1
stringlengths 13
42
⌀ | 2
stringlengths 14
40
⌀ | 3
stringlengths 14
43
| 4
stringlengths 14
40
⌀ |
---|---|---|---|
อยู่ข้างทิศอาคเนย์ทะเลลึก | พระอย่านึกแหนงว่าจะอาสัญ | เรารีบเร่งออกเรือเผื่อจะทัน | แล้วพากันลงมาเภตรากล |
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่เสา | จัดให้เจ้าโมราเป็นต้นหน | หน่อกษัตริย์สองพราหมณ์เป็นสามคน | ขึ้นนั่งบนบาหลีด้วยปรีดา |
พอสิ้นแสงสุริยันจันทร์กระจ่าง | ส่องสว่างกลางทะเลพระเวหา | ต้องพระพายชายพัดกระพือพา | สำเภาหญ้าฝ่าคลื่นมากลางชล |
พระเล็งแลตามกระแสชลาสินธุ์ | สิขรินเกาะแก่งทุกแห่งหน | ละลิบลิ่วทิวเมฆเป็นหมอกมน | เห็นแต่ชลกับมัจฉาดาราพราย |
เวลาค่ำน้ำเค็มก็พร่างพร่าง | แวมสว่างวาบวับระยับฉาย | เสมอเม็ดเพชรรัตน์โมราราย | แจ่มกระจายพรายพร่างกลางชลา |
พระเอนองค์ลงบนแท่นท้ายบาหลี | แสนทวีพูนเทวษถึงเชษฐา | จนเดือนดับลับลงในคงคา | สุริยาพุ่งพ้นชลธาร ฯ |
สำเภาน้อยลอยลำครรไลล่อง | ขึ้นฟูฟ่องระลอกกระฉอกฉาน | พระชมหมู่มัจฉากุมภาพาล | ขึ้นผุดพล่านตามหลังมาพรั่งพรู |
ฉนากฉลามตามคลื่นอยู่คลาคล่ำ | ทั้งช้างน้ำโลมาแลราหู | มังกรเกี่ยวเลี้ยวล่องท้องสินธู | เป็นคู่คู่เคียงมาในวารี |
คิดคะนึงถึงองค์พระเชษฐา | ถ้าแม้นมาด้วยน้องเป็นสองศรี | จะชวนชมฝูงสัตว์ในนัทที | โอ้ยามนี้น้องมาดูแต่ผู้เดียว |
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ว้าเหว่ | ท้องทะเลลึกล้ำล้วนน้ำเขียว | คลื่นระลอกกลอกกลิ้งเป็นเกลียวเกลียว | ทางก็เปลี่ยวใจก็เปล่าเศร้าฤทัย |
ยิ่งโศกแสนอาดรูพูนเทวษ | ชลเนตรหล่อหลั่งละลุมไหล | เจ้าพราหมณ์น้อยคอยปลอบประโลมใจ | แล้วชวนให้ชมละเมาะทุกเกาะเกียน |
แลสลับซับซ้อนสิงขรเขา | เป็นเหล่าเหล่าหลายหลากดังฉากเขียน | ที่เชิงชั้นรุกขชาติสะอาดเตียน | พิศเพี้ยนสีเคลือบเมื่อเหลือบแล |
พระชม้อยค่อยเพลินเจริญจิต | นิ่งพินิจเขาไม้ในกระแส | เห็นเงือกงามพราหมณ์ชี้ว่านี่แน | พ่อจงแลดูนางกลางชลา |
มีเผ้าผมนมเนื้อเนตรขนง | ทั้งรูปทรงน่ารักเป็นนักหนา | เสียแต่เพียงพื้นล่างเป็นหางปลา | กับพูดจานั้นไม่เป็นเหมือนเช่นเรา |
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายซัก | ใจพี่รักจะใครได้หรือไม่เล่า | เจ้าพราหมณ์แกล้งตอบความเป็นสำเนา | แม้นได้เปล่าจะคำนับรับประทาน |
พลางสำรวลชวนชื่นด้วยเชิงฉลาด | พระหน่อนาถปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | กำหนดนับวันมาก็ช้านาน | ไม่พานพบเชษฐาเหมือนอารมณ์ ฯ |
เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา | กษัตราจะได้คู่ที่สู่สม | สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลม | ลุอุดมรมจักรนครา |
ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะ | เรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา | เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตา | ก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ |
พระปรึกษาว่ากับพราหมณ์ทั้งสามพี่ | นครนี้น้องเห็นจะคับขัน | จึงระวังตั้งกองอยู่ป้องกัน | จะเป็นจันตประเทศหรือท้าวไท ฯ |
ได้ฟังถามพราหมณ์ทูลสนองตอบ | อันเขตขอบเห็นเป็นทีบุรีใหญ่ | เราแวะเข้าดูเล่นก็เป็นไร | เผื่อจะได้ข่าวที่พระพี่ยา |
แต่เรือเราเผาเสียจึงจะได้ | อย่าให้ใครเห็นอย่างว่าฟางหญ้า | พ่อแต่งองค์มาตามพราหมณ์พฤฒา | จะได้พากันเที่ยวดูพระบูรี |
เห็นพร้อมกันหันลำสำเภาล่อง | เข้าตามช่องหว่างเชิงคิรีศรี | ชาวด่านเห็นนาวาเข้าธานี | ก็ขึ้นตีกลองดังให้รั้งรอ |
เจ้าพราหมณ์ปลดลดใบทั้งท้ายหน้า | เข้าถึงท่าเรือจอดทอดสมอ | พระแต่งองค์เป็นพราหมณ์งามลออ | เอาเพลิงจ่อจุดเผาสำเภายนต์ |
เพลิงสว่างกลางวันเป็นควันกลุ้ม | ชาวด่านรุมกันมาดับอยู่สับสน | ก็ขึ้นฝั่งวารีทั้งสี่คน | สำเภายนต์โทรมลงในคงคา ฯ |
ฝ่ายนายหมวดตรวจตรารักษาด่าน | แสนสงสารพราหมณ์น้อยเป็นนักหนา | จึงร้องเรียกมานั่งยังศาลา | แล้วพูดจาปราศรัยเป็นไมตรี |
เจ้าเชื้อพราหมณ์พรหเมศประเทศไหน | จึงใช้ใบนาวามาถึงนี่ | พอเรือจอดมอดม้วยด้วยอัคคี | สินค้ามีในสำเภาสักเท่าไร |
น่าประหลาดหลากจิตคิดฉงน | แต่สี่คนก็ช่างมาเภตราได้ | ขอถามเจ้าเผ่าพราหมณ์นี้นามใด | ดูรูปร่างช่างกระไรล้วนงามงาม ฯ |
เจ้าสานนคนฉลาดเฉลยถ้อย | ให้เรียบร้อยตอบคำที่ร่ำถาม | อันพวกเราเผ่าปราณสังวาลนาม | อยู่บ้านคามวาสีล้วนพี่น้อง |
เราชื่อว่าสานนเป็นคนใหญ่ | ถัดนั้นไปเจ้าวิเชียรเป็นที่สอง | คนนั้นชื่อโมรานุชารอง | ที่สุดท้องคนนี้ศรีสุวรรณ |
เรียนเป็นแพทย์วิทยารักษาโรค | จะดับโศกสังเวชทุกเขตขัณฑ์ | ประสงค์สิ่งสรรพยาจึงพากัน | มาเลือกสรรสืบเสาะตามเกาะเกียน |
ได้สำเร็จเสร็จสรรพจะกลับบ้าน | พอลมพานพาพัดฉวัดเฉวียน | ทั้งต้นหนคนท้ายก็ตายเตียน | สำเภาเจียนอับปางลงกลางชล |
จะไปทางทิศไหนก็ไม่รู้ | เที่ยวแล่นอยู่กลางทะเลระเหระหน | มาถึงบ้านท่านนี้เห็นมีคน | ต้องไฟไหม้ไต้ลนเหลือแต่กาย |
เคราะห์ข้าเจ้าคราวนี้ใครจะเห็น | เผอิญเป็นคิดไปแล้วใจหาย | อันเมืองนี้นามใดไฉนนาย | จงขยายเรื่องเล่าให้เข้าใจ ฯ |
นายด่านนั่งฟังคำที่ร่ำว่า | เสน่หาลุ่มหลงไม่สงสัย | จึงบอกความตามจริงทุกสิ่งไป | นี่กรุงไกรรมจักรนครา |
อันพระองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์ | นามพระบาทท้าวทศวงศา | มีโฉมยงองค์ราชธิดา | ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์ |
ด้วยเนื้อนางอย่างกลิ่นสุคนธ์รื่น | เป็นที่ชื่นชมโฉมประโลมขวัญ | เมื่อเดือนสี่ปีก่อนนั้นโสกันต์ | เดี๋ยวนี้นั้นชันษาสิบห้าปี |
พระรูปโฉมก็ประโลมลานสวาท | ดูผุดผาดพึ่งรุ่นเจริญศรี | กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี | มาขอสู่ภูมีไม่ให้ใคร |
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช | เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย | อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร | เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตติย์วงศ์ |
ให้ทูตามาสนองละอองบาท | จะขอราชธิดาโดยประสงค์ | แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์ | กับผู้พงศ์จักรพรรดิขัตติยา |
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ | ว่าท้าวไทเป็นนอกพระศาสนา | แล้วกริ่งเกรงไพรีจะบีฑา | จึงเกณฑ์มาตั้งกองอยู่ป้องกัน |
ไปปีหน้าถ้าย่างเข้าเดือนยี่ | เห็นจะมีการทัพถึงคับขัน | แสนสงสารเจ้าพราหมณ์นี้ครามครัน | จะผายผันไปบ้านประการใด |
จงประทับยับยั้งอยู่ที่นี่ | ถ้าแม้นมีเภตรามาแต่ไหน | ข้าจะช่วยออกปากฝากเขาไป | คงมิให้อดอยากลำบากกาย ฯ |
เจ้าพราหมณ์ตอบชอบคำเป็นที่ยิ่ง | ไม่มีสิ่งใดให้เหมือนใจหมาย | แม้นเอ็นดูก็จะอยู่สำนักนาย | ตัวไม่ตายก็ไม่ลืมพระคุณเลย |
แต่มาถึงกรุงไกรจะใคร่เห็น | พาไปเล่นสักเวลาเถิดน้าเอ๋ย | สนุกสนานปานใดฉันไม่เคย | พอชมเชยเสียสักหน่อยจึงค่อยมา ฯ |
ส่วนนายด่านได้ฟังนั่งหัวเราะ | ช่างพูดเพราะน่ารักเป็นนักหนา | จะพาไปให้เห็นพระพารา | แล้วหยิบย่ามใส่บ่าละล้าละลัง |
ออกนำหน้าพาพราหมณ์ไปตามถนน | ถึงตำบลกรุงไกรดังใจหวัง | เที่ยวเลียบรอบขอบเขตนิเวศน์วัง | แล้วสอนสั่งห้ามปรามเจ้าพราหมณ์พลัน |
เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง | อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานนะหลานขวัญ | ล้วนนางในไม่ชั่วตัวสำคัญ | จะเสียสันเสียเปล่าไม่เข้าการ ฯ |
พราหมณ์หัวเราะรับคำที่ร่ำสั่ง | พลางชมวังนิเวศน์ประเทศสถาน | งามปราสาทผาดเยี่ยมโพยมมาน | ชัชวาลแก้วเก้าวะวาวตา |
มีบ้านช่องสองแถวแนวถนน | ทั้งผู้คนคึกคักกันนักหนา | มีโรงรถคชไกรไอยรา | สนามหน้าจักรวรรดิที่หัดพล |
ที่ท้ายวังตั้งล้วนแต่ตึกกว้าน | บ้างนั่งร้านสองแถวแนวถนน | นายด่านพาผ่าตลาดต้องหลีกคน | ประชาชนซื้อหาพูดจากัน |
พวกสาวแก่แลเห็นเจ้าพราหมณ์น้อย | ดูแช่มช้อยน่าชมทั้งคมสัน | งามจริตกิริยาสารพัน | ต่างชิงกันร้องเรียกออกเพรียกไป |
เจ้าพราหมณ์ขามานั่งที่นี่ก่อน | แดดยังร้อนจะรีบไปข้างไหน | พระแย้มยิ้มพริ้มพรายละอายใจ | นางแม่ค้าอาลัยประโลมลาน |
ส่วนนายกองปากน้ำที่นำหน้า | ฟังแม่ค้าร้องทักเห็นรักหลาน | มีหมากพลูบุหรี่อยู่ที่ร้าน | ตานายด่านแวะขอห่อเอาไป |
แล้วเหลียวหน้ามาถามเจ้าพราหมณ์น้อย | กินกล้วยอ้อยบ้างหรือพ่อจะขอให้ | พระขวยเขินเมินเลยทำเฉยไป | เจ้าพราหมณ์ใหญ่เคียงคลอจรลี ฯ |
จะกล่าวถึงสาวใช้ในนิเวศน์ | เป็นวิเสทพระธิดามารศรี | ชื่อกระจงพงศ์ไพร่กระฎุมพี | ยังไม่มีลูกผัวตัวคนเดียว |
ออกตลาดนาดกรายเที่ยวจ่ายของ | ทำยิ้มย่องยักเยื้องชำเลืองเหลียว | เห็นคนดูเจ้าพราหมณ์ตามกันเกรียว | ทำลดเลี้ยวเล็งแลอยู่แต่ไกล |
เห็นโฉมงามพราหมณ์น้อยกลอยสวาท | ใจจะขาดลงด้วยคิดพิสมัย | ทิ้งกระบุงตะกร้าไม่อาลัย | ได้ดอกไม้วิ่งตามเจ้าพราหมณ์มา |
สู้แทรกเสียดเบียดคนเข้าจนชิด | ดัดจริตนั่งไหว้ให้บุปผา | พระขวยเขินเมินพักตร์ไม่พูดจา | คนเขาฮาโห่ลั่นสนั่นไป |
อีกระจงหลงลืมละอายเหนียม | ทำและเลียมรอเรียงเข้าเคียงไหล่ | เห็นพราหมณ์ไม่เกี้ยวพานรำคาญใจ | ใครเฮฮาด่าให้ด้วยโกรธา ฯ |
จะกล่าวถึงท่านยายนายวิเสท | ครั้นสุริเยศบ่ายคล้อยก็คอยหา | อีกระจงเป็นกระไรมิใคร่มา | จึงสั่งข้าคนใช้ให้ไปตาม |
นางทาสามาถึงท้องตลาด | เห็นกระจาดทิ้งไว้เที่ยวไต่ถาม | เขาบอกว่าข้าเห็นไปตามพราหมณ์ | ก็รีบตามติดพันไปทันตัว |
เห็นเดินตามพราหมณ์น้อยทำลอยหน้า | นายทาสาเข้าขยิกจิกเอาหัว | พาเข้าไปให้ท่านยายเป็นนายครัว | แกเห็นตัวจับไม้เข้าไล่ตี |
แล้วว่าเอาข้าวของไปไหนเสีย | กระบุงเบี้ยหมดมาน่าบัดสี | หรือเที่ยวสู่ชู้ผัวของมึงมี | หรือเจ้าหนี้ยื้อแย่งจงแจ้งความ ฯ |
อีกระจงหลงใหลไม่ได้สิบ | ทำอุบอิบกล่าวเท็จไม่เข็ดขาม | ข้านี้ได้เสียตัวมีผัวพราหมณ์ | รูปเธองามตะละหุ่นเจียวคุณยาย |
ให้คำมั่นสัญญามาเมื่อกี้ | ว่าจะตีจานทองของถวาย | พรุ่งนี้นัดให้ฉันพามาหานาย | พอคุณยายใช้ให้เขาไปเอาตัว ฯ |
นายวิเสทซ้ำด่าอีหน้าด้าน | ยังให้การชมงามเจ้าพราหมณ์ผัว | ทรลักษณ์รักเขาจนเมามัว | จะคิดกลัวเกรงใครก็ไม่มี |
กูจะไปแจ้งคดีพระพี่เลี้ยง | ให้ไล่เลียงเฆี่ยนส่งไปโรงสี | ยิ่งโกรธาด่าทอแล้วจรลี | มาถึงสี่พี่เลี้ยงพระธิดา |
จึงแจ้งความตามอีกระจงเล่า | มันชมเจ้าชู้พราหมณ์งามนักหนา | เห็นผูกพันฟั่นเฝือเหลือตำรา | จะด่าว่าสักเท่าไรก็ไม่กลัว ฯ |
พระพี่เลี้ยงได้ฟังนั่งหัวร่อ | มันยกยอกันว่าเหมาะเพราะเป็นผัว | จะให้พวกขอเฝ้าไปเอาตัว | ดีหรือชั่วก็คงเห็นว่าเช่นไร |
ปรึกษาพลางทางลงจากตำหนัก | มาถามซักอีกระจงเห็นหลงใหล | จึงสั่งให้พวกข้างหน้าพาออกไป | มันว่าชู้อยู่ที่ไหนเอาตัวมา |
พวกขอเฝ้าเข้าจูงอีทาสี | มาถึงที่ท้องตลาดเที่ยวแลหา | เห็นเจ้าพราหมณ์ตามกันจรัลคลา | อีทาสาจึงเข้าชี้ว่านี่แน |
พวกขอเฝ้าเข้าล้อมเจ้าพราหมณ์น้อย | แล้วกล่าวถ้อยไต่ถามตามกระแส | นี่หรือเหล่าเจ้าชู้ไม่ดูแล | ทำกอแกก่นแต่เที่ยวเกี้ยวชาววัง |
ถึงกระไรได้ชมก็สมหน้า | นี่คบค้าเป็นเมียจะเสียหลัง | ท่านให้หาเร็วเถิดพ่ออย่ารอรั้ง | คุณในวังออกมาอยู่ประตูกลาง ฯ |
ฝ่ายตาเฒ่าชาวด่านได้ยินว่า | แกโกรธาฮึดฮัดเข้าขัดขวาง | เมื่อหลานข้ามาเที่ยวเล่นตามทาง | ได้เกี้ยวนางชาววังเมื่อครั้งไร |
อีคนนี้ฝีปากมันจัดจ้าน | มาเกี้ยวพานหลานข้าหาว่าไม่ | มิใช่ชาวบ้านนอกมาหลอกใคร | ผิดก็ใส่กันกับเจ้าจนเย็บตา ฯ |
ขอเฝ้าว่าตานี่โมโหร้าย | จะเอาหวายลงหลังกระมังหนา | ท่านทั้งสี่พี่เลี้ยงพระธิดา | จะให้หาเข้าไปถามตามทำนอง |
แล้วปลอบว่ามาไปเถิดเจ้าพราหมณ์ | อย่าพูดตามตาคนนั้นมันจองหอง | แล้วพาเข้าวังในดังใจปอง | ส่วนนายกองปากน้ำก็ตามมา |
ถึงประตูหูช้างข้างฉนวน | เห็นแต่ล้วนหม่อมหม่อมอยู่พร้อมหน้า | จึงเข้าไปเล่าแถลงแจ้งกิจจา | ได้ตัวมาแล้วจะโปรดประการใด ฯ |
ฝ่ายทั้งสี่พี่เลี้ยงเมียงชม้อย | เห็นพราหมณ์น้อยโสภาจะหาไหน | ดูผิวเหลืองเรืองรองทองอุไร | งามวิไลแลเล่ห์เทวดา |
ขนงเนตรเกศกรรณแลกรแก้ม | แลแฉล้มน่ารักเป็นนักหนา | พิศวงหลงลืมกะพริบตา | เสน่หาปั่นป่วนรัญจวนใจ |
ต่างว่างามเหลืองามพ่อพราหมณ์น้อย | ช่างเลื่อนลอยล่องฟ้ามาแต่ไหน | หรือหน่อจักรพัตราพาราไกล | ธุระอะไรหนอจึงมาถึงธานี |
อีคนใช้ใส่ความว่าเป็นชู้ | ไม่ควรคู่คบหากับทาสี | เว้นแต่องค์นงนุชพระบุตรี | เห็นเต็มดีดุจแก้วแกมสุวรรณ |
จำจะลวงหน่วงหนักไว้สักหน่อย | ให้พราหมณ์น้อยไปสำนักอยู่สวนขวัญ | ดำริพลางทางสั่งขอเฝ้าพลัน | เห็นไม่ทันจะปรึกษาเวลาจวน |
จะให้อยู่ที่นี่ก็มิได้ | ไปส่งให้สองเฒ่าที่เฝ้าสวน | แล้วจะถามความข้อต่อสำนวน | สั่งแล้วชวนกันเข้าไปเสียในวัง |
ขอเฝ้าว่ามาไปเถิดพ่อเอ๋ย | ถ้าละเลยแล้วเห็นจะเล่นหลัง | ฝ่ายเจ้าพราหมณ์ตามใจมิให้ชัง | พลางร่ำสั่งนายด่านด้วยมารยา |
จงไปบ้านท่านเถิดให้ผาสุก | ฉันพ้นทุกข์แล้วเมื่อไรจะไปหา | นายด่านฟังคลั่งคลอหล่อน้ำตา | แล้วว่าน้านี้ไม่ทิ้งอย่ากริ่งใจ |
จะไปจัดข้าวปลากระยาหาร | มาส่งหลานสี่คนให้จนได้ | แล้วเดินพลางบ่นพลางตามทางไป | คนอะไรอย่างนี้ไม่มีอาย |
ทำปล่อยม้าอุปการเที่ยวพาลเขา | เห็นโง่เง่าแล้วจะจับไปปรับหมาย | ถ้าทุบตีหลานกูจะสู้ตาย | วิ่งถวายฎีกาได้ว่ากัน ฯ |
ฝ่ายขอเฝ้าพาพราหมณ์มาตามถนน | ถึงตำบลสองเฒ่าเฝ้าสวนขวัญ | จึงบอกแจ้งกิจจาสารพัน | เอาพราหมณ์นั้นมอบให้แล้วไคลคลา |
ฝ่ายสองเฒ่าทรพลก็บ่นพร่ำ | เราจะทำกระไรดีกระนี้หนา | เขาหนุ่มหนุ่มเราผู้คุมคนชรา | คงหนีหน้าแล้วจะไล่ที่ไหนทัน |
เจ้าพราหมณ์ยิ้มพริ้มพรายธิบายบอก | ไม่หนีดอกยายตาอย่าโศกศัลย์ | ข้อคดีมีอยู่จะสู้กัน | อันโทษทัณฑ์สิ่งใดก็ไม่มี |
ยายกับตาว่าเชื่ออย่างไรได้ | ที่ไหนใครจะรับว่าข้าจะหนี | ยังมิได้จองจำค่ำวันนี้ | เข้าอยู่ที่ในกระท่อมให้พร้อมเพรียง |
เจ้าพราหมณ์เดินดีใจเข้าในห้อง | ทั้งพี่น้องนั่งหัวร่อไม่ต่อเถียง | เฒ่าชรามานอนที่ระเบียง | คอยฟังเสียงเกรียบกรุกลุกขึ้นมอง ฯ |
สงสารหน่อสุริย์วงศ์พงศ์กษัตริย์ | โทมนัสหม่นไหม้ฤทัยหมอง | ด้วยไม่เคยเชยชู้รู้ทำนอง | เฝ้าตรึกตรองตรมจิตคิดรำคาญ |
จึงปรึกษาว่าแก่พราหมณ์ทั้งสามพี่ | ไม่พอที่น้อยหน้าเขาว่าขาน | พวกขอเฝ้าชาววังมันจังฑาล | จะใคร่ผลาญชีวันให้บรรลัย |
แต่พี่นิ่งเสียแล้วน้องก็ต้องนิ่ง | แค้นผู้หญิงมันยังกลับบังคับได้ | ทั้งสามพี่นี้เห็นเป็นอย่างไร | จึงนิ่งให้มันว่าเป็นน่าชัง ฯ |
พราหมณ์หัวร่อพ่อลืมเสียแล้วหรือ | เขาบอกชื่อเสียงให้เหมือนใจหวัง | อันองค์ราชบุตรีที่ในวัง | ทุกวันยังมิได้มีราคีพาน |
พ่อโฉมงามยามนี้ก็แรกรุ่น | ผลบุญช่วยชักสมัครสมาน | ถึงขอเฝ้าเขาไปจับให้อัประมาณ | พี่ก็เห็นเป็นตะพานมาชอบกล |
เมื่อพบกันวันนี้นางพี่เลี้ยง | เห็นมองเมียงตามาสี่ห้าหน | ซึ่งให้คุมไว้ที่นี่ทั้งสี่คน | พี่นี้เห็นเป็นกลมารยา |
ถ้าแม้นเหมือนหมายมุ่งก็พรุ่งนี้ | ร้ายหรือดีจะได้ฟังไม่กังขา | พ่อจงดับโทโสอย่าโกรธา | รู้ถึงแก้วเกษราจะน้อยใจ |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.