล็กลง จากเดิม โดยแผนงานนับจากนี้ “มูจิ” ให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในคอมเพล็กซ์ หรือคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดเล็กลงในชุมชนมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้เป็นวงกว้างและเข้าถึง จากเดิมที่มูจิจะเน้นขยายสาขาในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในเขตเมือง
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53135
Retail
ช่วยสรุปเรื่อง "เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน – ท่าพระ คว้ารางวัล MAPIC AWARDS 2022"
เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ตอกย้ำความสำเร็จยุทธศาสตร์ รีแบรนดิ้ง เดอะมอลล์ สู่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ส่ง เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน และท่าพระ สร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทยอีกครั้ง เป็นศูนย์การค้าหนึ่งเดียวในเอเชีย ที่สามารถคว้ารางวัลแห่งเกียรติยศจากเวทีระดับโลก MAPIC AWARDS 2022 สาขา โครงการที่ได้รับการพัฒนาใหม่ที่ดีที่สุด (Best New Project Development) ณ เมืองคานส์ (Cannes) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นอีกรางวัลใหญ่แห่งวงการค้าปลีก ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเสมือนรางวัล คานส์ แห่งวงการรีเทล หลังจาก เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ คว้า 6 รางวัลระดับโลก จาก RETAIL ASIA AWARD 2021 และ ASIA PACIFIC ENTERPRISE AWARD 2022 โดยมี นายอิทธิฤทธิ์ รัตนทารส อัมพุช เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับมอบรางวัลปาล์มทองคำ ที่ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส คุณอัจฉรา อัมพุช รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (MS. ACHARA UMPUJH ; EXECUTIVE VICE PRESIDENT, THE MALL GROUP CO., LTD.) กล่าวว่า “การคว้ารางวัลระดับโลกของ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วานและท่าพระในครั้งนี้ นับเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของยุทธศาสตร์การรีแบรนดิ้ง เดอะมอลล์ สู่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ และตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจรีเทลของประเทศไทย ที่ได้รับการยกย่องในระดับโลกอีกครั้ง โดยเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ได้รับรางวัลชนะเลิศ MAPIC AWARDS 2022 สาขา Best New Project Development หรือโครงการที่ได้รับการพัฒนาใหม่ที่ดีที่สุด โดยมีผู้ส่งผลงานกว่า 110 โครงการ จาก 23 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง เดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นบริษัทเอเชียเพียงหนึ่งเดียวที่คว้า MAPIC AWARDS ในปีนี้ โดยรางวัล MAPIC ก่อตั้งในปี 1996 โดยมุ่งหวัง ที่มอบรางวัลให้กับองค์กรค้าปลีกที่มีผลงานเยี่ยมยอด มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้กับวงการค้าปลีกโลก โดยที่คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลทั้งคณะเป็นคณะกรรมการอิสระ จากหลากหลายประเทศในยุโรป ซึ่งรางวัล Best New Project Development ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน และท่าพระ ได้รับในปีนี้ เป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรค้าปลีก ที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัว ในแง่ Retail Mix, ความสามารถในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า การนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับวงการค้าปลีก รวมถึงความลงตัวของโครงสร้างการออกแบบในเชิงสถาปัตยกรรม ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดดังกล่าวจะก่อให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้า และสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับวงการค้าปลีก
เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน และเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ เป็นศูนย์การค้าหนึ่งเดียวในเอเชียที่คว้ารางวัลจากเวทีระดับโลก MAPIC AWARDS 2022 สาขาโครงการที่ได้รับการพัฒนาใหม่ที่ดีที่สุด ณ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของการรีแบรนดิ้งเดอะมอลล์ สู่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ รางวัลนี้เป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรค้าปลีกที่ผสมผสาน Retail Mix อย่างลงตัว มีความสามารถในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า นำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ความลงตัวของการออกแบบสถาปัตยกรรม เพื่อความพึงพอใจของลูกค้าและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้วงการค้าปลีก
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53148
Retail
ช่วยสรุปบทความ รู้จัก “ลามาร์” ห้างฯ หรูแห่งใหม่ ที่ “กลุ่มเซ็นทรัล” ปักหมุดกลางกรุงเวียนนา ออสเตรีย ในรอบ 80 ปี
สำหรับห้างฯ “ลามาร์” ห้างสรรพสินค้าสุดหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงเวียนนา ครั้งนี้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 80 ปี ที่ได้มีห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่แบรนด์ใหม่ถูกเปิดตัวขึ้นในยุโรป โดย “ห้างลามาร์” เมืองเวียนนา นับเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งที่ 5 ของกลุ่มคาเดเว ที่ประกอบด้วย ห้างคาเดเว (KaDeWe) เมืองเบอร์ลิน, ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpolliger) เมืองมิวนิก, ห้างอัลสเตอร์เฮาส์ (Alsterhaus) เมืองฮัมบูร์ก, และ ห้างคาร์ช เฮาส์ (Carsch-Haus) เมืองดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี นอกจากชื่อที่ปรับใหม่แล้ว การดีไซน์ภายในยังได้รับแรงบันดาลใจจาก “เฮดี้ ลามาร์” (Hedy Lamarr) นักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดในตำนานซึ่งเป็นไอคอนของชาวออสเตรีย ในยุคศตวรรษที่ 20 ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในโลก ชื่อของห้าง “ลามาร์” จึงไม่เป็นเพียงแค่การรำลึกถึงเธอ แต่ยังเสมือนการนำพา เฮดี้ ลามาร์ กลับสู่อ้อมกอดของชาวออสเตรียอีกครั้ง เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตและผลงานของเฮดี้ โดยการออกแบบของ โอ.เอ็ม.เอ (O.M.A.) บริษัทสถาปนิกชื่อดัง และการจัดสรรของ “ดาเนียล สเปอร่า” (Danielle Spera) อดีตผู้อำนวยการของ Jewish Museum ในกรุงเวียนนา โดยผู้มาเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศ และสามารถเข้าถึงชีวิตของเฮดี้ ใน Museum Café บนชั้น 5 ของห้างลามาร์ และพบภาพบนโปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นภาพถ่ายหรือถ้อยคำของเธอตามจุดต่างๆ ภายในห้าง คุณทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “ผมมีความภาคภูมิใจที่ห้างลักชัวรี่แห่งใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัล ได้รับเกียรติให้ใช้ชื่อของ เฮดี้ ลามาร์ ผู้เป็นที่รักของทุกคนโดยเฉพาะชาวออสเตรีย ทั้งในฐานะไอคอนฮอลลีวูดที่โด่งดังระดับโลก และนักประดิษฐ์ผู้บุกเบิกซึ่งมีพรสวรรค์ไม่เหมือนใคร ความเพียบพร้อมโดดเด่นในหลากหลายแง่มุมของ “เฮดี้ ลามาร์” สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงเอกลักษณ์ของโปรเจกต์เวียนนา นอกจากจะเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ชั้นนำระดับโลกแล้ว ยังจะสร้างความประทับใจเหนือระดับผ่านเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตยกรรม และการส่งมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์แบบลักชัวรี่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับลูกค้า
ห้าง "ลามาร์" เป็นห้างสรรพสินค้าหรูในเวียนนา ครั้งแรกในกว่า 80 ปีที่เปิดห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ใหม่ในยุโรป ตั้งอยู่ในกลุ่มคาเดเว และเป็นห้างที่ 5 ของกลุ่ม มีการปรับชื่อและดีไซน์ภายในที่ได้แรงบันดาลใจจาก "เฮดี้ ลามาร์" นักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่เป็นไอคอนของออสเตรียในยุค 20 ชื่อ "ลามาร์" เสมือนนำพา เฮดี้ ลามาร์ กลับสู่อ้อมกอดของชาวออสเตรียอีกครั้ง Museum Café บนชั้น 5 ของห้าง "ลามาร์" นำเสนอบรรยากาศและชีวิตของเฮดี้ ลามาร์ ผ่านโปรเจคเตอร์ภาพและถ้อยคำที่ตกแต่งในห้าง นอกจากนี้ ห้าง "ลามาร์" ยังมีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี่ที่สมบูรณ์แบบ
null
Summarization
cc-by-nc-4.0
Retail_53152
Retail
ออฟฟิศเมท พลัส พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีประสบการณ์การทำธุรกิจ มีฐานลูกค้าธุรกิจและราชการในท้องถิ่น ให้สร้างโอกาสการขายได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยโมเดลอะไร
ออฟฟิศเมท พลัส แฟรนไชส์ร้านอุปกรณ์สำนักงานเพื่อธุรกิจ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เจ้าของรางวัล Franchise of The Year และ Best Innovation Franchise 2022 ประกาศความสำเร็จฉลองครบ 50 สาขา ได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่นที่สนใจลงทุนเปิดร้านแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันครอบคลุม 44 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าเปิดรับสมัครแฟรนไชส์ซีรุ่นใหม่ไฟแรงจากทุกภูมิภาคมาเติบโตแบบติดสปีดไปด้วยกัน…! ออฟฟิศเมท พลัส พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีประสบการณ์การทำธุรกิจ มีฐานลูกค้าธุรกิจและราชการในท้องถิ่น ให้สร้างโอกาสการขายได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยโมเดลแฟรนไชส์ที่เน้นการขายเชิงรุก มีสินค้าเพื่อธุรกิจให้ขายได้มากกว่า 100,000 รายการ รวมถึงสินค้าจากธุรกิจในเครือ Central Retail อาทิ บีทูเอส ไทวัสดุ เพาเวอร์บาย โดยไม่ต้องกังวัลเรื่องสต็อก เพราะมีระบบการขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์หลังร้าน พร้อมบริการจัดส่งคอยสนับสนุนการขาย ทำให้ร้านแฟรนไชส์สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ ถ้าคุณคือผู้ประกอบการท้องถิ่นที่กำลังมองหาธุรกิจที่ต่อยอดกิจการครอบครัว หรือต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมของคุณ ออฟฟิศเมท พลัส พร้อมเป็นคำตอบที่ใช่! เรายังเปิดรับสมัครแฟรนไชส์ทุกภูมิภาคทั่วไทย ทั้งเมืองหลัก เมืองรอง ซึ่งยังมีพื้นที่ศักยภาพสูงและโอกาสเติบโตอีกมาก อาทิ กาญจนบุรี อยุธยา นครสวรรค์ สระแก้ว หนองคาย เชียงใหม่ ลำพูน แพร่ น่าน สงขลา ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี และอีกหลายจังหวัด โดยการันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน* ตามกำหนด สามารถพูดคุยกับที่ปรึกษาแฟรนไชส์มืออาชีพได้ฟรี! โทร. 099-128-5000 Line: @OFM_Plus หรือ ดูรายละเอียดที่ www.ofmplus.com
ออฟฟิศเมท พลัส พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีประสบการณ์การทำธุรกิจ มีฐานลูกค้าธุรกิจและราชการในท้องถิ่น ให้สร้างโอกาสการขายได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยโมเดลแฟรนไชส์ที่เน้นการขายเชิงรุก มีสินค้าเพื่อธุรกิจให้ขายได้มากกว่า 100,000 รายการ รวมถึงสินค้าจากธุรกิจในเครือ Central Retail อาทิ บีทูเอส ไทวัสดุ เพาเวอร์บาย โดยไม่ต้องกังวัลเรื่องสต็อก เพราะมีระบบการขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์หลังร้าน พร้อมบริการจัดส่งคอยสนับสนุนการขาย ทำให้ร้านแฟรนไชส์สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์
null
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53155
Retail
Attractive & Powerful Spenders มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกี่เปอร์เซ็นต์
a. 76% b. 4% c. 97% d. 3%
คำตอบได้แก่ d. เพราะว่า Attractive & Powerful Spenders: กลุ่มเป้าหมายชัด เมืองคนรุ่นใหม่ และมีรายได้สูง และติดอันดับ 10 จังหวัดที่มี GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว) สูงถึง 375,000 บาท มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีรายได้ครัวเรือนสูง เติบโตจากปีที่แล้วถึง 5% อยู่ที่ประมาณ 34,000 บาท ต่อเดือน ตอบโจทย์คนในเมือง และนักท่องเที่ยว โดยมีตัวเลขนักท่องเที่ยวกว่า 4 ล้านคนต่อปี เป็นชาวไทย 97%, ต่างชาติ 3% New Urban Landmark: มิกซ์ยูสโมเดลใหม่ ใหญ่ที่สุดในเมือง ด้วยพื้นที่ Semi-Outdoor พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ทั้ง The First Urban Park ขนาดใหญ่ 4 ไร่ Community Leisure Park พื้นที่งาน Art & Craft และพื้นที่ Co-Creation กับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาหรือ Young Co-Creator / Younger Mind นอกจากนี้ยังมีแบรนด์แฟชั่นและศูนย์กลางมากมาย อ่านเพิ่มเติม ตามดู “โรงแรม เซ็นทารา โคราช ” จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายมิกซ์ยูสหมื่นล้านที่ “ซีพีเอ็น” ใช้เชื่อมประตูสู่อีสาน
null
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Retail_53163
Retail
อะไรคือกลยุทธ์สำคัญของ The EmDistrict ในการยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครใหม่ของโลก?
null
The EmDistrict มุ่งเน้นกลยุทธ์สำคัญ 5 ประการในการยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครใหม่ของโลก ดังนี 1. การสร้างจุดหมายปลายทาง (Destination) ใหม่ -พัฒนา "The EmSphere" ศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่ไม่เคยหลับใหล นำเสนอประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่าน EM WONDER แหล่งแฮงก์เอาต์, EM INNOVATION แหล่งรวมนวัตกรรมล้ำสมัย, IKEA CITY STORE อิเกีย ซิตี้ สโตร์แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, และ EMLIVE สุดยอดแห่งความบันเทิงระดับโลก -ทรานส์ฟอร์มเอ็มโพเรียมและเอ็มควอเทียร์ โฉมใหม่ เพิ่มเติมความสมบูรณ์แบบให้กับ THE EM DISTRICT -เชื่อมต่อเครือข่ายคมนาคม เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง 2. การดึงดูดนักท่องเที่ยว -เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติ -นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ -สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร ผสมผสานความบันเทิง เทคโนโลยี และวัฒนธรรม 3. การยกระดับคุณภาพชีวิต -มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม -ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี -สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 4. การสร้างชุมชน -สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น -ส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรม -สร้างพื้นที่สาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ 5. การเป็นพันธมิตร -ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน -พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่ง -ส่งเสริมการท่องเที่ยว ผลลัพธ์ที่คาดหวัง -ยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครใหม่ของโลก -ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินเข้าประเทศ -พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย -สร้างชุมชนที่ยั่งยืน ตัวอย่างเพิ่มเติม -การนำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะทาง เช่น สินค้าไทยแฮนด์เมด อาหารไทยต้นตำรับ ฯลฯ -การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น เทศกาลดนตรี งานแสดงสินค้า ฯลฯ -การพัฒนาโครงการ CSR เพื่อคืนกำไรให้กับสังคม สรุป -The EmDistrict มุ่งมั่นที่จะยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครใหม่ของโลก ผ่านกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการสร้างจุดหมายปลายทางใหม่ -ดึงดูดนักท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างชุมชน และเป็นพันธมิตร หมายเหตุ -ข้อมูลในบทความนี้อ้างอิงจากงานเปิดตัว THE EMDISTRICT “THE PULSE OF BANGKOK” เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 -ข้อมูลบางส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ คำแนะนำเพิ่มเติม -ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ The EmDistrict เพิ่มเติม -วิเคราะห์คู่แข่งในตลาด -ติดตามเทรนด์ธุรกิจค้าปลีก -ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค -หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกลยุทธ์สำคัญของ The EmDistrict ในการยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครใหม่ของโลก
null
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Retail_53165
Retail
กลยุทธ์ของ ECOTOPIA ในการเป็นแพลตฟอร์ม (Platform) ที่เชื่อมกลุ่มคนรักษ์โลกมาร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกมีอะไรบ้าง?
null
ECOTOPIA มัลติแบรนด์สโตร์รักษ์โลก ดำเนินกลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมกลุ่มคนรักษ์โลก กลยุทธ์หลักๆ ประกอบด้วย: 1. การนำเสนอสินค้ารักษ์โลกที่ครบวงจร: - รวบรวมสินค้ารักษ์โลกกว่า 300 แบรนด์ และสินค้ากว่า 100,000 รายการ - ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ - คัดสรรสินค้าที่มีคุณภาพ ดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2. การสร้าง Community ของคนรักษ์โลก: - พื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจ - กิจกรรม Workshop สัมมนา และกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมความยั่งยืน - พื้นที่ออนไลน์ เช่น Facebook: ECOTOPIA ที่ช่วยเชื่อมต่อกลุ่มคนรักษ์โลก 3. การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร: - ร่วมมือกับ 12 สุดยอดครีเอเตอร์ และผู้ประกอบการรายย่อย พัฒนาสินค้ารักษ์โลก - ร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมความยั่งยืน - สนับสนุนชุมชนและโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม 4. การนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร: - การออกแบบพื้นที่ร้านที่สะท้อนแนวคิดรักษ์โลก - การบริการที่เป็นมิตร ใส่ใจ และให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า - กิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่ดึงดูดลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ 5. การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดดิจิทัล: - สื่อสารออนไลน์ผ่าน Facebook, Instagram, เว็บไซต์ และช่องทางอื่นๆ - แคมเปญการตลาดดิจิทัลที่สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม - การใช้ Influencer Marketing เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ ECOTOPIA ประสบความสำเร็จในฐานะแพลตฟอร์มสำหรับคนรักษ์โลก ดังนี้: - ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 20 ร้านค้าปลีกที่เยี่ยมยอดที่สุดในเอเชีย - มีผู้ติดตามบน Facebook กว่า 200,000 คน - สินค้ารักษ์โลกได้รับความนิยมมากขึ้น - เกิด Community ของคนรักษ์โลกที่เข้มแข็ง บทสรุป: - ECOTOPIA เป็นตัวอย่างที่ดีของแพลตฟอร์มที่เชื่อมกลุ่มคนรักษ์โลก กลยุทธ์ที่หลากหลายของ - ECOTOPIA ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นการเปลี่ยนแปลง และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
null
Open QA
cc-by-nc-4.0
Retail_53173
Retail
ผู้ค้าปลีกออนไลน์ควรเสนอตัวเลือกการชำระเงินแบบ Buy Now Pay Later (BNPL) หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล คือ 1. BNPL ช่วยเพิ่มยอดขาย จากการศึกษาของ Klarna พบว่า 41% ของผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าในร้านค้าที่เสนอ BNPL [1] 2. BNPL ช่วยเพิ่มขนาดตะกร้า Klarna ยังพบอีกว่า ผู้บริโภคที่ใช้ BNPL มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าในตะกร้ามากกว่า 20% [1] 3. BNPL ดึงดูดลูกค้าใหม่ ผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ สนใจใช้ BNPL มากกว่ารูปแบบการชำระเงินแบบดั้งเดิม [2] 4. BNPL ช่วยให้ผู้ค้าปลีกแข่งขันได้ ผู้ค้าปลีกที่เสนอ BNPL จะมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่เสนอ [1] 5. BNPL ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า BNPL ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าโดย offering ตัวเลือกการชำระเงินที่ยืดหยุ่น [2] อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าปลีกควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ก่อนเสนอ BNPL 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต BNPL มีความเสี่ยงด้านเครดิต ผู้ค้าปลีกควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขามีระบบการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม [3] 2. ค่าธรรมเนียม ผู้ให้บริการ BNPL มักจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ค้าปลีก ผู้ค้าปลีกควรคำนวณว่าค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะส่งผลต่อผลกำไรของพวกเขาอย่างไร [3] 3. การผสานรวม ผู้ค้าปลีกต้องผสานรวม BNPL เข้ากับระบบการชำระเงินของพวกเขา [3] โดยสรุป BNPL เป็นตัวเลือกการชำระเงินที่น่าสนใจสำหรับผู้ค้าปลีกออนไลน์ BNPL ช่วยเพิ่มยอดขาย เพิ่มขนาดตะกร้า ดึงดูดลูกค้าใหม่ และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าปลีกควรพิจารณาความเสี่ยงด้านเครดิต ค่าธรรมเนียม และการผสานรวมก่อนเสนอ BNPL
null
Classification
cc-by-nc-4.0