1
stringlengths 13
42
⌀ | 2
stringlengths 14
40
⌀ | 3
stringlengths 14
43
| 4
stringlengths 14
40
⌀ |
---|---|---|---|
อันลูกเมียก็ไม่มีฟ้าผี่เถิด | ประดักประเดิดโดยจนต้องขวนขวาย | แม้นได้มีที่พึ่งพอฝากกาย | ตัวไม่ตายก็ไม่ทิ้งจริงจริงเจียว ฯ |
ทั้งสี่นางต่างรู้ในเชิงรัก | แกล้งหน่วงหนักพจนารถฉลาดเฉลียว | แม้นไม่มีที่กลัวตัวคนเดียว | จะท่องเที่ยวทารกรรมไปทำไม |
จงอยู่เป็นข้ารองละอองบาท | องค์พระราชธิดาอัชฌาสัย | จะช่วยทูลให้ท่านเห็นว่าเข็ญใจ | ให้อยู่ในสวนศรีที่นี่พลาง |
ตำหนักจันทร์นั้นก็มีทั้งสี่หลัง | ไปนอนนั่งเล่นเถิดคะค่อยกว้างขวาง | อีกสักวันฉันจะเชิญเสด็จนาง | มาเล่นกลางสวนสอยสุมามาลย์ |
จึงเมียงหมอบลอบแลแต่พอเห็น | ไม่สมเป็นเจ้าข้าจึงว่าขาน | หรือใจจิตคิดขลาดราชการ | จะหนีบ้านบวชเรียนก็เพียรไป ฯ |
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายภิปรายตอบ | ช่างรู้รอบกิริยาอัชฌาสัย | สมเป็นหม่อมมุลนายอยู่ฝ่ายใน | ความจริงใจฉันนี้แน่ไม่แชเชือน |
แต่พราหมณ์น้อยน้องรักนี้หนักแน่น | ในพื้นแผ่นปัถพีไม่มีเหมือน | ถ้าเห็นงามความรักมาตักเตือน | จะค่อยเคลื่อนคลายโศกที่โรครัด |
ช่วยเชิญองค์พระธิดามาให้เห็น | จะได้เป็นขอเฝ้าเหลาไม้กลัด | พรุ่งนี้นะคะหม่อมให้เหมือนนัด | ฉันจะหัดทูลฉลองให้ว่องไว |
ซึ่งหม่อมช่วยแนะนำที่สำนัก | ให้ตำหนักพระธิดาอยู่อาศัย | จะได้นอนผ่อนกายสบายใจ | ไม่บรรลัยแล้วคงต้องสนองคุณ ฯ |
ทั้งสี่นางต่างตอบว่าขอบจิต | ถ้าสิ้นคิดขาดเหลือจะเกื้อหนุน | มิใช่ฉันมั่นหมายเป็นนายมุล | จะทำคุณด้วยเป็นข้ากรมเดียวกัน |
แล้ววางซองหมากลงที่ตรงหน้า | กินสลาเล่นเถิดนายอย่าอายฉัน | ต่างพูดพลอดทอดสนิทเชิงติดพัน | จนตะวันบ่ายเบี่ยงพี่เลี้ยงลา |
เจ้าพราหมณ์เด็ดดอกรักหักเต่าร้าง | ให้สี่นางแจ้งจิตเป็นปริศนา | ทั้งสองข้างต่างชม้อยชายหางตา | แล้วลุกมาจากที่ทั้งสี่นาง |
ทำเมียงเมินเดินกรายชายชม้อย | ดูพราหมณ์น้อยนุชน้องเห็นหมองหมาง | พิโรธเรียกยายตามาด่าพลาง | ใช้เธอถางถากหญ้านี้ว่าไร |
ไม่แลดูรูปร่างท่านบ้างหรือ | แต่จะถือจอบเจียนจะไม่ไหว | ทีนี้อย่าใช้สอยจงปล่อยไป | ให้อาศัยสำนักตำหนักจันทร์ |
แม้นมิฟังยังทำให้เธอโกรธ | จะลงโทษยายตาถึงอาสัญ | สั่งสองเฒ่าเฝ้าสวนแล้วชวนกัน | มาเรียกบ่าวเหล่านั้นเข้าวังใน ฯ |
ฝ่ายเจ้าพราหมณ์สามนายสบายจิต | มานั่งชิดอนุชาแล้วปราศรัย | เมื่อตะกี้พี่ไปเกี้ยวประเดี๋ยวใจ | ท่านข้างในให้หมากมาฝากน้อง |
แล้วกล่าวโฉมพระธิดาว่าน่ารัก | ประเสริฐศักดิ์กษัตรีย์ไม่มีสอง | เห็นจะสมคะเนนึกที่ตรึกตรอง | พระน้องลองเล่นชู้ดูสักคราว ฯ |
ศรีสุวรรณว่าไม่พอใจเกี้ยว | แต่มาเที่ยวซื่อซื่อยังอื้อฉาว | ถ้าเกี้ยวจริงยิ่งจะมีราคีคาว | เหมือนเรื่องราวบุราณร่ำคำภิปราย |
ผู้ใดหลงลมหญิงทิ้งทำเนียบ | ไม่ราบเรียบแรงรักมักฉิบหาย | นางพี่เลี้ยงเหล่านี้ไม่มีอาย | มาชวนชายจะให้งงหลงระเริง |
ฉันช่วยเตือนตามจิตสนิทสนม | กลัวต้องลมแล้วจะหาวเหมือนว่าวเหลิง | สลาตันต้องปีกจะฉีกเปิง | ทำร่าเริงรางแตกจะแหลกลง ฯ |
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายภิปรายตอบ | พ่อว่าชอบอยู่มิใช่จะใหลหลง | ซึ่งเกิดความหนามเสี้ยนเพราะซื่อตรง | จึงต้องบ่งด้วยหนามตามตำรา |
อันหนึ่งพ่อหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ | จากสมบัติมาลำบากยากนักหนา | แม้นองค์พระบุตรีมีเมตตา | ได้พึ่งพาแต่พอผ่อนที่ร้อนรน |
อนึ่งจะให้ไพร่ฟ้ารู้จักชื่อ | ตลอดลือเล่าแจ้งทุกแห่งหน | แม้นพระพี่มิตายในสายชล | มีผู้คนบอกความจะตามมา |
ถึงพวกเราเล่ามิใช่จะไม่คิด | คงจะติดตามแสวงทุกแห่งหา | แต่พบลาภขุมทองต้องตำรา | จะหลับตาเสียไม่ขุดก็สุดอาย ฯ |
ศรีสุวรรณรันทดถอนใจใหญ่ | แต่เกรงใจเจ้าพราหมณ์สามสหาย | จึงว่าน้องตรองความตามนิยาย | เห็นจะเป็นเช่นกระต่ายที่หมายจันทร์ |
เมื่อตัวต่ำน้ำใจจะใฝ่สูง | เหมือนนกยูงมุ่งเมฆเมืองสวรรค์ | ต้องซูบผอมกรอมใจด้วยไกลกัน | ด้วยหมายมั่นมุ่งมิตรให้ผิดทาง |
เรายากจนคนจรเที่ยวร่อนเร่ | นึกเสน่ห์นางกษัตริย์เห็นขัดขวาง | ฉวยว้าวุ่นขุ่นเคืองด้วยเรื่องนาง | จะต้องร้างนคราเข้าป่าไป ฯ |
พี่เลี้ยงพราหมณ์สามนายภิปรายตอบ | ให้ชื่นชอบวิญญาณ์อัชฌาสัย | พ่อไม่รักรูปงามก็ตามใจ | จะไปไหนไปด้วยจนม้วยมรณ์ |
เวลานี้จวนค่ำไปสำนัก | ที่ตำหนักพระบุตรีมีฟูกหมอน | เสียแรงเขาชาววังสั่งให้นอน | ล้วนอ่อนอ่อนอุ่นใจจงไคลคลา |
พลางสำรวลชวนศรีสุวรรณน้อง | เดินประคองเคียงกายทั้งซ้ายขวา | ขึ้นตำหนักผลักเผยทวารา | ทัศนาที่ในห้องทุกช่องชั้น |
มีฉากพับลับแลมู่ลี่แขวน | บรรจถรณ์แท่นที่บรรทมภิรมย์ขวัญ | ต่างแย้มสรวลชวนศรีสุวรรณพลัน | ขึ้นบนบรรจถรณ์แท่นแสนสบาย |
ส่วนเจ้าพราหมณ์สามคนอยู่ข้างที่ | พอราตรีเดือนแจ่มกระจ่างฉาย | เผยพระแกลแลชมดาราราย | ต้องพระพายพัดพานสำราญใจ ฯ |
ฝ่ายนารีพี่เลี้ยงมาถึงวัง | จะนอนนั่งนึกพะวงให้หลงใหล | คิดถึงพราหมณ์สามนายที่หมายไว้ | จะเป็นใครคู่สร้างยังคลางแคลง |
แต่พราหมณ์น้อยนุชน้องเป็นของหลวง | ย่อมทราบทรวงสุดสิ้นไม่กินแหนง | แต่ชายสามหญิงสี่ทีระแวง | ครั้นจะแบ่งออกเป็นตัวไม่ทั่วกัน |
แต่นึกนึกตรึกตรองให้ข้องจิต | ไม่ลืมคิดคร่ำครวญถึงสวนขวัญ | พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์ | มาพร้อมกันสี่นางเหมือนอย่างเคย |
ปลอบประโลมพระธิดายุพาพักตร์ | ให้นงลักษณ์แต่งองค์สรงเสวย | ถึงยามค่ำเข้าบรรทมทำชมเชย | บ้างรำเพยพัดวีด้วยปรีดา |
แล้วทำพูดกันกับเพื่อนว่าเดือนนี้ | ฤดูดอกมาลีแล้วหนอจ๋า | ฉันอยากใคร่ได้ดอกมะลิลา | มาร้อยมาลัยถวายให้หลายพวง |
บ้างบ่นว่ามาลีที่ในสวน | แก้วกุหลาบลำดวนจวนจะร่วง | แล้วทูลแก้วเกษราธิดาดวง | ไปสวนหลวงเล่นสักวันหรือขวัญตา ฯ |
พระบุตรีดีใจไปสิพี่ | เก็บมาลีเลือกหักให้หนักหนา | เวลาเฝ้าเช้าฉันจะทูลลา | พี่สั่งข้าหลวงเหล่าขอเฝ้าไว้ ฯ |
ทั้งสี่นางต่างรับคำนับน้อม | แล้วขับกล่อมกลอนประดิษฐ์พิสมัย | มะโหรีเรื่อยร้องทำนองใน | วังเวงใจแจ้วเสียงเมื่อเที่ยงคืน |
ครั้นยามดึกพระธิดาไสยาหลับ | จนเดือนลับเลื่อนฟ้าไม่ฝ่าฝืน | อโณทัยใสสว่างนภางค์พื้น | พี่เลี้ยงตื่นลุกมานั่งสั่งกำนัล |
บอกให้พวกขอเฝ้าเหลาไม้สอย | มาเตรียมคอยข้างพลับพลาสุทธาศวรรย์ | พวกข้าหลวงล้วนเหล่าสาวสกรรจ์ | ผู้ใหญ่นั้นมิให้ใครออกไปตาม |
แล้วเรียกวอช่อฟ้าเข้ามาไว้ | พวกข้างในนางโขลนเป็นคนหาม | หมากบุหรี่ที่จะไปให้เจ้าพราหมณ์ | คนละสามซองซ่อนใส่หีบมา ฯ |
ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา | บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ | ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง |
ทางสะพักสไบกรองลายทองริ้ว | สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง | สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ | ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส |
ครั้นเสร็จใส่ฉลองบาทแล้วยาตรย่าง | กำนัลนางแวดล้อมมาพร้อมหมด | นางสาวสาวชาววังนั่งประณต | ทรงพระกลดคันสั้นกั้นกางมา |
ขึ้นปราสาททรงฤทธิ์บิตุเรศ | นางก้มเกศอภิวันท์ด้วยหรรษา | ทูลสนองสองกษัตริย์ขัตติยา | ลูกจะลาออกไปเล่นอุทยาน ฯ |
สมเด็จท้าวทศวงศ์ดำรงราชย์ | แสนสวาทรับขวัญแล้วบรรหาร | เจ้าไปสวนสอยบุปผาสุมามาลย์ | มาสักพานฝากพ่อจะขอชม |
ประโลมลูกลูบหลังแล้วสั่งสอน | แม้นแดดร้อนก็จงเล่นอยู่ร่มร่ม | จะครั่นตัวมัวหมองต้องแดดลม | ไปเชยชมแต่พอชื่นแล้วคืนมา |
พระมารดรสอนสั่งสี่พี่เลี้ยง | ตะวันเที่ยงแล้วให้นอนเสียก่อนหนา | ฤดูนี้ขี้มักเป็นโรคา | เอาหมอยาออกไปบ้างอย่าวางใจ ฯ |
พระบุตรีพี่เลี้ยงประณตน้อม | ทูลลาจอมกษัตราอัชฌาสัย | จากประสาทเสด็จหน้าพลับพลาไชย | กำนัลในแห่ห้อมมาพร้อมกัน |
นางโฉมยงทรงวอสุวรรณรัตน์ | พวกโขลนหามสามผลัดหัดขยัน | สี่พี่เลี้ยงเคียงวอจรจรัล | ฝูงกำนัลติดตามมาหลามทาง |
พวกผู้ชายรายเรียงอยู่ริ้วนอก | ถือดาบหอกแห่ห้ามคนกีดขวาง | เสด็จตามฉนวนกั้นในชั้นกลาง | เถ้าแก่กางกั้นพระกลดให้บดบัง |
พอสายแสงสุริยามาถึงสวน | ต้นลำดวนที่ประทับก็คับคั่ง | พวกตำรวจตรวจไตรระไวระวัง | ออกรายนั่งล้อมรอบเป็นขอบคัน ฯ |
นางโฉมยงทรงใส่ฉลองบาท | ยุรยาตรนาดนวลเข้าสวนขวัญ | พระพี่เลี้ยงเคียงคลอจรจรัล | ชวนชมพรรณบุปผาระย้าย้อย |
เห็นพิกุลชวนกันขึ้นสั่นต้น | ให้ดอกดวงร่วงหล่นลงผ็อยผ็อย | พวงพะยอมหอมรื่นดูชื่นช้อย | นางโฉมยงทรงสอยกระชากชัก |
พวกข้าหลวงหน่วงน้าวกิ่งสาวหยุด | บ้างแย่งยุดชิงกันเก็บจนเล็บหัก | บ้างเด็ดดอกโศกแซมแกมดอกรัก | ให้ประจักษ์แจ้งเพื่อนว่าเหมือนใจ |
บ้างเด็กช่อชุมแสงมดแดงกัด | เต้นตะปัดตะป่องจะร้องไห้ | บ้างเดินร้อยสร้อยสนสุมาลัย | จะเอาไปฝากน้องของสำคัญ |
พระบุตรีกรีดเล็บเก็บกาหลง | บรรจงทรงแซมเกล้าให้สาวสรรค์ | นางข้าหลวงน้อยน้อยสอยลูกจันทน์ | ต่างชวนกันเก็บอึงคะนึงไป ฯ |
ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์พี่เลี้ยง | ได้ยินเสียงอึกทึกนึกสงสัย | ค่อยเมียงมองตามช่องบัญชรชัย | เห็นนางในนับร้อยเที่ยวลอยนวล |
เจ้าพราหมณ์เชิญศรีสุวรรณให้ผันผาย | ว่าดีร้ายพระธิดาออกมาสวน | จะนิ่งอยู่อย่างนี้ก็มิควร | ว่าแล้วชวนกันลงจากตำหนักจันทร์ |
ค่อยลัดแลงแฝงไม้ใบชอุ่ม | มาถึงพุ่มต้นลำดวนที่สวนขวัญ | ด้วยนัดแนะสี่นางไว้อย่างนั้น | ค่อยพูดกันซุบซิบกระหยิบตา ฯ |
ศรีสุวรรณนั้นชังไม่นั่งใกล้ | ไปนั่งใต้ต้นจำปีประสีประสา | พราหมณ์พี่เลี้ยงแลลอดสอดนัยนา | ดูบรรดาสาวสาวนางชาววัง |
ล้วนลอยชายกรายกรีดทำดีดดิ้น | ขัดขมิ้นเหลืองเหลือในเนื้อหนัง | หมายว่าลับขับรำเล่นลำพัง | บ้างซุ่มนั่งแนบเพื่อนเหมือนผู้ชาย |
บ้างคาดพุงนุ่งผ้าเกี้ยวคอไก่ | เป็นไฝใต้เต้างามเจ้าพราหมณ์หมาย | บ้างก็ว่าข้าหลวงยังแยบคาย | เป็นเจ้านายท่านจะดีกว่านี้ครัน |
พอเห็นสี่พี่เลี้ยงเคียงซ้ายขวา | พระธิดาเดินกลางดั่งนางสวรรค์ | ตะลึงหลงงงงวยไปด้วยกัน | ดูผิวพรรณผ่องเหมือนดังเดือนเพ็ง |
ทั้งกายกรอ่อนละมุนพึ่งรุ่นสาว | อายุราวสักสิบสี่ปีมะเส็ง | ไม่เหลียวหลังตั้งแต่จะแลเล็ง | ดูปลั่งเปล่งปลาบปลื้มลืมพริบตา ฯ |
ฝ่ายนารีพี่เลี้ยงเมียงชม้าย | เห็นสามนายนั่งซุ่มพุ่มพฤกษา | แกล้งสั่งบ่าวสาวใช้ให้ไคลคลา | เที่ยวเก็บมาลาถวายรายกันไป |
แล้วทำใบ้ไต่ถามพราหมณ์พี่เลี้ยง | ว่าคู่เคียงพระบุตรีอยู่ที่ไหน | เจ้าพราหมณ์บุ้ยปากชี้ตรงนี้ไป | พี่เลี้ยงให้ซองหมากแล้วจากมา |
แกล้งชักชวนโฉมตรูยูรยาตร | เที่ยวประพาสชมพรรณบุปผา | นางโฉมยงหลงเพลินดำเนินมา | พี่เลี้ยงพาเที่ยวไปจนใกล้พราหมณ์ ฯ |
ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่ง | เสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม | ชำเลืองเห็นพระธิดาพะงางาม | ให้มีความพิศวาสจะขาดใจ |
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น | พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย | จนลืมองค์หลงแลตะลึงไป | เหมือนนางในดุสิดาลงมาดิน |
ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ | พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์ | นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน | ช่างงามสิ้นสารพางค์สำอางองค์ |
ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่ง | ใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง | กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์ | ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง ฯ |
พระบุตรีแว่วเสียงสำเนียงชม้อย | เห็นพราหมณ์น้อยสีเนื้อนั้นเหลือเหลือง | นางหลีกเลี่ยงเอียงอายชายชำเลือง | ดูทรงเครื่องเหมือนพราหมณ์งามวิไล |
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ | หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย | องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ | แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา |
ทั้งสี่นางต่างเมินทำเดินเฉย | แกล้งแหงนเงยดูดวงพวงบุปผา | พราหมณ์พี่เลี้ยงเมียงมองเห็นสองรา | ต่างก็ว่าเข้าช่องแล้วน้องเรา ฯ |
ศรีสุวรรณครั้นนางไปห่างพักตร์ | ด้วยรสรักร้อนฤทัยดังไฟเผา | ค่อยด้อมเดินดูองค์นางนงเยาว์ | จนโฉมเฉลาเลี้ยวลับขึ้นพลับพลา |
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม | ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา | พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา | ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ |
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ | ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย | ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ | ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ |
เจ้าพราหมณ์นี้ดีร้ายจะหมายมาด | จึงองอาจแอบดูอยู่ในสวน | สี่พี่เลี้ยงก็เห็นจะเป็นชนวน | จึงแกล้งชวนมาให้พบประสบกัน |
จำจะกลับวังในได้ไต่ถาม | ให้ได้ความตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ | จึงแสแสร้งสั่งสุรางค์นางกำนัล | ไปเรียกกันมาเถิดเจ้าเราจะไป |
ครั้นเห็นสี่พี่เลี้ยงเข้าเคียงข้าง | ทำหมองหมางเมินหน้าไม่ปราศรัย | เสด็จด้วยสาวสรรค์กำนัลใน | มาต้นไทรทรงวอจรจรัล |
สี่พี่เลี้ยงเคียงประคองทั้งสองข้าง | ไปตามทางนอกสวนฉนวนกั้น | ตำรวจแฝงสองข้างทางจรัล | คอยป้องกันห้ามคนไปจนวัง ฯ |
หน่อกษัตริย์ทัศนาจนลับเนตร | แสนเทวษดาลดิ้นถวิลหวัง | อุรารักหนักหน่วงเพียงทรวงพัง | พระทรุดนั่งลงบนแท่นแผ่นศิลา |
คะนึงนางพลางสะท้อนถอนใจใหญ่ | ทำไฉนจะได้ชิดขนิษฐา | พี่รู้ข่าวสาวสวรรค์แต่วันมา | ไม่รู้ว่ารูปร่างเจ้าอย่างนี้ |
จนพี่พราหมณ์สามคนเขาชวนชัก | เราตัดรักซ้ำว่าน่าบัดสี | จะผันแปรแก้ไขไฉนดี | ไม่พอที่พูดผิดคิดรำคาญ |
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน | จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน | โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล | ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร |
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ | จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน | บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ | จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย |
พอเห็นพราหมณ์สามนายก็อายนัก | พระเมินพักตร์ผินหลังแล้วนั่งเฉย | เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายภิปรายเปรย | พ่อเสวยหมากเล่นก็เป็นไร |
ศรีสุวรรณผันพักตร์มาซักถาม | เมื่อตะกี้พี่พราหมณ์อยู่ตรงไหน | หมากบุหรี่ที่ซองนี้ของใคร | พี่เลี้ยงให้พี่หรือจึงถือมา |
มิเสียทีฝีปากช่างฝากรัก | จนรู้จักข้างในให้สลา | เหมือนน้องนี้โฉดเขลาเบาปัญญา | ไม่รู้ว่าเกี้ยวพานประการใด |
เป็นบุญน้อยพลอยพึ่งแต่บุญพี่ | สูบบุหรี่กินหมากจนปากไหม้ | จะขอถามตามจริงอย่างกริ่งใจ | สักเมื่อไหร่อีกเล่าเขาจะมา ฯ |
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายธิบายบอก | เขาจะออกมาเยือนต่อเดือนหน้า | จะห่วงใยไปเล่าไม่เข้ายา | เราจะพากันไปข้างไหนดี ฯ |
ศรีสุวรรณรันทดถอนใจใหญ่ | กลัวจะไกลพระธิดามารศรี | จึงแสแสร้งแกล้งเขาว่าปรานี | พี่จะหนีหน่ายนางเสียอย่างไร |
ถึงช้าวันฉันคงจะคอยท่า | ให้เชษฐาสมจิตพิสมัย | พลางสำรวลชวนสามพราหมณ์ครรไล | เสด็จไปที่สำนักตำหนักจันทน์ |
ระทวยองค์ตรงบนบรรจถรณ์ | พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉัน | คิดถึงแก้วเกษราวิลาวัณย์ | ให้ร้อนรัญจวนใจไม่ไสยา ฯ |
ฝ่ายพระนุชบุตรีกรุงกษัตริย์ | มาถึงวังยังประหวัดถวิลหา | เห็นเจ้าพราหมณ์งามติดนัยน์ตามา | เข้าไสยายามค่ำยิ่งรำจวน |
คิดสงสารป่านฉะนี้เจ้าพราหมณ์น้อย | จะอยู่คอยหรือจะไปเสียไกลสวน | เมื่อเดินมาพอพ้นต้นลำดวน | ทำแย้มสรวลเหมือนจะชวนจำนรรจา |
เหตุไฉนไม่ตรัสหรือขัดข้อง | จะหนีน้องไปเสียแล้วกระมังหนา | เป็นพราหมณ์เทศพรหมจรรย์จรัลมา | หรือกษัตริย์ขัตติยาอยู่เมืองไกล |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.